ภาคกวางทอง
บทที่สิบสาม
คนรับใช้ของจวนเจ้าเมืองลั่ว ช่วยหยางหลงเข็นรถบรรทุกของฝากมาถึงปากทางเข้าป่าสีทอง รอจนหยางหลงถวายสุรา และข้าวเปลือกเสร็จก็กลับไป จากนั้นเจ้าเมืองลั่วจึงเข็นรถบรรทุกสิ่งของเข้ามาโดยลำพัง แต่เมื่อมาถึงจุดที่ลู่เคยยืนรออยู่กับกวางไพลิน และเทพเสือโครงศิลาดำ ยามนี้กลับพบแต่เพียงเทพเสือโคร่งศิลาดำยืนรออยู่เพียงผู้เดียว
เทพเสือโคร่งผู้นี้สีหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ เมื่อเห็นว่าหยางหลงมาถึง ก็ตรงเข้ามาช่วยเข็นรถ
"ลู่ ไปไหนหรือขอรับ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำเพียงส่ายหน้า ดวงตายังคงมองตรงไปข้างหน้า และไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดอีก
เมื่อไม่มีลู่เดินคุยไปด้วยกัน เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามที่เดินไปยังที่พักของเทพกวางทั้งสองก็ทำให้รู้สึกว่าหนทางนั้นช่างยาวไกล ทั้งใช้เวลานานกว่าที่เป็นมา
ระหว่างที่เดินไปนั้น หยางหลงพบจิ้งจอกไฟตัวเล็กหมอบรออยู่ด้านข้าง ใกล้กันจึงเป็นนกยูงที่เกาะคบไม้สูงมองลงมา
ที่จริงสมควรเรียกว่า หยางหลงมองเห็นแล้ว และมองผ่านไป แต่ที่ต้องหันไปมองซ้ำก็เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำที่เดินมาด้วยกัน จ้องมองทั้งสองไม่วางตา
และเมื่อหันกลับไปมองครานี้ ก็ทำให้สบตากับนกยูงเข้า เจ้านกยูงสะบัดหน้าแล้วแพนหางงดงามจนต้องหยุดมองด้วยความตกตะลึง
นกยูงทั่วไปจะขนหางเป็นสีเขียวหรือฟ้าเป็นหลัก แต่นกยูงตัวนี้มีสีทองเป็นหลัก มิใช่สีทองทั้งตัว แต่มีสีทองเป็นส่วนใหญ่แล้วแต่งแต้มด้วยสีขาว และสีฟ้าเพียงเล็กน้อย หยางหลงได้คำตอบในใจ ว่านี่คือนกยูงทอง เมื่อนกยูงทองงดงามถึงเพียงนี้แล้วเจ้าจิ้งจอกสีแดงตัวเล็กนั่นจะมีลวดลายอันใดมาอวด
แต่จิ้งจอกไฟที่นอนหมอบอยู่ด้านข้างก็ขยับตัวเพียงเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะกำลังถอนหายใจ มากกว่าจะอวดความงามของตนเอง
เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ใช่คนช่างพูด เดินมาด้วยกันตั้งนานก็ไม่ได้คุยกัน จะถามว่าทั้งสองคือเพื่อนของลู่หรือไม่ ก็รู้สึกเกรงใจ
นกยูงทองที่งดงามหันมามองหยางหลงที่หยุดเท้ายืนมองซ้ายขวา ก็ส่งเสียงร้องดังก้องป่าด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็สะบัดหน้ากระโดดลงจากคบไม้ เดินจากไปโดยมีจิ้งจอกไฟเดินไปด้วยกัน
ท่าทีเช่นนี้ทำให้หยางหลงวางความเกรงใจ หันไปถามเทพเสือโคร่งศิลาดำ ว่านกยูงทองที่สวยงามนั่นไม่พอใจที่เขาหยุดยืนมองใช่หรือไม่ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับส่งสายตาที่แสดงความเห็นใจ พลางส่ายหน้า ตบท้ายด้วยเสียงถอนหายใจมาให้
"แปลว่า ข้าน้อยทำท่านนกยูงโกรธหรือ โกรธเรื่องใด เขาไม่ชอบให้มองหรือ" หยางหลงถามย้ำ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับเดินนำไปก่อน หยางหลงจึงหันกลับมาร้องกล่าวคำขออภัยไปยังทิศทางที่นกยูงทองและจิ้งจอกไฟเดินจากไป แล้วเร่งฝีเท้าตามเสือโคร่งศิลาดำออกมา
ที่ผ่านมาหยางหลงมีลู่คอยทำหน้าที่แปลภาษาต่าง ๆ ของเทพและสัตว์ป่าในป่าสีทองให้รับรู้ ยามนี้ได้แต่พึ่งตนเอง ทั้งการตีความภาษาของเทพเสือโคร่งศิลาดำผ่านสีหน้า แววตา และท่าทาง ไปจนถึงเพื่อน ๆ ของลู่ด้วยเช่นกัน
คิดไปคิดมาก็วนกลับมาที่เดิมว่า ลู่ไปที่ใด
เมื่อมาถึงเขตที่พักของเหล่าเทพกวางแห่งป่าสีทอง เทพเสือโคร่งศิลาดำก็หยุดเดินแล้วหยิบไหสุราดอกท้อสองไหขึ้นมา ใช้สายตาที่แสดงความเห็นใจหยางหลงอีกครา ตบไหล่อีกครั้ง แล้วก็เดินจากไป
สำหรับผู้ที่ไม่พูดไม่จาอย่างเสือโคร่งศิลาดำแล้ว การที่มารอรับที่หน้าปากทาง จนมาถึงสีหน้าท่าทางเหล่านั้น ล้วนแต่ตอกย้ำว่ามีเรื่องหนักหนาสาหัสรอหยางหลงอยู่ข้างหน้า แต่มิว่าจะถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบ นั่นยิ่งทำให้หยางหลงยิ่งเป็นกังวล
หลังการทำความเคารพและถวายของที่นำมา นางเทพกวางสายลมก็ถามไถ่ถึงผู้คนที่เมืองลั่วว่าเป็นอย่างไรบ้าง หยางหลงตอบทุกคำถาม แต่เมื่อถามไปว่าลู่อยู่ที่ใด นางเทพกวางสายลมหันไปสบตากับเทพกวางสายฟ้า หยางหลงจึงเปลี่ยนคำถามว่า ลู่มิได้บาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยใช่หรือไม่ นางเทพกวางจึงยิ้มและตอบว่าลู่มิได้บาดเจ็บและมิได้เจ็บป่วย แต่ก็มิได้กล่าวว่าเพราะอะไรลู่ถึงไม่มารอรับ หยางหลงจึงกลับออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
หยางหลงกลับมาถึงกระท่อมก็ยังไม่พบลู่ จึงคิดว่า หากไม่ได้กำลังถูกทดสอบ ก็กำลังถูกเกลียดชังจนไม่อยากพบเจอ
ชายหนุ่มลงมือทำความสะอาดที่พัก จัดเรียงสิ่งของที่จัดเตรียมมา จากนั้นก็รดน้ำต้นไม้ และแปลงผักเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างกระท่อม ยังไม่ถึงชั่วยามก็ไม่มีงานการอันใดให้ต้องทำอีก จึงเดินดูรอบ ๆ แล้วกลับมานั่งรออยู่ที่หน้ากระท่อมนั่นเอง
หากเป็นเรื่องการงาน เทพเสือโคร่งศิลาดำก็คงบอกให้รู้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อลู่มิได้บาดเจ็บ และไม่ได้เจ็บป่วย เช่นนั้นก็แสดงว่ามีเรื่องที่ทำให้ไม่อยากมาพบเจอ แล้วเรื่องนั้นคืออะไร เมื่อคิดย้อนกลับไป ก็มีเพียงเรื่องในคืนนั้น
หยางหลงกล่าวโทษตนเองในทันที ว่ามิได้ทนุถนอมอีกฝ่ายมากพอ เพราะมัวแต่กังวลที่นางเทพกวางสายลมซึ่งเป็นมารดาของลู่ยืนอยู่หน้าห้อง และลู่เองก็ยังดูคล้ายไม่แน่ใจบางอย่าง จึงมุ่งมั่นเพียงขอน้ำเชื้อจากลู่
คิดไปคิดมาหยางหลงได้แต่ตบหน้าตนเอง โทษฐานที่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
ตั้งแต่ต้นมาทุกสิ่งบ่งชี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าลู่ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก ยิ่งไม่พูดอะไรก็ยิ่งทำให้เข้าใจผิด
เมื่อครั้งที่มาแนะนำตัวเมื่อสองปีก่อน นางเทพกวางสายลมก็ปล่อยให้คุกเข่ารออยู่หลายชั่วยาม มาครานี้คงมิใช่นางเทพกวาง แต่น่าจะเป็นลู่กวางทองผู้งดงามผู้นั้น
หยางหลงตัดสินใจแล้วว่า คราวนี้จะให้รอนานเพียงใดก็จะรอ
เช้าวันถัดมา หยางหลงเดินเท้าไปยังเชิงเขาเทียมฟ้าที่พำนักของอาจารย์เทพสูงสุด เพราะคาดว่าลู่อาจจะอยู่ที่นี่ แม้จะรู้ว่า เมื่อมาถึงช่วงหนึ่งจะไม่สามารถปีนป่ายต่อไปได้อีกก็ตาม
ที่เชิงหน้าผาสูงลิ่วแห่งนั้น
หยางหลงยืนมองอยู่ครู่ใหญ่แล้วใช้เวลาอีกหลายชั่วยามเพื่อเดินวนรอบหนึ่ง หน้าผาที่เรียบลื่นดั่งกระจก ไม่มีหนทางให้ปืนป่าย สุดท้ายชายหนุ่มจึงต้องเดินกลับมาถึงกระท่อมอย่างเหนื่อยล้า เมื่อตื่นนอนขึ้นมาอีกครั้ง ก็เตรียมอาหารและผ้าห่ม ไปปักหลักรออยู่ที่เชิงเขา
อากาศหนาวจัดยามค่ำคืนทำให้ชายหนุ่มต้องขยับตัวเข้าไปใกล้กองไฟ หยิบไม้ฟืนท่อนใหม่เพิ่มเติมอยู่ทั้งคืน
เมื่อแสดงอาทิตย์พ้นขอบฟ้า หยางหลงจึงเป่าลมออกปากแล้วล้มตัวลงนอน ตั้งใจว่าเมื่อตื่นนอนอีกคราค่อยลุกไปหากิ่งไม้แห้งมารอไว้
จะกี่วันกี่คืนก็จะรอ....
กลางวันที่อบอุ่นและกลางคืนที่เหน็บหนาวยังคงหมุนเวียนไป แม้ชายหนุ่มจะรักษาสุขภาพด้วยการใช้เวลาหลายชั่วยามเพื่อเดินวนรอบหน้าผาสูงชันอยู่ทุกวัน แต่ร่างกายมนุษย์ไม่อาจต้านทานสายลมที่หนาวเย็นในยามค่ำคืน สุดท้ายจึงเริ่มป่วย
หยางหลงรู้ตัวว่าไม่ได้ป่วยหนัก ทั้งไม่ได้คิดที่จะมาฆ่าตัวตายที่นี่ เพียงแต่มีความตั้งใจรอให้ลู่มาพบ เพื่อถามให้แน่ใจว่าต้องการให้ทำอย่างไรต่อไป
แต่ขณะที่นอนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ภาพของดวงดาวที่พร่ามัวลง กองไฟเล็ก ๆ และผ้าห่มที่เตรียมไม่เพียงพอที่จะให้ความอบอุ่นแก่ชายหนุ่ม จึงตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะกลับไปหาเครื่องกันหนาวที่กระท่อมแล้วค่อยกลับมาใหม่
"ลู่....." เสียงเรียกหานั้นแผ่วเบาดั่งละเมอ
เงาร่างสองร่างปรากฎขึ้น ความรู้สึกพลันดำดิ่งลงสู่การหลับลึกมิรู้สึกตัว ชายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีขาวก้าวเข้ามาแบกหยางหลงไว้บนหลัง แล้วพากลับมาที่กระท่อม โดยมีผู้ร่างที่เล็กกว่าสวมชุดน้ำตาลทองตามกลับมาด้วย
หยางหลงตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ได้ยินเสียงไม้ที่ปะทุไฟจากเตาผิง กับกลิ่นยาแตะที่ปลายจมูก เมื่อลืมตาขึ้น คนที่นั่งมองอยู่ข้างเตียงนอนก็ลุกเข้ามาหาในทันที
"ตื่นแล้ว"
เมื่อได้ยินเสียง และได้เห็นว่าเป็นคนที่รออยู่ หยางหลงก็ยิ้มแย้มดั่งหายป่วย
แต่หมัดเล็ก ๆกลับชกเข้าที่ไหล่ในทันทีที่ลุกขึ้นนั่ง "อย่ามาฆ่าตัวตายที่นี่"
หยางหลงจับมือนั้นไว้ "ข้าไม่ได้อยากฆ่าตัวตาย แต่สำหรับคนไม่เอาไหนอย่างข้าแล้ว ก็มีแต่ตามตื้อเจ้า รอให้เจ้าลดตัวลงมาหาเท่านั้น"
ลู่กัดริมฝีปาก หันหน้าไปทางอื่น
"ข้าเพียงอยากถาม ว่าเจ้าอยากให้ข้าทำอะไรต่อไป ข้าพร้อมที่จะทำทุกอย่างขอเพียงเจ้าบอกมาเท่านั้น"
แต่ลู่ยังไม่ตอบคำถาม
"ลู่..."
"ข้ามิได้สูงส่งขนาดนั้น ก็แค่กวางทองที่จะเด็กก็มิใช่ จะผู้ใหญ่ก็มิเชิง ไม่ค่อยเข้าใจอะไร แล้วก็เอาแต่ใจมากด้วย"
มือใหญ่แตะที่แก้มใส แล้วดึงไหล่เข้ามาสวมกอด
"บอกได้ไหม ว่าอะไรที่เจ้าไม่เข้าใจ เกี่ยวกับข้าหรือไม่"
เมื่อลู่พยักหน้า หยางหลงจึงกล่าวต่อ "เช่นนั้นข้าต้องขออภัยที่ไม่มีความสามารถมากพอ ทำให้เจ้าไม่มีความสุข"
ลู่เงยหน้าขึ้นมองหยางหลงด้วบแก้มที่แดงเรื่อเพราะรู้ว่าคำกล่าวนั้นหมายถึงเรื่องใด
"ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดหรอก แต่ข้ายังไม่อยากคุยเรื่องนี้ ท่านเทพอาจารย์เพิ่งมาดูท่านเมื่อสักชั่วยามก่อน สั่งไว้ว่าเมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ให้ดื่มยาอีกชามแล้วนอนพัก"
หนุ่มรูปงามเดินไปรินยาจากหม้อต้มมาส่งให้ "เมื่อท่านตื่นขึ้นมาอีกครา พวกเราค่อยคุยกัน....ข้ายังไม่ไปไหน"
หยางหลงรับยามาดื่ม แล้วล้มตัวลงนอนตะแคงเพื่อมองตามอีกคนที่รับถ้วยเปล่าไปวางไว้ แล้วกลับมานั่งลงที่ข้างเตียงนอน
"เหตุใดจึงเรียกตนเองว่าเป็นคนไม่เอาไหน" ลู่ถามขึ้น
"ข้าไม่เอาไหน ทำให้เจ้าโกรธ โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรให้เจ้าโกรธ แต่เมื่อพอจะคาดเดาได้ว่าทำอะไรไม่ดีลงไป ก็กลับไม่รู้ว่าจะพบเจ้าได้อย่างไร สุดท้ายแล้วข้าก็ยังเป็นคนไม่เอาไหน ที่ทำได้แต่เพียงวิธีการเดิม ๆ คือการเฝ้าตามตื้อจนกว่าเจ้าจะหันมา"
"เช่นนั้นข้าเองก็เป็นคนไม่เอาไหนเช่นกัน เพราะข้าก็แค่...ไม่กล้าที่จะรักท่านต่อไปเท่านั้นเอง"
หยางหลงลุกขึ้นนั่ง "ข้าทำอะไรให้เจ้าคิดเช่นนั้น"
คิดว่าอาจงอนเพียงเล็กน้อย แต่หากจะหยุดรักกันนั่นก็เกินไปแล้ว
ลู่ค้อนตาคว่ำ "ท่านมักจะโทษตนเองอยู่ร่ำไป ทั้งที่นี่เป็นความคิดวุ่นวายของข้า"
"หากเรื่องที่เจ้าคิดวุ่นวายเกี่ยวกับข้า นั่นย่อมเป็นความผิดของข้า ที่ไม่อาจทำให้เจ้ามีความมั่นใจว่าข้ารักเจ้า"
ลู่เอียงคอมองหยางหลงแล้วส่ายหน้า "ท่านก็คือท่าน จนถึงบัดนี้ท่านก็ยังคิดกังวลแต่เรื่องของผู้อื่นก่อนตนเอง เหมือนแรกที่ข้าพบท่าน แต่ข้าคือคนที่ ที่ผ่านมาคิดแต่เรื่องตนเอง ตอนนี้ก็ยังคงคิดแต่เรื่องตนเองเหมือนเดิม"
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ลู่กลับยิ้มกว้างแล้วหุบยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ตัว ว่าทำให้หยางหลงเป็นกังวลจนไม่สบายเช่นนี้สมควรปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
"ขออภัย"
"ยังไม่ให้อภัย จนกว่าจะบอกว่า เจ้าโกรธข้าเรื่องใด" มือใหญ่บีบจมูกรั้น
"ไม่ได้โกรธท่าน" ลู่บอกแล้วดันไหล่หยางหลงให้นอนลง "ไม่ถามถึงเรื่องหลายวันก่อนหน้านี้ได้หรือไม่"
"ก็ได้" หยางหลงตามใจ "หากเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก"
ลู่พยักหน้า "เห็นไหม เมื่อครู่นี้เองท่านเพิ่งกล่าวว่าไม่ให้อภัย แต่พอข้าเกเรท่านก็ให้อภัยทันที"
"เช่นนั้นหรือ ข้าจำไม่ได้แล้ว" หยางหลงกล่าวยิ้ม ๆ รู้ดีว่า การที่อารมณ์ดีอย่างง่ายดายก็เพราะลู่นั่นเอง
หนุ่มรูปงามส่ายหน้า "ท่านนอนเถิดข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่"
หยางหลงเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายโดยแท้ ยังคงเป็นพี่ใหญ่และเป็นเจ้าเมืองผู้ปราศจากความโกรธ ก็ขนาดสูญเสียบุตรชายคนโตไป แต่หยางหลงก็หาได้โกรธแค้นผู้ที่เป็นสาเหตุ
ต่อให้หลิวเพ่ยหลิงทำเรื่องผิดพลาดจนกระทั่งตั้งครรภ์ หยางหลงก็หาได้ลงโทษนาง ทั้งยินดีที่จะดูแลหยางเจิ้นขุย
ลู่แน่ใจว่าหยางหลงเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับหยางเจียเจิง และ หลิวเพ่ยหลิง แต่ก็ไม่ได้โกรธและไม่กล่าวโทษผู้ใดทั้งสิ้น
"บางที การคาดหวังให้ท่านโกรธ หรือบ่นว่าข้าบ้าง อาจเป็นการคาดหวังที่มากเกินไปก็เป็นได้"
สิ่งที่ลู่คิดอยู่นั้นเป็นความจริง เพราะหลังจากที่หลับไปประมาณหนึ่งชั่วยามแล้วตื่นขึ้นมา หยางหลงก็มิได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น กลับถามไถ่ถึงการฝึกที่ยากลำบาก และความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายเดือนมานี้
"ตอนที่สูงอย่างรวดเร็ว เจ้าเจ็บป่วยด้วยหรือไม่ เพราะเหมือนกับว่าเมื่อวันวานเจ้ายังตัวเล็กจนข้าอุ้มได้ด้วยแขนเดียว แต่พอนอนหลับไปตื่นหนึ่งเจ้ากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ทั้งสูงขึ้นมาก" หยางหลงกล่าวขณะที่ถักผมเปียให้อีกคน
สายลม และแสงแดดอ่อนยามสาย กับยังมีกวางอีกหลายตัวนอนรับแดดอยู่ห่าง ๆ ช่างเป็นบรรยากาศของป่าสีทองที่หยางหลงคุ้นเคย
"อาจารย์บอกว่า อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาข้าพอใจกับการเป็นน้องเล็กที่ทุกคนตามใจมาตลอด ร่างกายของข้าจึงหยุดอยู่เพียงแค่นั้นมาหลายปี แต่พอมาพบท่าน ข้าก็อยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ ร่างกายจึงเติบโตขึ้น"
"หากเจ้าพอใจกับชีวิตในตอนนี้เจ้าก็จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ มิเปลี่ยนแปลงหรือ"
"ก็คงเช่นนั้น เพราะอย่างท่านพ่อกับท่านแม่ทั้งสี่ก็เห็นว่าเป็นเช่นนี้มาตลอด" ลู่หันมามอง "ท่านอยากให้ข้าเป็นแบบไหน"
"เป็นผู้ที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ" หยางหลงตอบทันที จนลู่เถียงว่าผู้ใดจะสามารถยิ้มแย้มได้ตลอดเวลาเช่นนั้น
"อ้อ.." คนรูปงามนึกขึ้นได้ "ว่าจะถามหลายคราแล้ว เหตุใดท่านถึงชอบข้า"
"เจ้าทำให้ข้ามีความมั่นใจมากขึ้น"
"จริงหรือ" ลู่ยิ้มกว้างด้วยความยินดี แม้จะฟังดูแปลก ๆ "มิใช่เพราะหน้าตาข้าหรือ"
"ข้าพบเจอคนหน้าตาดีมากมาย หากพอใจคนที่หน้าตานั่นคงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจแล้ว แต่ตอนครั้งแรกที่ข้าพบเจ้าที่นี่ แล้วเจ้าก็ยิ้มให้ข้า ทำให้ข้าเชื่อมั่นว่า ทุกปัญหาที่ข้าเผชิญอยู่ ข้าจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้"
ลู่หัวเราะคิกคักแล้วหันไปร้องตะโกนเข้าไปในป่า "ได้ยินหรือไม่ เขาบอกว่าชอบข้าเพราะรอยยิ้ม เพราะข้าทำให้เขามีความมั่นใจ เขาชอบข้าจริง ๆ"
มีเสียงนกยูงร้องดังก้องขึ้นมาจากในป่า จากนั้นลู่ก็หันมายิ้มจนดวงตาเป็นประกาย
หยางหลงแตะที่แก้มงาม พอจะนึกออกแล้วว่าเสียงนกยูงที่ขานรับขึ้นมานั้นมาจากที่ใด เกิดอะไรขึ้นลู่ถึงได้ต้องการจะตัดใจ และเพราะอะไรที่ทำให้เปลี่ยนใจกลับมาพบกันอีกครา
แม้ร่างกายจะเปลี่ยนไป แต่เนื้อแท้ข้างในก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ
เมื่อเราคิดเอาตนเองเป็นที่ตั้งก็หลงลืมไปว่า นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นที่รักและถูกตามใจมาตลอด ลู่ยังมีเพื่อนมาก ย่อมรับฟังเสียงของเพื่อนและต้องการการยอมรับจากฝูง
ลู่หันมายิ้มระรื่นแล้วทำตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ "ท่านแม่เทพกวางบอกว่า ฮูหยินของท่านตั้งครรภ์แล้ว"
หยางหลงพยักหน้า "ท่านเทพกวางให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไว้หลายอย่าง ก่อนที่จะมาก็บอกกับหมอหญิงให้ช่วยดูแลใกล้ชิดไว้แล้ว"
ลู่ส่ายหน้าเพราะแน่ใจว่าหยางหลงจะไม่หลงลืมความสำคัญในการดูแลภรรยาและบุตรในครรภ์อย่างแน่นอน "ท่านยังต้องการมีบุตรอีกไหม" ไม่รอฟังคำตอบลู่ก็รีบพูดต่อ "ข้าเป็นตัว...เอ่อ..เป็นชายมีบุตรให้ท่านไม่ได้หรอกนะ ต้องรอให้เกิดใหม่เป็นหญิงเท่านั้น"
"ข้าไม่ได้ยึดติดเรื่องทายาทขนาดนั้น ต่อให้ไม่มีบุตรชายเลย ข้าก็ยังมีน้องชายอีกสองคน"
ลู่ยิ้มจนดวงตาสีทองเป็นประกาย "ถ้าท่านอยากมีบุตร คราวนี้พวกเราไปฝากท้องพี่หญิงไพลินกันไหม"
หยางหลงหลุดหัวเราะพรืด แล้วก็หยุดหัวเราะมิได้ หัวเราะจนรู้สึกเจ็บท้อง หัวเราะจนลู่ต้องชกที่ไหล่หนาเบา ๆ
"นี่ข้าจริงจังนะ มีอะไรให้ขำนักหนากัน"
จนถึงเวลาค่ำลง ขณะที่ลู่เตรียมอาหารให้กับหยางหลง ชายหนุ่มก็ถามถึงกวางไพลิน และเทพเสือโคร่งศิลาดำที่ไม่พบเห็นมาหลายวัน
"ท่านแม่ให้พี่หญิงไปทำงาน ส่วนท่านพี่ศิลาดำอาจไปจัดการเรื่องส่วนตัวของเขา"
"ไม่ต้องคอยดูแลเจ้าแล้วหรือ" หยางหลงรับถ้วยโจ๊กธัญพืชมาดื่มแล้วเอ่ยชม "รสชาติดีมาก"
ลู่ยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้งเมื่อกล่าวคำขอบคุณแล้วตอบว่า ท่านแม่เห็นว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงวางใจมิต้องให้กวางไพลินมาคอยดูแลอีก ส่วนบิดาทั้งสองคือทั้งเทพกวางสายฟ้าและเทพเสือโคร่งภูผาที่ยังมองเห็นว่าลู่เป็นเด็กอยู่ กลับเห็นพ้องให้เทพเสือโคร่งศิลาดำคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ แต่เพราะพี่ชายผู้นี้กำลังมีปัญหาส่วนตัว เมื่อมาส่งหยางหลงที่หน้าที่พักของเทพกวางทั้งสองเสร็จแล้วก็กลับไป ผ่านไปหลายวันเมื่อกลับมาดูที่กระท่อมเห็นว่าหยางหลงไม่อยู่จึงออกตามหาและพบว่า ชายหนุ่มไปรอเฝ้าพบลู่อยู่ที่หน้าผาเขาเทียมฟ้า จึงได้กลับไปแจ้งเทพกวางทั้งสองทราบเรื่อง
ลู่รอให้หยางหลงซักถาม แต่หยางหลงกลับพอใจที่จะรับรู้เฉพาะในส่วนที่ลู่บอกมา เมื่อลู่หยุดเล่าก็เพียงพยักหน้ารับรู้ ลุกขึ้นหยิบถ้วยชามไปล้าง
"ท่าน...ไม่ถามจริง ๆ หรือ"
"เจ้าไม่อยากให้ข้าถามถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน หากเจ้าไม่อยากเล่าก็มิเป็นไร สำหรับข้าแล้วขอเพียงในวันนี้มีเจ้าอยู่ที่นี่ก็พอใจแล้ว"
มันก็แปลกที่เมื่อเป็นเรื่องลำบากใจที่จะเล่า บอกไปว่าให้มันผ่านพ้นไป ไม่อยากให้ถามถึง แต่เมื่อเขาทำตามที่บอก ก็กลับรู้สึกร้อนใจเอง
ความอดทนของลู่มีแค่เพียงในอีกครึ่งชั่วยามถัดมา ขณะที่นั่งพิงอกกว้างมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ด้วยกัน
ลู่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหยางหลงฟังเรื่องราวในเมืองหลวง ที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องราวที่แสนห่างไกล ผู้คนที่ไม่รู้จัก และไม่อยากรู้จัก แต่ก็ยังอยากให้เขาเล่าให้ฟัง อยากได้ยินน้ำเสียง
"ข้าอยากให้ท่านซักถาม หรือต่อว่าข้าสักคำว่าเหตุใดจึงทำตัวไร้เหตุผล" ลู่ขัดขึ้น
"เวลาที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไร ล้วนแต่มีเหตุผล"
"เหตุผลของข้าคือ ข้ากลัว กลัวว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ กลัวว่าท่านจะรำคาญ กลัวว่าแสดงออกมากเกินไป และกลัวว่าเมินเฉยเกินไป" ลู่เงยหน้าขึ้นมามองคนที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เสมอ "เรื่องที่เวลาถึงฤดูผสมพันธุ์ ถึงจะไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นแต่ก็ย่อมรู้ย่อมเห็นอยู่ดี แต่ข้าก็เฉย ๆ พี่หญิงก็จะพาเดินหนีไปทางอื่น แต่ในตอนที่ท่านจูบข้า ข้าก็มักคิดเสมอว่า...ว่าต้องการมากกว่านี้ ตอนที่ฮูหยินของท่านมาขอทายาท ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ แต่อีกใจก็ยินดี แต่ตอนที่ท่านกอดข้า มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คิดว่าข้าต้องตายแน่ ๆ แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ ข้ากังวลว่าข้าแสดงออกมากเกินไปว่าต้องการท่านจนท่านรังเกียจหรือไม่ หรือข้าเรื่องมากจนท่านไม่คิดอยากกอด"
หยางหลงหัวเราะหึหะในลำคอทำให้ลู่หันมามองค้อน "ไร้สาระใช่ไหม"
"ไม่หรอก" เพราะนี่เป็นเรื่องที่ลู่ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นมาก่อน แม้จะเคยพบเห็นแต่ก็ปล่อยให้ผ่านไป
....ออกจะเป็นวัยรุ่นที่แปลกไปสักหน่อยเท่านั้น
"ยังมีอีก เมื่อกลับมาที่ป่าข้าก็คุยกับเพื่อน เจ้านกยูงทองปากเสียนั่น บอกว่าที่ท่านขอเพียงน้ำเชื้อของข้า ก็เพราะว่าต้องการแค่ทายาทจากป่าสีทองเท่านั้น"
หยางหลงขมวดคิ้ว และสงสัยว่าเมื่อยังไม่เคยพบกันมาก่อน เหตุใดนกยูงทองจึงแสดงความเห็นเช่นนั้น
"ข้าบอกว่า ท่านชอบข้าจริง ๆ แล้วนี่ก็เป็นความเห็นของฮูหยินท่านต่างหาก" หนุ่มรูปงามเมื่อเริ่มฟ้องก็ฟ้องไม่หยุด "แล้วเมื่อวันก่อนก็มาบอกว่า ท่านก็แค่ชอบความสวยงาม หากพบผู้ที่งามกว่า ท่านจะต้องเปลี่ยนใจ ต่อมาตอนที่ท่านพบเขา ท่านก็ยังหยุดมองเลย"
"ข้าไม่เคยเห็นนกยูงสีแบบนั้นมาก่อน" แม้ตั้งใจว่าจะรับฟังเงียบ ๆ แต่ประเด็นนี้ทำให้ไม่อาจนิ่งเฉย "แล้วเขาอยู่กับจิ้งจอกไฟ เคยได้ยินพี่หญิงพูดว่าจะนำขนมไปฝาก แต่วันนั้นไม่พบทั้งเจ้าทั้งพี่หญิงก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นจิ้งจอกไฟตัวเดียวกันหรือไม่"
"แต่พวกเขาบอกว่าท่านมองพวกเขาด้วยตาลุกวาว" ลู่กางมือด้านข้างดวงตาคู่สวย
แม้จะไม่แน่ใจว่าคำกล่าวนี้มีความหึงหวงเจือปนอยู่หรือไม่ แต่หยางหลงก็กลับยิ้มขำ ทำให้ลู่ค้อนตาคว่ำ
"ข้าก็ไม่รู้ตัวหรอกนะ ว่ามองพวกเขาด้วยสายตาแบบใด แต่หากจะทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรผิดไป ข้าฝากไปบอกเขาว่าขออภัย สิ่งเดียวที่อยู่ในใจและในความคิดของข้าก็คือเจ้าไปไหน ถูกลงโทษ หรือเกิดเหตุร้ายอันใด"
ลู่จ้องมองลึกลงไปในดวงตาหยางหลงแล้วยกตัวขึ้นจูบปาก
"คนซื่อบื้อ ที่นี่คือป่าสีทอง ใครที่ไหนจะทำร้ายข้าได้นอกจากข้าจะทำร้ายตัวเอง"
"เรื่องคำพูดและความเห็นของผู้อื่น ข้าแก้ไขไม่ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดว่าแก้ไขได้"
ลู่เอียงหน้ามองคนที่กำลังพูด แล้วก้มลงมองมือที่กอดเอวอยู่ สองแก้มก็แดงเรื่อ
"ข้ารู้แล้ว ว่าคิดกลัวไม่เข้าเรื่อง"
"เดี๋ยวนะ" หยางหลงจับให้หันมานั่งคร่อมบนตักหันหน้าเข้ามาหาแล้วกอดเอวไว้หลวม ๆ "ไหนบอกว่า เคยเห็นแต่ไม่สนใจ แล้วไปรู้มาจากไหน"
"ท่านแม่บอก" เมื่อถามมาตรง ๆ ก็ตอบกลับไปเหมือนกัน "ก็ตอนที่ท่านพี่เทพเสือโคร่งศิลาดำไปพบท่านอยู่ที่เชิงเขา เขาก็เลยไปบอกท่านพ่อเทพกวางสายฟ้า ท่านพ่อก็ไปตามข้าที่ยอดเขา แต่ก่อนจะมารับท่าน ท่านแม่ก็ถามก่อนว่า ตกลงนี่มันเรื่องอะไร ผิดใจเรื่องใดกันแน่ พอข้าบอกไปทั้งสามก็โมโหกันใหญ่ บอกว่าข้ากำลังจะฆ่าท่านด้วยสาเหตุที่ไม่ควรเป็นสาเหตุที่สุด ข้าคิดอะไรในสิ่งที่ไม่มีใครเขาคิดกัน"
หยางหลงพยักหน้าช้า ๆ สรุปคือ "เจ้าไม่มาพบข้าที่ปากทาง เพราะว่ากลัวหลายเรื่อง ต่อมาก็ทิ้งให้ข้ารออยู่ที่เชิงเขา เพราะเพื่อนบอกว่า ข้ามองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชม"
ลู่ช้อนตามองหยางหลงแล้วพยักหน้ายอมรับ
แม้จะพอคาดเดาความเป็นวัยรุ่นของลู่ แต่หลังจากที่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ หยางหลงก็หัวเราะอารมณ์ดี
"คราหน้าข้าควรเตรียมสุราดอกท้อมาสักหลายคันรถแล้ว"
"แล้ว....ข้าเป็นอนุจริง ๆ หรือ"
ข้อนี้หยางหลงนิ่งไป "เจ้าอยากเป็นอะไร"
"เป็นอะไรก็ได้ ท่านพ่อเทพเสือน่ะ ทั้งที่มีท่านแม่เทพเสือโคร่งบงกช มีบุตร ธิดาด้วยกันหลายตัว ก็ยังลอบมาหาท่านแม่เทพกวาง แล้วก็ยังมีท่านแม่เล็กอยู่ที่กองทัพอีก แล้วก่อนหน้าแม่เล็กนะก็มี....มี....." ลู่ทำท่านึกแล้วก็ปัดมือปัดไม้ในอากาศ "สรุปคือเราไม่ได้จัดลำดับกันแบบพวกท่าน ไม่มีอนุ"
"เจ้ามิใช่อนุอย่างแน่นอน"
ลู่ยกตัวขึ้นจูบปากหยางหลงอีกครา
"แต่เจ้าเรียกท่านรองแม่ทัพว่า ท่านแม่เล็กใช่ไหม"
"ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนสุดท้าย แต่เพราะเขาตัวเล็กที่สุดในบรรดาภรรยาของท่านพ่อต่างหาก" จู่ ๆ ลู่ก็หยุดเล่าแล้วก็หัวเราะเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ลุกขึ้นยืนทำท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง "ตอนที่ท่านพ่อเทพเสือโคร่งถูกแม่เล็กขัดใจนะ เขาจะเงื้อมือทำท่าเหมือนอยากลงมืออะไรสักอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายหันมาทึ้งผมตนเอง ท่านแม่เล็กก็จะเท้าเอว แล้วก็พยักหน้า บอกกับท่านพ่อลงมือกับผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาลงมือกับตนเอง"
เมื่อนึกถึงท่าทางของคนตัวหนา สูงใหญ่มีท่าทีคลุ้มคลั่งเช่นนั้นต่อหน้าคนใจเย็นอย่างรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ชวนให้ต้องหัวเราะตามจริง ๆ
ลู่ซุกหน้าลงหาอกกว้าง
"ข้าเคยถามไปแล้ว แต่ยังอยากถามอีก"
หยางหลงพยักหน้า
"ทำไมถึงชอบข้า"
"เพราะมีแต่เพียงเจ้า ที่ทำให้ข้ามีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง"
ลู่ยกตัวขึ้นจูบปากที่กล่าวคำหวาน ดวงตาสีทองเป็นประกาย
ช่างเป็นคำบอกรักที่ทำให้ผู้รับ รู้สึกว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่
"ในส่วนของข้า ข้าไม่มีเหตุผลที่สวยงามแบบนั้น มีเพียงความอยากรู้ว่าผู้ที่เอ่ยคำอธิษฐานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงนั้นคือใคร แล้วพอได้พบก็เดินตามท่านไปเลย"
"ไม่ใช่ว่าเพราะต้องการหนีท่านแม่หรอกหรือ"
"ไม่ใช่ว่าหนีตามใครก็ได้สักหน่อย" ลู่ทำแก้มพอง "ที่ข้าตามท่าน ก็เพราะว่าเป็นท่านต่างหาก....ข้าอยากเรียกท่านว่าท่านพี่บ้าง....ให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่ได้ไหม"
ในความคิดของลู่แล้ว หยางหลงนั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจดี และงามสง่า เทพหรือสัตว์ป่าทุกตนในป่าสีทองแห่งนี้ล้วนชื่นชม ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้ขัดขวาง ถึงเพื่อนอย่างนกยูงทองกับจิ้งจอกไฟนั่น แม้จะมีความเห็นที่ชวนให้รู้สึกลังเล แต่แท้จริงพวกเขาก็ยกย่องเจ้าเมืองลั่วผู้นี้เช่นกัน
(ต่อ)