ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 133889 ครั้ง)

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
โอ๊ยยบ ชั้นหวั่นไหวจนจิกหมอนไปหมดแล้ว
เรื่องนี้มันอะไรเนี่ยยยค้าาา
ทำให้ยิ้มทั้งๆที่มีคราบน้ำตาอยู่
อื้อหือ .. สุดจิงๆ
รออ่านต่อ ชอบบบบบโว้ยยย

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ใครจะมารออยู่นะ คนที่จะมาเอาหนูเจียไปเลี้ยงหรือเปล่า

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตอนหน้าไม่มาม่าใช่มั้ยค่ะเนี่ย

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ไม่อยากให้หนูเจียไปอยู่กับคนอื่นเลย น่ารักทั้งน้าหลาน :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
อยากอ่านต่อจังเลยคร้าาาาาา
หนูเจียน่ารัก ตะวันก้อน่ารัก แต่ดูเศร้าๆ ดูมีปม ><

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ปัญหาหนูปานตะวันเต็มไปหมด  :katai1:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ชอบมากๆเลยน่ารักมาก สนุกดีค่ะหนูเจียน่ารัก  :mew1:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #67 เมื่อ06-03-2017 19:10:53 »

ปานตะวัน
บทที่ ๗
Restart



         ตอนที่รถยนต์ของราเมศจอดที่หน้าประตูรั้วก็เป็นเวลาดึกแล้ว เจียหลินหลับไปเป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ปานตะวันจึงไม่ต้องห่วงว่าหลานชายจะเพลียจากการเล่นน้ำทะเลจนตื่นไปเรียนไม่ไหว
   
        แต่ทันทีที่มองออกไปภายนอก ชายหนุ่มก็เห็นว่าไม่ไกลจากประตูรั้วบ้านเขานักมีใครบางคนยืนอยู่ แสงจากเสาไฟริมถนนส่องให้เห็นร่างผู้มาเยือนในยามวิกาลได้ไม่ชัดเท่าใดนัก แต่ปานตะวันยังพอมองออกว่าคนที่ยืนอยู่เป็นผู้หญิง คิ้วเรียวขมวดมุ่น รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
   
         “พี่เมศ นั่นใครน่ะ”
   
        “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยืนอยู่หน้าบ้าน อาจมาหานาย”
   
        “ก็เป็นไปได้”
   
        ปานตะวันพึมพำเสียงเบาแม้จะนึกไม่ออกก็เถอะว่าจะมีใครมาหาตนในเวลาดึกดื่นป่านนี้ คนตัวเล็กส่งเจียหลินให้ราเมศรับไปอุ้ม ระวังไม่ให้หลานชายตื่น
   
        “น้าตะวัน” เสียงใสร้องหงุงหงิงทันทีที่เกิดการเปลี่ยนมือคนอุ้ม ปานตะวันยิ้ม จูบลงที่หน้าผากเจียหลินอย่างอ่อนโยนแล้วกระซิบว่า “ไม่เป็นไรครับ เราถึงบ้านแล้วล่ะหนูเจีย เดี๋ยวน้าตะวันลงไปเปิดประตูรั้วก่อน แป็บเดียวครับ” พอได้ยินดังนั้นเจียหลินก็พยักหน้า ซุกหน้าเข้าหาราเมศแล้วหลับต่อ เห็นดังนั้นปานตะวันจึงเดินลงจากรถตรงไปที่หน้าบ้านของตน
   
        “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงนำไปก่อนตัว แสงไฟจากหน้ารถราเมศทำให้ต้องหยีตาลงเล็กน้อย ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้และผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาทางเขาพอดี
   
        ในตอนนั้นเองที่ปานตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายตัวเองจับตัวเป็นน้ำแข็ง หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มยืนนิ่ง เบิกตาค้างอย่างตื่นตระหนกแล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด...เมื่อผู้มาเยือนก้าวเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
   
       เส้นผมสีดำปล่อยยาวเลยบ่าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างที่ชอบทำเป็นประจำและดวงตาสีน้ำตาลคมเฉี่ยวฉายประกายมั่นใจในตัวเองกำลังกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพินิจพิจารณา
   
       ปานตะวันเกลียดสายตาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
   
       “ก็ดูสบายดีนี่” น้ำเสียงเรียบๆ เหมือนดึงสติที่หลุดลอยไปให้กลับคืน ปานตะวันสะดุ้งนิดๆ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ได้กลิ่นน้ำหอมโชยแตะจมูก เขาเบือนหน้าหนี ไม่สบตา
   
        “ทั้งที่ดูสบายดีแต่ก็ไม่ติดต่อมาหาเลย นี่ถ้าไม่ได้ข่าวจากสายหยุดฉันก็คงไม่รู้ว่าแกอยู่ที่นี่”
   
        ชายหนุ่มขมวดคิ้ว หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงหนึ่งเดียว...ที่เขาไม่มีวันชนะ ปานตะวันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เหลือบมองประตูรถที่เปิดออก ราเมศคงเห็นแล้วว่าเขายืนคุยกับอีกฝ่ายนานเกินไปจึงลงมาดู พร้อมกับอุ้มเจียหลินลงมาด้วย
   
        “เกิดอะไรขึ้น มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ ปานตะวันเห็นแววประหลาดใจฉายวาบในดวงตาสีน้ำตาลของคนตรงหน้า นัยน์ตาคู่สวยเหมือนของเขาตวัดมามองพร้อมกับน้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นอีกหน
   
       “ดูท่าเราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาวเชียวล่ะ...ปานตะวัน”
   
        เจ้าของชื่อได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
   
        “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ แม่”
   
       ภายในห้องรับแขกของบ้านเรือนไทยปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึมประหนึ่งกำลังจะมีพายุ ปานตะวันเชิญให้ทุกคนเข้ามาในบ้านก่อนจะไปหาน้ำมารับรอง ‘แขก’ ของบ้านให้เรียบร้อย  เสร็จแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม  ข้างกันมีราเมศนั่งอยู่ ส่วนหนูเจียก็ตื่นเต็มตาแล้ว เด็กน้อยกำลังมองสำรวจผู้มาใหม่ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
   
        “แม่มาได้ยังไง” ปานตะวันเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาก่อนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศชักอึดอัดจนทนไม่ไหว “แล้วทำไมไม่ติดต่อผมก่อน”
   
       “ก็โทรหาไม่ติด ไม่เห็นบอกว่าเปลี่ยนเบอร์”
   
       ปานตะวันร้องอ้อเบาๆ
   
        “พอดีโทรศัพท์ผมตกน้ำเลยยืมของพี่เมศมาใช้ก่อน”
   
       “พี่เมศ? ใคร เพื่อนหรือ ไม่เห็นรู้เลยว่ามีเพื่อนชื่อนี้”
   
       “แล้วแม่รู้จักใครนอกจากไอ้กันต์บ้างล่ะ”
   
        ปานตะวันไม่ได้ตั้งใจจะทำเสียงห้วน แต่เขาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ความหงุดหงิดกระวนกระวายมาเยือนตั้งแต่เห็นว่าผู้เป็นแม่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
   
       ความสัมพันธ์ระหว่างปานตะวันกับแม่ไม่ดีมาตั้งแต่สมัยก่อน ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรู้ว่าแม่นอกใจพ่อแล้ว ตอนที่ยังเด็กปานตะวันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมแม่กับพ่อถึงจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว เพิ่งมารู้ก่อนหน้าที่แม่จะย้ายตามสามีคนที่สองไปต่างประเทศไม่นาน 
   
       เขาพยศ อาละวาด ไม่พอใจ ทำตัวก้าวร้าวจนแม้แต่แม่ก็หมดความอดทนในที่สุด
   
        เหมือนรอยร้าวบนแก้ว...เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
   
        จนในที่สุดมันก็แตกสลายในวันที่ย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายที่ต่างประเทศพร้อมน้องสาวของเขาอีกสองคน โดยปานตะวันยืนกรานที่จะอยู่ประเทศไทย เขาจึงถูกทิ้งไว้กับญาติ...แต่ในตอนนั้น ปานตะวันกลับรู้สึกว่าเขาเดียวดายเหลือเกิน
   
       “แม่ยังไม่ตอบผมเลยว่ามาทำไม” ปานตะวันพูดขึ้น เขาเห็นแล้วว่ามารดาเริ่มพิจารณาราเมศกับเจียหลินด้วยสายตาแปลกๆ
   
       “ก็...ฉันกับอเล็กซ์พานาตาชามาเที่ยวเสม็ด แล้วก็เลยว่าจะมาเยี่ยมแต่แกก็ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ได้อยู่หอ โทรหาก็ไม่ได้จนรู้จากสายหยุดนี่แหละว่าอยู่ที่นี่”
   
      ปานตะวันชะงัก ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้น ถ้ารู้จากน้าสายหยุดว่าเขาอยู่ที่นี่ แปลว่าต้องรู้ว่าพี่จันทร์เสียแล้ว...รวมถึงต้องรู้จักเจียหลินด้วย แต่แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   
       “งั้นเหรอครับ”
   
       สิ้นประโยคนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง จนกระทั่งมารดาของเขาทำลายความเงียบขึ้น
   
       “แล้ว...นั่นสินะเจียหลิน ลูกชายจันทร์จ้าว ส่วนเธอ...”
   
       “ผมราเมศครับ”
   
       “อ่อ แล้วเป็นอะไรกันล่ะถึงได้ออกไปไหนมาไหนกันแบบนั้น”
   
        ราเมศกำลังจะอ้าปากตอบแต่ปานตะวันชิงพูดขึ้นก่อน “พี่เมศเป็นเพื่อนบ้าน บ้านเขาอยู่ตรงข้ามนี่เอง เขาช่วยดูแลเจียหลินด้วยแล้วก็ช่วยดูแลผม”
   
       แม่หรี่ตาลง เป็นท่าทางที่อีกฝ่ายชอบทำเวลาต้องใช้ความคิด และปานตะวันก็ไม่ชอบมันเอาเสียเลย โชคดีที่แม่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ปานตะวันเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว
   
       “แม่พักอยู่ที่ไหน ผมออกไปส่งเอาไหม ดึกแล้ว แม่น่าจะรีบกลับ”
   
       “ทำไม ไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยขนาดนั้นเลยหรือไง”
   
        น้ำเสียงประชดประชันทำให้ปานตะวันต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะแบบนี้แหละพวกเขาถึงได้ทะเลาะกันบ้านแทบแตกบ่อยๆ
   
       “เปล่า แต่มันดึกแล้ว เดี๋ยวอลิซ นาตาชา กับอเล็กซ์จะเป็นห่วง” อเล็กซ์คือสามีใหม่แม่ ส่วนอลิซคือน้องสาวคนรองและนาตาชาเป็นน้องสาวคนสุดท้อง ปานตะวันจำหน้าน้องสาวของตัวเองแทบไม่ได้แล้ว ตอนที่แยกกันพวกเธอยังเด็กมาก และหลังจากนั้นเขาก็เจอทั้งสองนับครั้งได้ แน่นอนว่าเขากับพ่อเลี้ยงของตัวเองก็ไปกันได้ไม่ดีนัก
   
       “ไม่ต้องลำบากไปส่งหรอก ฉันนอนนี่ก็ได้คืนนี้”
   
       “หา!?”
   
       “พอจะมีห้องรับแขกไหมล่ะ”
   
       “ก็มี...แต่...”
   
       “งั้นก็เอาตามนั้นแหละ พรุ่งนี้แกค่อยไปส่งฉันที่โรงแรมแล้วกัน” ปานตะวันถอนหายใจ ตัดสินใจยอมแพ้ เขาลงไปเปิดประตูรั้วให้แม่เอารถเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางไว้ให้ในห้องนอนสำหรับแขก จากนั้นก็เดินกลับลงไปส่งราเมศใหม่
   
       “ขอโทษนะพี่ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าอ่อนล้าทำให้ราเมศอดเป็นห่วงไม่ได้ ปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะลงที่หว่างคิ้วของปานตะวัน นวดเบาๆ ให้มันคลายออกจากกัน
   
       “อย่าขมวดคิ้วมากสิ ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ได้คิดอะไร ส่วนเราน่ะก็อย่าพูดกับแม่ห้วนๆ แบบนั้น เขามาก็ดูแลเขาให้ดี”
   
       “อืม...เข้าใจแล้ว”
   
       “งั้นพี่ไปนะ พรุ่งนี้จะมาทำข้าวต้มให้”
   
       “ครับ”
   
       “ฝันดีปานตะวัน”
   
       “ฝันดีพี่เมศ”
   
        พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะแตะลงที่ผิวแก้มของปานตะวัน...เชื่องช้า คล้ายยังไม่มั่นใจ แต่เมื่อร่างเล็กไม่ได้ขัดขืนหรือแสดงท่าทีตระหนก ราเมศก็ค่อยๆ รวบตัวปานตะวันมาไว้ในอ้อมแขน กดริมฝีปากแช่ไว้ที่ผิวแก้มของอีกฝ่าย
   
       หอมฝั่งซ้าย...แล้วก็ย้ายมาฝั่งขวา กดจูบนานๆ ให้อีกคนหน้าแดงเล่น
   
       “ฮื่อ พอแล้ว ชักจะไปกันใหญ่ละ”
   
       เสียงทุ้มหัวเราะเมื่อลูกแมวขี้เขินดิ้นยุกยิก ราเมศปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ บอกฝันดีเร็วๆ อีกหนึ่งทีแล้วก็กลับบ้านไป ลับหลังร่างสูงไปแล้ว ปานตะวันก็ได้แต่ยืนเหม่อกุมแก้มแดงๆ ของตัวเองอยู่ตรงนั้น
   
       โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำอยู่ภายในสายตาของมารดาตัวเองตลอดเวลา
   
       ตอนที่กลับเข้ามาในบ้านปานตะวันก็พบว่าแม่ของเขากลับมานั่งไขว่ห้างรออยู่ในห้องรับแขก มีหนูเจียนั่งตัวลีบอยู่ไม่ไกล เด็กแก้มยุ้ยก้มหน้างุด สองมือกอดคุณกระต่ายของตัวเองไว้แน่น พอเห็นปานตะวันเดินกลับเข้ามาเด็กน้อยก็รีบโผเข้าหาอย่างว่องไว ปานตะวันออกจะแปลกใจกับท่าทางนั้นเล็กน้อย ยิ่งพออุ้มเจียหลินก็กอดคอ ซุกหน้าลงกับบ่าเขา ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง
   
       “หนูเจียเป็นอะไรไปครับ”
   
       “เปล่า...เปล่าครับน้าตะวัน”
   
        ปานตะวันเอียงคอก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม่ตัวเองก็นั่งอยู่ในห้องด้วย เจียหลินกลัวคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งแม่เขาที่แผ่รังสีผู้หญิงน่ากลัวออกมาไม่หยุดก็คงทำให้เจียหลินขวัญผวาไม่น้อย
   
       “หนูเจีย ไม่ต้องกลัวหรอกครับ นี่...อืม...คุณยายของหนูเจียไงครับ”
   
       “นี่ฉันแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย”
   
         ปานตะวันส่งยิ้มปลอบเจียหลิน ดันให้เด็กน้อยหันไปหาแม่ของตน “สวัสดีคุณยายสิครับ”
   
        พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็ค่อยๆ ยกมือไหว้ โค้งตัวอย่างเรียบร้อยเหมือนที่คุณครูประจำชั้นสอนมา “สวัสดีครับ”ปานตะวันแอบเห็นแม่ตัวเองยกมุมปากขึ้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ดวงตาคู่สวยเหลือบไปเห็นนาฬิกาก็พบว่าดึกมากแล้วชายหนุ่มจึงอุ้มเจียหลินขึ้น เตรียมตัวจะเข้านอน
   
        “นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ไปพักเถอะครับ”
   
        “ฉันว่าเราต้องคุยกันนะ”
   
        “ผมรู้ แต่หนูเจียจะไม่ยอมนอนถ้าผมไม่ไปนอนด้วย มีอะไรไว้คุยพรุ่งนี้เถอะครับ คืนนี้ผมกับหลานไม่ไหวแล้วจริงๆ”
   
        ปานตะวันไม่ได้โกหก ไหนจะเล่นน้ำทะเล ไหนจะเดินทางมาทั้งวัน เขาเพลียจนตาจะปิดแล้ว
   
        “งั้นก็ได้”
   
        ว่าจบแม่ของเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินกลับห้องนอนไปโดยไม่ล่ำลา ไม่มีแม้แต่คำว่าฝันดี ปานตะวันถอนหายใจอย่างหนักหน่วง รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
   
        “น้าตะวัน” เสียงเล็กๆ ดังหงุงหงิงอยู่ข้างหู ปานตะวันที่กำลังยืนเหม่อสะดุ้งเฮือก กะพริบตามองเจียหลินที่มองจ้องมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เจ้าตัวเล็กยกมือแนบแก้มเขาไว้ “น้าตะวันดูเหนื่อยมากเลย นอนพักนะครับ”
   
        “น้าตะวันสบายดีครับ ไม่เป็นไรหรอก”
   
        “แต่หนูเจียก็อยากให้น้าตะวันพัก นอนนะครับ นะๆ”
   
         เจอท่าไม้ตายช้อนตาอ้อนของลูกแมวตรงหน้าเข้าไปใครจะทนไหว ปานตะวันที่พ่ายแพ้ความน่ารักของหลานชายอย่างราบคาบก็ได้แต่อมยิ้ม หอมแก้มเจียหลินไปหลายที จากนั้นสองน้าหลานก็พากันเข้านอนไป ตอนที่ดับไฟแล้วล้มตัวลงนอนปานตะวันก็คิดได้ว่า ปล่อยให้เรื่องปวดหัวของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็เข้าท่าไม่เลว
   
        เช้าวันต่อมาอาจเป็นเพราะความกังวลทำให้ปานตะวันตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ก็ยังเช้าไม่เท่าราเมศ ดังนั้นตอนที่เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วเข้าไปในครัวก็พบว่าราเมศได้ยึดห้องครัวเขาไปเป็นที่เรียบร้อย
   
        และมันจะไม่น่าตกใจเลยถ้าคนที่นั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะกินข้าวจะไม่ใช่แม่ของเขา!
   
        “อรุณสวัสดิ์ฮะ ตื่นเช้ากันจัง”
   
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดเสียงพร่า ร่างเล็กเดินขยี้ตาไปนั่งแปะลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับมารดาของตน  ไม่นานราเมศก็ยกแก้วไมโลอุ่นๆ มาวางตรงหน้าพร้อมจานใส่ไข่ดาว ไส้กรอกและขนมปังปิ้ง
   
         “วันนี้ไม่ทำข้าวต้มเหรอ”
   
        “ก็ว่าจะทำแต่พอดีเพลียจากขับรถเมื่อวานน่ะเลยเปลี่ยนเมนู”
   
         “จริงๆ ไม่เห็นต้องรีบตื่นมาทำเลย” ปานตะวันว่าพลางยกไมโลขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ถ้าเพลียเดี๋ยวผมทำให้กินก็ได้”
   
         “ไม่ล่ะ พี่ไม่อยากเสี่ยงเข้าโรงพยาบาล”
   
         คนถูกหยอกแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ เห็นแววลับฝีปากกันแต่เช้า ดูไอ้พี่เมศมันว่าเขา! หึ ไว้รอฝีมือทำกับข้าวเขาดีขึ้นจนไม่ต้องกินฝีมือพี่เมศเมื่อไหร่นะจะเชิดให้คางชี้ฟ้า
   
         “ฝีมือทำอาหารผมก้าวหน้าขึ้นแล้วนะ เมนูง่ายๆ แค่นี้ก็ทำได้หรอก”
   
         “ครับๆ เชื่อครับ แต่ไว้วันอื่นนะ เอาไว้ทำช่วงที่พี่หาวันหยุดยาวๆ ได้ เผื่อต้องเข้าโรง’บาล”
   
         “ไอ้พี่เมศ!”
   
         ราเมศหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเจ้าเด็กแสบถลึงตาใส่ การแหย่ปานตะวันให้อารมณ์เสียคืองานอดิเรกของเขาจริงๆ อีกฝ่ายอารมณ์เสีย แต่เขานี่สิอารมณ์ดีสุดขีด ถึงจะแย่จนหงุดหงิดแต่เดี๋ยวสักพักแมวใหญ่ก็หายงอน กลับมาอ้อนขอข้าวกลางวันเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ
   
         พวกเขาต่อล้อต่อเถียงกัน แหย่ให้อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนติดแล้ว ก็เลยเผลอทำแบบนั้นออกมาโดยลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่กันสองคน
   
        “อะแฮ่ม”
   
        เสียงกระแอมดังมาจากมารดาของปานตะวันที่ราเมศเพิ่งได้รู้ว่าเธอชื่อ ‘รุ่งฟ้า’  ตอนที่เขามาที่บ้านนี้เพื่อทำอาหารเช้าให้สองแมวเหมือนเคยก็พบว่าเธอตื่นอยู่ก่อนแล้ว และกำลังก้มๆ เงยๆ มองหากาแฟกับของที่พอทำอาหารได้ เขาจึงอาสาทำมื้อเช้าให้เธอทาน
   
       ระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองคนในครัว รุ่งฟ้าก็ถามเขาด้วยคำถามทั่วๆ ไปว่า รู้จักกับปานตะวันได้ยังไง สนิทกันมากไหม มาช่วยเลี้ยงเจียหลินบ่อยๆ หรือ อะไรทำนองนี้ เขาเองก็ตอบไปด้วยความระมัดระวังแต่พอถูกชวนคุยมากๆ ก็เริ่มหายเกร็ง  ระหว่างที่คุยราเมศก็ลอบสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย
   
        รุ่งฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดูดีแม้จะอายุมากแล้ว บนใบหน้าจองเธอปรากฏริ้วรอยแห่งวัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ดวงตาคู่นั้นฉายประกายมั่นใจในตัวเอง เฉลียวฉลาด ส่งให้บุคลิกของเธอสง่างามมากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกถึงสามคนแล้ว
   
        “ดูท่าพวกเธอจะสนิทกันดีนะ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยของอีกฝ่ายฟังดูไม่ใส่ใจก็จริงแต่ปานตะวันรู้...ราเมศก็ดูออกว่ารุ่งฟ้า ‘รู้’ อะไรบางอย่างระหว่างพวกเขา...อะไรบางอย่างที่แม้แต่คนทั้งคู่ก็เพิ่งจะได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ แถมใช้เวลาตั้งนานกว่าจะยอมรับมัน
   
        “ก็เพื่อนบ้านกัน สนิทกันเป็นธรรมดา”
   
        ปานตะวันตอบกลับ ราเมศมองเห็นแมวแสบของเขาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ เป็นท่าทางที่ปานตะวันทำตลอดเวลาใช้ความคิดหรือกังวล
   
         “คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะระดับนี้ ถึงขนาดลุกมาทำกับข้าวให้ทั้งที่เพลีย ยอมพาไปเที่ยว แล้วก็ช่วยเลี้ยงหลานทั้งที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลย...ถ้าเธอไม่ใช่พ่อพระลงมาเกิด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอก็คงไม่ธรรมดาสินะ”
   
        ประโยคหลังหันมาพูดกับราเมศตรงๆทำเอาชายหนุ่มได้แต่ยิ้มค้าง ไปต่อไปถูก ในใจร่ำร้องได้อยู่ประโยคเดียวว่า แม่ของปานตะวัน...ฝีปากคมกริบกว่าลูกชายเป็นร้อยเท่า
   
        แต่พอเรียกสติกลับมาได้ราเมศก็อมยิ้มจางๆ ตอบกลับไปว่า
   
        “ผมสนิทกับจันทร์จ้าวอยู่ก่อนแล้วน่ะครับ เจียหลินผมก็เห็นมาตั้งแต่เกิด เอ็นดูเหมือนหลานแท้ๆ ตัวเองไปแล้วล่ะครับ”
   
       “แต่ถึงอย่างนั้นปานตะวันกับหลานชายก็คงทำให้เธอลำบากมากอยู่ดีสินะ”
   
       “ไม่หรอกครับ ไม่เลยสักนิด”
   
       รุ่งฟ้าส่งเสียง ‘หืม’ เบาๆ ในลำคอ ดวงตาคู่สวยหรี่ลง มองราเมศสลับกับปานตะวันไปมา จากนั้นก็ยกกาแฟขึ้นจิบอีกหนึ่งอึก ท่วงท่าเหมือนนางพญาไม่มีผิด
   
        “แล้วคิดจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ฮึ ปานตะวัน”
   
        เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ ใบหน้าน่ารักฉายแววหนักใจ “ทำอะไรครับ”
   
        “ทำให้คนอื่นลำบาก”
   
        ประโยคตรงไปตรงมานั้นทำให้ปานตะวันถึงกับนิ่งงัน รู้สึกเหมือนถูกผู้เป็นแม่ปามีดปักลงกลางใจ ตรงเป้าพอดิบพอดี
   
       ปานตะวันหน้าชา...ด้วยความละอาย  เขารู้ดีกว่าใครว่าแม่พูดถูก พูดถูกทุกอย่าง
   
        “ขอโทษนะครับคุณรุ่งฟ้า ถ้าเป็นเรื่องปานตะวันกับผม น้องไม่ได้ทำให้ผมลำบากเลย ผมเต็มใจทำครับ”
   
        “ไม่ใช่แค่เรื่องคุณหรอกค่ะคุณราเมศ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้เฉื่อยชาอีกต่อไป หากแต่จริงจังและเป็นการเป็นงาน ให้ความรู้สึกกดดันและหายใจไม่ทั่วท้อง
   
        “มีอีกหลายอย่างที่เด็กคนนี้กำลังฝืนทำอยู่”
   
        “เช่นอะไรล่ะครับ”
   
        ปานตะวันที่นั่งเงียบมานานถามขึ้นบ้าง แม้จะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม จากประโยคและน้ำเสียง แววตา ปานตะวันทราบได้ทันทีว่าแม่ของเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
   
        แม่วางแก้วกาแฟลง ประสานมือไว้ด้วยกันบนโต๊ะ เป็นท่าทางอย่างที่ทำเป็นประจำเวลาจะกดดันใครสักคน ปานตะวันเกลียดความรู้สึกที่ตัวเองกำลังถูกแม่ตัวเองไล่ต้อนเป็นที่สุด
   
        “ปานตะวัน...ลูกถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยใช่ไหม”
   
         จบประโยคนั้นก็มีแต่ความเงียบที่โรยตัวลงมา ปานตะวันก้มหน้า เม้มริมฝีปาก ไม่กล้าเงยหน้ามองใคร...ไม่กล้ามองแม้แต่ราเมศ
   
        “ตอนปีหนึ่งผลการเรียนก็ไม่ได้แย่ แต่ที่ถูกไทร์เพราะตอนปีสองลูกแทบไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ก่อเรื่องวิวาทในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นใช่ไหม”
   
        เล็บทั้งสิบจิกลงที่ต้นขาของตัวเอง ปานตะวันไม่ได้ตอบคำถามเพราะแม่คงไม่ได้อยากฟังคำตอบ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนจมน้ำ หายใจแทบไม่ออก
   
       “ตอนนั้นติดเหล้า ติดการพนันด้วยใช่ไหม”
   
        แต่ล่ะเสียงของแม่กรีดเข้าไปในหัวใจของปานตะวัน เลือดแต่ละหยดเหมือนจะกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำตา เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดที่ดวงตาทั้งสองข้าง หัวใจเหมือนถูกบีบรัดด้วยความจริงและความละอาย
   
        ปานตะวันไม่โทษแม่ ไม่โทษใคร ไม่โกรธที่แม่พูดด้วยเพราะเขารู้ดีว่ามันคือความจริง
   
        และคนที่ทำให้ทุกอย่างมันแหลกเหลวได้ถึงขั้นนั้นก็คือตัวเขาเอง
   
         “ตะวัน...เลิกแล้ว เหล้าไม่ได้ติด ส่วนการพนันตะวันเลิกหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ” น้ำเสียงของเขาเบาแสนเบา แผ่วเบาจนน่าสมเพช  ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครขยับตัว จนกระทั่งแม่ของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
   
         “เอาจริงๆที่แม่กลับมาก็เพราะเรื่องนี้ด้วย สายหยุดเล่าให้แม่ฟังว่าปานตะวันกำลังเลี้ยงลูกของจันทร์จ้าว เธอเห็นว่าลูกคงลำบาก เลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่ง่ายๆ เธอเลยเสนอจะรับเจียหลินไปเลี้ยงให้ และแม่ก็เห็นด้วยกับเธอ”
   
        พอถึงตรงนี้ปานตะวันก็รีบเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจของเขาเหมือนกำลังจะแหลกละเอียด “ไม่เอานะ ตะวันไม่ให้ ตะวันเลี้ยงหนูเจียได้ อย่าพาหนูเจียไปเลยนะ นะครับ ได้โปรด”
   
         “มันไม่ง่ายเหมือนที่ลูกคิดหรอกนะปานตะวัน เรียนก็เรียนไม่จบ งานก็ไม่มีทำ เงินก็หาเองไม่ได้ คิดเหรอว่าเงินเดือนที่แม่โอนให้ทุกเดือนจะพอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วอนาคตลูกเป็นยังไงเคยวางแผนไหม อนาคตของเจียหลินจะเป็นยังไง เงินที่ต้องใช้แต่ละเดือน ที่ต้องหา ต้องสำรองไว้เผื่ออนาคตข้างหน้า โรงเรียนตอนเจียหลินโตขึ้น ค่าอาหาร ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ทุกอย่างที่ต้องรับผิดชอบน่ะเคยคิดบ้างหรือเปล่า!”
   
         แม่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ นานแล้วที่ไม่ได้ถูกต่อว่าแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนปานตะวันก็คงสวนออกไปแล้ว  แต่ครั้งนี้เขาจนด้วยคำพูดจริงๆ
   
        “อย่าคิดถึงแต่ตัวเองสิ ถ้ารักเจียหลินก็ต้องยอมรับว่าอนาคตของเด็กคนนั้นก็สำคัญ ถ้ารัก...ก็ต้องปล่อยให้ไปมีอนาคตที่ดี ส่วนลูกก็ต้องเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้แล้ว” ปานตะวันน้ำตาร่วงพรู ผู้ที่ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ก็คือแม่ของเขา ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบค่อยๆ หันไปมองราเมศด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา ราเมศกำลังเหม่อไปที่ผนังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
   
        และนั่นเองที่ทำให้ปานตะวันใจกระตุก น้ำตายิ่งหล่นร่วงลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
   
         ผิดหวังแล้วสินะ...ทุกคนสิ้นหวังกับเขาแล้วใช่ไหม
   
         “กลับไปเรียนให้จบ เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้ แล้วก็หางานทำ แม่จะลองช่วยดู หลังจากลูกเรียนจบ ได้งานทำ อะไรๆ มั่นคงแล้ว ถึงตอนนั้นจะรับเจียหลินกลับมาอยู่ด้วยแม่ก็ไม่ว่า”
   
        “ฮึก...แต่...แต่ตะวัน...ไม่อยากห่างหนูเจีย...เขาเป็นหลานตะวันนะ เขากลัวคนแปลกหน้าด้วย”
   
        “เดี๋ยวก็ชินไปเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลาปรับตัวกันทั้งนั้น”
   
        แม่ของเขาลุกขึ้นพลางพูดว่า “เก็บของซะปานตะวัน แม่จะพาเจียหลินไปส่งที่บ้านน้าสายหยุด เสร็จแล้วก็ส่งลูกที่บ้านเดิม ถึงเวลารับผิดชอบตัวเองแล้ว”
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ความจริงที่ผู้เป็นแม่ตอกใส่หน้า ทำอย่างไรก็ลบล้างไม่ได้ เขาเคยเหลวแหลก เคยทำเรื่องไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบ และตอนนี้ทุกอย่างก็ย้อนกลับมาหาตัวเขา
   
        แม่หันหลังจะเดินออกจากห้องครัวเป็นสัญญาณว่าสิ้นสุดการสนทนาสำหรับหัวข้อนี้ ปานตะวันใช้มือยันโต๊ะไว้ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายหนักอึ้ง น้ำตายังไม่หยุดไหลเลยด้วยซ้ำ
   
        “แม่...”
   
        ถ้าเขาจะลองขอร้องอีกสักครั้ง...และครั้งนี้เขาสัญญาว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น
   
        “แม่ครับ ผม...”
   
        ร่างเล็กที่เดินตามไปชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนยืนขวางประตูครัวอยู่ ร่างเล็กๆ ในชุดนอนลายลูกเป็ดสีเหลืองสั่นสะท้าน ดวงตากลมโตที่แดงเรื่อของเจียหลินเหลือบมองคนนู้นทีคนนี้ที  ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว และไม่รู้ว่าที่ได้ยินไปเด็กน้อยเข้าใจมันมากแค่ไหน
   
       “น้า...น้าตะวัน”
   
        เสียงของหนูเจียทำให้ทำนบของปานตะวันพังลงอีกครั้ง เด็กน้อยโผมาหาเขา ปานตะวันเองก็ย่อตัวลงอุ้มเจียหลินขึ้นมา
   
       “น้าตะวัน หนูเจียได้ยิน...น้าตะวันจะ..จะไปไหน”
   
        ปานตะวันพยายามฝืนยิ้ม หลานได้ยินทั้งหมดเลยสินะ ชายหนุ่มปาดน้ำตาพยายามไม่ร้องไห้ ถ้าเขาร้องไห้หนูเจียจะกังวล แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามเช็ดน้ำตายิ่งไหลไม่หยุด
   
       “น้าตะวัน...ไม่ร้องนะ น้าตะวันคนเก่ง ไม่ร้องนะครับ”
   
       เจียหลินใช้มือเล็กๆ ทั้งคู่ปาดน้ำตาให้ปานตะวันก่อนจะโน้มตัวมาจูบลงที่เปลือกตาของเขา...เหมือนที่ชายหนุ่มทำให้เด็กน้อยบ่อยๆ เวลาอีกฝ่ายร้องไห้
   
       ปานตะวันกอดหลานชายเอาไว้แน่น ไม่อยากแยกจากกันเลย แม้จะเพียงชั่วคราวก็ตาม ไม่ใช่เพราะเจียหลินเป็นเด็กที่เขาต้องรับผิดชอบหรือเพราะเป็นลูกของพี่จันทร์ แต่เพราะเจียหลินทำให้ปานตะวันรู้สึกเหมือนจะก้าวไปข้างหน้าได้ เจียหลินเป็นแรงผลักดันให้เขาอยากจะโตขึ้น อยากจะเป็นคนมีความรับผิดชอบมากกว่านี้
   
        ทั้งหมดก็เพื่อเลี้ยงเด็กหนึ่งคนให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี
   
         ปานตะวันเชื่อว่าทุกคนควรได้รับโอกาสครั้งที่สองในการกลับใจ เขาทำผิด ทำตัวไม่ดีมาแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังไขว่คว้าโอกาสกลับตัวกลับใจ
   
         เจียหลินเป็น ‘โอกาสครั้งที่สอง’ ของเขา
   
         ยิ่งไปกว่านั้นปานตะวันรู้ดีว่าเขากับเจียหลินกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว...ความรักและแรงยึดติดของเขาที่มีต่อหลานชายไม่น้อยไปกว่าที่เด็กน้อยมีต่อเขาเลย
   
        “น้าตะวันไม่ร้องแล้วครับ” ปานตะวันพูด น้ำเสียงสั่นพร่าชวนใจหาย เขาจับมือเล็กๆ ของหนูเจียมาแนบแก้ม “แต่ว่าน้าตะวัน...อาจจะไม่อยู่สักพักนะ เราอาจจะไม่ได้เจอกัน...สักพักนะครับ”
   
       “น้าตะวันจะไปไหน หนูเจียขอไปด้วยนะ นะๆ หนูเจียจะไม่ดื้อ...ไม่ซน...อย่า..ฮึก...อย่าทิ้งหนูเจียเลยนะ”
   
       “ชู่ว์ ไม่หรอกครับ น้าตะวันไม่ทิ้งหนูเจียหรอกนะ”
   
        ขอบตาของเจียหลินแดงระเรื่อเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานเจ้าตัวจะร้องไห้แล้ว ปานตะวันพิศมองใบหน้าหลานชายก่อนจูบลงที่หน้าผากมนอยู่นาน

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #68 เมื่อ06-03-2017 19:29:17 »

        แย่ชะมัด...น้ำตาจะไหลอีกแล้ว
   
        ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้หนูเจียจากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยไปหาราเมศ “พี่ เดี๋ยวผมไปเก็บของก่อน ฝากหนูเจียด้วยนะครับ” ปานตะวันไม่ได้เงยหน้าจึงไม่เห็นแววตากับสีหน้าของราเมศ แต่ก็ดีแล้ว...แววตาผิดหวังแล้วก็สีหน้าเย็นชาน่ะเขาไม่อยากเห็นหรอก
   
        ราเมศไม่ได้พูดอะไรหากแต่ยอมรับหนูเจียไปอุ้มไว้ ปานตะวันก้มหน้างุด หันหลังให้คนทั้งคู่ เตรียมตัวไปเก็บข้าวของแต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูครัวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น หยุดทุกความเคลื่อนไหวของเขา
   
        เสียงร้องไห้ของเจียหลิน
   
        ปกติแล้วเจียหลินไม่ใช่เด็กขี้แย เวลาร้องไห้ก็จะสะอื้นเบาๆ ไม่เคยสักครั้งที่จะร้องไห้เสียงดังหรือโวยวายเอาแต่ใจ
   
        แต่ในตอนนี้...หนูเจียของน้าตะวันกลับแผดเสียงร้องไห้จ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ร้องไห้จนหน้าแดง น้ำตาไหลอาบแก้ม
   
       “ไม่เอา ฮือออ ไม่เอานะ น้าตะวันอย่าไป อย่าทิ้ง..ฮึก...ฮือ...อย่าทิ้งหนูเจีย...น้าตะวัน..ฮือ..น้าตะวัน”
   
       เจียหลินร้องเรียกชื่อปานตะวันไม่หยุด ดิ้นจนราเมศต้องตามใจ ยอมปล่อยให้เจียหลินวิ่งไปหาปานตะวัน พอไปถึงตัวปานตะวันก็รับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดได้พอดี เด็กน้อยร้องไห้จนตัวสั่น พร่ำเรียกชื่อปานตะวันซ้ำๆ กอดเขาไว้แน่นเหมือนกลัวปานตะวันจะหายไป
   
        “หนูเจียจะเป็นเด็กดี สัญญาเลย หนูเจียจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแงแล้ว แต่พาหนูเจียไปด้วยนะ...ฮึก...น้าตะวันจ๋า พาหนูเจียไปด้วย อย่า...ฮือ...อย่าทิ้งหนูเจียนะ”
   
        “ครับ ไม่ทิ้งครับ น้าตะวันไม่ทิ้งหนูเจียหรอกนะเด็กดี”
   
        “ฮึก...สัญ..ฮึก...สัญญานะครับ”
   
        นิ้วก้อยเล็กๆ ถูกยื่นมาตรงหน้า มือของเจียหลินสั่น ปานตะวันจึงยื่นนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวไว้แล้วก็พบว่ามือของเขาสั่นเทาไม่แพ้กัน
   
        “น้าตะวันสัญญา”
   
        พอพูดคำนั้นจบเจียหลินก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบทำเอาคนเป็นน้าแทบจะร้องไห้ตามแต่ยังดีที่กลั้นน้ำตาไว้ได้ ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ใกล้กัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
   
        “แม่ครับ...ให้...ให้โอกาสผมได้ไหม ถือว่าผมขอร้อง นะครับ”
   
        แม่ของเขาเม้มปาก สีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
   
        “มันไม่ง่ายหรอกนะ”
   
         “ผมรู้”
   
         “ลูกยังไม่พร้อม”
   
         “ผมจะทำให้ตัวเองพร้อมให้ได้ แค่แม่ให้โอกาสผมกับหลาน”
   
         ดวงตาของมารดามองเขาอย่างประเมิน ปานตะวันจ้องตากลับ ไม่ยอมแพ้ ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงความอบอุ่นใกล้ๆ พอหันไปก็พบราเมศยืนอยู่ข้างกัน อีกฝ่ายแตะมือลงที่ไหล่เขา เสียงทุ้มเอ่ยกับผู้เป็นแม่ของปานตะวันอย่างสุภาพหากแต่แฝงแววจริงจังเองไว้  “คุณอาจจะคิดว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องแต่ว่า...ผมคิดว่าทุกคนควรจะได้รับโอกาสครั้งที่สองนะครับ”
   
        “ปานตะวันจะเลี้ยงใครได้ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย”
   
        เจ้าของชื่อกัดริมฝีปาก แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าเจียหลินพยายามสุดชีวิตที่จะรั้งเขาไว้...เขาเองก็ต้องพยายามเพื่อหลานชายบ้างเหมือนกัน
   
       “ผมจะทำให้ได้ครับ”
   
       “แม้จะเรียนไม่จบน่ะเหรอ?”
   
       “ผมจะกลับไปเรียนให้จบ”
   
        “จะกลับไปเรียน จะเลี้ยงหลานด้วย...แล้วถ้ามันไม่รอดสักทางล่ะ”
   
        “ผมทำได้ ผมสัญญา”
   
        “โอเค ลูกยืนกรานจะทำขนาดนี้แม่ก็ไม่ขัด แต่ว่า...ถ้าลูกเลือกทางนี้ลูกก็ต้องยอมรับข้อเสนอของแม่  ลูกจะว่ายังไง”
   
        “ว่ามาเลยครับ”
   
        ปานตะวันไม่หวั่นหรอก เขาตัดสินใจแล้ว เขาเลือกแล้ว เจียหลินเป็นแสงสว่าง เป็นโอกาสครั้งที่สองของเขา บางทีหากเขาเลือกทางที่แม่บอกว่าแต่แรกนั่นก็คงทำให้เขามีชีวิตปกติได้เช่นกัน...แต่ปานตะวันไม่ต้องการทิ้งเจียหลินไป เพราะเขารู้ว่าการต้องถูกส่งไปอยู่กับญาติที่ตนไม่คุ้นชินโดยไร้คนในครอบครัวให้ติดต่อน่ะมันโดดเดี่ยวแค่ไหน
   
       “ถ้าลูกอยากเลี้ยงหลานชายของลูก ลูกก็ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ นับจากนี้เป็นตนไปแม้จะไม่ส่งเงินค่าใช้จ่ายให้ลูกอีกแล้ว...ไม่แม้แต่แดงเดียว ตอนนี้สิ่งที่ลูกมีคือเงินเก็บในธนาคาร...ถ้ามันยังเหลือน่ะนะ จะใช้จนมันหมดก็ได้นะ แต่แม่แนะนำว่าออกไปทำงานหาเงินจะดีกว่า ค่าเทอมเจียหลินคงไม่ใช่น้อยๆ แล้วก็นอกจากนี้แม่มีเงื่อนไขอีกสองข้อ หนึ่งคือต้องเรียนให้จบ สองคือเงินที่ลูกหามาต้องสุจริต ห้ามขโมย ห้ามโกง เข้าใจไหม” แม่ของเขายิ้มมุมปาก “ว่ายังไง ยอมรับข้อเสนอไหม”
   
        ปานตะวันกลืนน้ำลาย บททดสอบที่แม่โยนมาให้ไม่ได้ง่ายเลย แต่ว่า...
   
        “ผมยอมรับครับ”
   
        “ดี งั้นถือว่าเราตกลงกันได้แล้ว ลูกอยู่ที่นี่กับหลานชายลูกต่อไปได้”
   
        เท่านั้นปานตะวันก็รู้สึกเหมือนตัวเบาหวิว ความหนักใจในตอนแรกหายไปทีละนิด จนกระทั่งแม่เขาหันกลับมาพูดว่า “แล้วจะลักไก่ไม่เรียนทำแต่งานไม่ได้นะ แม่ต้องการเห็นผลการเรียนของลูกด้วย เข้าใจไหม ส่วนมหา’ลัยที่จะเข้าต่อให้เป็นมหาวิทยาลัยเปิดแม่ก็ไม่ว่า แค่เรียนให้จบ เอาความรู้มาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงหลานให้รอดเท่านั้นก็พอ ตกลงไหม”
   
       “ครับ”
   
       “หึ เรามาดูกันว่าลูกจะไปได้ถึงแค่ไหน ปานตะวัน”
   
       ปานตะวันมองผู้ให้กำเนิดด้วยสายตามั่นคงและแน่วแน่...มากกว่าครั้งไหนในชีวิต
   
        หลังจบมื้อเช้าเคล้าน้ำตาแล้วราเมศก็เป็นฝ่ายขับรถไปส่งรุ่งฟ้าที่โรงแรมของเธอ ก่อนจากกันมารดาของปานตะวันยังหันมาส่งนามบัตรให้เขา  “ฉันว่าเราคงได้ติดต่อกันอีกนาน” เธอว่ายิ้มๆ ราเมศจึงยิ้มตอบ “คุณต้องการให้ผมเป็นสายรายงานความประพฤติลูกชายคุณหรือไงครับ”
   
       “เปล่าสักหน่อย ฉันเชื่อว่าตะวันเอาจริง เด็กคนนั้นไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ  เป็นความผิดฉันเองที่ไม่ได้เอาใจใส่เขาเท่าที่ควรจนออกนอกลู่นอกทางไปแบบนั้น กว่าจะรู้ตัวแล้วกลับมาแก้ก็เกือบสายไปแล้ว”
   
       “ผมว่ายังไม่สายไปหรอกครับ”
   
      “นั่นสินะ...แต่ก็เกือบไปแล้วล่ะ ฉันนี่เป็นแม่ที่แย่จริงๆ เลยนะ”
   
      “ไม่หรอกครับ คุณเป็นแม่ที่ใจเด็ดมากกว่า เมื่อกี้คุณก็ยังพยายามสอนเขาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ สอนให้เขาได้ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง”
   
       สำหรับคนนอกบทเรียนเมื่อครู่อาจจะถือว่าโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ราเมศเชื่อว่าหากปานตะวันได้เรียนรู้และพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว หากคับขันจวนตัวจริงๆ ไม่มีทางที่แม่ของเขาจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย
   
       รุ่งฟ้าก็เหมือนแม่สิงโตที่เลี้ยงลูกด้วยความเข้มงวดเพื่อให้เติบโตมาอย่างเข้มแข็ง วิธีการอาจดูหักดิบและใจร้ายไปบ้าง แต่ไม่มีทางที่คนๆ นี้จะทอดทิ้งลูกได้หรอก
   
       “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ราเมศเปรยขึ้น “ผมจะช่วยดูแลปานตะวันกับเจียหลินให้เอง”
   
       “อย่าตามใจเกินไปนัก ทั้งคู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะเหลิง”
   
        “ไม่มีทาง ผมยึดคติเดียวกับคุณนั่นแหละครับ รักวัวให้ผูกรักลูกก็ต้องแกล้งดุแกล้งเข้มงวดกันบ้าง”
   
        รุ่งฟ้ายกยิ้มมุมปาก นึกชอบใจผู้ชายคราวลูกคนนี้ไม่น้อยเหมือนกัน ท่าทางเอาจริงเอาจังแถมยังไหวพริบดี เป็นคนประเภทที่จะเอาปานตะวันได้อยู่หมัด
   
         แบบนี้เธอค่อยวางใจหน่อย
   
        “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่กับเธอปานตะวันไม่ใช่ลูก ไม่ใช่คนในครอบครัว แล้วทำไมถึงได้ดูแลดีนัก”
   
        นึกว่าจะได้เห็นสีหน้าตกใจของชายหนุ่มที่รับหน้าที่เป็นสารถีแต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับทำแค่หัวเราะออกมาเบาๆ สองตายังจ้องไปที่ถนน ไม่มีเสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย
   
       “เพราะผมชอบลูกชายของคุณ”
   
        สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ พูดออกมาง่ายๆ แต่น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
   
        รุ่งฟ้านึกอยากปรบมือให้คนตรงหน้าชุดใหญ่
   
        “ชอบมากขนาดไหนกันล่ะ ขนาดที่จะทนลำบากไปด้วยกัน อยู่กันไปจนแก่เฒ่า หรือแค่ชอบเล่นๆ”
   
        “ผมไม่ใช่พวกชอบล้อเล่นกับเรื่องพวกนี้หรอกครับ ส่วนจะชอบได้มากขนาดไหนอันนี้ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”
   
         รถยนต์เลี้ยงเข้าจอดที่ลานจอดรถของโรงแรม ราเมศหันมาส่งยิ้มให้รุ่งฟ้า ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “โชคดีนะครับ ไม่ต้องห่วงปานตะวัน ผมดูแลเอง”
   
         “ฝากด้วยนะ ยังไงก็ส่งเมลล์มาบ้าง ฉันคิดถึงลูก อยากเห็นรูปหลานเยอะๆ ด้วย”
   
         “ทั้งที่ส่งข้อความหาเจ้าตัวโดยตรงเลยก็ได้แท้ๆ นะครับ” ยังจะทำให้เรื่องยุ่งยากอีก หากแต่รุ่งฟ้ากลับยักไหล่แล้วพูดว่า “ก็ถ้าส่งไปเจ้าตัวก็จะคิดว่าฉันอ่อนข้อให้น่ะสิ ถ้าไม่ทำตัวดุเข้าไว้เดี๋ยวแผนไม่ได้ผล ฉันไปล่ะนะ ฝากลูกชายกับหลานชายฉันด้วยล่ะ ขอให้ความรักราบรื่นนะจ๊ะ”
   
         ประโยคสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายลงจากรถนั่นทำให้ราเมศได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง นึกขอบคุณฟ้าที่ปานตะวันไม่ได้นิสัยแม่มา ไม่งั้นเขาคงปวดหัวกว่าเดิมร้อยเท่า
   
         “อ้อ เกือบลืม” คนที่กำลังบ่นอยู่ในใจถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อรุ่งฟ้าเปิดประตูออกอีกหนแล้วยื่นหน้าเข้ามา “ถ้าเธอทำลูกชายฉันเจ็บ เสียใจ ร้องไห้ ล่ะก็...เราคงต้องเคลียกันยาว” พูดจบก็ส่งยิ้มสวยๆ ให้อีกหนึ่งที ก่อนปิดประตูแล้วเดินจากไป ท่าทางคล่องแคล่วไม่เหมือนผู้หญิงอายุสี่สิบกว่าๆ ที่มีลูกสามคนแล้วเลยสักนิด
   
         ราเมศอมยิ้มก่อนจะขับรถกลับบ้าน ดูท่าพอกลับไปแล้วเขาจะมีเรื่องต้องคุยกับแมวตัวใหญ่อีกยาวเลย
   
         ขากลับชายหนุ่มแวะซื้ออาหารเที่ยงเข้ามาด้วย ร้องไห้กันไปมาก ทั้งน้าหลานคงหมดแรงกันแล้ว พอกลับมาถึงก็พบว่าปานตะวันกำลังนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา ส่วนเจียหลินก็ฟุบหลับไปแล้ว ดวงตาของคนทั้งคู่แดงช้ำ เห็นแบบนั้นก็สงสารราเมศจึงวางถุงกับข้าวลงบนโต๊ะและเดินไปหาน้ำแข็งมาประคบตาให้อีกฝ่าย
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันที่ถูกจับให้นอนตักเขาพูดเบาๆ เสียงแหบ คงเพราะร้องไห้หนักไป ราเมศส่งเสียงรับในลำคอ พยายามให้อีกคนนอนนิ่งๆ แต่ก็ไม่เป็นผล
   
        “คุยกันก่อนสิ”
   
        “ประคบตาก่อน มันบวม”
   
        “ไม่เอา คุยก่อน ไม่งั้นไม่สบายใจ”
   
        ชายหนุ่มตัวโตถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมแพ้ “เอางั้นก็ได้ ว่ามาสิ”
   
        ปานตะวันลุกขึ้นนั่ง อีกฝ่ายขยับตัวยุกยิก ดึงชายเสื้อ บีบมือ ท่าทางกังวล ราเมศนั่งรออย่างอดทนจนในที่สุดปานตะวันก็ยอมพูด
   
        “ขอโทษที่โกหกเรื่องเรียน”
   
        “ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ”
   
         ลูกแมวแสบตรงหน้าเงียบไปก่อนจะค่อยๆ ช้อนตามอง “พี่เมศ...พี่เมศเชื่อไหมว่าตะวันจะทำได้” อีกฝ่ายริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางขาดความมั่นใจขนาดหนัก “ตะวันยังไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะทำได้”
   
         “ก็ลองดูก่อน มีอะไรก็บอกพี่ พร้อมช่วยเสมอ”
   
         “รบกวนพี่น่ะสิ เกรงใจ”
   
         “ก็กวนมาตั้งเยอะแล้วนะไอ้เด็กแสบ” ราเมศพูดกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายระริก
   
        “รู้น่า ขอโทษแล้วกัน  นี่ก็คิดอยู่ว่าจะไปหางานทำ อาจเป็นพวกเสิร์ฟอาหารตามร้านอะไรงี้ อาจต้องหาหลายงานหน่อยถึงจะพอสำหรับสองคน แต่จะลองดู”
   
        “แล้วเรื่องเรียนล่ะ”
   
       “คิดไว้แล้วล่ะครับ ก็ถ้าเรียนมหาลัยที่บอกพี่เมศไป ค่าหน่วยกิตก็พอจะไหวอยู่ แถมยังไม่ต้องเข้าเรียนบ่อยๆมีเวลาดูเจียหลินแล้วก็ทำงานด้วย คงต้องเรียนหนักมากๆ เพราะต้องอ่านเองแต่ตะวันทำได้ จะพยายามดูสักตั้ง  ส่วนคณะที่อยากเรียนตะวันยังไม่แน่ใจเลย”
   
       ราเมศลูบหัวปานตะวันเบาๆ อีกฝ่ายดูเหนื่อยล้าจนน่าสงสาร เขาจับให้ปานตะวันนอนหนุนตักอีกครั้งก่อนจะเอาน้ำแข็งประคบตาให้ “ค่อยๆ คิดก็ได้ ยังพอมีเวลา ส่วนเรื่องงานพิเศษมาทำงานที่ร้านพี่ก่อนไหมล่ะ ช่วงนี้ขาดเด็กเสิร์ฟพอดี งานอื่น ถ้าไหวก็ค่อยๆ หาไป ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายของเจียหลินพี่ช่วยออกครึ่งนึง โอเคไหม”
   
         “จะดีเหรอ...รบกวนพี่เมศหรือเปล่า”
   
        “บอกแล้วว่ากวนมาเยอะแล้ว กวนอีกนิดก็ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างพี่ไม่อยากให้หลานต้องเปลี่ยนโรงเรียนเพราะเงินจ่ายค่าเทอมไม่พอด้วย งานก็มาทำกับพี่ เงินเดือนดีนะ แล้วถ้ามีงานอื่นก็ค่อยๆ ทำไป ปรับเวลาไป เหนื่อยหน่อย...แต่ก็ต้องสู้...ใช่ไหม”
   
         “แน่อยู่แล้ว!”
   
        “อื้ม แต่บอกไว้ก่อนว่าในเวลางานไม่ใจดีนะ ทำผิดจริงก็ต้องถูกตำหนิ ไม่อ่อนข้อให้นะ เข้าใจใช่ไหม”
   
        “ครับ”
   
       “ดีมาก”
   
        ราเมศยิ้ม อันที่จริงเขาก็ขู่ไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้โหดขนาดนั้น พวกพนักงานทั้งหลายก็รู้ดีว่าแค่ทำตามกฎ สุภาพ มีมารยาทกับลูกค้าและไม่ขี้ขโมยหรือขี้โกงชีวิตก็ราบรื่นแล้ว
   
(มีต่อค่ะ)   

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #69 เมื่อ06-03-2017 19:30:20 »

ประคบตากันไปได้พักหนึ่งปานตะวันก็ดึงมือราเมศออก อีกฝ่ายพึมพำขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นยืน มองออกไปตรงชานกว้าง โมบายที่หามาแขวนส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งในสายลมอ่อน เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทำหน้าครุ่นคิดจากนั้นก็หันมาหาเขาแล้วพูดว่า
   
        “พี่เมศ ไปนั่งข้างนอกกันไหมครับ”
   
        “เอาสิ”
   
         พวกเขาสองคนนั่งชิดกันอยู่บนพื้น กลิ่นหอมหวานของดอกไม้และเสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้ใจสงบ ปานตะวันนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นช้าๆ
   
         “ตะวันกับแม่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่” อีกฝ่ายหยุดไปเหมือนกำลังดูปฏิกิริยาชายหนุ่มผิวแทนข้างกาย แต่พอเห็นราเมศนั่งฟังด้วยท่าทางตั้งใจก็เริ่มเล่าต่อ “ตะวันดื้อกับแม่มาก โดยเฉพาะช่วงที่แม่กำลังท้องน้องๆ ตอนนั้นตะวันอยู่ประถม ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่แต่งงานใหม่ ทำไมเราไม่ติดต่อพ่อกับพี่จันทร์เลย ทำไมแม่ถึงไม่สนใจตะวัน จนมีคนพูดให้ตะวันฟังว่าแม่กำลังจะมีน้องๆ มาให้ตะวัน เป็นครอบครัวใหม่”
   
         ดวงตาสีนิลเหม่อออกไปไกล ยิ่งเล่าความทรงจำยิ่งทะลักทลาย
   
         “แต่ตะวันไม่อยากมีครอบครัวใหม่ ไม่อยากมีพ่อใหม่ ไม่อยากมีน้อง ตะวันกลัวถูกแย่งความรัก ยิ่งช่วงนั้นแม่ไม่สนใจตะวันเหมือนเคย แม่เอาแต่ลูบท้อง ฟังเพลง อ่านนิทานให้น้องในท้องฟัง เห็นแบบนั้นตะวันก็ยิ่งเกลียด”
   
         ปานตะวันเงียบไป คล้ายกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกที่เอ่อท้นในใจให้ราบเรียบ
   
        “ยิ่งใกล้คลอดแม่ยิ่งสนใจตะวันน้อยลง พอคลอดออกมาแล้วเห็นเป็นเด็กผู้หญิงแม่ก็ดีใจมาก แม่อยากได้ลูกสาวมาตลอด พี่เมศรู้ไหมว่าตอนที่ยืนอยู่วงนอก มองแม่ พ่อเลี้ยงกอดกัน ในอ้อมแขนแม่มีน้อง...ดูเป็นครอบครัวแสนสุขเนอะ แต่ตอนนั้นตะวันโคตรเกลียด เพราะตะวันเป็นคนที่อยู่วงนอก รู้สึกเป็นส่วนเกิน...ในครอบครัวของตัวเอง”
   
        ร่างเล็กๆ นั้นเอนมาซบ ราเมศก็ไม่ได้ขยับออกห่าง กลับกันเขากลับยกมือโอบร่างเล็กๆ นั้นไว้ ลูบไหล่ปลอบโยนให้อย่างแผ่วเบา
   
        “พอขึ้นชั้นมัธยม โตพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตะวันก็รู้ตั้งแต่ต้นเรื่องมันเป็นมายังไง...มันเริ่มจากพ่อกับแม่แต่งงานกัน มีตะวัน จากนั้นแม่ก็นอกใจพ่อ สาเหตุคงเพราะ...นิสัยพ่อกับแม่ไปกันไม่ได้มั้ง แม่ตะวันเป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเองสูง ชอบทำนู่นนี่ ใจกล้า ชอบเดินทาง รักความตื่นเต้นแต่พ่อกลับเป็นผู้ชายนิ่งๆ รักสงบมากกว่า  แน่นอนว่าไปกันไม่รอด สุดท้ายแม่ก็เจอคนที่ใช่...ที่ออกจะมาผิดเวลาไปสักหน่อย พวกเขาคบกันตั้งแต่ตอนที่ยังไม่หย่ากับพ่อ พ่อคงระแคะระคายเรื่องนี้แต่ไม่อยากทำเป็นเรื่องใหญ่เลยยอมหย่าให้แบบเงียบๆ หลังจากนั้นแม่ก็มีความสุข ในขณะที่ตะวันเรียกร้องความสนใจจากแม่มากขึ้น ทำตัวแย่ๆ มากขึ้น ยิ่งโตก็ยิ่งทะเลาะกันบ่อย เถียงกันดังลั่นบ้านแทบแตก ตะวันไม่ชอบพ่อเลี้ยง ไม่ชอบน้อง ไม่ชอบแม่...”
   
        “เพราะ...พวกเขาพังครอบครัวแสนสุขของตะวัน..พังมันจนเละไปหมดเลย”
   
        คนข้างกายตัวสั่นน้อยๆ ราเมศเริ่มเข้าใจสาเหตุที่ปานตะวันทำตัวเป็นเด็กไม่ดีขึ้นมาทีล่ะนิด เรียกร้องความสนใจ โหยหาความอบอุ่น ต้องการให้ใครสักคนมารัก ปรารถนาจะได้เป็นที่ยอมรับ ปานตะวันต้องการสิ่งเหล่านั้นมาโดยตลอด เมื่อครอบครัวให้ไม่ได้ เจ้าตัวจึงเคว้งคว้าและโดดเดี่ยว
   
        แมวตัวนี้นอกจากดื้อแล้วยังขี้เหงาแล้วก็ต้องการความรักมากๆ ด้วยสินะ
   
        “หลังท้องน้องคนที่สองแม่ก็จะย้ายตามอเล็กซ์ไปต่างประเทศ ตอนแรกเขาจะพาตะวันไปด้วยแต่ตะวันไม่ไป เพราะรู้ดีว่ายังไงตัวเองก็คงไปเป็นส่วนเกินที่นั่นแน่ๆ สุดท้ายพวกเขาก็ไป...ทิ้งตะวันไว้ทางนี้กับญาติ นานๆ แม่ถึงจะติดต่อมาสักที พอเข้ามหา’ลัย ดีหน่อยที่ได้เรียนกับไอ้กันต์ มันยังดึงตะวันให้อยู่กับร่องกับรอยได้ แต่สุดท้ายตะวันก็หลุด...ตอนปลายปีหนึ่งตะวันมีแฟน...เป็นผู้ชาย ก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่แต่ตอนนั้นมันหลง แม่งชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ บอกอะไรดีก็ว่าดี โคตรโง่ ช่วงนั้นเรียกได้ว่าชีวิตเหลวแหลกของจริงเลย ตะวันกินเหล้าจนเมาหลับแทบทุกวัน ติดพนัน แม่งเป็นวงจรอุบาทว์มาก ตอนนี้ก็คิดนะ อะไรทำให้ตะวันบ้าได้ขนาดนั้น ยอมทำอะไรโง่ๆ ได้ขนาดนั้น...”
   
        ราเมศแนบริมฝีปากลงที่ขมับคนตัวเล็กข้างกาย ปานตะวันเงยหน้ามองเขา แววตาสั่นระริก
   
        “เหตุผลมันง่าย...แล้วก็โง่ด้วย..เพราะมันบอกว่ารักตะวัน คำนั้นคำเดียวเลย มันบอกว่ารัก ตะวันเลยเชื่อ เลยยอมจนถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายแฟนตะวันก็หนีหนี้หายหัวไปไหนไม่รู้ ตะวันโดนตามทวงหนี้ถึงบ้าน หลบหัวซุกหัวซุน เป็นไอ้กันต์ที่ทนไม่ไหวเข้ามาช่วย ทั้งพาไปบำบัด จ่ายเงินค่าหนี้ให้ แล้วก็บังคับให้ลาขาดจากเรื่องพวกนี้ ถึงได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ตะวันเหลวแหลกมานานแล้วพี่เมศ จนมาเจอเจียหลินกับพี่...ที่ทำให้ตะวันอยากเป็นคนดีขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น...อยาก...ดีให้มากกว่านี้”
   
        เจ้าตัวหลับตาเมื่อราเมศจูบลงที่หน้าผาก สองมือของพวกเขาจับกันไว้แน่น คล้ายกับว่าจะให้ราเมศช่วยพาตัวตนที่หลงทางกลับมา
   
        “ตะวันจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิมให้ได้ ตะวันสัญญา”
   
        “พี่รู้ว่าเราทำได้”
   
         ราเมศยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปช้าๆ เมื่อคนตัวเล็กหันมาจ้องหน้าเขา “ตะวันเล่าเรื่องของตะวันไปหมดแล้ว...พี่ล่ะพร้อมจะเล่าหรือยัง เรื่องของพี่กับพี่จันทร์”
   
        เรื่องของเขากับจันทร์จ้าว...นั่นสินะ...คงถึงเวลาแล้วล่ะ
   
        “ได้สิ พี่พร้อมแล้ว” ปานตะวันขยับตัวตรง ดูตั้งอกตั้งใจจนหมั่นเขี้ยว ราเมศเลยจูบเหม่งอีกฝ่ายไปหนึ่งทีโทษฐานที่น่าหยิกเกินไป
   
       “พี่กับจันทร์เป็นเพื่อนบ้านกัน...รู้จักกันมานานแล้วล่ะ ตั้งแต่สมัยเรียน อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่รู้คือพี่เป็นเพื่อนกับสามีของจันทร์ พวกเราสามคนอยู่กลุ่มเดียวกัน เพื่อนสนิทพี่...สมมติว่าชื่อ A แล้วกัน ไอ้ A เนี่ย มันแอบชอบเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มอยู่คนหนึ่ง จันทร์ก็รู้ ทุกคนรู้กันหมดว่ามันชอบ และที่แย่คือจันทร์เองก็ชอบไอ้ A อยู่เหมือนกัน...และพี่ก็แอบชอบจันทร์ รักกี่เส้าไม่รู้ ขี้เกียจนับ” ราเมศพยายามพูดติดตลกแต่ปานตะวันคงไม่ขำ พอเห็นสีหน้าจริงจังกึ่งเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายราเมศจึงดึงตัวปานตะวันเข้ามาใกล้ ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ
   
       “เรื่องมันเกิดตรงที่คืนหนึ่งพวกพี่ไปกินเหล้ากัน จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่ว่าจันทร์กับไอ้ A หายไปด้วยกัน พอเช้าวันต่อมาทั้งคู่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...จนกระทั่งจันทร์ท้อง ตอนแรกพวกพี่เครียดกันมาก จันทร์ยืนยันว่ายังไงก็ลูก A แน่ๆ ซึ่ง...มันก็เต็มใจรับผิดชอบ ทั้งคู่ไม่ได้จัดงานแต่งแต่จดทะเบียนกัน  พี่เองก็พอรู้ว่าช่วงนั้นจันทร์มีความสุขมาก แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากนั้นพี่ดันจับได้ว่า A คบชู้กับผู้หญิงที่มันแอบชอบนั่นแหละ ที่แย่คือในตอนนั้นพี่ดันช่วยมันปิดเป็นความลับ”
   
        “เพราะคิดใช่ไหมครับว่าถ้าพี่จันทร์รู้จะได้เลิกชอบพี่ A แล้วพี่ก็จะได้มีโอกาส”
   
       “อืม เห็นแก่ตัวเนอะ”
   
        ปานตะวันไม่ได้ตอบ เด็กน้อยของเขาซุกตัวเบียดเข้าหามากขึ้น เหมือนจะปลอบใจ จากนั้นร่างเล็กก็พึมพำออกมาว่า
   
        “ใครๆ ก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละครับ”
   
        “นั่นสินะ...แต่มันคงจะดีถ้าความเห็นแก่ตัวของพี่ไม่ได้มีส่วนทำให้จันทร์...ตาย”
   
        พอพูดถึงตรงนี้ร่างในอ้อมแขนก็เกร็งตัวขึ้น ชายหนุ่มตัวเล็กผงกศีรษะขึ้นมองด้วยสีหน้าตกใจ ราเมศทาบนิ้วลงบนริมฝีปากของปานตะวัน ยังสั่นอยู่เลย...เจ้าลูกแมวของเขา
   
        “พี่ช่วยเพื่อนปิดเป็นความลับไว้ แต่ไม่นานจันทร์ก็จับได้ว่าสามีแอบคบชู้ เธอมาร้องไห้กับพี่ด่าว่าพี่...ว่าทรยศ  ตอนแรกก็โกรธมากจนไม่ยอมพูดกับพี่เลย แต่ในที่สุด A ก็เก็บข้าวของย้ายออกไปอยู่กินกับคนรักของตัวเอง ทิ้งจันทร์จ้าวกับลูกที่เพิ่งคลอดไว้  จันทร์เสียใจ พี่เองก็ไม่คิดว่ามันจะทำอย่างนั้น ช่วงนั้นแหละที่เรากลับมาคุยกัน ถึงจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่จันทร์ก็ยังรักเพื่อนพี่อยู่ พอเพื่อนพี่เสีย จันทร์ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า พี่ที่รู้สึกผิดเลยไปช่วยเลี้ยงเจียหลินบ่อยๆ เอาหลานมานอนที่บ้านบ้างเวลาจันทร์ขังตัวเองในห้อง จันทร์กินยา...แต่ก็นะ...”
   
        น้ำเสียงของราเมศขมขื่น...จนปานตะวันชักอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ
   
        “จนกระทั่งวันที่เกิดอุบัติเหตุ จันทร์มาหาพี่ ท่าทางเหมือนไม่มีอะไร เธอวางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ให้พี่ เป็นรูปถ่ายรวมของกลุ่มเรา บอกว่าค้นเจอในบ้าน หลังจากนั้นเธอก็ออกไปข้างนอกแล้วหลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็โทรมา...บอกว่าจันทร์ขับรถแหกโค้ง เขาสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่สำหรับพี่...พี่กลับรู้สึกว่าจันทร์อาจจะอยากฆ่าตัวตายก็ได้ พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอคิดอะไรอยู่ มันอาจเป็นตอนที่ขับรถไปแล้วแค่แวบเดียว...แวบเดียวจริงๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนั้น แต่ไม่ว่ายังไงผลก็คือจันทร์จากไป และพี่มีส่วนทำให้เธอตาย ลึกๆ ในใจจันทร์ก็คงเกลียดพี่นั่นแหละ แต่พี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอแล้ว บางทีถ้าพี่บอกเธอไปตั้งแต่แรก...ว่าสามีเธอมีชู้...ไม่สิ...บอกเธอไปว่าพี่รักเธอและพร้อมจะรับผิดชอบลูกของเธอด้วย เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้”
   
        ปานตะวันเงียบไป เขารู้ดีว่าราเมศกำลังทุกข์ และเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เท่านั้น
   
        “มันผ่านไปแล้ว” ปานตะวันกระซิบ “เราทำอะไรไม่ได้ เรียกอดีตคืนมาไม่ได้ ตอนนี้เราทำได้แค่เริ่มต้นใหม่เท่านั้นแหละครับ”
   
        ราเมศพยักหน้า รวบตัวคนตัวเล็กมากอดแน่น ปานตะวันเองก็กอดเขากลับ เจ้าตัวว่าง่ายเสมอเวลามีเรื่องอะไรมากระทบจิตใจ
   
        พวกเขากอดกันอยู่เงียบๆ แบบนั้นครู่หนึ่ง ให้ความอบอุ่นจากการมีใครอีกคนในอ้อมแขนบรรเทาบาดแผลในใจให้ทุเลาลงทีละเล็กทีละน้อย
   
         “น้าเมศ น้าตะวัน” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นใกล้ๆ ราเมศกับปานตะวันผละออกจากกัน ใบหน้าน่ารักของคุณน้าตะวันขึ้นสีแดงเรื่อ เจ้าตัวรีบผละออกห่างจากราเมศทันทีจนคนตัวโตได้แต่ลอบขำในใจ
   
        “ว่าไงครับหนูเจีย”
   
       เจียหลินที่ตาแดง จมูกแดงปีนขึ้นไปนั่งบนตักแล้วก็กอดคุณน้าตะวันของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้ว่า “หนูเจียกอดด้วย ให้กำลังใจกันนะ หนูเจียจะสู้ๆ ด้วยคน น้าตะวันกับน้าเมศก็สู้ๆ นะครับ”
   
        ถ้อยคำบริสุทธิ์แสนไร้เดียงสาที่กลั่นมาจากใจทำให้คุณน้าทั้งสองยิ้มออกมาได้ในที่สุด อดีตที่เปิดเผยไปคล้ายกำลังสลายเป็นฝุ่นธุลีและเลือนหายไปท่ามกลางแสงแดดและสายลม  ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับอดีตอีกแล้ว มีเพียงปัจจุบันและอนาคตเท่านั้นที่ต้องคำนึงถึง
   
       ราเมศรวบตัวปานตะวันกับเจียหลินเข้ามาในอ้อมกอด ซึ่งทั้งสองคนก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน พวกเขามีกันและกันเพียงเท่านี้
   
       เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว
   
       ราเมศกระชับอ้อมกอดในขณะที่ปานตะวันเอ่ยขึ้นมาว่า
   
       “เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะครับ...พวกเราทั้งสามคน”
   
        ราเมศรับคำ ปานตะวันบอกกับเขาว่าเขากับเจียหลินเป็นโอกาสที่สองของตน แต่ ณ. ช่วงเวลานี้ราเมศก็ตระหนักได้ว่าปานตะวันกับเจียหลินเองก็เป็นโอกาสที่สองของเขาเช่นกัน

******************************************************

สวัสดีค่าาาาา เรากลับมาแล้วค่ะ หายไปนานจนรู้สึกผิด แงงงงง  :hao5:
ตอนนี้เป็นตอนที่เฉลยความลับของพี่เมศและปานตะวันค่ะ จากตอนแรกที่ว่าจะเขียนสั้นๆ ก็กลายเป็นยาวมาก
สำหรับเรื่องนี้เราพยายามไม่ให้เรื่องมันดูหนักมาก เพราะบอกกับตัวเองว่าฟีลกู๊ดนะ ครอบครัวนะ
มันจะกลายเป็นแนวบู๊ล้างผลาญแบบเรื่องก่อนๆ ไม่ได้ ฮาาาา สำหรับปานตะวัน ตัวละครสายฮีลเลยคือหนูเจียค่ะ
เขียนตอนนี้ก็หลงรักหนูเจียไปด้วย โอ๊ย เด็กน้อยยย หวังว่าคนอ่านจะหลงรักหนูเจียเหมือนเรานะคะ 5555

ในที่สุดก็ปิดเทอม เราจะพยายามอัพนิยายให้ได้บ่อยเท่าที่จะทำได้ (จะพยายามไม่อู้และนอนอืดค่ะ แหะๆ)
อย่างไรก็ตาม เราขอฝากหนูเจีย น้าตะวันและน้าเมศไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
มาเอาใจช่วยให้พวกเขากลายเป็นครอบครัวแล้วก็ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกันนะคะ

รักคนอ่านทุกคนพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
« ตอบ #69 เมื่อ: 06-03-2017 19:30:20 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #70 เมื่อ06-03-2017 19:43:47 »

หนูเจียน่ารักมาก
ตอนนี้เหมือนต่างฝ่ายต่างช่วยกันเลย

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #71 เมื่อ06-03-2017 20:28:43 »

อื้ออออ ผ่านไปให้ได้ทั้งสามคน
คุณแม่น่ารักดี ผิดจากที่คิด
อดีตก้อเลวร้าย แต่ช่างมัน
จากนี้ไปดีจึ้นแน่ๆ

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #72 เมื่อ06-03-2017 20:31:34 »

ดีแล้วที่เคลียร์กันครบทุกเรื่องแบบนี้
เริ่มต้นความรักด้วยความจิง มันถึงจะมั่นคง!!
#หนูเจียน่ารัก ฮ่อลลลลลล

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #73 เมื่อ06-03-2017 23:18:27 »

โถ่ ตะวันเด็กน้อยของป้า มา มา มาให้ป้ากอดที ตอนนี้มีพี่เมศอยู่ข้างๆ แล้วนะ เดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีขึ้นเองนะ มีพี่เมศเอ็นดู ให้ความรักและดูแลอยู่ข้างๆ ตะวันต้องทำได้แน่ๆ ส่วนคุณแม่ไม่อย่าจะว่าเลยเหมือนตัวคุณแม่เองก็มีความสุขอยู่กับผัวใหม่กับครอบครัวใหม่จนไม่ได้สนใจดูลูกตัวเอง แบบนี้สู้ทิ้งตะวันไว้กับพ่อของตะวันไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าจะไม่สนใจแบบนี้สงสารตะวันตอนเด็กๆ จริงๆ ถึงจะมารู้ตัวตอนหลังๆ และพยายามจะทำให้มันดีขึ้น แต่เราว่ามันก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก เพราะมันคงฝังใจและเป็นแผลอยู่ในใจลึกว่าแม่ไม่ได้รักตะวันเท่าที่ควรเหมือนน้องๆ และครอบครัวใหม่ของแม่

ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #74 เมื่อ07-03-2017 09:52:56 »

รักแม่ตะวันจัง. เหมือนนางจะร้าย แต่นางก็รักตะวัน


 :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ l2_in*

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
«ตอบ #75 เมื่อ08-03-2017 00:09:16 »

เคลียร์แล้ว ฮือออออออ
สู้ไปด้วยกันนะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๘
หลุมรัก


       ปานตะวันเริ่มงานกับราเมศทันทีในวันต่อมา ร้านอาหารของราเมศไม่ได้ใหญ่มาก ตัวร้านตั้งอยู่ริมน้ำ สร้างจากไม้ทั้งหลัง ตกแต่งแบบสบายๆ และเป็นกันเอง กระถางกล้วยไม้แขวนเรียงอยู่ด้านหนึ่ง ที่ผนังก็แขวนรูปวาด รูปถ่ายเอาไว้ ลมพัดเย็นสบายเกือบตลอดวัน  แม้ร้านจะเล็กแต่อาหารและราคาคุ้มค่าทำให้มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย วันแรกที่ไปถึงปานตะวันจึงเหนื่อยสายตัวแทบขาด
   
      ชายหนุ่มไม่เคยเจองานแบบนี้มาก่อน ช่วงปิดเทอมเขาก็ไม่เคยทำงานพิเศษที่ไหน ปกติจะนอนอยู่ในบ้านเกือบทั้งวัน มีออกไปเที่ยวหรือไปถ่ายรูปบ้างแล้วแต่อารมณ์ ทำให้พอเข้ามาทำงานในตำแหน่งเด็กเสิร์ฟวันแรกแล้วเจอช่วงกลางวันที่ลูกค้าล้นหลามรวมถึงบรรยากาศวุ่นวายปานตะวันจึงเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะบ่อยๆ แต่นั่นยังไม่หนักเท่า...
   
      “นี่น้อง!” เสียงดังของลูกค้าที่นั่งโต๊ะยาวกลางร้านตะโกนเรียกทำให้ปานตะวันซึ่งกำลังหัวหมุนกับการเสิร์ฟอาหารถึงกับสะดุ้ง พอหันไปก็พบกับใบหน้าถมึงทึงของลูกค้ากำลังจ้องมาที่ตน ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำเข้มของทางร้านกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าขาวซีดเผือดลงกว่าเดิมแต่กระนั้นปานตะวันก็ยังเดินเข้าไปหาลูกค้าทันที
   
       “ครับ”
   
        “อาหารของโต๊ะผมยังไม่ได้อีกเหรอครับ นี่ผมรอมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ โต๊ะที่มาที่หลังได้กันไปหมดแล้ว คุณเป็นคนรับออเดอร์ใช่ไหม เมื่อไหร่อาหารจะได้ครับ”
   
       “เอ่อ...ใช่ครับ ผมรับออเดอร์ของโต๊ะคุณ เดี๋ยวผมจะไปเช็คกับทางครัวให้นะครับ ขอความกรุณารอสักครู่นะครับ”
   
       “ครับ ผมก็รออยู่ นี่รอมาจนจะชั่วโมงแล้ว”
   
       เสียงแข็งๆ ของลูกค้าทำให้ปานตะวันใจหายวูบ ชายหนุ่มรีบร้อนเดินเข้าไปในครัว ด้านในราเมศกับแม่ครัวอีกสามคนกำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่
   
       “พี่เมศ ออเดอร์ของโต๊ะสิบสองได้หรือยังพี่”
   
       ราเมศที่กำลังทำปลาหมึกชุบแป้งทอดอยู่เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าคมมีหยาดเหงื่อเกาะพราวและสีหน้าดูเคร่งเครียดจนปานตะวันกลัวว่าตัวเองจะถูกดุ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปหยิบใบจดออเดอร์ของลูกค้าขึ้นมาดู
   
       “ตะวัน ไม่มีออเดอร์ของโต๊ะสิบสองนะ”
   
       “เฮ้ย เป็นไปได้ไง ก็ผมเป็นคนรับออเดอร์มาแล้วก็เอามาวางไว้”
   
       “เนี่ยไม่มีจริงๆ ลองดูสิ”
   
        ปานตะวันรื้อใบสั่งอาหารของวันนี้ขึ้นมาดูก็พบว่าไม่มีของโต๊ะสิบสองจริงๆ ที่มีคือใบเก่าที่ลูกค้าจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก คงไม่ใช่ว่าใบปลิวหายไปแล้วหรอกนะ!
   
        “พี่เมศ...ใบออเดอร์ของลูกค้าไม่มี หรือว่าหายไปแล้ว ทำไงดี”
   
        ปานตะวันนึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะตายไปตรงนั้น นี่เป็นการทำงานวันแรกของเขาและก็เป็นวันที่ปานตะวันรู้สึกอยากตายมากที่สุด วันนี้ทั้งวันเขาทำผิดพลาดไปแล้วประมาณห้ารอบได้ ทั้งเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะ ทำน้ำหกใส่กางเกงลูกค้า แต่นั่นยังไม่หนักเท่าครั้งนี้เลย
   
        ทำใบออเดอร์ลูกค้าหาย...ให้ลูกค้ารอเกือบครึ่งชั่วโมง
   
        แถมยังเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดและสั่งอาหารมากสุดด้วย
   
        ถ้าเขาเป็นพี่เมศปานตะวันคิดว่าเขาคงไล่ตัวเองออกไปนานแล้ว
   
        คงเพราะสีหน้าของคนอายุน้อยกว่าเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ราเมศจึงตัดสินใจวางตะหลิวแล้วสั่งให้ลูกมือคนหนึ่งที่ยืนกำกับดูแลหม้อซุปอยู่มารับหน้าที่ทำอาหารจานต่อไปให้ที ชายหนุ่มเดินไปล้างมือแล้วก็พาปานตะวันออกไปข้างนอก
   
        เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่สิบสอง ลูกค้าก็กำลังหงุดหงิดเต็มที่ พอเห็นหน้าปานตะวันก็ตะคอกออกมา
   
        “ไหน ว่าไง อาหารของโต๊ะผมน่ะ”
   
        “ข..ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ผมทำใบออเดอร์ของคุณหาย...แต่ว่าผมจะ...”
   
        “ทำหาย แล้วที่ผมรอมาครึ่งชั่วโมงคืออะไร!? ขอโทษนะ แต่ทำไมบริการมันถึงได้แย่แบบนี้ เจ้าของร้านอยู่ไหน ช่วยเรียกมาเดี๋ยวนี้เลย”
   
        “ผมเองครับเจ้าของร้าน”
   
        ราเมศเอ่ยเสียงอ่อน ชายหนุ่มโค้งตัวขอโทษลูกค้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ผมขอโทษจริงๆ สำหรับความผิดพลาดของเราในวันนี้  ทางผมจะรับออเดอร์ไปใหม่แล้วก็ทำให้ทันที แล้วจะลดราคาอาหารให้ครึ่งหนึ่งด้วย ดีไหมครับ”
   
        ลูกค้าที่เป็นชายร่างอวบแค่นเสียงหัวเราะ แต่สีหน้าก็ดูอ่อนลงมากแล้ว “ผมมาทานร้านคุณเพราะเห็นรีวิวในอินเทอร์เน็ตว่าอาหารอร่อย บรรยากาศดี บริการเลิศหรอกนะ แต่นี่ดูเหมือนว่าเรื่องบริการเลิศจะไม่จริงสักเท่าไหร่” พูดพร้อมกับปรายตามามองปานตะวัน ชายหนุ่มตัวเล็กยกมือไหว้ลูกค้าอย่างนอบน้อม กล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความรู้สึกผิด
   
        “ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมเป็นพนักงานใหม่ เพิ่งเข้ามาทำงานวันนี้เป็นวันแรก ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ผมทำผิดพลาดไปมากขนาดนี้ แต่ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครับ”
   
        “ผมเองในฐานะเจ้าของร้านก็ต้องขอโทษด้วยครับ หากคุณลูกค้าไม่รังเกียจ ผมจะรีบนำอาหารมาเสิร์ฟทันทีครับ”
   
        “ก็ดี...แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย”
   
        แม้น้ำเสียงจะยังมึนตึงอยู่แต่สีหน้าของลูกค้าก็นับว่าดีขึ้นมาก รายการอาหารยาวเหยียดถูกสั่งมา ราเมศเป็นคนรับออเดอร์ไปด้วยตัวเอง โดยมีปานตะวันเดินตามต้อยๆ ไปจนถึงครัว พอชายหนุ่มจะเดินกลับเข้าไปในครัวปานตะวันก็รั้งชายผ้ากันเปื้อนอีกฝ่ายไว้
   
        “พี่เมศ...ตะวันขอโทษครับ”
   
        ราเมศไม่ตอบ ทำเพียงจ้องปานตะวันนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะตบไหล่ชายหนุ่มสองสามที “ไว้คุยกันหลังเลิกงาน ตอนนี้ไปทำงานก่อน แล้วก็อย่าวอกแวก อย่าเหม่อลอย ตั้งสติหน่อยปานตะวัน”
   
        เสียงทุ้มติดดุนั่นทำให้ปานตะวันรีบพยักหน้าแข็งขัน ออกไปทำงานในส่วนของตัวเองต่อ โชคดีที่พอพ้นช่วงกลางวันแล้วลูกค้าก็เริ่มน้อยลงทำให้เขามีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง พอช่วงบ่ายสามโมงครึ่งเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีคนมา   ราเมศจึงสามารถปลีกตัวออกไปรับเจียหลินจากโรงเรียนได้ เด็กน้อยนั่งทำการบ้านรอผู้ปกครองอยู่หลังเคานต์เตอร์คิดเงินโดยมีพนักงานที่คิดเงินคอยดูแลให้
   
        ร้านอาหารของราเมศปิดตอนสามทุ่ม วันนั้นปานตะวันเป็นคนทำความสะอาดร้านคู่กับพี่พนักงานเสิร์ฟอีกคนหนึ่ง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปานตะวันก็เอาผ้ากันเปื้อนไปแขวนไว้ ล้างไม้ล้างมือแล้วเก็บของเตรียมกลับบ้าน วันนี้เขาปวดไปทั้งตัว คิดว่าพอหัวถึงหมอนต้องหลับแน่ๆ
   
        “ปานตะวัน รอเดี๋ยว”
   
       อ้อ...ถ้าเขาไม่ถูกผู้ชายที่ชื่อราเมศขบหัวหลุดซะก่อนน่ะนะ
   
       ปานตะวันคิดไว้แล้วว่าหลังปิดร้านต้องเจอศึกหนัก เขายืนกุมมือ ก้มหน้านิ่งเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกคุณครูทำโทษในขณะที่ราเมศยืนพิงเคาน์เตอน์ กอดอกมองเขา
   
       “วันนี้ทำผิดพลาดไปหลายอย่าง รู้ตัวใช่ไหม”
   
       “ครับ”
   
       “ตั้งสติหน่อยสิ โดยเฉพาะเวลาเสิร์ฟกับรับออเดอร์ลูกค้า”
   
       “ขอโทษครับ”
   
       “ถือว่าวันนี้เป็นวันแรกจะหยวนให้ก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้ายังเกิดเรื่องแบบนี้อีกพี่จะตัดเงินเดือนนาย เข้าใจไหม”
   
       “เข้าใจครับ”
   
        “ดี ทีนี้ยื่นมือออกมา”

        “พี่จะตีผมเหรอ”
   
        พอเห็นใบหน้าขาวที่ทำสีหน้าประหลาดราเมศก็หัวเราะหึออกมา เงื้อมือเหมือนจะตี ปานตะวันหลับตาปี๋ รู้ดีว่าแรงผู้ชายตัวยักษ์แบบราเมศนี่ไม่ใช่เล่นแน่ๆ แต่รออยู่นานก็ไม่รู้สึกเจ็บสักทีเลยลืมตาขึ้นก็พบใบหน้าหล่อเหลาที่อมยิ้มตาพราวยื่นมาจ่อใกล้ๆ พร้อมกับที่มือหนาวางบางสิ่งลงกลางมือของตน พอก้มมองก็เห็นเหรียญช็อกโกแลต วางอยู่
   
       “นี่...”
   
       “รางวัลไง ขอบคุณที่ขยันนะ”
   
       “หืม พี่จะหักเงินเดือนงวดแรกผมเหรอ”
   
       “ก็อย่าทำตัวดื้อสิ หนหน้าถ้ามีเรื่องแบบวันนี้อีกพี่หักจริงๆนะ”
   
       “รู้แล้วๆ” ปานตะวันเงียบไปก่อนจะรั้งชายเสื้อราเมศไว้ “พี่เมศ...ขอโทษครับแล้วก็ขอบคุณ” ราเมศยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะขยี้ผมปานตะวันไปอย่างเอ็นดู จากนั้นก็วางซองใส่เงินแปะลงบนหัวไอ้ตัวเล็ก “เอ้านี่ เงินเดือนงวดแรกของนาย ใช้ให้มันดีๆ ล่ะ ตอนนี้ไม่ได้มีกินมีใช้ไม่ขาดมือเหมือนเมื่อก่อนนะ”
   
       ปานตะวันที่เห็นซองเงินเดือนก็ยิ้มแก้มปริ พนักงานเสิร์ฟของที่นี่ได้เงินเดือนเก้าพันบาทต่อเดือน ส่วนทิปก็แล้วแต่คนจะได้ รุ่นพี่คนหนึ่งแอบกระซิบบอกปานตะวันว่าให้ทำงานบริการลูกค้าให้ดีๆ ใครทำดี ทิปเยอะ เอาไปบวกรวมกับเงินเดือนก็เป็นหมื่นแล้ว
   
       “กลับบ้านกันเถอะไอ้แมวแสบ ป่านนี้หลานหิวแล้วมั้ง”
   
       “เออจริงด้วย หนูเจีย”
   
        เจียหลินที่นั่งแกว่งขารออยู่รีบวิ่งเข้ามาหาคุณน้าทั้งสองทันที “น้าตะวัน น้าเมศ หนูเจียหิวข้าวแล้วครับ” ราเมศหัวเราะพลางอุ้มหลานชายขึ้นมา “งั้นหนูเจียอยากกินอะไรครับ”
   
        “หนูเจียอยากกินไข่เจียวกุ้งสับครับ”
   
       “งั้นได้เลย เดี๋ยวน้าเมศทำให้นะ”
   
        “เย้”
   
        ปานตะวันรับเอากระเป๋าของเจียหลินมาถือจากนั้นก็หิ้วกระเป๋าของตัวเองเดินตามทั้งคู่ไปที่รถ พวกเขามาทำงานแล้วก็กลับบ้านพร้อมกัน ในตอนที่ขึ้นไปนั่งประจำที่ ปานตะวันก็คิดว่าเขาคงเป็นพนักงานที่ได้สวัสดิการดีที่สุดในโลกแล้วมั้งเนี่ย
   
       แต่เพราะแบบนี้แหละปานตะวันถึงโกรธตัวเองเอามากๆ ด้วยที่วันนี้ทำเรื่องผิดพลาดไปมากมาย ราเมศรับเขาเข้าทำงานที่นี่ ทำอะไรพลาดไปไม่ได้เสียแค่เขาแต่เสียถึงราเมศด้วย ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าวันต่อๆ ไปเขาจะตั้งใจทำงานไม่ให้ผิดพลาด ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้
   
       หลังทานมื้อค่ำเสร็จพวกเขาก็พากันแยกย้าย กลับเข้าบ้านใครบ้านมัน ปานตะวันที่พออาบน้ำเสร็จก็ง่วงและเหนื่อย พอหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับทันที แต่ยังไม่ทันได้นอนก็พบว่ากันต์โทรเข้ามาเสียก่อน เขาเลยจำต้องรับสายด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
   
       “ว่าไงมึง”
   
       [โห เสียงเพลียมาเชียว ทำงานวันแรก หนักเหรอมึง]
   
       “อืม โหดกว่าที่คิดไว้”
   
       แล้วปานตะวันก็เริ่มเล่าประสบการณ์การเป็นเด็กเสิร์ฟวันแรกให้เพื่อนรักฟัง พอฟังจบชนกันต์ก็หัวเราะอารมณ์ดีพร้อมกับเอ่ยแซวว่า
   
        [ก็มึงมันลูกคุณหนู งานหนักๆ เคยทำซะที่ไหน แต่ก็ดีแล้ว นึกถึงหน้าหลานไว้เว้ย มึงจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้แล้ว]
   
        “เออๆ ว่าแต่ที่กูฝากมึงหานี่ได้ไหมวะ”
   
       เมื่อวันก่อนปานตะวันเล่าเรื่องที่แม่บินมาหาพร้อมข้อตกลงให้ชนกันต์ฟัง ซึ่งเพื่อนรักก็รับปากว่าจะช่วยหางานให้อีกแรง
   
       [ได้มาสองสามงาน มีงานร้องเพลงที่ร้านอาหาร แต่มันเลิกดึก มึงมีเด็กด้วยกูว่างานนี้ไม่เหมาะ แล้วก็มีงานสอนพิเศษเด็กประถม]
   
       “เอากูไปฆ่าเถอะถ้าแบบนั้น”
   
        [ไอ้ห่า มีหลานแล้วไม่รักเด็กขึ้นบ้างเลยเรอะ]
   
       “นอกจากหนูเจียกูก็ไม่ถูกกับเด็กคนไหนทั้งนั้นอ่ะ”
   
       [เชี่ยเหอะ]
   
        “นอกจากนี้นะกูจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอนเขาฮะ งานนี้ไม่เหมาะกับกูอ่ะ ข้ามไปๆ”
   
        [เออๆ อันนี้งานสุดท้ายละ เป็นงานของเพื่อนของเพื่อนต่างคณะกูอีกที งานช่วยขายขนมไทยที่ตลาด เย็นวันอาทิตย์ มึงต้องไปช่วยเขาแพ็คของใส่กล่อง หิ้วไปที่ตลาด ช่วยตั้งร้าน ตลาดนัดมันจะมีช่วงเย็นๆ อ่ะนะ กูถามแล้วมึงพาเด็กไปด้วยได้ โอเคป่ะ ส่วนค่าตอบแทนลองไปคุยกันดู]
   
        “เออ งานนี้โอเค”
   
        ชนกันต์บอกเบอร์ติดต่อของเพื่อนคนนั้นมาให้เสร็จสรรพ ปานตะวันกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายก่อนบอกว่าวันพรุ่งนี้จะลองโทรไปคุยดู พวกเขาคุยกันอีกพักหนึ่งก่อนที่ปานตะวันจะวางสาย ชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนเตียง เจียหลินปรือตาขึ้นเล็กน้อยพอเห็นน้าตะวันมานอนด้วยก็เบียดตัวเข้าหา ปานตะวันลูบหลังหลานชายที่ซุกกายเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงกล่อมไปในลำคอจนผล็อยหลับไปทั้งคู่
   
       เช้าวันต่อมาปานตะวันรีบตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวให้เจียหลินแล้วก็พาหลานไปโรงเรียน ชายหนุ่มจูบแก้มหลานเร็วๆ แล้วบอกว่าเย็นนี้น้าเมศจะเป็นคนมารับ เจียหลินก็พยักหน้าแล้ววิ่งเข้าห้องไป คุณครูประจำชั้นกับผู้ปกครองที่เริ่มคุ้นหน้าเขาก็ส่งยิ้มทักทายมาให้
   
       พอกลับมาถึงบ้านปานตะวันก็จัดการข้าวเช้าง่ายๆ ให้ตัวเอง  ร้านอาหารของราเมศเปิดตอนเก้าโมงเช้า ยังพอมีเวลา หลังทานข้าวเสร็จปานตะวันก็เปิดคอมพิวเตอร์ ล็อกอินเข้าเฟซบุ๊คแล้วจัดการส่งข้อความไปหาเจ้าของงานที่ชนกันต์ให้ข้อมูลมา ตอนแรกนึกว่าจะรอนานอีกฝ่ายถึงจะตอบแต่ส่งข้อความไปไม่ถึงห้านาทีมันก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว ปานตะวันรออย่างใจจดใจจ่อไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
   
        สวัสดีครับ คุณคงเป็นปานตะวัน กันต์บอกผมเรียบร้อยแล้วล่ะ ยังไงลองโทรคุยกันได้นะถ้าคุณสะดวก จะได้ตกลงได้ไวขึ้น
   
        ปานตะวันยิ้มร่า รีบพิมพ์ตอบกลับไป ได้สิ งั้นตอนนี้เลยได้หรือเปล่า
   
        โอเคครับ
   
        ปานตะวันหยิบเบอร์ที่จดไว้ขึ้นมาดู ชายหนุ่มโทรไป รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับ ตอนแรกปานตะวันกลัวว่าจะรบกวนอีกฝ่ายเพราะยังเช้าอยู่หากแต่ฟังจากเสียงทุ้มหวานสบายอารมณ์ที่ดังมาจากปลายสายแล้วเขาคงไม่ได้โทรมารบกวนอะไร
   
        [สวัสดีครับ ปานตะวันใช่ไหมครับ]
   
       “ช..ใช่ครับ”
   
        [โอเค ผมชื่อหลงนะ เราอายุเท่ากัน ไม่ต้องเป็นทางการมากก็ได้] คนที่ชื่อหลงแนะนำตัวอย่างอารมณ์ดี ปานตะวันได้ยินก็ใจชื้นขึ้นเป็นกอง รีบพูดตอบกลับไปว่า
   
        “อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะ นายเรียกเราว่าตะวันก็ได้”
   
        [โอเคเลย ว่าแต่ตะวันสนใจงานสินะ งานที่ผมบอกก็ไม่มีอะไรมากแค่มาช่วยแพ็คขนมใส่กล่องแล้วก็ไปช่วยขายที่ตลาดช่วงเวลาทำงานก็ประมาณบ่ายโมงถึงสองทุ่ม โอเคหรือเปล่า พาหลานมาด้วยได้นะ]
   
        “เอ่อ...มีเด็กไปมันจะโอเคเหรอ..”
   
        [หลานตะวันซนหรือเปล่าล่ะ]
   
        “ก็ไม่ซนนะ” หนูเจียเลี้ยงง่ายออกปานนั้น “เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้”
   
        [งั้นก็พามาเถอะ ไม่เป็นไร ทิ้งเด็กไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ดีหรอกนะ]
   
        “งั้นก็โอเค แล้วเรื่องค่าแรงล่ะ”
   
        [สัก 300 โอเคหรือเปล่า]
   
        ปานตะวันนิ่งคิด ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสถานะจะเลือกงานได้ ชายหนุ่มจึงตกลง ก่อนวางสายกันหลงก็บอกว่าให้เริ่มงานได้เลยวันอาทิตย์นี้ พอวางสายก็พอดีกับที่ราเมศเดินขึ้นมาเรียก พวกเขาต้องออกไปเตรียมร้านก่อนเวลาเปิดร้าน ปานตะวันกุลีกุจอเก็บของ ปิดบ้านแล้วก็ตามราเมศไป
   
        “พี่เมศ ผมได้อีกงานนึงแล้วนะ”
   
        “หืม งานอะไร ทำวันไหน เมื่อไหร่”
   
        “งานช่วยขายขนมไทยที่ตลาด ทำบ่ายโมงถึงสองทุ่ม แพ็คของ หิ้วของ ตั้งร้าน เก็บร้าน ได้ 250 บาท เป็นงานของเพื่อนของเพื่อนไอ้กันต์น่ะ มันช่วยหาให้”
   
         “ให้พี่ช่วยดูหนูเจียให้ไหม”
   
         “ไม่เป็นไรครับ พี่เมศทำงานนี่นา หลงให้พาหนูเจียไปด้วยได้”
   
         “เพื่อนชื่อหลงเหรอ”
   
         “ครับ”
   
        ราเมศพยักหน้ารับรู้ ไม่นานรถก็จอดลงที่ลานจอดรถของร้านอาหาร ปานตะวันรีบวิ่งไปช่วยพี่ๆ คนอื่นเตรียมร้านส่วนราเมศก็แยกย้ายไปจัดการความเรียบร้อยในครัว บทสนทนาของพวกเขาจึงจบลงแค่นั้น
   
        วันนี้ปานตะวันทำงานดีกว่าเดิม เขาเสิร์ฟอาหารไม่ผิดและไม่ทำใบออเดอร์หายอีก แถมยังได้รับทิปเป็นครั้งแรกในชีวิต ส่งผลให้คนตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แจกความสดใสไปทั่ว พอปิดร้านปานตะวันก็ได้ทิปมาประมาณสามร้อยห้าสิบ ทำเอาคนตัวเล็กลืมเหนื่อยไปเลย
   
        ตอนที่เก็บร้านราเมศมองคนอารมณ์ดีที่ถูพื้นไปฮัมเพลงไปแล้วก็นึกหมั่นไส้ ปานตะวันที่ทำงานดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสจนลูกค้าเอ็นดูและชอบใจมันก็ดีหรอก แต่เขา...ไม่รู้สิ...บางส่วนในอกมันร้องตะโกนว่าอย่าไปยิ้มน่ารักแบบนั้นเรี่ยราดจะได้ไหม
   
        นึกอยากดึงอีกฝ่ายมากอด ไม่อยากให้ใครเห็นรอยยิ้มนั้น
   
        อยากให้ปานตะวันยิ้มให้เขาแค่คนเดียว
   
        แบบนี้...เรียกว่า ‘หึง’ ใช่ไหมนะ
   
        ราเมศส่ายหัว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ  มีพนักงานเรียกลูกค้าได้แบบนี้แต่กลับไม่พอใจ สงสัยธุรกิจได้ล้มละลายก็คราวนี้เอง
   
        “ตะวัน มาถูตรงนี้หน่อย มีคราบอะไรก็ไม่รู้”
   
        “ครับผม”
   
        ปานตะวันหิ้วกระป๋องน้ำกับไม้ถูพื้นวิ่งเข้ามา จ้องหาคราบที่ราเมศบอกที่พื้นแต่ก็หาไม่เจอ  คนตัวเล็กมุ่นคิ้ว กวาดสายตาไปรอบๆ
   
       “พี่เมศ ไหนคราบอะไร ตรงนี้ตะวันถูไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ”
   
        “นี่ไงตรงนี้”
   
        “ไหน ไม่เห็นมี”
   
        “ก้มมาดูสิ”
   
        ปานก้มตัวลงทันใดนั้นร่างเล็กก็ถูกราเมศดึงให้ลงไปนั่งยองๆ จมูกโด่งกดลงที่แก้มขาวเร็วๆ หนึ่งที พร้อมเสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู
   
        “เด็กขี้อ่อย ยิ้มไปทั่วเลยนะ”
   
        แก้มขาวของร่างเล็กแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ปานตะวันตวัดตามอง กระซิบตอบ “ก็พี่บอกผมเองว่าให้ทำตัวดีๆ ยิ้มเยอะๆ นี่ก็ดีแล้วไง ทำไม ไม่ชอบเหรอ”
   
      “พนักงานทำตัวดีในฐานะหัวหน้าพี่ก็ชอบ...แต่ว่า...ถ้าให้ตอบในฐานะ ‘พี่เมศ’ ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
   
         เท่านั้นเองปานตะวันก็ถลึงตาใส่อีกฝ่าย ใบหูเล็กและแก้มขาวแดงจัดจนน่าแกล้งแต่เจ้าตัวดันไหวตัวทันรีบลุกขึ้นยืนแล้วถือกระป๋องน้ำกับไม้ถูพื้นหายไปอีกทาง
   
        ทิ้งให้คุณเจ้าของร้านยืนยิ้มกับผ้าเช็ดโต๊ะอยู่คนเดียว
   
        หลังทำงานไปจนถึงวันศุกร์ปานตะวันก็เริ่มชินกับงานหนักในร้าน พอถึงวันเสาร์ชายหนุ่มก็ได้หยุด เขาจึงอาศัยวันนั้นจัดการงานบ้านต่างๆ โดยเริ่มจากการซักผ้า
   
        “หนูเจีย เดินระวังนะครับ”
   
        “ครับผม”
   
          ปานตะวันมองหลานชายตัวจ้อยที่พยายามช่วยคุณน้าด้วยการหอบเอาเสื้อผ้าตัวเองไปไว้ข้างเครื่องซักผ้า ปานตะวันจัดการแยกเสื้อขาวกับเสื้อ ตัวไหนที่ต้องซักมือก็ใส่ตะกร้าอีกใบไว้ ระหว่างที่เครื่องซักผ้ากำลังปั่นผ้า ปานตะวันก็พาหนูเจียกวาดบ้าน ถูบ้าน จากนั้นก็ลงไปรดน้ำต้นไม้
   
         “น้าตะวันนน ดูนี่ๆๆ”
   
         ละอองน้ำกระทบแสงแดดเกิดเป็นรุ้งอยู่ในอากาศ ปานตะวันหัวเราะกับท่าทางตื่นเต้นของเจียหลิน เจ้าตัวเล็กดูจะชอบใจเอามากๆ ใช้สายยางฉีดน้ำเล่นไม่หยุดจนเนื้อตัวเปียกปอน สุดท้ายจะกลายเป็นอาบน้ำแทบรดน้ำต้นไม้ปานตะวันจึงดึงสายยางออกจากมือเจียหลิน
   
         “พอแล้วครับหนูเจีย เปียกหมดแล้ว เดี๋ยวต้องอาบน้ำใหม่นะ”
   
        เจียหลินทำปากยู่ก่อนจะหันไปเล่นอย่างอื่น เป้าหมายต่อไปของเจ้าตัวคือการไล่เก็บดอกเฟื่องฟ้าที่ร่วงตามโคนต้นมาโปรยเล่น ปานตะวันไม่ห้ามเวลาหลานจะลงไปคลุกดินหรือวิ่งจนล้ม ตอนเด็กเท่าเจียหลินเขาซนกว่านี้อีก สวนหลังบ้านกว้างๆ แบบนี้ก็สวรรค์ของเด็กดีๆ นี่เอง ตอนเด็กเขาชอบปีนต้นไม้ ต้นมะม่วงที่ปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาก็ยังอยู่ ต้นเฟื่องฟ้าที่ออกดอกบานสะพรั่งให้พี่สาวเก็บมาติดในหนังสือหรือชวนเล่นหม้อข้าวหม้อแกงก็ยังอยู่ ต้นคูนริวรั้วที่ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง พอลมพัดก็ปลิดปลิวเหมือนผีเสื้อตัวเล็กโบยบินเริงร่าในสายลม...ก็ยังอยู่
   
        ทุกอย่างยังอยู่ ยังเหมือนที่เคยจำได้
   
       เหลือแต่คนที่เปลี่ยนไป...สามคนจากไป หนึ่งคนหวนกลับมา และหนึ่งคนที่รอคอยอยู่ในบ้านหลังนี้
   
        “ทำอะไรกันอยู่ล่ะนั่น”
   
        เสียงทุ้มดังจากด้านหลังทำให้คนยืนเหม่อสะดุ้งเฮือก ปานตะวันรีบปิดน้ำก่อนหันไปมองก็พบราเมศยืนอยู่ เจียหลินทิ้งดอกไม้ในมือก่อนจะวิ่งจู๊ดไปกระโดดเกาะคุณน้าเมศทันที
   
        “พี่เมศ ไม่เข้าร้านเหรอครับ”
   
        “วันนี้ลูกพี่ลูกน้องพี่เข้าแทนเลยไปช่วยแค่ช่วงเช้า แล้วนี่ทำอะไรกัน”
   
        “พาหลานรดน้ำต้นไม้น่ะ”
   
        “เปียกเป็นแมวตกน้ำนี่รดน้ำหรือเล่นน้ำ หืม เจ้าตัวแสบ”
   
        เจียหลินหัวเราะคิกเมื่อน้าเมศใช้จมูกโด่งของตัวเองฟัดแก้มนุ่มนิ่มไปหลายที “เดี๋ยวพี่พาหนูเจียไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นายรดน้ำต้นไม้เสร็จหรือยัง”
   
        “เสร็จแล้วพี่ นั่นถุงอะไรน่ะ”
   
         “ถุงกับข้าว รดน้ำเสร็จแล้วก็ไปตั้งโต๊ะไป”
   
         “คร้าบ”
   
         กับข้าวที่ราเมศเอามาฝากคือปลาสามรส ยำไข่เยี่ยวม้ากับแกงจืดปลาหมึกยัดไส้ที่หนูเจียชอบ ปานตะวันตั้งโต๊ะเสร็จก็พอดีกับที่สองน้าหลานเดินเข้ามาพอดี หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มมื้อกลางวันง่ายๆ ด้วยกัน
   
        พอมีราเมศมาช่วย งานบ้านต่างๆ ก็เสร็จเร็วขึ้น พอตกบ่ายเจียหลินที่เล่นจนเพลียก็หลับไป ราเมศนั่งมองปานตะวันที่นั่งโงนเงนไปมาโดยมีหลานนอนซบอยู่บนตักด้วยสายตาเอ็นดู ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ อุ้มเจียหลินไปนอนบนผ้าปูที่ปูไว้ ก่อนจะดันให้ปานตะวันนอนลงบ้าง
   
       “ง่วงก็นอนเถอะ”
   
       “พี่เมศไม่ง่วงเหรอ”
   
       “ไม่ล่ะ นายนอนไปสิ พักสักหน่อย”
   
        เจ้าเด็กแสบค่อยๆ ไถลตัวลงนอนบนหมอน ราเมศวางมือลงบนศีรษะปานตะวัน ไม่นานร่างเล็กก็หลับไป
   
         ยามบ่ายที่แสงแดดส่องลอดมาในบ้าน ทั่วทั้งเรือนไทยเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงนกร้อง ราเมศค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าของปานตะวัน มองดูรายละเอียดต่างๆ บนใบหน้านั้นให้ชัดเจน
   
        ขอบตาคล้ำ...คงนอนดึก
   
        สีหน้าดูอิดโรยจนน่าสงสาร คงไม่เคยเจองานหนักแบบนี้
   
        เขาเลื่อนมือลงไปกอบกุมมือทั้งสองของอีกฝ่าย ฝ่ามือขาวที่ตอนเจอกันแรกๆ ยังเรียบเนียนอยู่ ตอนนี้มีรอยแผล ผิวหนังที่พองออกมา มือเล็กเริ่มด้านจากการทำงานต่างๆ ทั้งงานบ้านและงานที่ร้าน
   
         ราเมศโน้มตัวลงไปจูบลงที่หน้าผากมนก่อนจะกระซิบแผ่วเบาข้างหูคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “เก่งมากเลยนะ น้องตะวัน” ราเมศไม่ใช่พวกชอบพูดมาก เขาแสดงความรู้สึกไม่เก่งเท่าไหร่...คำพูดที่นึกออกจึงมีเพียงเท่านี้
   
         แต่ความรู้สึกในใจมันมากกว่านี้หลายเท่าเลยล่ะ

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
         เพราะวันเสาร์ได้พักผ่อนไปบ้าง พอถึงคราวต้องทำงานในวันถัดมาชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเลยรู้สึกดีขึ้นมาก พอช่วงสายปานตะวันก็พาเจียหลินออกจากบ้านไปยังสถานที่นัดหมาย หลงนัดเขาที่ป้ายรถเมล์ก่อนถึงบ้านของเจ้าตัว ปานตะวันไปก่อนเวลานัดราวสิบห้านาที รอไม่นานหลงก็โทรเข้ามา ถามว่ามาถึงหรือยัง พวกเขามองซ้ายมองขวาหากันอยู่ไม่นานหลงก็ร้องว่าเจอแล้วจากนั้นก็ตัดสายไป
   
        “เอ่อ...ขอโทษนะครับ นี่ปานตะวันใช่ไหม” มือหนึ่งสะกิดที่ไหล่ พอหันไปมองปานตะวันก็พบกับชายหนุ่มตัวเล็กยืนยิ้มจนตาหยีอยู่ “เราหลงนะ”
   
        “อ่ะ...หวัดดี เราปานตะวัน”
   
        “เฮ้อ รอดไป ตอนแรกเรานึกว่าทักผิดแล้ว” หลงพูดยิ้มๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปโบกมือให้เจียหลินที่พอเจอคนแปลกหน้าก็หลบวูบมาอยู่หลังปานตะวันทันที “นี่เจียหลินใช่ไหม น่ารักจัง”
   
        “อื้อ ใช่แล้ว หนูเจีย สวัสดีพี่หลงสิครับ” คนเป็นน้าดันหลังหลานชายออกมาข้างหน้า หลงยิ้มจนตาหยีให้เด็กน้อยที่ยืนเหนียมอายอยู่ตรงหน้าตน เจียหลินที่พอเจอคนท่าทางใจดีส่งยิ้มมาให้ก็ยิ้มตอบไปแบบเขินๆ มือเล็กพนมไหว้สวยงาม “สวัสดีครับพี่หลง”
   
        “ไหว้สวยจังเลยนะ น่ารักมากๆ เลย อ่ะนี่ พี่หลงมีขนมมาให้ด้วยนะครับ” มือเล็กหยิบเอากล่องพลาสติกใสใส่วุ้นเป็ดส่งให้เจียหลิน อีกกล่องยื่นให้ปานตะวัน
   
        “ขอบคุณนะ”
   
        “ไม่เป็นไรๆ มีคนมาช่วยงาน ทางหลงต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
   
        ปานตะวันมองดูเพื่อนใหม่ตรงหน้า หลงเป็นคนตัวเล็ก สูงน้อยกว่าเขาประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตรได้ ผิวแทน ดวงตากลมโตสีน้ำตาล รอยยิ้มน่ารักของเจ้าตัวเป็นสิ่งแรกที่คนเห็นแล้วประทับใจ หลงดูเข้ากับคนง่าย ทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วก็พากันเดินกลับบ้าน ระหว่างทางหลงก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ จนปานตะวันหายประหม่า แม้แต่หนูเจียที่ว่ากลัวคนแปลกหน้า เจอ ‘พี่หลง’ ยิ้มให้บ่อยๆ ก็หายกลัว  เดินเคี้ยววุ้นเป็ดตุ้ยๆ อยู่ข้างปานตะวันนั่นเอง
   
        “ถึงแล้วล่ะ” หลงพูดขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วขนาดใหญ่ อาณาเขตของบ้านกว้างขวาง ดูแล้วเป็นบ้านของพวกคนรวยไม่ใช่บ้านของคนที่พูดว่าทำงานโดยการขายขนมที่ตลาดนัดแน่
   
       “ที่นี่...ที่นี่เหรอ แน่นะ”
   
         พอได้ยินเขาถามเสียงสั่นหลงก็หัวเราะออกมา “แน่สิ เข้ามาเถอะไม่เป็นไรหรอก”
   
        ไม่เป็นไร...แน่เหรอวะ!
   
        มันไม่ปกติสักนิด ตั้งแต่บ้านยันยามหน้าประตูที่ตัวโตอย่างกับยักษ์ พอสบตากันปานตะวันก็รีบอุ้มเจียหลินขึ้นมาแล้วไปเดินเบียดข้างๆ หลงทันที แต่พอผ่านประตูเข้าไปยามหน้าดุก็เรียกพวกเขาเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเหมือนฟ้าผ่า
   
        “เดี๋ยว!”
   
        เชี่ย...หรือว่าจริงๆ แล้วหลงมันเป็นคนใช้ในบ้านแล้วมาโมเมว่าเป็นเจ้าของบ้านวะ ปานตะวันกลืนน้ำลายเอื๊อก ลูบหลังหนูเจียที่ตกใจจนวุ้นเป็ดร่วงจากปาก เด็กน้อยตัวสั่น กลัวคนแปลกหน้าที่เดินตรงดิ่งมาเหมือนจะกินหัวใครสักคน
   
       “คุณหลงครับ...คนคนนี้”
   
        “ปานตะวันกับเจียหลินครับ เพื่อนหลงเอง เขามาช่วยหลงแพ็คขนมน่ะครับ”
   
       “งั้นหรือครับ แล้วตอนบ่ายคุณหลงจะให้คนออกไปส่งไหมครับ”
   
       “ไม่เป็นไรครับ รบกวนพวกพี่เปล่าๆ หลงไปเองได้ อ้อ เดี๋ยวหลงเอาขนมที่ทำมาฝากนะครับ ฝากให้พวกพี่ๆ ที่เหลือด้วย”
   
        “แล้วนี่นายท่าน...”
   
        “พี่คุณรู้แล้วครับ ไว้เจอกันนะครับพี่”
   
        ยามหน้าดุพยักหน้า โค้งตัวให้หลงเล็กน้อย คนผิวแทนก็โค้งกลับ จากนั้นพวกเขาก็เดินต่อ ปานตะวันเห็นบ้านหลังใหญ่อยู่ไม่ไกลแต่หลงกลับพาพวกเขาเดินแยกไปอีกทาง ลึกเข้าไปในสวนมีบ้านอีกหลังซ่อนตัวอยู่ บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่เท่ากับบ้านเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนบ้านคนงานแต่อย่างใด มันเป็นบ้านหลังเล็กสไตล์วินเทจแบบอังกฤษ ตัวบ้านทาสีเขียวอ่อน หลังคาสีน้ำเงิน รอบบ้านปลูกไม้ดอกเอาไว้เต็มไปหมด ไม่ไกลจากตัวบ้านมีต้นไม้ต้นใหญ่ที่ผูกชิงช้าเอาไว้ ดูเป็นบ้านหลังเล็กที่อบอุ่นน่าอยู่
   
        “นี่บ้านหลงเหรอ”
   
        "อื้ม แยกออกมาจากบ้านใหญ่น่ะ”
   
        “แล้ว...อยู่คนเดียวเหรอ”
   
        หลงหันมายิ้มพลางส่ายหน้า “เปล่าหรอก อยู่กับเจ้าหนี้” ท่าทางตอนตอบดูขี้เล่นซุกซน ปานตะวันรู้ได้ในทันทีว่าคำว่า ‘เจ้าหนี้’ คงเป็นโค้ดลับสำหรับใครบางคน และเขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามต่อ
   
        ภายในบ้านตกแต่งน่ารักไม่แพ้ภายนอก ทุกอย่างดูสะอาดเรียบร้อย หลงพาปานตะวันอ้อมไปด้านหลังบ้าน ที่ต่อเติมออกมาเป็นครัว คนผิวแทนจัดการหาน้ำหาขนมมาวางให้เสร็จสรรพจนปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแขกมากกว่าคนทำงานพิเศษเขาจึงรีบห้ามอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ
   
       “พอแล้วล่ะ แค่น้ำให้หนูเจียก็พอ เอ่อ..แล้วไหนล่ะงานที่ให้ทำ”
   
        “อ๋อ ทางนี้ๆ”
   
        หลงชี้ทางมุมห้องที่กล่องพลาสติกวางซ้อนกันเป็นตั้ง “ตอนแรกหลงทำคนเดียวก็ไหวหรอกนะ แต่นานๆ ไปลูกค้าชักเยอะเลยแพ็คคนเดียวไม่ทันน่ะ จากนี้ไปก็รบกวนด้วยนะครับ”
   
        “เอ่อ...เช่นกัน”
   
        ปานตะวันให้หนูเจียนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ในครัว จากนั้นตนก็ช่วยหลงนำขนมไทยชนิดต่างๆ ที่เจ้าตัวทำบรรจุลงกล่อง ทั้งขนมชั้นที่ทำเป็นรูปดอกไม้  วุ้นหลากสี ลูกชุบ หม้อแกง ทองหยิบ ทองหยอด และขนมอื่นๆ อีกมากมายที่ปานตะวันไม่รู้จัก ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย
   
        “นี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
   
        “ได้สิ ไม่ต้องเกรงใจหลงหรอก ขึ้นกูขึ้นมึงก็ได้นะ เพื่อนพูดกับหลงบ่อย หลงไม่ถือ”
   
        “ไม่ดีกว่า...คือ...นายสุภาพมากจนเรารู้สึกบาปเลยอ่ะถ้าจะพูดกูมึง”
   
        “นั่นก็เว่อร์ไป ฮ่าๆๆ”
   
        หลงหัวเราะ เสียงใสดังกังวานไปทั่วทำให้ปานตะวันหลุดหัวเราะตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ยอมพูดกูมึงกับหลงอยู่ดีเพราะเพื่อนใหม่ตัวเล็กคนนี้สุภาพมาก ทั้งแทนตัวเองว่าหลงทุกคำแล้วก็เรียกปานตะวันว่า ‘ตะวัน’ อย่างสนิทสนม ท่าทางเป็นกันเองตอนพูดคุยทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลรู้สึกดีกับเพื่อนใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ
   
        “ว่าแต่ตะวันอยากถามอะไรเหรอ”
   
       “ก็...นายบอกว่าแพ็คขนมขายที่ตลาดนัดใช่ป่ะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นเหรอ ดูไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินนี่นา หรือว่าจริงๆ แล้วเป็นลูกเศรษฐีที่มีงานอดิเรกแปลกๆ?”
   
       พอเขาพูดจบหลงก็หัวเราะออกมาทันที คนตัวเล็กยิ้มจนตาหยี ส่ายหน้าไปมาเร็วๆ
   
       “ไม่ใช่ๆ หลงไม่ใช่ลูกเศรษฐีหรอกนะ...อืม...จะว่าไงดี เรื่องมันยาวแฮะ ถ้าจะเล่าก็เท้าความไปตั้งแต่สมัยอยู่ม. 5 นู่นเลย”
   
       “งั้นไม่เป็นไร ไม่ต้องเล่าก็ได้”
   
       “ฮ่าๆๆ”
   
       หลงยิ้ม หยิบลูกชุบที่ปั้นเป็นรูปผลไม้ลงไปในกล่องพลางเหลือบมองเจียหลินกับปานตะวันเป็นระยะ “หลานชายน่ารักดีนะ”
   
       “อื้ม เรียบร้อยด้วย เลี้ยงง่ายที่สุดแล้วคนนี้”
   
       “เห่อหลานจริงๆ น้า”
   
       “หลายคนก็ทักแบบนี้แหละ”
   
       “แล้ว...เพราะหลานเหรอ ถึงได้ต้องออกมาทำงานแบบนี้”
   
         ปานตะวันชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้าออกมา “อื้ม พี่สาวเสียไปแล้วน่ะ ไม่อยากปล่อยเขาไปอยู่กับญาติคนอื่นด้วย ช่วงนี้เลยทำงานหลายๆ อย่างเพื่อหาเงินมาเลี้ยงเขาน่ะ”
   
        หลงมองปานตะวัน ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายใจดี พอเห็นปานตะวันมองกลับชายหนุ่มผิวแทนก็ส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่สื่อว่าหลงเข้าใจเขา
   
       “เมื่อก่อนหลงก็เป็นแบบนี้แหละ หาบพวงมาลัยขายตามสี่แยกเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ยกลังผลไม้ไปส่งตลาด รับทำความสะอาดบ้าน ล้างจานตามร้านอาหาร เสิร์ฟอาหาร เมื่อก่อนบ้านหลงเป็นหนี้เยอะมาก เกือบไม่ได้เรียนต่อแล้ว จนกระทั่ง...หลงมาเจอกับเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาช่วยหลงไว้มากจริงๆ ถ้าไม่ได้พี่เขาหลงคงไม่มายืนตรงนี้”
   
       อะไรบางอย่างในสีหน้าและแววตาของหลงทำให้ปานตะวันรู้สึกได้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้สำคัญกับหลงมากจริงๆ  “ตอนนี้ตะวันอาจจะเหนื่อย ท้อ แต่ว่านะ วันหนึ่งเมื่อเราสามารถทำให้คนรักของเราสุขสบายได้ด้วยกำลังของเราแล้ว วันนั้นมันจะเกิดความรู้สึกภูมิใจมากๆ เลยล่ะ”
   
        ดวงตาสีนิลของปานตะวันมองไปที่เจียหลิน ถ้าหากวันหนึ่ง...เขาส่งเสียหนูเจียจนเรียนจบปริญญาได้ด้วยกำลังของเขาเอง เห็นหลานมีความสุขกับชีวิต เขาจะต้องมีความสุขและภูมิใจมากแน่นอน
   
       และเพื่อการนั้นเขาจะต้องพยายามให้มากกว่านี้
   
       พอแพ็คขนมเสร็จปานตะวันกับหลงก็หอบหิ้วขนมไปส่งตามร้านค้า ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าหลงไม่ได้ทำขายที่ตลาดนัดอย่างเดียวแต่ส่งขายตามร้านแล้วก็ตามแต่คนจะสั่งด้วย หลังขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่งของจนครบปานตะวันกับหลงก็พากันไปที่บริเวณตลาดนัด แม่ค้าพ่อค้าส่วนใหญ่เริ่มตั้งร้านกันแล้ว พอถึงช่วงบ่ายสามโมงคนก็เริ่มทยอยมา
   
       “ขนมไทยไหมครับ ขนมไทยอร่อย สะอาด ราคาไม่แพงครับ” หลงร้องตะโกนเรียกลูกค้าด้วยใบหน้าแจ่มใส รอยยิ้มหวานแจกจ่ายให้ทุกคนอย่างเป็นกันเอง ปานตะวันเห็นดังนั้นก็เริ่มทำตามบ้าง แรกๆ ก็รู้สึกอายแต่พอร้องไปนานๆ เข้าก็เริ่มสนุก โดยเฉพาะเมื่อหนูเจียเริ่มลุกขึ้นมาร้องตะโกนบ้าง ความน่ารักของเจ้าตัวเล็กนี่เองที่เรียกลูกค้าเข้ามา
   
       พอช่วงห้าโมงที่คนเริ่มเยอะหนูเจียก็ยิ่งดึงดูดคนเข้ามา 90% ของลูกค้าเป็นผู้หญิง พอมีคนตกบ่วงเดินมาหน้าร้านก็จะเจอรอยยิ้มพิฆาตของปานตะวันและน้ำเสียงล่อลวงชวนให้ซื้อของหลง ทำงานประสานกันเป็นทีมจนในที่สุดลูกค้าก็จะเดินจากไปพร้อมกล่องขนมไทยทุกราย
   
        ขายกันไปจนถึงช่วงทุ่มครึ่งขนมก็เหลือไปกี่กล่อง หลงที่เห็นจำนวนเงินในวันนั้นก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ในตอนนั้นเองที่ปานตะวันเห็นลูกค้ารายใหม่ก้าวเข้ามา คราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นฝรั่งร่างสูง เส้นผมสีทองยาวระต้นคอ ใบหน้าหล่อเหล่าคมคาย
   
       “อ...เอ่อ ยินดี เอ้ย Welcome ครับ”
   
       “สวัสดีครับ”
   
        เสียงทุ้มที่เอ่ยตอบมาทำเอาปานตะวันหน้าแตก ไอ้เราก็เห็นเป็นฝรั่ง นึกว่าฟังไทยพูดไทยไม่ออก ที่ไหนได้ตอบมาสำเนียงชัดเป๊ะเชียว
   
        “สนใจขนมไทยไหมครับ ตอนนี้เหลือไม่กี่กล่องแต่รับรองอร่อยทุกกล่องครับ เนอะ หลง...หลง?”
   
       คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กก้มหน้าก้มตาจัดกล่องขนมทั้งที่ไม่จำเป็น ใบหูเล็กๆ และแก้มนุ่มนิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ปานตะวันเห็นเพื่อนไม่เงยหน้าขึ้นสักทีก็สะกิดยิก โน้มตัวไปกระซิบ
   
       “หลง ลูกค้ามาแน่ะ”
   
       “อ..อื้อ หลงเห็นแล้ว”
   
        “ผมสนใจขนมไทย ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ”
   
        ปากก็พูดไปแต่ตานี่มองเพื่อนเขาไม่กะพริบ ปานตะวันหรี่ตาลงเล็กน้อยจากนั้นดวงตาสีนิลก็เบิกโตเมื่อเห็นว่าฝรั่งตรงหน้ามีดวงตาสองสี!
   
        ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีน้ำตาล ส่วนอีกข้างเป็นสีฟ้า
   
        “น้าตะวัน คุณฝรั่งคนนี้ตาสวยจัง!”
   
       ฝรั่งตาสวยหันมายิ้มกว้างให้เจียหลิน “ขอบคุณครับ ว่าแต่หนูน้อยคนนี้ช่วยไปบอกพี่ชายที่ยืนตรงนั้นได้ไหมครับว่าน้าฝรั่งอยากกินขนมไทย ช่วยเงยหน้ามาคุยกันที” ปานตะวันอ้าปากค้าง สมองประมวลผลได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้สนใจขนมไทยหรอก...สนใจขายขนมจีบต่างหาก
   
      ส่วนไอ้คนถูกจีบก็แทบจะมุดหายไปกับโต๊ะแล้ว
   
       ด้วยความเป็นเด็กดี พอเห็นว่ามีคนกำลังจะมาซื้อของหนูเจียจึงหันไปสะกิดพี่หลงพร้อมกับพูดว่า “พี่หลง มีลูกค้าครับ พี่หลงงง”
   
        “หนูเจียๆ มานี่เร็ว”
   
        ปานตะวันรีบดึงหลานลงมานั่ง ในใจก็แอบขำไปด้วยเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางอายๆ “สนใจ...ขนมอะไรครับ”
   
        “ถ้าเหมาหมดนี่มีโปรโมชั่นแถมพ่อค้ากลับบ้านไหมครับ”
   
       โว้ยยย นี่ฝรั่งแท้ใช่ไหมเนี่ย หยอดมุกจีบได้กร๊าวมาก   
   
        “ฮื้อ พี่คุณครับ อย่าแกล้งหลงสิครับ นี่ทำงานอยู่นะ!”
   
        สุดท้ายหลงก็ทนไม่ไหวพูดออกไป ฝรั่งตัวโตหัวเราะร่วนเดินอ้อมโต๊ะเข้ามายืนซ้อนหลังพ่อค้าตัวเล็ก ยิ้มตาพราวให้อีกฝ่าย “ก็น้องน่าแกล้งนี่นา”
   
       ปานตะวันที่กลายเป็นส่วนเกินได้แต่เกาหัวแกรกๆ
   
       นี่สรุปรู้จักกัน?
   
       “หลง...คนนี้คือ”
   
        หลงสะดุ้ง หันมามองปานตะวันด้วยสีหน้าอายๆ พอจะแนะนำก็ถูกฝรั่งตาสองสีชิงตัดหน้าพูดขึ้นก่อน “สวัสดีครับ พี่ชื่อคุณ เป็นแฟนหลงครับ”
   
        “ค..ครับ...ผมปานตะวันครับ นี่หลานผมเจียหลิน ผมเป็น...เอ่อ...คนทำงานพิเศษน่ะครับ”
   
        “น้องนี่เอง หลงเล่าให้ฟังแล้วล่ะ หลานน่ารักดีนะครับ”
   
        “ขอบคุณครับ”
   
        ปานตะวันกระแอม ชายหนุ่มขยับตัวห่างออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาเรียกลูกค้า พยายามไม่หันไปมองคนสองคนที่คุยกันหงุงหงิงอยู่ด้านข้าง ไม่รู้เพราะมีพี่คุณอยู่ด้วยหรือเปล่าลูกค้าสาวๆ เลยแวะเวียนมาถี่ขึ้น จนขนมใกล้หมดในเวลาอันรวดเร็ว
   
        ดวงตากลมเหลือบมองฝรั่งตัวโตคุยออดอ้อนกับหลงอยู่แบบขำๆ เพื่อนเขาก็อายแล้วอายอีก ม้วนตัวมุดดินได้คงทำไปแล้ว
   
        ถ้าพี่เมศอยู่ที่นี่บ้างก็ดีสินะ...
   
        แวบหนึ่งที่ใจเผลอคิดฟุ้งซ่านไป คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ และหน้าดุๆ ของผู้ชายตัวโตออกไปจากสมอง แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำไม่ได้ คราวนี้คิดไปไกลถึงเรื่องคำพูดเมื่อหลายวันก่อนที่ราเมศพูดกับเขาในร้านอาหาร...หลังจากที่ขโมยหอมแก้มเขาแล้ว
   
        บ้า...บ้าๆๆๆ ไอ้พี่เมศบ้า ใครอนุญาตให้ทำกันวะ!
   
        ที่บ้ากว่าก็เขานี่แหละที่เผลอใจเต้นแรงไป
   
        บ้า ไอ้ปานตะวันบ้า!
   
        “น้องครับ” ดูสิ คิดเพ้อเจ้อไปจนฟังเสียงลูกค้าเป็นเสียงพี่เมศแล้ว! ปานตะวันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ครับคุณลูกค้า”
   
        จากนั้นรอยยิ้มนั้นก็แข็งทื่ออยู่บนใบหน้าเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าร้านด้วยรอยยิ้มจางๆ คือ...ราเมศ
   
        “พี่เมศ?”
   
        “สามกล่องสุดท้ายนี่ราคาเท่าไหร่ครับ”
   
        “เอ่อ...ห..หกสิบบาทครับ”
   
        “เอาหมดเลยครับ”
   
        ปานตะวันหยิบขนมลงกล่องอย่างเงอะงะ มือไม้สั่นตอนที่ยื่นมือออกไปรับเงิน แต่ราเมศไม่ทำแค่ส่งเงินมาให้ ชายหนุ่มคว้ามือบางของปานตะวันเอาไว้แล้วพูดว่า
   
        “เดี๋ยวพี่รอนะ เก็บร้านเสร็จแล้วก็ไปหาล่ะ จะได้กลับบ้านพร้อมกัน แล้วเจอกันนะหนูเจีย” ว่าจบก็เดินหายไปในฝูงชน ปานตะวันหันมามองหน้าหลง คราวนี้เป็นเขาที่มีสีหน้าเขินอายแทน
   
         “เอ่อ..คนรู้จักน่ะ”
   
        “งั้นเหรอ เอ้อ เดี๋ยวพอเก็บร้านเสร็จตะวันกลับไปกับพี่คนนั้นเลยได้นะ วันนี้พี่คุณเอารถมา เดี๋ยวหลงกลับกับพี่คุณได้”
   
        “เอางั้นเหรอ งั้นก็ได้”
   
         พอถึงช่วงเลิกงานหลงก็แบ่งค่าจ้างให้ตามที่ตกลงกัน ปานตะวันช่วยเก็บร้านแล้วก็ยกของไปใส่ไว้ท้ายรถของพี่คุณ จากนั้นทั้งสองก็แยกกัน
   
        ปานตะวันเร่งฝีเท้าเดินตรงไปที่รถของราเมศ มีหนูเจียอนหลับคอพับอยู่ในอ้อมแขน เมื่อถึงตัวรถก็พบว่าราเมศ ออกมายืนรออยู่ ตอนที่สบตากันปานตะวันเห็นประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้น ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาเขาก็ยิ่งใจเต้นแรง
   
       “เป็นไง เหนื่อยไหม”
   
       ราเมศถามขึ้นทันทีที่พวกเขาเข้ามานั่งในรถ หนูเจียนอนหลับอยู่ที่เบาะหลัง ปานตะวันหันไปดูหลานก่อนตอบคำถามของราเมศ “เหนื่อยนิดหน่อยครับแต่ก็สนุกดีโดยเฉพาะตอนตะโกนเรียกลูกค้า”
   
       “ขายหมดเลยนี่นาวันนี้”
   
        “อื้ม ตอนแรกทำมาเยอะมากเลยนะ ยังกลัวอยู่เลยว่าจะไม่หมด แต่สุดท้ายก็หมด”
   
        ราเมศเปิดกล่องขนมชั้นที่ตนซื้อมาแล้วก็หยิบชิ้นหนึ่งไปจ่อที่ปากปานตะวัน “ลองชิมสิ พี่กินไปชิ้นหนึ่ง อร่อยดีนะ กินอะไรหวานๆ สักหน่อยจะได้หายเหนื่อย”
   
       ริมฝีปากเล็กอ้าออกรับขนมหวานเข้าไป กลิ่นใบเตยหอมฟุ้ง รสหวานกำลังพอดีจากขนมชั้นทำให้คนตัวเล็กยิ้มออกมาได้ อร่อยสมที่หลงโฆษณาไว้จริงๆด้วย
   
        “อร่อยจริงด้วยพี่เมศ” ว่าพลางหยิบขนมชั้นที่ทำเป็นรูปดอกไม้ออกมาอีกชิ้น จากนั้นก็ยื่นไปจ่อปากร่างสูงบ้าง “อ่ะ ป้อนคืน”
   
       สาบานได้ว่าไม่ได้อ่อย...แค่มีคนสอนมาว่าใครทำดีกับเราให้เราดีกับเขาตอบ
   
       ราเมศเลิกคิ้วน้อยๆ แต่ก็ยอมก้มหน้าลงมารับเอาขนมชิ้นนั้นไปจากมือปานตะวัน พอกินหมดก็หยิกแก้มขาวไปหนึ่งที
   
        “ไอ้เด็กขี้อ่อย”
   
       “ไม่ได้อ่อยนะ”
   
       “แล้วเมื่อกี้เรียกอะไร”
   
       “ก็พี่เมศบอกเองว่ากินของหวานๆ แล้วหายเหนื่อย ทำงานมาเหนื่อยใช่ไหมล่ะ เอานี่ไง คนอุตส่าห์ป้อน”
   
        ปานตะวันบ่นอุบแต่แล้วก็ต้องหุบปากเมื่อคนที่ว่าเขาเป็นเด็กขี้อ่อย จู่ๆ ก็โน้มตัวเข้ามาทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเอนตัวหนี เบียดตัวเองเข้ากับประตูรถ คนผมน้ำตาลปากคอสั่นรีบดันหน้าหล่อๆ ของราเมศเอาไว้ทันที “อ...ไอ้พี่เมศ เป็นอะไรเนี่ย อย่ามาเล่นอะไรบ้าๆ นะ”
   
       “ก็ไม่ได้เล่น”
   
       “หา!?”
   
        “นายนี่นะ...ให้ตาย”
   
        “อะไรล่ะ จะใส่ร้ายอะไรผมอีกล่ะ”
   
        “เงียบน่า เดี๋ยวหลานตื่น”
   
        ราเมศกระซิบจากนั้นก็ปิดริมฝีปากช่างเถียงนั้นด้วยวิธีการที่ทำเอาคนถูกกระทำถึงกับต้องเบิกตาโต
   
        ริมฝีปากอุ่นทาบทับแนบสนิทกับเรียวปากบาง ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะขยับริมฝีปากแผ่วเบา หยอกล้อให้คนตัวเล็กคล้อยตาม ฝ่ามือใหญ่ประคองแก้มเนียนเอาไว้ จูบนั้นไม่ได้เร่งร้อน มันอ่อนหวาน นุ่มนวลจนชวนให้ใจสั่น ปานตะวันเผยอริมฝีปากขึ้นเมื่อราเมศผละออกไปให้เขาได้พักหายใจ...แต่ก็แค่ไม่นาน ก่อนจะจูบลงมาอีกครั้ง ปลายลิ้นอุ่นแทรกเข้าไปหยอกล้อ ปานตะวันขยุ้มเสื้อราเมศ หน้าร้อนจนแทบไหม้นานทีเดียวกว่าที่คนตัวสูงจะพอใจแล้วถอนริมฝีปากออก
   
        ราเมศเกลี่ยปลายนิ้วเข้าที่ริมฝีปากขึ้นสีก่ำของปานตะวัน เจ้าลูกแมวแสบบัดนี้ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาเขา สองแก้มแดงจัด น่าเอ็นดูจนอดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวไปหอมแก้มนุ่มอีกหลายที
   
        “น่าหมั่นเขี้ยว” ว่าจบก็อ้าปากงับแก้มที่แต้มสีชมพูระเรื่อไปด้วยความหมั่นเขี้ยว ตอนที่ปานตะวันอายจนสิ้นฤทธิ์แบบนี้มันน่ารักน่าหยิกเอามากๆ
   
         “โรคจิตเหรอไอ้พี่เมศ”
   
        “เดี๋ยวโดนดี”
   
        ราเมศแกล้งขู่ ทำให้โดนดวงตาสีนิลคู่โตตวัดค้อนเข้าให้ “ฮึ่ย กลับบ้านได้แล้วน่า ตะวันหิวแล้วนะ หลานด้วย เดี๋ยวหนูเจียตื่นมางอแง”
   
        ราเมศยิ้มมุมปาก หันไปถอยรถออกจากซองแล้วขับกลับบ้านตามคำบอก ส่วนปานตะวันก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ พยายามตั้งสติแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ จำต้องปล่อยให้หัวใจเต้นแรงกับความร้อนผ่าวที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ริมฝีปากและสติเตลิดไปไกล
   
         ให้ตาย...หลุมที่ใจหล่นลงไปมันลึกมากจริงๆ ลึก...จนปานตะวันจนปัญญาว่าจะปีนขึ้นมายังไง ลงท้ายก็คงทำได้แค่นั่งอยู่ที่ก้นหลุมนั่นแหละมั้ง
   
        ดวงตาสีนิลเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนข้างตัวแล้วก็เชิดริมฝีปากขึ้น
   
        แต่คนอย่างปานตะวัน ไม่ยอมนั่งอยู่ก้นหลุมคนเดียวแน่ เขาจะลากราเมศลงมานั่งเป็นเพื่อนให้ได้ คอยดูเถอะ!

***************************************************

ตกดังแอ้กเลยค่ะ น้องตะวันจกหลุมดังแอ้กเลยค่ะ 555555
สำหรับตอนนี้มีแขกรับเชิญพิเศษด้วยค่ะ น้องค่าตัวไม่แพงเลยเชิญมาได้  :katai2-1:
ใครที่สนใจเรื่องของน้องหลงขายขนมไทยคนนี้สามารถตามอ่านได้ที่

เพราะหลงรักคุณ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถติชมได้เต็มที่เลยค่ะ
เรายินดีรับทั้งคำติและคำชมค่ะ (โค้ง)
วันนี้ขอลาไปก่อน พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บ

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
อุ้ย!? ตอนนี้มีหนูหลงกับพี่คุณโผล่มาหวานใส่กันให้หายคิดถึงด้วยอ่ะ ดีใจจัง ส่วนพี่เมศกับตะวันก็หวานแข่งกับพี่คุณกับหนูหลงเลยนะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แหม ตอนนี้น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริงนะปานตะวัน

ออฟไลน์ jinholmemin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แบบว่าสงสัยมาก หลงเข้ามหาลัยแล้วอย่างนี้พี่คุณได้หม่ำๆน้องรึยังน้อออ  :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพิ่งเข้ามาอ่าน ติดตามนะคะ น้องตะวันพี่เมศน่ารักกก น้องเจียก็น่าเอ็นดู  o13

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
โอ้ยหลงกับพี่คุณ ยังหวานได้หวานดี แต่คู่ใหม่ก็ไม่แพ้นะ แถมมีโซ่คล้องใจกันแล้วด้วย

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ตะวันสู้ๆๆๆ ทำงานหนักเพื่อหนูเจีย!!!
แต่พี่เมศคือกำไรทั้งตอนอ่ะ ทั้งหอมทั้งจูบ -////-
ฉุดพี่เมศลงหลุมไปลึกๆเลยตะวัน ^0^
ปล. หลงงงงงงงง น่ารักไม่เสื่อมคลาย!!!

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หนูเจียน่ารัก

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักอะ ชอบเรื่องแบบนี้ดูสบายๆดี :mew3:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
สู้ๆทั้ง3คน :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด