ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 133875 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
อบอุ่นหัวใจ ครอบครัวหรรษาต่อจากนี้นะ ทาสแมวนะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หนูเจียน่ารักจริง ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เค้าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ฮิ้ววววววว

ออฟไลน์ สตางค์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
เราว่านิสัยปานตะวันดูเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ทั่วไปอ่ะ
นิสัยไม่ได้แบบแย่สุดกู่ แต่ก็ไม่ใช่พ่อพระนายงามรักเด็กทุกคนบนโลกนี้ประมาณนั้นอ่ะ
ถ้าเราเป็นตะวันคงเป๋เหมือนกัน พี่สาวตาย เพิ่งรู้ว่าพี่สาวท้องแถมพี่สาวมีลูกตั้งสี่ขวบแล้วแน่ะ
พี่สาวปิดบังเรื่องลูกไว้อย่างน้อยก็ห้าปีเชียวนะ คงอดคิดไม่ได้อ่ะว่าเราสนิทกับพี่จริงเหรอวะหรือมโนไปเองว่าสนิทขนาดพี่ยังไม่คิดจะบอกเรื่องสำคัญเลย และไม่สนิทใจกับลูกพี่สาวแน่นอน อารมณ์แบบโดนพี่สาวทรยศบางเบา

แต่ในตัวเรื่องที่ดูจากรีแอคชันของปานตะวัน ดูตะวันจะผูกพันกับพี่จันทร์ของเขามาก มากจนไม่โกรธในแง่ที่โดนพี่สาวปิดบัง แค่ดูสับสน ซึ่งทำให้เราค่อนข้างจะเห็นใจตะวัน /เจองี้ใครไม่สติแกนี่ขอสรรเสริญเลย
อีกอย่างเรารู้สึกว่าพี่จันทร์ตอนเข้าฝันตะวันแลดูค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่มีเหตุผลให้แต่แค่สั่งลาไว้ว่าเลี้ยงลูกให้หน่อย #เอาที่พี่จันทร์สบายใจ  แต่ถ้าคิดในเเง่เพราะตะวันหมกมุ่นในเรื่องเจียหลินแล้วฃันเพ้อไปเอง ก็ขอโทษพี่จันทร์ ณ ที่นี้นะคะ 555555555 โอยยยย อินละเกิน
เอาจริงๆ จนถึงบทสองเราลำไยราเมศมากกว่าปานตะวันนะ จนกระทั่งทำให้เราอคติกับราเมศมาเรื่อยๆ และคงอคติต่อไปจนกว่าพี่แกจะท๊อปฟอร์มให้เห็น

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตอนนี้พี่เมศน่ารักดีนะคะ มีการขอเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย เฮ้ออออ ต่อไปนี้ตะวันคงจะมีความสุขแล้วเนอะ

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
มีเหตุการณ์เร่งปฏิกริยา เลยได้เปนครอบครัวเดียวกันแล้ว >\\\\\\<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
หวายยยย ครอบครัวอบอุ่น เป็นครอบครัวเดียวกัน

หนูเจียน่ารักมาก บอกไรก็ทำ ดื้อบ้าง แต่ไม่ซน รู้เรื่อง สมควรแล้วที่น้าตะวันอยากจับฟัดวันละสิบรอบ
ตะวันยอมรับแล้วน้า พี่เมศดีต่อใจมาก จะอบอุ่นไปไหม ดูแลดีจริงอะไรจริง

ตะวันพยายามเข้านะ รอวันความสำเร็จ มีกำลังใจเพียบจ้า

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
น่ารักมาก  สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ Pithchayoot

  • พิชญ์ชยุตม์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ครอบครัวอบอุ่น

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
น้องเจียน่ารักจริงๆเลย

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๒
เด็กชายเกล้า


       หลังจากเหตุการณ์รถชนและการสารภาพรักแบบสายฟ้าแลบของราเมศเวลาก็ล่วงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว ปานตะวันหายดีและกลับมาทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังสมัครเรียนมหาวิทยาลัยตามที่ได้ตั้งใจไว้อีกด้วย โดยคณะที่เขาเลือกคือมนุษยศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ตอนที่ปานตะวันบอกราเมศอีกฝ่ายก็ทำหน้าประหลาดใจอย่างไม่ปิดบังทำเอาปานตะวันต้องแยกเขี้ยวใส่พร้อมคำอธิบายสั้นๆ

   “ก็ผมอยากเรียน”

   “เรียนแล้วจะได้เอาไปใช้หรือเปล่า”

   “แน่อยู่แล้วสิ ไม่ให้เงินที่ลงทุนไปสูญเปล่าหรอกน่า!”

   “งั้นก็ตามนั้น”

   เมื่อได้ข้อสรุปปานตะวันจึงเลือกได้อย่างไม่ลังเล เดิมทีนิเทศศาสตร์ก็ไม่ใช่ความสนใจของเขาอยู่แล้วแต่ที่ตอนนั้นเลือกเรียนคณะนี้เพราะหนึ่งเลยคือตามเพื่อน สองหลายๆ คนบอกว่าเขาน่าจะทำได้ดีเขาเลยตามน้ำไป แน่ล่ะว่าทำได้ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ยิ่งประกอบกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่พาชีวิตขาดิ่งลงเหวช่วงนั้นแล้วฝีมือและผลการเรียนนอกจากจะไม่พัฒนาขึ้นมันยังแย่ลงๆ อีก  มาคราวนี้ปานตะวันจึงลองเลือกอะไรที่ตัวเองสนใจดูบ้าง คิดๆ แล้วเรียนภาษาที่สามไว้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

   ถึงแม้จะรู้ตัวว่าต้องพยายามหนักกว่าคนอื่นก็เถอะ ยิ่งไม่มีพื้นฐานเลยแบบนี้ด้วยแล้ว

   ราเมศและคนอื่นๆ ที่ทำงานเองก็เข้าใจ เวลาเลิกงานของปานตะวันจึงกลายเป็นสี่โมงเย็นแทน และทุกๆ คืนเขาจะต้อง
กลับบ้านมาอ่านหนังสือ ปานตะวันพยายามบังคับตัวเองให้มากเท่าที่จะทำได้ และกำลังใจสำคัญของชายหนุ่มก็คือหนูเจียกับราเมศนี่แหละ

   นอกจากสองคนนี้แล้วเพื่อนอย่างชนกันต์กับหลงก็เป็นกำลังใจที่ดีมากเช่นกัน คนแรกดูจะยินดีมากที่ปานตะวันกลับมาอยู่กับร่องกับรอยแล้ว อีกฝ่ายมักจะมาเยี่ยมพร้อมขนมนมเนยเต็มมือเสมอ ส่วนหลงเองก็ช่วยเหลือเวลาปานตะวันมีส่วนที่ติดขัดอยู่ เขาเพิ่งรู้นี่แหละว่าหลงพูดจีนกับญี่ปุ่นได้ด้วย ภาษาจีนเหมือนจะเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลายส่วนภาษาญี่ปุ่นก็อาศัยเรียนเสริมพิเศษข้างนอกเอาเพราะเจ้าตัวสนใจ

   เวลาไปทำงานพิเศษกับหลงบางทีปานตะวันก็หอบหนังสือไปให้อีกฝ่ายช่วยสอนด้วย แต่ก็ไม่บ่อยหรอกเพราะต้องทำงาน ลูกค้าของหลงเพิ่มขึ้นๆ ทุกวันปานตะวันที่เดิมที่มีหน้าที่แค่หยิบขนมใส่กล่องเดี๋ยวนี้หลงก็ช่วยสอนให้ทำขนมเลื่อนขั้นมาเป็นลูกมือในครัวแล้ว

   ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยุ่งเหยิงบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่เขาก็อดทนจนผ่านมาได้ทุกครั้ง รู้ตัวอีกทีก็อยู่กันมาจะครบปีแล้ว หนูเจียเองก็เลื่อนชั้นจากอนุบาลสองมาเป็นอนุบาลสาม เริ่มรู้เรื่องขึ้นมาอีกระดับ

   เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังไม่หยุด ปานตะวันที่ซุกตัวในผ้านวมจึงปรือตาโงหัวจากหมอน สองมือปัดป่ายไปที่หัวเตียงเพื่อควานหาโทรศัพท์ พอเจอแล้วชายหนุ่มก็กดปิดเสียงก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหัวฟูหน้าง่วง

   “หนูเจีย...หนูเจียครับ” ปานตะวันเอ่ยเรียกหลานชายตัวเล็กที่ยังนอนหลับอุตุอยู่ “ตื่นเร็วครับ”

   “ฮื้อออ หนูเจียง่วง”

   “จะหกโมงแล้วนะ วันนี้เปิดเทอมวันแรกด้วย หนูเจียไม่อยากไปสายหรอกใช่ไหม”

   “ฮื้ออออ”

   หนูเจียครางหงุงหงิงในลำคอ ปานตะวันที่เริ่มตื่นเต็มตาก็จัดการงัดหลานชายขึ้นจากกองผ้าห่ม ดันหลังอีกฝ่ายที่ทำท่าจะงอแงไปยังห้องน้ำ หนูเจียปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ปานตะวันส่งแปรงสีฟันอันเล็กกับหลอดยาสีฟันกลิ่นองุ่นให้หลานชาย หนูเจียบีบยาสีฟันใส่แปรงก่อนจะบ้วนปากแล้วแปรงฟัน

   ปานตะวันเหลือบตามองหลานชายที่หลับตาแปรงฟันแบบขำๆ ภาพคนต่างวัยต่างขนาดตัวสองคนกำลังแปรงฟันที่ปรากฏบนกระจกในห้องน้ำกลายเป็นความคุ้นชิ้นของเขาไปเสียแล้ว หากแต่ทุกวันยามเห็นภาพนี้ปานตะวันจะรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง

   แปรงฟันล้างหน้าเสร็จปานตะวันก็ออกจากห้องน้ำไปทำอาหารเช้า ปล่อยให้หลานชายอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ชายหนุ่มทำอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับสามที่ขึ้นมา

   ใช่...สามที่...

   ดวงตากลมสีนิลเหลือบมองนาฬิกาที่ข้างฝา ตอนนี้หกโมงสิบนาทีแล้ว ใกล้ได้เวลาแล้วสินะ

   “อรุณสวัสดิ์” เสียงทุ้มทักขึ้นเรียบๆ พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของราเมศที่เดินเข้ามาในครัว ปานตะวันยิ้มให้อีกฝ่าย “หวัดดีครับ”

   “หิวแล้ว วันนี้มีอะไรกินบ้าง”

   “ไข่ดาว ไส้กรอกกับขนมปังปิ้งครับ พี่เมศเอากาแฟเหมือนเดิมใช่ไหม”

   “อื้ม พี่แวะซื้อขนมครกหน้าปากซอยมากด้วย”

   ราเมศวางถุงใส่ขนมครกที่ยังอุ่นอยู่ลงบนโต๊ะ ไม่นานกาแฟกับอาหารเช้าของเขาก็มาเสิร์ฟ เป็นเวลาเดียวกับที่หนูเจียสะพายกระเป๋าใบโตเดินเข้ามาพอดี

   “น้าเมศศศ”

   เจียหลินยิ้มร่า วิ่งจี๋ไปหาน้าชายอย่างอารมณ์ดี

   “ว่าไงครับหนูเจีย”

   ราเมศคว้าหลานชายขึ้นมาหอมแก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะปล่อยให้เด็กน้อยเข้าประจำตำแหน่ง ราเมศกินไปคอยระวังไม่ให้หนูเจียทำชุดนักเรียนเลอะไปด้วย พออิ่มแล้วทั้งสามคนก็ช่วยกันเก็บจานแล้วเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อพาหนูเจียไปส่งโรงเรียน โดยคนรับหน้าที่ขับรถคือราเมศ

   นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ปานตะวันต้องทำใจให้ชิน คือราเมศจะมากินข้าวเช้าและข้าวเย็นด้วยทุกวัน รวมถึงเป็นคนไปรับไปส่งหนูเจียจากโรงเรียนด้วย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มานอนเล่นที่บ้านบ้าง พาไปเที่ยวบ้าง ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น

   “น้าตะวัน น้าเมศหนูเจียไปแล้วน้า เจอกันตอนเย็นครับ”

   “ครับผม ตั้งใจเรียนนะ”

   เมื่อฝ่าการจราจรที่แออัดมาถึงหน้าโรงเรียนได้ หนูเจียก็โบกมือบ๊ายบายน้าชายทั้งสอง จากนั้นก็กระโดดลงจากรถ เดินเข้าโรงเรียนไป ราเมศรีบขยับรถทันทีเพราะคันหลังร่ำๆ จะบีบแตรใส่แล้ว หลังส่งเจียหลินเสร้ตพวกเขาก็กลับมาที่บ้าน เก็บล้างจานชามจากเมื่อเช้า

   “มา พี่ช่วย”

   ราเมศเอ่ยขณะไปยืนซ้อนหลังคนรัก ปานตะวันส่ายหน้าทันที “ไม่ต้องเลยครับ ไปนั่งเฉยๆ เลย”

   “เห ใจร้ายจังนะ คนอุตส่าห์จะช่วยแท้ๆ”

   “ถ้าแค่ ‘จะช่วย’ ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าจะมายืนโอบนู่นแตะนี่ล่ะก็ไปไกลๆ เลยครับ ขอรับไว้แค่น้ำใจก็พอ” ปานตะวันหันมามองอย่างรู้ทัน

   เรื่องบางเรื่องทำใจให้ชินได้แต่บางเรื่องก็ทำไม่ได้

   เช่นไอ้เรื่องแต๊ะอั๋งหน้าตายของราเมศนี่แหละ!

   เขาก็เพิ่งจะรู้หลังตกลงคบกันว่าราเมศมันไม่ได้นิ่งเหมือนที่คิดไว้ ไม่ได้เป็นคนเนียนแต๊ะอั๋งด้วย แต่ขอกันซึ่งๆ หน้าเลย ไม่รู้ว่าเป็นคนตรงหรือขวานผ่าซากดี อยากหอมก็พูดอยากหอม อยากจูบก็พูดว่าอยากจูบ พอพูดเสร็จก็ไม่มีการรอคำอนุญาตอะไรทั้งนั้นเพราะทำเลย นึกๆ ดูแล้วมันก็เป็นแค่ประโยคบอกเล่าเท่านั้นนี่นะ...

   “ก็ตะวันตัวหอม น่ากอด”

   ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยังสอดแขนกอดรอบราวเอว เอาคางเกยบนศีรษะเขาอีกต่างหาก ปานตะวันกลอกตา แกล้งหันไปสะบัดน้ำใส่หน้าอีกฝ่ายเล่น

   “หอมตรงไหนครับ เหม็นออก นี่ยังไม่ได้อาบน้ำ”

   “ไม่เหม็น หอม”

   ปลายจมูกโด่งเริ่มแตะลงที่ขมับ ขยับเรื่อยมาถึงพวงแก้ม ราเมศสูดกลิ่นหอมจากผิวเนื้ออีกฝ่ายเข้าไปเต็มปอดเป็นการพิสูจน์

   “พี่เมศ!”

   ปานตะวันตกใจจนเกือบทำแก้วหลุดมือ แก้มขาวๆ เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ราเมศถอยออกมา ยิ้มเอ็นดูประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

   “เอาเปรียบนี่หว่า!”

   “งั้นเดี๋ยวให้หอมคืน หายกัน ดีไหม”

   “แบบนั้นพี่ก็ได้กำไรอยู่ดี ไม่ยุติธรรมเลย” ปานตะวันบ่นอุบพลางเก็บแก้วใบสุดท้ายคว่ำลงในตะกร้า “ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

   “อ้าว ไม่หอมคืนเหรอ พี่กลัวเราขาดทุนนะเนี่ย”

   “ไม่หอม!”    

   ปานตะวันปัดผมตัวเองที่ย้อมกลับมาเป็นสีดำแล้วก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ คนตัวเล็กขยับไปใกล้ราเมศที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วก็แตะริมฝีปากลงที่ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย ค้างไว้ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขยับไล้อย่างแผ่วเบา ไม่ได้จาบจ้วง ไม่ได้แนบชิด แค่ปัดป่ายคลอเคลียเป็นเชิงหยอกล้อเท่านั้น

   ราเมศคำรามเบาๆ ในลำคอหากแต่เมื่อจะยื่นมือไปรั้งใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ปานตะวันกลับกระโดดถอยหลัง หลบรอดเงื้อมือเขาไปได้อย่างฉิวเฉียด

   ชายหนุ่มพินิจมองเด็กแสบตรงหน้าที่หรี่ตาลงแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ กิริยาคล้ายแมวตัวแสบที่กำลังมองเหยื่อของมันอย่างมีความสุขอย่างไรอย่างนั้น

   ปานตะวันหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดว่า “ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าได้กำไร”

   ว่าจบเจ้าแมวแสบก็เดินออกจากห้องไปพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ราเมศยืนค้างอยู่แบบนั้นก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้องครัว ชายหนุ่มส่ายหัว แตะริมฝีปากที่ยังเหลือความอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางเบาที่คลอเคลียอยู่เมื่อครู่

   “ยอมให้สักครั้งก็ได้...เห็นว่าเอาคืนได้น่ารักมากหรอกนะถึงยอม”

   ราเมศย้ายตัวเองไปนั่งในห้องนั่งเล่น  ดูข่าวรอปานตะวันอาบน้ำแต่งตัว

   ผ่านไปเกือบปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปานตะวันพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง ค่อยๆ
ปรับตัวเข้าหากันไป ชีวิตประจำวันเริ่มหลอมรวมกันช้าๆ ความสัมพันธ์ทางใจรุดหน้าแต่ความสัมพันธ์ทางกายกลับหยุดแค่หอม กอด และจูบ

   แต่ราเมศก็ไม่ได้เร่งร้อนอะไร ทุกอย่างล้วนมีเวลาของมัน

   “พี่เมศ เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” ปานตะวันเดินออกมา ยิ้มแฉ่งให้เขาเหมือนเคย ราเมศเองก็ยิ้มตอบ เดี๋ยวนี้ปานตะวันยิ้มง่าย
ไม่ได้ขี้เหวี่ยงเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ชายหนุ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้น คิดถึงใจคนอื่นมากขึ้น แต่นิสัยขี้โวยวาย ปากไม่ตรงกับใจก็ยังอยู่ และมักจะแสดงออกมาบ่อยๆ ตอนเขิน

   “ช่วงนี้เรียนเป็นไงบ้าง”

   “ยากอ่ะ ยากมากเลย” ปานตะวันทำปากยื่น เมื่อคืนเขาก็อ่านหนังสือจนหลับ สะดุ้งตื่นมาอีกทีก็ตีหนึ่งแล้ว แต่ทุ่มขนาดนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

   “ไหวไหมเนี่ย ท่าทางดูเหนื่อยๆ นะ พักหน่อยไหม”

   “ไหวสิ ตะวันต้องไหว ไม่ยอมแพ้หรอก!”

   ราเมศยิ้ม นิสัยมุ่งมั่นแบบนี้ก็เป็นอีกข้อดีที่เขาเห็นว่าปานตะวันมีพัฒนาการ ถ้าเป็นเมื่อก่อนชายหนุ่มอาจยอมแพ้ไปแล้วก็ได้

   ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะคนข้างๆ ลูบเบาๆ อย่างอ่อนโยน แม้จะไม่ได้หันหน้ามามองปานตะวันก็เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนเสี้ยวหน้าของราเมศได้

   “สู้เขานะพี่เป็นกำลังใจให้”

   “อ...อื้อ ขอบคุณครับ”

   กำลังใจดีขนาดนี้...จะยอมแพ้ได้ยังไง

   สี่โมงเย็นปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก ชายหนุ่มตรงไปเก็บของลงกระเป๋า เตรียมตัวกลับบ้าน เขาลาพี่ๆ ในร้านก็ชะโงกหน้าไปบอกราเมศที่ง่วนอยู่กับการทำอาหารในครัว คนตัวโตที่เห็นเขาก็พยักหน้าให้นิดหนึ่งแล้วพูดว่า “กลับบ้านดีๆ นะ เจอกันคืนนี้”

   ปานตะวันยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนกลับบ้านชายหนุ่มก็แวะไปรับหลานชายที่โรงเรียน วันนี้หนูเจียกับเพื่อนๆ ในห้องเล่นกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น พอคุณครูเห็นปานตะวันเดินเข้าไปก็หันไปพูดว่า

   “เจียหลินครับ ผู้ปกครองมารับแล้วครับ”

   ปานตะวันยืนรออยู่สักพักเจียหลินก็ยังไม่เดินออกมาชายหนุ่มจึงขออนุญาตคุณครูเดินเข้าไปดู ไม่ไกลจากทางเข้าที่ทำเป็นซุ้มดอกไม้เท่าใดนัก ปานตะวันมองเห็นหนูเจียกำลังเล่นไม้กระดกอยู่กับเด็กชายอีกคนหนึ่ง ท่าทางจะสนุกจนลืมน้า

   “หนูเจียครับ” ปานตะวันร้องเรียกหลานชาย “น้าตะวันมารับแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

   “อ๊ะ น้าตะวัน”

   เจียหลินร้องขึ้นก่อนจะหันไปพูดกับเด็กชายที่อยู่อีกฝั่ง ทั้งสองหยุดเล่นเครื่องเล่นแล้วเดินมาหาปานตะวัน ชายหนุ่มนั่ง
ยองๆ อ้าแขนรับหลานชายมากอดแน่น

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
      “น้าตะวันๆ วันนี้หนูเจียมีเพื่อนใหม่ด้วยนะ คนนี้ชื่อเกล้า” เจียหลินชี้ไปที่เด็กชายที่ตามมาข้างหลัง เด็กคนนั้นสูงกว่าเจียหลินเล็กน้อย ผอมแห้ง ผมเผ้ากระเซิง เสื้อนักเรียนที่ใส่อยู่ดูหลวมโพรกและเป็นสีตุ่นๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองสบกับตะวันแล้วก็ยกมือไหว้ “สวัสดีฮะ”

   “หวัดดีครับน้องเกล้า เพื่อนใหม่หนูเจียเหรอครับ” ทำไมไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ จะว่ามาจากห้องอื่นก็ไม่น่าใช่

   เด็กชายนามเกล้าพยักหน้า ดวงตาหลุบต่ำ ตอบเสียงเบา “ผมเพิ่งย้ายมาใหม่ฮะ”

   “อ๋อ เด็กใหม่นี่เอง ดีจังเลยนะหนูเจีย ได้เพื่อนใหม่ด้วย”

   “หนูเจียชอบเกล้าม๊ากมาก”

   น้องเกล้าอมยิ้ม ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “เกล้าก็ชอบหนูเจีย”

   ปานตะวันกะพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าการที่หลานชายบอกว่าชอบเพื่อนผู้ชายแล้วเพื่อนคนนั้นตอบว่าก็ชอบเหมือนกันนี่มันจะดีหรือเปล่า...

   เอ่อ บางทีมันคงเป็นมิตรภาพอันสวยงามของเด็กน้อย อย่าเอาโลกของผู้ใหญ่ไปแปดเปื้อนผ้าขาวสิวะไอ้ตะวัน!

   ปานตะวันกระแอม ตบตีกับสติตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มให้น้องเกล้า ลูบหัวเด็กชายเบาๆ “ดีแล้วครับๆ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไว้นะ แต่ว่าวันนี้น้าตะวันต้องพาหนูเจียกลับบ้านก่อนแล้วล่ะ น้องเกล้ารอคุณแม่มารับเหรอครับ”

   “ผม...เปล่าฮะ”

   คำตอบนั้นทำให้ปานตะวันชะงัก เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำพูดของเด็กชาย “น้องเกล้านั่งรถตู้กลับบ้านเหรอครับ”

   “เปล่าครับ คุณแม่ให้เกล้าเดินกลับบ้านเอง”

   “หา? แล้วบ้านน้องเกล้าอยู่ตรงไหนครับ” ปานตะวันถาม ในใจไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้เด็กขนาดนี้เดินกลับบ้านคนเดียว

   “อยู่ตรง...” พอน้องเกล้าบอกชื่อซอยออกไปปานตะวันก็ถึงกับจิ๊ปาก ซอยนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนก็จริง เดินไปก็ประมาณสิบห้านาทีแต่เป็นซอยที่รถเข้าออกเยอะพอสมควร แล้วนี่ไม่มารับแต่ให้เด็กตัวเท่านี้กลับเอง...คิดอะไรของเขาอยู่นะคนเป็นแม่เด็กเนี่ย

   “แล้วน้องเกล้าจะกลับบ้านตอนไหนครับ น้าตะวันแวะไปส่งเอาไหม”

   เกล้ามีท่าทีลังเล แต่เพราะหนูเจียพูดว่า “เกล้าไปด้วยกันนะๆ ให้น้าตะวันไปส่ง แป็บเดียวถึงบ้าน กลับกับเรานะ” เด็กชายตัวผอมถึงได้ยินยอม

   ปานตะวันเดินเข้าไปคุณครูประจำชั้นพร้อมกับพูดว่า  “ครูครับ เด็กที่เล่นกับหนูเจียเป็นเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาใช่ไหมครับ”

   “ใช่ค่ะ ชื่อน้องเกล้า ทำไมหรือคะ”

   “คือ...แกบอกว่าแม่แกให้เดินกลับบ้านเอง แล้วซอยบ้านแกรถเข้าออกเยอะด้วย ผมเลยเป็นห่วงว่าจะพาไปส่งที่บ้านน่ะครับ”

   คุณครูที่สีหน้าไม่แน่ใจ “แกว่างั้นหรือคะ”

   “ใช่ครับ ได้หรือเปล่าครับ”

   “ดูเหมือนว่าน้องเกล้าจะไม่ได้กลับกับรถตู้โรงเรียนเสียด้วยสิคะ ครูก็ไม่รู้ว่าคุณแม่เขาจะมารับหรือเปล่า”

   “ไม่ได้บอกไว้เหรอครับ”

   “ไม่ค่ะ เมื่อเช้าน้องเกล้ามากับมอเตอร์ไซค์วินค่ะ”

   ปานตะวันกับคุณครูมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กชายคนนี้ดี ถ้าคุณครูให้เด็กเดินกลับเองแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นคุณครูและโรงเรียนจะต้องถูกกล่าวหาแน่นอนว่าประมาท ปล่อยเด็กตัวเท่านี้กลับเองทั้งที่ไม่สมควร แต่ถ้าฝากไปกับปานตะวัน...คุณครูประจำชั้นคนใหม่ก็ไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่ายที่ดูเป็นเด็กวัยรุ่นเท่าไหร่

   “ผมจะส่งน้องเกล้าให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยครับ คุณครูไม่ต้องกังวล” ปานตะวันรับรองกับคุณครู อีกฝ่ายยกมือกุมแก้มแล้วถอนหายใจ

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”

   ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กร้องไห้แผดดังไปทั้งสนามเด็กเล่น ปานตะวันกับคุณครูสะดุ้ง หันกลับไปมองก็พบเด็กชายคนหนึ่งนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ที่ข้อศอกเป็นแผลจนเลือดออก ตรงหน้ามีน้องเกล้ายืนจังก้าอยู่ เจียหลินหลบอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย คิ้วของเกล้าขมวดมุ่น ท่าทางน่ากลัว

   “ตายแล้วน้องน็อต เกิดอะไรขึ้นคะลูก”

   หญิงสาวคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นแม่เด็กที่ล้มอยู่กับพื้นร้องขึ้น หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหาลูกชาย กระเป๋าถือราคาแพงที่คล้องแขนอยู่แกว่งไกว

   “แย่แล้ว” ปานตะวันพึมพำกับตัวเอง รีบวิ่งไปหาหลานชายตัวเองบ้าง

   “น้องน็อต เกิดอะไรขึ้นลูก ใครทำอะไรหนูไหนบอกแม่สิคะ”

   เด็กชื่อน็อตสะอึกสะอื้น น้ำตาร่วงผล็อยๆ “เกล้า...ฮึก...ฮือ...เกล้าผลักน็อต” นิ้วเล็กชี้ไปที่เกล้าที่ยืนหน้าซีดอยู่ หญิงสาว
คนนั้นประคองลูกชายหล่อนให้ลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามเสื้อและกางให้พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดที่ข้อศอกลูกชาย จากนั้นดวงตาสวยซึ้งใต้แพขนตาหนาก็ตวัดมามองเด็กชายอีกคนทันที หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น มือบางคว้าแขนเด็กชายแล้วกระชากอย่างแรงทันที

   “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง!”

   “เฮ้ยคุณ ใจเย็นครับ”

   ปานตะวันที่เห็นท่าไม่ดีรีบแยกหญิงสาวคนนั้นกับน้องเกล้าออกจากกัน คุณครูก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”

   “จะให้ใจเย็นได้ยังไงคะ! คุณครูดูสิ เด็กนี่ผลักลูกชายฉันจนล้มนะคะ! ทำไมก้าวร้าวแบบนี้”

   เสียงตวาดแหวของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ปานตะวันปวดหัวจี๊ด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” จะพูดไปว่าคุณเองก็ไม่ควรใช้กำลังกับเด็กก็คงเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ เดี๋ยวจะได้ไปกันใหญ่

   ปานตะวันก้มลงไปหาน้องเกล้าที่ยืนนิ่ง ไม่หลบตาใคร ไม่ร้องไห้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องเกล้าครับ น้องเกล้าผลักเพื่อนจริงๆ เหรอครับ”

   เกล้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่ฮะ เกล้าทำเอง”

   “เห็นไหมล่ะ!”

   ปานตะวันเมินหญิงสาวคนนั้น แล้วถามต่อ

   “น้องเกล้าทำแบบนั้นทำไมครับ”

   “น็อตแกล้งเกล้ากับเจียก่อน”

   “ไม่จริง..ฮึก...น็อต...น็อตไม่ได้ทำ” ปานตะวันมองเด็กที่ชื่อน็อต เจ้าตัวปฏิเสธแต่กลับก้มหน้า เสียงเบา ไม่ยอมสบตาใครแล้วก็เอาแต่เบียดเข้าหาแม่ “น็อตแค่จะเข้ามาเล่นด้วย แล้วเกล้าก็ไม่ยอม เกล้าผลักน็อต”

   “ไม่จริงนะครับน้าตะวัน น็อตเข้ามาล้อเลียนเกล้าต่างหาก ทำท่าจะต่อยเจียด้วย เกล้าเห็นเลยผลักน็อต” เจียหลินที่เงียบมานานเอ่ยปากพูดขึ้นบ้าน ดวงตากลมๆ หันไปมองน็อตอย่างไม่ชอบใจ “น็อตขี้โกหก”

   “นี่ เธอสอนลูกยังไงถึงได้มาพูดแบบนี้กับคนอื่นน่ะฮะ!” หญิงสาวคนนั้นทนไม่ไหว เงยหน้ามาแว้ดใส่ปานตะวัน ทำเอาชายหนุ่มหงุดหงิดขึ้นมาที่อีกฝ่ายเอาแต่โวยวาย เขาอุตส่าห์พูดดีๆ แล้วนะ

   “เด็กนะคุณ เขาไม่รู้เรื่องหรอก แล้วก็นะครับผมว่าเรามาคุยกันดีๆ เถอะ ถ้าสิ่งที่หนูเจียพูดเป็นจริง ลูกชายคุณก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ” แถมยังอันธพาลด้วย

   “ลูกชายฉันเป็นเด็กดี ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก!” อีกฝ่ายพูด จิกตาใส่ปานตะวัน “อีกอย่างลูกเธอกับเด็กนี่ก็เพื่อนกัน จะเข้าข้างกันก็ไม่แปลก”

   คราวนี้ปานตะวันเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว หญิงสาวตรงหน้าไม่เพียแต่ไม่ฟังเหตุผล พูดจาเหมือนหนูเจียโกหกแล้วยังแสดงท่าทางไม่ดีต่อหน้าเด็กอีกด้วย ชายหนุ่มดันเด็กชายทั้งคู่มาข้างหลังตัวเอง สีหน้าที่เคยเป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “งั้นเราถามเด็กคนอื่นดีไหมครับว่าใครทำอะไรยังไง”

   คุณครูที่ต้องการแก้สถานการณ์อันเลวร้ายนี้พยักหน้าเห็นด้วย เธอหันไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนเกาะโซ่ชิงช้าอยู่ไม่ไกล

   “น้องแพรวคะ หนูเห็นหรือเปล่าว่าใครแกล้งใครก่อน”

   เด็กหญิงคนนั้นพยักหน้า ตอบด้วยเสียงฉะฉานว่า “แพรวเห็นน็อตแกล้งเจียกับเกล้าก่อนค่ะคุณครู ทำท่าจะต่อยด้วยค่ะ”

   เพียงเท่านี้ปานตะวันก็หันมามองหน้าหญิงสาวอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ว่าไงครับ ผมว่าเท่านี้เราก็รู้แล้ว เด็กคนนี้คงไม่ได้
โกหกหรอกครับ หรือถ้าคุณยืนยันจะเชื่อว่าลูกคุณถูกแต่เด็กคนอื่นโกหก คุณก็ควรพิจารณานิสัยลูกคุณได้แล้วนะครับ”

   “นี่เธอพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง นิสัยแบบนี้ไงลูกเธอถึงได้ก้าวร้าวแบบนี้ อีกอย่างนะ น้องน็อตก็แค่อยากเล่นด้วยแต่เด็กเกล้านี่ผลักลูกฉันซะได้แผล ยังไงคนผิดก็คือเด็กคนนี้ และฉันต้องการคำขอโทษ!”

   ปานตะวันนึกอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปดสักล้านรอบ นึกถึงคำพูดที่ว่าลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนขึ้นมาทันที

   แต่จะให้ต่อความยาวสาวความยืดตรงนี้ก็น่ารำคาญเกินไป

   อีกอย่างน้องเกล้าก็ผลักเด็กคนนั้นจนล้มจริง น้องเกล้าควรขอโทษอันนี้ปานตะวันไม่เถียง แต่เด็กคนนั้นก็ควรขอโทษเหมือนกัน

   ชายหนุ่มถอนหายใจ ยอมถอยออกมา ไม่ใช่ยอมแพ้แต่เขาไม่อยากให้ใครมองน้องเกล้าว่าก้าวร้าวมากไปกว่านี้

   “น้องเกล้าครับ ขอโทษคุณแม่น้องน็อตเร็ว”

   “เกล้าขอโทษฮะ” เด็กชายพนมมือไหว้แต่โดยดี หญิงสาวคนนั้นรับไหว้ด้วยสีหน้าตึงๆ จากนั้นก็จูงมือลูกชายเดินจากไป
“ไปกันเถอะลูก คราวหลังน็อตก็ไม่ต้องไปเล่นกับเด็กสอนคนนี้แล้วนะ อยู่ให้ห่างๆ เลยนะลูก เด็กเกเรแบบนี้ ผู้ปกครองก็เหลือเกิน เป็นวัยรุ่นแบบนี้เลยไม่มีมารยาท สอนลูกสอนหลานให้ไม่มีมารยาทไปตามๆ กัน”

   อ้าวเฮ้ย!

   ปานตะวันหันไปถลึงตาไล่หลังอีกฝ่าย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ชายหนุ่มลูบหัวหนูเจียไปพลาง ดวงตาสีน้ำตาลมองเด็กชายเกล้าไปพลางอย่างสับสน

   เด็กคนนี้ดูว่าง่าย เงียบๆ และเรียบร้อย ไม่น่าใช่เด็กหัวรุนแรงหรือชอบใช้กำลังเลย

   บางอย่างในตัวเกล้าทำให้ปานตะวันรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกคาใจอย่างบอกไม่ถูก

   ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าสี่โมงกว่าจะห้าโมงแล้ว ราเมศโทรมาหาสามสายแต่เขามัวเถียงกับผู้หญิงคนนั้น
อยู่เลยไม่รู้ตัว

   “จบเรื่องแล้ว งั้นผมพาเจียหลินกลับบ้านเลยนะครับ” ปานตะวันหันไปพูดกับคุณครู หญิงสาวยิ้มเจื่อน ยกมือรับไหว้เขา “เอ้อ แล้วผมก็ขอพาน้องเกล้ากลับบ้านด้วยเลยแล้วกันนะครับ”

   “อ๊ะ..ค่ะ แต่ว่าพอส่งแล้วรบกวนโทรมาบอกครูด้วยนะคะ”

   “ครับ”

   ปานตะวันบันทึกเบอร์คุณครูเอาไว้ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ มือซ้ายขวาจูงเด็กชายทั้งสองคนล่ะข้างแล้วเดินออกจาก
โรงเรียนไปโดยไม่สนสายตาใครรู้ของผู้ปกครองคนอื่น

   ซอยบ้านของเกล้าเมื่อขี่รถไปก็ใช้เวลาไม่นาน แต่บ้านของเด็กชายอยู่ค่อนข้างลึก เกือบสุดซอย รถราก็เยอะแยะ ทำให้ปานตะวันรู้ว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่มาส่งเด็กคนนี้

   “น้าตะวัน บ้านหลังนี้แหละครับ”

   รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กจอดหน้าบ้านสองชั้นเก่าๆ ประตูรั้วสีเขียวขึ้นสนิมเปิดอยู่เล็กน้อย หน้าบ้านมีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่คันหนึ่ง พร้อมกับกองเศษเหล็กเก่าๆ และตั้งหนังสือการ์ตูนเก่าขาด แว่วเสียงโครมครามด่าทอดังมาจากในบ้าน ปานตะวันหันมา
มองเกล้าที่ปีนลงจากเบาะด้วยสายตาไม่แน่ใจ

   “ที่นี่แน่หรือเกล้า”

   “ถูกแล้วฮะ ขอบคุณน้าตะวันมากเลยนะฮะที่มาส่ง” เด็กชายยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ มือเล็กๆ ยกมือโบกให้หนูเจียด้วย
“บ๊ายบายนะเจีย เจอกันพรุ่งนี้”

   “อื้ม เจอกันพรุ่งนี้นะเกล้า”

   ปานตะวันรอจนเกล้าเดินเข้าบ้านไป ไม่นานชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงด่าดังลั่น

   “กลับมาแล้วเหรอไอ้เกล้า เย็นขนาดนี้แล้ว มึงไปเถลไถลที่ไหนมา!”

   ปานตะวันกัดริมฝีปาก ตัดสินใจออกรถทันที ทิ้งเสียงขว้างปาข้าวของและคำด่าทอหยาบคายไว้เบื้องหลัง

   เมื่อกลับถึงบ้านปานตะวันก็พบว่าเขารวบรวมสมาธิไม่ได้เลย สมองมันพาลไปคิดถึงเกล้าและเรื่องวันนี้ ชายหนุ่มเงียบจนราเมศสังเกตได้ หลังส่งหนูเจียเข้านอนเรียบร้อยราเมศจึงดึงตัวปานตะวันมาคุย

   “วันนี้มีอะไรหรือเปล่า”

   ปานตะวันช้อนตามองราเมศ กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจแล้วก็ตัดสิจนใจเล่าออกมา

   “วันนี้หนูเจียเจอเพื่อนใหม่แล้วกำลังจะโดนเพื่อนในห้องแกล้ง เพื่อนใหม่เลยผลักเด็กนั่นล้ม ศอกเป็นแผล แม่เด็กโวยวายใหญ่ ด่าตะวันด้วย” ท้ายเสียงพูดอย่างขุ่นใจ ราเมศเห็นแมวแสบของเขาเริ่มทำหน้ายุ่งก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ จูบลงที่หว่างคิ้ว
เบาๆ

   “มาว่าตะวันเป็นวัยรุ่นเลยเลี้ยงหลานไม่ดีด้วยนะ มนุษย์ป้าเอ๊ย อยากจะด่าให้ว่าผมเลี้ยงหลานดีกว่าป้าอีก!”

   “พี่รู้”

   ปานตะวันฮึดฮัดแต่ก็เริ่มใจเย็นลงทีละน้อย แต่กระนั้นสีหน้าก็ยังคงแฝงความกังวลอยู่ ราเมศที่รับรู้ได้ก็ถามขึ้นอีก “แล้วยังกลุ้มใจอะไรอีก”

   “รู้ได้ไง”

   “ดูหน้าก็รู้แล้ว” ราเมศลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “ปรึกษาพี่ได้นะ มีอะไรหรือเปล่า”

   “ก็...ไม่เกี่ยวกับตะวันหรอก แต่มันกังวล” แล้วปานตะวันก็เล่าให้ราเมศฟังถึงเสียงที่เขาได้ยินในบ้านเกล้าและเรื่องที่แม่เด็กชายฝากลูกมากับวินมอเตอร์ไซค์ตอนเช้าและให้เดินกลับเองตอนเย็น

   “เขาดูไม่สนใจลูกเลย แถมยังพูดจาหยาบคายกับลูกอีก” ผู้ปกครองแบบนี้ใช่ว่าไม่มี แต่ยังไงมันก็ไม่ดีกับเด็ก “ผมกังวล”

   “พี่รู้ แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้...เพราะมันเป็นเรื่องในครอบครัวเขา”

   “ตะวันรู้ แต่มันอดไม่ได้นี่นา เห็นแล้วสงสาร ตะวันว่าพอรู้แล้วล่ะว่าทำไมเด็กเรียบร้อยแบบนั้นถึงผลักคนอื่นล้ม บางทีเขาอาจโดนกระทำแบบนี้บ่อยจนร่างกายมันปกป้องตัวเองไปโดยอัตโนมัติก็ได้นะ”

   “ก็อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่” ราเมศตอบกลางๆ เรายังฟันธงอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และปาน ตะวันก็รู้จักเด็กคนนั้นได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เรียกได้ว่ารู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น

   “เอาเถอะ วันนี้พอก่อน อย่าเพิ่งเครียดเลย” ราเมศปลอบ “มานอนเถอะ”

   ราเมศจูงมือลูกแมวหน้ายุ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างแผ่วเบา คืนนี้พวกเขาลงมานอนบนฟูกที่ปูอยู่ข้างเตียงเพราะราเมศตก
ลงจะค้างด้วย

   ภายในห้องมืดสนิท พวกเขาทั้งสองซุกตัวลงในผ้านวมข้างกัน ราเมศดึงปานตะวันมากอด เจ้าลูกแมวตัวเล็กซุกตัวเข้าหาเขา ราเมศยิ้ม ลูบหลังลูบหัวอีกฝ่าย ปลอบให้หายคิดมาก

   “นอนซะเจ้าแมวแสบ ไม่ต้องกังวล พี่ไม่ให้ใครมาทำอะไรเรากับหลานหรอก” จุมพิตอุ่นประทับลงที่หน้าผากเนียน “ฝันดีนะ”

   “ฝันดีครับพี่เมศ

   ปานตะวันพึมพำตอบกลับก่อนที่จะปล่อยใจให้จมลงไปในห้วงนิทราแสนอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบกาย

****************************************************

มาอัพแล้วค่าาาา หลังจากห่างหายไปนาน ตอนนี้มีเด็กน้อยเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนแล้ว เรื่องนี้เหมือนโชตะเลยค่ะ 5555
ตอนนี้ความสัมพันธ์พี่เมศกับน้องตะวันก็ยังเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่รู้ทำไมเรากลับชอบอะไรแบบนี้
มันดูน่ารัก สบายๆ ไม่หวือหวาแต่โซคิ้วท์ 55555 ชอบมากกก

ส่วนคนอื่นๆ อ่านแล้วรู้สึกยังไงบอกเราได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน
สามารถติดตามและหลังไมค์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สภาพแวดล้อมที่น้องเกล้าอยู่น่าจะไม่โอเคแน่ๆ เลย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สงสารเกล้านะ สภาพแวดล้อมครอบครัวทำให้เกล้าแสดงออกแบบนั้น

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
สงสารน้องเกล้าจังลูกเอ้ย  :mew4:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สภาพแวดล้อมของน้องเกล้าแบบนี้น่ากลัวจัง แต่ดีที่น้องเขาดูไม่ก้าวร้าว

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
สงสารเกล้านะ แต่จะช่วยยังไงล่ะเนี่ย TT

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
สนุก น่ารักดี เพิ่งเข้ามาอ่าน

มีบางมุมดูแปลกๆ เมศเปิดร้านอาหารแถมตะวันเป็นพนักงาน แต่หนูเจียกลับหิวซกหลังเสร็จงาน
ร้านส่วนใหญ่เขามักเลี้ยงอาหารพนักงานนะ

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
น้องเกล้าจะคู่กับน้องเจียรึปล่าวเนี่ย มโนหนักมาก

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ถามแบบไม่รู้ คือ เกล้ามาจากไหน แล้วชีวิตเด็กน้อยต้องเจออะไรอีก

หนูเจียน่ารักมาก เป็นเด็กดีนะลูก

ตะวันพยายามได้ดี ทำต่อไปนะ พี่เมศเป็นแรงใจให้ ราเมศอบอุ่นเวอร์มาก ปลื้ม

กันต์กับหลงคือดี เป็นเพื่อนที่ดี ไม่ทิ้งกัน

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๓
เด็กชายเกล้า II


        หลังเปิดเทอมมาสองอาทิตย์ วันนี้เจียหลินตื่นเช้ากว่าทุกวัน ตอนที่เด็กชายงัวเงียลุกขึ้นนั่ง นาฬิกายังบอกเวลาตีห้าสี่สิบห้าอยู่เลยแต่กระนั้นเจียหลินกลับไม่ล้มตัวลงนอนเหมือนทุกวันแต่กระเด้งตัวลุกขึ้นมาแล้วก็แอบย่องออกไปเตียง วิ่งจี๋ไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปโรงเรียน
   
        หนูเจียยิ้มแก้มพอง อารมณ์ดีตั้งแต่เช้า ปกติเด็กชายไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ แต่วันนี้หนูเจียอยากตื่นไปโรงเรียนเร็วๆ เพื่อไปเล่นกับน้องเกล้าต่างหาก! “หนูเจียหลินมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว เมี๊ยว เมี๊ยววว” เสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีดังไปทั่วห้องน้ำ เจียหลินพยายามอาบน้ำให้สะอาดตามที่คุณน้าสอน เด็กชายคิดไปว่าพอเขาอาบน้ำเสร็จก็จะไปปลุกคุณน้าตะวันด้วย แต่ตอนนี้ให้นอนไปก่อน
   
        น้าเมศบอกหนูเจียว่าน้าตะวันเหนื่อยมากๆ ในแต่ละวัน เพราะต้องดูแลหนูเจียแล้วก็ต้องทำงานไปด้วย ดังนั้นหนูเจียจะต้องเป็นเด็กดี ว่าง่ายๆ น้าตะวันจะได้ไม่ลำบากมากจนเกินไป
   
        เด็กน้อยวิ่งเดินออกจากห้องน้ำ ผ้าขนหนูลากเป็นทางยาวเพราะเจ้าตัวพันไม่แน่นแต่หนูเจียไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เด็กชายเดินไปหยิบเอาชุดนักเรียนออกมา เดี๋ยวนี้หนูเจียใส่ชุดนักเรียนเองได้แล้ว ไม่ต้องให้น้าตะวันคอยช่วยแล้วด้วย!
   
       เจียหลินมองเงาตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ไม่ได้ติดกระดุมผิดเม็ดแล้วก็เอาเสื้อใส่ในกางเกงได้เรียบร้อยดี
   
       เห็นมั้ยล่ะ หนูเจียเก่งจะตาย น้าตะวันตื่นมาต้องตกใจแน่เลย
   
       เจียหลินวิ่งไปทางห้องนอน ภายในห้องยังมืดสนิท แอร์เปิดเย็นฉ่ำ น้าตะวันของหนูเจียยังคงซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่ม หลับสบายน่าดู...แต่ก็อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ
   
       “น้าตะวันนน” หนูเจียร้อง กระโดดเด้งอยู่บนเตียงแล้วก็ล้มตัวไปกอดน้าชายของตน เขย่าไปมา “น้าตะวันตื่นเร็วๆ เช้าแล้วน้า”
   
       “อืม หนูเจีย อะไรกันเนี่ย”
   
       ปานตะวันครางเบาๆเมื่อร่างกายถูกเขย่าและความสงบถูกบุกรุกด้วยน้ำเสียงสดใสของหลานชาย หือ...น้ำเสียงสดใส?
   
       ปานตะวันที่สติเริ่มกลับมาครบถ้วนฝืนงัดเปลือกตาขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มหันไปหาหลานชายของตน ในขณะที่กำลังจะถามว่าวันนี้ทำไมตื่นเช้าจังชายหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าไม่ใช่แค่ตื่นเช้าแต่หนูเจียของเขายังอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วด้วย!
   
       ปานตะวันเบิกตาโตอย่างงุนงง “หนูเจีย วันนี้มีงานอะไรที่โรงเรียนเหรอครับ”
   
       หนูเจียเอียงคอมองน้าตะวันก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีคับ”
   
       “แล้วทำไมตื่นเช้าจัง” หวา เพิ่งหกโมงเอง ปกติกว่าจะงัดหลานชายออกจากเตียงได้นี่ก็หกโมงสิบห้าเข้าไปแล้ว แถมวันนี้หนูเจียยังทำท่ากระตือรือร้นจะไปโรงเรียนอีก ปกติถึงจะไม่ได้งอแงไม่อยากไปโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้อารมณ์ดีดี๊ด๊าขนาดนี้
   
       “หนูเจียอยากไปโรงเรียนเร็วๆ อยากไปเล่นกับเกล้าคับ”
   
       “อ๋อ” ปานตะวันลากเสียงยาว หนูเจียได้เพื่อนใหม่แล้วนี่นะจะอยากไปเล่นด้วยกันเร็วๆ ก็ไม่แปลกหรอก
   
       หลังจากวันที่เจอเกล้าครั้งแรกแล้วปานตะวันไปมีปัญหากับผู้ปกครองคนหนึ่งเข้านี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างปกติดี ทุกครั้งที่ปานตะวันไปรับเจียหลินที่โรงเรียนก็มักจะเห็นเจียหลินกับเกล้าอยู่ด้วยกันเสมอ กลายเป็นคู่แฝดตัวติดกันไปเรียบร้อย เจียหลินดูจะชอบเพื่อนใหม่คนนี้มากจริงๆ ถึงขนาดยอมตื่นเช้าเพื่อให้มีเวลาเล่นด้วยกันให้นานขึ้น
   
       “งั้นหนูเจียรอน้าตะวันแป็บนึงนะครับ ขอน้าตะวันอาบน้ำแต่งตัวก่อน” ปานตะวันลุกขึ้น เจียหลินขยับตัวช่วยชายหนุ่มพับผ้าห่มอย่างคล่องแคล่ว
   
        “ได้คับ น้าตะวันให้หนูเจียไปปลุกน้าเมศไหม”
   
        “อื้ม เอาสิ ฝากด้วยนะ”
   
        เด็กชายในชุดนักเรียนพยักหน้าอย่างขันแข็ง ปานตะวันจึงหยิบกุญแจดอกหนึ่งส่งให้พร้อมกับกำชับหลานชาย “ถือดีๆ อย่าให้หายนะครับ”
   
       “รับทราบคับผม!”
   
       หนูเจียรับคำเสียงใสก่อนจะวิ่งดุ๊กๆ หายไป ปานตะวันอมยิ้มก่อนจะนึกไพล่ไปถึงกุญแจที่เจียหลินถือไป กุญแจที่เขาต้องกำชับดีๆว่าอย่าทำหายเพราะมันสำคัญมาก
   
       นั่นเป็นกุญแจบ้านของราเมศ...เป็นกุญแจดอกสำรองที่อีกฝ่ายให้เขาเก็บไว้
   
       ‘แลกกัน’ ราเมศพูดง่ายๆ ตอนที่ส่งกุญแจมาให้ปานตะวัน ชายหนุ่มรับไปดูอย่างงุนงง ‘กุญแจอะไรเนี่ยพี่ แล้วเอามาให้ผมทำไม’
   
        ราเมศจ้องหน้าปานตะวันนิ่งหากแต่ดวงตาสีนิลกลับฉายประกายวิบวับ
   
        ‘กุญแจบ้าน’
   
        ‘ของใคร’
   
        จะพูดก็ไม่พูดให้หมดด้วยนะ จะขยักไว้ทำไมก็ไม่รู้ ปานตะวันบ่นในใจแต่แล้วพอเห็นอาการเลิกคิ้วกับแววตาประมาณว่าที่ถามนี่ได้คิดหรือเปล่าของราเมศแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตัวเองต่างหากที่ถามอะไรงี่เง่า
   
        ราเมศจะเอากุญแจบ้านคนอื่นมาให้เขาทำไมเล่า ปัดโธ่!
   
        ‘กุญแจบ้านพี่’ คนพูดน้อยยอมตอบให้พร้อมกับคลี่รอยยิ้มขบขัน
   
        ‘อ...เอามาให้ตะวันทำไม’
   
        ราเมศกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ หย่อนระเบิดลงมาตูมใหญ่ให้ปานตะวันเขินจนอยากมุดดินหนี
   
        ‘แล้วพี่ให้กุญแจบ้านกับแฟนมันผิดตรงไหนล่ะ?’
   
        นั่นแหละ...หลังจากนั้นก็ปานตะวันเลยเอากุญแจสำรองของบ้านตัวเองให้อีกฝ่ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไรบ่อยหรอกเพราะส่วนใหญ่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว มีแค่วันนี้นี่แหละที่ปานตะวันให้หลานไปปลุกราเมศตื่นก่อนเวลา อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากกวนราเมศนักหรอก แต่คนตัวโตยืนกรานว่ายังไงหน้าที่ไปส่งเจียหลินตอนเช้าก็ขอให้เป็นของเขา ปานตะวันเลยได้แต่เลยตามเลย
   
        มื้อเช้าระหว่างสามคนน้าหลานเป็นไปอย่างสงบ ราเมศก็อารมณ์ดีเพราะออกเช้ากว่าทุกวันทำให้รถไม่ติดมากตอนที่ถึงหน้าโรงเรียน
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ หนูเจียไปแล้วน้า”
   
       “ให้น้าลงไปส่งไหม”
   
       ปานตะวันถามพลางส่งกระเป๋าให้หลานชาย
   
       “ไม่เอาคับ หนูเจียโตแล้วน้า” เจียหลินพองแก้ม พอเห็นรถเคลื่อนเข้าใกล้ประตูโรงเรียนเด็กชายก็ยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มปานตะวันกับราเมศคนละทีแล้วก็เปิดประตูกระโดดลงจากรถไป
   
       คุณครูที่ยืนอยู่ตรงประตูเดินยิ้มมาจูงมือหนูเจียเข้าโรงเรียน เด็กชายรีบเดินไปที่ห้อง ตอนนี้ในห้องมีคนอยู่แค่สามคนคือคุณครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วยแล้วก็...
   
       “เกล้า!”
   
       เจียหลินทักเพื่อนอย่างดีใจ ก่อนเข้าห้องก็ไม่ลืมถอดรองเท้าแล้วก็ยกมือไหว้คุณครูอย่างเรียบร้อย
   
        “เจียมาเช้าจัง” เกล้าเอ่ยทักเมื่อหนูเจียวางกระเป๋าลงตรงที่นั่งข้างๆ เขา เจียหลินยิ้มกว้างให้เพื่อนใหม่ก่อนพูดว่า “ก็เราอยากมาเล่นกับเกล้านี่นา แต่นี่ขนาดเราตื่นเช้าแล้วนะเกล้ายังมาเช้ากว่าเราอีก”
   
        แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้ทุกวันด้วย เจียหลินสังเกตว่าเกล้าจะมาก่อนเขาเสมอแล้วก็กลับทีหลัง แต่ไม่นานมานี้เด็กชายได้ยินคุณครูประจำชั้นคุยกันว่าเกล้ามาเป็นคนแรกและกลับคนสุดท้ายตลอด วันนี้เจียหลินถึงได้ตื่นแต่เช้ามาที่โรงเรียนเพื่อมาเล่นเป็นเพื่อนอีกฝ่าย
   
        ไม่รู้หนูเจียคิดไปเองหรือเปล่านะ...แต่ท่าทางของเกล้าดูเหงาๆ ยังไงก็ไม่รู้
   
        “ทำไมเกล้าถึงได้มาโรงเรียนเช้าทุกวันเลยล่ะ คุณพ่อ คุณแม่ตื่นเช้าเหรอ”
   
        เจียหลินชวนคุย มือก็หยิบเอาตัวต่อไม้สีสดใสมาวางเรียงกันทำให้ไม่ทันเห็นว่าแววตาของเพื่อนสนิทวูบไหว เกล้าเม้มริมฝีปากก่อนจะตอบว่า
   
         “เปล่าหรอก เราแค่ไม่อยากอยู่บ้านน่ะ”
   
         “หือ”
   
        เด็กชายผิวขาวเงยหน้าจากตัวต่อ หนูเจียเอียงคอ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนไม่อยากอยู่บ้านด้วย หนูเจียยังอยากอยู่บ้านอ้อนน้าตะวันกับน้าเมศเยอะๆ เลย
   
        “ทำไมไม่อยากอยู่บ้านล่ะ”
   
        “ก็ที่บ้านไม่มีใครรักเราเลยนี่นา” เกล้าเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เจียหลิน “เราเลยชอบที่โรงเรียน เพราะอยู่ที่โรงเรียนเรามีเจียไง”
   
        สำหรับเด็กชายเกล้า สิ่งที่เขาพูดไม่ได้เกินจริงเลย เขาชอบอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน
   
        อยู่ที่โรงเรียนเขากินอิ่ม อยู่ที่โรงเรียนไม่มีใครมาตวาดใส่เขา และอยู่ที่โรงเรียนเขาจะได้เจอเจียหลิน คนที่ยิ้มให้เขา พูดดีด้วยแล้วก็คอยมาชวนเขาที่มักนั่งหลบอยู่เงียบๆ คนเดียวออกไปเล่นด้วยกัน
   
        อยู่ที่โรงเรียน...เขาไม่เคยเหงาเลย
   
        เจียหลินแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่าไหร่แต่ก็ยิ้มกว้างจนตาหยีให้...เป็นยิ้มที่เหมือนกับแสงอาทิตย์อุ่นๆ ยามเช้า ทำให้คนมองรู้สึกดี
   
       “เจียอยากมาโรงเรียนเพราะอยากเล่นกับเกล้าเหมือนกัน!”
   
       ไม่นานเพื่อนๆ คนอื่นก็ทยอยมา บางคนผู้ปกครองก็อุ้มมาส่งถึงหน้าห้อง บางคนก็หอมแก้มกอดลากันอยู่นานกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะตัดใจไปทำงานได้ เกล้ามองตามคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่ปิดประกายอิจฉาเอาไว้ไม่มิดแต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไปเมื่อหนูเจียหันมาชวนเขาคุย
   
        เกล้าเท้าคาง ฟังหนูเจียเล่านู่นเล่านี่ไปอย่างมีความสุข
   
        เด็กชายไม่รำคาญหรอกเวลาหนูเจียมาชวนคุย ถึงเขาจะเป็นฝ่ายนั่งฟังเสียส่วนใหญ่ก็เถอะ ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะเวลาอยู่ที่บ้านไม่มีใครพูดกับเขาเลยนี่นา
   
        ถ้าไม่ตะคอกใส่ก็เมินเฉยกันไปเลย...ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของเขาเลยด้วยซ้ำ
   
        ไม่มีเลย...สักคนเดียว...ยกเว้นเจียหลิน
   
        เมื่อถึงคาบเรียนที่สามซึ่งเป็นวิชาศิลปะ คุณครูให้ทุกคนนั่งรวมกันเป็นกลุ่มแล้ววาดรูประบายสีลงในกระดาษตามหัวข้อที่กำหนด ตอนแรกไม่มีใครเดินเข้ามาจับกลุ่มกับเกล้าหรอกหากแต่เจียหลินใช้มือเล็กๆ ของหนูเจียคว้ามือเกล้าเอาไว้แล้วก็พาไปหาเพื่อนกลุ่มนึงที่คนยังไม่ครบ
   
        “เราขออยู่ด้วยนะ” เจียหลินพูดพลางยิ้มให้เพื่อนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ซึ่งทุกคนก็ขยับที่ให้ ยกเว้นน็อต คู่กรณีเก่าที่เพิ่งมีปัญหากันไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนแต่เจียหลินก็ไม่ได้สนใจ เด็กชายทรุดตัวลงนั่ง ดึงให้เกล้าที่ยืนลังเลอยู่นั่งลงข้างๆ กัน คุณครูแจกกระดาษเอสี่สีขาวให้แล้ว
   
       “เอาล่ะค่ะ หลังจากนี้ขอให้ทุกคนวาดรูปเป็นรุปอะไรก็ได้นะคะ ตามแต่จะนึกออกเลย กำหนดส่งภายในคาบ ลงมือได้ค่ะ”
   
       สิ้นเสียงของคุณครูเด็กแต่ละคนก็เริ่มหยิบเอากล่องดินสอออกมา หนูเจียก็เช่นกัน เด็กชายหยิบเอากล่องดินสอสีฟ้าลายซุปเปอร์ฮีโร่ที่น้าตะวันซื้อให้ก่อนเปิดเทอมใหม่ออกมา ภายในมีดินสอไม้กับกบเหลาลายน่ารักและยางลบวางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ
   
       เจียหลินเลือกดินสอออกมาแท่งหนึ่งแต่ในตอนที่เขาจะเริ่มวาดนั้นเองดวงตากลมก็เหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทข้างๆตนใช้ดินสอเปลี่ยนไส้ที่ตอนนี้ไส้ทู่จนน่าจะเปลี่ยนได้แล้ว
   
        “เกล้าไม่เปลี่ยนไส้เหรอ มันทู่หมดแล้วนะ”
   
        พอเจียหลินทักเกล้าก็เงยหน้ามายิ้มให้แล้วพูดว่า “มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทุกอันนั้นแหละ” เด็กชายเปลี่ยนไส้อันใหม่ให้เพื่อนดู เจียหลินเห็นว่าไส้ดินสอก็ทู่ไม่ต่างกับไส้ก่อนหน้านี้เลย
   
        “ไม่มีแท่งอื่นแล้วเหรอ”
   
        “เรามีแท่งนี้แท่งเดียว”
   
        เจียหลินมองไปที่กล่องดินสอพลาสติกเก่าๆ ของเพื่อนแล้วก็พบว่ามันมีแค่ยางลบก้อนเล็กๆ อยู่อีกก้อนเดียวเท่านั้น
   
       “ทำไมมีแค่แท่งเดียวล่ะ” คำถามนี้เจียหลินไม่ได้เป็นคนพูดหรอกแต่เป็นน็อตต่างหาก “ทำไมไม่ซื้อใหม่ ไม่เตรียมพร้อมเลย คุณแม่สอนว่าเราต้องเตรียมพร้อมก่อนจะมาโรงเรียน”
   
         “คุณพ่อไม่ได้ให้เงินเราไปซื้อใหม่” เกล้าตอบเสียงเบา ส่วนน็อตก็หยิบเอากล่องดินสอกล่องใหญ่ที่พอเปิดออกแล้วมีสองชั้นพร้อมกบเหลาดินสอในตัวขึ้นมา ทำทีเป็นอวดเพื่อนรอบโต๊ะ “นี่ดูสิ อันนี้คุณแม่เราซื้อให้ก่อนเปิดเทอม กดตรงนี้แล้วมีไฟด้วยนะ”
   
       “โอ้โห”
   
       เสียงฮือฮาพร้อมกับอาการตื่นเต้นกับของใหม่ดังขึ้นรอบโต๊ะ เกล้าขมวดคิ้วมองน็อตด้วยแววตาไม่พอใจ ตอนนั้นเองที่หนูเจียหันมาพูดกับเขาว่า “งั้นเอาของเราไปก็ได้” เจียหลินยิ้ม ส่งดินสอในมือให้เกล้า “เรามีหลายแท่ง น้าตะวันบอกว่าให้แบ่งเพื่อนใช้” ว่าแล้วก็หยิบยางลบก้อนใหญ่ของตัวเองมา เอาไม้บรรทัดหั่นแบ่งยางลบเป็นสองก้อน “อันนี้ของหนูเจีย อันนี้ของเกล้านะ”
   
        ว่าแล้วก็ส่งยิ้มตาใสให้เพื่อนไปอีกหนึ่งทีก่อนจะกลับไปวาดรูปต่อ เกล้าเม้มริมฝีปาก เด็กชายมองดินสอในมือสลับกับเพื่อนตัวเล็กข้างๆ แล้วก็พึมพำออกมา
   
        “ขอบคุณนะ”
   
        เด็กชายหันกลับมา จรดปลายดินสอที่แหลมกว่าแท่งเก่าของตัวเองมากลงไปบนกระดาษสีขาว ชั่วครู่หนึ่งที่เขานึกไม่ออกว่าจะวาดอะไรดีแต่แล้วเมื่อสายตาเบนไปมองดินสอไม้ในมือ มุมปากเล็กๆ ก็ผุดรอยยิ้มออกมา
   
        เจียหลินใช้เวลาไม่นานก็วาดรูปเสร็จเรียบร้อย เด็กน้อยกำลังก้มหน้าก้มตาระบายสีท้องฟ้าในกระดาษของตัวเองอย่างขะมักเขม้น เด็กชายแบ่งสีกับเกล้าที่ไม่มีสีเป็นของตัวเอง เจียหลินฮัมเพลงเมื่อระบายสีท้องฟ้าเสร็จ เหลือแต่พระอาทิตย์ดวงโตกลางหน้ากระดาษเท่านั้นที่ยังไม่ได้ระบาย แต่แล้วมือที่เอื้อมหยิบสีในกล่องก็ชะงักเมื่อเห็นว่าไม่มีสีแดงที่ตัวเองต้องการอยู่ในนั้น
   
       “เกล้าเอาสีแดงไปใช้หรือเปล่า”

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “เปล่านะ มันไม่มีในกล่องตั้งแต่แรกแล้ว” เกล้าตอบโดยไม่เงยหน้า เจียหลินขมวดคิ้วแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองทำสีแดงหายไปตั้งนานแล้ว เด็กชายยู่ปากน้อยๆ กวาดตามองว่าบนโต๊ะมีเพื่อนคนไหนมีสีแดงบ้าง แต่ก็ดูจะไม่มีสีแดงว่างให้เขายืมเลยเพราะเพื่อนบางคนมีสีแต่ไม่ครบ ส่วนคนที่มีก็กำลังใช้อยู่ เหลือแต่ของน็อตเท่านั้นที่วางนิ่งอยู่ในกล่อง
   
        “น็อต เราขอยืมสีแดงหน่อยสิ” เจียหลินพูดขึ้น น็อตก็พยักหน้าหลังจากหนูเจียหยิบเอาสีแดงมาระบายพระอาทิตย์จนใกล้จะเสร็จแล้วเกล้าก็ขอยืมต่อ “พอหนูเจียใช้เสร็จเราขอยืมด้วยได้ไหม”
   
        คราวนี้เด็กชายตัวกลมที่เคยเป็นคู่กรณีเก่ากันมาก่อนขมวดคิ้วฉับ ปฏิเสธเสียงดังฟังชัด “ไม่ได้!”
   
       ว่าแล้วก็เอื้อมมือมาแย่งสีแดงในมือหนูเจียไปทันทีทำให้ปลายดินสอสีลากยาวอยู่บนกระดาษสีขาว หนูเจียมองผลงานที่ตัวเองตั้งอกตั้งใจวาดเปื้อนสีแดงเป็นปื้นแล้วก็เบะปากขึ้นมาทันที
   
       “ฮึก....ฮึก...แง้”
   
        “คุณครูขา น็อตแกล้งหนูเจียค่ะ!”
   
        เด็กหญิงในกลุ่มยกมือขึ้นฟ้องคุณครูได้เร็วทันใจ คุณครูสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะครูรีบผุดลุกตรงมาทันใด
   
        “เกิดอะไรขึ้นคะ”
   
        “น็อตแกล้งหนูเจียค่ะ”
   
        “น็อตเปล่านะ ก็เกล้าจะขอยืมสีแต่น็อตไม่อยากให้ยืมนี่นา”
   
        คุณครูที่กำลังปลอบเจียหลินให้หยุดร้องไห้อยู่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาครามครันเมื่อพบว่าคนที่มีปัญหากันคือเด็กสามคนนี้อีกแล้ว
   
        “ทำไมน็อตถึงไม่อยากให้เกล้ายืมล่ะคะ”
   
        “ก็เกล้าไม่เตรียมสีมานี่คับ แล้วคุณแม่ก็บอกว่าไม่ให้น็อตยุ่งกับเกล้าด้วย เกล้าแกล้งน็อต นิสัยไม่ดี คุณแม่บอกว่าเกล้ากับเจียหลินเป็นเด็กเกเร”
   
        “เจียหลินไม่ใช้เด็กเกเร!” คราวนี้เกล้าที่นั่งเงียบอยู่ก็พูดเสียงดังขึ้นมาบ้าง รู้สึกโมโหที่มีคนมาว่าเพื่อนของเขา เด็กชายรีบสวนกลับไปทันที “น็อตไม่ให้เรายืมสีก็ไม่ให้ยืมสิ ไม่เห็นต้องแย่งจากมือเจียหลินเลย ทำงานของเจียหลินเละด้วย น็อตนั่นแหละนิสัยไม่ดี!”
   
       “เราเปล่านะ!”
   
       “หยุดเถียงกันเดี๋ยวนี้นะทั้งสองคน! เจียหลิน เธอก็ด้วยหยุดร้องไห้ได้แล้ว” คุณครูสาวพูดเสียงดัง รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เธอเดินกลับไปคว้าไม้เรียวบนโต๊ะครูมาเคาะโต๊ะแรงๆ เป็นการขู่
   
       “น้องเจียหยุดร้องไห้ได้แล้ว น้องน็อตคะในเมื่อตัวเองมีครบกว่าเพื่อน เพื่อนขอก็ควรรู้จักแบ่งปัน ให้เพื่อนยืมแค่เดี๋ยวเดียวเอง คนเราถ้าไม่รู้จักแบ่งปันจะกลายเป็นคนไม่มีน้ำใจนะคะ คราวหน้าเอาใหม่นะ ส่วนน้องเกล้าคราวหน้าก็ควรเตรียมของมาเองด้วย จะมายืมเพื่อนเอาอย่างเดียวไม่ได้หรอกค่ะ เอาล่ะ ทั้งสองคนขอโทษกันเลยนะคะ น็อตขอโทษหนูเจียด้วย เป็นเพื่อนกันอยู่ห้องเดียวกัน ต้องสามัคคีกันไว้นะคะ”
   
       น็อตกับเกล้าจ้องหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อเจอสายตาดุๆ ของคุณครูเกล้าก็ยอมลงให้ก่อน เด็กชายพูดขอโทษเบาๆ แล้วก็หันไปปลอบเจียหลินที่นั่งเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่แทน ส่วนน็อตก็เม้มปากหน้าบึ้งตึง พูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงห้วนๆ จากนั้นก็กระแทกตัวลงนั่ง ก้มหน้าก้มตาระบายสีต่อไป
   
        เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้วเด็กในห้องบางคนก็เริ่มทยอยเอางานไปให้คุณครูลงคะแนน เกล้าเดินจูงมือเจียหลินไปต่อแถว เพื่อนตัวเล็กมองรอยขีดสีแดงที่ลากจากพระอาทิตย์ยาวไปจนสุดขอบกระดาษด้านบนแล้วก็ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้อีกจนเขาต้องคอยลูบหัวไม่ให้หนูเจียร้องไห้
   
        พอได้ตัวปั๊มลายแมวเริงร่ามาถึงห้าตัวหนูเจียก็ค่อยยิ้มออก ส่วนงานของเกล้าได้ตัวปั๊มลายแมวมาสามตัว เจียหลินทำท่าจะชะโงกมาดูว่าเพื่อนสนิทวาดรูปอะไรแต่เกล้าก็รีบพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บลงกระเป๋าก่อน
   
       “เอาไว้เดี๋ยวตอนเย็นเราค่อยให้ดู”
   
       “ทำไมต้องตอนเย็นล่ะ”
   
       “น่า เดี๋ยวก็รู้”
   
        เกล้ายิ้มให้หนูเจีย เด็กชายมองตาหลังของน็อตที่ไปต่อแถวส่งงาน ตอนนี้ที่โต๊ะเหลือแค่เขากับหนูเจียเท่านั้น เด็กชายมองสีแดงเจ้าปัญหาที่อยู่ในกล่องสีของน็อตนิ่งๆ เขานึกถึงคำพูดของน็อต นึกถึงน้ำตาของหนูเจียแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
   
        หงุดหงิดถึงขนาดที่ว่าอยากจะหักสีแดงเจ้าปัญหานั่นทิ้งไปซะให้หมดเรื่องหมดราว
   
       “เกล้า เป็นอะไรเหรอ” เสียงของเจียหลินดึงเด็กชายให้หลุดออกจากภวังค์ เกล้าหันไปยิ้มให้เพื่อนทันทีพร้อมกับตอบว่า “เปล่าหรอกไม่มีอะไร”
   
        หลังเลิกเรียนเกล้ากับหนูเจียลงไปเล่นที่สนามเด็กเล่นเพื่อรอน้าเมศกับน้าตะวันมารับ ระหว่างที่ทั้งคู่เล่นกันอยู่นั้นจู่ๆ น็อตก็วิ่งตรงมาทางนี้พร้อมกับพูดว่า
   
        “เอาคืนมานะ!”
   
        เจียหลินที่แกว่งชิงช้าอยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง เอาอะไรคืน?
   
        “อะไรเหรอน็อต”
   
        “สีแดงเรา เอาคืนมา!”
   
        คราวนี้เด็กน้อยยิ่งเบิกตาโต งงหนักกว่าเดิม “เราไม่ได้เอาไป”
   
        “ไม่เชื่อ เอาคืนมา!”
   
        “แต่เราไม่ได้เอาไปจริงๆนะ”
   
        คราวนี้น็อตหันไปไล่เบี้ยเอากับเกล้าบ้าง เด็กชายดูจะปักใจเชื่อจริงจังว่าสีแดงที่หายไปจากกล่องสีของตัวเองถูกคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ขโมยไป
   
        “เกล้า เอาสีเราคืนมานะ”
   
        “ตัวเองทำหายที่ไหนหรือเปล่า อย่ามาโทษคนอื่นสิ” เกล้าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย น็อตโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ เกล้าเลยแนะนำให้ไปตามคุณครูมาช่วยหา ทั้งคู่ยอมให้ครูประจำชั้นรื้อค้นกระเป๋าแล้วก็ไม่เจออะไร น็อตเลยยอมกลับบ้านไปแต่โดยดี
   
         คุณครูสาวที่ถูกตามมาถึงกับถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย พวกลูกผู้ดีมีเงินนี่น้า เอาแต่ใจกันจริงๆ ไม่รู้เลี้ยงมายังไง แต่ช่างเถอะ  หญิงสาวทอดถอนใจอีกครั้งก่อนจะหันมาเด็กอีกสองคนที่เหลือ
   
         “น้องเจียคะ คุณน้ามารับแล้วนะ”
   
         “เย้ น้าเมศ น้าตะวัน”
   
         เจียหลินเปลี่ยนอารมณ์เป็นเริงร่าทันใด วิ่งไปโถมตัวใส่อ้อมแขนของน้าชายที่รอรับอยู่ เกล้ามองภาพเจียหลินถูกอุ้มแล้วก็ถูกหอมแก้มซ้ายขวาด้วยสายตาที่เจือหลากอารมณ์
   
         ทั้งเหงา...แล้วก็อิจฉา
   
         “เกล้า เราไปแล้วนะ บ๊ายบาย”
   
         “อื้ม บ๊ายบาย เจอกันพรุ่งนี้นะ”
   
         คล้อยหลังเพื่อนตัวเล็กกับครอบครัวเกล้าก็เดินกลับไปนั่งที่ชิงช้า แกว่งไกวไปมาเบาๆ ตอนนี้เย็นมากแล้ว เด็กๆ ในสนามเด็กเล่นเหลือน้อยลงทุกที เกล้านั่งมองเด็กและผู้ปกครองคนแล้วคนเล่าเดินกลับบ้าน เด็กชายนั่งเหม่อลอย จินตนาการถึงความอบอุ่นของฝ่ามือยามถูกจับจูงเอาไว้
   
        ครั้งสุดท้ายที่มีคนจูงมือกลับบ้าน...มันนานมาแล้วนี่นะ
   
        ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แม้ยากยืดเวลาออกไปมากแค่ไหนแต่สุดท้ายเด็กชายก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี ร่างเล็กๆ ลุกหยิบกระเป๋าเดินลากขาออกจากโรงเรียนอย่างเอื่อยเฉื่อย ระยะทางระหว่างบ้านของเขากับโรงเรียนไม่ไกลแต่เกล้าก็ยืดเวลาออกไปได้จนย่ำค่ำ
   
        ทันทีที่หยุดลงหน้าประตูบ้านเด็กชายก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมา เหมือนเช่นทุกวัน
   
        “ไปเถลไถลที่ไหนมา!” พ่อของเขาเดินออกมา ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ อีกฝ่ายคว้าแขนเขาแล้วลากเข้าไปในบ้านก่อนจะเหวี่ยงจนเด็กตัวเล็กล้มลงไปกองกับพื้น
   
        “เกล้าเปล่า”
   
        “ยังจะมาเปล่าอีก มึงกลับบ้านดึกดื่นมืดค่ำขนาดนี้!”
   
        “เกล้าไม่ได้ไปไหน”
   
        “แล้วทำไมไม่รีบกลับบ้าน มึงมันเด็กเลว เลี้ยงเสียข้าวสุก เหลวไหล เลิกเรียนแทนที่จะกลับบ้านหาข้าวหาปลากลับเอาแต่ไปเถลไถลที่ไหนก็ไม่รู้!”
   
        เด็กชายเม้มริมฝีปาก กระบอกตาร้อนผ่าว ร่างเล็กๆ รีบกระถดตัวหนีเมื่อพ่อของตนย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ในสายตาของเด็กชายตอนนี้ราวกับว่าบิดาแท้ๆ ของตนกลายร่างเป็นยักษ์ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
   
        “พ่อ...” เสียงเล็กสั่นพร่า น้ำตาเริ่มเอ่อกบดวงตา “เกล้า...ฮึก...เกล้าขอโทษ”
   
        เพี๊ยะ
   
       ฝ่ามือใหญ่ตวัดตบจนเด็กชายหน้าหัน น้ำเสียงห้าวตะคอกใส่
   
        “ถ้าไม่ติดว่ามีเงินที่แม่มึงส่งมาเป็นค่าเทอมให้ทุกเดือนนะกูทิ้งมึงไปนานแล้ว ไอ้ตัวภาระ” เกล้ามองพ่อ เงินเหรอ...ใช่เงินที่พ่อกับแม่เลี้ยงเอาไปละลายกับเหล้าและการพนันหมดหรือเปล่า
   
        “ฮึก...ไม่เอา..พ่อ...พ่ออย่าทำ..เกล้าเจ็บ”
   
        ร่างเล็กๆ นอนงอตัวอยู่ที่พื้นตอนที่ผู้เป็นพ่อระบายอารมณ์ลงมา เกล้ากัดริมฝีปากกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดรอดออกไป ดูเหมือนว่าเสียงด่าทอของพ่อจะไปปลุกให้แม่เลี้ยงที่นอนอยู่ชั้นบนตื่นหล่อนถึงได้ตวาดด่าลงมาเสียงดัง และนั่นก็ยิ่งทำให้พ่อโมโหมากขึ้นไปอีก
   
        “พอแล้ว...เกล้าขอโทษ...เกล้าจะไม่กลับบ้านช้าอีกแล้ว...ฮึก...พ่อจ๋า”
   
         สิ้นประโยคนั้นพ่อเขาถึงได้หยุดมือ เกล้าสะอื้นน้ำตานองเต็มหน้า บาดแผลตามใบหน้าและลำตัวปวดแปล็บ เด็กชายคว้ากระเป๋าลนลานวิ่งเข้าไปในห้องนอนจากนั้นก็ทิ้งตัวลง สะอึกสะอื้นอยู่นานหลายนาทีก่อนที่จะลุกออกจากเบาะเก่าๆ ตรงไปยังกล่องใส่รองเท้าที่เขาแอบซุกไว้ เกล้าถอดถุงเท้าออก หยิบดินสอสีแดงหักครึ่งที่เขาซ่อนไว้ออกมาจากนั้นก็โยนมันลงไปรวมกับข้าวของอีกมากมายภายใน
   
       เกล้าใช้ของพวกนี้แทนบันทึกประจำวัน...ข้าวของที่บอกเล่าถึงชีวิตเลวร้ายของเขาหลังพ่อกับแม่หย่ากัน
   
       หยดน้ำตาหยดเล็กๆ ทิ้งตัวตกลงบนหลังมือ เกล้าสะอื้นเบาๆ
   
       “คุณแม่ น้องเกล้าคิดถึงคุณแม่จังเลย”
   
        ทำไมคุณแม่ทิ้งน้องเกล้าไป...ทำไมไม่รับน้องเกล้าไปอยู่ด้วย
   
        ทำไม...
   
        “ไอ้เกล้า มึงลงมานี่” เสียงตวาดเรียกของแม่เลี้ยงทำให้เด็กชายสะดุ้ง เกล้ารีบดันกล่องรองเท้าเก็บเข้าที่ก่อนจะเดินกะเผลกลงไปชั้นล่าง
   
        “มึงออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดมาทีซิ” ว่าพลางยัดเงินใส่มือเล็กๆ นั้นทันที “ให้ไวล่ะ อย่ามัวอืดอาดนะไม่งั้นกูตีขาลาย”
   
        “ฮะ”
   
        เด็กชายรับคำสั้นๆ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ ไม่มีใครสนใจสภาพของเขาหรอก ไม่มีใครสนใจว่างานที่ใช้ให้ทำมันไม่ใช่เรื่องที่ควรใช้เด็กอายุห้าขวบทำ
   
        พ่อเกลียดเขา แม่เลี้ยงก็เกลียดเขา
   
        ส่วนแม่แท้ๆ...ไม่รู้สิ เขาไม่เจอแม่นานมากแล้ว
   
        เด็กชายเดินเหม่อลอยไปจนถึงหน้าปากซอย ด้วยความที่ไม่ได้ใส่ใจมองรถให้ดีๆ ทำให้ร่างเล็กๆ เกือบถูกรถกระบะคันหนึ่งเฉี่ยวเข้าให้ “เฮ้ยระวัง!” โชคยังดีที่มีคนดึงเขากลับมาได้ทัน ใครคนนั้นกระชากเกล้าเข้ามากอดแน่น ในขณะที่กระบะขับผ่านไปพร้อมบีบแตรด่าลั่น
   
         “อะไรวะ จะชนเด็กแล้วยังมาบีบแตรด่าอีก ไม่ไหวๆ ว่าแต่น้องเกล้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
   
         ใคร...รู้จักเขาด้วย
   
         เกล้าเงยหน้ามองผู้ช่วยชีวิตอย่างเลื่อนลอย ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนคุ้นเคย “น้า...ตะวัน?”
   
         ปานตะวันยิ้มร่าให้เด็กชายแต่รอยยิ้มก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อเห็นบาดและรอยฟกช้ำตามตัว “เกล้า เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนี้ ใครทำอะไรบอกน้าเร็ว”
   
         “เปล่าฮะ...ไม่มีใครทำ”
   
         “จะไม่มีได้ยังไง หน้าเรามีแต่แผลกับรอยช้ำแบบนี้”
   
        ปานตะวันพูด รีบสำรวจดูร่างเด็กชายตรงหน้าก็เห็นรอยช้ำใหม่ๆ อีกหลายรอย ถ้าเป็นเด็กโตหน่อยเขาก็จะคิดว่าอาจไปมีเรื่องกับใครมาอยู่หรอก แต่นี่เด็กห้าขวบนะ! เกล้าจะไปทำอะไรใครได้ แล้วใครมันใจร้ายใจดำถึงขั้นทุบตีเด็กตัวเล็กๆ ได้ลง ยกเว้น...
   
         “เกล้า...บอกน้าสิ...เราโดนคนที่บ้านทำร้ายร่างกายมาใช่ไหม”
   
         ประโยคนั้นทำให้เกล้าตัวสั่น เด็กชายรีบถอยหลังออกห่างจากปานตะวันทันที “เปล่าครับ...เปล่า...ไม่มีอะไร” เด็กชายจำได้...ว่าพ่อเคยขู่เอาไว้ ถ้าหากมีใครล่วงรู้เข้าหรือถ้าเขาทำให้ชีวิตมัน ‘ยุ่งยาก’ ขึ้นมาล่ะก็ พ่อจะตีเขา...จะตีให้ตาย
   
        “เกล้า ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัวนะ” ปานตะวันค่อยๆ ปลอบเด็กชาย “มากับน้า...ไม่มีใครทำอะไรเกล้าได้ทั้งนั้น มาเถอะ”
   
        “ฮึก...น้าตะวัน...จะพาเกล้าไปไหน...พ่อบอกว่า...ถ้ามีคนรู้...พ่อจะ...ฮึก...ตีเกล้าให้ตาย”
   
        ปานตะวันที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที ชายหนุ่มอุ้มเกล้าขึ้นมา ยิ่งพอมาอยู่ใต้เสาไฟ เห็นรอยช้ำต่างๆ ของเด็กชายชัดขึ้นใบหน้าของปานตะวันก็ยิ่งเย็นชาขึ้นเท่านั้น
   
         ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะออกเดิน มือข้างหนึ่งล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา
   
        “พี่เมศ เดี๋ยวช่วยขับรถให้ตะวันหน่อยนะ...อือ...พอดีเจอเรื่องใหญ่มา...ใหญ่ขนาดไหนเหรอ...ก็ขนาดที่ว่าอยากจับคนทำโยนเข้าซังเตมันเดี๋ยวนี้เลยน่ะสิ”

**********************************************************

สวัสดีค่ะทุกคนนน เรากลับมาแล้ววว ขอโทษด้วยนะคะที่ห่างหายกันไปนาน  :hao5:
ช่วงนี้สติเราพังมากจริงๆ ค่ะ เบลอไปหมด ปั่นงานด้วย เหนื่อยด้วย อยู่ๆ ก็หมดแรงเขียนไปดื้อๆ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ
ตอนนี้เรากลับมาอัพแล้ว จะพยายามไม่หายแล้วค่ะ ต้นฉบับของอีกเรื่องใกล้เสร็จแล้ว มีเวลาให้หนูเจียเพิ่มแล้ววว
ขอกำลังใจจากทุกคนหน่อยนะคะ (รวบทุกคนมากอดแน่นๆ) ฮึบบ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตามอ่านนะคะ
คอมเม้นท์ติชมได้ตามสบายเลยค่ะ จุดไหนที่แปลกๆสามารถคอมเม้นท์ทิ้งไว้ได้เช่นกันค่ะ

สำหรับเรื่องของน้องเกล้า...เราจะมาเฉลยเรื่องของน้องในตอนหน้านะคะว่าน้องเกล้ามาได้ยังไง จะเป็นอย่างไรต่อไป
และคู่กับน้องเจียมั้ย(เห็นมีคนถามมา) เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ  :man1:


ปล. ตอบคอมเม้นท์ คุณ river ค่ะ ราเมศเปิดร้านอาหาร ตะวันเป็นพนักงาน ทำไมหนูเจียหิวซกหลังเสร็จงาน
อาจเป็นเพราะสามคนนี้จะกลับไปทานอาหารพร้อมกันที่บ้านค่ะ หลังเสร็จงาน
หนูเจียก็ยืนยันจะรอ ส่วนใหญ่พอถึงบ้านตะวันก็จะใช้ราเมศทำกับข้าวนั่นแหละค่ะ ฮาาา เราเขียนอธิบายไม่ชัดเจนเอง
ต้องขออภัยด้วยนะคะ เดี๋ยวเราจะกลับไปปรับตรงจุดนั้นอีกที ขอบคุณที่ช่วยติงจุดแปลกๆ ให้นะคะ (กอดดด)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สงสารเกล้านี่ถ้าตะวันรวยก็อยากให้เอาเกล้ามาเลี้ยงคู่หนูเจียซะเลย
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด