ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 133901 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ฮือออ ชอบบบ

หนูเจียของป้า
ตะวันจะหาทางออกยังไงเนี่ย
ถูกไทร์ ไม่มีงานทำ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คนเลี้ยงแมวอบอุ่นจริง เข้าใจจิตใจทั้งแมวเล็กแมวใหญ่เลยทีเดียว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ปานตะวันจะเลือกทางไหนหนอ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๔
แรกหลงรัก


         ตอนที่ปานตะวันเปิดประตูเข้าไปเจียหลินกำลังนอนวาดรูปอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มตัวเล็กซุกตัวหลบอยู่หลังราเมศ ไม่ยอมโผล่ออกไปจนคนตัวใหญ่ต้องดันตัวเขาให้กล้าออกไปเผชิญหน้ากับหลานตัวเอง
   
         “หนูเจียครับ ดูสิมีใครมาหา” เสียงทุ้มดึงความสนใจเด็กน้อยออกจากกระดาษสีขาว ดวงตากลมโตมองมาอย่างฉงนก่อนที่ร่างนุ่มนิ่มบนโซฟาจะสะดุ้งเฮือก จนทำสีเทียนหล่นจากมือ แท่งสีกลิ้งกลุกๆ มาหยุดแทบเท้าปานตะวัน
   
        ความเงียบโรยตัวปกคลุมคนทั้งสาม ราเมศถอยหลังออกไปช้าๆ เปิดโอกาสให้สองน้าหลานได้ปรับความเข้าใจกัน ส่วนตัวเองก็ไปทำหน้าที่เป็นผู้ชมที่ดีด้านข้างสนาม บรรยากาศเงียบสนิทจนชวนอึดอัด ในที่สุดปานตะวันก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว คนตัวเล็กก้มลงหยิบสีเทียนสีฟ้าขึ้นมาจากนั้นก็เดินไปหยุดตรงโซฟา ย่อตัวลงจนระดับสายตาของตนอยู่ใกล้เคียงกับเจียหลิน ราเมศเห็นมือของปานตะวันที่ถือตุ๊กตาไว้สั่นน้อยๆ ชายหนุ่มผมน้ำตาลซ่อนเจ้ากระต่ายซอมซ่อนั่นไว้ที่ด้านหลังของตน
   
        “นี่ครับ สีเทียนของน้องเจีย” เสียงแหบหวานของปานตะวันเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่คนเป็นน้าชายมือใหม่ยื่นสีคืนให้เด็กน้อย รออยู่นานกว่าเจียหลินจะกล้ายื่นมือออกมารับ
   
        “ขอบคุณครับน้าตะวัน”
   
         “ไม่เป็นไรครับ”
   
         บทสนทนาของแมวเล็กและแมวใหญ่จบลงแค่นั้น ปานตะวันกับเจียหลินคงไม่รู้หรอกว่าพวกตนส่งสายตาของความช่วยเหลือมาทางเขาแทบจะพร้อมกัน และในฐานะพี่เลี้ยงที่ดี เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
   
        ปานตะวันควรเรียนรู้ที่จะเข้าหาเจียหลินและอดทนมากกว่านี้ ส่วนเจียหลินก็ควรเรียนรู้ที่จะเปิดใจ
   
        พวกเขาต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง ราเมศไม่เข้าไปยุ่งเพราะอยากให้พวกลูกแมวได้หัดปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น
   
        ชายหนุ่มจึงยืนนิ่ง ทำเพียงส่งยิ้มให้กำลังใจทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคนหนึ่งทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ ส่วนอีกคนก็ถลึงตาใส่เหมือนอยากลุกมาบีบคอเขา ให้ตายเถอะ เจ้าพวกเอาใจยาก!
   
       “เจียครับ” ปานตะวันเอ่ยขึ้น ในที่สุดก็คิดได้ว่าราเมศคงจะยืนอยู่ตรงนั้นไปจนรากแก้วหยั่งลงดินและจะไม่ช่วยเขาเด็ดขาด ยังไงก็คงต้องหาทางแก้ด้วยตัวเองแล้วคราวนี้
   
        พอเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเจียหลินมองสบมาแม้จะด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ แต่ปานตะวันก็ใจชื้นขึ้นเยอะ  ดีกว่าไม่ให้เข้าใกล้เลยล่ะนะ
   
        “น้าตะวันมีอะไรมาให้น้องเจียด้วยนะครับ”  เขาพูดก่อนจะเอาตุ๊กตากระต่ายที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา รอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นที่ริมฝีปากเมื่อเห็นว่านัยน์ตาของเด็กน้อยเป็นประกายขึ้นมาด้วยความดีใจ  เจียหลินเงยหน้ามองเขา “น้าตะวันไปเอามาจากไหน”
   
         “นั่นสินะ...ดูเหมือนจะเข้าใจผิดล่ะ จริงๆ ไม่ได้เก็บไปทิ้งแต่เจอหล่นอยู่ที่ซอกตู้ต่างหาก ขอโทษนะครับที่ทำให้เจียร้องไห้”
   
         ขอโทษจากใจจริง...ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้
   
         ขอโทษที่ต้องโกหก
   
        ขอโทษที่เป็นครอบครัวที่ดีให้ไม่ได้ในตอนนี้
   
        เจียหลินมองเขาสลับกับตุ๊กตา ก่อนที่มือเล็กๆ นั้นจะยื่นมารับตุ๊กตาไปปานตะวันก็ชักมือกลับ “ยังให้ไม่ได้ครับ คุณกระต่ายเหม็นแล้ว น้าตะวันจะเอาไปซักนะ พอคุณกระต่ายตัวหอมก็จะเอามาคืน” จะให้เด็กน้อยอุ้มกลับไปตอนนี้ก็ดูใจร้ายไปหน่อยเพราะมันมีแต่กลิ่นขยะแถมเชื้อโรคอีกสารพัด ปานตะวันไม่ยอมให้เจียหลินจับอะไรที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคแน่(เขากับราเมศจับได้ ไม่เป็นไร โตแล้ว)
   
        “น้าตะวันจะเอาคุณกระต่ายไปซักเหรอครับ” เจียหลินเผยท่าทางลังเลออกมา คงกลัวว่าคุณกระต่ายจะหายไปอีก ปานตะวันจึงต้องรีบประกันความมั่นใจให้เด็กน้อย
   
        “ใช่ครับ แต่แป็ปเดียว วันสองวันเดี๋ยวน้องเจียก็จะได้กอดคุณกระต่ายแล้ว”
   
        “จริงเหรอครับ”
   
        “จริงครับ”
   
       “สัญญานะครับ”
   
         ดวงตากลมแป๋วที่ช้อนมองพร้อมกับนิ้วก้อยเล็กๆ ที่ยื่นมาตรงหน้าแทบทำให้ปานตะวันร้องไห้ น้องเจียไม่ได้โกรธเขาแล้ว!
   
        “สัญญาสิครับ สัญญาเลย!”
   
         ปานตะวันยิ้มกว้าง ยื่นนิ้วก้อยตนไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเจียหลิน แกว่งไปมา “น้าตะวันไม่ผิดสัญญาแน่” สิ้นคำนั้นเจียหลินก็ยิ้ม...ยิ้มกว้างให้ปานตะวันเป็นครั้งแรก
   
        และเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจันทร์จ้าวและราเมศถึงได้หลงรักเด็กคนนี้
   
        เจียหลินยิ้ม พวกแก้มกลมๆ แต้มสีชมพูระเรื่อ ดวงตาหยีลง เป็นยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว ปานตะวันรู้สึกเหมือนเห็นดอกไม้บานประกอบฉากอยู่ด้วย
   
        “ขอบคุณครับ” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงใส ทำท่าจะโผเข้าหาแต่แล้วก็ชะงัก ก้มหน้างุด สองมือดึงชายเสื้อตัวเองไปมา ปานตะวันเอียงคอมองอาการนั้น “น้องเจียปวดท้องเหรอครับ”
   
        “ม...ไม่ใช่ น...หนูเจีย...หนูเจีย”
   
        เด็กน้อยอึกอัก เหลือบตามองปานตะวันแล้วก็พึมพำออกมาเสียงเบา แต่โชคดีที่อยู่ใกล้ ปานตะวันจึงได้ยินชัดเจน
   
        “หนูเจียขอโทษ”
   
       “ครับ?” ปานตะวันถามย้ำ เผื่อเมื่อกี้จะหูฝาด
   
        “หนูเจียบอกว่า...หนูเจียขอโทษ ขอโทษน้าตะวัน หนูเจียไม่ได้ตั้งใจ” พูดไปเท่านั้นเจ้าเด็กน้อยก็น้ำตาร้องพรู จมูกเล็กแดงเรื่อ ทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน “น้าตะวันอย่า...อย่าโกรธหนูเจียนานเลยนะ”
   
        ปานตะวันมองเด็กตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะวางตุ๊กตาลงบนพื้นแล้วเดินไปหาร่างสูงที่ยืนมองเหตุการณ์ต่างๆ อยู่อย่างเงียบเชียบ ราเมศดูงุนงงไม่น้อยเมื่อเขาเดินเข้ามาหาแล้วถามอย่างรวดเร็วว่า “พี่เมศ ห้องน้ำบ้านพี่ไปทางไหน”
   
        “หา?”
   
        “ไม่หาแล้ว เร็วสิ ห้องน้ำไปทางไหน”
   
         “เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่น”
   
        ปานตะวันเดินไปตามทางที่บอก สักพักก็กลับมา เท่านั้นแหละราเมศถึงกับหลุดหัวเราะก๊าก รู้เหตุผลทันทีว่าทำไมปานตะวันถึงถามหาห้องน้ำ
   
         มือเล็กของเจ้าตัวยังเปียกอยู่ ตะกี้จับกระต่ายเน่ามา สงสัยกลัวมือจะเหม็นเลยรีบไปล้างมือก่อนกลับมากอดเจียหลิน จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรทำนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูน่าเอ็นดูนัก เจ้าแมวใหญ่ก็มีดีนี่นา
   
        ปานตะวันที่เช็ดมือกับเสื้อนอนตัวเองเรียบร้อยก็รีบเข้ามาหาเจียหลินทันที ดูเหมือนตอนที่เขาผลุนผลันออกไปล้างมือนั้นเจียหลินจะคิดไปว่าเขาโกรธจนไม่อยากพูดด้วยเลยสะอื้นหนักกว่าเก่า ผู้ชายใจยักษ์ตรงมุมห้องก็ยืนเฉยรอเขากลับมาปลอบหลาน ทีอย่างนี้ละทำนิ่งทีตอนปกติเห็นหลานร้องไห้นี่ก็แทบจะโดดขบหัว เอากับมันสิ
   
         “โอ๋ๆ นะหนูเจีย ไม่ร้องนะครับ” ปานตะวันเผลอเรียกหนูเจียตามราเมศและหลานชายที่แทนตัวเองว่าหนูเจียบ่อยๆ “น้าตะวันไม่โกรธแล้ว ไม่ร้องนะ จุ๊ๆ เงียบก่อนนะเด็กดี” ว่าพลางดึงร่างเล็กให้ซุกเข้ามาในอ้อมแขน เจียหลินกอดคอเขา ซุกใบหน้าเขาที่ไหล่
   
        เจียหลินไม่ได้สะอื้นหรือโวยวายจะเป็นจะตายแบบเด็กหลายคน ปานตะวันได้รู้วันนี้เองว่าหลานชายของเขาเป็นพวกร้องไห้เงียบๆ ร้องแป็บเดียวก็หยุด ไม่ต้องปลอบมากให้วุ่นวาย พอหยุดร้องเจ้าตัวเล็กก็ดันตัวออกมามองหน้าเขา ดวงตาคู่นั้นบอกปานตะวันว่าอีกฝ่ายสำนึกผิดแล้ว
   
          “น้าตะวันก็ขอโทษจะไม่ทำอีกแล้วครับ”
   
         “หนูเจียด้วย”
   
        “งั้นเราดีกันนะ จากนี้น้าตะวันจะพยายามเป็นน้าที่ดีของหนูเจียให้มากขึ้นนะครับ”
   
        พอได้ยินคำว่าดีกันนะ เด็กน้อยก็อมยิ้มจนแก้มพอง พยักหน้ารัว ปานตะวันถึงกับตาพร่าไปกับความน่ารักนั้น
   
        “หนูเจียก็จะเป็นเด็กดีของน้าตะวันกับน้าเมศครับ”
   
        เจียหลินไม่ใช่เด็กเก็บตัว แค่ปิดใจ แต่ถ้าลองได้เปิดใจกันแล้ว อีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่น่ารักน่าหลงไม่น้อยเลยทีเดียว ปานตะวันกอดร่างนิ่มไว้ เข้าใจความรู้สึกของพี่จันทร์กับราเมศก็วันนี้
   
        ยิ่งพอคิดว่าตัวเองเป็นน้าชายของเด็กคนนี้ เป็นผู้ปกครอง ความคิดที่ว่าต้องปกป้องเด็กคนนี้ก็แวบเข้ามา ต้องปกป้อง ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เจียหลิน
   
       แม้ว่านั่นจะหมายถึงการแยกจากกันระหว่างเขากับหนูเจียก็ตาม
   

        แต่ในตอนนี้ ตอนที่เวลายังไม่หมดลง เขาจะขอใช้เวลาที่เหลืออยู่สร้างสายสัมพันธ์กับเจียหลินให้เต็มที่ อย่างน้อยก็หวังว่าเมื่อโตขึ้นและห่างกันไป เจียหลินจะได้ไม่ลืมเขา
   
        “หนูเจีย” ปานตะวันตัดสินใจแล้วว่าจะเรียกเจ้าตัวเล็กนี่ว่าหนูเจียตามราเมศ “กลับบ้านกันเถอะนะครับ”
   
        “ครับ!”
   
        “ดีกันแล้วสินะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ปานตะวันสะดุ้งเบาๆ คนตัวเล็กหันขวับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเอาเรื่อง
   
        “เอ้า ขยับตัวได้แล้วเหรอ นึกว่ายืนตรงนั้นจนรากแก้วหยั่งไปถึงแกนโลกแล้ว”
   
        “ปากเก่งจริงๆ”
   
        “ขอบคุณที่ชมครับ”
   
        ราเมศส่ายหน้า นึกอยากเขกหัวไอ้เด็กแสบหลายๆ ที พอหายดราม่าก็ปากเก่งขึ้นมาเชียวทั้งที่ก่อนหน้ายังเป็นแมวซึมอยู่แท้ๆ
   
        “เถียงมากเดี๋ยวจะเอาตะกร้อครอบปาก”
   
        “ครอบปากคุณน่ะสิ ผู้ชายอะไรปากร้ายชะมัด หนูเจียโตขึ้นอย่าเอาอย่างน้าเมศนะครับ”
   
        เจียหลินทำตาโต ไม่เข้าใจ “ทำไมเอาอย่างน้าเมศไม่ได้ล่ะครับ” น้าเมศน่ะนะ ใจดี ซื้อขนมให้เจียตลอด ไปรับไปส่งเกือบทุกวัน อ่านนิทานให้ฟัง พาไปเที่ยวด้วย แถมยังให้ขี่คอบ่อยๆ “น้าเมศเท่จะตาย หนูเจียอยากเป็นแบบน้าเมศ”
   
        ราเมศเหยียดยิ้มแบบผู้กำชัยให้ปานตะวันที่ทำหน้าเหมือนอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตาย เขายักคิ้วให้ไอ้เด็กแสบ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเลี้ยงหนูเจียมา
   
        “เอ้า ดีกันแล้วก็กลับบ้านไปนอนกันได้แล้วไป ทั้งน้าทั้งหลานเลย” เขาจัดการรุนหลังปานตะวันออกจากห้อง แต่เจ้าตัวก็ร้องขึ้นว่า “เดี๋ยว ผมลืมคุณกระต่ายของหนูเจีย”
   
        “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันซักให้”
   
        “จริงเหรอครับ”
   
        “อืม เดี๋ยวพอใช้ได้แล้วจะเอาไปให้ที่บ้านนะ”
   
        ปานตะวันเอียงคอก่อนยิ้มให้พร้อมกล่าว “ขอบคุณครับ” ราเมศมองร่างเล็กๆ ที่เดินคุยกะหนุงกะหนิงกับหลานชายไปกันสองคนแล้วก็ยิ้มออกมา
   
        แม้แต่รอยยิ้มก็สมชื่อจริงๆ นะ...ปานตะวัน
   
        ราเมศเดินตามมาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้านแต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน เขาหอมแก้มเจียหลินหลายทีก่อนจะขยี้ผมปานตะวันอย่างหมั่นเขี้ยว เส้นผมสีน้ำตาลลื่นมือให้ความรู้สึกดีเวลาสัมผัส พอเจ้าของมันแยกเขี้ยวใส่ราเมศก็เปลี่ยนจากขยี้ผมมาเป็นลูบผมอีกฝ่าย
   
        “วันนี้ทำดีมากนะ”
   
       “ม...ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย”
   
        “ก็ทำดีจริงๆ นี่ ใครทำดีเราก็ต้องชมสิ”
   
       แสงไฟบริเวณทางเข้าบ้านเรือนไทยสว่างมากพอจะทำให้ราเมศเห็นว่าใบหูเล็กของปานตะวันเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาอมยิ้ม เลื่อนมือไปดึงแก้มขาวจนยืด
   
       “ฝันดีเด็กแสบ”
   
       “ฝันร้ายไปเลยไอ้พี่เมศ”
   
       ราเมศหัวเราะพลางโบกมือลาสองน้าหลานแล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไป วันนี้เขาแกล้งปานตะวันจนอารมณ์ดีแล้ว และคนอารมณ์ดีน่ะเขาไม่ฝันร้ายกันหรอกนะไอ้เด็กน้อย
   
       หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกับเจียหลินก็ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้ว ปานตะวันพยายามอย่างที่พูดเอาไว้ เขาพยายามตื่นเช้ามาทำอาหารให้เจียหลินทาน พยายามไปส่งเจียหลินให้ทันเวลาเข้าเรียนและพยายามไม่ไปรับช้า กลางวันก็เรียนทำอาหารกับราเมศ กลับมาทำงานบ้าน ตกเย็นก็สอนการบ้านหลานก่อนพากันอาบน้ำเข้านอน ชีวิตที่ยุ่งเหยิงค่อยๆ เข้าทางทีล่ะนิด
   
      เจียหลินเองก็ยังไม่ใช่เด็กพูดมากเหมือนเดิมแต่ตอนนี้ระหว่างปานตะวันกับเจียหลินก็ถือว่าความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นทีละน้อย เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้สนิทกันเหมือนรู้จักกันมาสักสิบปี ความกลัวและระแวงที่มีแต่แรกก็เริ่มหายไป กลายเป็นว่าบางวันที่ราเมศว่างและอนุญาตปานตะวันจะหายไปคลุกอยู่ที่บ้านอีกฝ่ายทั้งวัน ฝึกทำอาหารบ้างหรือไม่ก็นอนกลิ้งเล่นเฉยๆ บ้าง คุยไม่หยุดปากเป็นเพื่อนแก้เหงากันไป
   
       ปานตะวันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าราเมศเปิดร้านอาหาร มีลูกพี่ลูกน้องอีกคนช่วยดูแล ร้านก็ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ขับรถไปก็ประมาณสิบห้านาที พอเห็นแบบนี้ก็ทำเอาอดชื่นชมไม่ได้ ชายหนุ่มเป็นคนขยันมากจนปานตะวันนึกอยากเป็นให้ได้แบบนั้นบ้าง
   
       เขายังไม่ได้บอกราเมศว่าเขาถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยแถมตอนนี้ก็ไม่มีงานทำ ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะเงินในบัญชีที่แม่โอนเข้ามาให้ทุกเดือนทั้งนั้นแต่ปานตะวันคงอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ตอนนี้เขามีทางเลือกอยู่สองทาง คือ หนึ่งเลี้ยงเจียหลินต่อไปและหางานทำ แต่ปานตะวันก็ไม่รู้จะทำงานอะไรอยู่ดี บางทีอาจเริ่มจากงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ หรือทางเลือกที่สอง ยกเจียหลินให้น้าสายหยุดเลี้ยงแล้วหาทางกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ สำหรับคนอื่นตัวเลือกที่สองฟังดูเข้าท่าแต่สำหรับปานตะวันเขาชอบตัวเลือกแรกมากกว่า
   
       ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ปานตะวันเริ่มชอบเจียหลินและสนิทกับราเมศมากขึ้นเรื่อยๆ น้าสายหยุดเองก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยนับแต่วันนั้น บางครั้งปานตะวันก็ภาวนาให้อีกฝ่ายลืมเรื่องที่เคยพูดว่าจะรับเจียหลินไปเลี้ยง เขาไม่อยากยกหลานชายให้ใครแล้ว
   
       แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าทางไหนดีที่สุดสำหรับเจียหลิน เพราะแบบนั้นหลายวันมานี้ปานตะวันเลยไม่สบายใจเท่าไหร่นักและคนจับสังเกตได้เป็นคนแรกคือราเมศ
   
       “กังวลอะไรอยู่หรือเปล่า” นั่นเป็นคำถามแรกที่อีกฝ่ายถามขึ้นเมื่อเจอหน้าเขาในวันนี้ ปานตะวันกะพริบตาปริบจากนั้นก็ส่ายหน้า เดินแทรกราเมศไปนั่งแหมะที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ท่าทางเซื่องซึมเหมือนแมวป่วย คนตัวโตเห็นดังนั้นก็เลยเดินมานั่งข้างๆ เงียบกันไปครู่หนึ่งราเมศถึงเอ่ยถาม
   
        “เป็นอะไร”
   
        “เปล่าครับ”
   
        “เปล่าได้ไงก็หน้ามันฟ้อง”
   
        ปานตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไถลตัวไปนอนขดบนโซฟา “ผมกำลังคิดเรื่องที่น้าสายหยุดบอกว่าจะมารับเจียหลินไปเลี้ยง”
   
        ราเมศเลิกคิ้วนิดๆ เรื่องนั้นเอง
   
       “ทำไมเหรอ”
   
       “ผมไม่อยากให้หลานไป”
   
       “ก็ปฏิเสธไปสิ”
   
       “แต่ถ้าการให้เจียไปอยู่กับน้าสายหยุดคือทางที่ดีที่สุดสำหรับเขาล่ะ ถ้าอยู่กับผมแล้วมันแย่ล่ะ”
   
       “แย่ตรงไหน”
   
        “ก็ผม...” ปานตะวันชะงัก งับริมฝีปากทัน เกือบหลุดคำว่า ก็ผมน่ะไร้อนาคตสุดๆ ออกไปแล้ว เขาเบือนหน้าหนี พูดอู้อี้ “ก็ผมเป็นน้าที่ไม่ได้เรื่องใช่ไหมล่ะ”
   
        ราเมศมองคนตรงหน้านิ่ง ถ้าเป็นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเขาก็จะเห็นด้วยกับความคิดนี้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วล่ะ  ปานตะวันพิสูจน์ให้เขาเห็น อย่างน้อยก็ความพยายามของเจ้าตัวนี่ล่ะที่นำโด่งมาเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้เลี้ยงหลานไม่ได้แล้วยังไง ในอนาคตคนคนนี้จะต้องเป็นครอบครัวที่ดีให้เจียหลินได้แน่ๆ ราเมศเชื่อ
   
       ฝ่ามือใหญ่ดึงใบหน้าน่ารักนั่นให้หันกลับมามองเขา นัยน์ตาสีนิลสองคู่สบกัน ไม่มีใครยอมละสายตาออกไปก่อน เสียงทุ้มของราเมศดังขึ้น เนิบนาบและชวนให้สบายใจ
   
      “ไม่เห็นจะจริงเลย”
   
      “พูดให้ผมสบายใจเฉยๆ ล่ะสิ”
   
        “งั้นเหรอ” ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาสีนิลราวกับราตรีกาลคู่นั้นทำให้ปานตะวันหายใจสะดุด เขาอยากจะหลบสายตาแต่ก็ทำไม่ได้ ราเมศเข้าใกล้มากพอ...ที่เขาจะเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากนัยน์ตาคู่นั้นได้
   
       เกิด...อะไรขึ้นกับเขากันนะ
   
       ทำไมมันถึงได้...
   
       “น้าที่แย่จะไม่พยายามเรียนทำอาหารเพื่อทำให้หลานกิน น้าที่แย่จะไม่พยายามทำงานบ้านที่ตัวเองไม่ถนัดเพื่อหลาน น้าที่แย่จะไม่อดทนนั่งตอบข้อสงสัยของหลานซ้ำๆ น้าที่แย่จะไม่วิ่งไปคุ้ยกองขยะเพื่อหาตุ๊กตาที่ตัวเองโยนทิ้งไว้ น้าที่แย่จะไม่ยอมทนถูกเข็มทิ่มเกือบสิบครั้งเพื่อเย็บรอยขาดบนตุ๊กตาให้หลาน น้าที่แย่จะไม่กอดปลอบหลานตอนร้องไห้ และน้าที่แย่...จะไม่ใส่ความรักลงไปในทุกการกระทำของเขา ตอบพี่สิปานตะวัน นายไม่รักเจียหลินเหรอ”
   
        นานทีเดียวกว่าร่างเล็กจะหากล่องเสียงตัวเองเจอ
   
         “ผม...รักหนูเจีย เขาเป็นหลานของผม”
   
         “แล้วนายพยายามทำทุกอย่างเพื่อเจียหลินใช่ไหม”
   
         “ช...ใช่...ใช่ครับ”
   
         รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มอยู่บนริมฝีปากหยักได้รูปของผู้ชายตัวใหญ่ “งั้นนายก็ไม่ใช่น้าที่แย่หรอก มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
   
         “อ....อื้อ รู้แล้ว ถอยออกไปได้แล้วครับ”
   
         ปานตะวันหลับตาปี๋ ผลักราเมศออก ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มตัวเล็กเห็นว่าพวกเขาอยู่ชิดกันขนาดไหน ปานตะวันไม่ใช่ผู้หญิงก็จริงแต่อยู่ใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกันแบบเมื่อครู่มันก็อันตรายกับหัวใจเขาเกินไป
   
         “แล้ววันนี้ไม่ไปที่ร้านเหรอครับ” เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของตัวเองปานตะวันจึงยกหมอนมาบังหน้าไว้แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
   
        “ไปแต่เป็นตอนเย็น ลูกค้าเยอะช่วงนั้น ต้องไปช่วย แต่เดี๋ยวจะกลับมาทำข้าวเย็นให้กิน”
   
        “ไม่เป็นไร ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ เกรงใจ”
   
        “ไม่หรอก ฉันอยากกินข้าวกับหนูเจียอยู่แล้วด้วยแค่นี้เรื่องเล็ก ว่าแต่ตอนเย็นอยากกินอะไร”
   
        ราเมศมองแมวตัวใหญ่เอียงคอทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วก็อดขำไม่ได้ ในที่สุดปานตะวันก็หันมาร้องตะแง้ว ใส่ว่าอยากกินแกงส้ม เขาเลยตามใจโดยบอกว่าจะไปหาซื้อวัตถุดิบมาทำแกงส้มให้
   
       พวกเขานั่งกันอยู่แบบนั้นเงียบๆ ราเมศไม่ได้บอกให้ปานตะวันลุกมาทำอาหารชายหนุ่มผมน้ำตาลเลยถือโอกาสแอบงีบจนสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปจริงๆ ราเมศเหลือบมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซุกซบอยู่กับหมอนนุ่มแล้วก็ยิ้ม พอหลับปานตะวันก็กลายเป็นเด็กไร้พิษสงทันที ชายหนุ่มหยิบเอาผ้าผืนบางมาก่อนจะคลุมลงบนตัวคนอ่อนวัยกว่า จากนั้นก็หยิบหนังสือมาอ่าน ช่วงเวลาเงียบสงบปกคลุมบ้านหลังน้อยอีกครั้ง แล้วช่วงเวลายามบ่ายก็ผ่านไปเช่นนี้
   
        ปานตะวันตื่นมาอีกครั้งตอนบ่ายสามโมง ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงง ขยี้หัวไปพลางอ้าปากหาวไปพลาง หลังนั่งรวบรวมสติอยู่ประมาณสามนาทีถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้านเรือนไทย ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด แสงแดดยามบ่ายส่องลอดหน้าต่างที่ติดม่านสีฟ้าเอาไว้ ในห้องนั่งเล่นเหลือแต่เขาคนเดียว คิ้วเรียวพลันขมวดมุ่นเมื่อไม่พบเจ้าของบ้าน
   
        ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาก็สั่น ปานตะวันหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นราเมศที่ส่งข้อความมาเตือนว่าให้รีบออกไปรับหลานได้แล้ว ตอนนี้ชายหนุ่มตัวโตไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำอาหารเย็นให้
   
        ‘ถ้าไปรับหลานช้าจะอดกินแกงส้มนะ’
   
        ริมฝีปากเล็กยู่ลงกับคำขู่เหมือนเด็กนั่นแต่ชายหนุ่มก็ยอมลุกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเตรียมตัวออกไปรับหลานชายแต่โดยดี  ตอนที่โผล่ออกไปนอกบ้าน เมฆครึ้มตั้งเค้ามาแต่ไกล ขณะที่แสงแดดก็อ่อนแรงลงไปมาก หวังว่าฝนจะไม่ตกระหว่างที่เขาไปรับเจียหลินนะ
   
       โชคดีของปานตะวันที่วันนี้รถไม่ติดมากนัก ชายหนุ่มเลือกนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปแทนที่จะขี่รถไปเองเพราะราเมศบอกมาในไลน์ว่าขอยืมรถไปตลาด ปานตะวันรีบจนไม่อยากรอสองแถวที่นานๆ จะผ่านมาสักคัน เขาไม่อยากไปรับหลานชายสายเพราะรู้ว่าถ้าวันไหนผิดเวลารับเจียหลินไปถึงจะแค่สิบนาทีแต่หนูน้อยเป็นต้องน้ำตาคลอทำท่าเหมือนจะปล่อยโฮ ทำเอารู้สึกผิดแทบตาย กว่าจะปลอบให้หยุดร้องได้เล่นเอาคนเป็นน้าแทบจะร้องไห้ตาม

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        กลิ่นไอฝนพัดมาตามลมแรงทำให้ปานตะวันเร่งฝีเท้าไปที่ตึกเรียน แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กน้อยชะเง้อคอมองหาอยู่แล้ว
   
        “น้าตะวัน!”
   
        “ครับผม น้าตะวันมาแล้ว กลับบ้านกันเถอะหนูเจีย”
   
         เจียหลินหันไปยกมือไหว้ครูประจำชั้นก่อนจะวิ่งดุ๊กๆ มาหาปานตะวันที่ยืนรออยู่ เด็กน้อยแก้มยุ้ยโถมตัวกอดคุณน้าแน่นพลางพูดอุบอิบว่า “น้าตะวัน หนูเจียอยากกลับบ้านแล้ว กลับบ้านกันนะครับ”
   
        แต่แค่นั้นก็ทำเอาปานตะวันยิ้มแก้มแทบปริแล้ว
   
       “อื้ม ไปกันเถอะครับ”
   
       สองน้าหลานจูงมือกันออกจากโรงเรียน ระหว่างทางปานตะวันซื้อเครปให้เจียหลินด้วย ให้กินรองท้องไปก่อนเผื่อราเมศกลับมาช้าเด็กน้อยจะได้ไม่หิวมาก
   
      “วันนี้น้าเมศไม่มาเหรอครับ”
   
       “น้าเมศไปตลาดครับ ซื้อของมาทำข้าวเย็นให้หนูเจียกับน้าตะวันไงครับ”
   
       “เย้”
   
       ริมฝีปากบางยิ้มให้กับท่าทางดีใจสุดขีดของเด็กน้อย  คุณน้าพาหลานชายตัวกลมมายืนรอขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์และเพราะคนเยอะทำให้ปานตะวันต้องอุ้มเจียหลินขึ้น ร่างเล็กของคนทั้งสองถูกผู้คนมหาศาลตรงป้ายรถเมล์เบียดไปมาจนเซ จะขึ้นรถก็ไปไม่ทันคนอื่นเขา ได้แต่มองรถสองแถวกับรถเมล์ผ่านไปคันแล้วคันเล่า ปานตะวันมองท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างหนักใจ เขาไม่อยากให้เจียหลินเปียกฝนไม่อย่างนั้นเด็กน้อยจะไม่สบาย
   
       ครืน
   
       เสียงฟ้าคำรามทำให้ร่างน้อยสะดุ้งเฮือก เจียหลินยกมือปิดหู ซุกตัวเข้าหาปานตะวันทันที
   
       “หนูเจียเป็นอะไรไปครับ”
   
       หรือจะไม่ชอบฟ้าร้องกันนะ
   
       เจียหลินไม่ตอบแต่ยิ่งฟ้าร้องดังขึ้นเท่าไหร่เด็กน้อยก็ตัวสั่นมากขึ้นแถมยังซุกตัวเข้าหาเหมือนอยากจะมุดหนีไปในเสื้อปานตะวันอย่างไรอย่างนั้น
   
       “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะครับ อีกเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
   
       “หนูเจีย...กลัว”
   
       “ไม่ร้องนะครับเจียหลิน น้าตะวันอยู่นี่ ไม่เป็นไรนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กลูบแผ่นหลังของเจียหลินแผ่วเบาเป็นการปลอบประโลม
   
       เปรี้ยง!
   
       เสียงฟ้าแผดคำรามลั่นพร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของเจียหลิน สิ้นเสียงฟ้าสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาประหนึ่งฟ้ารั่ว น้ำสาดเข้ามาในบริเวณป้ายรถเมล์จนรองเท้าผ้าใบกับเสื้อบางส่วนของปานตะวันเปียกชุ่ม ชายหนุ่มสบถในใจ ตัดสินใจหันหลังให้กับถนน หันตัวเข้าในป้ายรถเมล์เพื่อป้องกันไม่ให้เจียหลินโดนหยดน้ำแต่กระนั้นก็มีละอองฝนอยู่ดี
   
       “น้าตะวัน หนูเจียหนาวแล้ว”
   
       “น้าตะวันรู้ครับ อดทนอีกหน่อยนะ” ปานตะวันตอบพลางกระชับอ้อมแขน หนูเจียซุกตัวเข้าหาเขา เด็กน้อยอุดหูอยู่เกือบตลอด คงกลัวฟ้าจะร้องอีก
   
       ดวงตากลมเหลือบไปที่ถนนแต่ก็ยังไม่มีวี่แววรถเมล์ ให้ตายเถอะ ทีตอนอยากรีบกลับบ้านนี่ก็ไม่เห็นโผล่มาสักคัน
   
        พลันโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า พอเห็นหน้าจอปานตะวันก็แทบลงไปกราบเจ้าของเบอร์ที่โทรมาได้โคตรถูกเวลา
   
       “ฮัลโหลพี่เมศ”
   
       [อยู่ไหน]
   
        “ป้ายรถเมล์ตรงข้างโรงเรียนหนูเจีย ฝนตกหนักมากเลยพี่ รถเมล์ก็ไม่มี ตะวันอยากกลับบ้านแล้ว” ตอนนี้แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มทั้งหนาวทั้งเฉอะแฉะ
   
       [งั้นรออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวไปรับ]
   
       “ขอบคุณครับ จะระวังไม่ให้หลานเปียกฝนนะ”
   
        [อือ แต่นายก็ระวังตัวเองด้วยนะ เดี๋ยวไม่สบาย]
   
        พูดจบก็ตัดสายไปทิ้งให้ปานตะวันยืนอึ้งอยู่กับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ แก้มขาวแดงขึ้นเล็กน้อย
   
       ราเมศบอกให้เขาดูแลตัวเองด้วย...ถึงจะเป็นแค่ประโยคธรรมดาก็เถอะ น้ำเสียงก็ราบเรียบไม่ได้อ่อนหวานแต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงได้เต้นผิดจังหวะไปแถมยัง...แถมยังรู้สึกอบอุ่นอีก
   
        สงสัยปานตะวันจะไม่สบายซะแล้วสิ
   
       ตอนที่ราเมศขับรถกระบะของตัวเองมาถึงทั้งแมวใหญ่และแมวเล็กก็เปียกกันถ้วนหน้า โชคดีที่เขาหยิบผ้าขนหนูใส่รถมาด้วย พอทั้งสองตะกายขึ้นรถมาได้สำเร็จราเมศก็ส่งผ้าให้ปานตะวันกับเจียหลินคนละผืน ปานตะวันรับผ้ามาจากราเมศแล้วเช็ดผมให้เจียหลินก่อนจากนั้นจึงค่อยเช็ดให้ตัวเอง  เห็นสภาพเหมือนแมวตกน้ำของทั้งคู่แล้วราเมศก็ได้แต่อมยิ้ม
   
       “ขอโทษนะพี่ รบกวนอีกจนได้ แถมทำรถพี่เปียกอีก”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้” ราเมศกดเปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงดังขึ้นทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย สองตาของชายหนุ่มไม่ละจากถนนแต่ปากก็ยังขยับคุยกับปานตะวันอยู่เรื่อยๆ
   
        “กลับบ้านไปก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะล่ะ ทั้งน้าทั้งหลานเลย เดี๋ยวได้ไม่สบายกันทั้งคู่”
   
        “คร้าบ”
   
         เมื่อถึงบ้านปานตะวันก็อุ้มเจียหลินเข้าห้องอาบน้ำทันทีส่วนราเมศก็รับเสื้อเปียกจากทั้งคู่ลงไปซัก จากนั้นถึงได้กลับขึ้นมาทำอาหารเย็น ชายหนุ่มทำแกงส้มแบบไม่เผ็ดมากให้ปานตะวันแล้วก็ทอดไข่เจียวให้เจียหลิน พอทั้งคู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานั่งรอกันที่โต๊ะกินข้าว
   
       “ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง” ราเมศจ้องปานตะวันดุๆ หลังจากที่เห็นผมชายหนุ่มกับผมของหลานชายยังมีน้ำหยดติ๋งอยู่เลย คนถูกดุได้แต่ยิ้มแหย แก้ตัวเสียงอ่อย “ก็หิวนี่นา แต่งตัวเสร็จเลยรีบมากินข้าวเลย” ชายหนุ่มตัวโตยังมีสีหน้าดุอยู่ เห็นดังนั้นคนถูกดุเลยต้องรีบยิ้มเอาใจ
   
        “อาหารพี่เมศกลิ่นห๊อมหอมนี่นา ตะวันกับหลานหิวก็เลยรีบมา เนอะหนูเจียเนอะ”
   
        “ใช่ครับ น้าเมศ หนูเจียหิวแล้ว กินข้าวกันนะครับ นะๆๆ”
   
        “เฮ้อ รู้แล้วครับ” ลงท้ายคนแพ้ลูกอ้อนก็เป็นราเมศ พอทานอาหารเสร็จถึงได้จับตะวันให้นั่งบนโซฟาแล้วเช็ดผมให้อย่างเบามือ ปานตะวันก็นั่งเช็ดผมให้เจียหลินอีกต่อหนึ่ง พอผมเริ่มแห้งคนเป็นน้าก็บอกให้เจียหลินไปหยิบการบ้านมาทำให้เรียบร้อย
   
       โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กถูกจับจองโดยคนสามคน ราเมศนั่งอ่านหนังสือไปพลางเหลือบมองปานตะวันที่สอนการบ้านหลานชายไปพลาง เสียงแหบหวานของปานตะวันอ่านประโยคในหนังสือช้าๆ ตามด้วยเสียงใสของเจียหลิน จากนั้นคุณน้าชายก็สอนให้เด็กน้อยเขียนคำตอบลงไปในสมุดทีละประโยค
   
       “โอเค ข้อสุดท้าย มาลี...” ปานตะวันชะงัก หนูเจียก็ชะงัก เงยหน้ามองคุณครูจำเป็นที่ทำจมูกยุกยิกไม่หยุด “มาลี-- ฮ...ฮัดเช้ย”
   
       “หวา น้าตะวันนน”
   
       “อ่า ขอโทษครับหนูเจีย”
   
        ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อ ราเมศลอบมองอีกฝ่ายจามอยู่สักพักก็ลุกขึ้นเดินไปในครัว หยิบเอายากับแก้วใส่น้ำไปให้ปานตะวันที่รับไปอย่างงงๆ
   
         “ทานยาเสียสิ นายไม่สบายแล้ว”
   
         “ผมเปล่านะ แข็งแรงจะตาย”
   
        “กินยา” ราเมศพูดเสียงเรียบ จ้องตาเด็กดื้อเป็นเชิงดุ กับคนคนนี้ต้องให้เล่นบทโหดอยู่เรื่อย พอถูกเขาดุเจ้าตัวก็ทำหน้ายุ่ง ยอมกินยาเข้าไปแต่โดยดี
   
         “ขอบคุณครั- - ฮัดชิ้ว” เสียงจามดังขึ้นจากคนตัวเล็ก แถมไม่ได้มาแค่รอบเดียว ราเมศกับหลานชายมองหน้ากัน  เจียหลินวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้ปานตะวัน แมวตัวเล็กดูกังวลที่เห็นผู้ปกครองตัวเองจามจนหน้าแดงจมูกแดง
   
       ฝ่ามือใหญ่ทาบเข้ากับหน้าผากมน คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ตัวอุ่นๆ ปานตะวันกำลังมีไข้
   
         “ไปนอนไป นายมีไข้แล้ว”
   
         “นิดหน่อยน่า ขอสอนการบ้านหลานให้เสร็จก่อน”
   
        “เดี๋ยวพี่สอนเอง ไปนอนไป”
   
        “แต่...”
   
        “ไม่เป็นไรหรอกครับน้าตะวัน” เจียหลินเอ่ยขึ้น ดวงตากลมแป๋วที่ฉายแววห่วงใยมองน้าตะวันสลับกับน้าเมศ “น้าตะวันไม่สบาย ต้องนอนพัก หนูเจียจะหัดทำการบ้านเอง”
   
        “แต่ว่าน้าอยากสอนให้นี่นา อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว”
   
        “น้าตะวัน นอนนะๆๆ”
   
        มือเล็กรุนหลังปานตะวันให้เดินไปทางห้องนอน ราเมศเองก็ร่วมมือกับหลานชายลากเขาขึ้นเตียงได้จนสำเร็จ จากนั้นทั้งคู่ก็ห่มผ้าให้เขาจนถึงคอ หนูเจียปีนขึ้นนั่งทับพุงปานตะวัน ยืนมือมาตรงหน้าเขาแล้วก็นอนหลับตาปี๋    
   
        “หือ หนูเจียทำอะไรน่ะ”
   
        “หนูเจียกำลังส่งพลังให้น้าตะวัน ฮึบ หายไวไวนะครับ”
   
         เรียวปากบางผุดรอยยิ้มอ่อนโยนให้หลานชาย ดึงเจ้าตัวน้อยมาจุ๊บเหม่งเสียหนึ่งทีแทนการขอบคุณ “ครับ อย่าลืมทำการบ้านให้เสร็จนะ” พอพูดจบคนตัวเล็กก็นึกขึ้นได้ คืนนี้หากเขาไม่สบาย หนูเจียจะติดหวัดถ้ามานอนเตียงเดียวกัน แล้วแบบนี้จะทำยังไงล่ะ
   
         “พี่แล้วคืนนี้หนูเจียนอนที่ไหน”
   
         “นอนกับพี่ก็ได้ นายทำความสะอาดห้องพักแขกไว้ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวพี่เอาฟูกไปปูนอนห้องนู้น”
   
         “คืนนี้ค้างที่นี่เหรอ”
   
         ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างแปลกใจ เห็นดังนั้นราเมศก็ยิ้มมุมปาก ดวงตาสีนิลฉายแววซุกซนเย้าแหย่
   
          “ไม่ได้เหรอ กลัวพี่ทำอะไรนายหรือไง”
   
          “ใครกลัว!! ประสาท จะค้างก็ค้างไปสิ ผมถามเฉยๆ หรอก!” คนป่วยแยกเขี้ยวขู่ แก้มขาวแดงจัด ไม่รู้เพราะเขินหรือเพราะพิษไข้ที่รุมเร้าทีละน้อย แต่ราเมศว่าคงจะเป็นอย่างหลังเพราะพอเสียงทุ้มหัวเราะดังขึ้นคนแก้มแดงก็มุดหน้าเข้ากับผ้าห่มหนีไปเลย
   
           ชายหนุ่มลูบหัวร่างเล็กบนเตียงอีกสองสามทีก่อนพาเจียหลินกลับไปทำการบ้านต่อ พอได้ยินเสียงประตูปิดปานตะวันถึงได้โผล่หน้าออกจากผ้าห่ม
   
          “บ้าชะมัด” คนตัวเล็กพึมพำ ร้อนวูบไปทั้งใบหน้า เขากัดริมฝีปาก นึกถึงสัมผัสอบอุ่นกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่ ต้องเป็นเพราะไข้ขึ้นแน่ๆ เขาถึงได้...พอ ไม่นึกถึงแล้ว!
   
         ปานตะวันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจหลับตา หวังว่าพอหลับแล้วความรู้สึกแปลกๆ ในอกจะหายไป แต่จนแล้วจนรอดรอยยิ้มของราเมศก็ติดอยู่ในหัวเขา วนเวียนอยู่แบบนั้น สลัดยังไงก็หลุดไปจากจิตใจไม่ได้เสียที
   
         แกรก
   
        เสียงเปิดประตูทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงลืมตา ชายหนุ่มร่างเล็กหรี่ตามองเงาร่างสองร่างที่ค่อยๆ ย่องเจ้ามาในห้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือราเมศกับเจียหลิน
   
        “ทำอะไรกันน่ะ” ปานตะวันถามพลางยันตัวลุกขึ้น เสียงของเขาแหบจนน่าตกใจแถมยังปวดหัวตุบๆ อีก ไม่สบายตัวเอาเสียเลย
   
        พอได้ยินเสียงถามร่างเตี้ยป้อมที่เดินย่องมาข้างเตียงก็ตกใจจนหลุดเสียงร้องออกมา ในขณะที่เงาร่างสูงใหญ่ของราเมศเคลื่อนไปเปิดไฟ ปานตะวันหรี่ตาหลบแสงไฟก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อดวงตาปรับสภาพได้แล้ว
   
       สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มตัวใหญ่ที่ถือกะละมังพร้อมกับผ้าเข้ามา ข้างเตียงมีเด็กชายตัวเล็กแก้มป่องยืนกอดหนังสือนิทานอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ
   
       “น...น้าตะวันตื่นแล้วเหรอครับ”
   
       ปานตะวันมองคนทั้งคู่อย่างงงๆ “ไม่ได้หลับหรอกครับ แล้วเข้ามาทำอะไรกัน” ว่าพลางเหลือบตามองนาฬิกา สองทุ่มครึ่งแล้ว “ดึกแล้วนะหนูเจีย ทำไมไม่นอนครับ”
   
        เจียหลินก้มมองเท้า ทำท่าเหมือนถูกดุ อีกอักอยู่พักหนึ่งถึงพูดออกมา “ก็หนูเจีย...เป็นห่วงน้าตะวัน แล้วน้าเมศก็บอกว่าจะมาเช็ดตัวให้ หนูเจียเลยตามมา”
   
        “ตามนั้นแหละ” ราเมศวางกะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ที่พื้นข้างเตียงขณะที่หนูเจียปีนมานั่งข้างกัน ราเมศบิดผ้าขนหนูก่อนจะพูดว่า “ถอดเสื้อ”
   
       “หา!?”
   
        “หาอะไร ถอดเสื้อสิ จะเช็ดตัวให้”
   
       ชายหนุ่มแอบหัวเราะขำในใจ พวงแก้มขาวของแมวขี้เขินเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อไปแล้ว
   
        “ไม่ถอด ไม่เอา”
   
        “เสื้อมันจะเปียก ถอดเร็ว จะเช็ดตัวให้”
   
        “ไม่เอานะ เฮ้ย”
   
          ปานตะวันร้องเสียงหลงเมื่อราเมศพุ่งมารวบตัวเขาไว้ สองมือก็ถอดเสื้อยืดเปื่อยๆ ออกจากตัวเขาอย่างว่องไว รู้ตัวอีกทีทั้งตัวก็เหลือแค่กางเกงนอน
   
         นักลอกคราบมืออาชีพเหรอวะ!
   
        “เอ้า นอนเฉยๆ”
   
       “พี่จะข่มขืนผมเรอะ”
   
          พูดจบก็อยากจะตบปากตัวเอง สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจแต่ปากมันพลั้งไปเท่านั้นเอง! นัยน์ตาสีนิลฉายประกายประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่งแต่พอราเมศกะพริบตามันก็หายไป ชายหนุ่มผิวเข้มยิ้มมุมปาก คว้าเขาแขนเรียวของเด็กแสบขึ้นมา ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดให้
   
        “วันนี้เหรอ ไม่หรอก แต่ถ้ายังไม่หยุดพูดก็ไม่แน่”
   
         ได้ผล เพราะพอจบประโยคนั้นเจ้าเด็กปากดีก็งับปากปิดสนิท ยอมนั่งเป็นเด็กดีให้เขาเช็ดตัวจนเสร็จ
   
          หลังเช็ดตัวเรียบร้อยราเมศก็หยิบเสื้อมาสวมให้คนที่ยังนั่งนิ่งเป็นหุ่นก่อนจะดัน อีกคนให้ขยับไปหน่อย ปานตะวันขมวดคิ้วเมื่อคนตัวโตทิ้งตัวลงนอนข้างเขา เตียงหลังนี้ไม่ได้แคบก็จริงแต่ราเมศเล่นมานอนเบียดกันแบบนี้ก็อึดอัดนะ
   
          “พี่จะมานอนเบียดทำไมเนี่ย”
   
       “หนูเจียให้ทำ หลานกลัวนายนอนไม่หลับ”
   
       ดวงตากลมหันไปมองหลานชายตัวเล็กก็พบว่าเจ้าเด็กแก้มป่องพยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งขัน เจียหลินพูดว่า “ตอนหนูเจียไม่สบาย แม่จันทร์จะอ่านนิทานให้ฟังแล้วก็นอนข้างกันแบบนี้ แม่จันทร์บอกว่าพอทำแล้วหนูเจียจะหายป่วยไวขึ้น”
   
        “งั้นเหรอ”
   
       “อื้ม เพราะงั้นหนูเจียจะโอ๋ๆ น้าตะวันบ้าง น้าตะวันได้หายป่วยเร็วๆ เนอะน้าเมศเนอะ”
   
        “ครับๆ”
   
        เจียหลินยิ้มกว้างจนตาหยี มือเล็กๆ พลิกเปิดหนังสือนิทานก่อนจะเริ่มอ่าน เสียงเล็กใสดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “กาลครั้งหนึ่งมีกระต่ายกับเต่า...อ๊ะ ใช่ๆ น้าเมศลูบผมน้าตะวันด้วยสิครับ”
   
         “หือ”
   
         คนถูกบอกให้ลูบหัวเลิกคิ้ว เจียหลินทำหน้าตาจริงจัง “แม่จันทร์ลูบผมหนูเจียด้วย น้าเมศก็ลูบผมน้าตะวันด้วยสิครับ”
   
         “โอเคครับ”
   
         ปานตะวันอยากจะเหลือกตาใส่ไอ้คนตามใจหลานไม่เลือกจริงๆ แต่เพราะเจ็บคอและเริ่มง่วงนอนเขาจึงปล่อยเลยตามเลย ราเมศเปิดไฟหัวเตียงแล้วลุกไปปิดไฟในห้องให้เพราะกลัวเขานอนไม่หลับ เมื่อชายหนุ่มกลับมาทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เขาอีกครั้งเจียหลินก็เริ่มเล่านิทานต่อ
   
       ฝ่ามืออุ่นลูบเส้นผมนุ่มมืออย่างอ่อนโยน ปานตะวันหลับตา ซุกกายเข้าหากองผ้าห่มและร่างใหญ่ข้างกายอย่างเผลอไผล
   
        หนูเจียอ่านหนังสือคล่องมาก เสียงใสที่อ่านได้ลื่นไหลกล่อมให้ปานตะวันจมสู่ห้วงนิทราช้าๆ
   
       ก่อนจะหลับไปปานตะวันรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังฝัน ชายหนุ่มปรือตามองรอบด้าน ไม่มีราเมศ ไม่มีเจียหลิน มีแต่ตัวเขาที่นอนบนเตียงกับ...
   
         “พี่จันทร์”
   
        จันทร์จ้าวยิ้มหวานให้น้องชาย ฝ่ามือของเธอลูบไล้หลังมือปานตะวันอย่างอ่อนโยน
   
        “พี่จันทร์...ตะวันต้องป่วยแน่ๆ เลย”
   
        “งั้นเหรอ”
   
        เสียงของพี่กังวานใสและคล้ายว่าลอยมาจากที่ไกลแสนไกล ปานตะวันพยักหน้ารับคำถามของพี่
   
        “ตะวันรู้สึกแปลกๆ กับพี่เมศ...แล้วก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เจียหลินไปอยู่กับน้าสายหยุดเลยทั้งที่ตะวันเกลียดเด็กกับผู้ชายจู้จี้แท้ๆ”
   
        พี่สาวแตะปลายนิ้วเข้าที่ริมฝีปากเขาพร้อมกับพูดว่า
   
        “แบบนั้นน่ะ คือรักไม่ใช่เหรอ”
   
        รัก...ทั้งที่เพิ่งเจอกันเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาคงเพ้อเจ้อไปเอง การที่ฝันเห็นพี่จันทร์บ่อยๆ แบบนี้ก็ด้วย เขาแค่คิดถึงมากไปจนเก็บมาฟุ้งซ่านเท่านั้นแหละ ปานตะวันถอนหายใจพร้อมหลับตาลง ไม่ว่านี่จะจริงหรือฝันก็ช่างมัน เขาไม่อยากรับรู้แล้ว รักหรือ...เวลาแค่สั้นๆ เนี่ยนะจะทำให้รักได้ ไม่ใช่หรอก
   
       “พี่จันทร์...มั่วแล้ว”
   
        เสียงอ่านนิทานหายไปเมื่อเห็นคนที่กำลังนอนหลับละเมอพูดอะไรบางอย่างออกมา เจียหลินชะงักแต่เมื่อหยุดมองสักครู่ก็พบว่าลมหายใจของคนป่วยสม่ำเสมออีกครั้ง ปานตะวันหลับสนิทไปแล้ว เจียหลินเงยหน้ามองราเมศที่ยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบ เจ้าตัวเล็กปิดหนังสือนิทานพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะก้มลงจุ๊บหน้าผากน้าชายของตัวเองพร้อมกับพูดว่า
   
       “ฝันดีน้า น้าตะวัน”
   
       เด็กน้อยเอานิ้วแตะแก้มปานตะวันแล้วหันไปมองราเมศ ชายหนุ่มร่างสูงก็ยิ้มให้กับหลานชาย ก่อนจะโน้มตัวลงจูบแก้มปานตะวันด้วยเช่นกัน
   
       “ฝันดีครับแมวดื้อ”
   
         เท่านั้นเองคิ้วที่ขมวดมุ่นของคนป่วยก็คลายออก มุมปากยกขึ้นราวกับว่ากำลังฝันดี
   
         ปานตะวันยังคงไม่รู้ตัวหรอกว่าในช่วงเวลานั้น เขาตกหลุมรักไปแล้ว หลงรักทั้งเจียหลิน...
   
         รวมถึงผู้ชายที่ชื่อราเมศด้วย

****************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน พาน้าตะวัน น้าเมศกับหนูเจียมาลงรับวันตรุษจีนค่า
รู้สึกได้ว่ายิ่งเขียนยิ่งหลงหนูเจียหนักมาก มีโมเม้นท์กับน้าตะวันมากกว่าราเมศอีกมั้ง 55555
เขียนไปก็อยากฟัดเจียหลินไป อยากฟัดปานตะวันด้วย จากตอนแรกที่เป็นคนดูไม่ได้เรื่องและติดจะก้าวร้าว
พอมาอ่านตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่าปานตะวันเป็นเด็กซึนหนึ่งคนเท่านั้นเองค่ะ ฮ่าๆ เหมือนพยายามโวยวายกลบเกลื่อน
แต่ก็ไม่สำเร็จ  :katai5:

พักหลังๆ รู้สึกว่าเขียนได้ช้าลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการบ้าน การสอบต่างๆ หรืออะไร แต่จะพยายามลงให้ทุกสุดสัปดาห์นะคะ
อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรสามารถคอมเม้นท์ติชมได้เต็มที่เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆ เลยค่ะ

ปล. สามารถติดตามข่าวสารนิยายหรือพูดคุกับเราะ(ได้ตลอดเวลา)ที่ เพจ AzureDream นะคะ รักคนอ่านทุกคน
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เพิ่งอ่านตอนที่แล้วจบ กดรีเฟซดู กรี๊ดดด ได้อ่านตอนใหม่เลย :katai2-1:
นับวันๆสามคนนี้จะเหมือนพ่อแม่ลูกไปทุกทีแล้วน้าา บรรยากาศฟุ้งไปด้วยคำว่าครอบครัว
พี่เมศจะทีเล่นทีจริงก็โปรดบอกนะ น้องปานตะวันแอบคิดไปไกลแล้ววว 555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คำสรรพนามของเจียหลินไม่น่าเป็น ชายหนุ่ม แต่ควรจะเป็น เด็กน้อย หรือ เด็กชาย (จำได้ว่าอายุยังน้อยนะ ยังไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม)
ที่จริงเรื่องของปานตะวันนั่นยังมีทางเลือกอื่นนี่นะ จะเลี้ยงหลานไปทำงานพิเศษ (กับราเมศ) ไป แล้วก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้นี่ (ถ้าไม่มีความฝันที่จะต้องเรียนอะไรแบบที่ต้องใช้เวลาเยอะน่ะนะ) ถ้าตะวันเอาจริงแม่ก็คงไม่ห้ามหรอก (มั้ง)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
คำสรรพนามของเจียหลินไม่น่าเป็น ชายหนุ่ม แต่ควรจะเป็น เด็กน้อย หรือ เด็กชาย (จำได้ว่าอายุยังน้อยนะ ยังไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม)
ที่จริงเรื่องของปานตะวันนั่นยังมีทางเลือกอื่นนี่นะ จะเลี้ยงหลานไปทำงานพิเศษ (กับราเมศ) ไป แล้วก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้นี่ (ถ้าไม่มีความฝันที่จะต้องเรียนอะไรแบบที่ต้องใช้เวลาเยอะน่ะนะ) ถ้าตะวันเอาจริงแม่ก็คงไม่ห้ามหรอก (มั้ง)

ขอบคุณที่ช่วยแก้ให้ค่ะ ฮือออ เบลอจนรอดสายตาอีกแล้ววว เราจะอ่านทวนแล้วก็ทำการแก้ไขให้นะคะ (น่าจะละเมอเขียนสรรพนามหนูเจียกับปานตะวันสลับกันเพราะแรกๆ ก็เบลอสลับปานตะวันกับเจียหลินบ่อยๆ 5555) ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยแก้ไขนะคะ (กอดรัด)  :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
น่ารักน่าเอ็นดูทั้งน้า   ทัังหลานเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ pedchara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นจังเลย ><

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๕
ความเอยความรัก


         เช้าวันต่อมาอาการป่วยของปานตะวันก็ดีขึ้นแล้วแต่คนตัวเล็กยังคงต้องนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าจะไม่มีไข้แต่ก็ยังเจ็บคอแล้วก็อ่อนเพลียอยู่ วันนั้นทั้งวันหน้าที่ดูแลเจียหลินจึงตกเป็นของราเมศซึ่งอีกคนก็ไม่ได้ไม่พอใจแต่อย่างใด กลับกันปานตะวันคิดว่าราเมศดูชอบใจด้วยซ้ำ
   
        หลังถูกปลุกให้ลุกมาทานข้าวและทานยาปานตะวันก็หลับต่อไปจนถึงเกือบเที่ยง พอตื่นมาอีกทีก็ได้กลิ่นหอมของอาหารเที่ยงแล้ว
   
        คนตัวเล็กลุกออกจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ เอาน้ำลูบหน้าให้สดชื่นก่อนจะเดินออกไปที่ห้องครัว ตอนที่เขาเข้าไปราเมศกำลังอุ่นข้าวต้มอยู่พอดี ชายหนุ่มผิวแทนหันมามองเขา คิ้วเข้มพลันขมวดฉับ
   
       “ลุกออกจากเตียงทำไม” บอกจากจะทำหน้าดุแล้วน้ำเสียงยังดุไม่แพ้หน้าตา แต่นี่ใคร ปานตะวันนะ ไอ้เรื่องกลัวราเมศนี่ฝันไปได้เลย
   
       “นอนทั้งวันน่าเบื่อจะตาย ผมอยากมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง”
   
       “แต่นายเป็นคนป่วย”
   
       “เป็นไข้หวัดนะครับไม่ใช่เป็นอัมพาต”
   
       “ฉันล่ะอยากตีปากนายจริงๆ ทำไมมันถึงได้ช่างเถียงขนาดนี้นะ”
   
        คนตัวเล็กยักไหล่ เดินมาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว ฟุบลงแล้วใช้ดวงตากลมแป๋วมองราเมศที่ทำหน้าเหนื่อยใจจากนั้นก็ส่งยิ้มใสซื่อให้ เห็นแบบนั้นชายหนุ่มตัวโตก็ได้แต่ยอมแพ้
   
        คิดในแง่ดีการที่คนป่วยลุกมาเถียงเขาฉอดๆ แบบนี้ได้แปลว่าเจ้าตัวใกล้หายแล้ว แก้มขาวก็เริ่มกลับมามีสีสัน ใบหน้าซีดเซียวเมื่อวานกลับมาสดใส ยังไงก็ดีกว่าสภาพนอนซมไข้ขึ้นเมื่อคืนล่ะนะ
   
        “แต่ยังไงนายก็ยังต้องนอนพักนะ”
   
        “ทราบแล้วครับผม” ชายหนุ่มผมน้ำตาลทำท่าตะเบ๊ะพรับคำสั่งพร้อมรอยยิ้มซุกซน “แต่ว่าตะวันออกมาเดินเล่นนิดเดียวเอง ไม่เห็นเป็นไรเลย” ยังไม่วายอุบอิบเถียงเขา ราเมศเลยดีดเหม่งคนตรงหน้าไปทีหนึ่ง
   
        “คนป่วยน่ะควรนอนพักเขาใจไหม แล้วหายป่วยจะเดิน จะวิ่ง จะหมอบ จะคลานฉันก็ไม่ว่า”
   
        ปานตะวันร้องโอดโอยพลางกุมหน้าผากที่ถูกดีด จริงๆ มันก็ไม่ได้แรงขนาดนั้น เขาทำโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง “พี่เมศ หิวแล้ว”
   
        “ก็เดินไปตักกินสิ ข้าวต้มอยู่ในหม้อแน่ะ”
   
        “ใช้งานคนป่วยได้ไง”
   
        “ไหนเมื่อกี้บอกไม่ได้เป็นอัมพาต ลุกมาเถียงพี่ได้ตักข้าวต้มแค่นี้ทำไมทำไม่ได้”
   
        ปากก็ดุแต่ตัวก็เดินไปหยิบชามมาตักข้าวต้มให้ ควันสีขาวลอยเอื่อยจากถ้วย กลิ่นหอมของข้าวต้มหมูสับทำให้คนป่วยหูตั้งหางกระดิกทันที
   
        “ค่อยๆ กินนะ...มันร้อน”
   
        “โอ๊ย แค่กๆ”
   
        พูดยังไม่ทันขาดคำแมวตะกละก็งับช้อนไปคำโตแล้ว ผลคือข้าวต้มลวกปากลวกลิ้นจนราเมศต้องรีบวิ่งไปหยิบน้ำเปล่ามาเทให้ดื่ม ปานตะวันดื่มน้ำไปปาดน้ำตาไป ร่างเล็กตวัดค้อนวงโตให้ราเมศที่ขำจนตัวสั่น
   
        เอาข้าวต้มกรอกปากซะดีไหม!
   
        “ก็บอกแล้วว่ามันร้อน ค่อยๆ กิน”
   
        “คราวหลังเตือนก่อนที่ผมจะเอาข้าวเข้าปากสิ”
   
        “นาย...กินเร็วไปต่างหาก”
   
        จะเรียกตะกละก็เกรงใจ เปลี่ยนเป็นคำที่ดูซอฟต์ๆ ให้แล้วกัน
   
        “ว่าผมตะกละเหรอ!” รู้ทันอีกนะ
   
        ราเมศยิ้มบางๆ ดึงชามข้าวต้มเข้าหาตัวแล้วตักข้าวต้มพอดีคำขึ้นมา เป่าเบาๆ ให้พออุ่นแล้วยื่นไปจ่อปากคนป่วย เขา มองปานตะวันที่ทำตาโตด้วยความตกใจยิ้มๆ
   
        “เป็นอะไร ทานสิ” ชายหนุ่มแกล้งพูดด้วยสีหน้านิ่ง ในขณะที่คนป่วยกลับสะบัดหน้าไปมาแบบเอาเป็นเอาตาย ปานตะวันจะรู้ตัวไหมนะว่าตัวเองเป็นคนขี้เขินมากๆ เขาแหย่เล่นนิดเดียวก็แก้มแดงหูแดงไปหมด ตอนนี้ก็เหมือนกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลกลอกหลุกหลิกไปมา แก้มขาวๆ ก็แดงแจ๋
   
        น่าหยิกชะมัด
   
        “ตะ...ตะวันกิน...ตะวันกินเองได้”
   
        “เดี๋ยวก็เป็นแบบเมื่อกี้อีก”
   
        “ไม่เป็นแล้ว คราวนี้จะกินดีๆ ส..ส่งชามมาสิ เดี๋ยวกินเอง”
   
         เขาชอบเวลาเด็กแสบตรงหน้าแทนตัวเองด้วยชื่อ มันทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักแล้วก็น่าเอ็นดูขึ้นมากโข ชอบเวลาที่ปานตะวันเรียกเขาว่าพี่ด้วย
   
       “ขอดีๆ สิ”
   
        “ขอยังไงล่ะ ฮึ่ย อย่ามาแกล้งผมนะ”
   
        “พูดเพราะๆ เวลาขอของจากผู้ใหญ่ต้องทำไง”
   
        “ตะวันไม่ใช่เด็กนะ”
   
         ราเมศเลิกคิ้ว ถ้าหากปานตะวันเป็นเด็กเขาก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบแกล้งคนตรงหน้านัก ปานตะวันขมวดคิ้ว ตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจก่อนจะตัดสินใจยื่นหน้าไปใกล้ๆ ดวงตาสองคู่สบกันก่อนที่เจ้าตัวแสบจะเป็นฝ่ายหลุบตาหนีก่อน อ้อมแอ้มเสียงเบา
   
        “ขอข้าวต้ม...นะครับ”
   
        ราเมศนิ่งค้าง สมองว่างเปล่าไปชั่วครู่ หัวใจเต้นถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตอนที่เด็กแสบนั่นดึงชามข้าวต้มไปกินหน้าตาเฉย
   
        ชายหนุ่มผิวแทนลูบหน้า หัวใจยังเต้นถี่...ควบคุมไม่ได้
   
        บางทีเขาคงต้องหาทางบอกปานตะวันว่าอย่าเล่นแบบเมื่อกี้อีก
   
        ไม่ดีกับหัวใจอ่อนแอของเขาเลยจริงๆ
   
        เมื่อข้าวต้มหมดถ้วยปานตะวันก็เป็นฝ่ายช่วยเก็บล้าง เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนของเจียหลินชายหนุ่มทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะไปรับหลานชายด้วยกัน ราเมศเอารถกระบะคันใหญ่ของตนออกไปรับ เพราะอีกฝ่ายบอกว่านอกจากรับเจียหลินแล้วก็อยากแวะไปซื้อของสดเข้าบ้านด้วย
   
         นับวันยิ่งเหมือนพ่อบ้านมากขึ้นทุกที...แต่เรื่องนี้ปานตะวันจะไม่พูดหรอกนะ
   
        เสียงเซ็งแซ่ของเด็กเล็กๆ ในช่วงหลังเลิกเรียนทำให้ปานตะวันมึนงงไม่น้อง ลูกเด็กเล็กแดงและผู้ปกครองเดินกันให้วุ่นวาย กว่าจะฝ่าไปถึงตึกเรียนของเด็กอนุบาลได้ก็ทำเอาคุณน้าหมาดๆ ถึงกับเหงื่อตก ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินสักที คงอีกนานกว่าจะปรับตัวได้
   
        ราเมศกับปานตะวันเดินไปถึงหน้าห้องเรียน เด็กๆกำลังนั่งสะพายกระเป๋าเรียงกันอยู่หน้าห้อง รอผู้ปกครองมารับ พอเห็นราเมศกับเขาหนูเจียก็ตะโกนขึ้นมา
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ”
   
        เด็กน้อยโบกไม้โบกมืออย่างดีใจ คุณครูคนสวยก็ยิ้มหวานให้ชายหนุ่มทั้งสองทันทีก่อนจะเรียกให้เจียหลินวิ่งออกจากแถว เด็กชายแก้มป่องยกมือไหว้คุณครูจากนั้นก็ตรงดิ่งเข้ากอดคุณน้าทั้งสองทันที
   
        “ว่าไงครับคนเก่ง วันนี้สนุกหรือเปล่า” ปานตะวันถามพลางรวบร่างนุ่มนิ่มมาหอมซ้ายหอมขวา
   
        “สนุกครับ วันนี้หนูเจียได้ระบายสีคุณแมวด้วยนะ”
   
        “ไหนครับ พอถึงบ้านแล้วขอน้าตะวันดูหน่อยได้ไหม”
   
        เจียหลินพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปคุยกับน้าเมศของตัวเอง แขนป้อมๆ ชูขึ้น เสียงใสร้องออดอ้อน “น้าเมศ อุ้มน้า”
   
        “ครับผม”
   
         คนตัวโตอุ้มหลานชายขึ้นมา จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินออกไป โดยไม่รู้เลยว่าในสายตาคนนอกแล้วพวกเขาเหมือนครอบครัวเดียวกันไม่ผิดเลย
   
         ขากลับบ้านราเมศพาพวกเขาแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก่อนเพื่อซื้อของ พอเห็นรถเข็นหนูเจียก็ตาโตขอลงไปนั่งข้างใน พอเห็นแบบนั้นปานตะวันก็หัวเราะออกมา
   
        เหมือนเขาสมัยเด็กๆ ไม่ผิดเลย เมื่อก่อนตอนออกมาซื้อของกันทั้งครอบครัว พ่อจะเป็นคนเข็น ปานตะวันจะได้นั่งในรถเข็น มีพี่จันทร์จับมือเดินอยู่ข้างรถส่วนแม่จะเป็นคนหยิบของที่ต้องซื้อมาใส่รถ ปานตะวันชอบนั่งในรถเข็นมาก และที่ชอบมากที่สุดคือช่วงเวลาที่ได้ใช้กับครอบครัว
   
       มาวันนี้คนที่นั่งในรถไม่ใช่เขา ไม่มีพ่อเข็นรถตามแม่ ไม่มีพี่จันทร์จับมือข้างๆ
   
        วัยเยาว์เหล่านั้นไม่มีวันหวนคืนมา และเขาคงเป็นคนเดียวที่ทะนุถนอมช่วงเวลาล้ำค่านั้นไว้ในใจ
   
        พ่อไม่อยู่แล้ว...พี่ไม่อยู่แล้ว...และแม่คงไม่อยากจำ
   
        เหลือแต่เขาเท่านั้นที่ยังคิดถึงอดีต
   
        “ไหน ของที่ต้องซื้อมีอะไรบ้าง....ตะวัน....ตะวัน ได้ยินพี่ไหม ตะวัน”
   
        เสียงทุ้มที่ดังชิดริมหูพร้อมลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดทำให้ปานตะวันสะดุ้งเฮือก พอหันกลับไปมองก็ต้องตกใจจนสติเกือบบินอีกรอบเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลสว่างรีบก้าวถอยหลัง ละล่ำละลักพูดออกมาอย่างตกใจ
   
         “ว...ว่าไงครับ”
   
        ราเมศมองเขาอย่างแปลกใจ “เหม่ออะไรน่ะเรา พี่ถามว่ามีอะไรต้องซื้อบ้าง”
   
        “อ๋อ” คนตัวเล็กเรียกสติกลับมาได้ทันเวลา “มียาสระผม ผงซักฟอก ยาสีฟัน ของสดสำหรับทำกับข้าวแล้วก็นมกับขนมของเจียหลินครับ” ชายหนุ่มหยิบเอากระดาษที่จดรายการของที่ต้องซื้อขึ้นมา “พี่จะให้ผมหยิบของหรือจะให้เข็นรถ”
   
        “นายหยิบของก็ได้ เดี๋ยวพี่เข็นรถกับดูเจียหลินเอง”
   
       ปานตะวันพยักหน้ารับ แต่เขาไม่ค่อยได้มาซื้อของในห้างสักเท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าจะเดินไปตรงไหนก่อน สุดท้ายก็ต้องถอยมาเดินข้างๆ ราเมศ ปล่อยให้ชายหนุ่มตัวโตเป็นคนเดินนำ  พอมาถึงชั้นวางแชมพูปานตะวันก็ตรงไปหยิบยี่ห้อที่ใช้ประจำขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตรงไปยืนเลือกสบู่เหลว
   
        “พี่เมศว่ายี่ห้อไหนดี”
   
        “ หืม สบู่เหรอ ทำไมจะเปลี่ยนล่ะ”
   
       “อยากลองเปลี่ยนกลิ่นดูน่ะ อันเก่ามันไม่ถูกใจเท่าไหร่”
   
        ชายหนุ่มผิวแทนลอบมองเสี้ยวหน้าเอาจริงเอาจังของชายหนุ่มข้างกายแล้วก็ลอบยิ้ม โน้มตัวไปอุ้มเจียหลินที่นั่งกอดขวดแชมพูสระผมขึ้นมา ราเมศวางขวดแชมพูลงในรถเข็นก่อนจะหันมาถามหนูเจียของเขาว่า
   
        “หนูเจียอยากช่วยน้าเมศกับน้าตะวันเลือกสบู่ไหมครับ”
   
        ดวงตากลมแป๋วเป็นประกายขึ้นมาทันที เด็กน้อยพยักหน้าเร็วๆ ชูมือขึ้น “หนูเจียเลือกให้ๆ”
   
        ปานตะวันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง “งั้นหนูเจียเลือกให้น้าตะวันหน่อยนะครับ” เขาหลบฉากออกไปเพื่อราเมศอุ้มหนูเจียไปยืนหน้าชั้นวางสบู่เหลวได้ถนัด เด็กน้อยกวาดตามองขวดมากมายที่เรียงรายอยู่แล้วก็ชี้ไปที่ขวดสีใสที่มีตัวการ์ตูนอยู่บนขวด “ขวดนั้นครับ”
   
       “หืม” ปานตะวันหยิบขวดสบู่ขึ้นมาแล้วก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสบู่สำหรับเด็ก เจ้าตัวหัวเราะออกมาเบาๆ หนูเจียคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองเลือกสบู่สำหรับเด็กมา เจ้าตัวน่าจะเลือกเพราะสีกับตัวการ์ตูนมากกว่า
   
       “เอาอันนี้น้า น้าตะวัน นะๆๆ”
   
       พอเห็นท่าทางออดอ้อนของหลานชายปานตะวันก็พยักหน้า ส่งขวดสบู่ไปให้หนูเจียที่พูดขอบคุณแล้วรับไปกอดทันที ส่วนตัวเองก็กลับไปยืนเลือกสบู่ใหม่อีกรอบ คราวนี้หันไปถามความเห็นคนตัวโตข้างๆ แทน
   
       “พี่เมศว่าอันไหนดี”
   
       “เอาที่นายชอบสิ”
   
       “ก็ชอบหลายยี่ห้อนะ” ว่าพลางหยิบขวดสบู่ขวดหนึ่งมาลองดมดู นึกชอบกลิ่นหอมอ่อนของสบู่ขวดนี้ ราเมศยื่นหน้าเข้ามาใกล้ปานตะวันเลยส่งขวดสบู่ให้อีกฝ่ายบ้าง
   
      “อันนี้ก็ดีนะ”
   
      “งั้นเอาอันนี้เนอะ”
   
        ราเมศอยากจะบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนใช้สบู่ขวดนี้เสียหน่อย เจ้าของบ้านอยากได้อะไรก็ซื้อไปสิ แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าตัวเองก็มาใช้บริการอาบน้ำที่บ้านเรือนไทยบ่อยไม่แพ้บ้านตัวเองเลยจึงเงียบไว้
   
        หลังซื้อของใช้เสร็จทั้งสามก็ไปเดินดูของกินต่อ  ราเมศค้นพบในตอนนั้นเองว่าปานตะวันชอบของหวานไม่ต่างจากหลานชายเลย ดวงตากลมสีนิลเป็นประกายทันทีที่เจอขนมวางเรียงรายอยู่บนชั้น เจ้าแมวใหญ่วิ่งไปตรงนู้นตรงนี้ เข้ากันดีกับแมวเล็กที่ร้องจะกินนู่นกินนี่จนราเมศต้องรีบปรามไว้
   
        “ซื้อมาเยอะ เดี๋ยวก็กินไม่หมด”
   
       “หมด ตะวันกินวันเดียวก็หมดแล้ว”
   
       “อยากฟันผุหรือไง”
   
       “แปรงฟันสิ ไม่ใช่เด็กนะ”
   
       “เดี๋ยวก็อ้วน”
   
       “กินก่อนค่อยเครียดทีหลัง”
   
       “ปานตะวัน....วางไอ้คุกกี้กล่องนั้นคืนที่เดี๋ยวนี้ พี่ให้โควตานายซื้อได้แค่กล่องเดียว”
   
       “แต่ว่า...”
   
       “กล่องใหญ่กล่องเดียว พอหมดแล้วค่อยมาซื้อใหม่”
   
       ว่าจบก็เดินไปหยิบกล่องคุกกี้ที่ปานตะวันกอดอยู่วางคืนชั้น ลากเจ้าตัวแสบออกห่างจากโซนขนม คนโดนขัดใจก็ซึมอยู่พักหนึ่งแล้วก็กลับมาดี๊ด๊าอีกครั้ง แหงล่ะก็ขนมที่ซื้อมานี่ก็เยอะจนจะเต็มรถแล้ว เห็นทีเขาต้องคุมแมวใหญ่กับแมวเล็กคู่นี้ให้ดีๆ ไม่งั้นคงมีใครสักคนไปนอนให้หมอฟันอุดฟันแน่ๆ
   
        พอถึงโซนของสดปานตะวันก็รับหน้าที่เป็นฝ่ายเฝ้ารถเข็น ปล่อยให้ราเมศไปเดินเลือกของแทน ชายหนุ่มยืนเล่นกับเจียหลินอยู่พักใหญ่ราเมศก็กลับมา พอเห็นทั้งผักทั้งเนื้อที่อีกฝ่ายซื้อมาคิ้วเรียวพลันขมวดมุ่น
   
       “ว่าแต่ตะวันว่าซื้อของเยอะ”
   
       “แล้วนายต้องกินข้าวหรือเปล่าล่ะ หรือจะกินขนมพวกนั้นแทนข้าวกัน”
   
        ปานตะวันถลึงตาใส่ เดินมาชกไหล่เขาหนึ่งทีก่อนจะแย่งถุงของสดไปถือเองบางส่วน “แล้วเย็นนี้พี่เมศจะทำอะไรอ่ะ”
   
        พอเป็นเรื่องของกินล่ะตาวาวเชียวนะ
   
        “กะจะทำสุกี้”
   
        “สุกี้ๆๆ หนูเจียชอบสุกี้”
   
       “อื้อ น้าตะวันก็ชอบ!”
   
         ลูกแมวสองตัวดีใจกันใหญ่ แค่เห็นรอยยิ้มของทั้งคู่ราเมศก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม...ยิ้มกว้างเสียด้วย เขาขยี้ผมปานตะวัน ลูบศีรษะเจียหลินแล้วก็พากันไปจ่ายเงิน
   
         เมื่อกลับถึงบ้านราเมศก็เข้าครัว ปานตะวันตามไปช่วยล้างผักหั่นผัก ของสดเช่นปลาหมึก เต้าหู้ปลา เต้าหู้ไข่ วุ้นเส้น หมู ไก่ ตับ ปูอัดและลูกชิ้นแบบอื่นถูกจัดใส่จาน ปานตะวันเตรียมจานชาม ทัพพีตักน้ำซุป และแก้วน้ำออกไปวางข้างนอก เพราะต้องตั้งหม้อสุกี้พวกเขาเลยตัดสินใจออกไปกินกันตรงชานระเบียงกว้าง เพราะกินกันตั้งแต่เย็นทำให้ยุงยังไม่เยอะ บรรยากาศนอกบ้านตอนนี้ดีทีเดียวแสงแดดอ่อนแรงลง กลิ่นหอมของดอกแก้วและดอกมะลิลอยอวลในอากาศ
   
         หนูเจียวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหา มือเล็กพยายามช่วยปานตะวันปูเสื่อ เป็นเวลาเดียวกับที่ราเมศถือหม้อสุกี้เข้ามา ปานตะวันช่วยอีกฝ่ายเตรียมน้ำซุป จากนั้นมื้อเย็นที่มีกันสามคนก็เริ่มขึ้น
   
        “หนูเจียกินแพนด้าไหมครับ”
   
       “กินครับ”
   
        เจียหลินแก้มพอง มองตามลูกชิ้นแพนด้าที่ปานตะวันหย่อนลงหม้อไป สักพักก็มานอนอยู่ในถ้วย ชายหนุ่มผมน้ำตาลหั่นลูกชิ้นและตักนู่นตักนี่ให้หลานชายไม่หยุด คอยหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดให้ตอนที่เจียหลินกินเลอะ ส่วนราเมศก็คอยตักอาหารใส่ถ้วยให้ปานตะวันจนชายหนุ่มต้องหันไปบอกให้ทานของตัวเองบ้างก็ได้ ไม่ต้องทำให้เขาเยอะ
   
        “เท่านี้ก็ล้นชามแล้วพี่ กินไม่ทัน—หวา หนูเจียค่อยๆ กินสิครับ”
   
        ปานตะวันหันกลับไปวุ่นวายกับหลานชายที่ทำน้ำซุปหกเลอะพื้น บนแก้มป่องนั่นมีเศษผักติดอยู่ด้วย ราเมศมองคนสองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ถ้าส่องกระจกเขาคงได้รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองอ่อนโยนมากแค่ไหน
   
       ยี่สิบนาทีต่อมาเจียหลินก็อิ่ม ฟ้าเริ่มมืดลงช้าๆ ปานตะวันเลยเดินกลับไปเอาสเปรย์กันยุงมาฉีดให้หลานชายกับราเมศรวมไปถึงตัวเองด้วย พอเจียหลินอิ่มก็เป็นเวลาของผู้ใหญ่ทั้งสองที่จะได้กินอาหารอย่างเต็มที่ 
   
      “ไม่กินตับเหรอ” ราเมศถามเมื่อเห็นว่าปานตะวันไม่แตะตับที่ตนเองคีบใส่ถ้วยให้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว พอถูกถามคนที่กำลังทานอาหารก็พยักหน้ารับ “มันขมอ่ะพี่ ไม่ชอบ”
   
       “งั้นเอามานี่”
   
       “เฮ้ย จะดีเหรอ แต่มันอยู่ในชามผมแล้วนะ”

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือ”
   
        พูดจบก็คีบตับในถ้วยปานตะวันไปกินเอง คนตัวเล็กกระแอมเบาๆ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจถ้วยสุกี้ของตัวเองต่อ แต่สุดท้ายก็หันไปหาพี่ชายบ้านตรงข้ามจนได้
   
        “แล้วพี่เมศชอบกินอะไร”
   
        “หืม” ชายหนุ่มผมดำเอียงคอ “พี่เหรอ?”
   
        ปานตะวันกลอกตา ก็เรียกชื่อไปแล้วนะว่าพี่เมศ...ยังจะมาถามอีกว่าพี่เหรอ   
   
        “แถวนี้มีราเมศหลายคนหรือไง”
   
        “กวนประสาท”
   
        “ก็มันน่าไหมล่ะ”
   
       คนอายุมากกว่าส่ายหัว ยอมใจกับความช่างเถียงของไอ้เด็กแสบตรงหน้า ราเมศคีบเต้าหู้ปลาใส่ถ้วยอีกฝ่าย ปานตะวันน่าจะชอบเพราะเขาเห็นชายหนุ่มตัวเล็กเลือกกินเต้าหู้ปลาเป็นอันดับแรกๆ เสมอ แถมกินเยอะกว่าอาหารอย่างอื่นที่เขาตักให้ด้วย
   
       “เอาวุ้นเส้นอีกไหม”
   
        “พอแล้วครับ ขอบคุณ แล้วก็พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย”
   
        “คำถาม อ๋อ ที่ว่าชอบกินอะไรน่ะนะ ก็กินได้หมดแหละ”
   
       “ไม่มีของที่ชอบเหรอ อย่างอื่นก็ได้ ขนม อาหารอย่างอื่น”
   
        ดวงตากลมแป๋วมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ ปานตะวันเป็นแบบนี้เสมอ หากเจ้าตัวสงสัยหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างก็จะมีท่าทีเอาจริงเอาจัง นัยน์ตาสีน้ำตาลจะเป็นประกายขึ้นมาทันที
   
        ราเมศยกตะเกียบแตะริมฝีปาก เขาไม่มีของกินที่ชอบเป็นพิเศษ เป็นพวกกินง่ายอยู่ง่าย อะไรที่รสชาติไม่แย่ไปนักก็กินได้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากพูดถึงของที่ได้กินบ่อยกว่าอย่างอื่นล่ะก็...
   
       “ขนมไทย...ล่ะมั้ง”
   
       “ขนมไทย?”
   
        “อื้ม พวกขนมชั้น บัวลอย วุ้น ลูกชิด สาคูอะไรพวกนี้”
   
       “เห...”
   
        เห็นหน้าดุๆ ไม่คิดว่าจะกินอะไรติดหวานด้วย เป็นเรื่องใหม่ที่ได้รู้เลยนะเนี่ย และเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความคิดเขาราเมศเลยพูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษแต่ก็ชอบน่ะ เมื่อก่อนจันทร์ทำมาให้กินบ่อยๆ”
   
        “อ๋อ จริงด้วย พี่จันทร์ทำขนมอร่อย” สมัยเด็กๆ พี่กับพ่อมักจะช่วยกันทำขนมโดยมีเขาเป็นคนลองชิม พี่เคยเล่าให้ฟังว่าคุณแม่ของพี่จันทร์มีหนังสือสูตรขนมไทยอยู่เล่มหนึ่ง ทำออกมาตามสูตรอร่อยทุกอย่างแน่นอน ความฝันของพี่จันทร์คืออยากเปิดร้านขนมเหมือนที่คุณแม่ของพี่เคยทำ
   
        “พี่จันทร์เคยเล่าให้ฟังว่าอยากเปิดร้านขนมไทยเป็นของตัวเอง”
   
        “ก็เคยเปิดนะ” ราเมศตอบ ปานตะวันสังเกตว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายอ่อนโยนลงจนเขารู้สึก...วูบโหวง “เมื่อก่อนจันทร์เคยจะปรับปรุงด้านหน้าเรือนไทยเป็นร้านขนมแบบให้คนมานั่งทานได้แต่ทุนไม่พอ เลยทำได้แค่ทำแล้วฝากพี่ไปขาย จันทร์ทำขนมอร่อย ใครๆ ก็ชอบ เขายังเคยบอกเลยว่าถ้าเก็บเงินได้พอเมื่อไหร่จะเปิดร้านขนมให้ได้”
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก ลอบมองดวงหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนลง ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
   
        เขารู้สึกได้...ว่าความรู้สึกของราเมศที่มีให้จันทร์จ้าวมากกว่าที่เจ้าตัวแสดงออกให้คนทั่วไปเห็น
   
        บางที...ราเมศอาจจะ...
   
         “งั้นตะวันจะทำให้บ้าง”
   
         “หือ”
   
         น้ำเสียงของปานตะวันตอนพูดประโยคนั้นแผ่วเบาจนราเมศไม่แน่ใจว่าตนได้ยินถูกต้องหรือไม่ คิ้วเข้มเลิกขึ้น “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
   
         “ตะวันบอกว่าตะวันจะลองทำให้บ้าง”
   
        “ทำขนมไทยเป็นหรือไง”
   
        “ไม่...ไม่เป็น” ปานตะวันกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองราเมศด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง “แต่ก็ฝึกกันได้ไม่ใช่เหรอ”
   
        “บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพี่ทำขนมไทยไม่เป็น” ราเมศถนัดทำแต่อาหารคาวเท่านั้น ถ้าเรื่องของหวานนี่คงสอนให้ไม่ได้
   
        “ตะวันไปเรียนกับคนอื่นก็ได้ ถ้าหาคนสอนไม่ได้ยูทูปกับอินเตอร์เน็ตก็มี”
   
        “โอเคๆ  อยากทำก็ฝึก พี่ไม่ได้ว่า แล้วจะทำหน้าเครียดทำไมเนี่ย”
   
        พอถูกทักคนตัวเล็กก็สะดุ้งเฮือก เบือนหน้าหนีทันที เขาไม่รู้สักนิดว่าเผลอขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งออกไป  ตอนนั้นเองที่เสียงเล็กๆ ของเจียหลินดังขึ้นพร้อมกับร่างนุ่มนิ่มปีนมานั่งบนตัก
   
        “เจียหลินกินด้วย นะๆๆๆ น้าตะวัน หนูเจียชอบบัวลอยยย”
   
        “โอ้โห อย่างนี้นายคงต้องไปหัดเรียนแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ จะได้ทำบัวลอยให้พี่กับหนูเจียกิน”
   
       “อื้ม...นั่นสินะ”
   
         ปานตะวันกอดเจียหลินไว้
   
         ไม่รู้ทำไมเมื่อครู่...ในใจมันถึงเกิดความรู้สึกอยากจะเอาชนะขึ้นมา รู้ดีว่าไม่ควรคิดแบบนี้ รู้ดีว่าเป็นสิ่งผิด แต่พอเห็นราเมศชมพี่สาวของเขาว่าทำขนมอร่อย ปานตะวันก็อยาก ‘ทำให้อร่อยกว่า’ เพื่อที่ว่า...ราเมศจะได้ชมเขาบ้าง
   
        จะมีสีหน้าอ่อนโยนให้เขา...เหมือนที่มีให้พี่จันทร์บ้าง
   
        ความรู้สึกในตอนนี้...อยากเอาชนะตัวตนของพี่ในใจของราเมศให้ได้...ความคิดแบบนี้ไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริงๆ
   
        “เอ้า ทำหน้ายุ่งอีกแล้ว” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นก่อนที่ปลายนิ้วจะนวดเบาๆ ให้ตรงหว่างคิ้ว ปานตะวันหันไปสบตาอีกฝ่าย รอยยิ้มใจดีที่พักนี้เห็นบ่อยขึ้นถูกส่งมาให้ “อย่าทำหน้ายุ่งสิ”
   
        มันเพราะใครกันล่ะ!
   
        “ตะวันอิ่มแล้ว” เมื่อทนไม่ไหวชายหนุ่มก็พูดออกมา ตัดสินใจรวบช้อนแล้วยกชามไปเก็บ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าเงินขึ้นมา พอเห็นราเมศก็ร้องถาม “จะออกไปไหนน่ะ”
   
        “เซเว่น เอาอะไรไหม”
   
        “ไม่ล่ะ...เดินดีๆ นะ รีบกลับอย่าเถลไถลล่ะ”
   
        “คร้าบพ่อ”
   
       ปานตะวันขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่เซเว่นใกล้บ้าน ชายหนุ่มหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋องแล้วเดินไปจ่ายเงิน ตั้งแต่มาอยู่กับเจียหลินเขาก็ไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังไม่อยากให้หลานเห็น แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากดื่ม แน่ล่ะว่าเบียร์สองกระป๋องไม่ทำให้เมา...แต่ก็ช่วยให้หยุดฟุ้งซ่านได้
   
        เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่เมศกับพี่จันทร์เป็นแบบไหน ทำไมอีกฝ่ายถึงดูใส่ใจเจียหลินมากเกินฐานะเพื่อนบ้าน จะว่าเป็นเพราะเป็นเพื่อนพี่จันทร์...ก็ยังดูทะแม่งๆ
   
        สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสองคนนี้มีอะไรมากกว่านั้น
   
       ถ้าหาก...ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วราเมศเป็นพ่อที่แท้จริงของเจียหลินล่ะ จะว่าไปเขาไม่เคยเห็นหน้าพ่อแท้ๆ ของหนูเจียมาก่อน ญาติฝ่ายพ่อก็ไม่เคยมาดูหน้าหลาน  ถ้าเกิดว่าที่จริงแล้วราเมศเป็นพ่อเจียหลินแต่โกหกเขาว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านล่ะ
   
       “แต่ว่าทำไมถึงจะต้องโกหกด้วยนะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว เผลอพึมพำออกมาจนพนักงานที่กำลังคิดเงินมองเขาตาปริบ ปานตะวันยิ้มเจื่อน รีบส่งเงินให้แล้วคว้าถุงใส่เบียร์ออกมา
   
       เขาฟุ้งซ่านไปจริงๆ นั่นแหละ
   
       เห็นทีวันนี้คงต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักหน่อยแล้ว
   
        พอกลับมาถึงบ้านปานตะวันก็เอาเบียร์ไปแอบไว้ในตู้เย็น ราเมศเก็บล้างจานชามอยู่เขาเลยพาหนูเจียไปอาบน้ำแล้วส่งเข้านอน วันนี้เด็กชายนอนเร็วเพราะไม่มีการบ้าน หลังเจียหลินหลับปานตะวันจึงแอบย่องออกมา เดินไปหยิบเบียร์สองกระป๋องออกจากตู้เย็นแล้วย้ายตัวเองไปนั่งตรงชานบ้าน
   
       คืนนี้พระจันทร์สวย ดวงกลมโตสว่างอยู่กลางฟ้า
   
       สวย...เหมือนพี่จันทร์ของเขา
   
       ป๊อก
   
       เบียร์กระป๋องแรกถูกเปิดออก ชายหนุ่มผมน้ำตาลนั่งเหม่อลอย
   
       พักนี้เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เหมือนว่าจะเขินง่าย แก้มแดงง่าย หัวใจก็เต้นถี่บ่อยเกินไป ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
   
       ไอ้อาการใจเต้นแล้วก็หวั่นไหวกับผู้ชายแบบนี้
   
        เขาเคยคิดว่าตัวเองชอบราเมศ ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวตอนที่ป่วยแล้วอีกคนเป็นฝ่ายมาดูแล...แต่พอฟื้นไข้ก็คิดไปว่าคงเป็นเพราะป่วยอารมณ์เลยฟุ้งซ่านแล้วก็อ่อนไหวง่ายกว่าปกติ แต่ตอนนี้คงพูดแบบนั้นไม่ได้แล้ว
   
        เขาเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมาโดยตลอด ชอบก็ยอมรับว่าชอบ เกลียดก็ยอมรับว่าเกลียด
   
        ถ้าทบทวนความรู้สึกดู...กับราเมศ...จะใช่ชอบหรือเปล่านะ?
   
        ราเมศผู้ชายที่ตอนแรกเจอกันโคตรไม่ชอบหน้า ชอบมองเขาด้วยสายตาดูถูกแถมยังปรามาสว่าเขาดูแลเจียหลินไม่ได้ ตอนนั้นคิดไว้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ต้องปากร้ายและหยิ่งรวมถึงหลงตัวเองขั้นโคม่าแน่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับไม่ใช่เลย พอเขาเริ่มเปิดใจ พอราเมศเริ่มเปิดใจถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายใจดี ช่างตามใจ และเป็นที่ปรึกษาที่ดี
   
        เป็นคนไม่ค่อยยิ้มแต่พอได้ยิ้มก็ทำเอารู้สึกว่าอยากมองไปนานๆ
   
        เป็นคนไม่ค่อยพูดแต่พอพูดก็ทำให้รู้สึกอบอุ่น(และอยากต่อยหน้าบ้างบางครั้ง)
   
        เป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ พึ่งพาได้
   
        เป็นคนแรกที่ลูบหัวเขา เป็นคนแรกที่ชมและบอกว่าปานตะวันเองก็เป็นคุณน้าที่ดีได้ เป็นคนแรกที่บอกว่าเขาเก่ง เป็นคนแรกที่ดูแล เอาใจใส่ ห่วงใย
   
        รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปอยู่ใกล้ๆ ชอบไปให้ดุ ให้บ่น ชอบให้อีกคนยิ้มให้เยอะๆ ชอบให้สอน ชอบให้ชม
   
        ชอบ
   
        ชอบ
   
        “ชอบ”
   
         วินาทีที่คำคำนั้นหลุดรอดริมฝีปากปานตะวันก็ยกมือตะครุบปากตัวเองทันที สองแก้มร้อนผ่าว ไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ หัวใจเองก็เต้นถี่ราวกับรัวกลอง
   
         “ชอบ...ชอบงั้นเหรอ”
   
        “ชอบใครเหรอ?”
   
        “เฮ้ย!!!”
   
        เสียงทุ้มที่ดังข้างตัวทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือก ปานตะวันตกใจประหนึ่งเห็นผี รีบถอยหลังไปหลายก้าว  ราเมศมองกิริยานั้นด้วยสายตากึ่งขบขันกึ่งแปลกใจ
   
        “ขวัญอ่อนจริงนะ”
   
       “แล้ว..แล้วใครใช้ให้เดินเข้ามาเงียบๆ เล่า”
   
       ได้ยินไปมากแค่ไหนก็ไม่รู้! ดีนะไม่ได้หลุดออกมาว่าชอบใคร
   
         “แล้วเมื่อกี้พูดว่าชอบ ชอบใครเหรอ”
   
         คนถูกถามสะดุ้งเฮือก ปานตะวันจะรู้ไหมหนอว่าตอนนี้หน้าตัวเองแดงก่ำไม่ต่างจากตำลึกสุกเลยสักนิด
   
         “ชอบอะไร...บ้า!”
   
         “อ้าว ก็นายเป็นคนพูดว่าชอบ”
   
        “เฮ้ย ละเมอ หูฝาด หูแว่วแล้ว ใครพูด ไม่มี”
   
         “อ้าวเหรอ สงสัยจะหูฝาดจริงๆ”
   
         ราเมศคิดว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดหรอก ได้ยินเต็มสองหูว่าอีกคนพูดว่าชอบ แต่ไม่รู้ว่าชอบใครหรืออะไร พอจะถามก็กลบเกลื่อนเป็นพัลวันแบบนี้แปลว่าไม่อยากให้รู้ เอาเถอะ ไม่อยากให้รู้เขาไม่ถามก็ได้
   
        ปานตะวันขยับกลับมายืนข้างราเมศอีกครั้ง ชายหนุ่มตัวสูงข้างๆ เงยหน้ามองพระจันทร์ ไม่รู้ว่าคิดเหมือนเขาหรือเปล่า
   
        “เบียร์ไหมครับ”
   
        “ขอบใจ”
   
         คนสองคนยืนข้างกันเงียบๆ จมอยู่ในความคิดตัวเอง สุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
   
         “วันนี้หนูเจียดูร่าเริงดีนะ ผมคิดว่าหลานเปลี่ยนไปนิดๆ ล่ะ” เมื่อก่อนก้มหน้า ทำหน้าตาอมทุกข์ แต่ตอนนี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสขึ้นมาก คนเป็นน้าเห็นก็ดีใจ  ราเมศพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ดีแล้วล่ะ จะว่าไปก็ไม่ได้เปลี่ยนหรอก เรียกกลับมาเป็นแบบเดิมดีกว่า เจียหลินน่ะเมื่อก่อนเป็นเด็กดี พูดเก่ง ร่าเริงสดใส แต่พอจันทร์เสียช่วงแรกคงเคว้ง ไม่คุ้นกับญาติ ไม่คุ้นกับนายเลยเงียบ ไม่พูด อมทุกข์ ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”
   
         “แปลว่าหลานเปิดใจให้ผมแล้วสินะ” ไม่รู้ว่าเปิดเยอะแค่ไหน แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี “ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจแฮะ” คนตัวเล็กว่ายิ้มๆ จากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไม่มีบทสนทนาใดขึ้นมาอีกจนกระทั่งปานตะวันทำลายความเงียบขึ้นมาอีกหน
   
         “คืนนี้...พระจันทร์สวยเนอะ”
   
         “อืม สวย”
   
         “ชอบไหม”
   
         “อะไร”
   
         “พระจันทร์”
   
          ใจจริงก็อยากจะถามไปว่า จันทร์จ้าวน่ะ...ชอบไหม แต่ไม่ถามดีกว่า
   
         “ชอบ” เห็นไหม แค่นี้เขารู้สึกแน่นในอกแล้ว หน่วงๆ เหมือนอกจะหักตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ในตอนนั้นเองที่คนข้างกายเขาพูดออกมาว่า “แต่ชอบกลางวันมากกว่ากลางคืน”
   
         “กลางวันไม่เห็นพระจันทร์นะ”
   
        “อืม บางวันไม่เห็นก็ดีเหมือนกัน”
   
         “อ้าว ไหนบอกชอบ”
   
        “ก็บางครั้งพอมองแล้วมันก็เศร้า...หน่วง เลยชอบตอนกลางวันมากกว่า พอมีแสงสว่างแล้วมันก็รู้สึกมีชีวิตชีวาดี”
   
        “ร้อนจะตาย”
   
        ราเมศหัวเราะ โยกหัวปานตะวันเบาๆ คนถูกรังแกแยกเขี้ยวขู่ เหลือบตามองคนข้างกายก็เห็นรอยยิ้มถูกส่งมาให้อีกแล้ว ยิ้มบ่อยกว่าเมื่อตอนพบหน้ากันแรกๆ จริงด้วย พอคิดแบบนั้นหัวใจก็เต้นแรงขึ้น เขาถูกยอมรับแล้วใช่ไหม ได้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมแล้วหรือเปล่านะ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาต้องถาม ใช่...ต้องถามให้รู้เรื่องไปเลย จะได้ตัดใจได้ก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
   
       ก่อนที่ความรู้สึกจะมากขึ้นกว่านี้
   
       “พี่เมศ พี่น่ะ...” ชอบพี่จันทร์หรือเปล่า
   
         “หืม”
   
         “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
   
         คนตัวเล็กเบือนหน้ากลับมา สุดท้ายก็ไม่กล้า
   
        “พี่เมศ”
   
         “อะไร เรียกแล้วก็ไม่พูด”
   
         “สมมติว่าถ้าเราเผลอชอบคนที่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว จะทำยังไงดี”
   
         ราเมศเลิกคิ้ว หรือว่าที่มีท่าทางแปลกๆ แถมยังมานั่งดื่มเบียร์ชมจันทร์อยู่นี่เพราะมีปัญหาหัวใจ? ไม่เคยเห็นเจ้าตัวแสบเป็นแบบนี้เลยแฮะ อยากรู้แล้วสิว่าคนแบบไหนทำให้ปานตะวันชอบได้
   
        “เขามีแฟนแล้วหรือยัง”
   
         “ยัง ก็แค่มีคนที่ชอบ”
   
         ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่จันทร์กับคนตรงหน้าเป็นแบบไหน งั้นเขาจะโมเมไปก่อนแล้วกันว่าราเมศแอบชอบ พอพูดตอบไปแล้วอีกฝ่ายก็เงียบก่อนจะตอบกลับมาว่า “ก็คงจะพยายามเอาชนะคนในใจเขาล่ะมั้ง”
   
         “ต้องพยายามสินะ”
   
         “เออ ไม่พยายามก็ไม่มีวันได้มาหรอก แล้วนี่อะไร มีปัญหาหัวใจเหรอ มาปรึกษาพี่ได้นะ ฮ่าๆ”
   
         “ตัวเองก็โสดแท้ๆ จะเป็นที่ปรึกษาให้ใครเขาได้”
   
         “เห็นอย่างนี้ก็เคยจีบสาวนะ”
   
         ลมหายใจของปานตะวันสะดุด เขารีบเงยหน้ามองร่างสูงทันที “ใครน่ะ”
   
         “ไม่บอกหรอก”
   
         “เฮ้ยยย ได้ไง”
   
         ราเมศหัวเราะลั่น เขากอดคอปานตะวันไว้ ได้กลิ่นแชมพูจากเรือนผมสีน้ำตาลสว่างของอีกฝ่าย “คนบางคนก็ไม่ใช่คนที่จะได้มาง่ายๆ คนในใจเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ”
   
         “ความรักนี่ยากเนอะ”
   
         “อืม แต่ได้มีมันก็ดีนะ...ดีกว่าไม่มีเลย”
   
         “ถึงแม้เราจะเสียใจมากๆ งั้นเหรอ” ถึงจะต้องเจ็บปวดเจียนตาย...ถึงสุดท้ายแล้วรักนั้นก็จะไหม้เป็นเถ้า  แบบนั้น...ก็ยังดีกว่าไม่มีความรักอีกงั้นหรือ
   
        “ใช่ ควรค่า...แก่การได้รักดูสักครั้ง” สายตาแบบนั้นอีกแล้ว สายตาอ่อนโยน อ่อนหวาน แฝงแววเจ็บปวดเจือจางเอาไว้ เขาแน่ใจแล้วว่าพี่เมศรักพี่จันทร์แน่นอน แต่พี่จันทร์รักตอบไหมเขาก็ไม่รู้และคิดว่าถามไปตอนนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ แต่ปานตะวันแน่ใจว่าในแววตาอีกฝ่ายคือความรักที่มีให้พี่สาวเขาไม่ผิดแน่ เพราะแบบนี้เองสินะถึงได้ดูแลเจียหลินอย่างดี เพราะเป็นลูกของคนที่รัก
   
        ปานตะวันหลุบตาลง ซ่อนแววบางอย่างเอาไว้ในดวงตา
   
        “ความรัก...บางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทุ่มเทให้มากขนาดนั้น”
   
        พวกเขาเงียบกันไป ปานตะวันกำกระป๋องเบียร์ในมือแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เห็นดังนั้นราเมศจึงจับมือเขาคลายออก ยึดกระป๋องเบียร์ไป ชายหนุ่มตัวเล็กก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาสับสนวุ่นวายเกินกว่าจะหันไปกวนประสาทอีกฝ่าย
   
        “ง่วงหรือยัง”
   
       “นิดหน่อยครับ”
   
        “งั้นไปอาบน้ำ”
   
        “แล้วพี่ล่ะ กลับไปนอนบ้านเหรอ”
   
        “ก็คงเป็นแบบนั้น”
   
        ปานตะวันพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยรั้ง ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่ใจ เขาแค่ยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณที่มาช่วยดูแลเท่านั้น “ขอบคุณแล้วก็ราตรีสวัสดิ์ครับ”
   
        “อื้อ ฝันดีนะ”
   
        ดวงตากลมวูบไหว ปานตะวันถอยหลังไปช้าๆ แต่พอไปถึงประตูที่กั้นชานเรือนกับตัวบ้านไว้อีกฝ่ายก็หันมาหาเขา พูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า
   
        “ผมจะฝึกทำขนมไทยนะ จะทำให้อร่อยให้ได้” อร่อยกว่าพี่จันทร์ด้วย “ถึงตอนนั้นพี่ต้องกินนะ” แล้วก็ต้องชม ต้องยิ้มให้แบบที่ทำเวลาพูดถึงพี่จันทร์ด้วยนะ
   
        ปานตะวันจะเอาชนะตัวตนของพี่สาวในใจราเมศให้ได้
   
        ถึงความรักบางความรักจะไม่ควรทุ่มเท...แต่หนนี้ปานตะวันคิดว่าเขายินดีเสี่ยงและพร้อมจะทุ่มเทให้มัน
   
        รออยู่ครู่หนึ่งราเมศถึงได้ส่งยิ้มให้ ยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ เป็นรอยยิ้มที่ส่งผลต่อหัวใจอย่างร้ายกาจรวมถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วย “พี่จะรอนะ!”
   
       ปานตะวันกลับเข้าบ้านไปแล้วแต่ราเมศยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายกกระป๋องเบียร์ที่เป็นของปานตะวันขึ้นจรดริมฝีปาก ชะงักไปเมื่อคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่านี่ก็คงไม่ต่างจากจูบทางอ้อม รอยยิ้มหล่อเหลาวาดขึ้นที่ริมฝีปากคู่นั้น ดวงตาคมสีนิลมองดวงจันทร์ที่เปล่งประกายกลางฟ้า
   
        คืนนี้พระจันทร์สวยอย่างที่เด็กคนนั้นพูดไว้ แต่น่าแปลกที่ตอนยืนข้างกันราเมศไม่ได้สนใจพระจันทร์เลยแม้แต่น้อย สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับคนตัวเล็กข้างกาย
   
       “ชอบ...งั้นเหรอ”
   
        ไม่รู้ว่าประโยคนั้นเป็นการทวนประโยคที่ปานตะวันพูดหรือเพื่อ..สื่อบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขากันแน่
   
        “นี่จันทร์จ้าว...ตอนนี้เธอจะยกโทษให้ฉันหรือยังนะ” ชายหนุ่มรำพึงกับใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว “แล้วถ้าฉันขอเป็นคนดูแลลูก...และน้องชายของเธอ เธอจะยอมหรือเปล่านะ”
   
         หัวใจบีบรัดอย่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่หญิงสาวคนนั้นพูดกับเขาก่อจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
   
         “เธอยังเกลียดฉันอยู่หรือเปล่า...แต่รู้ไหม ถึงเธอจะเกลียดฉันฉันก็ไม่เคยเกลียดเธอเลย” ไม่เลยแม้สักนิด “แต่ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย”
   
         ความรู้สึกอีกฝ่ายกำลังแทรกซึมเข้ามาในใจของเขา ทั้งที่รู้ว่าผิด ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่ก็ห้ามไม่ได้
   
         กับปานตะวัน...ห้ามไม่ได้เลย
   
         “ฉันยังรักเธอ” หรือเปล่านะ...สับสนเหลือเกิน ความรู้สึกมากมายตีรวนในอกจนแทบทนไม่ไหว “แต่ฉันไม่อยากรักเธออีกต่อไปแล้ว”
   
         และบางทีอาจไม่ได้รักเธออีกแล้ว
   
         ชายหนุ่มเหยียดยิ้มขมขื่น ตอนนี้ในใจเขาเหมือนมีปมเชือกอยู่หนึ่งปม แก้เท่าไหร่ก็ไม่ได้เสียที และตอนนี้มันก็ทำท่าว่าจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
   
        ราเมศกระดกเบียร์ในกระป๋องที่ถืออยู่รวดเดียวหมด
   
        “ความรักนี่ยากจริงๆ ด้วยนะ”
   
         แถมยังขมฝาดและเชิญชวนให้ลิ้มลอง ทำให้ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ต่างอะไรกับรสสุราเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

**********************************************************

สวัสดีค่าาา เรากลับมาแล้ววว หลังจากหายไปในดงงานและการสอบนานมากกกกก ขออภัยสำหรับความล่าช้านะคะ แง
อาทิตย์หน้าก็คาดว่าจะไม่ได้ลงเพราะติดสอบ O-net (หลั่งน้ำตา) พบกันเสาร์ถัดจากเสาร์หน้าเลยนะคะ ฮือออ
กลับมาที่ตอนนี้ เขียนจบปุ๊บรู้สึกมึนงงตามพี่เมศ 5555 ความรักยากจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะความรักของคนที่ยังสับสนอยู่
มาเอาใจช่วยให้คู่นี้เปิดใจกันสักทีกันดีกว่าค่ะ เย้
ช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้ลงงานทุกสัปดาห์ได้เหมือนเรื่องก่อนๆ เพราะมีหลายอย่างจริงๆ
บางครั้งก็เหนื่อยที่จะเขียนขึ้นมาดื้อๆ ขอโทษด้วยนะคะ แต่เราจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ
ขอฝากปานตะวันไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารนิยายและพูดคุยกับเราได้ทางเพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างปรเมศกับจันทร์เจ้าาา  :katai1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
มันมีเรื่องอะไรกันนะ

หลงรักเรื่องนี้

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านตอนต่อไปคับ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อบอุ่นและน่ารักมากกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
พี่เมศ พี่ทำอะไรให้พี่จันทร์เกลียดกันแน่เนี่ย และพ่อของเจียหลินเป็นใครคงไม่ใช่พี่เมศใช่มั้ย

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
ความรักก็แบบนี้แหละ

เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคน

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๖
หวั่นไหว


        เช้าวันเสาร์เป็นวันที่ปานตะวันชอบมากที่สุดเพราะเขาสามารถนอนตื่นสายได้ หนูเจียไม่ต้องไปโรงเรียนและเขาก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้า สองน้าหลานเลยนอนอืดได้จนสายก่อนจะลุกออกมาทำอาหารเช้าง่ายๆ ทาน เป็นชีวิตวันหยุดแบบเรียบง่าย แต่วันนี้เช้าวันเสาร์แสนสุขของปานตะวันกลับถูกทำลายโดยผู้ชายตัวใหญ่ที่ชื่อราเมศ
   
       พรึ่บ
   
        “เฮ้ย อะไรเนี่ย”
   
       น้ำเสียงแหบหวานโวยวายออกมาเมื่อผ้าห่มผืนนิ่มถูกดึงออกมา ปานตะวันพยายามงัดเปลือกตาเปิด ภาพแรกที่เห็นคือเงาร่างสูงใหญ่จนตกใจแต่เมื่อหายเมาขี้ตาก็พบว่าผู้บุกรุกห้องนอนคือผู้ชายบ้านตรงข้ามนั่นเอง
   
       “มีใครบอกพี่ไหมว่าบุกรุกเข้าห้องคนอื่นมันไม่ดีนะ”
   
       “เคาะห้องแล้วนายไม่เปิด”
   
       “ก็หลับอยู่”
   
        ราเมศมองเด็กหัวฟูตรงหน้าขำๆ แมวตัวใหญ่ตรงหน้าเขาพยายามโกยผ้าห่มที่เขาดึงไปเข้าหาตัวแต่เขาก็ดึงกลับ เจ้าตัวเลยแยกเขี้ยวขู่ฟ่ออย่างหงุดหงิด
   
       ปานตะวันขมวดคิ้วยุ่ง กระชากผ้าห่มคืนมาจนได้ เขาหงุดหงิดจนอยากกระโดดถีบราเมศให้ล้มกันไปข้าง
   
       ทั้งโมโหที่โดนแกล้ง โมโหที่โดนปลุกแต่เช้า และ...โมโหที่พอเขาเห็นหน้าอีกฝ่าย ไอ้หัวใจเจ้ากรรมแม่งก็เต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว!
   
       พอยอมรับกับตัวเองว่า ‘ชอบ’ อาการมันก็แสดงออกมาเกือบตลอดเวลาที่เจอหน้า แบบนี้โดนจับได้แน่ๆ
   
        คนตัวเล็กที่กำลังฟุ้งซ่านก้มหน้าขมวดคิ้วกับเตียง พยายามเอนตัวหนีลงในกองผ้าห่มแต่ก็ถูกหยุดไว้อีกหน คราวนี้ไม่ดึงผ้าห่มออกธรรมดาแต่มือใหญ่กลับดึงปานตะวันลงจากเตียงไปด้วย
   
         “ลุกเร็วไอ้แมวขี้เซา”
   
         “ฮื้อ จะให้ลุกไปไหนเล่า นี่เจ็ดโมงเองนะ”
   
        “ลุก จะพาไปเที่ยว เร็วเข้า หนูเจียอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนะ”
   
         “หือ ไปไหน”
   
         ชายหนุ่มตัวโตอมยิ้มแต่ไม่ตอบ ปานตะวันก็ง่วงเกินกว่าจะโวยวายใส่ เลยตอบกลับไปสั้นๆ ว่า “พี่ไปกับหนูเจียสองคนเหอะ ผมไม่ไหวแล้ว” ขี้เกียจจนลุกไม่ไหวแล้ว...ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่ไว้ใจให้พาเจียหลินไป แต่ถ้าเป็นราเมศก็ไม่มีปัญหา ดูแลเจียหลินได้ดีกว่าเขาอีก
   
         “ไม่ได้ นายต้องไปด้วย”
   
         “ทำไมเล่า!”
   
         “ก็เพราะหนูเจียเขาอยากให้ไปเที่ยวพร้อมกันทั้งครอบครัวไง นี่อุตส่าห์นั่งหาที่เที่ยวทั้งคืนเลยนะ ยังจะมาขี้เกียจอีกเหรอ!”
   
         พอพูดจบทั้งปานตะวันทั้งราเมศก็เงียบไป ก่อนที่คนตัวเล็กจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ปานตะวันลุกออกจากเตียงคว้าผ้าขนหนูแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ก้มหน้าก้มตาเพื่อไม่ให้ราเมศเห็นแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของตัวเอง
   
        ให้ตาย
   
       คำว่า ‘ทั้งครอบครัว’ นี่มันอานุภาพรุนแรงกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย
   
      หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จปานตะวันก็หยิบของจำเป็นใส่กระเป๋า ราเมศบอกว่าจะพาไปทะเล เป็นการไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับเขาจึงไม่ได้พกอะไรไปนอกจากกล้องถ่ายรูป หมวก เสื้อผ้าเผื่อลงเล่นน้ำ และกระเป๋าเงินเท่านั้น ราเมศที่เดินอุ้มหนูเจียมาเมียงมองอยู่นานแล้วก็ถามขึ้นว่า “ไม่เอาโทรศัพท์ไปเหรอ”
   
       ปานตะวันทำท่านึกขึ้นได้ก่อนหันมายิ้มแหยๆ “โทรศัพท์ผมพังน่ะพื่ ยังไม่มีเงินเลยยังไม่ได้ซื้อใหม่”
   
        “ไปทำอะไรมา?”
   
        “ตกน้ำน่ะ”
   
        หรือถ้าจะเล่าตั้งแต่แรกคือเมื่อสองวันก่อนตอนที่ไปรับหนูเจียที่โรงเรียน ปานตะวันหยิบโทรศัพท์ออกมาถือไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็จูงหลานชายไว้ ตอนที่เดินผ่านบ่อปลาของโรงเรียนก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเขา ด้วยความที่ไม่ถือโทรศัพท์ให้ดีทำให้มือถือหล่นลงน้ำไป กว่าปานตะวันจะตั้งสติได้และกว่าลุงภารโรงจะงมโทรศัพท์ขึ้นมาให้ได้ ไอโฟนลูกรักของเขาก็ตายแหงแก๋ไปเรียบร้อยแล้ว
   
        “แม่เด็กเขาก็ว่าจะชดใช้ให้นั่นแหละ แต่เห็นท่าทางเขาแล้วผมก็ไม่อยากเอาอะไรมาก” ผู้หญิงที่เป็นผู้ปกครองเด็กที่ชนอาสาจะซื้อเครื่องใหม่ให้ แต่พอปานตะวันรู้ว่าอีกฝ่ายต้องทำงานหนักแค่ไหนเพื่อส่งลูกชายเรียนเขาก็เลยปฏิเสธไป ไม่ได้ดูถูกว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่มีเงินหรืออะไร แต่เขาไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นอีก แค่นั้นเธอก็ดูเหนื่อยจะแย่แล้ว
   
       “แต่ผมก็สั่งสอนเด็กคนนั้นไปนิดหน่อยนะ แต่เด็กก็ไม่ตั้งใจแล้วก็ขอโทษมาแล้วเลยจบไป”
   
       “ดีแล้ว”
   
       ราเมศอมยิ้ม รู้สึกเอ็นดูปานตะวันมากขึ้นไปอีก ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งรู้ว่าปานตะวันไม่ใช่เด็กไม่ดีเลย  ถึงจะช่างเถียง รั้นไปบ้าง แต่ก็เป็นเด็กที่คิดถึงคนอื่น แล้วก็ใจอ่อนเอามากๆ
   
       น่ารักจริงๆ
   
        “ว่าแต่ไม่มีโทรศัพท์แบบนี้ไม่ลำบากเหรอ”
   
       “หือ ไม่หรอก ปกติไม่ค่อยมีใครโทรหาผมเท่าไหร่”
   
       กับไอ้กันต์เขาก็บอกมันไปทางเฟซบุ๊คเรียบร้อยแล้ว เจอมันเทศน์มายกหนึ่งเรียบร้อย ส่วนแม่...ก็ไม่ได้ติดต่อมาสักพักแล้ว
   
        “ไม่มีเพื่อนไม่มีแฟนโทรหาหรือไง”
   
         พอเจอคำถามนี้คนตัวเล็กที่สาละวนเลือกขนมใส่กระเป๋าก็หยุดชะงัก หันมาแยกเขี้ยวใส่ทันที “เพื่อนมีแต่แฟนไม่มี อย่าตอกย้ำได้ไหมเล่า”
   
        “โอ๋ๆ น่าสงสาร”
   
        “ว่าแต่เขา ตัวเองก็ไม่มีเหมือนกันแหละว้า”
   
        “อืม น่าสงสารเนอะ ปลอบพี่ด้วยสิ”
   
        “ฮะ!?”
   
        ปานตะวันอ้าปากค้าง หันขวับไปมองคนหน้าตายที่เหมือนจะ...เพิ่งหยอดมุกส่งให้เมื่อกี้นี้...หรือเขาหูฝาดวะ!
   
        “อะไรเหรอ” ราเมศอมยิ้ม ลอยหน้าลอยตาถาม มองลูกแมวที่มีสีหน้าแปลกๆ เหมือนจะเขินก็ไม่ใช่ จะ...ตกใจก็ไม่เชิง “เมื่อกี้พี่เมศพูด...”
   
       “หือ พี่พูดอะไรเหรอ”
   
        ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย แก้มแดงแจ๋ อายจนไม่รู้จะทำยังไงเลยเหวี่ยงหมัดชกไหล่อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง ไม่แรงมากแต่ก็เจ็บอยู่เหมือนกัน คนถูกทำร้ายร่างกายร้องโอดโอยขึ้นมาทันที
   
         “สำออย! โดนซะบ้าง อย่ามาแกล้งผมนะ” ว่าจบก็เดินปึงปังออกไปหาหลานชายที่นั่งรออยู่ข้างนอกทันที ทิ้งให้ราเมศยืนยิ้มอยู่คนเดียว ชายหนุ่มลูบไหล่ข้างที่โดนชกเบาๆ เจ็บ...แต่กลับยิ้มไม่หุบ เป็นโรคจิตซะแล้วมั้งเขาน่ะ “เป็นแมวที่น่ารักจริงๆ เลยนะ”
   
          แถมยังทำให้อารมณ์ดีได้ตลอดอีก
   
         แล้วแบบนี้เขาจะ...ห้ามใจตัวเองได้ยังไง
   
         ราเมศอมยิ้ม เดินออกมาก็เห็นสองน้าหลานนั่งเล่นกันอยู่บนโซฟา วันนี้เจียหลินอยู่ในชุดเอี๊ยมยีนกับเสื้อยืดสีขาว แก้มพองๆ ของเด็กน้อยยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตากลมก็เป็นประกายตอนมองคุณน้าตะวันร่อนจรวดกระดาษไปทางนู้นทีทางนี้ที พอเห็นเขาออกมาปานตะวันก็วางจรวดลง ทำท่าจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาแต่ราเมศก็บอกให้เขารออยู่ที่นี่ก่อน
   
         “เดี๋ยวพี่จะกลับเอาของที่บ้านก่อน แป็บเดียว”
   
        ปานตะวันพยักหน้า หันกลับมาสอนเจียหลินพับจรวดกระดาษต่อ รออยู่ไม่นานราเมศก็เดินกลับมาพร้อมโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง ชายหนุ่มยื่นมันให้ปานตะวันที่มีสีหน้างุนงง
   
        “อะไรครับ”
   
       “โทรศัพท์ไง พี่มีสองเครื่อง ให้ยืมก่อน”
   
       “เฮ้ย ได้ไง ไม่เอาอ่ะ รบกวนแย่”
   
       “ไม่ได้บอกจะให้นี่” จริงๆ เอาไปเลยก็ได้ เขาไม่ว่าหรอก แต่ยัดเยียดยังไงเด็กคนนี้ก็คงไม่ยอมรับ ”พี่ให้ยืม ไม่มีโทรศัพท์มันลำบากใช่ไหมล่ะ ยืมพี่ไปก่อน เมมเบอร์เพื่อนกับครอบครัวไว้ก็ได้ นายซื้อเครื่องใหม่เมื่อไหร่ค่อยคืน”
   
       “จะดีเหรอครับ”
   
         “เอาไปเถอะ เวลามีปัญหาตอนไปรับเจียหลินหรืออยากโทรหาพี่จะได้ไม่ลำบาก”
   
         ปานตะวันชะงัก คนตัวเล็กคว้าโทรศัพท์ไป บ่นอุบอิบพอให้เขาได้ยิน “ใครอยากโทรหาพี่กันเล่า”
   
         “นั่นสินะ”
   
         “ประสาท...แต่ก็ขอบคุณครับ”
   
         ราเมศขยี้ผมคนเด็กกว่าเบาๆ จากนั้นก็อุ้มเจียหลินลงจากบ้าน ปานตะวันจึงเก็บของแล้วถือกระเป๋าตามลงไป ตอนที่เดินรั้งอยู่ข้างหลัง...แล้วเห็นระยะห่าง หัวใจที่เต้นแรงค่อยสงบลงบ้าง และมันก็ย้ำเตือนให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วราเมศไม่ได้คิดอะไรกับเขา มันก็แค่การหยอกเล่นเท่านั้น อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเต็มตัว ชอบผู้หญิง...ชอบพี่จันทร์ ที่เล่นกับเขา ที่เอ็นดูเขาก็เพราะเป็นน้องชายของพี่ เป็นน้าของหนูเจียเท่านั้นเอง
   
         ตอนที่อยู่บนรถจู่ๆ ปานตะวันก็เงียบไป ราเมศเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ แล้วก็ขมวดคิ้ว ตอนออกจากบ้านก็ยังดีอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงทำหน้าเครียดเหมือนคิดอะไรไม่ตกอยู่แบบนั้น
   
         คิดอะไรอยู่กันนะ...เดาไม่ออกเลย
   
         และเพราะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศชายหนุ่มจึงหาเรื่องขึ้นมาพูด เป็นเรื่องสถานที่เที่ยวของพวกเขาวันนี้ “วันนี้พี่จะพาไปทะเล นายน่าจะได้รูปสวยๆ เยอะเลย เห็นเอากล้องมาด้วย”
   
         “อ่อ...ครับ”
   
          แล้วก็เงียบกันไปอีกหน ราเมศขมวดคิ้วเล็กน้อย ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากและไม่มีปัญหาอะไรกับการอยู่เงียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ชอบที่ปานตะวันเงียบแบบนี้
   
         เงียบ...เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
   
        “จริงสิ ว่าแต่นายจะไปมหา’ลัย เมื่อไหร่” ทันทีที่ถามออกไปราเมศก็รู้ว่าเขาพลาดแล้ว ดวงตากลมฉายประกายประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ปานตะวันเบือนหน้าออกไปมองนอกกระจกหน้าต่างรถ ตอบออกมาเสียงเบา
   
        “ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกครับ”
   
        “ดร็อปไว้เหรอ”
   
         “...ครับ...”
   
        ราเมศเงียบไป จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาหลายอาทิตย์แล้ว ปานตะวันไม่เคยพูดถึงเรื่องการไปมหา’ลัย เขาเคยจะเสนอหลายหนแล้วว่าเอาเจียหลินมาฝากกับเขาได้ช่วงที่ไปเรียน แต่ปานตะวันไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เหมือนที่ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัว...ว่าทำไมไม่มาหา ไม่เคยเล่าเรื่องเพื่อนคนอื่นนอกจากคนที่ชื่อชนกันต์
   
        เขารู้เรื่องของปานตะวันน้อยมากจริงๆ
   
        และอีกสิ่งที่ทำให้ราเมศกังวลมากก็คือปานตะวันไม่เคยปรึกษาเขาเรื่องอนาคต...ยิ่งเจียหลินโต ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น ปานตะวันไม่เคยพูดว่าจะทำยังไง จะวางแผนอะไรต่อไปในอนาคต ราเมศอยากพูดเรื่องนี้แต่ก็กลัวว่าเด็กคนนั้นจะหาว่าเขาก้าวก่ายมากเกินไป
   
        เอาเป็นว่า...เขาจะค่อยๆ ลองพูดกับปานตะวันก็แล้วกัน
   
        “นี่...”
   
        “ครับ?”
   
        “พูดอะไรบ้างสิ”
   
        “หือ ไม่ชอบอยู่เงียบๆ เหรอครับ เห็นชอบบ่นว่าผมพูดมาก”
   
       “ก็...” ราเมศกำพวงมาลัย จ้องเขม็งไปข้างหน้า ตั้งสมาธิมากกว่าเดิม “ก็...มันไม่ชิน เหมือนนายโกรธอะไรพี่”
   
       “ผมเปล่า”
   
         “งั้น...ก็อย่าเป็นแบบนี้นานนัก...เดี๋ยวจะพาไปเที่ยว ยิ้ม...หน่อยนะ”
   
        ปานตะวันนั่งเงียบ...ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ราเมศคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พูดแล้วจนกระทั่งเสียงของคนตัวเล็กดังขึ้น แผ่วเบา
   
         “ก็ไม่ได้โกรธ...แค่บางเรื่อง...อย่าเล่นมากนัก”
   
         ทั้งลูบหัว ทั้งแกล้งหยอด แบบนั้น...ราเมศไม่คิด แต่เขาคิด...คิดมากด้วย
   
         อย่าเล่นมากนักเลย ไม่อย่างนั้น...เขาจะหวั่นไหวมากไปกว่านี้ แล้วมันจะ...ถอนใจไม่ขึ้นจริงๆ
   
        จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือหัวหิน โชคดีที่ออกแต่เช้าทำให้รถไม่ติดมากนัก หนูเจียตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยว เด็กน้อยในชุดเอี๊ยมยิ้มกว้างไม่หุบ ทำให้คนเป็นน้าเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ปานตะวันหยิบกล้องขึ้นมาเช็ค เขาไม่ได้จับกล้องมาหลายเดือนแล้ว อันที่จริงก็ไม่ได้รักการถ่ายรูปเท่าไหร่ ที่เลือกเรียนเพราะคิดว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ดีและเพราะ...ใครบางคนเคยบอกไว้ว่าเขาถ่ายรูปสวย แต่พอตอนนี้กลายเป็นว่าทำไปแบบขอไปทีทำให้เขาไม่ชำนาญอะไรเลยสักอย่าง
   
         ชีวิต...เหลวแหลกมานานขนาดไหนแล้วนะ
   
         แล้วต่อจากนี้...จะทำให้ดีขึ้นได้ไหม ปานตะวันก็ยังไม่รู้ แต่เขาจะลองดู อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็มีเป้าหมาย มีเจียหลิน มีราเมศ ดังนั้นเขาจะพยายามให้ดีที่สุด
   
         “ถึงแล้วล่ะ”
   
         เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว ราเมศเอี้ยวตัวไปหยิบหมวกสานสีน้ำตาลที่มีเขากวางส่งให้หนูเจีย ก่อนจะหยิบหมวกสีดำส่งให้ปานตะวัน “ใส่สิ สายๆ แดดน่าจะร้อน”
   
       “ที่นี่ที่ไหนครับ”
   
       “เพลินวานน่ะ”
   
         ปานตะวันลงจากรถ ราเมศเป็นคนอุ้มเจียหลิน พวกเขาเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นเข้าไปในเพลินวาน  ปานตะวันเคยมาที่นี่มาก่อนแต่เคยเห็นรูป เห็นว่าเป็นสถานที่จำลองตลาดโบราณสมัยก่อน ทั้งอาคาร ขนม ร้านรวงต่างๆ ทำให้คนที่มาได้เหมือนย้อนกลับไปอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์แบบคลาสสิก
   
       บรรยากาศคึกคักและกลิ่นอายของสถานที่ท่องเที่ยวทำให้ปานตะวันเริ่มรู้สึกสดชื่น ชายหนุ่มถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหนูเจียกับราเมศ หนูเจียที่เพิ่งเคยมาที่นี่ตื่นเต้นกับทุกอย่างรอบตัว ร้องจะกินขนมจนคุณน้าเมศต้องปรามว่าให้เลือกอันที่อยากกินจริงๆ เท่านั้น ซื้อให้หมดไม่ได้ สุดท้ายเด็กน้อยก็ได้ไอติมหลอดกับขนมถ้วยมา
   
       “เอ้า กินสิ” ไอติมหลอดสีแดงสวยถูกยื่นมาให้ ปานตะวันขอบคุณ รับเอาถุงปลาสติกใสที่ใส่ไอติมไว้มาถือ พอสายหน่อยแดดก็เริ่มร้อน ได้ไอติมเย็นๆ มากินก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน
   
       “ร้อนเหรอ แก้มแดงหมดแล้ว”
   
       “นิดหน่อยครับ”
   
        “หาร้านนั่งไหมล่ะ”
   
       “ไม่เอาล่ะครับ คนเยอะแล้ว ถ่ายรูปเสร็จแล้วออกเลยก็ได้ครับ”
   
       “เอางั้นก็ได้”
   
       หือ แปลกจัง วันนี้ตามใจเขาด้วยแฮะ
   
        ปานตะวันเอียงคอ ริมฝีปากเล็กงับเอาไอติมเข้าไปเต็มคำจนปากและลิ้นกลายเป็นสีแดง รีบกินเอาๆ จนน่ากลัวว่าจะติดคอ
   
        ราเมศเหลือบตามองอีกฝ่าย ปานตะวันจะรู้ไหมนะว่าตัวเองดูดีเอาและ...น่ารักเอามากq
   
         “มองทำไมครับ” เสียงใสที่เอ่ยทักทำให้คนแอบมองสะดุ้ง เห็นเด็กตัวเล็กยักคิ้ว ยกยิ้มกวนมาให้ ยิ้มแบบนี้แปลว่าอารมณ์ดีแล้ว ดีจริง
   
         “เปล่านี่”
   
        “อยากกินเหรอครับ เหลืออยู่แท่งนึงพอดี เอาไปสิครับ”
   
        ปานตะวันหยิบไอติมหลอดสีเขียวส่งให้อีกฝ่าย ราเมศยักไหล่ เขาไม่ได้อยากกินไอติม ที่ซื้อมาก็ให้เจ้าลูกแมวสองตัวนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายใจดีป้อนให้เขายอมกินก็ได้ คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็โน้มใบหน้าลงมากัดเอาไอติมไปคำโต
   
        ปานตะวันมือสั่นน้อยๆ การตอบรับของราเมศมีพลังอานุภาพทำลายล้างแรงพอๆ กับไอ้คำว่าไปเที่ยวทั้งครอบครัวเมื่อเช้าไม่มีผิด เขายื่นให้ทำไมไม่รับไปกินดีๆ เล่า ก้มลงมาแบบนี้...หัวใจจะวาย
   
        “โทษที พอดีอุ้มหนูเจียอยู่ มือพี่ไม่ว่าง”
   
       “อ...เอ้อ..พี่ให้ผมอุ้มหนูเจียบ้างก็ได้ จะได้กินสะดวก”
   
         “ไม่เป็นไรหรอก” ราเมศหันมามอง ยิ้มมุมปากนิดๆ แต่ก็มากพอจะทำให้คนมองเขินจนหลบตาแทบไม่ทัน แถมไอ้ประโยคต่อมาก็ยิ่งทำให้ปานตะวันหน้าร้อนมากกว่าเดิมหลายเท่า “มีคนป้อนแบบนี้ก็สะดวกดี”
   
        สะดวกพี่คนเดียวนะสิ ฮึ่ย บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าหยอดมาก มันไม่ดีกับใจเขา!
   
         ด้วยความเขินปนหงุดหงิดกับอาการคันยุบยิบในหัวใจ ปานตะวันจึงงับไอติมหลอดสีเขียวของราเมศไปจนหมด เย็นจี๊ดจนขึ้นสมองแต่ก็กัดฟันกลืนลงไป แถมยังเหวี่ยงค้อนวงโตใส่ผู้ชายผิวแทนข้างๆ ได้อย่างงดงาม
   
        “ไม่ต้องกินแล้ว!”
   
        “อ้าว อะไรของนายเนี่ย”
   
        “ผมหงุดหงิด ผมหมั่นไส้ ไม่ต้องกิน!”
   
        “ไอ้แมวตะวัน เดี๋ยวเหอะ!”
   
       ปานตะวันหัวเราะร่า แลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝ่ายเหมือนเด็กๆ แต่แทนที่จะโกรธราเมศกลับรู้สึกว่าแบบนี้ดีแล้ว อย่างน้อย...ก็ไม่มีแววอ้างว้างสับสนเหลืออยู่ในดวงตาคู่นั้นแล้ว
   
        หลังเดินเที่ยวจนเหนื่อยพวกเขาก็มาถ่ายรูปกันสามคนที่ป้ายทางเข้าโดยขอให้นักท่องเที่ยวคนหนึ่งช่วยถ่ายให้ หนูเจียกระโดดกระเด้งไปมาไม่หยุดจนปานตะวันต้องบอกให้อยู่นิ่งๆ น้าชายคนเก่งคอยจัดท่าโพสต์น่ารักๆ ให้หลาน หลังถ่ายไปประมาณห้าหกรูปพวกเขาก็กลับไปขึ้นรถ
   
        บรรยากาศหนนี้ดีกว่าตอนออกจากบ้านเรือนไทยมาก ภายในรถมีเสียงร้องเพลงของปานตะวันกับหนูเจียประสานกันเจื้อยแจ้ว แถมคนตัวเล็กที่อารมณ์ดีก็ยังพูดๆๆไม่หยุด ราเมศเองก็ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายหยุด เขาทำแค่ส่งน้ำให้ปานตะวันที่ท่าทางจะคอแห้งเป็นระยะเท่านั้น
   
       ใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงชายหาด ปานตะวันลดกระจกลง ทำให้กลิ่นอายของทะเลพัดเข้ามาในรถ ผืนน้ำสีฟ้าครามเป็นประกายล้อแสงแดดแผ่กว้างอยู่ใต้ฟ้าคราม
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ หนูเจียอยากเล่นน้ำ”
   
       “ครับผม แต่ตอนนี้ยังลงไม่ได้นะ แดดยังแรงอยู่ ไว้ตอนเย็นๆ ค่อยลงนะครับ”
   
       “เอ๋ ทำไมลงตอนนี้ไม่ได้ล่ะครับ”
   
        “เพราะหนูเจียจะตัวดำไงครับ ดำเหมือนน้าเมศ ฮ่าๆ”
   
        “น้าเมศหล่อ หนูเจียอยากเหมือนน้าเมศครับ!”
   
         ปานตะวันทำปากคว่ำใส่ผู้ชายหล่อที่ยังอุตส่าห์หันมายักคิ้วให้ เออ ได้ใจไปเหอะ อย่าให้ถึงทีเขาบ้างก็แล้วกัน ฮึ!
   
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลหันไปมองหลานชายที่เกาะกระจกมองทะเลด้วยดวงตาเป็นประกาย เส้นผมนุ่มนิ่มยาวเคลียต้นคอแล้ว แก้มขาวของหนูเจียแต้มสีชมพูด้วยความตื่นเต้น
   
        “หนูเจีย แล้วน้าตะวันหล่อไหมครับ”
   
       เจียหลินละสายตาจากทะเลมามองเขา ตัวเล็กเอียงคอน้อยๆ ครุ่นคิดอยู่นานก่อนตอบว่า “อืม...ก็หล่อนะครับ” แต่ทำไมน้ำเสียงคุณหลานดูไม่มั่นใจเลยล่ะครับ น้าตะวันเสียใจนะเฮ้ย
   
       “น้าตะวันน่ารัก...น้าเมศชมน้าตะวันให้หนูเจียฟังบ่อยๆ ว่าน่ารัก หนูเจียก็ว่าน่ารักครับ”
   
       พอฟังจบคนน่ารักก็หันขวับไปมองสารถีที่ดูตั้งอกตั้งใจกับการขับรถมากกว่าปกติ ถามออกไปด้วยน้ำเสียงคาดคั้นเล็กๆ “จริงเหรอพี่เมศ”
   
       “อะไรจริง?”

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “ที่ว่าตะวันน่ารัก”
   
        เงียบ ไม่ตอบ คืออะไรฮะ
   
        “นี่...จริงเหรอ ที่บอกว่าน่ารัก”
   
       “ไม่ชอบหรือไง”
   
       “ก็แค่อยากรู้” ไม่ใช่ว่าไม่ชอบสักหน่อย แค่อยากได้ยินอีกคนพูดกับหูเท่านั้นเอง “จริงหรือเปล่าพี่เมศ” 
   
         ราเมศเม้มปาก ถ้าปานตะวันสังเกตดีๆ จะเห็นใบหูของร่างสูงเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย แต่เพราะเอาแต่จ้องเขม็งไปที่ริมฝีปากคู่นั้นทำให้ปานตะวันไม่ทันสังเกต ราเมศเลียริมฝีปาก ทำท่าคิดอยู่นานถึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
   
        “อืม น่ารัก”
   
        ก็...ก็แค่นี้!
   
        บ้าเอ้ย เขาดีใจมากๆ เลย...ทั้งที่ไม่ชอบถูกชมว่าน่ารักแท้ๆ แต่พอเป็นราเมศเหมือนมันจะกลายเป็นข้อยกเว้นขึ้นมา คนถูกชมกระแอมเล็กน้อย หันกลับไปนั่งตัวตรง ทำทีเป็นมองฟ้ามองทะเลไป
   
        หนูเจียมองคนนั้นทีมองคนนี้ที น้าเมศหน้าแดง น้าตะวันก็หน้าแดง...ดูชอบใจที่โดนชมว่าน่ารัก งั้น... “น้าตะวัน น่ารักมากกก น่ารักๆๆๆ” หนูเจียก็จะชมน้าตะวันน่ารักเยอะๆ เลย!
   
        “น้าตะวันน่ารัก หนูเจียรักน้าตะวันมากๆ เลย” ไม่ว่าเปล่าเด็กตัวกลมยังยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาด้วย ปานตะวันยิ้มจนตาหยี หันไปหาหลานชายสุดที่รักของตัวเอง “อื้ม น้าตะวันก็รักหนูเจียเหมือนกัน”
   
         เมื่อหาที่จอดรถได้พวกเขาก็หยิบเสื่อกับตะกร้าปิกนิกและกล่องใส่อาหารลงจากหลังรถ ราเมศไปขอเช่าร่มชายหาดคันใหญ่ เมื่อได้ที่นั่งก็พากันเอาเสื่อไปปู ปานตะวันบอกให้หนูเจียทานข้าวให้เรียบร้อยก่อน อาหารที่ราเมศเตรียมมาเป็นไก่ทอดกับข้าวปั้นหลากหลายไส้ หลังทานอิ่มและเก็บกวาดเรียบร้อยปานตะวันก็ส่งกระป๋องใส่อุปกรณ์ตักทรายให้หนูเจีย วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าเปิด สวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้หลายๆ รูป
   
        “น่าลงไปเล่นน้ำเนอะ”
   
        “ก็ลงไปสิ พาหลานไป เดี๋ยวพี่เฝ้าของให้”
   
        “ฮื้อ ไม่เอา ลงไปผมก็ดำดิ”
   
        “ลงไปโดนแดดบ้างเถอะครับคุณชาย ขาวจนจะเรืองแสงแล้ว”
   
        ปานตะวันหันไปย่นจมูกใส่อีกฝ่ายแล้วก็ถูกบีบจมูกกลับมา “นั่นก็เว่อร์ไป”  พวกเขานั่งกันอยู่เงียบๆ สักพักปานตะวันก็ย้ายไปช่วยหลานชายก่อปราสาททราย หนูเจียร้องจะลงไปเดินเล่นที่ชายหาดปานตะวันจึงจูงมือเด็กน้อยไป เขาเตือนหลานชายให้ใส่หมวกและสวมรองเท้าให้เรียบร้อย
   
        เจียหลินมองไปรอบๆ อย่างมีความสุข หัวเราะเวลาที่คลื่นซัดมาโดนเท้า เห็นเด็กน้อยยิ้มมากขึ้นปานตะวันก็รู้สึกดี เขารักรอยยิ้มของเด็กคนนี้ รักเสียงหัวเราะของเด็กคนนี้ อยากรักษาให้อยู่แบบนี้ตลอดไป
   
        “น้าตะวัน” แรงกระตุกตรงชายเสื้อทำให้ปานตะวันหลุดจากความคิดของตัวเอง ชายหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้าหลานชาย ส่งยิ้มให้ “ว่าไงครับหนูเจีย”
   
        เจียหลินแปะมือลงบนแก้มของปานตะวัน ยิ้มน่ารักให้ “น้าตะวันยิ้มสวย หนูเจียชอบ น้าเมศก็ชอบ น้าตะวันยิ้มเยอะๆ น้า” ว่าจบก็ดึงแก้มเขาเบาๆ ท่าทางกับคำพูดน่ารักมากจนคนเป็นน้าตาเป็นประกาย ปานตะวันสูดจมูก รวบตัวหลานชายขึ้นมากอดแน่น หอมแก้มซ้ายแก้มขวาจนเด็กน้อยหัวเราะคิกคัก
   
        แชะ
   
        เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองก็พบราเมศเดินเข้ามา อีกฝ่ายสะพายกล้องและกระเป๋ากล้องไว้ด้วย พอเห็นเขากับหลานหันไปมองก็ยกกล้องขึ้นถ่ายอีกรอบ
   
        “เอ้า หันมาเร็วเจ้าลูกแมว ยิ้มสิ”
   
        “ชีสสส”
   
        ราเมศหัวเราะ เขาเห็นสองน้าหลานเล่นกันงุ้งงิ้งตั้งนานแล้วล่ะ คิดว่าน่ารักดีเลยหยิบกล้องมาด้วย ถือเป็นรูปคู่รูปแรกของปานตะวันกับเจียหลินเลยก็ได้มั้ง น่ารักจริงๆ ดวงตาคมสีนิลมองรูปภาพที่คนสองคนในภาพหันมายิ้มจนตาหยีให้กล้อง ปานตะวันกับเจียหลินยิ้มคล้ายกัน ต่างกันที่เจ้าตัวแสบใหญ่จะยิ้มเห็นเขี้ยว ดูซุกซน  แต่ตัวแสบเล็กจะมีลักยิ้มดูน่ารักน่าหยิก
   
       “โอ๊ะ ถ่ายรูปสวยนี่ครับ”
   
        ปานตะวันชะโงกหน้าเข้ามาดู หนูเจียที่กระโดดดึ๋งๆ อยู่ข้างล่างก็ร้องจะดูด้วยคนเป็นน้าเลยอุ้มตัวเล็กขึ้นมา พอเจ้าหนูเห็นรูปก็ยกสองมือกุมแก้มแล้วหัวเราะออกมา
   
        “เอ้อ พี่ลุกมาแบบนี้แล้วของล่ะครับ”
   
        “เอาไปเก็บหลังรถแล้วล่ะ เหลือแต่เสื่อกับกระป๋องทรายหนูเจีย นายจะลงเล่นน้ำเลยไหม”
   
        “ยังล่ะครับ ร้อนอยู่เลย” ปานตะวันหยีตา “เอากล้องไปเก็บแล้วมาเล่นกันเถอะครับ”
   
         “ไม่กลัวดำหรือไง ไม่ลงน้ำแต่ยืนกลางแดดก็ดำนะบอกไว้ก่อน”
   
         "น่าๆ มาเถอะ”
   
         สุดท้ายราเมศก็ยอมตามใจไอ้ตัวแสบ ชายหนุ่มเอากล้องไปเก็บในรถ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ชายหาด ปานตะวันดึงมือเขาไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวบางตา ยื่นกิ่งไม้ให้ “ช่วยวาดรูปหน่อย”
   
        “เล่นอะไรเนี่ย”
   
        “เหอะน่า ช่วยกันวาดรูปเร็วครับ หนูเจีย วาดเร็วๆ”
   
        ราเมศหัวเราะ มองหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กพยายามวาดรูปให้เสร็จก่อนคลื่นซัดมา แข่งกันร้องโวยวายตอนที่รูปหายไป พอเบื่อวาดรูปปานตะวันก็ร้องจะวิ่งแข่งกับเขา ตอนแรกเขาก็ไม่เล่นแต่พอโดนรบเร้ามากๆ ก็ยอม ปานตะวันให้เจียหลินขี่หลัง วิ่งเร็วจี๋ไปตามชายหาดโดยมีหลานชายหัวเราะร่าอยู่ด้วย
   
       หลังวิ่งจนเหนื่อยก็กลับมานั่งพักใต้ร่มชายหาด ราเมศเดินไปซื้อน้ำมาให้ในขณะที่ปานตะวันนั่งพัดให้หลานชาย เจียหลินที่เล่นซนจนเหนื่อยก็ผล็อยหลับไป พอได้นั่งกันอยู่แค่สองคน ปานตะวันถึงพูดออกมา
   
       “พี่เมศ ขอบคุณครับ”
   
       “หืม เรื่องอะไร”   
   
       “ที่พามาเที่ยว” ดวงตากลมสีนิลใสแจ๋วสบกับดวงตาสีเดียวกันอีกคู่ “วันนี้สนุกมากเลย” ประกายบางอย่างในดวงตาของปานตะวันทำให้ราเมศใจกระตุก เขาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก นานๆ มาทีก็ดีเหมือนกัน หนูเจียก็ดูชอบมาก”
   
        “อื้ม นั่นสินะ” ดวงตาอ่อนโยนของปานตะวันทอดมองหลานชายที่นอนหนุนตักอยู่ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่แววตาคู่นั้นกลับมาแฝงแววเศร้าสร้อยจางๆ อีกแล้ว
   
        “นายเองก็ดูสนุกมาก ดีใจนะที่วันนี้เห็นยิ้มเยอะขนาดนี้”
   
       “อื้อ ขอบคุณครับ”
   
       เด็กขี้เขินก้มหน้าหนีเขา แต่ราเมศก็เห็นแก้มกับหูแดงๆ ของอีกฝ่ายอยู่ดี “อยากฟังเพลงไหม” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามออกไป ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมฉายประกายสงสัย
   
        “พี่ร้องเพลงได้เหรอ ไม่เพี้ยนแน่นะ”
   
        “ดูถูก”
   
        ราเมศดีดเหม่งไอ้เด็กแสบของเขาไปหนึ่งที “รอตรงนี้ เดี๋ยวกลับมา” เขาว่า เดินกลับไปที่รถเพื่อหยิบกีต้าร์โปร่งที่อุตส่าห์แบกมาด้วยออกมา พอปานตะวันเห็นกีต้าร์ก็แกล้งผิวปากแซว “อุปกรณ์ครบ แบบนี้ร้องเพี้ยนขายหน้าตายเลยนา”
   
        “พูดมาก”
   
        เขาว่าขำๆ ไม่ได้จริงจัง เจ้าเด็กนั่นทำปากคว่ำอีกหน บ่นอุบอิบว่าตอนเช้ายังบอกให้พูดเยอะๆ อยู่เลย ราเมศไม่ได้พูดอะไรเพราะกำลังเปิดหาคอร์ดเพลงอยู่ เมื่อได้เพลงที่ต้องการแล้วเขาก็เริ่มร้อง
   
        รู้ก็ทั้งรู้ว่าเธอเป็นใคร
   
        และฉันก็ไม่คิดจะปีนขึ้นไป
   
        คงไม่มีทางจะเป็นไปได้
   
        ก็เรานั้นมันต่างกัน
   
         
        พอได้ยินเพลงปานตะวันก็หันมามองเขาตาโต ริมฝีปากเล็กๆ ช่างเถียงเม้มหากันแน่น เจ้าตัวสะบัดหน้าไปทางอื่น ทำเป็นมองลมมองฟ้ามองทะเล แต่ราเมศรู้ว่าอีกฝ่ายฟังอยู่
   
         เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงเลือกเพลง ‘หวั่นไหว’ ขึ้นมาร้อง บางทีอาจจะเป็นเพราะมันตรงกับความรู้สึกเขาตอนนี้ก็ได้มั้ง ความรู้สึกที่เขาเลี่ยงจะยอมรับและเลี่ยงจะคิดถึงมาตลอด
   
         แต่ฉันก็ไม่รู้เพราะความบังเอิญ
   
         หรือว่าอันที่จริงฉันนั้นจงใจ
   
          เวลาที่เธอมายืนใกล้ๆ ก็ยังเผลอไปสบตา
   
          รู้ก็ทั้งรู้ว่าคงไม่มีปัญญา
   
          คงไม่มีหวัง
...
   
         มันคือความสับสนในตอนแรก ราเมศไม่เคยแน่ใจเลยว่าสิ่งที่รู้สึกคือความจริงหรือแค่เผลอไป ทำไมต้องเป็นปานตะวัน ทำไมต้องเป็นน้องชายของจันทร์จ้าว...แต่ยิ่งอยู่ใกล้เด็กคนนี้ก็ยิ่งดึงดูดเขา เหมือนดวงอาทิตย์ดึงดูดโลก...ประมาณนั้น  รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ เกือบจะตลอดเวลาแล้ว
   
        ไม่อยากจะเหลียว...มอง
   
        ฉันคอยบอกตัวเอง แต่ยังทำไม่ได้
   
        ไม่อยากจะสน...ใจ ก็รู้ว่าไม่มีทาง
   
         แต่ก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร

   
        เขาไม่เคยรับมือปานตะวันได้เลย...ที่ร้ายกว่าคือไม่เคยรับมือความรู้สึกในใจตัวเองที่เกิดขึ้นทีละน้อยได้เลย กับปานตะวันไม่ใช่รักแรกพบ แต่มันเหมือนกับว่ายิ่งใช้เวลาด้วยกันเด็กคนนั้นก็แทรกเข้ามาในใจเขาช้าๆ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในความคิดของเขาไปแล้ว
   
        แล้วก็ยึดครองทุกอย่าง...จนเขาไม่เหลือพื้นที่ความคิดให้ใครแม้แต่จันทร์จ้าว
   
        อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า
   
        ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมา
   
         ยิ่งหวั่นไหว
   
         ยังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน
   
         ฉันต้องคอยหักห้ามใจ

   
         ใช่ เขาหวั่นไหว มากเสียด้วย ทุกครั้งที่เห็นเด็กคนนั้นยิ้ม...อยากจะทำให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ไปนานๆ เหมือนตอนนี้ ตอนที่เขาร้องเพลงแล้วเด็กคนนั้นก็เผลอยิ้มออกมาทั้งแก้มแดง ปานตะวันไม่รู้หรอกว่าเขา...ใจสั่นมากขนาดไหน
   
        อดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ
   
        เพียงแค่แอบเผลอมองตา จะผิดไหม
   
        เก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืน
   
         ฉันต้องทำ ตัวเช่นไร
   
         ช่วยบอกได้ไหมเธอ
(หวั่นไหว Bodyslam)
   
        เขาแอบหันไปมองปานตะวันแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายก็เหลือบมองเขาอยู่ก่อนแล้ว คนผมน้ำตาลสะดุ้ง รีบหันขวับไปอีกทาง แต่ราเมศยังคงไม่ละสายตา...จนกระทั่งจบเพลง
   
        ตอนที่สบตากัน เขาคิดว่าความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น รุนแรงขึ้น มั่นคงขึ้น
   
        แน่ใจแล้ว...ว่าหวั่นไหว
   
        แน่ใจแล้ว...ว่าคนนี้
   
        แน่ใจแล้ว...ว่าชอบ
   
        เพลงจบลง ราเมศยังคงมองปานตะวันอยู่และเขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัว...เพียงแต่ไม่หันกลับมา  ราเมศไม่ใช่คนช่างพูด ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่นั่งอยู่ข้างกันจนเวลาล่วงไปถึงตอนที่ดวงตะวันคล้อยต่ำลง
   
        หนูเจียตื่นขึ้นมาประมาณห้าโมง เด็กน้อยงอแงอยากจะเล่นน้ำปานตะวันจึงตามใจ เขากับราเมศเก็บของแล้วพาหลานชายไปที่ริมทะเล ราเมศอุ้มเจียหลินให้กระโดดหลบคลื่น ให้ขี่คอแล้วพาว่ายออกไป ปานตะวันยืนอยู่ในน้ำ มองคนทั้งคู่เล่นน้ำกันอยู่ไม่ไกล พอเห็นหน้าราเมศ ความทรงจำเมื่อบ่ายก็วนกลับมา
   
        เพลงหวั่นไหว...เหมือนความรู้สึกของเขา
   
       ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมราเมศเลือกเพลงนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นสายตากับความรู้สึกที่ส่งออกมา แต่ปานตะวันแค่ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากคาดหวังแล้วถูกหลอกให้เจ็บ ไม่เอาอีกแล้ว
   
        “น้าตะวันครับ”
   
        ซ่า
   
        น้ำทะเลถูกสาดเข้าให้เต็มหน้า ปานตะวันที่ยืนเหม่ออยู่ถึงกับสำลัก แสบตาแสบจมูกไปหมด เขายกมือขึ้นเช็ดหน้า ได้ยินเสียงราเมศดุหลายชายอยู่ ตั้งใจจะบอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องดุหลานเสียงเข้มขนาดนั้นก็ได้ แต่ทันทีที่ฝืนลืมตาขึ้นก็เห็นราเมศเดินเข้ามาประชิดตัวแล้ว ชายหนุ่มอุ้มเจียหลินไว้ด้วย ใบหน้าคมคายที่อยู่ในระยะประชิดทำเอาคนตัวเล็กตั้งรับไม่ทัน พอจะถอยหลังหนีราเมศก็รั้งแขนไว้
   
         “อยู่เฉยๆ” ว่าจบฝ่ามือใหญ่ก็ปาดหยดน้ำออกจากใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา “ยังแสบตาอยู่ไหม ขึ้นดีกว่า ไปเอาน้ำเปล่าล้าง” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความห่วงใยจนคนฟังรู้สึกได้
   
        “ผมไม่เป็นไร” ปานตะวันตอบ หันไปส่งยิ้มให้เจียหลินที่ขอบตาแดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้
   
        “น้าตะวัน หนูเจียขอโทษ...ฮึก...หนูเจียไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าตัวเล็กยื่นมือมาเช็ดหน้าให้เขาบ้าง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นใครจะไปโกรธลง ปานตะวันจูบเปลือกตาหลานชายเบาๆ “น้าตะวันรู้ครับว่าหนูเจียไม่ได้ตั้งใจ ไม่เป็นไร น้าตะวันไม่ได้โกรธ แต่หนูเจียต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เล่นแบบนั้นอีก สาดน้ำได้แต่อย่าสาดเข้าหน้านะครับ มันอันตรายนะ”
   
        เจียหลินได้ฟังก็พยักหน้าหงึกหงัก “หนูเจียสัญญา” นิ้วก้อยเล็กยื่นมาตรงหน้าปานตะวัน ชายหนุ่มจึงยื่นนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวด้วย พอเห็นว่าเขาไม่โกรธเจียหลินก็โผมาหาทันที ปานตะวันอ้าแขนรับร่างนุ่มนิ่มไว้อย่างเต็มใจ
   
        “ขึ้นกันเถอะ เย็นแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” ปานตะวันพยักหน้า ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใกล้ชายหาดมีห้องอาบน้ำสาธารณะอยู่  ปานตะวันพาเจียหลินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่อาบน้ำสองน้าหลานหัวเราะกันใหญ่เมื่อเห็นว่าผิวของพวกตนคล้ำแดดลงอย่างเห็นได้ชัด
   
        ปานตะวันเช็คของเป็ฯครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้องน้ำ พอออกมาก็พบว่าราเมศรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจพาคนทั้งคู่ไปหาอะไรทานที่ร้านใกล้ชายหาด หลังกินอิ่มเจียหลินก็หลับคาตักปานตะวันไป
   
        “กลับเลยไหม” ราเมศหันมาถามระหว่างที่รอพนักงานปำเงินทอนมาให้ ปานตะวันละสายตาจากท้องฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูและม่วงตามลำดับ ชายหนุ่มผมน้ำตาลหันกลับมาตอบ “ฟ้าสวย...ยังไม่อยากกลับเลย”
   
        “งั้นอยู่เดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้”
   
        “ได้ครับ”
   
       เมื่อจัดการค่าอาหารเรียบร้อยพวกเขาก็ขับไปที่จุดชมวิว ตรงที่ปานตะวันกับราเมศอยู่ผู้คนค่อนข้างบางตา ชายหนุ่มสองคนยืนข้างกัน มองดวงตะวันจมลงไปใต้ผืนน้ำช้าๆ
   
        “พี่เมศขอบคุณนะ วันนี้ผมกับหลานสนุกมากเลย”
   
        “อื้ม ไว้คราวหลังจะพามาอีก”
   
        ปานตะวันหันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ ชายหนุ่มผิวแทนลูบเส้นผมนุ่มมือสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน
   
       “ไว้มากันอีกนะ”
   
       จบประโยคนั้นปานตะวันก็นิ่งไป ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับแต่กลับขยับตัวถอยห่างจากสัมผัสของเขา ราเมศนิ่งงัน รู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาชักมือกลับ เอ่ยออกมาเบาๆ “ขอโทษ”
   
       “พี่เมศ...ผมว่าผมคงต้องบอกพี่จริงๆ จังๆ แล้วล่ะ ว่าบางเรื่องน่ะ...อย่าทำมากไป”
   
        “เรื่องแบบไหน”
   
        “ก็อย่างลูบหัว หยิกแก้ม หรือ...พูดจาแปลกๆ แบบหยอดมุกเหมือนจีบอะไรงี้”
   
         พูดเองก็เขินเอง ลองราเมศตอบว่าไม่เคยทำมาสิเขาจะสวนให้ แต่ราเมศไม่ได้ปฏิเสธ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว มองเขาด้วยใบหน้านิ่งๆ “ไม่ชอบที่พี่ทำแบบนั้นเหรอ”
   
         ปานตะวันเม้มริมฝีปาก  ไม่ใช่ไม่ชอบแต่...
   
        “พี่อาจจะไม่คิด แต่รู้ไหมว่าทำมากๆ บางทีคนอื่นเขาก็คิด”
   
        “คิดอะไร คิดว่าไม่ชอบ?”
   
       ปานตะวันส่ายหัว ก้มหน้า เห็นว่าราเมศสืบเท้ามาใกล้หนึ่งก้าว เขาเลยถอยหลังไปอีกก้าว  แต่ราเมศก็ยังไม่หยุดเดิน “งั้นคิดอะไร”
   
        “ไม่มีอะไร”
   
        “โกหก”
   
        “ทำไมต้องคาดคั้นด้วยเล่า”
   
         “ก็บอกมาสิ คิดอะไร”
   
        ปานตะวันตวัดตาขึ้นมอง หงุดหงิดที่โดนคาดคั้นจนทนไม่ไหว อยากรู้นักใช่ไหม...ได้ ถ้าอยากรู้เขาก็จะบอก ถ้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็ไม่ใช่ความผิดเขาแล้ว!
   
        “อยากรู้เหรอ ได้ ผมจะบอกให้นะว่าอย่าทำแบบนั้นมาก พี่ไม่คิดอะไรแต่คนอื่นเขา...เขาคิด”
   
        “คิดอะไรล่ะ”
   
        “คิด...ว่าหวั่นไหวเข้าแล้วไงล่ะ”
   
        ดวงตากลมเสหลบไปในที่สุด ไม่กล้ามอง ไม่กล้าพูดอะไรอีก หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด แต่แล้วปานตะวันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อฝ่ามือใหญ่จับใบหน้าเขาให้หันกลับมา นัยน์ตาคมดุตรึงสายตาเขาเอาไว้ ปานตะวันหน้าร้อนผ่าว โดยเฉพาะตอนที่ราเมศโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบชิด...
   
         “แล้วใครบอกนายเหรอปานตะวัน...ว่าฉันไม่คิด”
   
         บทสนทนาของพวกเขาทำท่าจะหายไปพร้อมกับริมฝีปากที่เคลื่อนมาใกล้ แต่ปานตะวันกลับถอยหลังหนีไปอีก ดวงตากลมมีความรู้สึกมากมายวิ่งวนอยู่ ปนเปกันจนแยกแทบไม่ออก ชายหนุ่มตัวเล็กมองราเมศ หัวใจเต้นถี่รัวด้วยความกลัว...และความหวัง
   
        “พี่หวั่นไหวกับผม?”
   
        “ก็...ใช่ เป็นแบบนั้นแหละ”
   
        “ทั้งที่พี่รักพี่จันทร์อยู่แล้วเนี่ยนะ”
   
        “นายรู้ได้ไง”
   
        “ผมเดาได้ ใครมองพี่ก็ดูออกทั้งนั้นแหละ แล้วมาพูดว่าคิด...กับผม จะล้อกันเล่นหรือไง”
   
        น้ำเสียงของปานตะวันสั่นพร่า เหมือนคนจะร้องไห้ “จะเชื่อได้ยังไง” เมื่อก่อน...ใครบางคนก็เคยพูดคำว่าหวั่นไหวนี้กับเขา ทุกวันนี้คำรักของอีกฝ่ายก็ยังติดอยู่ในหัว แต่การกระทำของคนคนนั้นกลับทำให้ปานตะวันไม่อยากจะเชื่อใครอีกเลย...แม้แต่คนที่ตัวเองชอบอย่างราเมศก็ตาม
   
          ความรักที่ทุ่มเทสุดใจ ถ้าไม่ดูให้ดี สุดท้ายก็เหลือแต่ขี้เถ้ารอยไหม้ดำเท่านั้นแหละ
   
          “เรื่องของฉันกับจันทร์มันจบไปแล้ว และมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดด้วย” ราเมศเดินเข้ามาใกล้ ก้าวยาวพอจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนของตนได้ เขากอดปานตะวันอย่างนุ่มนวล พยายามไม่ทำให้หนูเจียตื่น
   
         “เชื่อฉันนะ...ฉันจะบอกนายทุกอย่าง สัญญา”
   
         “ให้ผมเชื่อเรื่องไหนบ้างล่ะ”
   
         “เชื่อว่าระหว่างจันทร์กับฉันจบไปแล้วและเราไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างที่นายคด เชื่อว่าฉันจะไม่ปิดบังนาย...และขอให้เชื่อว่าฉันชอบนายเข้าแล้วจริงๆ”
   
         ในตอนนั้นราเมศยังไม่รู้ว่าการบอกเล่าเรื่องของเขากับจันทร์จ้าวอาจไม่ต้องรอนานเกินไปนัก...เพราะบุคคลที่จะช่วยเร่งให้การสารภาพมาไวขึ้น ได้รออยู่ที่บ้านเรือนไทยเรียบร้อยแล้ว

******************************************************

สวัสดีค่าาาา เรากลับมาอัพแล้ววว หลังจากหายไปสอบมานาน
ตอนนี้ในที่สุดพี่เมศก็ยอมรับแล้วว่าหวั่นไหว  :-[ ตอนหน้าจะเป็นอย่างไรก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
อ่านแล้วมีความคิดเห็นยังไงสามารถบอกเราได้ ติชมได้เต็มที่ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า

ปล.สามารถพูดคุยและติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream ค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
มาต่ออีกไวๆนะรออ่าน :katai2-1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อยากฟังคำบอกเล่านั้นเสียแล้วสิ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่หนอ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
หวั่นไหวเหมือนกันสินะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด