ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 133742 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารน้องเกล้ามากเลย สังคมสมัยนี้ก็มีแบบนี้เยอะเหมือนในนิยายเลย รอตอนต่อไปนะคะหวังว่าน้องเกล้าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้และหวังว่าคนเขียนจะไม่ใจร้ายกับน้องเกล้ามากไปนะคะ อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยสงสารน้องมากๆ :sad4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลต่อพฤติกรรมของน้องเกล้า และมีทีท่าว่าจะก่อปัญหาให้กับตัวเองในอนาคตนะคะ อยากให้มีคนมาช่วยน้องจริง ๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออ.  สงสารกล้ามากๆๆ. สังคมเด้ยวนี่เป็นแบบนี้เยอะเลย

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สงสารน้อง  :hao5:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
สงสารน้องเกล้า :mew6:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สงสารน้องเกล้า
ถ้าอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต้องเป็นเด็กมีปมแน่เลย

ออฟไลน์ l2_in*

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
สงสาร ยังดีนะที่เกล้าสู้คน

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ขอบคุณที่ตอบเม้นท์นะคะ

เป็นความรู้สึกส่วนตัวน่ะ
เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่จะปิด 3-4 ทุ่ม พ่อแม่ไม่น่าจะลูกหลานหิ้วท้องรอปิดร้านค่อยกิน ยังไงก็ต้องให้กินไว้ก่อน
แล้วร้านส่วนใหญ่จะมีอาหารให้พนักงานกินในช่วงที่ลูกค้าน้อย

แม้ว่าอยากกินกัน 3 คน ก็ไม่อยากเห็นหนูเจียหิว อย่างน้อยให้กินก่อนแล้วมากินด้วยกันอีกที

แต่ถ้าร้านปิดเร็วก็แล้วไปนะะคะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๔
ความช่วยเหลือ


       ปานตะวันคิดมาตลอดว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเจอกับผู้ชายที่ชื่อราเมศแล้วยิ่งมาเจอเหตุการณ์อย่างวันนี้ชายหนุ่มก็ยิ่งแน่ใจว่าตัวเองคิดถูกและตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกรักอีกฝ่าย
   
       ราเมศขับรถออกมาหาปานตะวันทันทีพร้อมกับหนูเจียที่งอแงจะตามออกมาด้วย ราเมศเองแม้จะเห็นว่ามันแล้วเป็นเวลาที่หนูเจียควรจะนอนแต่เขาก็ทิ้งหลานไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ได้จึงอุ้มมาด้วยแล้วให้หนูเจียนอนหลับอยู่ที่เบาะหลัง ราเมศมองเห็นปานตะวันยืนรออยู่ที่ริมฟุตปาธ ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยอยู่หนึ่งคน
   
        คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากันทันที
   
        ชายหนุ่มจอดรถเทียบด้านข้างทางเท้าแล้วก็ปลดล็อกประตู ปานตะวันรีบสอดตัวเข้ามาทันที เมื่อมาอยู่ในแสงสว่างราเมศก็เห็นว่าเด็กชายที่นอนหลับคาอกปานตะวันทั้งที่คราบน้ำตายังเกรอะกรังเต็มหน้าคือเพื่อนของหนูเจียที่ชื่อเกล้านั่นเอง ตอนแรกราเมศกำลังจะอ้าปากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแต่ปานตะวันก็แตะนิ้วเป็นเชิงให้เขาเงียบก่อนจะชิงอธิบายว่า
   
        “พี่เมศ ดูนี่” ปานตะวันชี้ให้ราเมศดูรอยช้ำตามแขนขาของเด็กชายก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนท่าอุ้ม เกล้าครางอืออาในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา ราเมศโน้มตัวไปใกล้ๆ พิจารณารอยแผลตามใบหน้าของอีกฝ่าย
   
        “รอยตบ”
   
        “อืม ก่อนนี้ตะวันลองให้น้องถอดเสื้อออกแล้ว มีรอยเหมือนรอยจิกกับรอยบุหรี่จี้ด้วย”
   
         “นี่มันทารุณเด็กแล้วนะ”
   
        “น้องบอกว่าอยู่กับพ่อแล้วก็แม่เลี้ยงหลังจากแม่กับพ่อหย่ากัน แม่เขาไปมีบ้านใหม่เลยให้น้องเกล้ามาอยู่กับพ่อ พี่...ตะวันเคยไปส่งน้องที่บ้านหนนึง มีเสียงคนทะเลาะกันลั่นบ้านไปหมด มีเสียงปาข้าวของด้วย” ปานตะวันลูบผมเด็กชายบนตักเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ตะวันรู้ว่านี่มันอาจจะเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องในสายตาพี่แต่...ตะวันสงสารน้อง ถ้าปล่อยให้อยู่แบบนี้ต่อไปน้องจะโตมาเป็นคนยังไง” หรือในกรณีเลวร้ายคืออาจถูกทำร้ายจนร่างกายและจิตใจรับไม่ไหวเลยก็ได้
   
        ถ้าเป็นเมื่อก่อนปานตะวันก็คงจะไม่ใส่ใจเด็กคนนี้ เขาคงจะปล่อยผ่านไปแล้วก็คิดว่ามันเรื่องของคนอื่น เดี๋ยวก็มีคนเข้าไปจัดการเองหรือไม่ก็เรื่องของครอบครัวเขา คนนอกเข้าไปยุ่งคงโดนด่าว่าแส่ แต่หลังจากมีเจียหลินเหมือนว่าสัญชาตญาณความเป็นพ่อของชายหนุ่มจะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้น
   
       เขาลองคิดกลับกัน...ถ้าวันนั้นปานตะวันไม่กลับมา ถ้าเขาไม่ได้เจอหนูเจีย ป่านนี้หลานชายจะไปอยู่ที่ไหน แล้วถ้าหลานไปเจอคนเลี้ยงที่ไม่ดีแบบที่เกล้าเจอชีวิตหลานจะเป็นยังไง
   
       อีกอย่าง...ปานตะวันรู้สึกว่าตัวเขากับเกล้ามีอะไรบางอย่างเหมือนกัน
   
       พ่อแม่หย่ากัน แต่ละคนไปมีครอบครัวใหม่...แล้วก็รู้สึก...ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย
   
       ทั้งๆ ที่คนที่เจ้าตัวรักที่สุด...ก็มีแต่พ่อกับแม่แท้ๆ แต่กลับถูกคนที่รักบอกว่าไม่ต้องการ
   
       พอคิดแบบนี้แล้วปานตะวันก็นึกสงสารเกล้ามากขึ้นไปอีก บนโลกกว้างๆ เบี้ยวๆ ใบนี้ ไม่มีใครเลยต้องการเขา ไม่มีใครสักคนยื่นมือมาช่วยเขา
   
      “เด็กที่น่าสงสาร” เขาต้องคิดว่าตัวเองถูกทิ้งไปแล้วแน่ๆ ถูกคนทั้งโลกหันหลังให้ ความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนั้นปานตะวันเข้าใจดี
   
      “ตะวันคิดว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหลานของเราบ้างล่ะ...แค่คิดก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ตะวันเลยอยากช่วยเด็กคนนี้”
   
       “พี่เข้าใจแล้ว”
   
       ราเมศยิ้มให้ปานตะวันก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมเขา ไม่ตั้งคำถามหรือพูดอะไรเป็นเชิงไม่เห็นด้วยออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ปานตะวันอดคิดขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ว่าตัวเองกับเจียหลินโชคดีจริงๆ ที่มีผู้ชายคนนี้
   
        ราเมศขับรถพาปานตะวันมาที่โรงพยาบาล น้องเกล้าดูตกใจกลัวแต่เพราะปานตะวันกอดแล้วก็ปลอบโยนเด็กชายอยู่เกือบตลอดทำให้เกล้าผ่อนคลายลงได้บ้างแต่เมื่อถึงเวลาที่ถูกเรียกตัวให้เข้าไปทำแผลเกล้าก็เบะปาก น้ำตาคลอ หันมากอดคอปานตะวันแน่น ชายหนุ่มจึงต้องเดินตามเด็กชายเข้าไปด้วย
   
        เด็กที่ไหนก็กลัวหมอกลัวเข็มทั้งนั้นสินะ
   
       ปานตะวันนึกถึงตัวเองตอนสมัยเด็กที่เวลาจะถูกจับฉีดยาแล้วก็ร้องไห้จนลั่นโรงพยาบาล พ่อ แม่ พี่จันทร์ทั้งเอาขนมมาล่อ ร้องเพลงกล่อมสารพัดแต่เขาก็ไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ดีนะที่น้องเกล้าไม่ได้กลัวหมอขนาดนั้น
   
       “สวัสดีครับ” คุณหมอท่าทางใจดียิ้มให้ปานตะวัน ชายหนุ่มยิ้มแล้วก็กล่าวสวัสดีตอบแต่เพราะอุ้มเกล้าอยู่ทำให้ยกมือมาไหว้ไม่ได้ คุณหมอยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ถือสา
   
       “น้องเกล้าครับ สวัสดีคุณหมอก่อนเร็ว”
   
       “ส..สวัสดีครับ”
   
       เกล้าหันมาอย่างว่าง่ายแล้วก็ยกมือไหว้คุณหมอด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
   
       “ไม่ต้องกลัวนะครับ ชื่ออะไรเอ่ยตัวเล็ก”
   
       “ชื่อ...ชื่อเกล้าคับ”
   
        ปานตะวันยิ้มแล้วก็ให้เกล้านั่งลงบนเตียงสำหรับทำแผลก่อนที่คุณหมอจะเริ่มตรวจดูร่องรอยบาดแผลต่างๆ ที่ใบหน้าและตามแขนขาเด็กชาย ปานตะวันเห็นคุณหมอขมวดคิ้วแล้วก็เงยหน้ามามองเขาด้วยสายตาประหลาด
   
       “คุณเป็นพ่อหรือว่าพี่ชายน้องเกล้าหรือครับ”
   
       “เปล่าครับ ผมเป็น...” จะว่าเป็นอะไรดีล่ะ ปานตะวันขมวดคิ้ว กลืนน้ำลายพลางเรียบเรียงความคิดในหัว “หลานผมเป็นเพื่อนสนิทกับน้องเกล้าครับ แล้วพอดีวันนี้ผมก็ออกมาทำธุระข้างนอกทำให้เจอน้องเกล้าเดินอยู่ข้างถนน ผมเห็นรอยตบ รอยช้ำกับรอยข่วน รอยเล็บ แล้วก็รอยเหมือนถูกตีตามตัวแกเลยพามาโรงพยาบาลน่ะครับ” คุณหมอรับคำ สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด ในระหว่างที่อีกฝ่ายทำแผลปานตะวันก็เสริมขึ้นอีกว่า
   
       “คุณหมอครับ...นอกจากนี้...ตามท้องแล้วก็หลังของน้องผมเห็นรอยช้ำกระจายเป็นจุดๆ ด้วย แล้วก็มีรอยเหมือนถูกบุหรี่จี้...ผมอยากให้หมอช่วยตรวจได้ไหมครับ อยากรู้ว่าน้องถูกทำร้ายร่างกายหรือเปล่า ผมอยากขอใบรับรองแพทย์ด้วย”
   
       คุณหมอพยักหน้ารับ ปานตะวันรู้ว่านี่มันเรื่องใหญ่...อย่างน้อยก็สำหรับเขา ดวงตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆ ของเด็กชายด้วยความสงสาร
   
       เกล้าเป็นเด็กเข้มแข็ง ตลอดเวลาที่ถูกทำแผลแม้มีสะดุ้งบ้างแต่ก็ไม่ร้องไห้เลย ปานตะวันบีบมือเล็กที่จับมือเขาเอาไว้แน่นเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ 
   
      เขาจะต้องช่วยเกล้าให้ได้
   
      ผลการตรวจออกมาแล้ว คุณหมอยืนยันว่าเกล้าถูกทุบตีจริง รอยช้ำ รอยแผล และรอยบุหรี่จี้ตามตัวเด็กชายบางรอยก็เป็นรอยใหม่ น้องเกล้ายอมเหล้าให้คุณหมอฟังว่าเมื่อวานคุณพ่อของเขาเมาแล้วก็ทุบตีเกล้า แม่เลี้ยงที่อู่ในบ้านก็ไม่ได้ช่วยอะไร บางทียังผสมโรงด่าทอ ยุให้พ่อฟาดเกล้าหนักๆ เข้าอีก
   
        “มันเป็นแบบนี้เกือบทุกวันนั่นแหละครับ”
   
       เรื่องเล่าจากปากเด็กอายุห้าขวบที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง เรียบ เหมือนกับการถูกบิดาแท้ๆ ทำร้ายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันทำให้ปานตะวันยิ่งสะเทือนใจ ชายหนุ่มรับคำแนะนำจากคุณหมอแล้วก็ขอใบรับรองแพทย์เก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
   
      เมื่อออกจากห้องทำแผลปานตะวันก็เดินไปจ่ายค่ารักษาให้น้องเกล้าแล้วก็กลับไปหาราเมศกับหนูเจีย ฝ่ายหลังดูท่าจะตื่นนานแล้วเพราะกำลังนั่งกินขนมปังด้วยท่าทางร่าเริงอยู่เลย พอเจียหลินหันมาเห็นน้าตะวันอุ้มเพื่อนตัวเองออกมาก็กระโดดลงจากเก้าอี้พลาสติกแล้ววิ่งมาหาคนทั้งคู่
   
      “เกล้า!”
   
       “เจีย”
   
       ปานตะวันปล่อยให้เกล้าลงเดินเอง เจียหลินรีบวิ่งไปหาเพื่อนแล้วก็พูดว่า “เป็นอะไรไหม น้าเมศบอกว่าเกล้าเจ็บ เราเลยมาโรงพยาบาลเพื่อพาเกล้ามาหาคุณหมอ”
   
      “อื้อ ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ”
   
      “ดีแล้ว เป็นห่วงแทบแย่”
   
       เจียหลินผ่อนลมหายใจก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่ใส่ขนมปังนมสดก้อนกลมชิ้นเล็กไว้ให้เกล้า “กินสิ น้าเมศซื้อมาเผื่อเกล้าด้วยนะ”
   
       เกล้ามีท่าทางลังเลแต่หนูเจียก็ยัดขนมใส่มือเพื่อนจนได้ เด็กชายรีบแกะถุงออก กลิ่นหอมของขนมทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน เด็กชายเอามือกุมท้องไว้ รู้สึกอายที่ท้องตัวเองร้องซะเสียงดัง
   
       ถึงตอนนี้เด็กชายก็เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเขายังไม่ได้ทานอะไรเลย
   
       “น้องเกล้าหิวไหม”
   
       ราเมศก้มหน้าถามเด็กชายที่ยืนกุมท้องก้มหน้านิ่งอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบขึ้นมองจากนั้นเด็กชายร่างผอมก็พยักหน้า ตอบเสียงเบา “หิวครับ”
   
      “งั้นกลับไปกินข้าวที่บ้านกันดีกว่า” ปานตะวันเอ่ยชวน “หรือจะหาร้านกินแถวๆ นี้ดี”
   
       “หาร้านแถวนี้ดีไหม น้องเกล้าดูหิวมาก”
   
       “ไม่...ไม่เป็นไรครับ” เกล้ารีบห้าม นึกเกรงใจคุณน้าใจดีทั้งสองมาก ทั้งคู่พาเขามาโรงพยาบาล...พยายาม...จะช่วยเขา แค่นี้เกล้าก็ซาบซึ้งมากแล้ว
   
       เขาไม่กล้าเรื่องมากหรอก มีให้กินก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน ที่ไหนก็ได้ อะไรก็ได้ หิ้วท้องรอก็ยังได้ เรื่องอดข้าวนี่เขาชินแล้ว อยู่ที่บ้านเขาก็ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง ถ้าวันไหนพอไม่เมาเหล้าและอารมณ์ดีพ่อก็จะให้เงินเขาไปซื้อข้าว แต่ถ้าวันไหนพ่ออารมณ์เสีย เมาเหล้า แล้วก็ทะเลาะกับแม่เลี้ยงด้วยล่ะก็...อย่าหวังเรื่องข้าวเลย...แค่หลบไม่ให้ถูกทุบตีได้ก็ถือว่าเป็นโชคมากแล้ว
   
      “น้องเกล้าอยากกินอะไรครับ” ตอนที่เดินออกมานอกโรงพยาบาลปานตะวันก็ก้มลงมาถามเกล้า “หน้าโรงพยาบาลมีร้านข้าวต้ม ร้านขายหอยทอด ผัดไทย แล้วก็ร้านขายบะหมี่”
   
      “อ...อะไรก็ได้ครับ”
   
      “หนูเจียอยากกินผัดไทย!”
   
      “งั้นก็กินผัดไทย”
   
       ราเมศสรุป พวกเขากำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล เจียหลินจับมือราเมศ ปานตะวันจับมือเกล้า ความอบอุ่นนั้นทำให้เด็กชายผิวคล้ำชะงัก
   
      ไม่มีคนจับมือเขามานาน...มากแล้ว
   
       แม้แต่แม่เกล้าก็จำไม่ได้ว่าจับมือเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
   
       อุ่นจังเลย...มือของน้าตะวันอุ่นมากๆ
   
       กลิ่นอาหารที่ลอยมาแตะจมูกยิ่งทำให้กระเพาะของเกล้าส่งเสียงประท้วงหนักขึ้นไปอีก พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุด ปานตะวันสั่งผัดไทยกุ้งสดมาสี่จานและไม่ยอมให้เจียหลินกินน้ำอัดลมเพราะดึกแล้ว ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟหนูเจียก็หันไปเล่นกับเกล้า ส่วนปานตะวันกับราเมศก็นั่งปรึกษากันถึงปัญหาของเด็กชาย
   
       “ใบรับรองแพทย์ที่หมอยืนยันว่าน้องเกล้าถูกทำร้ายร่างกายใช้เป็นหลักฐานได้ แล้วพี่ก็ลองหาข้อมูลดูแล้วว่าเราแจ้งหน่วยงานไหนได้บ้าง” ราเมศหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดข้อมูลให้ปานตะวันดู “สายด่วน 1300 มันโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง จะมีเจ้าหน้าที่ลงมาสืบหาข้อเท็จจริงแล้วก็ช่วยเหลือเด็ก พี่ว่าเราควรติดต่อแม่เด็กด้วย”
   
       “อืม แล้วคืนนี้จะเอายังไง ให้น้องเกล้ากลับบ้านเหรอ กลัวแต่พรุ่งนี้จะได้แผลกลับมาเยอะกว่าเดิมน่ะสิ ถ้าทางนั้นรู้ว่าเรารู้เรื่องแล้ว...เขาคงได้ทุบตีน้องเกล้าหนักกว่าเดิมแน่ๆ”
   
       “งั้นก็ให้ค้างบ้านเราไปก่อน แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาจะตามมาเอาเรื่องถึงที่หรือเปล่าน่ะสิ”
   
       “นั่นสิ แต่ตะวันคิดว่าการปล่อยน้องกลับไปบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย”
   
       ปานตะวันถูปลายจมูกตัวเองอย่างกังวล แต่ยังไม่ทันได้คุยกันต่ออาหารก็มาเสิร์ฟพอดีชายหนุ่มทั้งสองจึงต้องหยุดปรึกษากันแล้วหันมาแย้มยิ้ม ชวนให้เด็กชายกินข้าว
   
      “เอ้า มาแล้วๆ น้องเกล้ากินเลย กินเยอะๆ เราผอมจะแย่แล้วรู้หรือเปล่า” ปานตะวันพูดพลางหยิบช้อนส้อมแจกจ่ายคนรอบโต๊ะ “หนูเจีย อย่าเขี่ยถั่วงอกออกนะครับ”
   
       “ก็มันเหม็นนี่น้าตะวัน”
   
       “เจียหลินเอามาใส่ชามเราก็ได้”
   
        เกล้าพูดอย่างใจดี ส่วนหนูเจียก็ระริกระรี้รีบคัดถั่วงอกออกไปให้เพื่อนโดยไม่สนใจสายตาดุๆ ของน้าตะวันและสายตาขบขับของน้าราเมศเลยแม้แต่น้อย
   
       ผัดไทร้านนี้ทำอร่อย ปานตะวันใช้เวลาไม่นานก็หมดจาน ชายหนุ่มสั่งจานที่สองให้ตัวเองกับราเมศทันที แล้วก็หันมาหาหลานๆ ของตน   
   
       “มีใครเอาอีกไหม เกล้าอิ่มแล้วเหรอ สั่งอีกก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
   
       “ไม่..ไม่เป็นไรครับ”
   
       “น่า ถ้าไม่อิ่มก็กินอีกก็ได้ เอาไหม น้าสั่งให้”
   
       “อ...เอาครับ”
   
        ปานตะวันยิ้ม หันไปเรียกเด็กเสิร์ฟแล้วก็สั่งผัดไทมาอีกจาน
   
        เกล้ากล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่ชิน...เด็กชายไม่เคยได้นั่งกินข้าวร่วมกับใครสักคนแบบนี้ ไม่เคยได้รับคำถามไถ่ด้วยความห่วงใย ไม่เคยมีใครถามเขาว่า “เอาข้าวอีกจานไหม”
   
        ก่อนที่พ่อกับแม่จะหย่ากัน...ครอบครัวของเกล้าก็ไม่ใช่ครอบครัวสุขสันต์เท่าไหร่ พ่อเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน พอโมโหก็ทุบตีแม่ ถ้าเกล้าหลบออกจากห้องไม่ทันพอก็จะตีเขาด้วย...แม่เอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนราวกับคนจะขาดใจ พวกเขาไม่เคยได้กินข้าวด้วยกัน ไม่เคยมีกิจกรรมร่วมกัน เหมือนกับว่าที่อยู่ด้วยกันเป็นเพราะหน้าที่ จนกระทั่งพ่อมีเมียน้อย...เอาเงินที่แม่หามาอย่างยากลำบากไปซื้อเหล้า ซื้อของดีๆ ให้ผู้หญิงคนนั้น แม่ถึงตัดสินใจหย่าขาดกับพ่อ เก็บของออกจากบ้านไป
   
       ทิ้งทุกอย่างเอาไว้...รวมถึงเกล้า
   
      นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เกล้าได้สัมผัสกับความอบอุ่นของคำว่า ‘ครอบครัว’ แม้เขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความใจดีของน้าตะวันและน้าเมศ ความน่ารักของเจียหลินก็ยังเผื่อแผ่มาถึงเขา
   
        “อร่อยไหมน้องเกล้า”
   
        รอยยิ้มจากใจของพวกเขายังเผื่อแผ่มาถึงเกล้าด้วย
   
       “อร่อย...ฮึก...อร่อยคับ”
   
       น้ำเสียงของเด็กชายสั่นพร่า กระบอกตาร้อนผ่าวก่อนที่หยดน้ำใสๆ จะร่วงพรูลงมาไม่หยุด
   
       “ขอบคุณ...อึก...ขอบคุณมากๆ ที่ใจดีกับเกล้า...ฮึก...ขอบคุณ...จริงๆ”
   
        ปานตะวันกับราเมศมองหน้ากัน ท่าทางเงอะงะ ไม่รู้จะปลอบเด็กตรงหน้ายังไงสุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่เดินไปอุ้มเกล้าขึ้นมากอดแนบอก โยกตัวไปมาพลางลูบหลังให้ เด็กชายกอดคอปานตะวันเอาไว้แล้วก็ซุกหน้าลงร้องไห้
   
       ขนาดอ้อมกอด...ยังอุ่นเลย
   
       หลังทานอาหารเสร็จเด็กชายทั้งสองที่ทั้งง่วงทั้งเพลียก็ผล็อยหลับเอาหัวซบกันอยู่ที่เบาะหลัง ราเมศขับรถมุ่งตรงกลับบ้าน แต่เมื่อถึงหน้าบ้านชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูด้วยท่าทางฉุนเฉียว นัยน์ตาสองคู่สบกันก่อนที่ปานตะวันจะพึมพำว่า
   
       “รู้สึกเหมือนเดจาวูยังไงก็ไม่รู้แฮะ”
   
       เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเปิดประตูรถลงไป เดินเข้าไปหาชายแปลกหน้าคนนั้นแต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่อะไรอีกฝ่ายก็ปรี่มากระชากคอเสื้อเขาแล้วตะคอกว่า
   
       “ไอ้เกล้าไปไหน!”
   
       “เฮ้ย อะไรเนี่ยคุณ ใจเย็นๆสิ”
   
       “กูถามว่าไอ้เด็กเวรนั่นไปอยู่ที่ไหน!”
   
        ปานตะวันขมวดคิ้ว ฟังจากคำพูดแล้วถ้าเขาเดาไม่ผิดผู้ชายที่มาถามหาเกล้าคนนี้คงจะเป็น...”คุณเป็นพ่อของเกล้าเหรอ”
   
        อีกฝ่ายแค่นเสียง ถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วก็พูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ ไอ้เด็กนั่นไปไหน กูใช้ให้ออกไปซื้อของแต่มันหายหัวไปตั้งนานสองนาน มันหนีมาหามึงใช่ไหม”
   
        “นี่คุณ พูดดีๆ ก็ได้มั้ง”
   
        ปานตะวันกระชากแขนอีกฝ่ายออก เขาเองก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าราเมศมายืนอยู่ด้านหลังของตน ปานตะวันได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกมาจากตัวอีกฝ่าย
   
       นี่เมามาเลยไม่ใช่เรอะ
   
       ดูเหมือนอีกฝ่ายยังมีบุญอยู่ที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงบ้านเขาได้โดยไม่รถคว่ำหรือแหกโค้งไปซะก่อน
   
       อีกอย่าง...พ่อของเกล้ามาบ้านเขาถูกได้ยังไง
   
       “กูมาพาไอ้เกล้ากลับ” ว่าจบก็มองซ้ายมองขวาด้วยดวงตาแดงก่ำ “มึงเอามันไปไว้ไหน!”
   
        “ใจเย็นๆ สิครับคุณ ค่อยๆ—“
   
       ผัวะ
   
       ปานตะวันยังพูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มก็ถูกต่อยจนหน้าหัน เพราะไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาถึงกับเซ ยังดีที่ราเมศเข้ามาประคองไว้ได้ทัน ชายหนุ่มผิวแทนดึงปานตะวันไปไว้ด้านหลังแล้วซัดหมัดสวนเข้าให้ทันที ในชีวิตราเมศไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่านี้มาก่อนเลย
   
       “พี่เมศ พี่เมศ หยุดก่อน!”
   
        ปานตะวันพยายามรั้งตัวคนรักไว้ คนรักของเขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ปกติก็แรงเยอะอยู่แล้วพอบวกกับอารมณ์โมโหก็เหมือนช้างตัวใหญ่ตกมันไม่มีผิด ปานตะวันปวดหัวจี๊ดเมื่อสถานการณ์ชักจะวุ่นวาย ชายหนุ่มหันไปมองที่รถแล้วก็พบว่าประตูด้านหนึ่งกำลังเปิดออก
   
        ไม่นะ!
   
         ไม่รู้ว่าเป็นหนูเจียหรือเกล้าที่กำลังจะลงมา...แต่เป็นใครก็ไม่ดีทั้งนั้น ปานตะวันจะอ้าปากห้ามก็ไม่ทันแล้วเพราะร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากรถแล้วก็รีบพุ่งเข้ามาขวางตรงกลางระหว่างราเมศกับชายขี้เมาคนนั้น
   
         “พ่อ!”
   
        “ไอ้เกล้า มึงไปไหนมา”
   
        “พ่อ...พ่อใจเย็นๆ นะ เกล้า...เกล้าแค่ไปกินข้าว...กับน้าๆ”
   
        เด็กชายปากคอสั่น พ่อในยามนี้เหมือนกับฝันร้ายที่กลายเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น แต่กระนั้นจะให้เขานั่งเฉยดูพ่อทำร้ายน้าเมศกับน้าตะวันเกล้าก็ทำไม่ได้
   
        “กินข้าว...กูใช้ให้มึงมาซื้อข้าวแต่มึงกลับหายหัวไปแล้วก็บอกออกไปกินข้าวเนี่ยนะ!”
   
        ฝ่ามือใหญ่เงื้อขึ้นหมายจะฟาดลงมาแต่กลับถูกรั้งไว้โดยปานตะวันกับราเมศ นัยน์ตาของปานตะวันแข็งกร้าวจนพ่อของเกล้าถึงกับชะงัก รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
   
        “ก็เด็กมันหิว ใจคอจะปล่อยให้อดหรือยังไง แล้วใช้เด็กตัวเล็กๆ เดินออกมาซื้อข้าวมืดๆ คนเดียวนี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน นี่ยังจะไปตบตีเขาอีก คุณเป็นพ่อประสาอะไรวะ”
   
       “แล้วมึงเสือกอะไร กูเป็นพ่อมัน กูจะตีสั่งสอนมันยังไงก็ได้”
   
       ปานตะวันบีบข้อมืออีกฝ่ายแน่น “สั่งสอนกับทำร้ายร่างกายมันไม่เหมือนกันนะ”
   
       “แต่กูเป็นพ่อมันและมึงเป็นคนนอก อย่า – เสือก ไอ้หนู ไม่งั้นกูจะแทงมึงให้ไส้ปลิ้น”
   
       “พ่อ...ฮึก...พ่อ...อย่า” เกล้ากอดขาพ่อตัวเองไว้ เด็กชายตกใจกับคำขู่ฆ่าจนตัวสั่น เกล้าพยายามรั้งอีกฝ่ายไว้สุดแรงแต่ร่างเล็กก็ถูกสะบัดออกจนเซล้ม ปานตะวันสบถแต่ยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยแขนเล็กๆ ของเกล้าก็ถูกกระชากขึ้นมา
   
       “กลับบ้าน!”
   
        “เฮ้ย เดี๋ยว”
   
        “น้าตะวัน...น้าเมศ ไม่เป็นไรคับ” เกล้าสะอื้น หันมาคลี่ยิ้มบิดๆ เบี้ยวๆ ให้คนทั้งคู่ “เกล้าไม่เป็นไร เกล้าต้องกลับบ้านแล้ว วันนี้...อาหารอร่อยมาก ขอบคุณนะคับ”
   
        ร่างเล็กๆ ถูกกระชากลากถูไปที่มอเตอร์ไซค์ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะดังสนั่นฝ่าความมืดมิดยามราตรีพร้อมกับร่างคนทั้งคู่ที่ลับตาไป
   
       ปานตะวันใจสั่น มือไม้เย็นเฉียบ เขายืนนิ่งมองไปตามทางที่เกล้าถูกพาตัวไปในสมองสับสนวุ่นวายจนแทบระเบิด
   
       “ตะวัน”
   
        มือหนึ่งแตะเข้าที่ไหล่เรียกสติเขากลับมา
   
       “พี่...พี่เมศ”
   
       “เจ็บไหม”
   
        ฝ่ามือใหญ่แตะเข้าที่ข้างแก้มปานตะวัน นัยน์ตาสีนิลดุวาวโรจน์เมื่อเห็นว่าแก้มขาวๆ ของปานตะวันเป็นรอยแดงและคงจะเปลี่ยนเป็นรอยช้ำในเวลาไม่นาน
   
       “เจ็บครับ แต่ไม่เท่าไหร่”
   
      “เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”
   
       ปานตะวันพยักหน้า เดินไปเปิดประตูรั้วอย่างว่าง่ายในขณะที่ราเมศกลับไปขึ้นรถเพื่อเอาเข้ามาจอดในบ้าน ตอนนี้ในสมองเขายังมึนชาไปหมดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รู้ตัวอีกทีราเมศกับเจียหลินก็มานั่งข้างๆ แล้ว เจียหลินกอดเอวปานตะวันนิ่ง ซุกหน้าลงกับตักเขาส่วนราเมศก็เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ปานตะวัน
   
        “พี่เมศ น้องไปแล้ว ตะวันช่วยน้องไม่ได้”
   
        “ไม่ มันยังไม่จบ เรายังมีทาง”
   
         “แต่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องบ้างล่ะ! น้องอาจจะถูกตี ถูกทุบหรือแย่กว่านั้น ตะวันช่วยน้องไม่ได้แถมยังทำให้เรื่องมันแย่ลง”
   
        “ตะวันฟังพี่นะ” ราเมศประคองแก้มชายหนุ่มขึ้นมา มองปานตะวันด้วยสายตาอ่อนโยน “ตะวันทำดีที่สุดแล้ว เราจะหาทางช่วยน้องให้ได้โอเคไหม แต่ก็ไม่ควรทำอะไรที่เสี่ยงเหมือนกัน อย่าเพิ่งโทษตัวเองเลยนะ มันมีทางออกเชื่อพี่สิ”
   
        “ครับ”
   
       ปานตะวันซบศีรษะลงกับไหล่ราเมศในขณะที่หนูเจียขยับตัวมากอดปานตะวันไว้ “น้าตะวันเจ็บไหม” เด็กน้อยถาม น้ำเสียงอู้อี้เหมือนจะร้องไห้ “เจ็บมากหรือเปล่า”
   
       ดูเหมือนเขาจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงกันไปหมดเลยสินะ
   
       “ไม่เจ็บหรอกครับ น้าตะวันของหนูเจียเก่งจะตาย” ปานตะวันหอมแก้มยุ้ยๆ ของหลานชายหนึ่งทีก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มสากของคนรักอีกหนึ่งที “ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
   
       “พูดแบบนี้แต่ก็เป็นห่วงอยู่ดี ดูสิ แก้มช้ำไปหมด”
   
        ราเมศพลิกใบหน้าปานตะวัน แก้มข้างที่ถูกต่อยเริ่มบวมและเปลี่ยนสีช้าๆ
   
        “พี่เมศก็ต่อยคืนให้แล้วนี่นา”
   
       “น่าจะกระทืบให้สลบ”
   
        “โหดจริง”
   
        “ใครทำปานตะวันพี่ก็ไม่ปล่อยไว้ทั้งนั้นแหละ” ราเมศขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดเล่นนะ ตอนที่เห็นคนรักโดนต่อย ชายหนุ่มโกรธจริงๆ โกรธจนอยากจะกระทืบอีกฝ่ายให้ตาย ดีที่ปานตะวันยังรั้งตัวเขาไว้ได้
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้วเราจะทำยังไงต่อดี”
   
        “โทรหาคนที่ช่วยได้ไง”
   
        “ใคร?”
   
        ราเมศหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขพลางพูดว่า “ก่อนหน้านี้พี่ขอเบอร์แม่น้องเกล้าเอาไว้ด้วย เราจะโทรไปแจ้งหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือได้ก่อนแล้วค่อยโทรหาแม่น้องเกล้า ติดต่อให้เขามาพาลูกไปอยู่ด้วย” ปานตะวันพยักหน้าแม้จะยังดูเหมือนตามไม่ทันอยู่
   
        “แล้วโทรไปตอนนี้เลยเหรอพี่” นี่ก็ดึกแล้วด้วย ราเมศเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างกระวนกระวายระหว่างที่รอสาย “แม่น้องเกล้าเราอาจต้องติดต่อพรุ่งนี้แต่สายด่วนมันโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
   
       ดูเหมือนสวรรค์จะอยากช่วยเด็กชายให้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมเหมือนกันเพราะในที่สุดราเมศก็โทรติด เมื่อมีเสียงตอบรับจากปลายสายชายหนุ่มก็รีบแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดกับเกล้าทันที รายละเอียดบางอย่างก็มีปานตะวันช่วยเล่ารวมถึงการพาเกล้าไปโรงพยาบาลและหมอยืนยันว่าถูกทำร้ายร่างกายในวันนี้ด้วย พวกเขาแจ้งที่อยู่ของเด็กชายให้อีกฝ่ายพร้อมกับขอร้องว่าอย่าเปิดเผยข้อมูลของพวกเขา ทางนั้นเองก็ตอบรับกลับมาว่าจะเก็บเป็นความลับและจะลงพื้นที่ไปช่วยเหลือเด็กชายให้เร็วที่สุด
   
       หลังจากวางสายพวกเขาก็หันมามองหน้ากัน แม้จะยังไม่โล่งอกแต่อย่างน้อยก็รู้ได้ว่าความช่วยเหลือกำลังจะมา
   
       “เรา...ทำได้เท่านี้ใช่ไหมพี่เมศ”
   
       “เหลือแค่รอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่แล้วล่ะ หลังจากนั้นน้องเกล้าก็จะปลอดภัยแล้ว”
   
       “ก็ขอให้ความช่วยเหลือมาเร็วๆ ก็แล้วกัน”
   
       วันต่อมาตอนที่พาหนูเจียไปส่งที่โรงเรียน ราเมศกับปานตะวันไม่เห็นเกล้า ทั้งสองคนสบตากันอย่างกระวนกระวาย ตอนที่ลองโทรหาแม่ของเกล้าก็โทรไม่ติด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        “พี่เมศ ตะวันเป็นห่วงน้อง”
   
       “พี่ก็ด้วย” คนรักรับคำหลังจากพวกเขาเข้ามานั่งในรถ ราเมศสตาร์ทเครื่องยนต์แต่ยังไม่ได้ขับออกไปไหน “กลัวว่าน้องจะโดนทำร้ายจนมาโรงเรียนไม่ไหว”
   
        “ลองแวะไปดูดีไหมครับ ตะวันพอจะจำทางไปบ้านน้องได้อยู่”
   
        “ก็ดีเหมือนกัน”
   
        ทั้งสองคนตกลงกันว่าจะแวะไปหาเกล้าก่อนค่อยกลับบ้าน แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าที่หน้าบ้านของเด็กชายมีคนยืนมุงกันอยู่เต็มไปหมด ปานตะวันเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้าเดินออกกันให้วุ่นวายก็ใจหายวูบ ทันทีที่ราเมศหาที่จอดรถได้คนทั้งคู่ก็รีบวิ่งลงไปยังกลุ่มไทยมุงทันที
   
       “ป้า...ป้าครับ เกิดอะไรขึ้น”
   
       ปานตะวันสะกิดคุณป้าคนหนึ่งที่กำลังยืนชะเง้อชะแง้เหตุการณ์ต่างๆ ภายในบ้านอยู่ ราเมศอาศัยส่วนสูงที่มากกว่าชาวบ้านมองเข้าไปแล้วก็พบว่าบริเวณหน้าบ้านเกลื่อนไปด้วยข้าวของที่หักพังเหมือนมีใครอาละวาดขว้างปาพวกมัน
   
        คุณป้าที่ถูกปานตะวันเรียกหันมามองชายหนุ่มทั้งสองแล้วก็เปิดปากเล่าทันทีตามประสาเพื่อนบ้านช่างเม้าท์
   
        “โอ๊ย ก็จะอะไรล่ะ ผัวเมียขี้เหล้ามันตีกันน่ะสิ แต่หนนี้หนัก ถึงกับแจ้งตำรวจเลยเพิ่งมาถึงกันเมื่อตะกี้เอง”
   
        “มันเป็นยังไงครับป้า”
   
        หญิงวัยสี่สิบปลายแสยะยิ้ม ยืดอกประหนึ่งเป็นผู้รู้ก่อนทำทีเป็นกระซิบกระซาบราวกับเรื่องที่จะเล่าเป็นความลับนักหนา
   
        “คืองี้นะหนุ่ม เมื่อคืนไอ้คนพ่อน่ะมันเมาปลิ้น...ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ แล้วทีนี้ป้าได้ยินเสียงมันขับมอเตอร์ไซค์มันหายไปข้างนอกพักนึงแล้วก็กลับมาพร้อมไอ้เกล้าลูกมัน มันกระชากลากถูเด็กเข้าบ้านเลยนะแล้วป้าก็ได้ยินเสียงด่า เสียงเด็กร้อง ชาวบ้านก็คิดว่าเหมือนทุกวันแหละเลยไม่มีใครสนใจ แต่พอเสียงเด็กเงียบก็มีเสียงทะเลาะโวยวายกันขึ้นมาต่อ คราวนี้มันทะเลาะกับเมียมัน โอ๊ยยย เมาหัวราน้ำพอกันทั้งคู่ ใหญ่โตเลยทีนี้ ตีสองตีสามยังเขวี้ยงจานเขวี้ยงแก้วกันอยู่เลย คนแถวบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรอก”
   
        คุณป้าข้างบ้านเหยียดริมฝีปาก ตอนนั้นเองที่ตำรวจคุมตัวชายหนุ่มผมเผ้ากระเซิงนัยน์ตาแดงก่ำออกมาจากบ้านตามด้วยหญิงสาวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงพอกัน เธอคนนั้นสีหน้าบิดเบี้ยว นัยน์ตาขุ่นขวางมองไปที่สามีก่อนที่จะเริ่มกรีดร้องด่าทอขึ้นมาอีกรอบ
   
        “ดูดู๊ อย่างกับหมาบ้า”
   
       “นั่นแม่เลี้ยงน้องเกล้าเหรอครับ”
   
        ปานตะวันเม้มปาก ดูยังไงผัวเมียคู่นี้ก็ไม่เหมาะจะเลี้ยงเด็กหรืออะไรทั้งสิ้น
   
       “ก็ใช่น่ะสิ ไอ้คนผู้ชายน่ะพ่อมัน”
   
       “แล้วทำไมถึงโดนจับล่ะครับ”
   
       “ก็วันนี้ตอนเช้าน่ะ คนอื่นเข้าก็ตื่นมาทำงานตามปกติแล้วจู่ๆ มันก็มีเสียงโวยวายขึ้นมา ยัยคนผู้หญิงก็วิ่งพรวดออกมาร้องกรี๊ดๆ ให้เพื่อนบ้านโทรแจ้งตำรวจ บอกว่าผัวมันเป็นบ้าจะฆ่ามัน คนอื่นเขาก็ตกใจสิ ได้ยินเสียงของแตกในบ้านด้วย ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นก็เลยรีบโทรแจ้งแล้วก็อย่างที่เห็น”
   
       “แล้วเด็กล่ะครับ!”
   
       “หือ อยู่กับตำรวจน่ะ เขาไปพาออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว โชคยังดีที่ไม่เป็นอะไร แม่เลี้ยงไอ้เกล้ามันเล่าเลยนะว่าตอนมันหนีออกมาผัวมันกำลังจะเอาขวดปากฉลามแทงมันแล้ว”
   
       “แล้วเขาก็ทิ้งเด็กไว้ในบ้านแล้วหนีออกมาคนเดียวเนี่ยนะครับ!”
   
       “ชาวบ้านถึงได้รีบโทรแจ้งตำรวจไงไอ้หนุ่ม เฮ้อ ว่าแต่เอ็งเป็นคนรู้จักไอ้เกล้าใช่ไหม ไปหามันสิ ร้องไห้ไม่หยุดเลย สงสัยจะกลัวมาก หวังว่าจากนี้มันจะได้หลุดพ้นจากคนบ้าๆ พวกนี้สักทีนะ”
   
        ว่าพลางส่ายศีรษะอย่างสมสารระคนเวทนาแล้วป้าข้างบ้านก็หันไปจับกลุ่มซุบซิบกับคนอื่นต่อ ปานตะวันสอดส่ายสายตาหาเกล้าทันที ราเมศที่เห็นเด็กชายก่อนจึงแตะศอกปานตะวันไว้แล้วชี้ไปทางคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนล้อมรอบเด็กชายในชุดนักเรียนอยู่
   
       “ตะวัน น้องอยู่นั่น”
   
        ปานตะวันกับราเมศรีบวิ่งเข้าไปยังจุดที่เกล้าอยู่ทันทีพร้อมกับเรียกเด็กชายไปด้วย พอเห็นหน้าคนทั้งคู่เกล้าก็ร้องไห้โฮ รีบโผจากกลุ่มตำรวจมาหาปานตะวันทันที
   
       “น้าเมศ น้าตะวัน ฮึก ฮือออ”
   
       “โอ๋ๆ นะครับน้องเกล้า ไม่เป็นไรนะคนเก่ง ปลอดภัยใช่ไหมครับ”
   
       เกล้าร้องไห้ไม่หยุดสองแขนผอมๆ กอดปานตะวันแน่น ตำรวจและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างมองมาที่ปานตะวันกับราเมศเป็นตาเดียว จนกระทั่งตำรวจนายหนึ่งเอ่ยกับปานตะวันว่า
   
       “คุณคือ....”
   
       “ผมปานตะวันครับ หลานชายผมเป็นเพื่อนสนิทกับน้องเกล้าครับ”
   
       “ดูท่าทางคุณจะสนิทกับเด็กมากเลยนะครับ”
   
       “ก็ใช่ครับ”
   
       ปานตะวันลูบหลังเกล้าเบาๆ ขณะที่ราเมศหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อย สายตาพินิจพิจารณาของนายตำรวจที่พูดกับปานตะวันมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า
   
        “คุณพอจะทราบอะไรเกี่ยวกับครอบครัวนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
   
        ปานตะวันสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็คิดได้ว่าตอนนี้โอกาสช่วยน้องเกล้ามาถึงแล้ว “ผมไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับพวกเขาหรอกครับแต่จากการเจอน้องเกล้ามาหลายครั้งผมคิดว่าน้องน่าจะถูกพ่อแท้ๆ และแม่เลี้ยงทำร้ายร่างกายครับ ไม่ใช่แค่การตีสั่งสอนธรรมดาด้วยครับ” ปานตะวันเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ตำรวจฟังอีกครั้ง เมื่อฟังจบคุณตำรวจก็พยักหน้าเบาๆ
   
       “ตอนที่เห็นรอยแผลตามตัวเด็กผมก็คิดว่าคงมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น แต่เด็กกลัวมากจนไม่ยอมพูดอะไร เขาพูดแต่ว่าจะหาแม่อย่างเดียวเลยดูเหมือนว่าทางเราต้องติดต่อกับแม่เด็กให้ได้ก่อน”
   
       “แล้วพ่อเด็กกับแม่เลี้ยงล่ะครับ”
   
       “ก็...คงต้องให้ไปเคลียร์กันที่โรงพักแหละครับ” คุณตำรวจถอนหายใจเบาๆ “ส่วนเด็กก็คงต้องแยกกับพ่อและแม่เลี้ยง...เราถามเบอร์คุณแม่น้องจากน้องแล้วแต่โทรไม่ติด ยังไงก็ต้องหาทางอื่นติดต่อให้แต่ระหว่างนั้น...”
   
       “ให้มาอยู่กับพวกเราก่อนได้ไหมครับ” ปานตะวันพูดขึ้น “ระหว่างที่รอแม่เด็กมา ให้เขามาอยู่กับพวกเราก่อนก็ได้ครับ เด็กไม่กลัวผมแล้วก็ไว้ใจมาก น้องเกล้าคงรู้สึกปลอดภัยขึ้น”
   
      นายตำรวจหันไปคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองน้องเกล้าที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้วแต่ยังมีท่าทางหวาดกลัวอยู่มาก สองมือเล็กๆ กำเสื้อปานตะวันแน่น ใครจะเข้าหาก็ไม่ยอมเอาแต่ซุกเข้าหาปานตะวันท่าเดียว
   
      “น้องเกล้าครับ วันนี้น้องเกล้าอยากจะไปกับน้าก่อนไหมครับ แล้วเดี๋ยวน้าจะติดต่อคุณแม่น้องเกล้าให้ เอาไหมครับ”
   
       “เกล้า...อยาก...อยากอยู่กับน้าตะวัน...ตอนที่รอแม่คับ”
   
       เด็กน้อยพูดเสียงอู้อี้ เห็นดังนั้นคุณตำรวจจึงปล่อยให้เด็กชายมาอยู่กับปานตะวันก่อน ชายหนุ่มกับราเมศบอกชื่อ เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของพวกตนให้กับตำรวจ เมื่อเสร็จเรื่องเรียบร้อยปานตะวันกับราเมศก็ขอบคุณคุณตำรวจและพาน้องเกล้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำแผลจากนั้นก็พากลับบ้าน
   
       ก่อนจะกลับมาราเมศกับปานตะวันเข้าไปเก็บเสื้อผ้าให้เด็กชายมาบางส่วน ยิ่งเห็นสภาพเละเทะภายในบ้านก็ยิ่งอนาถใจ พอถึงบ้านเรือนไทยแล้วราเมศก็หันมาถามเด็กชายว่า
   
       “น้องเกล้าทานข้าวเช้าหรือยังครับ”
   
       “ยังเลยคับ”
   
       “งั้นเดี๋ยวน้าเมศทำให้ ส่วนตะวันก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องแล้วกัน”
   
       “อื้ม”
   
      ปานตะวันหยิบกะละมังใบเล็กไปใส่น้ำแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้น้องเกล้า ขอบตาของเด็กชายบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายแต่งตัว พอสวมเสื้อผ้าเสร็จก็เป็นเวลาเดียวกับที่ราเมศทำอาหารเสร็จพอดี เช้าวันนั้นพวกเขาจึงนั่งทานข้าวเช้าด้วยกันสามคน
   
       “พี่เมศ แล้วจะเอายังไง พาน้องเกล้าไปที่ร้านด้วยดีไหม”
   
       “พี่ก็คิดไว้แบบนั้นแหละ พวกที่ร้านจะได้ช่วยดูด้วย”
   
        ตกลงกันได้เรียบร้อยปานตะวันก็หยิบเป้ใบเล็กของหนูเจียออกมา ใส่กระดาษ กล่องสี(ที่เป็นของแถมมากับสมุดวาดรูปหนูเจีย) หนังสือนิทานลงไปรวมถึงนมกล่องลงไปก่อนจะส่งกระเป๋าให้เกล้า
   
        วันนี้พวกเขาเข้าร้านสายเพราะธุระเรื่องของเด็กชาย พนักงานคนอื่นเองก็เข้าใจและช่วยเหลือเป็นอย่างดี พอมาถึงเกล้าก็ไปนั่งที่หลังเคาน์เตอร์ยาว เด็กชายสงบเสงี่ยมและเรียบร้อยมากจนปานตะวันกับราเมศไม่ต้องห่วงอะไรเลย พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างสงบ พอถึงช่วงเที่ยงพนักงานสาวคนหนึ่งก็ถือจานข้าวกลางวันมาให้น้องเกล้า พอถึงช่วงที่ลูกค้าน้อยทุกคนแวะเวียนมาคุยเล่นกับเด็กชาย
   
        ตอนสามโมงครึ่งปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก ชายหนุ่มจะเป็นคนออกไปรับเจียหลินส่วนเกล้าก็ให้อยู่ที่ร้านกับราเมศ เมื่อไปถึงโรงเรียนปานตะวันก็เจอหนูเจียนั่งแกว่งชิงช้าอยู่คนเดียวแบบเหงาๆ
   
       “น้าตะวันนน” เด็กชายตัวเล็กถลามาหาน้าชายอย่างรวดเร็ว ปานตะวันกางแขนรับหลานมากอดมาฟัดจนพอใจแล้วจึงเอ่ยถามว่า
   
        “เป็นอะไรไปครับหนูเจีย ทำไมวันนี้ดูซึมๆ หืม”
   
       เจียหลินก้มหน้า ใช้เท้าเขี่ยพื้นเล่นไปมาก่อนตอบว่า “วันนี้เกล้าไม่มาโรงเรียนคับน้าตะวัน หนูเจียไม่มีเพื่อนเล่นเลยเหงานิดหน่อย”
   
       ปานตะวันยิ้มให้หลานชาย “งั้นเรารีบกลับกันดีกว่า พอกลับบ้านหนูเจียก็จะไม่เหงาแล้วนะครับ”
   
       เด็กน้อยทำตาโต แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ระหว่างทางพวกเขาแวะซื้อขนมนมเนยเต็มมือ ปานตะวันพาหนูเจียไปที่ร้านอาหาร ตอนนี้ไม่มีลูกค้าอยู่ในร้านเลย หนูเจียยิ้มแป้นแล้วก็เอ่ยทักทายพี่ๆ ในร้านด้วยรอยยิ้ม
   
       “แหมหนูเจียหอบของกินมาเต็มเลย เอามาแบ่งเพื่อนเหรอจ๊ะ” น้ำ พนักงานสาวคนหนึ่งของร้านเอ่ยทักเด็กชายตัวน้อยที่เอียงคอมองกลับมา “เพื่อนเหรอคับพี่น้ำ?”
   
       “อื้ม ก็น้องเกล้าไงจ๊ะ นี่น้องเกล้าก็รอหนูเจียกลับมาเล่นด้วยกันอยู่นะ”
   
       “เกล้า...เกล้าอยู่เหรอคับ!?”
   
      “เจีย”
   
        เจ้าของชื่อหันขวับไปทันทีที่ถูกเรียก เจียหลินยิ้มกว้างปากจะฉีกถึงหูเมื่อเห็นเพื่อนสนิทโบกไม้โบกมือให้ เจ้าตัวรีบหิ้วถุงขนมตรงดิ่งไปหาอีกฝ่ายทันทีก่อนจะจูงกันไปที่มุมนั่งเล่นประจำของหนูเจียซึ่งตอนนี้ถูกเกล้าจังจองอยู่ บนโต๊ะมีกระดาษ สี และหนังสือนิทานวางไว้ เจียหลินลากเก้าอี้มาเพิ่ม เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วก็รีบถามเพื่อนสนิททันที
   
        “แล้วเกล้ามาได้ยังไง ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน”
   
        “เกล้ามากับน้าตะวันตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วนทำไมไม่ไปโรงเรียน...ที่บ้านเกล้าทะเลาะกันน่ะ คุณตำรวจเลยให้มาอยู่กับน้าตะวัน รอแม่มารับ”
   
        “เกล้าจะไปอยู่กับแม่เหรอ”
   
        “อื้ม แต่ไม่รู้แม่จะมาวันไหน”
   
        เจียหลินเท้าคาง ตั้งใจฟังเพื่อนสนิทพูด เวลาเกล้าพูดถึงแม่ อีกฝ่ายดูมีความสุขมากๆ
   
        “แม่ของเกล้าสวยไหม”
   
         “สวยสิ แม่สวยมากแล้วก็เล่านิทานเก่งมากด้วย” เกล้ายิ้มอย่างมีความสุขขณะที่พูดถึงนิทานที่แม่เคยเล่าให้เขาฟัง...เมื่อนานมาแล้ว
   
        ตอนที่แม่ยังไม่ได้ร้องไห้เสียใจทั้งวันทั้งคืน ตอนที่แม่ไม่ได้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
   
         “เกล้าอยากให้แม่กลับมาเล่านิทานให้ฟังอีก”
   
        เจียหลินพยักหน้า นึกถึงแม่จันทร์ของตัวเองขึ้นมา แม่จันทร์ก็ชอบเล่านิทานให้ฟังเหมือนกัน “อื้ม เจียก็อยากให้แม่มาเล่านิทานให้ฟังเหมือนกัน”
   
        ถึงน้าตะวันจะเล่านิทานได้สนุกมากแต่บางครั้งเจียหลินก็คิดถึงเสียงนุ่มๆ หวานๆ ของแม่จันทร์
   
        เด็กสองคนสบตากัน มีความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายจะส่งผ่านถึงกันได้
   
        พลันดวงตากลมของหนูเจียก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิทานเล่มโปรดของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ เด็กชายหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าใช่ เกล้าที่เห็นดังนั้นก็คิดว่าเจียหลินจะโกรธที่ตัวเองเอาของมาโดยไม่ขอ..ถึงคนหยิบให้จะเป็นน้าตะวันก็เถอะ
   
        “อ๊ะ เกล้าขอโทษนะที่ไม่ได้ขอ คือน้าตะวันหยิบมาให้เกล้าอ่านน่ะ...คือ...”
   
        “เล่มนี้แม่จันทร์อ่านให้เจียฟังบ่อยๆ ล่ะ”
   
         เจียหลินพูด พลิกหนังสือเบาๆ อย่างทะนุถนอม ทั้งน้าตะวัน น้าเมศและแม่จันทร์ชอบบอกให้เขาถนอมของเล่น ถนอมหนังสือเข้าไว้ ของของเราควรเก็บรักษาให้ดี
   
       “เกล้าชอบไหม เจียชอบมากเลย”
   
        “อ..อื้อ แต่เกล้ายังอ่านไม่จบ”
   
        “งั้นเดี๋ยวหนูเจียอ่านให้ฟังนะ!”
   
        เจียหลินกางหนังสือบนโต๊ะเพื่อให้เพื่อนเห็นรูปภาพด้วย ปลายนิ้วเล็กๆ ไล่ชี้ไปตามตัวอักษรก่อนที่น้ำเสียงใสๆ จะดังเจื้อยแจ้ว
   
       “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
   
        ที่มุมหนึ่งของร้าน ปานตะวันแอบใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเด็กทั้งคู่กำลังอ่านนิทานด้วยกันเอาไว้ ท่าทางปลื้มปริ่มจนน้ำตาแทบไหล
   
       “เห่อหลานจริงๆ นะ”
   
        น้ำเสียงทุ้มที่ดังชิดริมหูไม่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าใครเป็นคนพูด
   
        “แหงสิ พี่เมศเห็นไหม ทั้งคู่น่ารักมากเลย แถมหนูเจียยังอ่านหนังสือคล่องขนาดนี้แล้ว”
   
        ราเมศส่ายหัวพลางยิ้มขำๆ กับท่าทางระริกระรี้ของปานตะวัน ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าใครต่อใครเขาแอบล้อกันว่าปานตะวันเป็นโรค ‘หนูเจียลิซึ่ม’ กันไปทั้งร้านแล้ว พนักงานหรือแม้แต่ลูกค้าเจ้าประจำบางคนจะรู้ดีว่าถ้าชวนคุยกับปานตะวันแล้วอยากเห็นเจ้าตัวยิ้มหวานหน้าตาชื่อบานให้พูดเรื่องหนูเจีย
   
        “อย่ามัวแต่ถ่ายรูป ลูกค้ามาแล้ว กลับไปทำงานไป”
   
       “คร้าบ”
   
       ราเมศส่ายศีรษะอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว...พร้อมกับรอยยิ้ม
   
        “นี่...พี่เมศเขาก็แอบเรียกน้องตะวันว่าเป็นโรคหนูเจียลิซึ่ม ตัวเองจะรู้ไหมว่าโดนลูกค้ากับคนทั้งร้านเรียกว่าทาสแมวเนี่ย”
   
        “คิดว่าไม่รู้นะ...แต่อย่าพูดไป เดี๋ยวโดนตัดเงินเดือน”
   
        “ฮ่าๆ”
   
        พนักงานเสิร์ฟสาวสองคนแอบซุบซิบก่อนจะแยกย้ายไปทำงาน
   
        แหม...เรื่องครอบครัวของพี่เมศนี่แหละ บันเทิงสุดแล้ว
   
         ช่วงทุ่มครึ่งที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ปานตะวันก็เอาข้าวมาให้เจียหลินกับเกล้าทานก่อน วันนี้เด็กทั้งสองตัวติดกันเป็นตังเม พอมองหนูเจียที่หัวเราะอย่างมีความสุขแล้วปานตะวันก็อดใจหายไม่ได้เมื่อคิดว่าถ้าคุณแม่เกล้ามาแล้วรับเด็กชายไป...เกล้าก็อาจจะต้องย้ายโรงเรียน แล้วแบบนั้นหนูเจียจะไม่เหงาแย่เหรอ
   
         ชายหนุ่มคิดวนเวียนถึงเรื่องนี้จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน หลังทำความสะอาด เก็บโต๊ะและเก็บข้าวของเรียบร้อยปานตะวันก็เรียกเจียหลินและเกล้าให้เตรียมตัว ราเมศเดินเช็ครอบร้านเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นทั้งสี่ก็พากันกลับบ้าน
   
       คืนนั้นในห้องนอนของปานตะวันดูจะอบอุ่นมากที่สุด ไฟสีส้มที่หัวเตียงถูกเปิดไว้ เด็กน้อยสองคนนอนเบียดกันอยู่บนเตียงในขณะที่ปานตะวันนั่งพิงหัวเตียงพลางอ่านนิทานเรื่องลูกหมูสามตัวให้เด็กทั้งคู่ฟัง
   
       “แล้วลูกหมูตัวที่หนึ่งและตัวที่สองก็เข้าไปหลบในบ้านของลูกหมาตัวที่สาม...อ้าว” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเมื่อเห็นเด็กชายสองคนที่เมื่อห้านาทีก่อนยังนอนฟังนิทานตาแป๋วอยู่ มาตอนนี้กลับหลับสนิทส่งเสียงฟี้เบาๆ กันไปทั้งคู่
   
       ริมฝีปากของปานตะวันขยับเป็นรอยยิ้มก่อนจะโน้มตัวไปจูบแก้มหนูเจียหนึ่งที แก้มน้องเกล้าหนึ่งที
   
       “ฝันดีครับ”
   
       ตุบ ตุบ
   
       เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ราเมศที่กำลังนั่งดูบอลอยู่หันมามองแล้วก็ขยับที่นั่งให้ “หลานหลับแล้วเหรอ”
   
        “ครับ กอดกันกลมเลย ไม่แยกกันเลยคู่นี้”
   
        “หนูเจียมีเพื่อนสนิทก็เป็นแบบนี้แหละ แถวนี้ไม่มีเด็กให้เล่นด้วย คงเหงาเป็นธรรมดา” ราเมศยกแขนพาดพนักโซฟา ท่านั้นเหมือนกำลังโอบปานตะวันกลายๆ ซึ่งชายหนุ่มก็รู้ถึงได้ส่งยิ้มรู้ทันไปให้
   
        “เออ แล้วเมื่อกี้คุณตำรวจโทรมานะ บอกว่าติดต่อแม่น้องเกล้าได้แล้วแต่เขาอยู่เชียงรายนู่นเลย เจ้าตัวบอกจะรีบเดินทางมาให้เร็วที่สุด”
   
       “ดีแล้ว น้องเกล้าจะได้มีชีวิตที่ดีสักที”
   
        ปานตะวันถอนหายใจ ราเมศหยิบรีโมตมากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
   
        “พี่เมศ...พี่เมศว่าตะวันโตขึ้นไหม”
   
        “หืม หน้าก็ดูเด็กเหมือนเดิมนะ”
   
        “ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเว้ย หมายถึง...ตะวันดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไหม”
   
        “ถ้าวัดจากครั้งแรกที่พบกันก็ต้องบอกว่าโตขึ้นเยอะมาก”
   
        ปานตะวันไม่ใช่ผู้ชายที่ดูไม่มีความรับผิดชอบและไม่เอาการเอางานอีกแล้ว อีกฝ่ายโตขึ้น มีความพยายามมากขึ้น ทั้งเรื่องหนูเจีย งานพิเศษและผลการเรียนของอีกฝ่ายที่พอคะแนนออกมาแล้วเป็นที่น่าพอใจมาก ไม่ได้ดีที่สุดแต่ก็เกินกว่าที่คาดหมายไว้

         ทั้งหมดทั้งมวลคือความพยายามของปานตะวันที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
   
         ยิ่งพอมาเจอเรื่องของเกล้าราเมศก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าปานตะวันเป็นผู้ใหญ่และมีความคิดเพื่อคนอื่นมากขนาดไหน หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวอาจจะไม่ใส่ใจหรือวิ่งเต้นให้ความช่วยเหลือมากขนาดนี้
   
        “เรื่องน้องเกล้าก็เป็นอีกข้อพิสูจน์หนึ่งที่บอกว่าตะวันโตขึ้นนะ”
   
        “คงเพราะน้องเกล้าเหมือนตะวันตอนเด็กด้วยมั้งพี่เลยอยากช่วย...แล้วก็...ไม่รู้ดิ คือตะวันเลี้ยงหนูเจียมาอาจจะแค่ไม่นานแต่มันก็มีความรู้สึกของ...อืม...ผู้ปกครองน่ะ ความรู้สึกของคนเป็นพ่ออะไรแบบนี้ พอคิดว่าสิ่งที่เด็กคนนี้เจอถ้าเกิดกับลูกเรามันต้องแย่แน่ ตะวันก็ยิ่งอยากช่วย”
   
        “สัญชาตญาณความเป็นพ่อสินะ”
   
        “พี่ไม่มีหรือไง”
   
        “มีสิ จะว่าไปหนูเจียก็เหมือนลูกเราสองคนนั่นแหละ”
   
         ปานตะวันรู้สึกเหมือนมีใครมาเขย่าใจเขาเล่นไม่หยุด ผู้ชายตรงหน้าเขาชักร้ายกาจขึ้นทุกวันแล้วนะ! ชายหนุ่มกระแอมกลบเกลื่อนแล้วก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุดว่า   
   
        “ก็จริง เออ พี่เมศ พรุ่งนี้วันเสาร์ เราพาหนูเจียกับน้องเกล้าไปเที่ยวกันไหม” ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องเสียเลย
   
       “ก็ดีนะ ว่าแต่ไปที่ไหนล่ะ”
   
        “ไม่รู้สิ คงต้องหาข้อมูลก่อน ไปที่ใกล้ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับได้น่าจะดี”
   
         ปานตะวันหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดหาข้อมูลทันทีพลางพูดถึงสถานที่น่าสนใจไปด้วย ราเมศมองริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง ร่ายถึงสถานที่ที่เด็กๆ น่าจะชอบ รวมถึงกิจกรรมที่อยากทำด้วยกันแล้วในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง
   
         ความภาคภูมิใจ
   
        ไม่รู้ว่าทำไม บางทีอาจเป็นเพราะเห็นปานตะวันกำลังคิดเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนอื่น เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเขาจึงรู้สึกภูมิใจมากๆ
   
         แล้วรู้สึกรักปานตะวันมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
   
         “ว่าไงพี่เมศ ไปที่นี่ดีไหม—“
   
         คำพูดขาดหายไปเมื่อจู่ๆ ราเมศดึงโทรศัพท์มือถือของปานตะวันออกแล้วปิดริมฝีปากช่างพูดนั่นด้วยปากของตัวเอง ปานตะวันทั้งงงทั้งตกใจแต่เมื่อราเมศขบกัดดูดดึงริมฝีปากเขาเป็นเชิงหยอกล้อปานตะวันก็หลุดยิ้มออกมา ยอมจูบตอบแต่โดยดี
   
        ความร้อนรุ่มไล้ไปตามพวงแก้ม ซอกคอ ก่อนจะวกกลับมาที่เดิม ราเมศแตะริมฝีปากปานตะวันแผ่วเบาแล้วก็ถอยออก จูบคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประคองแก้มคนรักเอาไว้แล้วเปลี่ยนความอ่อนหวานให้เป็นความร้อนผ่าว ปานตะวันถูกดันให้เอนนอนลงบนโซฟา เสื้อยืดใส่นอนถูกเลิกขึ้น แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะก้าวไปไกลกว่านั้นเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นสียก่อน
   
       “น้าตะวัน...น้าเมศ”
   
        เจ้าของชื่อทั้งสะดุ้งผละออกห่างจากกันทันที ราเมศรีบลุกขึ้นนั่งส่วนปานตะวันก็รีบจัดเสื้อให้เรียบร้อย
   
        “ว่าไงครับหนูเจีย”
   
        ราเมศส่งยิ้มให้หลานชายที่เดินเกาะชายเสื้อเพื่อนออกมา ดูเหมือนเด็กทั้งสองจะไม่เห็น...ที่พวกเขาทำกันเมื่อครู่สินะ  โชคดีไป
   
        “หนูเจียอยากเข้าห้องน้ำ”
   
        “อ้อ งั้นมาครับเดี๋ยวน้าเมศพาไป”
   
        ปานตะวันแอบหัวเราะเมื่อเห็นราเมศเหลือบตามามองเขาแวบหนึ่ง ในแววตาแฝงแววเสียดายเอาไว้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลยิ้มทะเล้น ยักคิ้วกวนให้อีกฝ่ายแล้วจึงเผ่นเข้าห้องนอนไปก่อน ดีนะที่หนูเจียมาเรียกได้ทัน...ไม่งั้น...อะไรๆ ได้เลยเถิดจนกู่ไม่กลับแน่ๆ
   
        คราวหลังต้องระวังให้มากกว่านี้ซะแล้วแฮะ ไอ้พี่เมศเห็นเงียบๆ แต่มือไวใช่เล่น
   
        แกรก
   
        ราเมศพาหนูเจียกับเกล้าเข้ามาในห้องนอนแล้ว เด็กทั้งสองปีนขึ้นไปนอนบนเตียงรอให้น้าตะวันมากล่องนอนอีกรอบ เจียหลินนอนชิดผนัง เกล้านอนถัดออกมาส่วนปานตะวันก็นอนอยู่เกือบขอบเตียง ชายหนุ่มร้องเพลงกล่อมเบาๆ เพี้ยนบ้าง จำเนื้อร้องไม่ได้บ้างแต่เด็กทั้งคู่ก็ฟังเพลินจนหลับไป
   
        ราเมศชะโงกหน้ามาดูแล้วก็อมยิ้ม หอมแก้มเด็กๆ ไปคนล่ะทีก่อนจะดึงตัวปานตะวันลงมาที่ฟูกด้านล่าง
   
        “ต่อไหม”
   
        เท่านั้นแหละลูกแมวของเขาก็แยกเขี้ยวขู่ทันใด “ต่อบ้าอะไร ดึกแล้วอย่าหื่นมาก นอนๆ”
   
       “ครับๆ”
   
         ภาพสุดท้ายก่อนแสงไฟนวลตาในห้องจะดับลงคือภาพที่เด็กน้อยทั้งสองหลับอย่างเป็นสุขอยู่บนเตียงและคำกระซิบบอกรักที่ข้างหูจากคนข้างกาย...

********************************************************

สวัสดีค่าาาา เรากลับมาแล้ว  :katai4: รู้สึกช่วงนี้ไม่ได้อัพนิยายถี่เท่าเมื่อก่อนเลยค่ะ แหะๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ
พอเขียนตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่าปานตะวันโตขึ้นจริงๆ ด้วยแฮะ คาแรคเตอร์ปานตะวันตอนแรกๆ เลยคือเป็นเด็กที่
ชีวิตเหลวแหลกมาก่อน ไม่อยากรับผิดชอบใครหรืออะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้ปานตะวันโตขึ้น คิดเพื่อคนอื่นมากขึ้น
ไม่แน่ใจว่าคนอื่นคิดเหมือนเราหรือเปล่า สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ
ติชมได้เต็มที่เลย เราจะพยายามอัพนิยายให้บ่อยเท่าที่จะทำได้นะคะ ;w;
พบกันใหม่ตอนหน้า รักคนอ่านทุกคนนะคะ จุ๊บๆ

ปล. สามารถติดตามนิยายและเม้าท์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ไอ้ชั่ว!!!

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
ดีใจกับน้องเกล้าด้วย

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ตะวันโตขึ้นจริงๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขอให้พ้นจากเรื่องเลวร้ายนะน้องเกล้า
ไม่ใช่หนีเสือปะจรเข้นะ งื้อออ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
นึกถึงถ้าแม่เกล้ามารับเกล้าไปอยู่ด้วยแล้วสงสารน้องเจียอ่ะ
แค่เกล้าไม่ได้ไปโรงเรียนน้องเจียยังนั่งซึม  :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คุณแม่ก็ใจร้ายนะหนีไปไม่พาน้องเกล้าไปด้วยแบบนี้ แต่ก็นะพอจะเข้าใจหนีไปแบบนั้นคงจะลำบาก ไหนจะหาที่อยู่ ไหนจะหางานทำแต่ถ้าทุกอย่างมันเรียบร้อยลงตัวแล้วทำไมถึงไม่กลับมาเอาลูกกลับไปเลี้ยงเองทั้งๆ ที่รู้ว่าคนพ่อนิสัยยังไง ตอนนี้ตะวันโตขึ้นเยอะเลยค่ะ เพิ่งรู้นะว่าพี่เมศทาสแมว(ทาสน้องตะวัน) อืมมมมม แบบนี้เขาเรียกผู้ชายอบอุ่น อ่อนโยนใช่ไหมค่ะนี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สนุกมากๆค่ะ ชอบ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เด็กน้อย 2 คน น่ารักมาก ได้แต่หวังว่าขีวิตน้องเกล้าจะดีขึ้นนะลูก


ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
รับเกล้าไว้อีกคนนะ น้าเมศ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สงสารน้องมากเลย ไม่อยากให้น้องแยกกันเลย :hao5:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๕
ครอบครัวและคำสัญญา


      “โอ้โห น้าตะวัน คนเยอะจังเลย” เสียงเล็กๆ ของหนูเจียดังขึ้นพร้อมกับดวงตากลมโตที่สอดส่ายมองสภาพแวดล้อมรอบกายด้วยความสนอกสนใจ ปานตะวันจุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะช้อนตัวหลานชายขึ้นมาอุ้ม เบียดแก้มของตัวเองเข้ากับแก้มนิ่มหยุ่นของเจ้าตัวเล็ก ส่วนราเมศที่อุ้มเกล้าอยู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
   
      “ครับ วันนี้คนเยอะมากดังนั้นหนูเจียกับน้องเกล้าต้องอยู่ติดกับน้าเมศและน้าตะวันเข้าไว้นะครับ อย่าซนแล้วก็อย่าวิ่งไปไหนมาไหนเอง เดี๋ยวจะหลงทาง เข้าใจไหมเด็กๆ”
   
        “เข้าใจคับ”
   
        เสียงเล็กๆ สองเสียงตอบขึ้นพร้อมกันเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ปกครองทั้งสองได้เป็นอย่างดี
   
       ปานตะวันมองเด็กชายสองคนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับเอี๊ยมยีนเข้าคู่กันซึ่งกำลังแสดงท่าทางตื่นเต้นเหมือนๆ กันแล้วก็อมยิ้ม คิดถูกจริงๆ ที่พาเด็กทั้งคู่ออกมาเที่ยวข้างนอก
   
       เมื่อคืนก่อนเขากับราเมศนั่งวางแผนกันว่าจะพาหนูเจียและน้องเกล้าไปเที่ยวที่ไหนดีในวันหยุด เป็นการให้น้องเกล้าได้ผ่อนคลายหลังเจอเหตุการณ์เลวร้ายมาด้วย แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกสุดท้ายจึงมาจบลงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์คนที่มาเดินห้างย่อมเยอะเป็นธรรมดา
   
       ปานตะวันกับราเมศที่เป็นห่วงว่าหลานจะมัวแต่ดูนู่นดูนี่จนหลงทางเลยพร้อมใจกันอุ้มเด็กๆ ขึ้นมา
   
       “ไปที่ไหนก่อนดีนะ” ปานตะวันพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ ที่มีแต่คน คน แล้วก็คน ชายหนุ่มย่นจมูกเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าควรเดินไปตรงไหนก่อนดี เขาเพิ่งเคยมาห้างนี้ครั้งแรกด้วยสิ บริเวณชั้นหนึ่งที่พวกเขาอยู่ก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์ต่างๆ
   
       “ที่ชั้นสองกับเป็นโซนร้านอาหารส่วนโซนเด็กอยู่ชั้นสี่ นายจะไปไหนก่อนล่ะ”
   
       “ไปชั้นสี่ก่อนก็ได้มั้งพี่ ให้เด็กๆ ไปเล่นกันก่อนแล้วเราค่อยไปกินขนม”
   
       ปานตะวันตัดสินใจเสร็จสรรพแต่แล้วแผนการก็เป็นอันต้องพับเก็บเมื่อจู่ๆ หนูเจียที่หูไวได้ยินคำว่าขนมก็หันมายิ้มแฉ่งอวดฟันกระต่าย ดวงตากลมวิบวับเป็นประกาย ปานตะวันคล้ายจะเห็นดอกไม้และออร่าวิ้งๆ เบ่งบานเป็นฉากหลังให้หลานชาย
   
       “ขนม!” เจียหลินพูดด้วยใบหน้าเป็นประกาย “หนูเจียอยากกินขนม ไปกินขนมกันเถอะนะคับน้าตะวัน น้าๆ”
   
       ปานตะวันอมยิ้มแก้มตุ่ย รู้สึกดีที่หลานชายมาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวเล็กแบบนี้
   
       “แต่ก่อนออกจากบ้านมาเราก็เพิ่งกินมาเองนะครับ” ชายหนุ่มแกล้งพูด หนูเจียที่ได้ฟังก็ทำหน้ายุ่ง เจ้าตัวเล็กซบแก้มนิ่มหยุ่นลงกับบ่าน้าชายของตนแล้วก็ช้อนตากลมเหมือนลูกแมวขึ้นมอง
   
       “แต่หนูเจียอยากกินอีกนี่นา ไม่ได้เหรอคับ”
   
       “เสร็จแน่ตะวัน” ราเมศกลั้นหัวเราะ ขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปนั้นเก็บไว้
   
       ปานตะวันแสร้งทำหน้าครุ่นคิด “หนูเจียลองหันไปถามน้าเมศกับน้องเกล้าดูสิครับ ถ้าทั้งสองคนอยากไปกินขนมเราก็จะไปกินขนม”
   
      เจียหลินหันไปหาน้าชายอีกคนทันที รายนี้แค่เห็นสายตาปิ๊งๆ ของเด็กน้อยก็ใจอ่อนยวบ พยักหน้าตกลง เป็นอันว่าเสร็จไปหนึ่ง
   
       “เกล้า” เจียหลินเรียกชื่อเพื่อน เอื้อมมือไปเขย่าสายเอี๊ยมอีกฝ่ายพลางส่งยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายให้ “ไปกินขนมกันนะ”
   
       “น้องเกล้าตอบตามที่อยากตอบเลยนะครับ ถ้ายังไม่อยากไปกินขนมก็ไม่เป็นไร”
   
        เกล้าอ้ำอึ้ง ใจจริงเด็กชายน่ะยังไงก็ได้ไปเล่นก่อนก็ฟังดูน่าสนุก ไปกินขนมก็ฟังดูน่าอร่อย
   
        “เกล้า...”
   
        “เอาที่น้องเกล้าทำแล้วมีความสุขเลยครับ”   
   
        ที่เขาทำแล้วมีความสุขงั้นหรือ...
   
        สิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุขคือการได้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของน้าเมศหรือไม่ก็น้าตะวัน ซุกตัวในอ้อมกอดอบอุ่นที่มีกลิ่นอายของแสงแดด ได้นั่งทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ได้ไปเล่นกับเจียหลินที่โรงเรียนทุกวัน
   
       สำหรับเกล้าแล้วแค่ได้อยู่กับน้าๆ และเจียหลินเขาก็ความสุขมากแล้ว
   
       “เกล้าตามใจเจียคับ” เด็กชายยิ้ม จับนิ้วมือเล็กๆ ของเพื่อนสนิทเอาไว้ “เราไปกินขนมกันเถอะนะคับน้าตะวัน”
   
      “เย้! เจียรักเกล้าที่สุดเล้ย”
   
       หนูเจียที่ดีใจยิ้มแก้มแทบแตก โถมตัวไปกอดรัดเพื่อนสนิททันทีทำเอาปานตะวันต้องรีบประคองหลานชายเอาไว้พร้อมดุว่า “หนูเจียอย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวตกนะครับ”
   
       เจียหลินแทนที่จะสลด เด็กชายกลับยิ้มแป้น จุ๊บแก้มซ้ายแก้มขวาน้าตะวันเป็นการเอาใจ หันไปยิ้มหวานให้น้าเมศและเกล้าอีกต่างหาก “กินขนมมม”
   
       “เฮ้อ ลูกหมูเอ๊ย”
   
       ราเมศหัวเราะเบาๆ กับคำบ่นนั้น ชายหนุ่มแตะแผ่นหลังของปานตะวันให้ออกเดิน ท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนที่เดินผ่านไปมา
   
       ทั้งสี่คนไม่รู้หรอกว่าในสายตาของคนนอกแล้วพวกเขาช่างดูเหมือน ‘ครอบครัว’ เหลือเกิน
   
       หลังเดินวนไปวนมาอยู่สามสี่รอบพวกเขาก็เจอร้านขนมที่หนูเจียอยากกิน ร้านนั้นเป็นร้านเค้ก ตั้งอยู่ที่ชั้นสองของห้าง ภายในร้านมีลูกค้าจับจองอยู่เกือบทุกโต๊ะแต่โชคดีที่ยังมีที่ว่าง
   
       พนักงานนำทางพวกปานตะวันไปที่โต๊ะด้านในสุดของร้านซึ่งตั้งติดกับผนังสีน้ำตาลอ่อนวาดลวดลายดอกไม้และใบไม้รวมถึงตัวการ์ตูน บนโต๊ะสีขาวมีตะกร้าดอกไม้วางประดับอยู่ เก้าอี้ดัดลวดลายเข้ากับโต๊ะถูกปูทับด้วยเบาะรองนั่งนุ่มนิ่ม ปานตะวันต้องคอยระวังไม่ให้หลานชายดึงดอกไม้ในตะกร้าออกมาเล่น
   
       พนักงานเสิร์ฟยิ้มหวานให้ก่อนจะหยิบเมนูออกมา หนูเจียทำตาโตแล้วก็จิ้มทุกเค้กมาเกือบทุกรสชาติแต่ปานตะวันรีบห้ามไว้ ให้สั่งมาได้แค่สองชิ้นก่อน
   
       “สั่งมาเยอะแล้วกินไม่หมดมันเปลืองเงินนะครับหนูเจีย แล้วก็น่าเสียดายด้วย เอาไว้ถ้าหนูเจียกินหมดแล้วไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่มนะ”
   
       “ก็ได้คับ”
   
        “น้องเกล้ากินอะไรดีครับ”
   
       ราเมศหันไปถามเกล้าบ้าง เด็กชายนั่งมองเมนูขนมและน้ำหวานนิ่ง พอเห็นราคาก็รู้สึกเกรงใจผู้ปกครองชั่วคราวทั้งสอง รวมถึงไม่รู้จะสั่งอะไรด้วย...บางอย่างในเมนูนี้เด็กชายยังไม่รู้จักเลย
   
      “น้องเกล้าครับ” ราเมศเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพนักงานชักจะรอนานแล้ว
   
      “เกล้า...เกล้าไม่รู้จะกินอะไรคับ”
   
       “ไม่มีอันที่ชอบเหรอครับ” เด็กชายเม้มริมฝีปากแล้วก็อ้อมแอ้มออกมาว่า “เกล้าเกรงใจ...”
   
       “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน้องเกล้า พี่เมศเลี้ยง อยากกินอะไรสั่งเลย” ปานตะวันหัวเราะแล้วก็หันไปสั่งน้ำหวานให้เด็กๆ และตัวเอง ส่วนของราเมศเป็นคาปูชิโน่หนึ่งแก้ว
   
       “เกล้า...เกล้าไม่รู้จะสั่งอะไร”
   
       เด็กชายอึกอัก กลัวว่าจะถูกดุเพราะตัวเองคิดช้าและทำให้พนักงานเสิร์ฟต้องรอแต่นอกจากราเมศกับปานตะวันจะไม่ดุด่าแล้ว ทั้งคู่ยังยิ้มแล้วก็ช่วยสั่งขนมให้ด้วย
   
        พนักงานเสิร์ฟอ่านทวนรายการอีกรอบก่อนจะจากไป พอคล้อยหลังหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มของร้านแล้วเกล้าก็ก้มหน้าพลางพึมพำว่า “ขอโทษนะคับ”
   
       ราเมศลูบผมเด็กชายอย่างเบามือ “ขอโทษทำไมครับ”
   
        “เกล้าคิดช้า ทำให้ทุกคนรอ”
   
       “ไม่เห็นเป็นไรเลยครับน้องเกล้า อย่าคิดมากเลยนะ”
   
       “ไม่...ไม่โกรธเหรอคับ”
   
        คราวนี้ปานตะวันเอื้อมมือไปลูบแก้มเด็กชายบ้าง ริมฝีปากบางผลิรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่ว่าเกล้าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงแสงแดดอุ่นๆ “ไม่มีใครโกรธน้องเกล้าหรอกนะ เด็กดี”
   
       เป็นครั้งแรก...ที่มีคนบอกว่าเขาเป็นเด็กดี
   
       “พวกเรารักน้องเกล้านะ”
   
       “อื้ม เจียก็รักเกล้านะ”
   
        เป็นครั้งแรกหลังเวลานานหลายปี...ที่มีคนบอกว่าเขาเป็นที่รัก
   
       มุมปากของเด็กชายยกขึ้น ตอนแรกแค่เล็กน้อยก่อนที่น้องเกล้าจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ ยิ้มทั้งปากทั้งตา ดวงตาของเด็กชายเปล่งประกายอย่างมีความสุข
   
       “น้องเกล้าก็รักน้าเมศ น้าตะวันแล้วก็เจียเหมือนกัน”
   
       หลังจากนั้นไม่นานขนมและน้ำหวานที่สั่งก็มาถึง ปานตะวันที่ตอนแรกรับปากราเมศเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยดูหลานแต่เอาเข้าจริงพอเครปเค้กมาวางตรงหน้าอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตากิน แถมครีมยังเลอะปากไม่ต่างอะไรกับหลานชายเลย สุดท้ายราเมศก็ต้องเป็นคนเช็ดปากให้ทั้งแฟนและหลาน
   
       นี่มันเหมือนกับเขาพาเด็กน้อยสามคนมาเที่ยวเลยแฮะ
   
      “ยิ้มอะไรพี่เมศ” ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมาจากเค้กช็อกโกแลต ดูเอาเถอะ บอกหลานว่าอย่าสั่งเยอะแต่ตัวเองนี่ทั้งเครปเค้กทั้งฮันนี่โทสต์ทั้งเค้กช็อกโกแลต
   
       “เปล่า แค่รู้สึกเหมือนตัวเองพาเด็กสามคนมาเที่ยว”
   
       ราเมศว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ปานตะวันย่นจมูก เจ้าตัวดูจะไม่ชอบคำว่าเด็กสักเท่าไหร่แต่แล้วดวงตากลมพลันฉายประกายซุกซนออกมา
   
       “ใช่ ตะวันเป็นเด็ก งั้นวันนี้ผู้ใหญ่ต้องเลี้ยง”
   
       “ทำตัวเป็นเด็กป๋าเหรอ”
   
       มือที่กำลังจะส่งขนมเค้กเข้าปากพลันชะงัก ปานตะวันเงยหน้ามาแลบลิ้นใส่ราเมศก่อนยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวนประสาทเบาๆ
   
        “แล้วป๋ามีเงินเลี้ยงไหมล่ะ”
   
        “ทุกวันนี้ใครจ่ายเงินเดือนให้ล่ะครับเด็กน้อย”
   
        ราเมศดึงแก้มอีกฝ่ายจนยืด ชายหนุ่มถือโอกาสปาดเช็ดครีมที่ติดบนริมฝีปากปานตะวันออกไปด้วย เจ้าลูกแมวของเขาที่เมื่อครู่ยังทำท่ากวนประสาทอยู่เลย แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับเขินจนหูแดง...
   
        แดงพอๆ กับสตรอเบอรี่บนจานฮันนี่โทสต์ตรงหน้าเลยล่ะ
   
        “น้าตะวันๆ เด็กป๋าคืออะไรเหรอคับ”
   
       หนูเจียตัวน้อยที่เมื่อได้ยินคำศัพท์ไม่คุ้นก็หันไปกระตุกชายเสื้อน้าชายแล้วถามตาแป๋ว ส่วนผู้ปกครองทั้งสองก็สำลักน้ำสำลักขนมกันถ้วนหน้า
   
       “แค่กๆ หนูเจีย อย่าไปพูดแบบนี้กับใครเขานะครับ”
   
       ปานตะวันที่หายจากอาการไอจนหน้าดำหน้าแดงแล้วก็รีบก้มหน้าไปสั่งสอนหลาน หนูเจียอ้าปากงับขนมปังทาแยมเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มป่องก่อนจะถามอีกรอบ
   
       “ทำไมละคับ เป็นคำไม่ดีเหรอ”
   
       “เอ่อ...มันไม่เหมาะกับเด็กน่ะครับ”
   
        “แล้วทำไมถึงได้ไม่เหมาะล่ะคับ”
   
        พระเจ้า ทำไมหลานชายของเขาถึงได้ช่างสงสัยแบบนี้นะ!
   
       ปานตะวันมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายหนุ่มส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ราเมศแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีเขา
   
       ไอ้พี่เมศ เห็นนะว่ากำลังแอบขำน่ะ!
   
       “น้าตะวันนน ทำไมมันไม่ดีล่ะคับ”
   
        หนูเจีย...หนูอย่าเพิ่งถามเลยนะลูก น้าตะวันกำลังจะประสาทกินแล้ว
   
        ปานตะวันร่ำไห้ในใจพลางก่นด่าความพูดไม่คิดของตัวเองไปด้วย ราเมศเองก็มีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งมาในแชทของปานตะวัน
   
       P’เมศ : ดูเหมือนว่าคราวหลังเราจะต้องระวังคำพูดมากกว่านี้แล้วล่ะ 11:30 AM
   
       Pantawan : ตะวันขอโทษนะพี่ 11:30 AM Read
   
       P’เมศ : พี่เองก็ผิดเหมือนกัน คราวหลังเราต้องระวังคำพูดต่อหน้าหลานแล้วล่ะ ลืมไปเลยว่าหนูเจียน่ะขี้สงสัย 11:31 AM

   
      ปานตะวันส่งสายตาสำนึกผิดให้อีกฝ่ายทันที ราเมศเองก็ขยับปากเป็นคำว่าขอโทษมาให้เหมือนกัน
   
       P’เมศ : เอาเป็นว่าเรารีบหาคำตอบดีๆ ให้หลานก่อนก็แล้วกัน 11:32 AM
   
       ในระหว่างที่สมองของเขากำลังปั่นเร็วจี๋เพื่อหาคำตอบผู้ช่วยชีวิตที่ปานตะวันไม่คาดคิดก็เข้ามาขัดจังหวะทัน
   
       “เจีย ลองกินอันนี้สิ อร่อยมากเลยนะ” เกล้าเลื่อนเอแคลร์ไปตรงหน้าเจียหลิน “เราอยากให้เจียลองกินดู”
   
       “ขอบคุณนะเกล้า” เจียหลินยิ้มแก้มป่องก่อนจะหยิบเอแคลร์มางับเข้าเต็มคำ รสชาติหวานหอมกระจายไปทั่วทั้งปาก ประกอบกับเนื้อครีมนุ่มลิ้นทำให้เด็กน้อยตาเป็นประกาย “อร่อยจริงๆ ด้วย”
   
        “เนอะ”
   
        “กินอีกได้ไหม”
   
        “ได้สิ”
   
        “หนูเจียครับ แบ่งให้เพื่อนกินด้วย ห้ามกินคนเดียวหมด”
   
        “คับน้าเมศ เกล้า มากินด้วยกันนะ”
   
        เจียหลินที่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปไปหาขนมลืมคำถามก่อนหน้านี้ไปสิ้น ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ ชายหนุ่มหันไปสบตากับน้องเกล้าที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
   
       ...เด็กฉลาด...
   
       ปานตะวันขยับปากเป็นคำว่า ‘เก่งมาก’ พร้อมกับชูนิ้วโป้งให้เด็กชาย อีกฝ่ายหัวเราะแล้วก็หันกลับไปกินเอแคลร์กับหนูเจียต่อ
   
        ครึ่งชั่วโมงต่อมาปานตะวันก็เรียกคิดเงิน ถึงแม้เขาจะแกล้งพูดให้ราเมศเลี้ยงแต่พอตอนจ่ายก็หารกันอยู่ดี
   
        ทำไมน่ะเหรอ?
   
        ก็เพราะว่าปานตะวันเป็นคนที่กินเยอะเป็นอันดับสองรองจากหนูเจียน่ะสิ กินเยอะแล้วยังให้คนอื่นจ่ายให้ก็ดูไม่ดี เขาไม่ได้หน้าหนาขนาดนั้น
   
        “พี่เมศ...จุก”
   
        ระหว่างรอเงินทอนเจียหลินก็ขอสลับที่กับราเมศไปนั่งเล่นกับเกล้า ปานตะวันเลยได้โอกาสเอนหัวไปพิงไหล่อีกฝ่ายพร้อมกับโอดครวญ
   
       “ก็กินเยอะ จะไม่จุกได้ยังไง” ราเมศพูด ตอนเห็นปานตะวันกินขนมลงท้องนี่เขายังนึกเลี่ยนแทน ชายหนุ่มเป็นคนที่กินน้อยที่สุด น้องจากเค้กหนึ่งชิ้นกับกาแฟหนึ่งแก้วแล้วเขาก็ไม่ได้กินอะไรเพิ่มอีก
   
       แค่มองหลานกับแฟนกินก็อิ่มแล้วเอาจริงๆ
   
       “มันอร่อยนี่นา”
   
       “เดี๋ยวก็ปวดท้อง”
   
      “มาพูดตอนนี้มันสายไปไหม”
   
        ราเมศยิ้มมุมปาก ขยี้ผมสีน้ำตาลของไอ้แมวแสบเล่น ปานตะวันก็เอียงศีรษะเข้าหามืออีกฝ่าย ชายหนุ่มชอบเวลาราเมศลูบผมเขาเล่นเอามากๆ
   
       “แต่เค้กร้านนี้อร่อยดีนะ”
   
      “ถ้าชอบจะพามากินอีกดีไหม”
   
       “ดีเลยพี่เมศ/ดีคับน้าเมศ!”
   
      แมวเล็กกับแมวใหญ่ตอบขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าคาดหวังเต็มเปี่ยม...ราเมศเองก็กำลังคิดว่าดูเหมือนหลังจากนี้ร้านขนมร้านนี้จะกลายเป็นเจ้าประจำของพวกเขาไปเสียแล้วล่ะ
   
      หลังจากกินขนมพวกเขาก็ตัดสินใจเดินเล่นกันสักพัก ราเมศกับปานตะวันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หนูเจียกับน้องเกล้าอีกคนละสองสามชุด ปานตะวันสนุกกับการจับหลานชายทั้งสองแต่งตัวให้เข้ากันมากทีเดียวจนราเมศต้องสะกิดเตือนเพราะหนูเจียเริ่มหน้ามุ่ยแล้ว
 
      ถัดจากซื้อเสื้อผ้าราเมศกับปานตะวันก็พาหนูเจียและเกล้าไปยังโซนเด็กเล่น บริเวณนั้นมีผู้ปกครองร่วมทั้งลูกเด็กเล็กแดงส่งเสียงกันเซ็งแซ่ หนูเจียดูจะตื่นเต้นมาก เจ้าตัวเล็กทำท่าจะพุ่งเข้าไปหากองลูกบอลและบ้านลมแล้วถ้าไม่ใช่ปานตะวันคว้าคอเสื้อเอาไว้ทัน
   
      “หนูเจีย” ปานตะวันพูดพลางติดเข็มกลัดที่ได้รับมาจากพนักงานเข้าที่หน้าอกหนูเจียส่วนราเมศก็โน้มตัวลงติดให้เกล้า “น้าตะวันให้เวลาหนึ่งชั่วโมงนะครับ จะไปเข้าห้องน้ำหรือจะไปไหนต้องมาบอกน้าตะวัน อย่าตามคนแปลกหน้า อย่าเล่นแรงๆ จนเจ็บตัวเข้าใจไหมครับ”
   
      แม้ด้านในจะมีพนักงานโซนเด็กเล่นคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดแต่ปานตะวันก็อดเป็นห่วงไม่ได้
   
      “เข้าใจแล้วคับน้าตะวัน หนูเจียจะเป็นเด็กดี”
   
      “ดีมากหนูน้อยของน้า”
   
       ปานตะวันหอมแก้มหลานไปสองฟอดใหญ่ ก่อนจะหันไปกำชับน้องเกล้าด้วยประโยคแบบเดียวกัน จากนั้นผู้ใหญ่สองคนก็ถอยออกมาปล่อยให้เด็กๆ จูงมือเข้าไปเล่นกันด้านใน
   
        หนูเจียตรงดิ่งไปหาสไลเดอร์ทันที เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าตรงนู้นออกตรงนี้โดยมีเกล้าตามติดไม่ห่าง เด็กชายทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ของเจียหลินอย่างไรอย่างนั้นแถมยังเป็นผู้พิทักษ์ที่ตามใจขั้นสุดยอดเพราะไม่ว่าหนูเจียจะชี้ไปทางไหน เกล้าเป็นต้องพยักหน้ารับแล้วก็ตามไปเล่นด้วยทุกครั้ง
   
       “มีแต่คนตามใจแบบนี้หลานเราจะเสียคนไหมเนี่ยพี่ ดูสิ น้องเกล้าเดินตามหนูเจียต้อยๆ เชียว ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้”
   
        ราเมศเหลือบตามองคนบ่นที่ยังรัวกดถ่ายรูปไม่หยุดด้วยแววตาขบขันระคนเอ็นดู
   
        “ไม่รู้ตัวหรือไงว่าคนตามใจหลานที่สุดน่ะมันนาย”
   
        “อย่ามาใส่ความผม พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
   
        อันนี้ก็ไม่เถียงหรอกนะ
   
       “พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่เป็นทาสแมว” ราเมศคลี่ยิ้มบางหากแต่ดวงตาสีนิลกลับพราวระยับแล้วยังแฝงไปด้วยอาการซุกซน มือใหญ่หยิกแก้มคนข้างกายไปหนึ่งทีด้วยความเอ็นดู
   
       “แมวของพี่พี่ก็ต้องตามใจสิ”
   
      “อย่าตามใจมาก เดี๋ยวหลานจะเสียคน”
   
      “อืม ดูสิ ขนาดผู้ใหญ่ตรงหน้ายังโดนตามใจจนจะเสียผู้ใหญ่อยู่แล้ว”
   
      “ไอ้พี่เมศ! ใครเป็นแมวของพี่กันหา!”
   
       ราเมศขยับเท้าเข้าไปชิดปานตะวันจากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มผมน้ำตาล น้ำเสียงทุ้มเปล่งออกมาเป็นประโยคสั้นๆ หากแต่อานุภาพเขย่าใจคนฟังได้อย่างร้ายกาจ
   
      “นายไง...เป็นแมวที่พี่ตามใจมากที่สุดแล้ว”
   
        ตุบ
   
        “เฮ้ย ลูกพ่อ!”
   
       ปานตะวันอุทานเมื่อโทรศัพท์ที่ถืออยู่พลันหลุดจากมือไปนอนแอ้งแม้งที่พื้น ชายหนุ่มรีบก้มลงเก็บทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่ราเมศเองก็ก้มลงไปช่วยหยิบมือถือให้ ขอบอกเลยว่าปานตะวันดูละครหลังข่าวไม่บ่อยแต่เท่าที่รู้มาร้อยทั้งร้อยมันต้องมีฉากที่พระเอกกับนางเอกสบตากันตอนที่มือบังเอิญแตะโดน...
   
      เปรี๊ยะ
   
      “เชี่ย ไฟฟ้าสถิต”
   
       ปานตะวันสบถพลางรีบชักมือกลัวมาสะบัดๆ ประโยคนั้นทำเอาบรรยากาศโรแมนติกที่ควรจะเกิดพังครืนไม่เป็นท่า

       ราเมศกลอกตาพลางส่งโทรศัพท์ให้ปานตะวัน “ไม่คิดว่ามันจะเป็นเหมือนในนิยายบ้างเหรอ...ที่แบบว่าพระเอกนางเอกแตะมือกันแล้วก็มีกระแสไฟฟ้าสิ่งปราดเข้าไปในร่างงี้”
   
       “อ่านนิยายมากไปแล้วพี่ เมื่อกี้ไฟฟ้าสถิตชัดๆ กระแสไฟแล่นปราดทั่วร่างจนใจเต้นอะไรกัน” ปานตะวันถูมือตัวเองไปมา
   
       “ไม่โรแมนติกเลย”
   
       “คนหน้าตายแบบพี่เมศไม่มีสิทธิ์มาว่าคนอื่นนะครับ”
   
       ปานตะวันหัวเราะชอบใจก่อนจะลากชายหนุ่มร่างยักษ์เข้าไปในร้านกาแฟไม่ไกลจากโซนเด็กเล่นนัก ในร้านมีผู้ปกครองหลายคนเข้ามานั่งรอลูกหลานเช่นกัน ปานตะวันสั่งชาเขียวมาสองแก้วก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะ เขาเลื่อนแก้วชาไปให้ราเมศแก้วหนึ่ง
   
      “ขอบใจ”
   
      “ด้วยความยินดีครับผม”
   
       ปานตะวันกับราเมศนั่งกันอยู่เงียบๆ โต๊ะที่ทั้งคู่เลือกอยู่ติดกระจกทำให้มองเห็นหนูเจียกับเกล้าผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้นตรงนี้ได้ มือของเด็กทั้งสองจับกันไว้แน่น มีหนหนึ่งที่หนูเจียหันออกมาข้างนอกแล้วไม่เห็นปานตะวัน เด็กน้อยเลยทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้แต่เกล้าก็รีบปลอบจากนั้นก็ชี้ตรงมาที่ร้านกาแฟ ปานตะวันโบกมือให้หลานชายที่มีสีหน้าดีขึ้น หนูเจียยิ้มร่าให้ผู้ปกครองแล้วก็หันกลับไปวิ่งเล่นต่อ
   
       “ตะวันชอบบรรยากาศแบบนี้จัง” ปานตะวันเปรยขึ้น เรียกนัยน์ตาสีนิลของคนฝั่งตรงข้ามให้เบนกลับมาที่เขา “มีพี่ มีผม มีเด็กๆ เป็นครอบครัวเดียวกัน”
   
      “ตะวันชอบพี่ด้วยเหรอ นึกว่าชอบแต่คนโรแมนติกอะไรแบบนี้”
   
      คนถูกแซะแทบจะพ่นชาเขียวออกมา อะไรกัน นี่กำลังงอนที่เขาหาว่าเจ้าตัวไม่โรแมนติกเมื่อครู่นี้เหรอ
   
       “โถๆ”
   
      “ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้นเลย เดี๋ยวก็ดีดเหม่งเข้าให้หรอก”
   
       “ฮ่าๆ ไม่เอาน่าพี่เมศอย่าน้อยใจสิ” ปานตะวันเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ ยกขึ้นมาทาบกัน เกาะเกี่ยวปลายนิ้วเล่น  ราเมศเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมทำตามใจเขาทุกอย่าง ปานตะวันจับมืออีกฝ่ายให้วางหงายลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบเอาปากกามาจากในกระเป๋าของตน ชายหนุ่มวาดรูปหัวใจดวงเบ้อเริ่มลงไปที่ใจกลางฝ่ามือของราเมศ
   
      ปานตะวันรู้ว่าราเมศเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แสดงความรู้สึกทางสีหน้าก็ไม่เก่งเหมือนกัน มีแค่กับคนสนิทเท่านั้นที่เขาจะยิ้มแล้วก็พูดจาดีด้วย พวกพนักงานที่ร้านบางคนถึงได้กลัวราเมศนักเพราะคิดว่าอีกฝ่ายดุ ปานตะวันเองตอนแรกก็ไม่ชอบไอ้น้ำเสียงห้วนๆ ตาขวางๆ กับหน้าดุๆ ของอีกฝ่ายเลย แต่พอมาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าภายใต้กิริยาเหล่านั้นคือความหวังดี ทุกสิ่งที่ราเมศทำก็เพื่อเขาและหนูเจียทั้งนั้น...แถมพอหลังจากตกลงคบกันอีกฝ่ายก็ดูจะ...รุกเข้าหามากขึ้น คำพูดหวานๆ มีทั้งออกมาแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
   
       จากไม่ชอบกลายเป็นว่าตอนนี้ตะวันชอบทุกอย่างที่เป็นราเมศ
   
      ผู้ชายทื่อๆ แข็งๆ ที่โคตรจะไม่โรแมนติก...แต่กลับน่ารักมากในสายตาปานตะวัน
   
      “ถึงไม่โรแมนติกก็รักนะครับ”
   
       ราเมศชะงักค้าง...นิ่ง...เหมือนโดนสาปให้เป็นหิน ปานตะวันปล่อยมือของอีกฝ่ายออกแล้วก็หันไปมองนอกกระจกอีกรอบพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
   
      เท่านี่ก็ถือว่าเอาคืนที่อีกฝ่ายทำให้เขาเขินจนโทรศัพท์ตกได้แล้วนะ!
   
      “แล้ว...จากนี้จะไปไหนต่อไหม” ราเมศกระแอม ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเองแต่แมวแสบก็ยิ้มรู้ทันมาให้อยู่ดี
   
      “ไม่รู้สิครับ บางทีเด็กๆ อาจอยากกลับบ้าน”
   
      “งั้นเดี๋ยวเรากลับบ้านกันเลยก็ได้”
   
        ปานตะวันพยักหน้า หนึ่งชั่วโมงผ่านไปหนูเจียกับเกล้าก็เหนื่อยจนหมดแรง ปานตะวันจึงเดินไปรับเด็กชายทั้งสองออกมาจากโซนเด็กเล่น
   
        “เหนื่อยไหมเด็กๆ กลับกันเลยดีหรือเปล่า”
   
       เจียหลินกับเกล้าไม่คัดค้าน ขากลับหนูเจียยืนยันจะเดินเองปานตะวันจึงเป็นคนจูงมือหลานไว้ ส่วนราเมศก็จูงมือเกล้า เด็กทั้งสองจับมือกันเองอีกต่อหนึ่ง ภาพทั้งสี่ในสายตาคนนอกจึงกลายเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์สุดน่ารักที่ทำให้คนเห็นยิ้มตามอย่างมีความสุขแกมเอ็นดู
   
       เมื่อออกมานอกห้างสรรพสินค้าพวกเขาก็มุ่งตรงไปยังลานจอดรถ แต่ก่อนหน้านั้นตรงประตูห้างมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนแจกใบปลิวอยู่ ปานตะวันรับมาหนึ่งใบ พอก้มลงอ่านรายละเอียดคร่าวๆ ก็พบว่าเป็นใบปลิวโปรโมตอควาเรียมแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ที่สำคัญมันยังอยู่ไม่ไกลจากห้างนี้อีกด้วย

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “พี่เมศดูนี่สิ อควาเรียมเปิดใหม่ อยู่ใกล้ด้วย พาหลานไปดูกันไหม”
   
       “ตอนนี้ยังเปิดอยู่เหรอ”
   
        “ยังเปิดอยู่นะพี่...ดูสิ ถ้าเรารีบไปตอนนี้จะไปทันโชว์สัตว์น้ำรอบเย็นด้วยนะ ไปกันเถอะๆ”
   
        ราเมศปลดล็อกรถพลางถามว่า “แล้วเด็กๆ ล่ะ เล่นกันจนหมดแรงแล้วจะไม่ง่วงเหรอ” ได้ยินดังนั้นปานตะวันจึงหันไปถามหลานชายทั้งสองว่า “เด็กๆ มีใครอยากไปอควาเรียมไหมครับ”
   
       เจียหลินกับเกล้าหันมองหน้ากันก่อนที่เด็กชายร่างผอมจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น...ด้วยท่าทีขลาดอายว่า “อควาเรียม...คืออะไรเหรอคับน้าตะวัน”
   
      ในรถไม่มีใครหัวเราะเกล้าแล้วบอกว่าเขาเป็นเด็กโง่อย่างที่เจ้าตัวนึกกลัว ปกติเวลาอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่เลี้ยง ถ้าเขาสงสัยและหลุดปากถามอะไรออกไป พ่อกับแม่เลี้ยงก็จะหัวเราะและดูถูกว่าเขาโง่หรือปัญญาทึบ คำกระทบกระเทียบเหล่านั้นทำให้เกล้าฝังใจและกลัวการเอ่ยถามในสิ่งที่ตนไม่รู้มาตลอด
   
      แต่กับน้าตะวันและน้าเมศ...ต่างออกไป
   
      พวกเขาไม่เคยหัวเราะเยาะเกล้า ถ้าเด็กชายถามน้าทั้งสองก็ยินดีตอบให้ นั่นยิ่งทำให้เกล้ารู้สึกดีกับทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ
   
       “อควาเรียมก็คือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำครับ เอ่อ...คล้ายๆ กับสวนสัตว์ แต่ที่นั่นจะมีปลาเยอะแยะเลยครับ” เด็กชายเกล้าเมื่อได้ยินว่าอควาเรี่ยมมีปลาเยอะแยะก็ทำตาโต “แล้ว...แล้วมีฉลามไหมคับ”
   
      “มีครับ”
   
       “แล้วนีโม่ล่ะคับ!”
   
       มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เพื่อนบ้านใจดีคนหนึ่งอาศัยจังหวะที่พ่อและแม่เลี้ยงไม่อยู่พาเกล้าเข้าไปในบ้าน หาข้าวหาน้ำให้เด็กชายกิน ตอนนั้นโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้กำลังฉายการ์ตูนเรื่องนีโม่อยู่
   
       เกล้าดูไม่จบหรอก เขาต้องรีบกินรีบไป แต่เด็กชายก็ยังจำความน่ารักของปลาตัวสีส้มๆ นั่นได้ดี
   
       “นีโม่ก็มีนะ”
   
       “เกล้าอยากไปคับน้าตะวัน”
   
      ปานตะวันพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็หันไปถามหนูเจีย “แล้วหนูเจียล่ะครับ” เจียหลินที่กระโดดไปมาจนหมดแรงพอเจอแอร์เย็นๆ เป่าก็ทำท่าจะหลับ ตอนแรกก็อยากงอแงไม่ไปอยู่หรอกแต่หนูเจียคิดขึ้นได้ว่าวันนี้เกล้าตามใจเขามาทั้งวันแล้ว น้าตะวันสอนว่าเราต้องรู้จักคิดถึงคนที่ทำดีกับเราแล้วเราก็ต้องทำดีกับคนคนนั้นตอบ
   
       เกล้าตามใจเจียหลินมาทั้งวัน แล้วทำไมเจียหลินจะตามใจเกล้าบ้างไม่ได้
   
       “หนูเจียก็อยากไปอควาเรียมคับน้าตะวัน”
   
       “โอเค มติเป็นเอกฉันท์ ไปอควาเรียมกันเลยพี่เมศ”
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นจนราเมศจับไต๋ได้ว่าจริงๆ แล้วคนที่อยากไปที่สุดเห็นจะเป็นแมวปานตะวันของเขานี่เอง ที่ถามหลานคงอยากหาแนวร่วมด้วยเฉยๆ
   
        แต่ก็นะ...ทาสแมวอย่างเขาไม่บ่นหรอก เป็นสารถีพาไปนู่นนี่แลกกับรอยยิ้มหวานๆ ของหนูเจียและคำบอกรักจากแมวตะวันของเขา
   
        ก็คุ้มอยู่ ไม่สิ...คุ้มมากเลยต่างหาก
   
       พวกเขามาถึงอควาเรียมตอนบ่ายสามครึ่ง ราเมศเป็นคนเดินไปซื้อตั๋วเข้าชม จากนั้นพวกเขาก็พากันเข้าไปข้างใน เด็กๆ ตื่นเต้นกับการเดินในอุโมงค์สัตว์น้ำมากๆ แสงสีฟ้าในอุโมงค์ส่องให้เห็นเงาร่างเล็กๆ ส่องร่างจับมือวิ่งไปตรงนั้นตรงนี้ ชี้ชวนกันดูปลาหลากสีสันที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างสนุกสนาน ปานตะวันเองก็รู้สึกสนุกตาม นานแล้วที่เขาไม่ได้มาเที่ยวอควาเรียมแบบนี้
   
       “พี่เมศดูนั่นๆ ปลาตัวนั้นหน้าตาตลกอ่ะ ฮ่าๆ”
   
       ปานตะวันวิ่งไปเกาะกระจก มองดูปลาหน้าตาแปลกๆ ว่ายหลบไปที่โขดหิน ราเมศเดินมายืนข้างๆ ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูตื่นเต้นและแววตาเปล่งประกายคู่นั้นอย่างเพลิดเพลิน
   
       “น้าเมศ ปลาตัวนั้นทำไมแบนๆ ล่ะ”
   
       “หืม ไหนตัวไหนครับ”
   
       ราเมศละสายตาจากปานตะวันไปมองหลานชายที่วิ่งมากระตุกขากางเกง เจียหลินชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่ปลากระเบนตัวเขื่อง เด็กน้อยมีสีหน้าตื่นตาตื่นใจ คงไม่เคยเห็นมาก่อน
   
       “นั่นเรียกปลากระเบนครับ”
   
       “ตัวใหญ่จัง!”
   
      “เดี๋ยวเดินไปเรื่อยๆ เราจะเจอที่ตัวใหญ่กว่านี้อีกนะครับ”
   
      ระหว่างที่ราเมศอธิบายเรื่องปลากระเบนให้หนูเจียฟัง ที่ด้านหลังของเขาปานตะวันก็อุ้มน้องเกล้าขึ้นมาแล้วชี้ให้เด็กชายดูดอกไม้ทะเลสีสันต่างๆ ที่พลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ
   
      “น้องเกล้า นั่นบ้านคุณนีโม่ไงครับ เขาเรียกดอกไม้ทะเล”
   
     “คุณนีโม่อยู่ในนั้นเหรอคับ”
   
      “ใช่แล้ว”
   
      “แต่เกล้าไม่เห็นคุณนีโม่เลย” พอเด็กน้อยทำหน้าสลดปานตะวันก็ลองพาเด็กชายเดินย้อนไปตามทาง กวาดสายตาไปตามจุดที่มีดอกไม้ทะเลเพื่อหาปลาการ์ตูนให้น้องเกล้า
   
      “อ๊ะ นั่นไงครับน้องเกล้า ดูนั่นๆ คุณนีโม่อยู่ตรงนั้น” อย่าว่าแต่หลานที่ตื่นเต้นเลย ผู้ใหญ่แบบปานตะวันก็ยังตื่นเต้นจนคนที่อยู่รอบๆ อดอมยิ้มตามกับความน่ารักของผู้ใหญ่และเด็กคู่นี้ไม่ได้ หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ กับลูกสาวฝาแฝดถึงกับหลุดหัวเราะคิกออกมา ปานตะวันที่รู้ตัวว่าตื่นเต้นออกนอกหน้ามากไปหน่อยสองแก้มพลันร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย
   
       ชายหนุ่มผมน้ำตาลรีบอุ้มหลานเดินเร็วๆ ไปจากบริเวณนั้น ราเมศเดินนำเขาล่วงหน้าไปไกลแล้วแต่ไม่นานก็ตามทัน
   
       “ไปไหนมา” ชายหนุ่มผมดำถาม ปานตะวันปล่อยเกล้าให้ลงไปหาเจียหลิน
   
       “พาน้องเกล้าไปตามหานีโม่”
   
       “แล้วเจอไหม”
   
       “เจอสิ น้องเกล้าชอบมากเลยล่ะ”
   
       “นายก็ดูชอบที่นี้นะ”
   
       “ชอบสิ วันหลังเรามากันอีกนะพี่”
   
       ดูเหมือนว่าสถานที่ที่ปานตะวันอยากจะมา ‘ด้วยกัน’ อีกมีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ราเมศก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไร กลับกันเขารู้สึกดีใจมากด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายคิดถึงอนาคต...ที่มีเขารวมอยู่ในนั้นด้วย ชายหนุ่มมองเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังผลิรอยยิ้มกว้างขวางทั้งปากทั้งตาส่งมาให้
   
       “ได้สิ ไว้เรามาด้วยกันอีกนะ”
   
       ปานตะวันกับราเมศยิ้มให้กัน ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มผิวแทนเอื้อมมือมาจับมือปานตะวันไว้ พอเห็นคนอายุน้อยกว่าทำท่าเขินแล้วจะดึงมืออกราเมศก็บีบกระชับมือปานตะวันเอาไว้แน่น
   
      “อยากลองเดินจับมือกันดูบ้าง...ได้ใช่ไหม”
   
       ปานตะวันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอะไรนักหนากับอีแค่เดินจับมือ จูบกันก็เคยมาแล้ว...แต่...แต่ว่า
   
       เขาก็ยังเขินมากอยู่ดี
   
      “ล...แล้วถ้าผมบอกไม่ได้”
   
      “พี่ก็จะจับอยู่ดี”
   
       “เผด็จการนี่หว่า”
   
       “หึ”
   
       บทสนทนาของทั้งคู่ถูกขัดโดยเด็กน้อยสองคนที่จับมือกันวิ่งมา เจียหลินพูดขึ้นว่า “น้าเมศ น้าตะวัน ทำอะไรกันอยู่คับ รีบไปกันเถอะน้า หนูเจียกับเกล้าอยากออกไปดูข้างนอกแล้ว”
   
       “ครับๆ”
   
       อุโมงค์สัตว์น้ำนำพวกเขามาสู่ห้องทรงกลมที่มีเพดานโค้ง ฝั่งหนึ่งของห้องเป็นผนังกระจกจัดแสดงปะการังและดอกไม้ทะเลสีสันสวยงาม ส่วนอีกฝั่งเป็นร้านขายขนม น้ำ และของที่ระลึก พื้นห้องวาดลวดลายสัตว์น้ำเป็นรูปการ์ตูนน่ารัก ที่ตรงกลางห้องมีเสาขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยเก้าอี้บุนวมนุ่มนิ่ม เป็นจุดสำหรับนั่งพัก
   
      “ถ่ายรูปกันสักรูปดีไหม” ราเมศถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา ปานตะวันพยักหน้าทำท่าจะเอ่ยปากเรียกหลานๆ แต่ราเมศก็ห้ามไว้ก่อน
   
      “ขอรูปคู่กับนายสักรูปสองรูปก่อนแล้วกัน”
   
      ว่าแล้วก็ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ปานตะวันเขินจนทำออะไรแทบไม่ถูกเลยตัดสินใจชูสองนิ้วขึ้นมา ท่าเบสิคสำหรับถ่ายรูปเลยนะนี่
   
      “ไม่มีท่าอื่นแล้วหรือไง” คนตัวโตบ่นหลังถ่ายไปสองรูปปานตะวันก็ยิ้มแล้วชูสองนิ้วทุกรูป
   
      “ก็ผมไม่รู้จะทำท่ายังไงนี่”
   
       “งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน”
   
       ยังไม่ทันจะได้ถามว่าเอาแบบไหนราเมศก็เดินดุ่มๆ ไปสะกิดชายหนุ่มคนหนึ่งให้เข้ามาถ่ายรูปให้ พออีกฝ่ายเริ่มนับเตรียมจะกดถ่ายภาพราเมศก็โน้มตัวไปหาปานตะวันแล้วก็..
   
      จุ๊บ
   
      จูบแก้มเขาเฉยเลย!
   
       “อ่า...” ไม่ใช่แค่ปานตะวันที่ช็อกแม้แต่ชายหนุ่มที่มาช่วยถ่ายภาพให้ก็ยังอึ้ง อีกฝ่ายหัวเราะเขินๆ ให้ราเมศกับปานตะวันแล้วก็กดถ่ายรูปให้อีกสองสามรูปแล้วจึงส่งโทรศัพท์คืน
   
       “ขอบคุณนะครับ”
   
      “ไม่เป็นไรครับ รูปคู่กับแฟนน่ารักดีนะครับ”
   
       ราเมศยิ้มรับ พอคล้อยหลังอีกฝ่ายชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ทุบปึกเข้าให้ที่แผ่นหลังเขา “เล่นอะไรของพี่เนี่ย”
   
       “เล่นอะไร?” ราเมศหันมาทำหน้ามึน “ก็ถ่ายรูปคู่ไง”
   
       “แต่มา...จ...จุ๊บ...แก้มผมในที่สาธารณะนี่มัน...”
   
       “อายอะไรของนาย แค่หอมแก้มนิดเดียวเอง” ว่าแล้วราเมศก็โชว์รูปให้ปานตะวันดู “สวยดีออก พี่ชอบนะ เดี๋ยวส่งรูปให้ในไลน์แล้วกัน” ชายหนุ่มผิวปากอย่างอารมณ์ดีระหว่างเดินไปจูงหลานๆ มาเพื่อเตรียมถ่ายรูปหมู่แต่คราวนี้ชายหนุ่มที่เคยช่วยถ่ายให้ไม่อยู่แล้ว ปานตะวันเห็นดังนั้นเลยเรียกหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลเพื่อให้มาช่วย
   
       “คุณครับ ขอโทษนะครับแต่รบกวนช่วยถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ”
   
       “ได้ค่ะ อ๊ะ”
   
        “เฮ้ย”
   
        ทันทีที่หญิงสาวหันหน้ามาปานตะวันกับหล่อนก็อุทานขึ้นพร้อมกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันเบิกโตเมื่อเห็นว่าคนที่เขาขอให้มาช่วยถ่ายรูปให้ก็คือ...แม่ของน็อต!
   
       มือแม่นอะไรขนาดนั้นนะไอ้ตะวัน คนตั้งเยอะตั้งแยะดันไปสะกิดเรียกเจ้าหล่อนมา แล้วดูสิ โลกมันแคบหรือยังไงกันนะถึงได้มาเจอกันที่นี่
   
      “คุณตะวัน”
   
       “คุณแม่ของน้องน็อตนี่นา สวัสดีครับ”
   
       “แหม สวัสดีค่ะ ไม่คิดเลยนะคะว่าจะได้มาเจอกันที่นี่”
   
        ปานตะวันยกยิ้มประดับไว้บนใบหน้า เจ้าหล่อนก็เช่นกัน แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบหน้าเขาเท่าไหร่หรอก ตั้งแต่น็อต หนูเจียและเกล้ามีเรื่องกันคุณแม่ของน็อตก็ดูจะเขม่นเขาและหลานอยู่เนืองๆ แม้ไม่ได้ออกหน้าออกตาแต่เวลาไปรับหนูเจียแล้วเจอเจ้าหล่อนปานตะวันจะรู้สึกทุกทีว่าตัวเองกำลังถูกเชิดใส่และถูกข่มด้วยคำพูด
   
        “จะให้ช่วยถ่ายรูปให้สินะคะ”
   
        “ใช่ครับ”
   
       ไหนๆ ก็เรียกมาแล้ว จะไปพูดว่า โอ๊ะ ผมไม่ชอบหน้าคุณกับลูกไม่ต้องถ่ายแล้ว แบบนี้ก็ดูไม่ดีปานตะวันเลยจำใจส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายพร้อมกับเรียกพี่เมศ หนูเจียและน้องเกล้ามา เขาแอบขำเมื่อเห็นสีหน้าตกใจเล็กน้อยของหญิงสาว
   
       หลังถ่ายรูปด้วยกันไปสามสี่รูปปานตะวันก็รับโทรศัพท์คืนมา เขาเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วก็ทำท่าจะผละออกแต่แม่ของน็อตไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้น
   
      “มาเที่ยวกับครอบครัวเหรอคะ”
   
     “ใช่ครับ”
   
       “สนิทกับน้องเกล้าจังเลยนะคะคุณตะวัน”
   
       “ครับก็ทำนองนั้น”
   
       สาบานได้ว่าปานตะวันรู้สึกไม่ดีกับรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้เลย
   
       “แล้วนั่น..ผู้ชายคนนั้นที่มากับคุณ ฉันเห็นเขาไปรับไปส่งเจียหลินบ่อยๆ ด้วย เป็นญาติกันหรือคะ”
   
       “เปล่าครับ” ปานตะวันอยากจะกลอกตากับคำถามล้วงลับของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธออยากได้ข้อมูลไปตั้งเป็นหัวข้อสนทนากับคนอื่น ทั้งเรื่องน้องเกล้าที่ได้ลงข่าวตามหนังสือพิมพ์แล้วก็มีข่าวประปรายในอินเทอร์เน็ต เธอคนนี้คงไปเห็นเข้ารวมถึงเรื่องราเมศด้วย
   
       ชายหนุ่มคิดหาข้ออ้างในการออกจากตรงนี้ทันที เขาแสร้งทำเป็นมองนาฬิกาแล้วก็พูดว่า “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ หลานๆ คงอยากเดินดูที่อื่นต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”
   
      ปานตะวันรีบเดินออกมาแล้วก็พาราเมศกับเด็กทั้งสองออกจากโซนนี้ไปทันที
   
      คล้อยหลังชายหนุ่ม แม่ของน็อตก็เดินกลับไปหาลูกชายและสามีที่ยืนรออยู่
   
      “คนรู้จักคุณเหรอ” สามีของหล่อนถาม สายตายังจดจ้องไปยังทางที่พวกปานตะวันเดินออกไป
   
       “ค่ะ ผู้ปกครองของเด็กห้องเดียวกับลูกเราน่ะ คนที่ชื่อเจียหลินไงคะ ที่ฉันเคยเล่าให้คุณฟังว่ามีปัญหากับลูกเรา”
   
       “อ๋อ คนนั้นเอง ดูแล้วอายุยังน้อยด้วยนะ พวกวัยรุ่นสมัยนี้มีลูกกันตั้งแต่มัธยมทั้งที่ตัวเองก็ยังรับผิดชอบอะไรไม่ได้”
   
       “ไม่ใช่หรอกค่ะ เหมือนว่าตะวันจะเป็นน้าชายของเจียหลินน่ะค่ะ”
   
       “งั้นหรอกเหรอ แต่ก็นั่นแหละ ดูก็รู้แล้วว่าทางนั้นดูแลอบรมเด็กไม่ได้ เผลอๆ ตัวเองก็คงมีพฤติกรรมไม่ดีด้วยหลานก็เลยเลียนแบบ”
   
       “นั่นสิคะ แล้วยิ่งไปคบกับเกล้าอีก คุณเห็นเด็กผอมๆ ที่ผู้ชายอีกคนอุ้มไหมคะ คนนั้นที่ออกข่าวว่าโดนพ่อกับแม่เลี้ยงทำร้ายไงคะ มิน่าล่ะถึงได้กล้ามาผลักลูกชายเรา ซึมซับพฤติกรรมมาจากคนรอบข้างแบบนี้เอง โตไปต้องเป็นเด็กอันธพาลก้าวร้าวแน่ๆ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ส่ายหน้าก่อนจะหันไปเตือนลูกชาย “น้องน็อตคะ จำไว้นะลูกว่าเด็กพวกนี้อันตราย อย่าไปใกล้เขา ห้ามเข้าไปเล่นด้วยไม่งั้นจะโดนรังแก อยู่ห่างๆ เข้าใจไหมลูก”
   
       เด็กชายพยักหน้ารับคำแม่ น็อตเองก็ไม่ได้ชอบเจียหลินกับเกล้าเท่าไหร่หรอก ยิ่งแม่พูดแบบนี้ก็เหมือนฝังโปรแกรมเข้าไปในหัวเขาให้ไม่ชอบเจียหลินกับเกล้ามากขึ้นไปอีก
   
       “เออ จะว่าไปผมเห็นผู้ชายสองคนนั้นถ่ายรูปคู่กันด้วยนะ เหมือนคนนึงจะก้มลงไปหอมแก้มอีกคนด้วย ตะวันนี่เขาเป็นเกย์เหรอคุณ”
   
        หญิงสาวหูผึ่งทันทีกับสิ่งที่สามีพูด นึกๆ ย้อนไปแล้วเธอก็ไม่เคยเห็นปานตะวันมารับเจียหลินกับคนอื่นเลย...มาแต่กับราเมศเท่านั้น
   
       “ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่เห็นสองคนนี้ผลัดกันมารับมาส่งเจียหลินนะคะ ไม่เคยเห็นคนอื่นเลย”
   
      “งั้นผมว่าคงเป็นเกย์แล้วล่ะ เห็นเขาหอมแก้มกันจริงๆ นะคุณ ผู้ชายที่ไหนหอมแก้มกันในที่สาธารณะแบบนี้”
   
       “ตายแล้ว ฉันว่าบ้านนั้นกำลังจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนตอนโตขึ้นนะคะ แถมอาจจะทำให้เขาโตมาเป็นเด็กขาดความอบอุ่นเพราะไม่มีแม่ เผลอๆ อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพราะขาดผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะคอยให้การสั่งสอน” หญิงสาวพูดสิ่งที่เธอจินตนาการไปว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
   
       “ช่างเขาเถอะคุณ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา”
   
      “นั่นสินะคะ”
   
       หญิงสาวยักไหล่ แม้จะเออออตามสามีไปว่าช่างมันแต่หลังจากถึงบ้านเธอก็รีบเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนที่เป็นผู้ปกครองเหมือนกันฟังทันที ลูกของฝ่ายนั้นเองก็เรียนห้องเดียวกับน็อตนี่แหละทำให้สนิทสนมกันพอสมควร บรรดาแม่บ้านทั้งหลายนั่งนินทากันอย่างสนุกปากกับหัวข้อข่าวที่เพิ่งได้ฟังมาสดๆ ร้อนๆ จนกระทั่งใครคนหนึ่งเสนอขึ้นมาว่าควรพูดประเด็นนี้ขึ้นมาในการประชุมผู้ปกครองครั้งหน้า เพื่อให้ครูประจำชั้นรับรู้และช่วยดูแลเด็กๆ ป้องกันไม่ให้เด็กถูกสั่งสอนแบบผิดๆ รวมถึงป้องกันเรื่องพฤติกรรมรุนแรงและพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศในอนาคต
   
     “ยกกรณีปานตะวันไปพูดแบบนี้...เขาก็รู้ตัวสิ” แม่ของน็อตกลอกตาขณะโทรคุยกับเพื่อน ฝ่ายนั้นเองก็รีบตอบกลับมาว่า “ก็ไม่ต้องเอ่ยชัดไง เราแค่อ้อมๆ ไม่มีใครว่าอะไรหรอกเพราะมันเป็นประเด็นที่ควรป้องกันอยู่แล้ว เราไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องครอบครัวปานตะวันสักหน่อย เราแค่กำลังจะช่วยให้เด็กคนอื่นปลอดภัยมากขึ้นไง หัวข้อนี้อาจเป็นการเตือนคุณครูให้ระวังเรื่องของเจียหลินกับเกล้ามากขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ เด็กพวกนั้นจะได้ไม่ไปรังแกใครเขาอีก”
   
       “นั่นสินะ ก็ดีเหมือนกัน ให้ตายเธอรู้ไหมว่าฉันโกรธมากตอนเกล้าผลักน้องน็อตล้ม เด็กปานตะวันนั่นยังมาหาว่าฉันทำเกินกว่าเหตุอีก ผู้ปกครองแย่แบบนี้ไงเด็กมันถึงได้นิสัยเสีย”
   
       “น่าๆ ฉันเข้าใจ เอาไว้เรามาจัดการตอนประชุมผู้ปกครองก็ได้”
   
       “โอเค ขอบใจมากนะ บายจ้ะ”
   
       “บาย”
   
(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        ย้อนกลับไปทางด้านปานตะวัน ช่วงเวลาหลังจากที่เขาแยกกับแม่ของน็อตแล้วชายหนุ่มก็พาหลานๆ ไปเดินเล่นจนครบทุกโซนจากนั้นก็พากันกลับบ้าน ราเมศพาพวกเขาแวะตลาดเพื่อซื้อของสดกลับไปทำอาหาร คืนนั้นเป็นอีกคืนที่เกล้าได้นั่งทานข้าวกับคนอื่นๆ แล้วก็หลับไปพร้อมเจียหลินในอ้อมกอดของน้าตะวันและน้าเมศ
   
        วันต่อมาตำรวจก็ติดต่อมาหาปานตะวันเพื่อแจ้งว่าคุณแม่ของน้องเกล้าได้เดินทางมาถึงแล้ว ราเมศกับตะวันพร้อมด้วยหนูเจียจึงพาน้องเกล้าไปส่งให้ถึงมือคุณแม่
   
       ช่วงเวลาของการจากลามาถึงในที่สุด
   
        หนูเจียเองก็เหมือนจะรู้ได้เพราะเด็กชายจับมือเพื่อนเอาไว้แล้วก็ร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ที่บ้านไปจนถึงสถานีตำรวจ
   
       เมื่อเข้าไปด้านในปานตะวันก็เห็นหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์คนหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวาย เธอดูอ่อนล้าและซีดเซียวแต่เค้าโครงหน้าที่คล้ายกับเกล้าทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือมารดาแท้ๆ ของเกล้าไม่ผิดแน่
   
       “คุณแม่!” เกล้าร้องขึ้น ปล่อยมือเจียหลินแล้วก็พุ่งเข้าไปหาอ้อมกอดที่กางรออยู่แล้ว
   
       “น้องเกล้า...ฮึก...น้องเกล้าของแม่...แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษที่ทำให้น้องเกล้าเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้”
   
        หญิงสาวสะอึกสะอื้น ซบหน้าลงกับบ่าเล็กๆ ของลูกชายที่กอดตอบเธอแน่นเช่นกัน “แม่จะไม่ปล่อยให้หนูเจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”
   
       เกล้ากอดแม่แน่น เขาดีใจจนร้องไห้ออกมาราวทำนบพัง หยดน้ำตาร่วงพรูไม่ขาดสาย แขนเล็กๆ กอดผู้เป็นมารดาราวกับจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายหายไปไหนอีก
   
       “แม่จ๋า เกล้าคิดถึง...คิดถึงแม่มากๆ”
   
       “แม่รู้จ้ะลูก แม่รู้”
   
       ฝ่ามือบางปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้ลูกชาย ก่อนที่หญิงสาวจะเงยหน้ามามองปานตะวันที่ยืนอยู่ด้านหลัง เธออุ้มน้องเกล้าเดินเข้ามาใกล้ครอบครัวของชายหนุ่ม
   
      “คุณคงเป็นปานตะวันสินะคะ”
   
      “ครับ”
   
      “แล้วนี่ก็คุณราเมศ...ส่วนหนูก็เจียหลินใช่ไหมจ๊ะ”
   
      หนูเจียแอบอยู่ด้านหลังน้าตะวันของเขา แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาพร้อมกับเกล้าจึงไม่ได้กลัวอะไรมาก เด็กชายยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีคับคุณน้า”
   
     “สวัสดีจ้ะน้องเจีย ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนน้องเกล้านะจ๊ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ก้มศีรษะให้ปานตะวันกับราเมศด้วย “ขอบคุณพวกคุณที่ช่วยเหลือน้องเกล้าไว้นะคะ ขอบคุณจริงๆ ฉันไม่รู้จะตอบแทนยังไง...”
   
      “ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอกครับ” ปานตะวันเอ่ยขัดพร้อมส่งรอยยิ้มใจดีให้อีกฝ่าย “แค่สัญญากับผมว่าคุณจะดูแลน้องเกล้าให้ดีก็พอ”
   
      “แน่นอนค่ะ..ฉันสัญญาเลย”
   
       ปานตะวันพยักหน้า รู้สึกเบาใจที่เห็นว่าหญิงสาวคนนี้ดูรักลูกมากกว่าสามีของหล่อน แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้ทั้งหมดเมื่อนึกถึงข้อสงสัยที่ติดในใจขึ้นมาได้ว่าทำไมเธอคนนี้ถึงไม่พาน้องเกล้าไปด้วยในตอนแรก และราวกับรู้ว่าปานตะวันสงสัยอะไร คุณแม่ของเกล้าจึงได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกและแผ่วเบา
   
       “คุณสงสัยใช่ไหมคะว่าทำไมฉันถึงไม่พาเกล้าไปด้วยทั้งที่รู้ว่าสามีเป็นคนอารมณ์รุนแรงแบบนั้น”
   
       ปานตะวันเกาจมูกแบบเขินๆ ที่โดนจับได้ เขาโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ก็สงสัยครับ...อ่า..แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจจะเล่าผมก็จะ...”
   
      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า แววตาของเธอแฝงไปด้วยแววใคร่ครวญ “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าสามีของฉันเป็นคนอารมณ์รุนแรง...ตั้งแต่ก่อนจะหย่ากัน แต่ตอนนั้นมันยังไม่แย่เท่านี้ค่ะ เขายังไม่ติดเหล้ามากขนาดนี้ เขาจะทุบตีฉันหรือลูกเฉพาะเวลาที่เขาเหนื่อยมากหรือโกรธมาก ฉันเองก็อดทนเพราะเขารักฉัน แรกๆ ก็ทนได้เพราะเขาลงมือแค่กับฉัน..แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เมื่อเขาเริ่มตีน้องเกล้าด้วย ไม่ได้ทุบตีแบบทุกวันนี้...แค่...ฟาดแรงๆ”
   
       พอพูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็น้ำตาเอ่อขึ้นมา
   
       “ฉันตัดสินใจหย่ากับเขาเพราะฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วประกอบกับเขามีเมียน้อย...ฉันเลยตัดสินใจเด็ดขาด ตอนที่แยกกันฉันไม่มีเงินเลย ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวกับกระเป๋าเสื้อผ้า...ฉันตัดสินใจกลับบ้านไปตั้งเนื้อตั้งตัว มันลำบากมาก พอฉันหางานประจำได้ฉันถึงได้ส่งเงินกลับมาให้ลูก เราไม่ได้ติดต่อกันเพราะพ่อของเกล้าเขาขวางไว้ ลูกไม่ได้โทรหาฉันส่วนตอนที่ฉันเปลี่ยนเบอร์ ฉันโทรกลับไปหาเขา บอกเขาว่าอยากคุยกับลูกแต่เขาก็ไม่ยอม”
   
       “แม่จ๋า...แม่จ๋าไม่ร้องนะ”
   
       น้องเกล้าสะอื้น จูบแก้มจูบหน้าผากผู้เป็นแม่ พยายามให้เธอหยุดร้องไห้ ราเมศส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอเอาไปซับน้ำตา เมื่อควบคุมอารมณ์ได้หญิงสาวจึงเริ่มเล่าต่อ
   
       “แต่มันไม่ใช่แค่นั้น...เหตุผลที่ฉันไม่พาน้องเกล้าไปด้วยเพราะว่า...เพราะฉันป่วย”
   
       “คุณป่วยเป็นอะไรครับ”
   
       “ฉัน...ฉัน...” หญิงสาวอึกอักก่อนจะสารภาพออกมาเสียงเบา “ฉันเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้เธอก็เงียบไป หญิงสาวปล่อยลูกชายให้ลงยืนเองแล้วก็กระซิบบอกให้น้องเกล้าพาเจียหลินไปขอน้ำจากคุณตำรวจมาให้เธอกับน้าๆ หน่อย นั่นเป็นข้ออ้างในการกันเด็กๆ ออกไปจากวงสนทนา เมื่อเกล้ากับเจียหลินเดินออกไปเธอก็เริ่มเล่าต่อ
   
      “การที่สามีทำร้ายฉันทางร่างกายและจิตใจมีผลกระทบมากกว่าที่ฉันคิด คุณรู้ไหมคะว่าก่อนจะหย่ากับสามี...ฉันเคยเกือบฆ่าน้องเกล้า...ฉันคิดว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันเหนื่อย ฉันเคยจะกินยาฆ่าตัวตายแต่ก็คิดได้ว่าถ้าฉันตายแล้วลูกล่ะ...ลูกจะอยู่ยังไง ทันใดนั้นความคิดอีกอย่างมันก็แวบขึ้นมาว่า...งั้นก็ตายไปทั้งสองคนเลยสิ มันน่ากลัวมากเลยคุณรู้ไหมคะ ฉันพบว่าตัวเองอยู่ที่เตียงลูก มือกำอยู่รอบคอเขา ฉันเป็นบ้าไปเลยหลังจากนั้น ฉันกลัวตัวเอง กลัวสามี ฉันไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลยแม้แต่เกล้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอไปทำร้ายเขา หลังจากหย่าฉันก็ไม่กล้าพาเขาไปด้วย”
   
      ปานตะวันเม้มริมฝีปาก รอคอยให้เธอเล่าต่อ หญิงสาวตรงหน้าเขาเหมือนแก้วที่มีรอยร้าวเจียนแตกสลาย
   
       “ฉันกลับไปบ้านเกิด ไปอยู่กับแม่ ไม่ว่าจะคบใครหรือมีใครใหม่ฉันก็เลิกหมด ไปกันไม่รอด ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ ฉันรู้สึกผิดที่ทิ้งลูกไว้ รู้สึก...หมดหนทาง จนสุดท้ายฉันก็ได้แต่เก็บตัวในห้องคนเดียว นอนทั้งวัน คิดวนเวียนในหัวแต่เรื่องลูก เรื่องสามีเก่าที่มาหลอกหลอนในฝันทุกคืน...รวมถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ฉันตกงาน ชีวิตพังเละเทะ มีบางครั้งที่ฉันคิดมาว่า...ดีแล้วที่ไม่เอาน้องเกล้ามาด้วย ฉันจะเลี้ยงเขาให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสุขได้ยังไงในเมื่อฉันยังจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้เลย เขาจะโตมาเป็นคนแบบไหนถ้าจะต้องอยู่กับแม่ที่ปิดห้องเงียบแล้วก็พร้อมจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา”
   
       “แล้วตอนนี้คุณได้ไปบำบัดไหมครับ”
   
       “ค่ะ ฉันเข้ารับการบำบัดแล้ว..มันก็...ดีขึ้น ฉันกำลังพยายามทำให้มันดีขึ้น”    
   
        “คุณไม่ได้อยู่คนเดียวใช่ไหมครับตอนนี้”
   
        “ไม่ค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่กับคุณแม่และคุณพ่อ...ตากับยายของน้องเกล้าน่ะค่ะ มีน้องสาวฉันอยู่ด้วยอีกคน ตอนแรกเราไม่ลงรอยกันเรื่องสามีเก่าฉันทำให้ฉันหนีพวกเขามาแต่ตอนนี้เราปรับความเข้าใจกันแล้ว พวกเขาบอกว่าจะช่วยดูน้องเกล้าให้เวลาที่ฉัน...ไม่พร้อม”
   
       หญิงสาวยิ้ม เป็นยิ้มที่ดูเปราะบางและเหนื่อยล้า แต่ความหวังเล็กๆ ในดวงตาของเธอทำให้ปานตะวันเชื่อว่าเธอจะลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง
   
      “อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้น้องเกล้ากลับมาอยู่ใกล้ๆ ฉันจะทำให้ดีที่สุดเพื่อลูกค่ะ”
   
      “ผมเชื่อว่าคุณทำได้ครับ” ปานตะวันกางแขนกอดเธอเอาไว้ กระซิบเบาๆ ว่า “คุณกล้าหาญและเข้มแข็งกว่าที่คุณคิด ผมรู้ว่าคุณจะผ่านมันไปได้”
   
       “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างเลย”
   
       หลังจากจัดการธุระเรียบร้อยหญิงสาวยังบอกอีกว่าเธอต้องการฟ้องร้องเอาความกับสามีเก่าและแม่เลี้ยงให้ถึงที่สุด หลังจากนี้คงต้องจัดการเรื่องคดีความกันอีกยาว
   
       พูดคุยกันอีกสักพักก็ถึงเวลาต้องลากันจริงๆ แล้ว เกล้ากับเจียหลินยืนมองหน้ากันแล้วคนที่กลั้นน้ำตาไม่ไหวเป็นคนแรกก็คือหนูเจีย
   
       “เกล้า...ฮึก...ไม่ไป...ไม่ได้เหรอ”
   
       “เกล้าขอโทษนะ...เกล้าขอโทษ”
   
       “ไหนบอกจะเป็นเพื่อนกันไง เกล้าไปแล้วใครจะเล่นกับเจียล่ะ...ฮึก...ไม่เอา...ไม่เอา...เจียไม่ให้ไป”
   
       เจียหลินเริ่มสะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆ คุณแม่ของน้องเกล้าเองก็มีสีหน้าลำบากใจ เธอเองก็ไม่อยากแยกเด็กทั้งสองออกจากกันแต่ก็ต้องทำเพราะบ้านของเธออยู่ตั้งเชียงราย อนาคตที่จะได้เริ่มต้นใหม่อยู่ที่นั่น
   
      “หนูเจียครับ” ราเมศที่ยืนฟังอยู่นานย่อตัวลง ดึงเจียหลินมากอดปลอบพลางอธิบายว่า “ฟังน้าเมศนะครับ น้องเกล้าจำเป็นต้องไปจริงๆ แต่การที่ตัวเราห่างกันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ใช้เพื่อนกันนะครับ น้องเกล้าก็จะยังคงรักหนูเจียที่สุดอยู่เหมือนเดิมนะ”
   
       “จริง...ฮึก...จริงเหรอคับ”
   
       “จริงสิ!”
   
       คราวนี้เกล้ายืนยันเสียงหนักแน่นด้วยตัวเอง เด็กชายไม่ได้ร้องไห้แต่ปลายจมูกกับขอบตาแดงเรื่อ เกล้าเดินมาหาเจียหลิน ในมือเด็กชายมีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น
   
       “อันนี้เราวาดไว้นานแล้ว...ให้เจียนะ”
   
       กระดาษแผ่นนั้นเป็นงานในวิชาศิลปะที่คุณครูให้วาดรูปอะไรก็ได้ เจียหลินรับมาคลี่ออกดูก็พบว่ามันเป็นรูปเด็กชายสองคนจับมือกันยืนอยู่ในสนามเด็กเล่น มีชิงช้า ม้าหมุน สไลเดอร์และดอกไม้เยอะแยะ
   
       หนูเจียเงยหน้ามองเกล้า น้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบ เกล้ารีบเช็ดน้ำตาออกให้เพื่อนแล้วก็พูดว่า “เจียจะเป็นเพื่อนคนสำคัญของเราเสมอ เกล้าสัญญาว่าเกล้าจะกลับมาหา จะกลับมาแน่ๆ เกล้าจะโตกว่านี้ แข็งแรงกว่านี้ จะกลับมาดูแลเจียหลินให้ได้เลยนะ!”
   
      “สัญญานะว่าจะไม่ลืมเจีย”
   
      “สัญญาเลย”
   
      นิ้วก้อยเล็กๆ เกี่ยวเข้าด้วยกันแทนคำสัญญา เจียหลินเม้มริมฝีปากก่อนจะหันไปค้นอะไรกุกกักในกระเป๋าเป้ของตัวเองที่สะพายมาด้วย
   
      สิ่งที่เด็กชายหยิบออกมาคือหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง
   
      เป็นเล่มที่เจียหลินเคยเล่าให้ฟังว่าแม่จันทร์ชอบอ่านให้เขาฟังก่อนนอนทุกคืน
   
      เป็นเล่มที่เจียหลินกับเกล้าเคยนั่งอ่านด้วยกัน
   
      “เจียให้เกล้า เล่มนี้เจียชอบมาก...สนุกมากเลย คุณน้าอ่านให้เกล้าฟังทุกคืนก่อนนอนเลยนะคับ” ประโยคท้ายลูกแมวตัวน้อยเงยหน้าขึ้นพูดกับแม่ของเพื่อนสนิท หญิงสาวคลี่ยิ้มเอ็นดูในความน่ารักและใจดีของเจียหลิน
   
       “ได้จ้ะ น้าสัญญา ขอบคุณนะจ๊ะน้องเจีย”
   
       เจียหลินก้าวถอยหลังออกมา สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเพื่อน...ที่เดี๋ยวก็จะไม่ได้เจอกันทุกวันแล้ว
   
       “เจียจะรอนะ เกล้าต้องรักษาสัญญานะ”
   
       “อื้ม แน่นอน”
   
       “น้องเกล้าครับ น้าตะวันมีนี่ให้ด้วย” ปานตะวันส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เกล้า บนนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาและราเมศอยู่
   
       “ถ้าน้องเกล้าเหงาหรือคิดถึงเราก็โทรมาได้ตลอดนะครับ”
   
       เด็กชายรับกระดาษไป มือสั่นระริก ทันใดนั้นเองเกล้าก็พุ่งตัวเข้าไปกอดปานตะวันแน่น ชายหนุ่มยิ้ม โอบกอดร่างเล็กๆ นั้นตอบ
   
       “น้องเกล้าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะครับ น้องเกล้ามีคุณแม่ มีน้าตะวัน น้าเมศแล้วก็มีหนูเจียด้วย พวกเราอยู่กับน้องเกล้าเสมอนะครับ”
   
       ปานตะวันไม่รู้หรอกว่า...หลายสิบปีต่อจากนั้น...ตอนที่เกล้าโตเป็นเด็กหนุ่ม เขาก็ยังจำเรื่องราวในวันนี้ได้ กระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ของปานตะวันและราเมศรวมถึงหนังสือนิทานของเจียหลินถูกเก็บไว้อย่างดีในห้องนอนของเขา เกล้ายังจำพูดของปานตะวันและคำสัญญาของเด็กชายเจียหลินได้อีกด้วย
   
       เขาอยากบอกปานตะวัน ราเมศและเจียหลินเหลือเกิน...ว่าทั้งสามคนช่วยเขาเอาไว้มากแค่ไหน...คำพูดและคำสัญญานั้นเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางเขาให้ผ่านคืนที่จะต้องเติบโตและมันยังเป็นเครื่องย้ำเตือนเกล้าเสมอ
   
      ว่าเขาจะต้องกลับมา
   
      มาหาคนสำคัญ...เพื่อรักษาสัญญา

   
      แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนี้....อีกนานเหลือเกิน

***********************************************************


สวัสดีค่าาา สำหรับตอนนี้หนูเจียกับน้องเกล้าก็แยกกันแล้ว หลายคนอยากให้ราเมศรับน้องเกล้าไว้ ;w;
เราก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันค่ะแต่มันเป็นไปไม่ด้ายยย (ร้องไห้) คือราเมศกับตะวันภาระค่าใช้จ่ายเยอะมาก
หนูเจียก็ยังเรียน ตะวันก็ยังเรียนอยู่เหมือนกัน ทั้งคู่ยังไม่พร้อมจะรับเด็กอีกคนตอนนี้ค่ะ น้องเกล้าเลยต้องกลับไปอยู่กับคุณแม่

ส่วนคุณแม่น้อง...หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าทำไมไม่พาน้องไปด้วยอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่กับพ่อแน่ๆ
เราว่าตรงนี้มันมีหลายปัจจัยประกอบกัน คุณแม่บอกว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแถมยังเคยคิดจะฆ่าน้องเกล้าแล้วก็ฆ่าตัวตาย
ตรงจุดนี้ทำให้คุณแม่ไม่ยอมให้น้องเกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวตัวเองจะทำร้ายลูก เธอต้องไปให้ไกลจากลูก หลังหย่าเลย
กลับบ้านเกิดเพื่อไปตั้งตัว ตรงจุดนี้เราเขียนให้อารมณ์แม่น้องเกล้าผสมไปด้วยความกลัว ความรู้สึกผิดต่อลูก โทษตัวเอง
ทำให้อาการก็แย่ลงจนต้องเข้ารับการรักษา ถึงตอนนี้แม่น้องเกล้าก็ยังป่วยอยู่แต่เธอจะดีขึ้นแน่นอนค่ะ
ความรักของเธอที่มีให้น้องเกล้าจะพาเธอก้าวผ่านทุกอย่างไปได้ พวกเรามาเอาใจช่วยคุณแม่น้องเกล้ากันนะคะ  :กอด1:

นอกจากนี้...ในส่วนของเรือเกล้า x เจียหลิน นั้นนนน ไม่รู้ค่ะ น้องยังเด็กอยู่เลยนะคะทุกคนนนน 555555 (ซ่อนอุปกรณ์ต่อเรือ)
เอาไว้ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตกันดีกว่านะคะ จุ๊บๆ

วันนี้ทอล์คยาวอีกแล้ว 55555 เอาเป็นว่าเราขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้ ท
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ สามารถแสดงความเห็น ติชม โปรยปรายความรักหรือวิจารณ์ได้เต็มที่เลย
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ปล.ติดตามข่าวสารนิยาย เม้าท์มอยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
สงสารหนูเจีย ว่าแต่เราจะรอหนูเจียและเกล้าตอนโต
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด