Part III
Burn
16
เริ่ม

ผมแทบสะดุ้งเมื่อไอ้เพชรโยนกองกระดาษมาไว้หน้าผมอย่างจัง ไอ้ห่า ทำอย่างนี้มึงไม่ฟาดใส่หัวกูไปเลยล่ะ
“ดูสิ” ไอ้เพชรชี้มายังของหน้านั้น
มันคือกระทู้ในอินเตอร์เน็ตที่ปริ้นออกมาหลายใบ เนื้อหาในนั้นเกี่ยวกับเรื่องการนินทาว่าร้ายลูกชายซีอีโอผู้เสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุรถยนต์ และกำลังอยู่ในขั้นตอนการโปรโมทเป็นซีอีโอคนต่อไป แต่…อาจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักบินของสายการบินตัวเอง พร้อมมีรูปตอนที่ผมกอดคอกัปตันหลังจากที่รู้ว่าเขานำเครื่องลงจอดอย่างปลอดภัยแม้เครื่องเรดาร์จะไม่ทำงานแนบมาด้วย…
เนี่ย บันเทิงหลังปีใหม่ของแท้เลยกู
“ดีนะที่เราสั่งเก็บข่าวพวกนี้ไปก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้”
“แล้ว…” ผมนั่งกอดอกมองมันด้วยสายตาฉงน เออ ยังไงต่ออะ?
“ปั๊มไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“มันก็เรื่องส่วนตัวปะเพชร?” ผมเลื่อนกระดาษพวกนั้นออกไป
“ปั๊มไม่คิดว่ามันทำให้พวกเราลำบากขึ้นเหรอ?”
“ลำบากเรื่อง?”
“ก็ที่เราบอกว่าหุ้นส่วนดูไม่ค่อยพอใจไง”
“หุ้นส่วนคงจะความอดทนต่ำเกินไป”
“แค่อยากให้ปั๊มคิดเรื่องนี้เยอะๆ” เพชรก้มหน้าลงมามอง
“เชื่อเถอะว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ไม่ได้ง่ายเลย” ผมยักไหล่ “ขอโทษนะ เราตัดสินใจไปแล้ว”
“โห” เพชรทำหน้าเหมือนผิดหวังมากๆ แล้วจากนั้นมันก็ยิ้มมุมปากเหมือนกำลังหมดศรัทธากับอะไรสักอย่างขึ้นมา “ไม่คิดเลยว่าปั๊มจะทำตัวถูกแบบนี้”
เพล้ง!
และนั่นคือเสียงความอดกลั้นที่กำลังขาดสะบั้นครับ
“มึงว่าไงนะ” ผมเงยหน้ามองมันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แถมก็โมโหแบบควบคุมไม่ได้ ไม่เคยมีใครพูดกับผมแบบนี้มาก่อน
“เรานึกว่าปั๊มจะดีกว่านี้ซะอีก”
ผมสามารถรั้งมือตัวเองไว้ให้ไม่ไปชกหน้ามันได้ยังไงนะ
แต่ ถึงไม่มีการเอาคืน ผมก็ไม่ยอมให้ตัวเองโดนอยู่ฝ่ายเดียวแน่
“แล้วมึงคิดว่าตัวเองดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…”
“เอาเวลาไปเรียนต่อให้จบดีกว่ามั้ย”
“…”
“ไม่อายเหรอที่จบแค่ม.ปลายแล้วมาเป็นผู้บริหารเลย”
“…”
“ขนาดกูเรียนยังไม่จบมหาลัย กูยังอายตัวเองเลยนะ”
“ปั๊ม…”
“แล้วก็ถ้ากูทำให้ผิดหวังก็ขอโทษด้วย แต่…มึงเกี่ยวไรด้วยอะ” ผมยิ้มทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เราหวังดีนะ” เพชรมองหน้าผม
“รู้” ผมขยับเสื้อให้กระชับขึ้น “ดีจนกูขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย”
“…”
“ส่วนเรื่องหุ้นส่วน เดี๋ยวจะนัดมาคุยเอง ไม่ต้องห่วงนะ เงินเดือนมึงไม่น้อยลงแน่นอน” ผมเดินออกมาจากห้องประชุมทันทีด้วยความหงุดหงิดที่อยู่ในใจ ชะงักเล็กน้อยเมื่อเปิดประตูมาแล้วเห็นตรองยืนรออยู่ก่อนแล้ว
นี่ก็อีกคน
“ทีหลังถ้าจะโกหกกันแบบนี้ก็ขอให้คิดใหม่นะ” ผมกอดอก เท้าความไปถึงเรื่องที่เลขาตัวเองกุเรื่องว่ามีการประชุมบอร์ดบริหาร เอาเข้าจริงเป็นไงล่ะครับ มีแต่ไอ้เพชรคนเดียวที่ยืนหน้าสลอน
“ขอโทษครับ คุณเพชรเขาบังคับผมจริงๆ”
“ทีหลังก็ไปเป็นเลขาไอ้เพชรสิ”
“ขอโทษจริงๆ ครับ” ตรองทำท่าจะยกมือไหว้ ผมรีบปัดมือออกทันที ไม่อยากจะหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม บอกกี่ทีแล้วเนี่ยยยย
“ไม่ต้องไหว้! ทีหลังอย่าทำแล้วกัน รู้ไม่ใช่เหรอว่าปั๊มไม่ชอบคนโกหก ขอแค่อย่างเดียวเลยจริงๆ”
“ครับผม” ตรองพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่มากขึ้นกว่าเดิม “ผมจะไม่ทำอีกแล้ว”
“ช่างมันเหอะ ไปหาอะไรกินกัน” ผมดันหลังเลขาที่ตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อยให้เดินนำออกไป แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อเจอใครบางคนเดินสวนมา…
มิ้น!
เชี่ยเอ้ย วันนี้คงเป็นอีกวันที่ก้าวขาผิดออกมาจากบ้านแน่นอน!
“สวัสดีครับคุณปั๊ม พี่ตรอง” มิ้นยกมือไหว้ขึ้นมาอย่างลนลาน ผมสังเกตเห็นในมือนั้นมีแฟ้มและเอกสารมากมาย
“ที่นี่ไม่มีห้องให้นอนหรอกนะ” ผมยิ้มมุมปาก
“เอ่อ…”
“พูดกับเลขาของเราดีๆ หน่อยดิ” เพชรที่คงจะเพิ่งเดินออกมาจากห้องประชุมพูดแซว ผมนี่หันขวับไปทันทีเลยครับ
“เลขา?”
“ใช่แล้ว” ไอ้เพชรพยักหน้า “ช่วงนี้งานมันหนัก มีคนมาช่วยก็คงดี”
“อ๋อเหรอครับ” ผมบุ้ยปากแสร้งทำว่านั้นเป็นประโยคที่มีค่าและควรรู้มากกว่าการทำฝอยทอง “ก็ดี เก็บเงินดีๆ นะ จะได้มีที่อยู่เป็นของตัวเองสักที”
“ครับ…” มิ้นก้มหน้า ดูซึมไปถนัดตา
“ทำไมพูดแบบนั้น” เพชรเดินเข้ามาข้างๆ ผมนี่หัวเราะเหอะๆ กับคำถามมันเลยครับ
“มาว่ากูทำตัวถูก เลขามึงยิ่งกว่าของลดราคาอีก” ผมกระซิบ
“…”
“กูไม่พูดอะไรแล้ว หิว!” ผมกระแทกเสียงก่อนจะขยับเท้าเดินออกไปโดยทำทีไม่สนใจ เมื่อผ่านเลขาของไอ้เพชร ตอนนั้นอยากพูดว่าเซ็ทซูชิพรีเมี่ยมที่จะไปกินแพงพอๆ กับเงินเดือนเอ็งทั้งเดือนด้วยซ้ำ
แต่ไม่ดีกว่า พอเทียบแล้วก็รู้สึกเสียดายตังค์ เดี๋ยวจะไปกินปิ้งย่างแทน
“ฮัลโหล” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมารับสายเมื่อเห็นว่ากัปตันโทรมา
[อยู่ตรงไหน]
อ้าว กัปตันรู้ได้ไงวะว่าอยู่ข้างนอก?
พอพูดจบนี่ถึงกับเหร่มองเลขาที่เดินข้างๆ เลยครับ ซึ่งดูเหมือนว่าตรองจะรู้ทันเลยก้มลงกดโทรศัพท์ยุกยิกๆ แทน แถมผมแอบเห็นว่ามันกำลังคุยไลน์อยู่กับไอ้ไวน์ซะด้วย เอ๊า ไปสนิทกันถึงขั้นมีลงมีไลน์เลยเหรอ
“เพิ่งเดินออกมาจากบีทูเอส มาสิ”
[อ๋อ เจอแล้ว]
หมับ!
ยังไม่ทันได้วางสายดี กัปตันก็เอามือมาจับเอวจากข้างหลังจนผมเกือบร้องออกมาลั่น ฮ่วยยย
“เล่นบ้าไรเนี่ย!”
“ก็เล่นปกติ” เขาพยายามพูดเสียงยานๆ เหมือนตอน… เอ่อ อยู่ด้วยกันสองคน แต่คงลืมไปว่าตอนนี้มีอีกคนอยู่ด้วย กัปตันยิ้มแหยๆ ผงกหัวทักทายตรองแบบเก้ๆ กังๆ “ว่าไงตรอง”
“หวัดดีครับพี่” ตรองหน้าแดงจนเฉไฉไปทางอื่น “เอ่อ ผมว่าผมกลับดีกว่านะครับ”
“อ้าวไม่กินบิงซูเหรอ เห็นบ่นว่าอยากกิน” ผมถาม
“ไม่ดีกว่าครับเกรงใจ”
“เกรงใจอะไร!? อย่ามาพูดกันแบบนี้นะ”
“ถ้างั้นไว้คราวหน้านะครับ พอดีจะกลับไปทำธุระนิดหน่อย”
“เอ๊า ตามใจ” ผมโบกมือลา มองขาเล็กๆ นั้นก้าวฉับๆ เดินออกไปทางหน้าห้าง
เอาล่ะ คราวนี้ก็เหลือแต่ผมกับกัปตันสุดหล่อสองคน
“มองอะไร” ผมเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“คิดถึง” เขายิ้มแป้น
“ทะลึ่งและ คิดถงคิดถึงอะไร ไม่เจอกันแค่วันเดียว”
“แต่ก่อนหน้านั้นเจอกันทุกวัน”
“หยุดพูดเลย” ผมเดินหนี “ชอบเต๊าะไปเรื่อย”
“ไม่มีคนเต๊าะแล้วจะคิดถึงกันไม่รู้ด้วยนะ”
“วันนี้เป็นอะไรเนี่ยฮะ” ผมหลุดขำออกมาเพราะตลกกับสิ่งที่กัปตันกำลังทำ ซึ่งเขาก็คงทุเรศตัวเองเหมือนกันเลยหัวเราะตามผมไป
“หึๆ ไม่รู้ ตลกเนอะ”
“เออ ตลก” ผมพยักหน้าพลางเดินต่อ
“ซื้ออะไรเยอะแยะ” จู่ๆ กัปตันก็ลากถุงรองเท้ากับเสื้อที่ผมหิ้วมาไปถือเองซะอย่างนั้น เขายกพวกมันไปพักไว้บนหัวไหล่
“วันนี้เครียดนิดหน่อย” ผมพูดขณะเดินดูตุ๊กตาไข่ขี้เกียจไปด้วย
“เป็นอะไรอีกล่ะ”
“พูดแล้วเดี๋ยวก็หงุดหงิด”
“พูดมาเหอะ ฉันเป็นที่ระบายอารมณ์ของเธออยู่แล้วนี่”
โหยยยย พูดอย่างกะตัวเองเป็นหมาที่โดนเจ้าของโยนกระแทกกำแพงบ่อยๆ ไปได้ ฮ่าๆๆๆ
“วันนี้ไอ้เพชรมันเอาพวกข่าวในอินเตอร์เน็ตมาให้ดูเลยหงุดหงิด”
“ข่าวอะไร”
“ก็รูปที่เรากอดกัน”
กัปตันชะงัก ผมเลยต้องรีบอธิบาย
“ไม่มีอะไร ผมไม่คิดมากเรื่องพวกนี้หรอก”
“อ่อ…”
แหนะ เสียงอ่อย กังวลละสิ
“แล้วอีกเรื่อง อันนี้หงุดหงิดกว่าอีก” ผมถอนหายใจ “เจอมิ้นในตึก”
“อ่า…” สีหน้ากัปตันเริ่มเสียนิดๆ
“มาเป็นเลขาใหม่ของไอ้เพชร”
“อืม… ไม่ได้คุยกันเลย”
อ๋อเหรอ ก็ลองคุยดูเด่ะ
“อืม”
“แค่นี้เหรอ?”
“ฮะ?” ผมขมวดคิ้ว
“ไม่ตีฉัน ไม่โวยวายอะไรหน่อยเลยเหรอ” กัปตันเอียงคอถาม “งอแงอะไรก็ได้”
“ไม่อะ ผมจะทำแบบนั้นทำไม” เอ๊ะ หรือแต่ก่อนผมทำครับ
“ฟู่ว! รอดตัว”
“บ้าบอ” ผมชี้นิ้ว
“ฮ่าๆ จะกลับบ้านหรือยัง?”
“อือ กลับเลยก็ได้” ผมชักอยากนอนเหมือนกัน วันนี้ใช้พลังงานเยอะจริงๆ ครับ
เออ แต่ต้องทำอะไรก่อนสักอย่างนึง
“แวะไปโรงแรมที่คุณอยู่ก่อน”
กัปตันขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไม?”
“ไปเอาเสื้อผ้ามา วันนี้ไปนอนด้วยกัน”
“เฮ้ย” เขาตกใจเล็กน้อย “จะดีเหรอ”
“อ้าว” ผมก้มหน้างุด “ไหนบอกคิดถึง”
“งั้นเธอไปนอนห้องฉันเถอะ”
“ฮะ!?”
“เพราะถ้าแวะไปคงไม่ได้กลับง่ายๆ”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ”
“แผนนี้แหละดีสุดแล้ว ไปกันเหอะ”
โอ๊ยยยย คิดเองเออเอง แค่ไม่อยากให้เสียเงินค่าห้องทุกวันเฉยๆ โว้ยยยยย
“ปั๊ม”
ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก คนที่เคาะประตูห้องทำงานของผมได้โดยที่ไม่ผ่านเลขาก็มีไม่กี่คนเท่านั้นแหละ แต่ที่จริงผมอาจจะมองในแง่ร้ายไป วันนี้ไม่มีใครอยู่หน้าห้องตะหาก ตรองขอลาไปทำธุระตั้งแต่บ่ายแล้ว
“มีอะไรเพชร เราจะกลับบ้านแล้ว” ผมไม่พูดเปล่าแต่ลุกขึ้นเก็บกระเป๋าไปด้วย
“เรามาขอโทษเรื่องเมื่อวาน”
“อย่าทำให้หงุดหงิดกว่าเดิมได้มั้ยเนี่ย” ผมเดินหนีมันไปที่ลิฟต์ ซึ่งแน่นอนครับมันตามมาติดๆ
“เราพาไปกินข้าวมั้ย”
“ไปกินเองได้ ไปหาอะไรทำแก้ฟุ้งซ่านเหอะ”
แต่ถึงจะปฏิเสธยังไงไอ้เพชรก็ยังตามตื้อมาจนถึงหน้าตึก รถติดฟิล์มดำสนิทจอดรออยู่ คนขับรถนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงม้านั่งใกล้ๆ กัน
“เลิกตามสักทีได้มั้ยเนี่ย!” ผมหันไปว่า มันทำหยุดแต่ก็มอบแววตารู้สึกผิดมาให้อยู่
“เรามาขอโทษจริงๆ”
“รู้แล้วว่ามาขอโทษ แต่เรื่องแรงๆ แบบนี้มันไม่ใช่ว่าวันสองวันมันจะหาย ขอโทษทีเดียวแล้วรอได้มั้ย เดี๋ยวจะหายเอง”
“งั้นก็ได้ แต่รีบหายเร็วๆ ได้มั้ย เดี๋ยวทำงานด้วยกันลำบาก”
“ก็เลิกพูดมากสักที มันมีแต่ทำให้รำคาญ”
“โอเค งั้นเราจะไม่พูดแล้ว” เพชรยกมือเหมือนยอมแพ้
“ดี เจอกันวันจันทร์” ผมหันหลังหนีเดินขึ้นไปนั่งบนรถ เพื่อความปลอดภัยผมจึงกดล็อคประตูด้วย
ผมหันไปดูคนขับรถ ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ว่าผมขึ้นมาแล้ว ไม่เป็นไร บุหรี่หมดตัวเขาคงเดินเข้ามาเอง
ปื๊นนนน! แต่จู่ๆ เสียแตรรถก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว หลังจากสะดุ้งตัว ผมก็เหลือบไปเห็นรถหกล้อกำลังขับส่ายไปส่ายมา และมีทีท่าว่า…
มันกำลังจะพุ่งมาตรงนี้!
“เฮ้ย!” ผมร้องลั่นเมื่อเห็นว่าคนขับรถหกล้อนั่นกระโดดออกจากที่นั่งฝั่งคนขับ กลิ้งๆ หลุนๆ ก่อนสุดท้ายจะวิ่งหนีไป
ชัดเลย! จงใจ!! เหี้ย!!
ปักๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมตกใจอีกรอบเมื่อไอ้เพชรเข้ามาเคาะกระจกอยู่ด้านนอก สีหน้ามันเหวอแดกไม่ต่างจากผม มันมองหน้าผมสลับกับรถหกล้อคนนั้นที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
แต่บอกตรงๆ ครับ ผมกำลังช็อค! ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ!!!!
“ปั๊ม ออกมา!!!” เสียงไอ้เพชรดังทะลุเข้ามา
ผมเริ่มได้สติ รีบลนลานปลดล็อคประตูออก ไอ้เพชรเป็นฝ่ายกระชากประตูออกเสียเอง
“เร็ว!!” เสียงมันดังลั่นแข่งกับเครื่องยนต์ของรถหกล้อ
และจากนั้น!
โครม!! รถที่ใหญ่กว่าพุ่งชนเข้ากับรถที่ผมวิ่งออกมาแบบนาทีต่อนาที ผมไม่ได้หันไปดูแต่พนันได้เลยว่าสภาพต้องเละเทะแน่ แต่ที่สำคัญ! โชดดีฉิบเป๋งผมรอดมาได้!!!
ผมกับเพชรล้มคะมำลงเพราะแรงวิ่งที่ไม่มีทิศทาง เรากองอยู่กับพุ่มไม้ที่ตกแต่งอย่างดีด้านหน้าตึกออฟฟิศเรา
ผู้คนเริ่มมุงดูรถของผมที่พังยับเยิน ทุกคนพยายามตรวจสอบคนในรถ แต่จากนั้นไม่นานทุกคนก็กรูกันเข้ามาทางนี้ พร้อมสีหน้าที่โล่งใจเมื่อรู้ว่าผมกำลังนั่งงุนงงเหมือนคนไม่ได้สติอยู่ใกล้ๆ พุ่มไม้ตรงนี้กับไอ้เพชรที่ช่วย…
เฮ้ย!!
“ปั๊มเป็นอะไรเปล่า” มันพยุงตัวขึ้นมาถาม
“ไม่ต้องสนใจกู!!” ผมล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา “หัวมึงแตก! ซับไว้!!”
“ตรงไหน”
“ตรงนี้” ผมชี้ “กูไม่ซับให้นะ กูกลัวเลือด”
ว่าแล้วก็สำรวจตัวเองหน่อย ดูซิว่ามีแผลอะไรมั้ย
อ่า…รอดวุ้ย
“โอเคๆ” มันรับผ้าเช็ดหน้าผมไปซับแผลที่ใกล้ๆ ขมับด้านขวา จังหวะนั้นเองที่คนขับรถของผมวิ่งลนลานเข้ามาหา
“คุณปั๊มโอเคมั้ยครับ” สีหน้าของเขาซีดเผือก พนันได้เลยว่าเขาคงคิดว่าตัวเองต้องซวยแล้ว
ผมแค่พยักหน้าก่อนจะสั่งต่อ “พาคุณเพชรไปโรงพยาบาลที เรียกแท็กซี่เลย”
ว่าแล้วคนขับรถก็พยุงตัวไอ้เพชรออกจากวงล้อมไป ตอนนั้นเองที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะโทรหาใครสักคน
แต่… พอมองไอ้เพชรที่เดินไร้เรี่ยวแรงกับคนขับรถแล้วรู้สึกผิดฉิบหาย
นิ้วผมค้างไว้ที่ชื่อกัปตัน …ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะกดโทรออกอยู่แล้วแต่ผมกลับปิดหน้าจอและเดินตามคนขับรถที่พาไอ้เพชรออกไป
โอเค ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้เลย
คงแบบนี้สินะ ความรู้สึกเหมือนเป็นหนี้อะไรสักอย่าง
ไม่ค่อยสบายใจเลยจริงๆ
จบตอน

หายตัวไปกับประเทศสิงคโปร์มา 1 อาทิตย์
จิตใจโลเล ไม่เป็นตัวเอง ไขว้เขวนิดๆ หน่อยๆ...
แต่ตอนนี้กลับมาแล้วฮะ เย้!
กลับมาโควต้าอาทิตย์ละ 1-2 ตอนเหมือนเดิมครับผม ขอโทษด้วยนะฮะ
ขอบคุณสำหรับ 10k ด้วยน้า
ตอนนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรจิ้นมาก แต่มันเปนชนวนสำคัญในตอนต่อๆ ไป
โค้งสุดท้ายแล้วฮะ รู้สึกใจหายเหมือนกัน เย่เย่
ปล.มีแผนอยากเปิดเรื่องใหม่มากเลย แต่ขอเวลาคิดแปบ
แล้วเจอกันตอนนหน้าฮะ คุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/thene0classic/และ #firemetothemoon เหมือนเดิม