‘ปั๊มอย่าวิ่งได้เปล่าวะ กูเหนื่อยยยย’ คนที่วิ่งตามบ่นอุบ
‘เดี๋ยวก็ตามไม่ทันหรอกไวน์’ คนที่วิ่งนำฉุดแขนเพื่อนสนิทให้ทนวิ่งตาม ‘เครื่องบิน’ ลำนั้นให้ทัน
‘มึงไปก่อนเหอะ เหนื่อยว่ะ’ คนโดนลากสะบัดแขนจนหลุดพลางโบกมือไล่เพื่อนไป
ปั๊มไม่ยอมเสียเวลา เขาก้าวขาออกไปและเริ่มต้นวิ่งอีกครั้ง จังหวะนั้นเองที่เครื่องบินบนฟ้าเปลี่ยนทิศทางโดยการเร่งเครื่องเพื่อไปยังจุดหมาย และคนที่วิ่งตามก็ไม่สามารถตีตื้นได้ทันแล้ว
ปั๊มชอบเครื่องบิน ไม่เคยไม่ชอบเลย เขาภูมิใจกับธุรกิจของพ่อมาเสมอ สักวันเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของมันให้ได้
‘ชอบเครื่องบินเหรอ’ เสียงนั้นทำให้ปั๊มคิดว่าเป็นไวน์ชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ออกมาจากพุ่มไม้นั้นโตกว่าเพื่อนของตัวเองมาก เขาจึงประหลาดใจ รู้สึกคุ้นหน้าแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน
คนถูกถามแค่พยักหน้า สำรวจคนตรงหน้าซึ่งใส่เสื้อลายสก๊อตสีแดงทับเสื้อยืดสีขาวอยู่ คนแปลกหน้าคนนี้เท่มากในสายตาของเด็กอายุสิบเอ็ดอย่างเขา
‘ฉันก็ชอบนะ’ คนตัวโตกว่ายิ้ม ทำให้ปั๊มยิ้มให้กลับโดยอัตโนมัติ
ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่ระแวงอีกเลย ปั๊มเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง จ้องมองจนเครื่องบินลำนั้นหายลับไป แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีคนแปลกหน้านั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้วเช่นกัน
จาก : ไวน์
เรื่อง : เอาจริงดิ?
มึงต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ที่บอกว่าจะใช้แผนแกล้งให้รัก
คือไอ้ครึ่งแรกที่บอกว่าจะให้เขาช่วยสอดส่องบริษัทกูเข้าใจ แต่ประโยคหลังกูไม่ค่อยแน่ใจว่ะ
แถมกูมารู้ตัวทีตอนที่นึกได้ว่าไอ้คนที่หักหน้ามึงเป็นผู้ชาย กูนี่อึ้งไปเลย
รู้ว่ามันท้าทายดี แต่อย่างเล่นแรงเกินไปนะ
(ถึงจะรู้ว่าเกมก่อนๆ หน้านี้กูยุมึงตลอด)
ได้ข่าวว่าพวกนี้เดือดทีมันอารมณ์รุนแรงไม่ใช่หรือไง
(และยิ่งบวกกับนิสัยส่วนตัวที่มึงเคยบ่นให้ฟัง)
โดนจับได้ เขาฆ่าตายเอามันจะไม่คุ้มนะ
มีอะไรปรึกษาได้ แต่ลองใช้แผนอื่นมั้ย
ทำให้เสียหน้ากลับหรืออะไรก็ได้ หรือลองจ้างผู้หญิงมาบอกว่าท้องดูดิ สนุกกว่าอีก
ยังไงก็อัพเดทมาตลอดนะ กูแม่งอยากกลับไทยพรุ่งนี้เลย
เจอกันศุกร์หน้า กูจองตั๋วแล้ว
สุดท้ายนี้ กูกลัวมึงครับ
ไวน์ “คุณปั๊มครับ”
“หะ!?” ผมเหม่อมองเครื่องบินจนเกือบไม่ได้ยินเสียงเลขาตัวเองซะแล้ว ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินครับ ว่าจะหาอะไรสนุกๆ ทำสักหน่อย
“ไฟล์ทของคุณธีร์แลนดิ้งแล้วครับ”
“โอเค งั้นไปหาเขาที่ออฟฟิศกัน” ผมเดินนำเลขาออกไป
“คุณปั๊มจะไปเล่นเทนนิสต่อเหรอครับ” เลขาพูดไล่หลังมา
หืมมมม ไอ้บ้า ทำกูเสียเซลฟ์สุดๆ
คืออย่างนี้ครับ ผมยอมรับเลยว่าผมกำลังจะปั่นหัวกัปตันคนเก่งของเราด้วยการทำตัวอ่อยให้เขาอดใจไม่อยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆ มันน่าสนุกมากๆๆๆ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่จะอ่อยผู้ชายให้ชอบยังไงนี่สิ ผมไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้เลยจริงๆ ผมเลยจัดการหารีเสิร์ชโดยการสำรวจเน็ตไอดอลคู่รักชายที่เขาว่ากันว่าหวานหยดย้อย แล้วพบว่า ทุกๆ คู่รักจะต้องมีคนเป็นผัวและเมีย ซึ่งฝ่ายแรกจะต้องแมนมาก มีความเป็นผู้ชายสุดๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องน่ารัก ขี้อ้อน งอแงหน่อยๆ ซึ่งผมเดาว่า สารรูปอย่างกัปตันธีร์ต้องเป็นผัวแน่นอน (สรุปเป็นเมียจ้า กูแห้วแดกจ้า) เพราะฉะนั้น การที่ทำให้คนเป็นฝ่ายผัวหวั่นไหวได้ก็คือการทำตัวให้น่ารักเหมือนเกิดมาเพื่อโดนดูแลเหมือนคนอัมพาตแดก และที่สำคัญ จากรีเสิร์ชเพิ่มเติมจากสื่อสิบแปดบวก พบว่าคนเป็นเมียนั้นจะต้องมีความพิมพ์นิยมประมาณว่า ขาว น่ารักและน่าฟัดในเวลาเดียวกัน ซึ่งเรื่องขาวผมไม่ต้องทำไรเลยเกิดมาสีผิวอย่างกับทิชชู่ ส่วนน่ารักน่าฟัดนี่สิจะทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้นได้ยังไง ก็เลยตีความตามที่เดาว่า โอเค จะต้องทำตัวให้กัปตันอดใจไม่อยู่จนแทบจะลากไปปล้ำเลยดีนะ นั่นก็คือ แท๊แด… ผมเลยจัดการใส่เสื้อยืดบางๆ กับกางเกงขาสั้น (มากๆ) โชว์ขาอ่อนเต็มที่ ผมไม่เคยแต่งตัวแบบนี้มาก่อนเลย ตอนแรกว่าจะมั่นใจเต็มร้อย พอเลขาแม่งแซว กูไปไม่ถูกเลยครับ นอยยยยยย
“เหมือนเหรอ” ผมถามตรงๆ
“มากๆ เลยครับ” เลขาสำรวจผมแทบจะหัวจรดเท้า “แต่แต่งแบบนี้แล้วคุณปั๊มน่ารักดีนะครับ ผมไม่เคยเห็นเลย”
“ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“รู้สึกอะไรครับ?” เลขาทำหน้างง
“แบบ เออ…น่าฟัดอะไรแบบนี้”
“คุณปั๊ม!” ตรองร้องลั่น แถมหน้าแดงจัดจนยกแฟ้มขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
“โอ๊ย แค่ถาม ฉันไม่ได้จะมาอ่อยนายสักหน่อย”
“ยะ…อย่าบอกนะครับว่าที่จะมาหากัปตันธีร์ก็เพราะ…”
“ทำไม หึงเหรอ”
“โอ๊ยไม่ใช่ครับ นี่คุณปั๊มทำอะไรกันแน่เนี่ยยยยยยย!”
“โวยวายทำไม เดินตามมาเร็วๆ” ผมเร่ง
หลังจากโยนอเมริกาโนก้นแก้วทิ้งลงถังขยะแล้วเราทั้งสองคนก็รีบบึ่งไปยัง Head Office ของสายการบิน พนักงานภาคพื้นคนเดิมที่เคยเจอทักทายผมอย่างกันเองถึงแม้สีหน้าจะดูแปลกใจอยู่บ้างก็ตาม แล้วผมก็เห็นเป้าหมาย ร่างสูงใหญ่ในชุดไปรเวทเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เขายังไม่เห็นผม ผมเลยมีเวลาชื่นชมเครื่องแต่งกายสุดแสนจะมีสไตล์ของเขาได้เต็มที่ วันนี้เขาใส่แจ๊คเกตหนังกลับสีดำทับเสื้อยืดสีขาวและท่อนล่างเป็นกางเกงยีนสีฟอกเหมือนเดิม ดูท่าจะชอบกางเกงแบบนี้มาก คงจะเป็นลูกค้าประจำร้านยีนสักร้านแน่ๆ แต่ก็ยอมรับว่ามันเหมาะกับเขาจริงๆ
แล้วเขาก็สังเกตเห็นผม กัปตันธีร์ทำตาโตก่อนจะพุ่งเข้ามาหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แต่งตัวบ้าอะไรเนี่ย!?”
“ไปเล่นเทนนิส” ผมยิ้มกวน หันไปมองเลขาซึ่งตอนนี้ยังหน้าแดงไม่เลิก
“ไม่กลัวพวกพนักงานนินทากันหรือไง”
“โอ้โห บริษัทนี้จะว่างกันขนาดนั้นเลยเหรอ”
“นี่ไม่ได้เล่นด้วยนะ” อยู่ๆ เขาก็กระชากมือผมขึ้นมา เล่นเอาผมตัวแข็งทื่อ เอ่อ…เป็นอะไรของเขาวะ
“เป็นอะไรเนี่ย” ผมเริ่มกลัวแล้วนะ ดูสายตาที่เขามองมาสิ ทมิฬฉิบหาย
“ทำไมฉันบอกอะไรเธอไม่เคยเชื่อเลย”
“ปล่อย! กัปตัน ผมเจ็บบบบ” ผมพยายามสะบัดมือออกแต่มันไม่ได้ผลจริงๆ
“พี่ธีร์ปล่อยคุณปั๊มเถอะครับ” ตรองวิ่งเข้ามาห้าม แต่เหมือนมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นสักนิด
“ตรองก็เหมือนกัน! แทนที่จะดูแลให้เจ้านายทำตัวดีๆ ไม่คิดจะห้ามอะไรกันเลยหรือไง!” จู่ๆ กัปตันก็หันไปตะคอกตรองเป็นรายที่สอง เลขาที่หวังดีหน้าเสียไปทันตา
“คุณ! พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือไงวะ!” ผมออกแรงสะบัดครั้งสุดท้าย คราวนี้มันหลุด ผมจ้องเขาไม่ละสายตา ยอมรับว่าก็เริ่มโกรธแล้วเหมือนกัน “คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าคนของผมแบบนี้!”
พลั่ก!!
ผมออกแรงผลักอกคนตรงหน้า เขาเซไปชนเก้าอี้จนเกือบจะล้ม กัปตันมองหน้าผม แววตาดูเปลี่ยนไป
“ด่าผมมาเลยสิ! ตรองไม่เกี่ยว! เขาทำงานของเขาได้ดีแล้ว ผมมันไม่รักดีเอง” ผมสัมผัสได้ถึงเสียงที่สั่นเครือ เชี่ยเอ้ย ไม่ชอบตอนตัวเองอ่อนแอเลยผับผ่าสิ
“คุณปั๊ม ไม่เป็นไรครับ” ตรองสัมผัสแขนของผมเพื่อดึงให้อารมณ์เย็นลงบ้าง แต่ไม่ทันแล้ว มันเหมือนการกระตุ้นให้ดาวน์ลงกว่าเดิม
“ผมแค่จะมาหาคุณ” ผมพูดความจริง กัปตันขมวดคิ้วเหมือนประหลาดใจ ใช่…มันเป็นความจริงที่เขาสมควรรู้เพียงแค่นั้น เรื่องอ่อยห่าเหวอะไรนั่นมันเป็นความโง่ที่ผมคิดจะอยากเล่นสนุกขึ้นมาเอง
“ฉันมีเหตุผล” กัปตันพูดเสียงเบาอย่างกับกระซิบ
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ” ผมยิ้มให้เขา จากนั้นก็ทำท่าจะหันหลังกลับเพื่อเดินออกไป แต่กัปตันวิ่งมาขวางประตูซะก่อน
“ฉันไปส่งได้มั้ย” เขาพูดอย่างระมัดระวัง นี่คุณกำลังกลัวอะไรหรือเปล่า…
“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้ม “เดี๋ยวคนขับรถคงมา ขอบคุณมาก”
สิ้นเสียง กัปตันทำหน้าเหมือนช็อคและกระอักกระอ่วนดูพูดไม่ออกกับสิ่งที่ผมมอบให้ มันคือคำว่า ‘ระยะห่าง’ นั่นเอง นี่แหละคือสิ่งที่ ‘เจ้านาย’ และ ‘ลูกจ้าง’ ควรจะเป็น ถ้าอยากให้มันตามครรลองนัก ผมจะจัดให้
Rrrrr.
ผมมองโทรศัพท์ที่สั่นเป็นรอบที่ล้าน หลังจากเห็นชื่อคนโทรเข้ามาว่าก็หันกลับมาสนใจหนังสือที่อ่านอยู่ต่อ พลางนั่งกระดิกเท้าเอนตัวนอนบนโซฟาอย่างสบายใจเฉิบ
“ไม่คิดจะรับหน่อยเหรอครับ” ลุงเอกที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียง
“ก็มารับเองสิ”
“กัปตันเขาคงหวังดีจริงๆ นะครับ”
ผมจิ๊ปากทันที ไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้ลุงแกฟังเล้ยยยย
“รับเถอะครับ”
“ไม่เอาน่าลุงเอก ผมยิ่งอารมณ์เสียอยู่นะ”
“ก็ตามใจครับ ผมขอตัวไปพักผ่อนหน่อยดีกว่า”
“ยังไม่มืดเลยจะไปนอนแล้วเหรอ” ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ตอนนั้นเองที่เสียงสั่นได้หายไปแล้ว แต่ก็ยังหงุดหงิดอยู่ดีที่เห็น miss call สิบกว่าสายขึ้นโชว์หรา
“เปล่าครับ ถ้าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ คุณปั๊มอาจจะกล้ารับสายขึ้นมาก็ได้”
“พูดอะไรเพี้ยนๆ อีกแล้ว ไปนอนไปๆๆๆ” ผมโบกมือไล่พ่อบ้านอย่างหงุดหงิด ลุงเอกทำหน้าตากวนๆ ก่อนจะขึ้นไปยังชั้นบน ผมมองตามไปจนลับสายตา
Rrrrrrrr.
โอ๊ยยย ความพยายามสูงจริงนะพ่อนักบิน
ฮึ่ยยยย รับก็ได้วะ
“ดิสอีสปั๊ม”
“ค่อยยังชั่ว” เขาพูดผ่านสาย ตามด้วยเสียงถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่
“ค่อยยังชั่ว? อะไรค่อยยังชั่ว”
“ก็แจกความสดใสแบบนี้คงหายโกรธแล้วสินะ”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย” ผมเอนตัว “ทำไมผมต้องโกรธด้วย”
“อ้าว แล้วที่ร้องไห้วิ่งออกมาแบบนั้นหมายความว่าอะไร”
เวร ไม่ต้องรื้อฟื้นก็ได้มั้ง
“…โมโห”
“แล้วยังไง ต่างกับโกรธตรงไหน”
“โกรธเขาเอาไว้ใช้กับคนที่มีความสัมพันธ์ที่สนิทกัน โมโหเอาไว้ใช้กับคนแปลกหน้า”
“เธอนี่ก็พูดไปเรื่อย”
“อ๋อ ถ้าปากดีแบบนี้ก็แค่นี้นะ”
“ล้อเล่นน่า” กัปตันกำลังกลั้นขำ ฟังจากเสียงก็รู้ หึ “สรุปเธอหายโกรธฉันหรือยัง”
“ก็บอกไม่ได้โกรธไง!” โอ๊ยยยย จะปรี๊ดแตกอีกระรอกแล้วนะ “แล้วนี่เสียงดังจัง อยู่ข้างนอกเหรอ มาพูดเธอๆ ฉันๆ แบบนี้คนที่ได้ยินเขาจะคิดว่ากัปตันกำลังง้อเมียอยู่นะ”
เอาจริง ก็ไม่ค่อยโอเคกับการโดนเรียกเธอเท่าไหร่หรอกฮะ มันฟิลประมาณแบบเวลาผมเจอสาวถักเปียน่ารักๆ เดินผ่านแล้วทัก เธอๆ จะไปไหน โอ๊ยยย นู๊ปเชี่ยๆ
“ก็ดีสิ”
“หมายความว่าไง -_-“
“ฉันก็อยากมีเมียให้ง้อเหมือนกันนั่นแหละ” เอิบ…กูไปต่อไม่ถูกเลยครับ
แหม่ ตอนแรกก็กะจะอ่อยให้ติดหรอก อุตส่าห์แต่งตัวยั่วๆ แล้วกลับไล่กูซะงั้น ไอ้เลขาก็ด่าว่าเหมือนจะไปเล่นเทนนิส เอาสิ วันนี้กูมีอะไรดีบ้าง ตอบมา!
กัปตันกระแอมทำลายความเงียบ “แล้วสรุปวันนี้มาที่เฮดออฟฟิศทำไม”
“ก็จะไป…” อ่า หาเรื่องโกหกแปบ “…ทำงานไง! ว่าจะไปดูนั่นดูนี่”
“แล้วยังอยากทำงานอยู่มั้ย”
“หมดอารมณ์แล้ว”
“อืม… ฉันปลุกอารมณ์เก่งนะ”
“คุณหงี่เหรอกัปตัน พูดอะไรทำนองนี้หลายรอบแล้วนะ” นี่มันนิสัยวัยกลางคนชัดๆ ฮึ่ยยย ขนลุก
“หึๆ ฉันล้อเล่น ออกมาที่สนามบินหน่อยมีอะไรจะให้ดู”
“เวลานี้อะนะ”
“มาเหอะ”
ผมมองดูนาฬิกาติดผนังรุ่นคลาสสิกเจ้าคุณปู่ เออ… ต้องรีบออกตอนนี้ไม่งั้นรถติดตาย
“งั้นรอแปบนึง แต่งตัวพร้อมแล้วออกไปได้เลย”
“เดี๋ยว” เขาเบรกผมกะทันหันขณะกำลังพุ่งตัวไปคว้ากระเป๋า
“อะไร?”
“ขอโทษนะ” กัปตันพูดอย่างช้าๆ ชัดๆ ผมรู้สึกผิดปกติกับน้ำเสียงนั้น มันอย่างกับ…ออดอ้อน?
“เรื่องวันนี้อะเหรอ”
“ใช่” เขาว่า “ฉันสติแตกไปหน่อย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอแต่งตัวแบบนั้นก็น่ารักดีนะ แต่ฉันก็อารมณ์เสียที่เธอโชว์เนื้อหนังให้คนอื่นเห็นมากไปหน่อย มันมีความรู้สึกไม่อยากแบ่งใคร …ขอโทษนะที่พูดเห็นแก่ตัวแบบนี้”
“อ่า…” ซึ้งขนาดนี้กูจะพูดอะไรต่อได้ครับ แหม่ “หวงว่างั้น”
“ไม่อยากใช้คำนั้น แต่… เออ ก็ใช่ แต่คนอื่นที่เห็นเธอเขาจะมองไม่ดีจริงๆ นะ จะเป็นซีอีโอแต่แต่งตัวแบบนั้น”
“เลิกทำตัวน่าขนลุกแล้ววางสายซะ เดี๋ยวจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้แหละคุณพ่อ”
“ขอบคุณครับลูก”
ติ๊ด!
ผมกดวางสายไปทันที เอาจริง ยังไม่ชินกับการเต๊าะของกัปตันเลย ยิ่งรู้จักยิ่งรู้ว่าหื่นและหงี่ชัดๆ อี๋
ผมส่องตัวเองในเงากระจกของนาฬิกา อุ๊ย นี่มันนักกีฬาเทนนิสสุดหล่อนี่ครับ (หลบตีนแปบ)
“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกคนขับรถจากสายการบิน เขาปล่อยผมลงที่โรงซ่อมเครื่องของสายการบินเรา ก็กัปตันบอกให้มาเจอที่นี่ ผมยังงงอยู่เลยว่านักบินอย่างเขามาทำอะไรที่นี่กันนะ
“เธอ!” เสียงหนึ่งดังมาพร้อมกับเสียงฝีเท้า ผมหันไปมองก็พบว่ากัปตันธีร์กำลังวิ่งมาด้วยชุดหมีแต่ทว่าเปลือยท่อนบนโชว์อกหนาและกล้ามท้องได้รูปอย่างไม่อายฟ้าอายดิน เนื้อตัวเลอะมอมแมมไปด้วยอะไรสักอย่างสีดำๆ เป็นปื้นๆ นี่ไปเล่นอะไรมาอีกแล้วเนี่ย
“คนเยอะขนาดนี้มาเรียกธงเรียกเธออะไรเล่า” ผมทำหน้าดุใส่ ก็ดูสิ พวกช่างซ่อมเดินกันให้ขวักไขว่แบบนี้
“เอ่อ… พี่ขอโทษ” นั่น…เป็นญาติกูซะแล้วครับ
แต่ก็เอาวะ ดีกว่าเธอแล้วกัน
“ใส่เสื้อให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไง” ผมชี้ หัวนมสีแทนนั่นกำลังชี้หน้ากูแล้วครับ
“ก็มันร้อน” เขาว่า เพิ่งสังเกตว่าเขาใส่สร้อยรูปเครื่องบินอยู่ด้วย เท่ดีแฮะ “เข้าไปข้างในกัน พวกช่างตื่นเต้นกันใหญ่พอรู้ว่าปั๊มจะมา”
“แล้วไปบอกพวกเขาตั้งแต่ตอนไหน”
“พอดีไปปรับทุกข์กับหัวหน้าช่างมาเรื่องที่เราโกรธพี่ พอบอกมันไปอีกทีว่าปั๊มหายโกรธแล้วมันชวนให้มาปาร์ตี้ด้วยกัน”
“ปาร์ตี้?” ผมเลิกคิ้ว “ในโรงซ่อมเครื่องบินเนี่ยนะ”
“ใช่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของช่างที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เปิดสายการบิน หัวหน้าช่างคนเก่านั่นแหละ”
“อ่อ…” เดี๋ยว ขอวนกลับไปเรื่องเดิมแปบ “แล้วใช่เรื่องมั้ยที่บอกคนอื่นเรื่องผมเนี่ย”
“อ้าว โกรธอีกแล้วเหรอ” กัปตันธีร์หยุดเดินแล้วมองผมด้วยสีหน้าหวั่นๆ ผมปั้นหน้าบึ้งให้ก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในโรงซ่อมก่อน หลังจากพ้นสายตาแล้วยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย ฮ่าๆ ขอกวนบ้างสักทีเถอะ
“สวัสดีครับคุณธารทอง!”
โอ้โห ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ บรรดาช่างทั้งหนุ่มทั้งแก่ก็กรูกันเข้ามายกมือไหว้ผมเป็นว่าเล่น ทำเอาพนมมือค้างไปเลย อย่าไหว้ผมเยอะคร้าบบบบบ
“ผมกัน เป็นหัวหน้าช่างที่นี่ครับ” คนที่พูดก้มหัวให้ผมเล็กน้อย เขายังเด็กอยู่เลย นี่เหรอหัวหน้าช่างที่กัปตันว่า
“แหมไอ้ห่า ยังไม่ทันได้เลื่อนขั้นก็เหยอแล้วนะมึง” เพื่อนช่างข้างหลังตบหัวเขา หลังจากนั้นทั้งกลุ่มก็หัวเราะครื้นเครง ทุกคนเหมือนกันหมด ทั้งชุดหมีที่ใส่และมีใบหน้าที่มอมแมม
“ไอ้เจษ! มึงอย่ามาทำให้กูขายหน้าคุณธารทองสิวะ!” หัวหน้าช่างลูบหัวป้อยๆ “ขอโทษด้วยนะครับคุณธารทอง พวกผมมันห่ามแบบนี้แหละ”
“อ่า… เรียกผมว่าปั๊มก็ได้นะครับ”
“ครับคุณปั๊ม เดี๋ยวคุณนั่งรอสักครู่นะครับ ยังเหลืออีกลำนึง” เขาชี้ไปยังเครื่องโบอิ้งที่บรรดาช่างทั้งหลายกำลังรุมทึ้งอยู่ “ตอนแรกนึกว่าจะนานกว่านี้ แต่เอาเข้าจริงก็เสร็จเร็วกว่าที่คิดครับ ดีที่เฮียเขามาช่วยอีกแรงนึง”
“เฮีย?”
“อ๋อ กัปตันธีร์น่ะครับ”
“อ้อ…” แหม… คงจะมีบารมีเยอะ พวกช่างต่างพากันยกย่อง
“ฮะแฮ่ม” เสียงกระแอมข้างหลังผมทำให้รู้ว่าคนที่ถูกพูดถึงอยู่แถวนี้ แหมโชว์ตัวเลยนะเฮีย “รีบๆ ทำให้เสร็จเถอะ เดี๋ยวเครื่องบินมาซ่อมอีกลำแล้วจะไม่ได้ฉลองให้ลุงมิ่งกันพอดี”
“เฮ้ย! ข้าไม่รีบ เกษียณนะโว้ยไม่ใช่แก่ตาย ยังรอได้!” ช่างวัยชราคนหนึ่งตะโกนมาจากโซนที่นั่งซึ่งเต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม รอบๆ โต๊ะประดับประดาไปด้วยลูกโป่ง หวานแหววชนิดที่ไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝีมือช่างเลยทีเดียว
“ไปนั่งรอกับลุงมิ่งก่อนก็ได้” กัปตันสะกิดหลังผม
“คุณไปซ่อมอะไรกับเขาด้วยฮะ! จบวิศวะการบินแล้วอยากจะโชว์พาวหรือไง?”
“นี่แอบสืบเรื่องฉันมากี่เรื่อง” เขาหรี่ตามอง
“อ้าว? ทำไมเป็นฉันแล้วล่ะ ไม่อยากเป็นพี่แล้วหรอ” ผมแซว ยิ้มอย่างกวนๆ ให้ก่อนจะย้ายไปนั่งตามที่กัปตันเขาว่าโดยไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อ
“สวัสดีครับคุณธารทอง” ลุงมิ่งลุกขึ้นยืนอย่างลนลานและเตรียมจะไหว้
“ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับ” ผมบอก แต่ยกมือไหว้เขากลับไปแทน “ช่างที่อยู่มานานอย่างลุงผมสิต้องขอบคุณ… ขอบคุณที่อยู่กับเรามานะครับ”
“ขอบคุณครับผม” เสียงของลุงสั่นเครือตามประสาคนแก่ “ตอนแรกผมคิดว่ายังทำไหวอีกสักสองสามปี แต่พอมายืนดูแล้ว ไอ้พวกนี้มันทำอะไรคล่องแคล่วกว่าเยอะ สมควรแล้วที่ผมต้องไป”
“ลุงก็ทำมาเต็มที่แล้วล่ะครับ” ผมบอก สายตามองไปที่เครื่องบิน เห็นกัปตันธีร์กำลังปีนนั่งร้านอย่างเป็นลิงเป็นค่าง เนื้อตัวมันเงาเพราะชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เขาดูไม่สนใจอะไรเลย สายตาของเขากับโฟกัสแต่สิ่งที่กำลังทำ เฮอะ คนอะไรวะขับเครื่องบินก็ได้ ซ่อมเครื่องบินก็เป็น จ้างเป็นช่างซ่อมเครื่องบินส่วนตัวของพ่อซะดีมั้ยเนี่ย
“เสียใจด้วยนะครับเรื่องพ่อแม่ของคุณ” ลุงมิ่งพูดอย่างจริงใจ
“ขอบคุณครับ” เปลี่ยนเรื่องดีกว่า วันนี้ไม่อยากเศร้าแฮะ “วันนี้วันของลุงมิ่ง อยากทานอะไรมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ มีของกินเยอะแล้ว”
ผมกวาดสายตามองรอบโต๊ะ ไม่เห็นมีอะไรที่เรียกเป็นอาหารได้อย่างจริงจังเลย มีแต่พวกขนมกับน้ำอัดลม
“เถอะครับ ถือว่าผมเลี้ยงส่งให้นะ”
“เอ่อ…” ลุงมิ่งอ้ำอึ้ง คงเกรงใจสินะ “ถามคนอื่นเถอะครับ ผมยังไงก็ได้”
“อ่า” อ้าวลุง โยนให้ผมแล้วไง
ผมยืนขึ้นก่อนจะตะโกนถาม “ทานไก่ทอดกันมั้ยครับ!”
“เอาครับคุณปั๊ม!!” หัวหน้าช่างตะโกนออกมาคนแรกเลย
“เอาครับ!”
“เอาฮะ!!”
“ขอบคุณครับ!”
ทุกเสียงเป็นเอกฉันท์ ผมจัดการเปิดแอพฯ ทันที เอ… คนเยอะขนาดนี้เขาจะจัดส่งมั้ยวะ ไม่งั้นเดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปซื้อให้ดีกว่า ว่าแล้วผมก็จัดการโทรหาลุงเอกทันที
“ครับคุณปั๊ม…”
“ลุงเอก ให้คนขับรถไปซื้อบอนชอนมาให้หน่อยสิ เอาให้พอดีสัก…” ผมนับคนที่เห็นทั้งหมดอย่างคร่าวๆ “เอามาเผื่อสักสามสิบคน”
“เลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอครับ”
“จะบ้าเรอะ พอดีมีช่างจะเกษียณก็เลยว่าจะเลี้ยง”
“อ่า…ชื่นใจจัง เดี๋ยวผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้แหละครับ จะช่วยซื้อของหวานพวกทาร์ตไข่ไปด้วยแล้วกัน”
“ดี เร็วๆ นะลุง เดี๋ยวเขาก็เลิกงานกันแล้ว”
“ครับผม”
ติ๊ด!
หลังจากวางโทรศัพท์ลง สายตาดันพลันไปเห็นกัปตันธีร์กำลังมองมาพอดี เขากำลังยิ้มอย่างพอใจมาทางนี้ แต่พอรู้สึกว่าผมเห็น เขาเลยละสายตาแล้วหันกับไปง่วนอยู่ที่งานตรงหน้าแทน อะไรของกัปตัน จะแอบมองทำไม - -
เสียงหัวเราะของบรรดาช่างในงานปาร์ตี้ระงมไปหมด ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ลุงมิ่งที่เริ่มกรึ่มๆ เพราะน้ำพันช์ (ที่ไม่รู้ไปหากันมาจากไหน) ก็เริ่มพูดคุยถึงตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ สมัยยังหนุ่มๆ ว่าต้องผ่านอะไรมาบ้าง ส่วนมากเป็นเรื่องตลกที่เคยเจอ มีเรื่องที่เคยลืมประกอบอะไหล่ให้ครบด้วย แกบอกว่าโชคดีที่เครื่องไม่ตกจนกลับมาไทยอีกรอบได้ ทุกคนขำขันกันใหญ่ มีแต่ผมคนเดียวที่หน้าเหวอเพราะขำไม่ออกจริงๆ นี่มันเรื่องความเป็นความตายเลยนะ ทุกคนเห็นผมไม่จอยเลยพยายามอธิบายต่อว่าอะไหล่ตัวนั้นเป็นแค่ตัวโครงสร้างที่ใช้ประกอบปิดเป็นโครงสร้างเฉยๆ ไม่ใช่อะไรสำคัญ แต่ถึงยังไงก็ไม่ช่วยอยู่ดี ไม่ตลกเลยนะพวกคุณ - -
“อะ” ความรู้สึกเย็นๆ ถูกนาบที่แขนอย่างกะทันหันจนผมสะดุ้ง กัปตันธีร์ ยื่นแก้วที่ใส่น้ำสีเขียวๆ มาให้ โอ๊ย สีไม่น่าดื่มเลยเอาจริง
“มีแอลกอฮอล์หรือเปล่า” ผมถาม
“เบาบางมาก” เขากระตุกยิ้ม
“นี่ยังไม่ได้สอบสวนนะว่าเอาเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาในนี้ได้ยังไง” ผมว่าแต่ก็รับแก้วมาโดยดี ชิมจิบๆ ไปนิดหน่อย เออ ก็อร่อยใช้ได้
ผมมองเครื่องโบอิ่งที่ตอนนี้กลับมาสวยเอี่ยมอ่อง เอาจริง ผมชอบเครื่องบินมากเลยนะ ตอนเด็กๆ นี่เวลาได้ยินเสียงเครื่องบินที่ไหนต้องเงยหน้าขึ้นมองตลอด มันเป็นอีกหนึ่งความฝันวัยเด็กจริงๆ
“คุณเคยขับลำนี้มั้ย”
“เคย” เขาบอก ทิ้งตัวลงข้างๆ ผม “หนึ่งในลำโปรดของฉันเลย”
“อยากขับเครื่องบินเป็นมั่งจัง”
“ไว้ว่างๆ จะสอน”
พอเขาพูดอย่างนั้น ผมนี่ตาลุกวาวเลยฮะ
“จริงเหรอ? มันสอนได้จริงๆ ใช่มั้ย”
“จริง” เขายกแก้วพันช์ขึ้นจิบ “แต่ต้องใช้เวลาสอนนานหน่อย”
“ผมมีเวลาว่างเยอะ”
“แต่ฉันไม่ค่อยมีน่ะสิ” กัปตันเลิกคิ้วใส่ ผมเกลียดเวลาเขาทำหน้าตาแบบนี้มาก กวนตีนอะ ไอ้แก่เอ๊ยยยย
“แล้วจะพูดทำไมเนี่ย” ผมมองตาขวาง หันหน้าไปทางอื่น
“หึๆ ตามมาสิ มีอะไรให้ดู” เขาลุกขึ้นและยื่นมือมาให้ คืออะไร? ให้จับเหรอ?
“จะไปไหน” พอเห็นว่าผมไม่จับ เขาเลยเลยคว้าข้อมือให้ผมลุกขึ้นตามแทน
“ซีเครสเพลส” เขาขยิบตา เล่นเอาผมตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป
กัปตันคว้าขนมติดมือไปด้วยสองห่อ จากนั้นก็เดินผ่านวงพันช์ของช่างไป
“ฮิ้วววววววว!”
[อ่านต่อด้านล่าง]