ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 133733 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
รอตะวันจัดการคนปากเสีย  o18

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๗
จิตใจของคนเป็นพ่อ

        “ตะวัน...เอาแบบนี้จริงๆ เหรอ” ราเมศที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้นเป็นรอบที่สามและคำถามนั้นทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันตวัดฉับมามองทันที
   
       “พี่ถามผมเป็นรอบที่สามแล้วนะพี่เมศ”
   
       “พี่อยากให้นายทบทวนดูอีกที”
   
       “ผมคิดดีแล้วพี่”
   
        น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของปานตะวันทำให้ราเมศปิดปากฉับ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนใจปานตะวันได้แล้ว ราเมศเหลือบมองร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสายตาหลากความรู้สึกก่อนจะถอนหายใจออกมา ปานตะวันที่ได้ยินจึงหมุนตัวกลับมาแล้วพูดว่า
   
        “พี่เมศ ผมทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเอาคืนหรืออะไรแต่ผมทำเพื่อไม่ให้ใครมาว่าหนูเจียเสียๆ หายๆ แบบนั้นอีก ผมจะไม่ยอมให้ใครมาล้อเลียนหลานผมว่าเป็นเด็กไม่มีแม่หรือมาล้อว่าหลานมีผู้ปกครองเป็นเกย์ ผมจะไม่...”
   
        “โอเค พี่เข้าใจแล้ว”
   
         ราเมศรีบขัดอีกฝ่าย ชายหนุ่มออกจากเตียงมาหยุดยืนตรงหน้าปานตะวันก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบาออกมา
   
        “ทำแบบที่นายเห็นว่าดีเถอะ พี่จะสนับสนุนนายเอง”
   
        ปานตะวันยิ้มซุกซนให้คนรัก รู้ว่ายังไงราเมศก็ขัดใจเขาไม่ได้...ในเมื่อแผนการนี้ปานตะวันตกลงใจไปตั้งนานแล้วว่าจะทำ
   
        หลังจากค่ำคืนนั้นที่หนูเจียกับเขาเปิดใจคุยกัน ปานตะวันก็รับรู้ปัญหาหนักหน่วงที่หลานชายเผชิญได้ ชายหนุ่มเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาราเมศซึ่งกังวลกับสภาพจิตใจหนูเจียไม่แพ้กัน พวกเขาสองคนพากันไปคุยกับคุณครูประจำชั้นให้ช่วยดูแลหนูเจีย ผลปรากฏคือเด็กๆ ในห้องบางคนก็กลับมาคุยกับหนูเจียตามเดิม ส่วนบางคนก็ยังคงทำตามที่น็อตบอกคือไม่ยุ่งและเอาแต่ล้อเลียนหนูเจียหรือแกล้งเด็กชายทุกครั้งที่มีโอกาส
   
       ปานตะวันไม่พอใจนักที่น็อตไม่ยอมหยุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจงัด ‘แผน’ ที่คิดไว้ขึ้นมาใช้ เขาเอาแผนนี้ไปปรึกษาราเมศที่แม้จะทำหน้าไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่พูดขัด
   
       ปานตะวันหมุนเก้าอี้หันกลับไปหน้ากระจกอีกครั้งก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนบานกระจกเย็นเฉียบพลางมองเงาของตนที่สะท้อนกลับมาด้วยแววตาพึงพอใจ
   
       ตอนนี้เงาที่สะท้อนในกระจกของปานตะวันกลายเป็นเงาของหญิงสาวที่มีเส้นผมสีดำเงางามยาวจรดกลางหลัง ดวงตากลมสีน้ำตาลล้อมกรอบด้วยแพขนตาหนา พวงแก้มเป็นสีแดงระเรื่อและริมฝีปากได้รูปก็ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีพีช ส่งให้ใบหน้าที่บัดนี้แยกได้ยากว่าเป็นหญิงหรือชายดูมีเสน่ห์แบบธรรมชาติเพิ่มขึ้น
   
        ใช่แล้ว...แผนการของปานตะวันก็คือการ ‘แต่งเป็นคุณแม่’ ไปในงานโรงเรียนวันนี้
   
        มันเป็นแผนการเรียบง่ายไม่ซับซ้อนอะไรแต่ต้องอาศัยความใจกล้าพอดู ปานตะวันไม่อายที่จะถูกจ้องหรือถูกซุบซิบนินทา เขาจะอาย...ถ้าปกป้องหลานจากคำครหาไม่ได้เสียมากกว่า
   
        ถ้าคนพวกนั้นบอกว่าหนูเจียไม่มีแม่...วันนี้ปานตะวันก็จะเป็น ‘คุณแม่’ ให้หนูเจีย
   
        ถ้าคนพวกนั้นบอกว่าการเป็นเกย์คือเรื่องผิดปกติ...ปานตะวันก็จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าครอบครัวของเขาไม่ได้แปลกประหลาดไปกว่าใคร
   
        ถ้าคนพวกนั้นพูดว่าการที่มีผู้ปกครองเป็นวัยรุ่นจะทำให้หนูเจียเติบโตมาเป็นเด็กที่ใช้ไม่ได้หรือการอบรมสั่งสอนของเขาไม่เป็นผลดีต่อหนูเจีย...ปานตะวันก็จะทำให้คนพวกนั้นรู้ว่าเขาพยายามเพื่อหนูเจียได้มากแค่ไหน และปานตะวันจะเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้นเพื่อหนูเจียได้ยังไง
   
        เขาจะทำให้ทุกคนเห็นเอง
   
        ปานตะวันคลี่รอยยิ้มหวานขณะสบตากับราเมศผ่านกระจก
   
        “ตะวันสวยไหมพี่เมศ”
   
         ราเมศหัวเราะพลางพิจารณาปานตะวันที่วันนี้อุตส่าห์ลุกมาตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาแต่งหน้าแต่งตัว แปลงตัวเองจากหนุ่มหล่อมาเป็นสาวสวย ตอนแรกที่ราเมศกลับมาแล้วเห็นปานตะวันกำลังทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกเขาถึงกับยืนค้างอยู่หน้าประตู นึกว่ามีผู้หญิงมาหาปานตะวันแต่พอมองดูดีๆ ก็พบว่าหญิงสาวผมดำหน้ากระจกไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นแฟนตัวดีของเขานั่นเอง
   
         ถามว่าสวยไหม ราเมศบอกได้ว่าไม่ถึงกับสวย...แต่น่ารัก
   
         ปานตะวันเป็นผู้ชายที่โครงหน้าค่อนข้างหวานอยู่แล้ว พอใส่วิกผมแล้วแต่งหน้าทาปากก็แยกยากอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
   
        ราเมศมองปานตะวันที่ยักคิ้วส่งมาให้แล้วก็ตอบไปว่า “สวย”
   
        “ตกหลุมรักเลยล่ะสิ”
   
        “ครับ ยอมแล้ว”
   
        ปานตะวันเงยหน้าขึ้นหัวเราะก่อนจะเอียงคอมองตัวเองในกระจก “พอมองแค่หน้าก็แยกยากอยู่หรอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถ้ามองเต็มตัวนี่ดูแป็บเดียวก็รู้เลยว่าผู้ชาย”
   
        ปานตะวันลุกขึ้นยืน ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดไทยแขนกระบอกสีฟ้าท่อนล่างสวมผ้าซิ่นสีเดียวกันแต่โทนอ่อนกว่า แน่นอนว่าชุดนี้ปานตะวันไปบีบคอชนกันต์เพื่อนรักให้หามาให้ ไอ้กันต์ที่ทำหน้าเหมือนคนถูกบังคับให้กลืนบอระเพ็ดก็ยินยอมแม้จะหาชุดไปบ่นไปก็ตาม แต่หลังจากเอาชุดมาให้มันยังมีการทิ้งท้ายว่าถ้าสวมแล้วให้ถ่ายรูปส่งไปให้ดูด้วย
   
      ชายหนุ่มหมุนตัวไปมา โครงร่างของเขาไม่ได้บอบบางและมีส่วนเว้าโค้งเหมือนผู้หญิง พอมาใส่ชุดแบบนี้แล้วถ้าไม่โดนทักว่าเป็นสาวทรงกระดานก็คงไม่พ้นโดนทักว่าเป็นกระเทย แต่ช่างมันสิ ปานตะวันไม่สนซะอย่าง ผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกนักแต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรติดขัดแล้ว
   
       “นายจะใส่ส้นสูงไหม” ราเมศถาม ปานตะวันส่ายหน้าทันที “ไม่เอาพี่ใส่ส้นสูงอีกผมคงได้สูงโดดออกมาจากพวกแม่ๆ แหง รองเท้าธรรมดานี่ล่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
   
       “เอางั้นก็ได้ จะไปกันหรือยังล่ะ เดี๋ยวไม่ทันงานเริ่มนะ”
   
       “ไปเลยก็ได้”
   
       ปานตะวันหยิบกระเป๋าถือของผู้หญิง(ที่ไอ้หนึ่งไปหามาให้) ขึ้นมาก่อนจะยัดโทรศัพท์และกระเป๋าเงินลงไป ชายหนุ่มเดินช้าลงจนราเมศต้องหยุดรอเป็นระยะ
   
        “เดินแบบนี้วันนี้จะถึงโรงเรียนไหม” คนตัวโตล้อ ปานตะวันเลยแยกเขี้ยวขู่ฟ่อเข้าให้ “ก็มันไม่ชินนี่นา พี่ลองมาใส่สิจะได้รู้ว่าใส่ผ้าซิ่นแบบนี้แล้วเคลื่อนไหวยากนะ!”
   
       “พี่ไม่ใส่หรอก” ราเมศตอบขณะเดินย้อนกลับไปประคองปานตะวัน ขืนปล่อยให้เดินต้วมเตี้ยมแบบนั้นไปเรื่อยๆ พวกเขาคงไปไม่ทันงานวันแม่ช่วงเช้าแน่ๆ ชายหนุ่มโอบแขนรัดรอบราวเอวของปานตะวันพลางตอบยิ้มๆ ว่า “ใส่ไปก็ไม่น่ารักแบบนาย”
   
       เพียะ
   
       ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรแต่พอจบประโยคนั้นปานตะวันก็ฟาดมือเข้าที่แขนเขาทันที
   
       “โอ๊ย! เจ็บนะเนี่ย ตีพี่ทำไม”
   
        “เนียนนะ”
   
        “อะไรเนียน” ราเมศเลิกคิ้ว แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนปานตะวันก็กลอกตาใส่อีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่า “ทั้งตัวที่ประกอบเป็นพี่เมศนั่นแหละ”
   
        ทั้งมือ ทั้งแขน ทั้งคำพูด...ไม่เนียนก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้ว
   
        วันนี้ในโรงเรียนคลาคล่ำไปด้วยผู้ปกครองที่มางาน ราเมศเข้าไปจอดรถในโรงเรียนไม่ได้เพราะที่จอดรถเต็มจึงต้องขับวนอยู่สองสามรอบเพื่อหาที่จอดรถ เมื่อหาที่จอดได้แล้วปานตะวันกับราเมศก็เดินเคียงกันเข้าไปด้านใน
   
        ดูเหมือนว่าแผนการปลอมตัวของปานตะวันจะใช้ได้ผล ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่สนใจเขา มีแค่บางคนเท่านั้นที่เผลอมองหน้าปานตะวันแล้วก็ติดใจสงสัยจนต้องหันมามองซ้ำ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนประเภทนี้คือยังคิดไม่ตกว่าปานตะวันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่
   
        ก็ดีแล้ว
   
        ปานตะวันกับราเมศเดินหลบหลีกผู้คนไปนั่งพักในโรงอาหาร ปานตะวันกัดริมฝีปากเมื่อถอดรองเท้าออกแล้วพบว่าตรงส้นเท้าและบริเวณนิ้วเท้าแดงก่ำจากการเสียดสี

       "รองเท้ากัดเหรอตะวัน"

       "ครับพี่"

       "ไหวหรือเปล่าเนี่ย แดงขนาดนี้" ราเมศนั่งลงหน้าปานตะวัน ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะช้อนเอาเท้าของคนรักขึ้นมาวางบนหัวเข่า นัยน์ตาสีนิลพินิจดูรอยแผลรองเท้ากัดอย่างกังวล

       "ตะวันไหว ไปกันเถอะพี่ เดี๋ยวไม่ทัน หนูเจียน่าจะลงไปที่ห้องตั้งนานแล้ว" เพราะแต่งตัวแต่งหน้านานทำให้ออกจากบ้านช้า ระหว่างทางรถก็ติด ยิ่งช่วงใกลจะถึงโรงเรียนยิ่งติด ไหนจะต้องวนหาที่จอดรถอีก

       ตามกำหนดการในใบที่หนูเจียให้มาเขียนไว้ว่างานวันแม่ที่จัดในหอประชุมจะมีการแสดง มีตัวแทนนักเรียนจากแต่ละห้องนำดอกไม้ไปไหว้แม่ตัวเองแล้วก็มีการเชิญตัวแทนคุณแม่ขึ้นกล่าวอะไรสักเล็กน้อย เมื่องานบนหอประชุมเสร็จเด็กๆ ก็จะกลับมาที่ห้องเรียนโดยที่คุณแม่คนอื่นจะรออยู่ข้างในเพื่อให้ลูกของตนนำดอกมะลิมาให้
   
       ตอนนี้พวกเขาสายมากแล้ว
   
       “ร้อนไหมตะวัน” ราเมศสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นบนหน้าผากคนรักก็ถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มส่งกระดาษทิชชู่ให้ปานตะวันเอาไปซับเหงื่อ
   
       “นิดหน่อยพี่เมศ ไม่เป็นไรหรอก”
   
       “เอาน้ำไหมเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”
   
       “ไม่เป็นไรครับ” ปานตะวันก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “เรารีบไปกันเถอะนะ”
   
       “โอเค งั้นมานี่ เดี๋ยวพี่ช่วยพยุง”
   
      ปานตะวันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ความแสบจากแผลรองเท้ากัดทำให้เขานิ่วหน้าแต่ก็ยอมอดทน พยายามเดินให้เร็วเท่าปกติเพื่อจะได้ไปหาหนูเจียได้ทันเวลา
   
        เก้าโมงครึ่งพิธีการทุกอย่างบนหอประชุมก็เสร็จสิ้น นักเรียนชั้นอนุบาลเป็นกลุ่มแรกที่จะได้ลงจากหอประชุม คุณครูประจำชั้นสองคนช่วยกันดูแลให้นักเรียนตัวน้อยเดินเรียงแถวกลับห้อง
   
         เจียหลินเป็นหัวแถวฝั่งผู้ชายเพราะเขาตัวเล็กสุด ตอนที่เดินออกมาเด็กชายตัวน้อยพยายามสอดส่ายสายตาหาน้าตะวันของเขาไปตลอดทางแต่ท่ามกลางผู้ปกครองร่างสูงใหญ่หนูเจียไม่เห็นวี่แววคุณน้าของเขาเลย
   
        เด็กชายกัดริมฝีปาก ความรู้สึกหวาดกลัวและเสียใจปนเปกันอยู่ในอก
   
        วันนี้เป็นวันแม่...หนูเจียไม่มีแม่ดังนั้นเขาเลยขอให้น้าตะวันมาแทนและน้าตะวันก็ตกลงแล้ว เมื่อเช้าอีกฝ่ายบอกให้เขาไปโรงเรียนกับน้าเมศก่อนแล้วจะตามมาทีหลัง เจียหลินก็เชื่อ แต่ตอนนี้ ตอนที่เดินมาถึงห้องแล้วแต่ยังไม่เห็นหน้าน้าตะวันและน้าเมศเด็กชายก็เริ่มกลัวว่าคนทั้งคู่อาจจะไม่มา
   
        “สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองทุกท่าน ขอบคุณที่สละเวลามาร่วมงานวันแม่ในวันนี้นะคะ” คุณครูประจำชั้นพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะที่ครูอีกคนดูแลให้เด็กๆ ตั้งแถว วันนี้โต๊ะเรียนถูกดันไปไว้ท้ายห้อง แทนที่ด้วยเก้าอี้พลาสติกสำหรับผู้ปกครอง ส่วนตรงหน้าห้องเรียนมีเก้าอี้ตั้งอยู่สองแถว แถวละหกตัว เด็กๆ สิบสองคนแรกเดินเรียงเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่หน้าเก้าอี้รอให้ผู้ปกครองของตนเดินเข้ามาหา
   
        เจียหลินกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง น้าตะวันยังไม่มา น้าเมศก็ยังไม่มา
   
        ทำไมถึงมาสายกันนะ หรือว่า...จะไม่มาแล้ว
   
         หัวใจดวงน้อยกระตุกสั่นด้วยความเสียใจและหวั่นวิตก หนูเจียเหลือบมองที่ประตูห้องแต่ก็ยังไม่เห็นเงาของผู้ปกครองและนั่นทำให้เด็กชายรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ
   
        เจียหลินขยับออกจากแถวแล้วเดินไปต่อท้ายสุดเพื่อเป็นการพยายามยืดเวลาออกไปเพื่อรอหน้าตะวัน
   
        “กราบ”
   
         เสียงแหลมๆ ของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ดึงเจียหลินออกจากความคิดวุ่นวายของตัวเอง เด็กชายมองเพื่อนสิบสองคนแรกก้มกราบแทบเท้าผู้เป็นแม่ก่อนที่แต่ละคนจะยืดตัวขึ้นแล้วติดเข็มกลัดดอกมะลิเข้าที่อกเสื้อของแม่ จากนั้นก็โถมตัวเข้าอ้อมกอดอุ่นๆ
   
         ในวินาทีนั้นเจียหลินคิดถึงจันทร์จ้าว
   
        เด็กชายคิดถึงรอยยิ้มหวานๆ และอ้อมกอดอุ่นๆ ของแม่จันทร์
   
        คิดถึงเสียงนุ่มๆ และฝ่ามือที่คอยลูบไล้ศีรษะและแผ่นหลัง
   
        ไม่มีอีกแล้ว...
   
         ตอนนี้ เวลานี้ ถ้าน้าตะวันมาไม่ทันมันก็จะมีแค่เขากับเก้าอี้พลาสติกว่างเปล่าหนึ่งตัวและเจียหลินรู้ดีว่าน็อตจะต้องเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนเขาอีกแน่ๆ
   
        แถวขยับสั้นลงเรื่อยๆ พร้อมกับความหวังของเด็กชายที่ริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน ในที่สุดก็หมดเวลา...
   
        เด็กสิบสองคนสุดท้ายของห้องเดินไปนั่งพับเพียบหน้าเก้าอี้พลาสติก เจียหลินหันไปที่ประตูห้องเป็นครั้งสุดท้ายหวังจะเห็นน้าตะวันกับน้าเมศเดินยิ้มเข้ามาแต่ด้านนอกประตูก็ยังว่างเปล่า
   
        ผู้ปกครองที่เหลือต่างเดินไปนั่งหน้าลูกชายลูกสาวของตัวเอง กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่เจียหลิน...ที่เก้าอี้ด้านหน้ายังว่างเปล่า
   
       เด็กชายก้มหน้า ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่พาให้หยาดน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา
   
       ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากได้ยิน
   
        น้าตะวันใจร้าย...ไหนสัญญาว่าจะมาไง แล้วทำไมถึงทิ้งหนูเจียไว้คนเดียว
   
        น้าตะวัน...
   
        “ขอโทษที่มาสายครับ ตอนนี้ยังทันใช่หรือเปล่า”
   
       
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2017 20:03:59 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
เสียงทุ้มนุ่มที่ได้ยินอยู่ทุกวันทำให้เจียหลินเงยหน้าขึ้น น้ำตาเหือดหายไปทันที เด็กชายหันขวับไปที่ประตูแล้วก็พบร่างสูงใหญ่ของน้าเมศกับ...ผู้หญิงผมยาวสีดำในชุดไทยสีฟ้าคนหนึ่ง
   
       เด็กน้อยขมวดคิ้ว ตอนแรกยังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่เมื่อสบตากันแล้วอีกฝ่ายขยิบตาให้อย่างขี้เล่นเด็กชายก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนั้นคือน้าตะวันของตนนั่นเอง
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ!” หนูเจียผุดลุกจากพื้น วิ่งเร็วจี๋ไปหาน้าชายทั้งสอง น้าตะวันในชุดไทยกางแขนออกแล้วรับตัวเด็กน้อยที่กระโดดกอดไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
   
       “น้าตะวันกับน้าเมศมาแล้ว!”
   
        ปานตะวันหัวเราะก่อนจะอุ้มเจียหลินขึ้นมาหอมแก้มซ้ายแก้มขวาไปฟอดใหญ่ ราเมศเองก็โน้มตัวมาจุ๊บแก้มนิ่มของหลานชายเช่นกัน
   
        พอมาอยู่ในอ้อมกอดใกล้ๆ แบบนี้แล้วเจียหลินก็มั่นใจว่าคนคนนี้คือน้าตะวันไม่ผิดแน่ ทั้งรอยยิ้ม สีหน้าและแววตาให้ความรู้สึกคุ้นเคยและชวนให้อุ่นใจ
   
      “ก็ต้องมาสิครับ สัญญากับหนูเจียไว้แล้วนี่นา แต่ขอโทษที่มาสายนะครับ”
   
       เจียหลินส่ายหน้า “ไม่เป็นไรคับ” แค่น้าตะวันมาเขาก็ดีใจมากแล้ว
   
        เด็กชายกอดคอน้าของตัวเองไว้แน่น ยอมให้ปานตะวันอุ้มจนถึงเก้าอี้ว่างเปล่าเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะปล่อยให้เด็กชายลงนั่งพับเพียบที่พื้น ดวงตาของเจียหลินเปล่งประกายระยับอย่างมีความสุขตอนเงยหน้ามองปานตะวัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กชายดีใจแค่ไหนที่คนสำคัญของเขาอยู่ตรงนี้
   
       “กราบ”
   
       ปานตะวันมองร่างเล็กก้มกราบแทบเท้าตนด้วยดวงตารักใคร่ หัวใจของเขาพลันเต็มตื้นขึ้นมา ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นอยู่ในอก รุนแรงเสียใจขอบตาของเขาแสบร้อนและหยดน้ำตาเริ่มเอ่อท้นขึ้นมา
   
       เป็นความรู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจ รักใคร่และเอ็นดู
   
      ปานตะวันลูบหัวหนูเจียเบาๆ ก่อนจะอุ้มเด็กชายมานั่งตักเพื่อให้เด็กน้อยติดเข็มกลัดดอกมะลิลงบนอกเสื้อเขาได้ถนัด
   
      “น้าตะวันคับ” หลังติดเข็มกลัดเสร็จหนูเจียก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับปานตะวัน “หนูเจียขอโทษที่ทำตัวดื้อกับน้าตะวัน หนูเจียขอโทษที่เป็นเด็กไม่ดีในบางครั้ง แต่หนูเจียสัญญาว่าหนูเจียทำตัวให้ดีขึ้นมากกว่านี้ ขอโทษที่ทำให้น้าตะวันเหนื่อยมาตลอด สำหรับหนูเจียน้าตะวันไม่ใช่แค่น้าแต่เป็นเหมือนพ่อของหนูเจียด้วย หนูเจียรักน้าตะวันมากเลยนะคับ”
   
        ...พ่อ...
   
        คำคำเดียวจากเจียหลินทำให้ปานตะวันถึงกับนิ่งค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความคาดไม่ถึง
   
        หนูเจียคิดว่าเขาเป็นพ่อ...อย่างนั้นหรือ
   
        ในชีวิตยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา...ปานตะวันไม่เคยคิดมาก่อนว่าอยากจะเป็นพ่อคน เขาในอดีตนั้นรักแต่ความสนุกสบาย ไม่อยากมีลูกและไม่คิดจะมี เขาเชื่อมาตลอดว่าการมีลูกเป็นเรื่องยุ่งยาก เป็นภาระ อีกอย่างคนรักชอบเพศเดียวกันแบบเขาจะมีลูกได้ยังไง รับเด็กมาเลี้ยงก็ยุ่งยากอีก
   
       แต่ในตอนนี้...ตัวเขาในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว
   
       เขารักเจียหลินเหมือนลูกชายคนหนึ่งและรู้สึกภูมิใจเหลือเกินที่ได้ดูแลเด็กคนนี้ อยากจะเลี้ยงให้เป็นคนดี...ดีกว่าที่เขาเป็น อยากจะเห็นหนูเจียจบปริญญา อยากจะเห็นลูกรักคนนี้เติบโตมีชีวิตที่ดีพร้อมและสวยงาม
   
       เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกดีและรู้สึกอยากรับผิดชอบกับคำว่า ‘พ่อ’ ที่เจียหลินเอ่ยออกมาได้มากขนาดนี้
   
       “ขอบคุณนะหนูเจีย...ขอบคุณนะครับ”
   
       ปานตะวันทำได้แค่กระซิบคำนั้นซ้ำๆ ระหว่างที่กอดเด็กน้อยเอาไว้
   
       “หนูเจียก็เป็นลูกชายที่พ่อตะวันรักมากที่สุดเหมือนกัน”
   
        ปานตะวันกับเจียหลินมองหน้าแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน รู้สึกจั๊กจี้กับคำว่าพ่อที่ไม่ชินปากนั้น แต่ก็คงจะทำให้ชินได้ไม่ยากหรอก
   
        ถึงจะแปลกหูไปบ้างในตอนแรก...แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบนี่นา
   
        “น้าเมศ น้าตะวันร้องไห้ล่ะ”
   
        หลังจากติดดอกไม้เสร็จปานตะวันกับหนูเจียก็เดินมานั่งข้างราเมศ ชายหนุ่มผิวแทนรับหน้าที่เป็นตากล้องถ่ายรูปให้สองน้าหลาน เมื่อถ่ายรูปเสร็จเจียหลินก็รีบพูดขึ้นมาทันที เด็กชายกระตุกแขนเสื้อราเมศด้วยสีหน้าเป็นกังวล “น้าเมศโอ๋ๆ น้าตะวันหน่อยนะคับ”
   
        ราเมศพยักหน้าให้หลานชายก่อนจะยื่นทิชชู่ให้ปานตะวัน “หนูเจียก็โอ๋ๆ น้าตะวันด้วยนะครับ น้าของหนูเขาเป็นแมวขี้แย”
   
         “แมวขี้แยอะไรของพี่เล่า! ทำไม ก็คนมันซึ้ง ร้องไห้หน่อยไม่ได้หรือไง”
   
        “ก็ร้องไปสิใครห้าม”
   
        “ไม่ได้ห้ามแต่ล้อใช่ไหม”
   
        “น่าๆ”
   
         เจียหลินหัวเราะคิกคักกับการต่อล้อต่อเถียงนั้น ตอนนั้นเองที่ปานตะวันเหลือบเห็นแม่ของน็อต ชายหนุ่มเลือกนั่งเก้าอี้แถวหน้า ถัดจากเขาไปสามตำแหน่งคือหญิงสาวคนนั้นกับลูกชายของเธอ ปานตะวันเผลอสบกับดวงตาคมกริบที่ปรายตามามองเขาด้วยแววตาไม่พอใจเข้าพอดี
   
       ชายหนุ่มลอบยิ้มกับตัวเอง
   
       ขัดหูขัดตาขัดใจสินะ...หึ
   
        “สวัสดีอีกครั้งนะคะคุณผู้ปกครองทุกท่าน” น้ำเสียงหวานผ่านไมโครโฟนของคุณครูประจำชั้นดึงสติปานตะวันให้กลับมาจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า “ทางโรงเรียนต้องขอขอบพระคุณอีกครั้งที่ทุกท่านให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้นะคะ เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เมื่อครู่เราได้ทำกิจกรรมมอบดอกมะลิให้กับคุณแม่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เราจะขอให้ตัวแทนคุณแม่ขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็กน้อยได้ไหมคะ” คุณครูสาวกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อหาตัวแทน แล้วตอนนั้นเองที่คุณแม่ของน็อตชูมือขึ้นด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
   
         “คุณแม่ขออาสาก็แล้วกันค่ะคุณครู”
   
         “คุณแม่ของน้องน็อตอาสาเป็นตัวแทนแล้วนะคะ ขอเสียงปรบมือให้คุณแม่หน่อยค่า”
   
         เสียงปรบมือดังอยู่ประมาณสามวิก่อนจะเงียบลง ปานตะวันมองหญิงสาวที่เดินไปรับไมโครโฟนจากคุณครูด้วยสีหน้านิ่งเฉย ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหล่อนเหลือบมองมาที่เขา
   
         “สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน วันนี้ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ได้ขึ้นมาเป็นตัวแทนกล่าวความรู้สึกในงานวันแม่นี้” หญิงสาวหยุดเล็กน้อยเพื่อปรับลมหายใจก่อนจะเอ่ยต่อ “สิ่งที่ฉันจะพูดในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากอยากจะฝากคำพูดให้ลูกๆ ทุกคนได้จดจำเอาไว้ วันนี้พวกหนูอาจไม่เข้าใจแต่วันหน้าเมื่อโตขึ้นพวกหนูจะเข้าใจดี แม่ขอให้หนูเป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่ รักพวกท่านให้มากๆ ไม่ใช่เฉพาะวันนี้แต่รักพวกท่านในทุกๆ วัน เชื่อฟัง ช่วยเหลืองานบ้านเมื่อโตขึ้น ไม่สร้างความเดือดร้อน แม่ขอให้พวกหนูรู้ไว้ว่าพวกหนูคืออนาคต คือความหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่นะคะ”
   
         เสียงปรบมือดังขึ้นแต่หญิงสาวยังพูดไม่จบ เธอรอจนเสียงปรบมือหายไปก่อนจะเริ่มประโยคใหม่อีกครั้ง
   
        “เมื่อครู่คือความในใจจากฉันถึงลูกๆ ตอนนี้ฉันจะขอพูดความในใจของฉันถึงผู้ปกครองคนอื่นๆ บ้าง” ถ้าปานตะวันตาไม่ฝาดเขาคิดว่าเธอจ้องมาที่เขาตรงๆ ไม่ใช่การปรายตามองผ่านแบบที่แล้วมา
   
       “มีหลายหัวข้อเลยค่ะที่ฉันอยากจะพูด แต่วันนี้ฉันจะขอยกเรื่องใกล้ตัวมาพูดก่อนก็แล้วกันนะคะ มันเป็นเรื่องของการใช้ความรุนแรง ทุกคนคงเคยเห็นหรือเคยได้ยินข่าวการใช้ความรุนแรงมาบ้างแล้ว หลายคนคงคิดว่าแหม มันเป็นเรื่องไกลตัว จะไปมีอะไร แต่ทุกท่านทราบไหมคะว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คุณคิด
   
       เพื่อให้เห็นภาพฉันจะยกตัวอย่างสถานการณ์สมมติให้ฟัง สมมตินะคะว่าวันหนึ่งมีเด็กผู้ชายสามคนอยู่ด้วยกัน เด็กผู้ชายคนที่หนึ่งและสองเป็นเพื่อนกัน พวกเขาทะเลาะกับเด็กชายคนที่สาม เด็กชายคนที่หนึ่งผลักเด็กคนที่สามล้มจนได้แผล เรื่องนี้อาจฟังดูธรรมดาแต่ถ้าฉันพูดว่าการที่เด็กชายคนที่หนึ่งมีพฤติกรรมแบบนั้นเป็นเพราะเขาอยู่ในครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรงล่ะคะ ถ้าฉันพูดว่าเขาอาจจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวยิ่งกว่านั้นใส่คนอื่น อาจจะทำใส่ลูกของฉันหรือลูกของคุณ...คุณจะยังมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวอยู่หรือเปล่า แล้วเด็กคนที่สองที่คบกับเพื่อนแบบนั้นเขาจะไม่ใช่อันธพาลไปด้วยหรือ...คุณคิดว่ามันจะดีกับลูกของเราไหมถ้าเราปล่อยให้เขายุ่งเกี่ยวกับเด็กทั้งคู่ หรือจะดีกว่าถ้าเราป้องกันให้ลูกของเราอยู่ห่างจากเด็กประเภทนี้ได้”
   
         ปานตะวันจ้องตอบหญิงสาวก่อนจะเหยียดริมฝีปากออก
   
        ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาที่เขา ได้ยินเสียงซุบซิบลอยมาเข้าหู เขาคิดไว้แล้วล่ะว่าแม่ของน็อตคงเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้ผู้ปกครองคนอื่นฟังเรียบร้อยแล้ว เธอคงจะรู้จักคนเยอะทีเดียว
   
       อันที่จริงถ้าฟังแบบคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรปานตะวันก็คงจะคิดว่าคำพูดของหญิงสาวนั้นถูกต้อง เธอคนนี้เก่งในเรื่องการเลือกใช้คำพูดให้ดูสวยหรูเพื่อโน้มน้าวคนเสียเหลือเกิน
   
        “จากประเด็นเรื่องการใช้ความรุนแรงและพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก หากเราสืบย้อนกลับไปอีกเราอาจจะค้นพบว่ามันมีสาเหตุมาได้จากหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้เลี้ยงดู สำหรับเราๆ ที่โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วนั้นคงไม่มีปัญหาเพราะเราสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด สิ่งไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับลูกของเรา แต่กับผู้ปกครองบางคนที่อายุยังน้อย ยังขาดการไตร่ตรองและไม่รู้ว่าควรจะสั่งสอนลูกหลานแบบไหน พวกเขาอาจจะให้การอบรมเด็กผิดๆ จนเด็กโตมามีปัญหา”
   
         ปานตะวันหรี่ตาลง ก่อนจะหันไปมองราเมศแล้วกระซิบกับคนรักเบาๆ
   
        “จงใจหาเรื่องกันแล้วชัดๆ”
   
          ราเมศลูบหลังมือของปานตะวันเป็นเชิงปลอบ ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ชอบใจกับคำพูดของหญิงสาวเท่าไหร่ ราเมศรับรู้ได้ว่าภายใต้คำพูดสวยหรูเหล่านั้นเธอแฝงการเหน็บแนมและการกล่าวหาเอาไว้ด้วย
   
          “และประเด็นสุดท้ายที่ฉันอยากจะพูดถึงก็คือการเลี้ยงลูกที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เด็กเติบโตมาแบบไม่ปกติ...เช่นอารมณ์ร้าย ก้าวร้าว หรือ...เบี่ยงเบน ฉันเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้โลกเราเปิดกว้างมากขึ้น แต่...มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดอยู่ดีอะไรที่มันเปิดเผยเกินไปก็อาจจะชักนำลูกของคุณให้ผิดไปจากกรอบของความปกติได้”
   
         “หัวเก่าชะมัด” ปานตะวันพึมพำเบาๆ
   
         “สิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อก็คือเราควรช่วยกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยของลูกเรา ทั้งการคบเพื่อน หลีกเลี่ยงเด็กที่มีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงและช่วยกันสั่งสอนพวกเขาอย่างถูกวิธีให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีของสังคม...จริงไหมคะ...คุณตะวัน”
   
        ภายในห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องมาที่ปานตะวันแต่ชายหนุ่มกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เขายิ้มกว้างแล้วตอบกลับไปว่า
   
        “แน่นอนที่สุดครับคุณแม่ แต่ในเมื่อคุณพูดจบแล้วผมก็ขอเสริมอะไรสักเล็กน้อย”
   
       ปานตะวันรับไมโครโฟนมาก่อนจะก้าวไปยืนตรงแทนที่คุณแม่ของน็อต เขากวาดตาดูผู้ปกครองในห้อง หลายคนเหมือนจะรับรู้ว่าหัวข้อที่คุณแม่น็อตยกมาพูดนั้นจงใจจะสื่อถึงเขา ปานตะวันคลี่ยิ้มจากนั้นก็เริ่มเอ่ย
   
       “สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อปานตะวัน วันนี้พวกคุณอาจจะสงสัยว่าผมจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาที่โรงเรียนทำไม จะเล่นตลกอะไร...เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ พูดให้ทุกคนฟัง” ปานตะวันดึงวิกผมยาวสีดำออกแล้วโยนมันไปไว้ข้างๆ
   
       “ผมจะขอพูดถึงสาเหตุที่ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาในวันนี้ก่อน มันมีสองสาเหตุใหญ่ๆ ด้วยกันครับ สาเหตุที่หนึ่งก็เพื่อมาทำหน้าที่ ‘แม่’   ให้กับหลานชายของผม...เจียหลิน เขาเป็นลูกชายของพี่สาวผมซึ่งเสียไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่เหลือใครแล้วไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ญาติที่เหลือต่างก็ไม่อยากได้เขาไป ผมที่เป็นน้าชายแท้ๆ จึงรับเขามาเลี้ยง ผมยังเด็กมาก...ก็อย่างที่พวกคุณเห็น ผมอาจจะยังขาดการไตร่ตรอง ขาดการคิดอย่างรอบคอบในหลายๆ เรื่อง พวกคุณอาจจะคิดว่าผมยังเด็ก...อายุเท่านี้เลี้ยงตัวเองยังไม่รอดแล้วจะไปเลี้ยงหลานรอดได้ยังไง ผมอยากจะบอกผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
   
        ผมไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเลี้ยงหนูเจีย แต่ผมก็กำลังพยายาม ผมหางานทำ กลับไปเรียนหนังสือให้จบ เก็บเงินเพื่ออนาคตของหลาน ผมพยายามสอนเขาให้มากเท่าที่จะทำได้เพราะคิดอยู่เสมอว่าหลานต้องดีกว่าผม เขาไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ แต่เขายังมีผม...ผมที่พยายามจะเป็นทุกอย่างให้เขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ชาย น้าชาย และเพื่อน ผมจะเลี้ยงเขาให้โตขึ้นมาโดยให้เขารู้สึกอบอุ่นและคิดว่าตัวเองไม่ขาดอะไรไปเลย ผมกำลังทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
   
       ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พูดต่อ ตอนนี้มือเขาสั่นไปหมดเพราะความประหม่า
   
       “อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมแต่งเป็นผู้หญิงมาในวันนี้ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าหนูเจียไม่ใช่เด็กขาดความอบอุ่นหรือเด็กมีปัญหา ผมได้รู้มาว่าหลานชายของผมถูกเพื่อนในห้องล้อเลียนว่าไม่มีแม่ ถูกเพื่อนในห้องแบนไม่เล่นด้วยเพราะคิดว่าเป็นเด็กชอบใช้กำลัง ถูกล้อว่ามีผู้ปกครองเป็นเกย์...และใครบางคนที่สอนให้เด็กพูดแบบนั้นก็ให้คำอธิบายว่าเกย์คือคนที่ไม่ปกติ ถ้าเป็นคุณคุณจะทนได้ไหมครับที่ลูกของคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้...ผมทนไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ผมถึงต้องขอยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
   
        ข้อที่หนึ่งคือเรื่องไม่มีแม่ แม่ของหนูเจียเสียไปแล้วแต่เขาก็ยังมีผม อย่างที่พูดไป ได้โปรดบอกลูกของคุณให้หยุดการล้อเลียนนี้เถอะครับ มันแสดงถึงการไม่ได้รับการอบรมจากผู้ปกครองอย่างที่สุดแล้ว”
   
        ปานตะวันเห็นน็อตนั่งซุกอยู่บนตักแม่ในขณะที่หญิงสาวจ้องเขาเขม็ง แต่เขาไม่กลัวหรอก เด็กคนนั้นเสียความรู้สึกได้ไม่เท่าที่หลานของเขาเสียไปด้วยซ้ำ ปานตะวันเมินแม่ลูกคู่นั้น เขากวาดสายตามองคนอื่นๆ ชายหนุ่มต้องการแค่นี้...แค่โอกาสพูดความจริง
   
       เขาเชื่อว่ายังมีคนที่เข้าใจและแยกแยะได้อยู่ ขอแค่ให้เขาได้อธิบาย
   
       “ข้อที่สองคือเรื่องการคบเพื่อนที่ใช้ความรุนแรงแล้วจะชอบใช้กำลังตาม ผมต้องขออธิบายความเข้าใจผิดตรงนี้ หลานของผมกับน้องเกล้าเป็นเพื่อนสนิทกัน น้องเกล้าอยู่ในครอบครัวที่พ่อและแม่เลี้ยงติดเหล้า แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับจิตใจน้องเกล้าแต่ผมเห็นมาแล้วว่าเขายังมีมารยาท นอบน้อม สิ่งที่เขาต้องการคือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การถูกตัดสินแบบผิดๆ ตอนนี้เขาได้ไปอยู่กับครอบครัวที่รักเขาแล้วและมีความสุขดี ส่วนเหตุการณ์ที่เขาผลักน้องน็อตจนล้มเป็นเพราะน้องน็อตต้องการจะเข้ามาแกล้งเจียหลินก่อน เรื่องนี้มีเด็กคนอื่นเป็นพยานและคุณครูก็อยู่รับรู้ด้วยถูกไหมครับ เราขอโทษกันแล้ว ผมว่าคุณแม่น่าจะเลิกติดใจเรื่องตรงนี้ได้แล้ว”
   
        สายตาหลายคู่ย้ายไปมองที่น็อตกับแม่ซึ่งนั่งหน้าซีดอยู่ หญิงสาวกำมือแน่น ทั้งโกรธทั้งอาย
   
        “เรื่องที่สามคือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ ครับ ผมมีคนรักเป็นผู้ชายและเราสองคนก็ช่วยกันเลี้ยงหนูเจีย ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหาย ผมไม่อายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการจะให้ใครเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของผมและเอาความคิดเองเออเองของตัวเองไปเล่าให้คนอื่นฟังแถมยังใส่ความรู้ผิดๆ เข้าหัวเด็กอีก ผมจะขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าเกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ เขาก็คือคนธรรมดาที่มีลมหายใจ เลือดเนื้อ มีความรู้สึกรัก ชอบ เกลียด เสียใจ ดีใจ ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง ที่ต่างประเทศคู่รักเพศเดียวกันมีลูกด้วยกันก็เยอะแยะไป ทำไมคุณถึงคิดว่าการที่คนเพศเดียวกันมีลูกแล้วเด็กจะโตมาเป็นคนไม่ดีล่ะครับ”
   
        ภายในห้องเงียบสนิท...ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาแม้แต่คนเดียว
   
        “ผมพูดในสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้วและขอให้ทุกท่านช่วยปรับความเข้าใจกับลูกๆ ของท่านด้วย แล้วก็ก่อนจากกันผมจะขอเสริมอะไรสักเล็กน้อยใน ‘คู่มือการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง’ ที่คุณแม่น้องน็อตกล่าวไปก่อนหน้านี้นะครับ สิ่งที่อยากเสริมก็คือ...หยุดตามใจลูกของคุณและรักเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาได้แล้ว ความรักของคุณกำลังทำให้เขาเสียคน คุณกำลังทำร้ายเขา ถ้าเขาทำผิดคุณต้องสอน ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นแล้วหลับหูหลับตาเชื่อว่าลูกฉันถูก ถ้าเขาทำดีคุณต้องชม แล้วก็ปลูกฝังทัศนคติด้านบวกให้เขาตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่มันจะสายเกินแก้”
   
       “ผมพูดถูกไหมครับ...คุณแม่น้องน็อต”

*********************************************************

สวัสดีค่าาาาา วันนี้ฤกษ์งามยามดีได้ทีกลับมาอัพนิยายแล้ว 5555555
สำหรับตอนนี้อยากพูดถึงคุณแม่ของน้องน็อตสักหน่อย คือจะว่ายังไงดี เขาก็รักลูกนะคะไม่ใช่ไม่รัก
แต่เขารักมากเกินไป เป็นความรักแบบที่เราคิดว่ามันคือการปิดหูปิดตาตัวเองอ่ะ
โดยส่วนตัวแล้วเราคิดว่าสำหรับคนบางคนคำว่าขอโทษคือคำที่เอ่ยออกมาได้ยากที่สุด
คุณแม่น้องน็อตเป็นผู้หญิงประเภทมีความมั่นใจในตัวเองสูง เธอเชื่อว่าเธอเลียงลูกออกมาได้ดี ลูกเธอเป็นเทวดา
ดังนั้นจิตใจเธอเลยไม่ยอมรับกับสิ่งที่ปานตะวันบอกว่า "น็อตเริ่มก่อน" เธอพยายามโยนความผิดให้คนนู้นคนนี้
ไม่เอ่ยคำขอโทษแล้วก็ไม่ยอมจบ

ส่วนปานตะวันคือเขาต้องการพื้นที่แค่ให้ได้อธิบาย พอพูดความจริงออกไปคือเขาจบแล้ว ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ยืดออกไปอีก
จริงๆ ที่ปานตะวันแต่งหญิงก็มีสองเหตุผลใหญ่ๆ คือ มาเป็นแม่ให้หนูเจีย ทำหน้าที่แทนพี่สาว ส่วนข้อสองก็คือ
อยากแสดงออกให้ทุกคนรู้ว่าเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อหนูเจียนะ หลานเขาเขาก็รัก อะไรประมาณนี้ค่ะ

ปานตะวันเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเขียนยากมาก ทั้งการพยายามรักษาระดับเรื่องไม่ให้เอื่อยมากไป
การพยายามทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละคร(เป็นจุดที่เราต้องการสื่อออกมาให้คนอ่านรู้มากที่สุด)
เราไม่รู้ว่าเราทำออกมาได้ดีหรือเปล่า ดังนั้นแล้วนักอ่านทุกท่านสามารถติชมได้เลยนะคะ แสดงความคิดเห็นของท่าได้เต็มที่เลย
เราขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ  :L2: พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บๆ

ปล. ติดตามข่าวสารและหลังไมค์หรือหน้าไมค์มาคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตะวันพูดได้ดีๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ปรบมือสิ รออะไร อออิอิสะใจ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ปานตะวัน ชนะเลิศมาก :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ขอพื้นที่ให้ตะวันได้เคลียร์ ตอนนี้ เข้าใจชัดเจนกันแล้วนะคะ
พูดได้ดีค่ะ ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกหรอก แต่จะทำยังไงให้ลูกโตแบบมีคุณภาพ

เมศคงมึนกับความดื้อของน้าหลานพอดู 5555
ตะวันก็เข้าใจคิด แล้วกล้าที่จะทำด้วย เพื่อหนูเจีย

หนูเจียเกือบเสียใจจริงจังแล้วนะ ดีนะที่เสียงโผล่มาทันเวลา


ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ปรบมือให้น้าตะวันค่ะ  o13 o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
พูดได้ดีมากๆ หวังว่าแม่ๆ ทั้งหลายจะคิดได้เนอะ

อีกอย่างตะวันอายุเท่านี้ ยังสอนหลานได้ดีมากๆ ปรบมือๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ชอบบบบบ ตะวันเก่งมาก ๆ เลย

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
กรี๊ดค่ะกรี๊ด เป็นการโต้กลับที่สุดยอดมากค่ะตะวัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ตะวันนายสุดยอดจริงๆๆๆ o13

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
คุณแม่น้องน๊อต  ตอนนี้เน่าไปละ

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๘
คำชวน


        หลังเสร็จงานโรงเรียน ปานตะวันกับราเมศก็พาหนูเจียออกไปหาขนมกิน ร้านที่ทั้งคู่เลือกคือร้านไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก
   
       ปานตะวันที่ตอนนี้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้าและเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดผู้ชายเรียบร้อยแล้วอ้าปากงับไอศกรีมรสมะนาวเข้าปากอย่างมีความสุขก่อนจะหันไปป้อนหนูเจียที่นั่งจ้องตาแป๋วอยู่ข้างๆ
   
       “งั่ม” ปานตะวันทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอนหลานชายแก้มยุ้ยรับไอศกรีมคำโตเข้าปาก หนูเจียหลับตาปี๋ก่อนจะพูดออกมาว่า “น้าตะวัน เปรี้ยววว”
   
       “ฮ่าๆ กินคำเล็กๆ สิครับ”
   
        เด็กน้อยเอาหน้าผากโขกโต๊ะเบาๆ จากนั้นหนูเจียก็เมินไอศกรีมมะนาวของปานตะวันไปโดยสิ้นเชิง เจ้าตัวเล็กหันกลับไปก้มหน้าก้มกินไอศกรีมช็อกโกแลตของตัวเองแทน ปานตะวันเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าแบบขำๆ เด็กหนอเด็ก
   
        “กินเลอะเทอะเป็นเด็กเลย” เสียงทุ้มจากคนที่นั่งตรงข้ามดังขึ้นพร้อมกับที่คนผิวแทนเอื้อมมือมาเช็ดไอศกรีมที่เลอะรอบปากให้ ราเมศมองคนรักกับหลานด้วยแววตาเอ็นดู สองคนนี้เวลาอยู่ต่อหน้าขนมแล้วเหมือนกันไม่มีผิดคือตาเป็นประกายแล้วก็ก้มหน้าก้มกินจนแก้มป่อง
   
       แมวเล็กกับแมวใหญ่ของเขานี่น้า...น่ารักจริงๆ
   
       “ขอบคุณครับ” ปานตะวันเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ ตอนนี้แววตาของคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความสบายใจท่าทางก็ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อเช้ามากโข พอเห็นแบบนี้แล้วราเมศก็โล่งอก
   
        ชายหนุ่มผ่อนลมหายออกมาพลางยกกาแฟขึ้นจิบ สมองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หลังจากที่ปานตะวันออกไปพูดหน้าชั้นเรียน
   
        ตอนนั้นสถานการณ์ในห้องเรียน...ใกล้เคียงกับคำว่าหายนะ
   
        ราเมศจำได้ว่าเมื่อปานตะวันพูดจบ คืนไมโครโฟนให้ครูประจำชั้นแล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ หลายนาทีหลังจากนั้นก็ยังไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุม...มันเป็นความเงียบที่หนักอึ้งและกดดัน บรรยากาศตึงเครียดจนเกือบจะเข้าขั้นวิกฤติ แล้วตอนนั้นเองที่แม่ของน็อตลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าปานตะวัน หญิงสาวจับมือลูกชายเอาไว้แน่น สีหน้าของเธอเย็นชาหากแต่ราเมศจับความโกรธเกรี้ยวปานพายุในดวงตาของเธอได้
   
       “เธอ...กล้าดียังไง...หักหน้าฉันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้” หญิงสาวกระซิบลอดไรฟัน น้ำเสียงหวานสั่นพร่า ปานตะวันไม่ได้ลุกขึ้นยืนหากแต่เขาจ้องตาเธอกลับโดยไม่หวั่นไหว ไม่ยอมแพ้
   
       “แล้วคุณล่ะครับกล้าดียังไงถึงให้ลูกชายของคุณมารังแกหลานผมแบบนี้” ราเมศคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นปานตะวันมีสีหน้าเย็นชาขนาดนี้ คนรักของเขายืดตัวตรง สลัดคราบวัยรุ่นสบายๆ ตามปกติออกไปจนหมด ปานตะวันในตอนนี้ดูเยือกเย็นและแผ่รังสีกดดันออกมามากจนน่ากลัว
   
        “เธอจะไม่จบใช่ไหม”
   
        “ผมจบแล้ว” ปานตะวันต้องการพื้นที่เพื่อพูดความจริง วันนี้เขาก็ได้พูดแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรกับหัวข้อนี้อีก การทะเลาะกันเหมือนเด็กแบบนี้ควรหยุดเสียที
   
        “คุณครับ ผมให้เกียรติคุณมาตลอดเพราะคุณเป็นผู้ใหญ่กว่าและผมไม่สนใจว่าคุณจะสั่งสอนลูกชายของคุณยังไง แต่ในเมื่อคุณเอาเรื่องของผมไปเล่าให้คนอื่นฟัง ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องที่มาจากอคติรวมถึงการคิดเองเออเองของคุณ อีกอย่างคำสอนของคุณมันสร้างความเข้าใจผิดให้เด็ก...และความเข้าใจผิดนั้นส่งผลกระทบมาถึงตัวของเจียหลินผมก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้ คุณทำให้คนอื่นเข้าใจผมผิด วันนี้ผมมาอธิบายมันก็เท่านั้น”
   
        ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นหรือไม่เข้าข้างลูกจนเกินพอดี
   
       ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่มองปานตะวันและครอบครัวด้วยอคติ
   
       ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่เอาเรื่องที่เธอเสริมเติมแต่งด้วยอคติเหล่านั้นไปเล่าให้คนอื่นฟัง
   
       ถ้าเธอไม่สอนลูกแบบผิดๆ
   
       เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
   
        ปานตะวันยอมรับว่าเขาใจร้อนและต้องการเอาคืนอยู่บ้าง การพูดความจริงของเขาก็เป็นการฉีกหน้าเจ้าตัวอย่างที่หญิงสาวพูดนั่นแหละและบางทีมันอาจจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้ในการทำให้เรื่องจบโดยไม่ต้องบาดหมางใจกันแต่เขาก็ไม่สนใจจะหา ไม่สนใจจะคิด
   
        ถ้าจะหักก็ให้มันหัก ปานตะวันไม่คิดจะเสวนาหรือยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้และลูกชายของเธออีกแล้ว
   
       “เลิกโทษคนอื่น เลิกโยนความผิดแล้วก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเสียทีเถอะครับ จริงๆ สาเหตุมันก็มาจากแค่เรื่องเล็ก เราจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเพื่ออะไร ต่อจากนี้ก็เลิกแล้วต่อกันเถอะครับ คุณเกลียดขี้หน้าผม ลูกชายคุณไม่ชอบหนูเจีย ส่วนผมก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไรกับคุณนักหนาดังนั้นเราก็แค่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันจะได้ไหมครับ”
   
        “ไอ้เด็กปากดี”
   
        ปานตะวันจ้องหญิงสาวนิ่ง พวกเขามองตาวัดใจกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอคนนั้นจะดึงแขนลูกชายออกจากห้องไป ก่อนจากไปเธอยังหันกลับมาทิ้งท้ายว่า “ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเธอนักหรอกนะ เด็กอะไรไม่มีสัมมาคารวะ” เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเสียงดังเพราะร่างแบบบางนั้นเดินลงส้นเท้าเป็นการระบายความโกรธเริ่มแผ่วลงก่อนจะเงียบหายไป ปานตะวันถึงผ่อนลมหายใจออกมาได้
   
         เมื่อน็อตกับคุณแม่เดินออกไปพ้นแล้วคุณครูประจำชั้นก็รีบเดินออกมาด้านหน้าด้วยสีหน้าจืดเจื่อนก่อนจะดำเนินกิจกรรมต่อ หลังเสร็จกิจกรรมปานตะวันเดินเข้าไปหาคุณครูแล้วก็ยกมือไหว้ขอโทษที่เขาก่อเรื่องวุ่นวายในห้องแถมยังทำให้เสียบรรยากาศอีก คุณครูทั้งสองรับไหว้ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดว่า
   
        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทางคุณครูเองก็ต้องขอโทษที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจียหลินเหมือนกัน”
   
       “ผมหวังว่าคุณแม่น้องน็อตจะไม่มาเอาเรื่องกับคุณครูนะครับ”
   
        “เธอคงไม่กล้าทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังไงนี่มันก็มีสาเหตุมาจากเรื่องเล็กๆ ยิ่งเธอพูดมากมันก็ยิ่งเข้าตัว...ทางคุณน้าตะวันเองก็ไม่ต้องไปตอบโต้แล้วนะคะ พอแล้ว ปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปแล้วก็ให้หนูเจียเลี่ยงน็อตไว้เถอะค่ะจะได้ไม่เกิดปัญหา ทางเราก็จะช่วยดูแลด้วย จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกค่ะ”
   
       “ขอบคุณมากนะครับแล้วก็ขอโทษอีกครั้ง”
   
        ระหว่างที่ปานตะวันคุยกับครูประจำชั้น ผู้ปกครองบางคนก็ตรงเข้ามาคุยกับราเมศ ถามไถ่เรื่องราวของเขากับหนูเจีย หลายคนขอโทษที่เผลอเชื่อคุณแม่ของน้องน็อตไปก่อนแล้วก็กำชับลูกให้อยู่ห่างเจียหลินทั้งที่ยังไม่ได้ฟังความจากฝั่งปานตะวัน บางคนก็เสนอตัวให้คำปรึกษาในการเลี้ยงดูเด็ก ส่วนคนอีกกลุ่มก็ยืนคุยซุบซิบกันด้วยสีหน้าไม่พอใจ
   
       ราเมศยิ้มแย้มให้คนสองประเภทแรก...ส่วนประเภทหลังเขาปล่อยผ่าน เข้าใจดีว่าคำพูดของปานตะวันคงทำให้คนเข้าใจและเชื่อได้ไม่หมด คุณแม่บางคนที่เป็นเพื่อนกับแม่น็อตคงจะรู้สึกไม่พอใจที่เพื่อนโดนปานตะวันหักหน้าเอากลางงานและพาลไม่ชอบพวกเขาสามคนน้าหลานไปเสียแล้ว
   
       มันเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะคิดอย่างนั้น แม้จะไม่สบายใจเล็กน้อยแต่ราเมศก็ปัดมันทิ้งไป
   
        พยายามไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก
   
        ห้านาทีต่อมาปานตะวันก็กลับมา พวกเขาทั้งสามตกลงไปเดินดูกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนด้วยกัน เนื่องจากช่วงบ่ายนอกจากผู้ปกครองจะได้พบครูประจำชั้นแล้ว ผลงานของนักเรียนชั้นปีสูงๆ จะได้นำมาจัดแสดงที่สนามด้านล่างและบนหอประชุมอีกด้วย หลังจากชมกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนจนครบพวกเขาก็ตัดสินใจมาทานไอศกรีมก่อนกลับบ้าน ถือว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองและเติมพลังความสดใสคืนให้ชีวิต(ตามที่ปานตะวันว่าไว้)
   
         เป็นอันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงด้วยดี...ราเมศคิดว่าแบบนั้นนะ
   
        “แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า” ราเมศถามขณะมองปานตะวันจ่ายค่าไอศกรีมของตนกับหลานชายส่วนค่ากาแฟชายหนุ่มเป็นคนจ่ายเอง ตอนแรกปานตะวันจะเลี้ยง...ราเมศไม่ยอม บอกว่าเขาจะเป็นคนเลี้ยงเอง คราวนี้ปานตะวันก็ไม่ยอมอีก สุดท้ายเลยจ่ายแยกของใครของมัน
   
        นี่ออกจะทำให้ชายหนุ่มผิวแทนหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย ทำแบบนี้มันดูไม่เหมือนเป็นแฟนกันเลยนี่นา
   
        “ไม่ไปแล้วล่ะพี่ ตรงกลับบ้านเลยดีกว่าวันนี้ตะวันว่าจะกลับไปทำความสะอาดบ้านสักหน่อย ไหนๆ ก็ลางานเต็มวันมาแล้ว”
   
        “งั้นเดี๋ยวพี่ช่วย”
   
       “โอเคเลยครับ”
   
       ตอนขากลับปานตะวันแวะเอาชุดไทยไปส่งที่ร้านซักรีดก่อน จากนั้นถึงตรงกลับบ้าน เมื่อมาถึงเรือนไทยหลังน้อยราเมศก็ขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดส่วนปานตะวันกับหนูเจียหลังเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองสบายๆ แล้วสองคนน้าหลานก็ช่วยกันยกตะกร้าผ้าลงมาที่ใต้ถุนบ้าน
   
       เรือนไทยหลังนี้ยกพื้นสูง ใต้ถุนโล่งกว้างเป็นสถานที่อเนกประสงค์ ไม่นานมานี้ปานตะวันกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับซักผ้าโดยเฉพาะ บริเวณอื่นก็เป็นที่สำหรับนั่งเล่น นอนเล่นมี ระหว่างเสาต้นใหญ่สองต้นมีเปลญวนผูกอยู่ ปานตะวันชอบแอบมางีบหลับตรงนั้น บางทีชายหนุ่มก็จะเอาเสื่อมาปูให้หนูเจียนั่งเล่นขายของอยู่ใกล้ๆ กันด้วย
   
       ปานตะวันลากวางเก้าอี้พลาสติกเล็กๆ สองตัวลงกับพื้นก่อนจะลากกะละมังซักผ้าสีดำออกมา เขาจะสอนหนูเจียให้ซักผ้าด้วยมือก่อนพอโตหน่อยค่อยสอนให้ใช้เครื่องซักผ้า
   
       “หนูเจียอย่าเปิดน้ำแรงไปนะครับ ระวังเปียกด้วย” ปานตะวันเอ่ยเตือนเมื่อหลานชายทำท่าจะเปิดปิดก๊อกน้ำเล่น หนูเจียที่ถูกจับได้จึงรามือไปแต่โดยดี เด็กชายหันไปเล่นกับแมวเหมียวเพื่อนรักทั้งสองที่เข้ามาคลอเคลียเป็นการฆ่าเวลาปานตะวันที่นั่งดูอยู่เมื่อเห็นน้ำมาถึงระดับที่พอใจแล้วเขาก็ปิดก็อก
   
        “หนูเจียไปหยิบกระป๋องใส่ผงซักฟอกมาทีครับ”
   
        “รับทราบคับผม”
   
         หนูเจียวิ่งดุกๆ ไปหยิบกระป๋องพลาสติกใส่ผงซักฟอกมาให้ ปานตะวันตักผงซักฟอกใส่ลงในน้ำแล้วก็บอกหลานให้ใช้มือตีน้ำจนเป็นฟอง ขั้นตอนนี้ถูกใจหนูเจียมากเพราะเจ้าตัวหัวเราะไปตีน้ำไปแถมยังเอาฟองมาเป่าเล่นอีก
   
         “น้าตะวัน หนูเจียชอบซักผ้าจังเลยคับ!”
   
         มุมปากของคนเป็นน้ายกขึ้นทันที “งั้นถ้าโตขึ้นแล้วน้าตะวันใช้ซักผ้าหนูเจียก็ห้ามบ่น ห้ามงอแงนะครับ”
   
        “แน่นอนคับ หนูเจียจะซักผ้าทุกวันเลย!”
   
         เด็กน้อยไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากจะเล่นตีฟองแบบนี้ทุกวัน ส่วนปานตะวันยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก สมัยเด็กเขาก็เคยชอบไอ้การตีผงซักฟองจนเป็นฟองนะ ตอนเป็นเด็กอยากทำนู่นทำนี่เยอะแยะ อยากซักผ้า อยากล้างจาน อยากถือของ อยากรดน้ำต้นไม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ให้ทำ
   
          พอโตมา...โคตรอยากย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองตอนเด็กว่าไอ้หนู อย่าได้พูดออกไปเชียวว่าชอบทำงานบ้านไม่งั้นเอ็งจะเสียใจภายหลัง
   
         ชักอยากรู้แล้วแฮะว่าตอนโตหนูเจียจะจำคำพูดตัวเองวันนี้ได้ไหม...แล้วถ้าตอนนั้นปานตะวันใช้หลานไปซักผ้าอีกฝ่ายจะงอแงไม่พอใจหรือเปล่า
   
         “น้าตะวัน ตีฟองแล้วยังไงต่อคับ”
   
         เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยข้างกายเรียกให้ปานตะวันหลุดออกจากภาพฝันในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า ชายหนุ่มหยิบชั้นในและถุงเท้าลงกะละมังก่อนจะสอนหนูเจียให้หัดขยี้ผ้า ระหว่างซักผ้าสองน้าหลานก็เปิดเพลงฟัง ถ้าเพลงไหนหนูเจียกับปานตะวันรู้จักก็จะแข่งกันร้องเพลงนั้นเสียงดัง โชคดีที่บ้านข้างๆ ไม่อยู่ส่วนบ้านหลังตรงข้ามก็เป็นราเมศทำให้ปานตะวันไม่ต้องกลับใครจะปาขวดปาแก้วข้ามรั้วมา
   
       เมื่อซักผงซักฟอกและน้ำเปล่าเสร็จปานตะวันก็แช่น้ำยาปรับผ้านุ่มทิ้งไว้ ระหว่างที่รอเขาก็เดินขึ้นไปปัดกวาดเรือนไทย หนนี้หน้าที่ของหนูเจียมีอยู่อย่างเดียวคือนั่งนิ่งๆ บนโซฟาจนกว่าพื้นที่ถูจะแห้ง   เด็กชายที่ได้แต่นั่งมองตาแป๋วจึงส่งเสียงเชียร์หน้าตะวันคนเก่งให้ถูบ้านเสร็จไวๆ ปานตะวันถูบ้านไปขำไปจนแทบหมดแรง
   
       “น้าตะวัน น้าเมศจะไม่มาแล้วเหรอคับ”
   
        ตอนที่ลงมาเอาผ้าขึ้นตากจู่ๆ หนูเจียก็ทักขึ้นมาปานตะวันถึงนึกขึ้นได้ว่าราเมศหายไปเลย อีกฝ่ายบอกว่าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อแล้วก็เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดมาช่วยแต่จนถูบ้านซักผ้าเสร็จแล้วก็ยังไม่มา...
   
        ไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ขั้วโลกเหนือหรือไงนะ
   
        “งั้นเดี๋ยวน้าตะวันไปดูน้าเมศหน่อยดีกว่า หายไปไหนก็ไม่รู้ หนูเจียขึ้นไปรอบนบ้านนะครับแล้วก็อย่าซนล่ะ” ชายหนุ่มหนีบถุงเท้าคู่สุดท้ายไว้กับที่หนีบผ้าจากนั้นก็จัดการเทน้ำทิ้ง คว่ำกะละมังแล้วก็เดินลากอีแตะเน่าๆ ข้ามไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม
   
       “หือ รถใครล่ะนั่น”   
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นรถกระบะไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้านราเมศ ปานตะวันชะเง้อดูจากนอกรั้วแต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ในบ้าน สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจผลักประตูรั้วให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป
   
        ราเมศกับปานตะวันเข้าบ้านกันและกันได้อย่างอิสระมาตั้งนานแล้ว พวกเขาถึงขั้นฝากกุญแจสำรองบ้านของตัวเองไว้ที่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดังนั้นชายหนุ่มผมน้ำตาลจึงค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะไม่ถูกราเมศด่าที่เดินดุ่มๆ เข้ามาในบ้านโดยไม่ยอมกดกริ่งหรือตะโกนเรียกก่อน
   
       ปานตะวันมัวแต่สนใจละเง้อมองในบ้านทำให้ไม่เห็นรองเท้าส้นสูงที่ถอดแอบอยู่ข้างประตู
   
       เมื่อเดินเข้าไปในบ้านจมูกก็ได้กลิ่นหอมของกาแฟ ที่ห้องรับแขกไม่มีใครอยู่แต่กลิ่นมาจากทางห้องครัวปานตะวันจึงเลี้ยวเข้าไป แต่แล้วร่างเล็กก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าในห้องครัวไม่ได้มีแต่ราเมศแต่ยังมีหญิงสาวผมดำคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย พวกเขากำลังคุยกันทำให้ไม่เห็นปานตะวันที่เดินเงียบๆ เข้ามา
   
        “จะไปเมื่อไหร่ก็บอกจะได้จองตั๋วให้”
   
        “ยังไม่แน่ใจ พี่ต้องคุยกับเขาก่อน”
   
        “เขานี่ใคร แฟนใหม่หรือไง ร้ายนักนะ ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวมีคนใหม่ซะแล้ว”
   
         “หยุดเลยมิ้นต์ มันเป็น— อ้าว ตะวัน?”
   
          ในที่สุดราเมศก็หันมาเห็นปานตะวันจนได้ ดวงตาสีดำฉายแววแปลกใจทำให้ปานตะวันรู้ว่าอีกฝ่ายลืมเรื่องช่วยงานบ้านไปเสียสนิท
   
         เขาเม้มปาก ไม่แน่ใจว่าจะถอยออกจากห้องไปก่อนหรือว่าจะทำตัวยังไงดี โดยเฉพาะเมื่อหญิงสาวผมดำคนนั้นหันกลับมาจ้องเขาด้วยแววตาพินิจพิจารณา
   
        แขกของราเมศเป็นหญิงสาวผมดำยาวประบ่า ดวงตากลมซ่อนอยู่หลังแว่นตากรอบฟ้า ผิวของเธอขาวจัดเหมือนคนไม่เคยโดนแดด เครื่องหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ไม่ใช่คนสวยสะดุดตาแต่น่ารักแล้วก็ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ
   
        “ตะวัน?” เธอเอ่ยชื่อเขาพลางกวาดสายตาขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีหวานก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ”
   
        ปานตะวันกะพริบตาปริบก่อนก้มศีรษะให้ “สวัสดีครับ...เอ่อ ขอโทษครับ พอดีผมไม่รู้ว่าพี่เมศมีแขก เดี๋ยวผมกลับก่อนก็ได้”
   
       “ไม่เป็นไรๆ” ราเมศรีบเดินเข้ามายืนตรงหน้า บดบังหญิงสาวคนนั้นออกไปจากสายตาปานตะวัน “นายมีอะไรหรือเปล่า”
   
        คนตัวเล็กขมวดคิ้วฉับ ท่าทางเหมือนแมวเหมียวโดนขัดใจ
   
        “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมกลับก่อนดีกว่า”
   
        “เอางั้นเหรอ”
   
        “ครับ แล้วเจอกันครับพี่”
   
        “โอเค”
   
         ปานตะวันรีบชิ่งออกมาทันที ตอนที่ก้าวพ้นประตูห้องครัวเขาได้ยินหญิงสาวคนนั้นพูดกับราเมศว่า “นั่นใครน่ะ หล่อดีนะพี่เมศ”
   
        ใจหนึ่งเขาก็อยากจะหยุดฟังว่าราเมศตอบว่าอะไรแต่ไม่รู้ทำสองขาถึงไม่หยุดเดิน รู้ตัวอีกทีกลับมายืนอยู่ในอาณาเขตบ้านทรงไทยของตัวเองแล้ว
   
         ปานตะวันเดินเหม่อลอยขึ้นไปบนบ้าน ในหัวมีแต่ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับข้อสงสัยที่ว่า
   
         ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันนะ?
   
         เวลาช่วงบ่ายจนถึงเย็นหมดไปกับการทำความสะอาดบ้านและทำกับข้าว ปานตะวันทำทั้งหมดคนเดียว ตอนที่ประกอบพัดลมที่เขาถอดใบพัดและฝาครอบออกมาล้างเข้าด้วยกันจนเสร็จชายหนุ่มถึงกับหงายหลังตึง เหนื่อยจนอยากจะหลับไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะเขาต้องลุกไปทำมื้อเย็นอีก
   
         ปานตะวันทำอาหารง่ายๆ อย่างข้าวผัด ไข่เจียวหมูสับกับแกงส้มเพราะเมื่อวานราเมศบ่นอยากกิน ส่วนไข่เจียวหมูสับนี่ทำให้หนูเจียที่ยังทานเผ็ดไม่ได้ เมื่อทุกอย่างพร้อมสองคนน้าหลานก็นั่งรอสมาชิกคนสุดท้าย แต่รอแล้วรอเล่าจนหนูเจียเริ่มแทะช้อนเล่นและปานตะวันหิวจนแทบจะเขมือบจานเข้าไปทั้งใบราเมศก็ยังไม่มา
   
        เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลจึงตัดสินใจจะไปเรียกอีกฝ่ายมากินข้าว แต่ยังเดินไปไม่พ้นประตูรั้วบ้านตัวเองก็ต้องชะงักเมื่อเขาเห็นราเมศกับหญิงสาวผมดำคนเดิมเดินออกมาจากบ้าน ไฟในบ้านปิดมืด ราเมศกำลังล็อกกุญแจประตูหน้าขณะที่หญิงสาวคนนั้นส่งเสียงเร่งยิกๆ
   
        “พี่เมศเร็วๆ สิ หิวแล้วนะ”
   
       “รู้แล้วน่า นี่ก็เร่งจัง”
   
       “ให้ไวเลย มิ้นต์อยากกินกุ้งเผาจะแย่แล้ว”
   
       “แป็บนึงสิ ล็อกบ้านอยู่ไม่เห็นหรือไง แล้วจะอยากกินอะไรหนักหนา เธอลดน้ำหนักอยู่ไม่ใช่เหรอ”
   
       “ไม่เป็นไร วันนี้มีเจ้ามือเลี้ยงข้าวเราก็ต้องถล่มให้เต็มที่” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “แล้วเสร็จหรือยัง ชักช้าจังเลย หิวแล้วๆๆ”
   
        ปานตะวันยืนนิ่งเหมือนรากงอกอยู่ตรงนั้นตอนที่คนทั้งสองเดินไปขึ้นรถแล้วก็ขับออกไป เขาไม่ได้เปิดประตูรั้วออกไปราเมศจึงไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นและได้ยินการสนทนาทุกคำไม่มีตกหล่น
   
       พี่เมศ...ไอ้คนงี่เง่า!
   
        ตอนนั้นแหละที่ปานตะวันเดินตึงตังกลับขึ้นมาบนบ้าน เขาไม่ได้หงุดหงิดที่ราเมศไม่ยอมมากินข้าวด้วยหรอกนะ ไม่ได้งี่เง่าขนาดจะไม่เข้าใจว่ามีธุระ แต่มาบอกสักหน่อยมันจะเป็นอะไรมากไหม บ้านก็อยู่ตรงข้ามกัน ไม่สะดวกเดินมาบอกก็ส่งข้อความมาหน่อยก็ยังดี นี่อะไร ออกไปข้างนอกไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้เขาทำกับข้าวรอเก้อเนี่ยนะ
   
       ...ตัวเองก็รู้นี่ว่าทุกเย็นต้องกินข้าวด้วยกัน...
   
        แมวเหมียวตัวใหญ่พ่นลมหายใจฮึดฮัดจนหนูเจียสังเกตได้ เด็กชายเอียงคอน้อยๆ ก่อนเอ่ยว่า
   
        “น้าตะวัน น้าเมศล่ะคับ ไม่มากินข้าวด้วยกันเหรอ”
   
        ปานตะวันนั่งลงบนเก้าอี้ พยายามเก็บสีหน้าหงุดหงิดให้ได้มากที่สุด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กดข่มความน้อยใจลงไป
   
        “น้าเมศไปข้างนอกครับ”
   
        “แล้วน้าเมศจะกลับมากินข้าวกับเราไหมคับ”

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        “คงไม่มาหรอกครับ” ปานตะวันคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอทำจมูกย่นแถมริมฝีปากบางยังคว่ำเป็นสระอิอีก “แก้งส้มใส่กุ้งมันจะไปอร่อยสู้กุ้งเผาได้ยังไง”
   
        เจียหลินงับช้อนค้างไว้แน่นอนว่าไม่เข้าใจที่น้าตะวันพูด สำหรับหนูเจียอะไรก็อร่อยไม่เท่าไข่เจียวหมูสับหรอก
   
         “หนูเจียหิวแล้วใช่ไหมครับ อ่ะ กินเยอะๆ เลยนะเด็กน้อยของน้า” ปานตะวันรีบเปลี่ยนเรื่อง เกรงว่าถ้ายังยืดหัวข้อเดิมต่อไปเขาจะของขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มตักไข่เจียวใส่จานหนูเจียกับจานข้าวของตัวเอง แต่ตอนที่เหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้างกายและข้าวผัดที่ทำสุดฝีมือซึ่งกลายเป็นหมันไปแล้วอารมณ์น้อยใจก็พุ่งขึ้นมาอีกรอบ
   
        ปานตะวันดังจานข้าวของราเมศเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็จ้วงกินทันที
   
         ไอ้พี่เมศไม่มา กินคนเดียวก็ได้วะ! ไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย!
   
        สุดท้ายด้วยอารมณ์โมโหปานตะวันก็ซัดข้าวผัดสองจานจนเรียบ ผลคือหลังลากสังขารตัวเองไปล้างจานจนเสร็จก็มานั่งจุกท้องอยู่บนโซฟา มีหนูเจียนั่งดูรายการประกวดร้องเพลงอยู่ใกล้ๆ
   
       ตอนนี้สองทุ่มครึ่ง ราเมศก็ยังไม่ส่งข้อความมา
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก ลังเลว่าจะเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อนหรือรอคนรักโทรกลับมาดี
   
        แล้วการที่นั่งรออยู่แบบนี้มันดีแน่ๆ แล้วเหรอ? รออยู่กับความไม่สบายใจ ความสงสัยแล้วก็การคิดไปเอง ถ้าเป็นแบบนั้นสู้โทรไปหาเลยก็จบ
   
       ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอ...ก่อนจะวางลงที่เดิม
   
       รออีกนิดก็ได้...เผื่อพี่เมศจะโทรมา
   
       โทรมาอธิบายว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครแล้วทำไมถึงไปกินข้าวกันโดยไม่บอก
   
       แต่จนกระทั่งเข็มสั้นชี้เลขเก้าและเข็มยาวชี้เลขสิบสองโทรศัพท์ของปานตะวันก็ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือสัญญาณการโทรเข้า
   
       หนูเจียหลับปุ๋ยไปบนตักปานตะวันที่เห็นว่าดึกมากแล้วจึงอุ้มหนูน้อยเข้าไปนอนในห้อง ชายหนุ่มเดินกลับมาปิดโทรทัศน์ ปิดม่าน ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย
   
      เขาแอบแง้มดูบ้านฝั่งตรงข้ามด้วยแต่บ้านก็ยังมืดสนิทบ่งบอกว่าเจ้าของยังไม่กลับมา
   
       ปานตะวันเม้มริมฝีปากแล้วก็เดินไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน พยายามสงบจิตสงบใจอยู่ในห้องน้ำแต่ก็ทำไม่ได้ ในหัวมีประโยคหนึ่งวนไปวนมา
   
       ไอ้พี่เมศนะไอ้พี่เมศ...ขอให้กุ้งจุกอกตายไปเลย ฮึ่ย!
   
       ครืด ครืด
   
       เสียงโทรศัพท์ดังเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ ภายในห้องนอนใหญ่ของบ้านตอนนี้เปิดเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะเพื่อให้เหลือเพียงแสงสีส้มนวลตาสำหรับอ่านหนังสือ ปานตะวันที่ก้มหน้าก้มตาคัดคำศัพท์และอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นก่อนจะควานมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ตัวเองวางไว้ไม่ไกลขึ้นมา
   
        คนที่กล้าโทรมากวนปานตะวันดึกดื่นขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ไอ้กันต์ก็เป็นแม่...หรือไม่ก็ราเมศ
   
        ขอให้เป็นสองคนแรกเถอะ กับคนหลังนี่เขายังไม่พร้อมจะคุยด้วยเท่าไหร่เลย
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลับตา ทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหงายหน้าจอขึ้นดู
   
        ‘ราเมศ’
   
        ชื่อที่ปรากฏทำเอาเขาอยากจะกดตัดสายทิ้งเดี๋ยวนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำ ปานตะวันเกลียดตัวเองที่ใจอ่อนยอมรับสายเหลือเกิน
   
        “พี่รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
   
        น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ห้วนแต่ก็ไม่ได้รื่นหูนัก คิดๆ แล้วก็ตลกดี คนเราในหนึ่งวันเปลี่ยนอารมณ์ได้หลากหลายชะมัด เมื่อเช้าเขากับราเมศยังยิ้มแย้มคุยกันหวานชื่นดีพอตกเย็นมาทำท่าจะเถียงกันอีกแล้ว
   
        [ตะวัน] เสียงของราเมศฟังดูอ่อนกว่าที่เคย [ลงมาเปิดประตูให้หน่อย]
   
        “อยู่ไหนครับ หน้าบ้านเหรอ?” ปานตะวันขมวดคิ้ว เดินถือโทรศัพท์ออกไปด้านนอกเพื่อแง้มผ้าม่านดู ใช่จริงๆ ด้วย ราเมศซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมกับตอนที่ออกไปข้างนอกยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเขา ท่าทางกระวนกระวาย
   
        [อื้ม ลงมาหน่อย รออยู่]
   
        “กุญแจก็มีทำไมไม่ไขเข้ามาล่ะครับ” ทำหายหรือยังไง
   
         ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ปานตะวันแว่วเสียงคนรักถอนหายใจจึงแง้มผ้าม่านออกดูอีกครั้ง ราเมศยืนอยู่ใกล้เสาไฟริมถนนก็จริงแต่ปานตะวันก็ยังไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่มได้
   
        [ก็ตะวันโกรธอยู่...ใช่ไหมล่ะ]
   
        ทันใดนั้นราเมศที่ยืนนิ่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา มองตรงมาราวกับจะรู้ว่าปานตะวันแอบอยู่หลังผ้าม่าน
   
        พวกเขาสบตากันผ่านความมืด...แม้มองไม่เห็นหน้าแต่มั่นใจได้ว่าคนของตนรับรู้ความรู้สึกที่ส่งผ่านไปให้ได้
   
        [พี่จะรอตรงนี้...ถ้าอยากคุยกันให้ลงมาเปิดประตู แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้อง]
   
        “พี่กลับเข้าบ้านไปเถอะครับ อยู่ตรงนั้นยุงจะกัดเปล่าๆ ส่งไลน์มาหรือไม่ก็อธิบายทางโทรศัพท์แบบนี้ก็ได้”
   
        [ไม่เอา]
   
        ปานตะวันขมวดคิ้วเพราะทันทีที่เขาพูดจบประโยคราเมศก็ปฏิเสธขึ้นมาทันทีแบบที่เรียกว่าแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด
   
        [พี่อยากอธิบายต่อหน้ามากกว่า นะครับตะวัน ลงมาเปิดประตูให้พี่นะ]
   
        ปานตะวันยืนนิ่งอยู่นาน ราเมศเองก็อดทนรออย่างใจเย็น สุดท้ายชายหนุ่มผิวแทนก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังลอดมาตามสายก่อนที่ลูกแมวของเขาจะกดตัดสายไป
   
        ราเมศยืนตัวชา หัวใจคล้ายจะร่วงตกไปอยู่ปลายเท้าเมื่อเงาของปานตะวันหลังผ้าม่านหายไป
   
        แบบนี้แปลว่าอะไร...แปลว่าไม่พร้อมฟังแล้วก็ยังไม่พร้อมจะยกโทษให้กันใช่ไหม
   
        “ตะวัน...ปานตะวัน”
   
         ชายหนุ่มร่างสูงเรียกชื่อคนรักแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเพราะเสียงของเขามันไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไหร่
   
         ราเมศวางมือลงบนประตูรั้วเย็นเฉียบ จริงอยู่ที่ว่าเขามีกุญแจ ไขเปิดเข้าไปได้เองทุกเมื่อแต่ราเมศไม่อยากทำอย่างนั้น เขาบอกปานตะวันไปแล้วว่าอยากให้อีกฝ่ายลงมาเปิดให้ด้วยตัวเอง ประตูรั้วบานนี้ก็เหมือนหัวใจของปานตะวันที่กำลังโกรธเขาและไม่อยากรับฟังอะไร ราเมศอยากให้ปานตะวันเปิดใจแล้วก็ยกโทษให้เขาด้วยตัวเอง ให้ปานตะวันเลือกว่าเขาจะได้เข้าไปอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าตัวฟังหรือไม่ เขาอยากให้ปานตะวันเป็นคนตัดสินใจว่าจะยกโทษให้หรือเปล่าไม่ใช่ตัวเขาดึงดันจะเข้าไป
   
        ถ้าตะวันยังไม่พร้อมพรุ่งนี้เขาจะมาใหม่ จะง้อไปเรื่อยๆ จนกว่าเด็กคนนั้นจะเปิดใจให้กันอีกหน
   
        มือใหญ่ขยี้เส้นผมสีดำจนยุ่งเหยิง ราเมศหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินกลับไปบ้านตัวเองแต่แล้วเสียงก็อกแก็กเหมือนมีใครขยับกุญแจก็ดังมาจากอีกฝั่งของบานประตู ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดออกพอเป็นช่องให้เดินเข้าไปได้
   
        ราเมศรีบเดินเข้าไปด้านในทันที ปานตะวันพอเปิดประตูให้เขาเสร็จก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นเรือนไปทิ้งให้คนรักเป็นฝ่ายคล้องกุญแจกลับเข้าที่แล้วก็วิ่งตามขึ้นเรือนไทย
   
        ปานตะวันสาวเท้าเร็วๆ จะตรงดิ่งกลับห้องนอนแต่โชคร้ายที่ขาเขามันยาวไม่เท่าราเมศที่เดินเร็วหน่อยก็คว้าตัวเขาไว้ได้แล้ว
   
        ราเมศจับลูกแมวน้อยของเขาได้ที่ห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มรวบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนแผ่นหลังของปานตะวันแนบชิดกับอกของเขา
   
        “ตะวัน” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหูเรียกสติปานตะวันที่ยืนตัวแข็งอยู่ให้กลับเข้าร่าง เจ้าของชื่อดิ้นขลุกขลักแต่ยิ่งดิ้นอ้อมแขนของราเมศก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น เขาจะไม่ให้ปานตะวันหลุดไปได้จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
   
        “ปล่อยก่อน หายใจไม่ออก”
   
        ได้ยินดังนั้นคนตัวโตจึงคลายอ้อมกอดให้....แต่ก็แค่นิดเดียว
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันเสียงเข้มขึ้น “ตะวันหมายถึงให้ปล่อยมือ”
   
        “ไม่ จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”
   
        คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจ ปลายนิ้วเรียวเกาจมูกตัวเองอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี สุดท้ายปานตะวันก็พยักหน้า
   
        “โอเคครับ เราจะคุยกันแต่ขอให้ผมเดินไปเปิดไฟ เปิดพัดลมแล้วก็นั่งคุยกันที่โซฟาดีไหม ยืนแบบนี้มันเมื่อยแถมยุงกัดอีก”
   
        หลังจากพูดจบปานตะวันก็ปลดแขนราเมศออกจากเอวของตนได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มทำตามที่พูดก่อนจะกลับมาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มๆ ข้างกายคนผิวแทน
   
       “แล้วมีอะไรจะพูดเหรอครับ”
   
        “เรื่องวันนี้ที่ไม่ได้มากินข้าวเย็นด้วย”
   
         ปานตะวันเลิกคิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักโซฟา กอดอก หรี่ดวงตาลงเล็กน้อยขณะรอคอย ไม่รู้ทำไมแต่ท่าทางนั้นทำให้ราเมศรู้สึกว่าปานตะวันดูเหมือนแมวจอมหยิ่งมากขึ้นไปอีก
   
        “พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้มา ขอโทษที่ไม่ได้ส่งข้อความหรือโทรมาหาด้วยเพราะโทรศัพท์แบตหมด ชาร์จทิ้งไว้ในบ้าน”
   
         ปานตะวันลอบกลอกตา ใจจริงก็อยากจะโกรธนานกว่านี้แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาสำนึกผิดแบบที่เห็นไม่บ่อยนักจากราเมศแล้วเขาก็ใจอ่อน
   
        อันที่จริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย โกรธนิดงอนหน่อยพอเป็นพิธี ฟังเหตุผล ขอโทษกันแล้วก็คืนดีให้มันจบไปจะดีกว่ามานั่งยืดเยื้อให้เหนื่อยใจเล่น ปานตะวันเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว เรื่องวันนี้เขายอมรับว่าหงุดหงิดและน้อยใจแต่เมื่อเห็นราเมศยอมลงให้เขาขนาดนี้ ยอมขอโทษแล้วก็อธิบายความโกรธในใจมันก็ปลิวหายไปหมด
   
        “แต่ก่อนออกไปเดินมาบอกสักนิดก็ได้นี่ครับ”
   
        “ขอโทษจริงๆ ตอนนั้นมิ้นต์เร่งพี่ไม่หยุดมันก็เลย...ไม่ทันคิด”
   
         ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ราเมศรีบจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น “ขอโทษ” เขาพูดย้ำ เผยความจริงใจออกทางสีหน้าและแววตา
   
         ราเมศไม่ชอบการทะเลาะกับปานตะวัน จริงอยู่ที่เมื่อก่อนพวกเขาเถียงกันบ่อยครั้งแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ชายหนุ่มพบว่าเขาแคร์ความรู้สึกปานตะวันมากกว่าที่ตัวเองคิด
   
        ไม่ชอบเห็นคนรักหงุดหงิด ไม่ชอบเห็นคนรักไม่สบายใจแล้วก็ยิ่งไม่ชอบตอนที่เถียงกันแรงๆ จนปานตะวันน้ำตาคลอ
   
        สิ่งที่เขาชอบและอยากเห็นที่สุดคือรอยยิ้มของเด็กคนนี้ต่างหาก
   
        และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิด ราเมศยอมรับอย่างไม่เกี่ยงงอน อะไรที่เขาทำผิดเขาก็ยอมรับเช่นเดียวกับเวลาที่ปานตะวันทำผิด นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเราทั้งคู่
   
        ถ้าใครคนใดคนหนึ่งทำผิดให้อีกคนใจเย็นๆ จากนั้นก็หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกันดีๆ
   
       จะต้องไม่มีการตวาด ตะคอก ใช้ถ้อยคำหยาบคาบหรือการใช้กำลัง
   
         ถ้าเรื่องไหนโกรธนานก็ให้หลบหน้าไปก่อนแต่ห้ามหนีหายไปนอนข้างนอกโดยไม่บอกกล่าว พวกเขาต้องจำไว้ว่าคนที่ตัวเองทะเลาะอยู่ด้วยไม่ใช่แค่แฟนหรือคนรักแต่เป็นคนในครอบครัว
   
         “ขอโทษ”
   
          กับคนอื่นคำว่าขอโทษบางครั้งก็เป็นคำที่เอ่ยออกมายากที่สุดเพราะใจไม่ยอมรับผิด แต่สำหรับคนสำคัญแล้ว ทิฐิหรือความดื้อดึงต่างๆ ล้วนถูกวางกองไว้แทบเท้า
   
        คำขอโทษจะถูกกลั่นจากหัวใจก่อนเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้อย่างง่ายดาย
   
        นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งแล้วรอยยิ้มน้อยๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของปานตะวัน
   
        “ครับ ยกโทษให้”
   
        “เฮ้อ”
   
         ราเมศพรูลมหายใจออกมา ความรู้สึกหนักอึ้งในอกหายวับไปทันที ชายหนุ่มโถมตัวกอดคนรักเอาไว้ พิงศีรษะเข้ากับอกปานตะวันส่วนแมวเหมียวที่กลับมาอารมณ์ดีก็ยินยอมให้เขาคลอเคลีย มือของปานตะวันสอดเข้าไปเกี่ยวพันเส้นผมของเขาเล่นแล้วก็เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ
   
        “ตะวัน”
   
        “หืม”
   
        “หิว”
   
        มือที่ลูบผมอยู่เลื่อนมาที่ไหล่เพื่อดันเขาออก ปานตะวันทำปากยื่น “หิวอะไร กินกุ้งเผามาไม่พอหรือไง”
   
        “รู้ได้ยังไงว่าจะไปกินกุ้งเผา” คราวนี้ราเมศเป็นฝ่ายแปลกใจบ้าง ปานตะวันยกมือนวดที่หัวคิ้วพลางตอบ “ได้ยินที่คุยกันพอดี ตอนนั้นตะวันยืนอยู่ตรงประตูรั้วกำลังจะมาตามพี่ไปกินข้าว” คนตัวเล็กเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเหน็บกลับมาอีกประโยค “แล้วเป็นไง กุ้งอร่อยไหมล่ะ”
   
        “ไม่อร่อย กับข้าวฝีมือนายอร่อยกว่า”
   
        “เว่อร์”
   
        ปานตะวันผลักราเมศออกแล้วก็ลุกเดินไปทางครัว ตอนนี้ดึกมากแล้วชายหนุ่มจึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากต้มมาม่า ปานตะวันหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หมูและไข่ออกมาจากตู้เย็น
   
        “เอากุ้งไหมพี่เมศ”
   
       “ไม่ล่ะ ไม่เอากุ้งแล้ว”
   
        ปานตะวันหัวเราะกับสีหน้าเหมือนคนอยากตายของราเมศ ระหว่างที่เขายืนอยู่หน้าเตาเพื่อรอน้ำเดือดคนผิวแทนก็ตรงเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง ราเมศเกยคางลงบนศีรษะทุย พวกเขายืนอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันแต่อ่อนโยน
   
       “แล้วพี่จะไม่บอกผมเหรอว่าผู้หญิงที่ชื่อมิ้นต์เป็นใคร”
   
       “รอนายถามอยู่”
   
       “บ้าบอ!”
   
       ปานตะวันแยกเขี้ยว ถองศอกใส่คนด้านหลังไปทีนึงเบาะๆ พอได้แก้แค้นแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มสะใจ
   
       “แล้วจะบอกได้หรือยัง”
   
        ราเมศหยิกแก้มคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว เขาโน้มตัวลงหมายจะแอบจูบริมฝีปากช่างซักนั้นแต่คนตัวเล็กดันรู้ทันเลยเบือนหน้าหนี ปานตะวันตะปบมือปิดริมฝีปากเขาไว้ ขมวดคิ้วฉับพลางจ้องเขม็งด้วยสายตาคาดคั้น
   
        “อย่าบ่ายเบี่ยง ตอบมาเลยนะว่าใคร”
   
        ราเมศจูบลงที่กลางฝ่ามือของคนรักเป็นเชิงเอาใจก่อนตอบ “น้องสาวครับ”
   
        “เชื่อตาย” ปานตะวันกลอกตาพลางตอกไข่ใส่ลงในหม้อ ตอนนี้อะไรอยู่ใกล้มือเขาก็โยนมันลงหม้อต้มหมดนั่นแหละเดี๋ยวก็สุกเอง
   
        “จริงๆ น้องสาวแท้ๆ คลานตามกันมาเลย ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวให้ดูหลักฐาน”
   
        ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผละไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเปิดเข้าแชทกลุ่ม ‘ครอบครัวน่ารัก’ ซึ่งประกอบไปด้วยไลน์ของพ่อ แม่ และ ‘MINT the Beautiful Girl’
   
        “อ่านนี่นะ”
   
        ราเมศเลื่อนไปจนถึงข้อความหนึ่งแล้วส่งให้ปานตะวันรับไปอ่าน
   
        พ่อ : เมศ วันเกิดปีนี้จะขึ้นมาไหม 17:15
   
        แม่ : นั่นสิ มานะลูก แม่กับพ่ออยากเจอ 17:17
   
        Rames : เมศยังไม่แน่ใจนะครับ ไหนจะร้านอีก ทิ้งไปนานๆ ไม่ได้ด้วย 17:17 Read
   
        พ่อ : วันเกิดแกมันช่วงปีใหม่ ใจคอจะไม่ปิดร้านให้พนักงานกลับบ้านเลยหรือไง มาเถอะน่า พวกฉันคิดถึง พาหนูเจียของแกมาด้วยก็ได้ 17:30
   
        Rames : งั้นผมคงต้องถามน้าชายของเขาก่อน ไม่รู้เขาจะสะดวกไหม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพามาให้ได้ทั้งคู่ 17:31 Read
   
        พ่อ : ทำไม? 17:33
   
        พ่อ : *ส่งสติ๊กเกอร์หมีงง* 17:33
   
        Rames : เพราะเขาเป็นแฟนผม 17:40 Read

   
        “พ...พี่เมศ...นี่มัน”
   
        “มีอีกนะ”
   
        ราเมศเลื่อนข้อความให้ปานตะวันอ่านต่อ คราวนี้เป็นผู้หญิงที่ชื่อมิ้นต์ส่งรูปถ่ายอาหารและรูปตอนตัวเองนั่งกินข้าวกับราเมศเข้าไปในไลน์กลุ่มตามด้วยข้อความยาวเหยียดใจความว่า
   
      MINT the Beautiful Girl : แม่ พ่อ อาหารอร่อยมาก มื้อนี้พี่เมศเลี้ยง มิ้นต์จะถล่มให้เต็มที่เลย 55555 แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ของฝากส่งถึงมือพี่เมศเรียบร้อย 19:23
   
         แม่ :   แล้วคืนนี้มิ้นต์จะนอนที่ไหนลูก 19:23
   
         MINT the Beautiful Girl : บ้านพี่เมศแหละ 20:11
   
         MINT the Beautiful Girl : เอ้อ พ่อ แม่ มิ้นต์เห็นคนที่ชื่อตะวันแล้วนะ ที่เป็นแฟนพี่เมศ หน้าตาดีอยู่นะแต่ไม่รู้นิสัยเป็นไง สงสัยต้องให้พี่พาไปแนะนำตัวกับพ่อแม่เอง อิ___อิ 20:12
   
        พ่อ : จะมาเมื่อไหร่ก็มา เดี๋ยวจองตั๋วเครื่องบินให้ โอเคนะ 20:30
   
        พ่อ : พาแฟนแกมาด้วยนะไอ้เมศ ฉันอยากเจอหน้า 20:30

   
        ข้อความสิ้นสุดลงตรงที่พี่เมศกดส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป ปานตะวันอ้าปากค้าง สติบินออกจากร่างเรียบร้อยแล้ว
   
        “พี่เมศ...นี่มัน...นี่มันอะไรกัน”
   
        “ก็อย่างที่เห็น” ราเมศตอบด้วยท่าทางสบายๆ มื้อดึกของเขาสุกแล้ว ชายหนุ่มเดินเอื่อยๆ ไปยกหม้อลงจากเตาก่อนจะเดินไปหยิบชามกับช้อนมาวางลงบนโต๊ะ เตรียมกินอาหาร
   
        “ก็อย่างที่เห็นเรอะ ทำไมยังทำใจเย็นอยู่ได้เนี่ย นี่มันเข้าขั้นหายนะแล้วนะ!” มือของปานตะวันสั่นระริก เขาแทบจะหมดแรงยืน ท่าทางแบบนั้นทำให้คนตัวสูงอดขำไม่ได้
   
       “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พ่อกับแม่พี่ใจดี ไม่ดุหรอกอีกอย่างพวกท่านค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่ต้องกังวล เขาแค่อยากรู้จักตะวันแค่นั้นเอง”
   
      “แล้ว...แล้วถ้าพ่อแม่พี่ไม่ชอบตะวันล่ะ”
   
       “พวกเขาจะชอบ”
   
       “มั่นใจอะไรขนาดนั้น”
   
        “มั่นใจสิ...เพราะพี่ชอบตะวันไง”
   
        ลูกแมวน้อยของเขาแก้มแดงแจ๋ รีบสไลด์โทรศัพท์คืน ราเมศรับไว้ทันก่อนที่มันจะหล่นจากโต๊ะ ชายหนุ่มวางมือถือไว้ไกลๆ จะหว่างที่คีบเส้นมาม่าจากหม้อมาใส่ถ้วย นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองปานตะวันที่นั่งหันหน้าไปทางอื่น พยายามซ่อนผิวแก้มแดงๆ เอาไว้จากสายตาเขา
   
       แก้มขาวๆ แต้มสีแดงระเรื่อ...น่างับชะมัด...น่ารักจนอยากหยอกให้เขินมากกว่าเดิม
   
      “ตะวัน กินด้วยกันไหม” ราเมศเท้าคาง เอ่ยชวนด้วยใบหน้ายิ้มๆ
   
       “ไม่เอา ผมอิ่มแล้ว”
   
        “พี่ก็อิ่มแล้ว น่านะ ช่วยกันหน่อย”
   
        “แล้วให้ต้มทำไมตั้งสองซอง”
   
        “ก็ต้มเผื่อนายจะกินด้วย” ราเมศลุกไปหยิบชามกับช้อนมาวางตรงหน้าปานตะวัน เด็กน้อยของเขาทำท่าฮึดฮัดชายหนุ่มจึงจูบเบาๆ ลงที่แก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย
   
        “เราต้องกินข้าวเย็นด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
   
        เสียงทุ้มนุ่มเจือแววออดอ้อนดังชิดริมหู ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผิวเนื้อทำให้ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะละลายไหลไปกองกับพื้น
   
       “ร...รู้แล้วครับ พอแล้ว ถอยออกไปก่อน!”
   
        ปานตะวันหยิบตะเกียบขึ้นมาแต่มือไม้เขามันดันอ่อนแรงจนตะเกียบร่วง ชายหนุ่มผมน้ำตาลแทบอยากมุดโต๊ะหนี สาบานได้ว่าเขาได้ยินพี่เมศหลุดขำด้วย ให้ตายเถอะ!
   
        แมวจอมแสบที่พ่ายแพ้ทาสแมวราบคาบยอมนั่งกินมื้อดึกเป็นเพื่อนอีกฝ่าย ระหว่างนั้นปานตะวันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในแชทไลน์ที่ราเมศให้อ่านดูเหมือนจะพูดถึงวันเกิดพี่เมศด้วยสินะ...จะว่าไปเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าราเมศเกิดวันไหน ถ้าจำไม่ผิดปานตะวันก็ไม่เคยบอกวันเกิดตัวเองให้อีกฝ่ายทราบเหมือนกัน   
   
        “ว่าแต่พี่เมศเกิดช่วงปีใหม่เหรอ”
   
       “ใช่ เกิดตอนเที่ยงคืนของวันที่ 1 มกราคม พอดี”
   
        “โห จะว่าไปตะวันก็เกิดช่วงปีใหม่นะ สิบสามเมษา ปีใหม่ไทย”
   
       “แล้วทำไมไม่ชื่อสงกรานต์”
   
       “ทีแม่พี่ยังไม่ตั้งชื่อพี่ว่าปีใหม่เลย”
   
        พวกเขายิ้มให้กัน ต่อบทสนทนาไร้สาระบนโต๊ะอาหารให้ยืดยาวออกไปอีก รู้ตัวอีกมาม่าสองห่อในหม้อก็ถูกกวาดเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำ ปานตะวันเป็นคนเก็บล้างจานชามส่วนราเมศก็ยืนกอดเอวเขาอยู่ ปลายจมูกกับริมฝีปากคลอเคลียอยู่ที่ลาดไหล่
   
        “นี่ตะวัน ขอของขวัญวันเกิดได้ไหม”
   
        “ยังไม่ทันจะถึงเลย ขอล่วงหน้าแล้วเหรอ”
   
       “ใช่ ให้ได้ไหมล่ะ”
   
        “อยากได้อะไรล่ะครับ อย่าแพงมากนะ กระผมเงินเดือนน้อย”
   
       เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วๆ ในลำคอ ราเมศเกยคางลงกับบ่าคนรักจมูกสูดกลิ่นสบู่เจือจางบนผิวเนื้อ
   
       “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้ตะวันไปเจอครอบครัวพี่ด้วยกัน” มือขาวที่กำลังคว่ำชามลงในตะกร้าชะงัก ปานตะวันเบี่ยงหน้ากลับไปมองคนพูด “พี่เอาจริงใช่ไหม”
   
       “จริงสิ กับเรื่องของเราพี่จริงจังเสมอนั่นล่ะ”
   
       “ปากหวาน น่ากลัวมดจะขึ้น”
   
        “ปกติก็พูดแบบนี้”
   
       “ไม่ใช่ซักหน่อย ปกติเอาแต่ทำหน้าเครียดแล้วก็ดุตะวัน”
   
       ประโยคล้อเลียนนั่นก็ไม่ได้เกินจริงสักเท่าไหร่ ราเมศต่อหน้าคนอื่นน่ะยักษ์วัดแจ้งชัดๆ แต่พออยู่กันสองคนจากเสือก็กลายเป็นทาสแมวอย่างที่เห็น
   
       “แล้วจะไปไหมครับ”
   
       เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเช็ดมือกับผ้าผืนเล็กแล้วพลิกกายกลับมาเผชิญหน้ากับคนรัก แผ่นหลังของปานตะวันติดกับเคาน์เตอร์ครัวส่วนสองแขนของราเมศก็เท้าคร่อมเอาไว้ กักร่างเล็กๆ ของแมวแสบไว้ในอ้อมแขน
   
       ปานตะวันมองสบนัยน์ตาสีนิลติดดุที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เปิดเผยจริงใจกับเขาอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มเขย่งเท้าขึ้นแตะจูบลงบนริมฝีปากราเมศเบาๆ
   
       “ถ้าพี่เมศจริงจังผมก็จริงจัง ตกลงครับ เราจะไปพบครอบครัวของพี่ด้วยกัน”

********************************************************

ช่วงนี้แบบว่ามันก็จะขยันๆ หน่อยค่ะ 55555555
เขียนตอนนี้แล้วรู้สึกฮีลลิ่งมากกกกกก พี่เมศขา พี่จะแพ้ทางปานตะวันอะไรขนาดนั้นคะ ฮ่าๆ
เขียนไปก็รู้สึกว่าพี่เมศตอนง้อแมวตัวเองคือน่ารัก ดีงาม สมฉายาทาสแมวไปอีก  :katai2-1:
ตอนนี้โปรยปรายความหวานไว้คะ จะให้เขาหยอดกันจนกว่าน้ำตาลจะขึ้น (โดนดีดออกนอกโลก)
ไม่ใช่แล้ว ฮ่าๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอให้ความหวานและความรักขึ้นตา
อ่านแล้วคิดเห็นยังไงสามารถบอกเราได้นะคะ รักคนอ่านทุกคน พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ :mew1:

ปล. สามารถติดตามข่าวสารนิยายได้ที่หน้าเพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะไปเจอครอบครัวพี่เมศแล้ว...
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ   จะพาไปเปิดตัวกับครอบครัวแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด