ตอนเทพเสือโคร่งภูผา
บทที่ยี่สิบเจ็ด
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตระหนักว่าตนเองกำลังเข้าใกล้ความเป็นที่หนึ่งแห่งแผ่นดิน ด้านการสังเกตการณ์แล้วสรุปทุกอย่างด้วยตนเอง อันเป็นผลมาจากการที่มีเทพเสือโคร่งภูผาเข้ามาอยู่ในชีวิต
ในตอนแรกก็สรุปผิดมากกว่าถูก แต่หลังจากที่รู้จักกันมาเกินสิบปี ความสามารถด้านนี้ก็ก้าวหน้าไปมิใช่น้อย
ลำดับขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอันใด เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนมากเป็นพิเศษเท่านั้น เพราะเทพเสือโคร่งภูผา เป็นผู้ที่มีภารกิจวุ่นวายตลอดเวลา เรื่องเดียวที่เต็มใจเล่าให้ฟังก็คือเรื่องของลู่กวางทอง บุตรชายผู้เป็นที่รัก นอกนั้นแล้วจะเล่าเพียงครึ่งหนึ่ง หรือหากถามมากเข้าก็จะแสร้งบ่ายเบี่ยงแล้วก็ไม่เล่าให้ฟังเลย
ดังนั้นหากเจ้ารู้เรื่องของเขา เดาใจเขาได้ ก็ไม่ควรพูดออกไปว่ารู้
เรื่องต่อมาคือการใช้พลังในการเดินทางลัด ที่น่าจะใช้พลังในการเดินทางแต่ละครั้งไม่น้อยเลย แม้ทุกคราที่เดินทางเช่นนี้แล้วเทพเสือโคร่งทั้งพ่อและลูกมักมีท่าทีนิ่งเฉย ทำเหมือนเป็นการเดินทางที่ช่างจะปกติธรรมดา แต่การที่พวกเขาไม่เดินทางต่อเนื่อง เมื่อมาพบกันแล้วจะหยุดครู่หนึ่ง หรืออาจต้องพักข้ามวันแล้วจึงเดินทางต่อ หรือในกรณีที่ต้องทำงาน ทั้งคู่จะใช้วิธีฝังตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเพื่อสืบค้นจนแน่ใจแล้วจึงลงมือ
ในแง่ของประสิทธิภาพของการลงมือ นี่ย่อมมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
และหลังจากที่ลงมือพวกเขาต้องการช่วงเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อฟื้นฟูพลัง
แต่ก็ดั่งที่กล่าวมา คือด้วยศักดิ์ศรีแห่งเทพเสือโคร่ง ก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปเมืองหลวง เฉินอวี้จึงกล่าวให้กำลังใจต่อเทพเสือโคร่งภูผา และบอกว่าจะช่วยสืบเรื่องทางเมืองหลวงเพื่อให้เทพเสือโคร่งภูผาสามารถดูแลกวางทองได้อย่างเต็มที่ แต่เทพเสือโคร่งภูผากลับกังวลว่าอีกฝ่ายจะมัวแต่รับใช้ฮ่องเต้ ไม่กลับมาที่ป่าสีทอง จึงบอกให้ช่วยนำคนงานมาซ่อมกระท่อมที่พักของลู่กวางทองกับหยางหลง
“พวกเราอยู่ในนี้จะให้เดินออกไปว่าจ้างนายช่าง คนงานมันก็กระไรอยู่ใช่หรือไม่ รบกวนเจ้าจัดการเรื่องนี้น่าจะดีกว่า” หน้าตาใสซื่อนั่น หลอกตนเองยังทำไม่ได้ ยังจะคิดไปหลอกผู้อื่นอีก
“ให้ศิลาดำจัดการก็ได้”
“เพ้ย เจ้านั่นมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ” ยังแสร้งทำสีหน้าแบบนั้นอยู่อีก
“ก็ได้”
ไม่ต้องบรรยายก็ได้กระมังว่าเทพเสือโคร่งภูผามีความยินดีขนาดไหน
แต่ตอนที่กลับมาอีกครั้งในอีกหลายเดือนถัดมา หลังจากที่เฉินอวี้และคนงานมาถึงปากทางของป่าสีทอง ถวายสุราจอกเล็ก เมล็ดข้าวเปลือกแล้วยืนรอครู่หนึ่งเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ออกมารับ
ท่าทีเงียบขรึมของเทพเสือโคร่งศิลาดำทำให้บรรดาคนงานที่เดินตามเข้ามามีความหวาดกลัว แต่เมื่อเฉินอวี้ให้คำรับรองทั้งหมดก็เดินตามกันมาด้วยความวางใจมากขึ้น
ในช่วงเวลากลางวันเฉินอวี้อยู่คุมคนงานก่อสร้างกระท่อม แต่เมื่อเย็นลงเทพเสือโคร่งภูผาจึงปรากฎตัวขึ้นเพื่อมารับเฉพาะเฉินอวี้กลับไปที่ถ้ำยาซึ่งเป็นที่พักของเทพเสือโคร่งภูผา
ขณะที่อากาศภายนอกหนาวเย็น แต่ที่นี่อากาศกำลังอบอุ่นสบาย เช่นเดียวกับหนังสัตว์อ่อนนุ่มที่เทพเสือโคร่งภูผานำมาปูนอน ทำให้เฉินอวี้หลับสนิทไปแทบจะในทันทีที่ล้มตัวลงนอน
"ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน แต่พอมาเจอกัน เจ้ากลับหลับสบายเสียนี่" เทพเสือโคร่งภูผาบ่นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนร่างกลับไปเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ลงนอนข้างกัน
ครั้นในยามสายของวันถัดมา เทพเสือโคร่งภูผาก็จะพาคนงามกลับมาส่ง ส่วนตนเองก็กลับไป
“เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่” เฉินอวี้ไต่ถามคนงาน ทั้งหมดตอบว่าหลับสบายมาก
“ที่นี่เงียบสงบ มีเสียงนกกลางคืนดังมาเป็นระยะ แต่นอกนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องใด นอนหลับสบายมากขอรับ”
สองวันถัดมาการซ่อมแซมกระท่อมก็เสร็จสมบูรณ์ เมื่อเทพเสือโคร่งภูผามาเห็นเข้าก็พลันเกิดความคิดอยากให้เฉินอวี้พักอยู่ที่ป่าสีทองต่อไปอีก
"อยู่ต่อคงมิได้ เพราะข้าต้องเดินทางและตามทำงานตามพระบัญชา ทั้งไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนแบบเจ้าเมืองลั่วที่กลับมาที่นี่"
ทุกวันนี้ยังมีเวลาที่ได้กลับบ้านไปพบท่านแม่ได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้นเอง
"เช่นนั้นก็ลาออกกลับมาอยู่ที่นี่ดีหรือไม่"
เฉินอวี้มองคนเสนอความเห็นเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง "ท่านจะให้ข้าลาออกหรือ"
"ใช่ กวางทองบอกว่าถ้าหยางหลงไม่กลับมาเมื่อครบกำหนดหกเดือน เขาจะมาอยู่กระท่อมนี้เอง เจ้าก็มาอยู่เป็นเพื่อนกวางทองดีหรือไม่"
“ที่กวางทองกล่าวแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นกังวล ท่านพี่รู้หรือไม่” แทนที่จะปลอบใจให้กำลังใจแก่บุตร กลับจะให้ภรรยาย้ายมาอยู่กับบุตรในทันที
เทพเสือโคร่งภูผาหงายมือยอมรับสารภาพ
"ข้าก็แค่อยากให้เจ้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่เท่านั้นเอง"
คาดว่าหลายวันมานี้จะสุขสบายเกินไป สมองไร้เรี่ยวแรงคิดไม่ทัน
"สรุปคือในใจท่านพี่ อยากให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนกวางทอง หรืออยากให้มาอยู่กับท่าน"
"มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง"
เฉินอวี้ยอมรับว่าภายนอกนั้นเหมือนกัน แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเทพเสือโคร่งภูผาต่างหากคือเรื่องที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ
เทพเสือโคร่งภูผาเป็นบิดาที่รักบุตรมาก เฉินอวี้ก็รักกวางทองมากเช่นกัน และต่างก็รู้ว่ากวางทองต้องการกำลังใจเพื่อฝึกฝน แต่ก็ถูกถ่วงรั้งไว้ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในเรื่องความรัก ความกังวลว่าหยางหลงจะไม่กลับมาหาตามกำหนด
ลำพังการที่จะให้มาอยู่กับกวางทองและให้กำลังใจนั้นเฉินอวี้ย่อมให้ได้
แต่ก็เชื่อว่าหากมาอยู่ที่กระท่อมนี้กับลู่กวางทองขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องพบเจอกับเทพเสือโคร่งภูผาที่ไม่ปิดบังสีหน้าท่าทางมีความสุขมาก อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
เพียงแค่คิดก็ทำให้เฉินอวี้รู้สึกละอายใจต่อกวางทองเป็นอย่างมาก จึงหันไปบอกคนงานให้เริ่มเก็บของ
เมื่อเขาทำเมินเฉย ทางนี้รู้ตัวก็แกล้งเย้าแหย่ให้คนงามหันมาตอบสักคำ แต่เฉินอวี้ก็ยังนิ่งเงียบ
“ทำงานเสร็จแล้วจะรีบไปที่ใดกัน ในเมืองมีงานรื่นเริงหรือ”
กวางทองกับสหายตัวเล็กที่เพิ่งมาถึงเห็นแม่เล็กหน้าตาเรียบเฉย กำลังบอกให้คนงานเก็บของก็ตกใจว่า จะกลับแล้วหรือ
“เหตุใดท่านแม่กลับไปเร็วนัก เพิ่งมาได้เพียงสามวันเองมิใช่หรือ”
เฉินอวี้ยิ้มอ่อนโยนให้กับกวางทองและสหาย “การเดินทางระหว่างป่าสีทองกับเมืองหลวงใช้เวลาหลายวัน ครานี้ข้าเสียเวลาคัดหาคนงานมาทำงานให้เจ้าไปหลายวัน ทั้งการซ่อมกระท่อมก็เสร็จแล้ว จึงสมควรกลับไป”
กวางทองหันไปมองหน้าบิดา แล้วหันมาหาแม่เล็ก สีหน้า สายตาตัดพ้อที่เป็นอาวุธร้ายแรงนั้น ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาถึงกับทำอันใดไม่ถูก
“พวกเรามิได้ขัดแย้งกัน”
“ไม่เลย”
“ตอนนี้ซ่อมกระท่อมเสร็จแล้ว”
“แล้วข้าก็ต้องพาคนงานกลับไปส่ง”
“จากนั้นก็ไปเมืองหลวง”
“แล้วก็จะกลับมา พาคนงานมาซ่อมบ้านให้เจ้าอีก”
“เพราะว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่จะทรุดโทรมเร็ว ต้องคอยซ่อมอยู่เสมอ”
“ข้าจะกลับมาและเชื่อว่าหยางหลงจะต้องมาหาเจ้าตามที่นัดกันไว้อย่างแน่นอนเช่นกัน"
กวางทองคลี่ยิ้มงามที่ทำให้มวลบุปผาในป่าสีทองต้องอับอาย "จริงๆนะ"
"จริงสิ เมื่อหยางหลงให้สัญญากับเจ้าไว้แล้ว เขาก็ต้องทำตามสัญญาอย่างแน่นอน"
เทพเสือโคร่งภูผาอมยิ้มแก้มแทบแตก เมื่อเห็นเฉินอวี้ให้คำมั่นกับลู่กวางทองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะกลับมา แต่ก่อนที่จะออกเดินทางเทพเสือโคร่งภูผาก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำอีกหลายครา
เฉินอวี้ชะโงกมองไปทางลู่กวางทองกำลังพูดคุยอยู่กับกวางไพลิน ก่อนที่จะหันมากัดฟันกล่าวกับเทพเสือโคร่ง
"ให้กำลังใจบุตรทำได้หรือไม่”
“ได้สิ”
“แล้วเหตุใดจึงไม่ทำ กลับพูดนั่นพูดนี่เพื่อให้ข้าลาออกมาอยู่กับท่านพี่”
"เพ้ย ลูกผู้ชายไม่ต้องกล่าวคำมากมาย” เทพเสือโคร่งภูผาทำท่าทางไม่ใส่ใจ “ทั้งหมดนี้มันคือแผนสำรอง"
"เรื่องนี้มีแผนเดียวก็พอ ถึงเจ้าเมืองลั่วจะมีภาระหน้าที่มากมาย แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีรักมั่นคงต่อกวางทอง ท่านควรให้กำลังใจต่อบุตรต่างหาก" ไม่ใช่มาทำหวานชื่นกับผู้อื่น ต่อหน้าคนที่กำลังเป็นกังวล
"ก็เผื่อไว้ก่อนไง"
เฉินอวี้ชกที่ไหล่หนา "ห้ามพูด"
“หมัดหนักไปแล้ว”
“ห้ามทำหน้าตาระรื่น เวลาที่ลูกเป็นทุกข์ใจด้วย”
“แต่ข้า...” เทพเสือโคร่งภูผาจับใบหน้าตนเอง “ข้ารู้สึกเจ็บแก้ม”
“ท่านพี่”
“ก็ได้ๆ อยากให้ทำอะไรเล่า”
“ให้กำลังใจเขา ปลอบโยน แล้วก็บอกให้เขาเชื่อมั่นในความรักของตนเอง”
“เหมือนเจ้ากับเข้าใช่หรือไม่”
นี่คือเทพเสือโคร่งภูผาคนเดียวกับที่พบกันที่เมืองหลวงจริง+หรือนี่ หรือยังมีเทพเสือโคร่งผู้อื่นที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน
สรุปแล้ว รองแม่ทัพคนงามตอนที่มาถึงก็มาอย่างรีบเร่ง และตอนที่กลับไป ก็ยังกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ต่อมาเฉินอวี้ได้รับจดหมายแจ้งว่า หยางหลงเจ้าเมืองลั่วมาพบลู่กวางทองตามที่นัดไว้ก็รู้สึกคลายความกังวล เมื่อถึงช่วงวันหยุดพัก ก็ไปที่หมู่บ้านของนายช่างเพื่อรับมาซ่อมแซมกระท่อม แต่นายช่างเสนอให้ซ่อมกระท่อมให้แข็งแรง เพื่อป้องกันลมและฝนได้ดีขึ้น
ดังนั้นการมารอบนี้จึงมีคนงานจำนวนมากกว่าเดิม วัสดุอุปกรณ์จำนวนมาก พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้สำหรับหยางหลงและกวางทอง
การก่อสร้างในรอบนี้มีความจริงจังมากกว่าเดิมเมื่อมาถึงก็มีการแบ่งกลุ่มกัน กลุ่มหนึ่งช่วยกันสร้างเพิกที่พักคนงานระหว่างก่อสร้าง
อีกกลุ่มรวมถึงเฉินอวี้ช่วยกันรื้อถอนกระท่อมหลังเดิม ระหว่างนั้นหัวหน้าคนงานถามว่าในเมื่อจะต้องปลูกใหม่เหตุใดไม่ย้ายไปอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำมากกว่านี้
"เขาอยากให้บุตรอยู่ใกล้ๆน่ะ"
ด้วยกระท่อมที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นบ้านชั้นเดียวหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเขตของฝูงกวางเทพ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเทพกวางทั้งสองหรือเทพเสือโคร่งภูผาก็สามารถมาดูแลลู่กวางทองได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การทำงานผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม คนงานก็ทักถามเรื่องความผิดปกติที่เกิดขึ้น
"คราก่อนที่พวกเรามายังเห็นว่ามีสัตว์ป่าแวะเวียนมาดูว่าเราทำอะไรกัน แต่ครั้งนี้พวกเราทำเสียงดัง จากการรื้อถอนขนาดนี้ยังไม่พบแม้แต่นกสักตัว นี่มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ"
เฉินอวี้ส่ายหน้าเพราะก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน นอกจากนี้เทพเสือโคร่งก็ยังไม่ได้มารับกลับไปนอนที่ถ้ำยาเหมือนในครั้งก่อน ส่วนเทพเสือโคร่งศิลาดำที่ไปรับที่ปากทางของป่าก็หายไปในทันทีที่มาส่งถึงจุดที่จะสร้างบ้าน
เมื่อสถานการณ์ไม่แน่ชัด เฉินอวี้จึงนอนอยู่กับกลุ่มคนงาน และทำหน้าที่หาอาหารทั้งสามมื้อให้กับพวกเขาทั้งกำชับว่าห้ามออกไปไหนโดยลำพัง
ผ่านไปจนถึงวันที่สี่ เมื่อการก่อสร้างและตกแต่งก็ใกล้จะเสร็จสิ้นเทพเสือโคร่งภูผากลับเพิ่งมาหา
"เสร็จเร็วจริง"
เสียงทักทายดังล่วงหน้ามาก่อนที่จะปรากฎตัว
บรรดาคนงานหยุดมือเพื่อทำความเคารพ แล้วแยกย้ายกันไปทำงานเพื่อให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้
"เกิดอะไรขึ้น" เฉินอวี้ถาม
เทพเสือโคร่งภูผาเท้าเอวมองคนงานอยู่ครู่หนึ่งก็เดินห่างออกมาแล้วนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตบที่พื้นข้าง ๆให้เฉินอวี้นั่งลงแล้วจึงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้
เรื่องราวสืบเนื่องจากที่เฉินอวี้พบกระเรียนของป่าสีทองต้องกลายเป็นภาพประดับผนังในห้องจัดเลี้ยงจวนเจ้าเมืองเหอ ซึ่งทับซ้อนกับความแค้นที่เหอหลินจื้อใส่ร้ายลู่กวางทอง เทพเสือโคร่งสองพ่อลูกที่ไปยังเมืองเหอพบว่า บรรดาผู้ปกครองของเมืองเหอ ตั้งแต่เหอชินจ้าวลงมา ล้วนมิได้ใส่ใจกับความสูญเสียของเมืองลั่ว
ชีวิตของหยางเจียเจิงมิได้มีค่าอันใด เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้และหยางเฉิงเดินทางกลับมา พวกเขาก็ปล่อยคน
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่เทพเสือโคร่งพ่อลูกพบกระเรียนขาวจากป่าสีทองในจวนเจ้าเมืองเหอ
กระเรียนขาวหาได้อยู่ในบึงน้ำ แต่อยู่ภายในเรือนเลี้ยงรับรอง สถานที่จัดแสดงดนตรี ผู้คนในที่นี้ต่างเพลิดเพลินไปกับนารีและสุรารสเลิศ
กระเรียนขาวสองตนอยู่ที่นั่น
ที่ภาพวาดประดับผนัง
ภาพวาดกระเรียนที่ประดับด้วยขนสีขาวของกระเรียนขาวจากป่าสีทอง
งดงามประหนึ่งกระเรียนทั้งสองกำลังชื่นชมกับธรรมชาติ จนเมินเฉยต่อความรื่นรมย์ในที่นี้
เทพเสือโคร่งภูผาเจ็บปวดยิ่งนัก!
ความปวดร้าวที่แล่นพล่านจากหัวใจพุ่งตรงไปถึงปลายนิ้ว
ความโกรธแค้นที่ระเบิดขึ้นในศรีษะแล้วกระจายไปทุกอนู
"ข้าต้องการแก้แค้น"
ดังนั้น เทพเสือโคร่งภูผาจึงใช้พิษต่อบุตรชายของเหอหลินจื้อทีละน้อย จากที่เจ็บป่วยเล็กน้อย ก็เริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นจนเสียชีวิตในที่สุด
เฉินอวี้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเทพเสือโคร่งภูผาในข้อนี้ แต่เทพเสือโคร่งภูผายืนกรานว่า ตลอดช่วงเวลาบุตรชายป่วยอยู่ เหอหลินจื้อมิได้สำนึกผิดสักนิดว่านี่เกิดจากการที่ไปล่วงเกินผู้อื่น ยังคงตามหาแพทย์ฝีมือดีหลายคนมารักษาบุตร เมื่อรักษามิได้ตามที่โอ้อวดไว้ ก็จะถูกลงโทษ
สัตว์เทพทั้งหลายแห่งป่าสีทองมิได้ต่อต้านเรื่องการล่าเพื่อใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือให้ความอบอุ่น แต่การฆ่าเพื่อเอาขนไปประดับภาพวาดในสถานที่เช่นนั้น ทำให้ความโกรธแค้นนี้ยากที่จะบรรเทาลง
"แต่หลังจากที่ลงโทษพวกมันแล้ว ความแค้นนี้ก็ยังไม่หายไป ความกังวลก็มิได้ลดลง ที่ลดลงคือพลังของข้า"
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้เทพเสือโคร่งภูผาหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่อเห็นว่าสีเลือดหายไปจากใบหน้าก็ต้องรีบโบกมือ
"ไม่ได้รุนแรงมากนัก ข้าได้พักมานานข้ามปี นี่ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว"
เฉินอวี้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครั้งก่อน เทพเสือโคร่งภูผาถึงได้กลับมาอยู่ในร่างของเสือโคร่งในเวลากลางคืน ทำไมถึงต้องทำเรื่องไร้สาระ กล่าวถ้อยคำเหลวไหลผิดวิสัย จนทำให้ตนเองต้องกลับออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ที่แท้ก็เพื่อปิดบังความโกรธแค้นในใจ ปิดบังพลังที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหลังจากที่การทำงานในวันนี้เสร็จสิ้นลง เฉินอวี้ส่งคนงานทั้งหมดออกไปจนถึงหมู่บ้าน ก็เดินทางต่อเข้าไปในเมืองเพื่อเตรียมเสบียงอาหารเพิ่มเติม เมื่อกลับมาที่ป่าสีทองอีกครั้งก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ผู้ที่ออกมารับครานี้ คือนางเทพกวางสายลมผู้สง่างาม ระหว่างที่เดินกลับเข้าไปในป่าด้วยกัน นางชวนพูดคุยว่า เวลานี้เทพเสือโคร่งภูผาพักอยู่ที่ถ้ำยา
"การที่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับทุ่มเทดูแลกวางทอง และตามหาสหายที่หายไป ทำให้เจ้าไม่สบายใจหรือไม่"
"ไม่ขอรับ" เฉินอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ข้าเองก็รักกวางทองเช่นกัน ส่วนเรื่องการตามหาสหาย ข้าเห็นว่าสมควรแล้ว" เว้นแต่เรื่องความแค้นที่กลายมาเป็นการทำร้ายตนเอง ออกจะเป็นเรื่องที่เกินเลยไปสักหน่อย
นางเทพกวางกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้หันมามองเฉินอวี้ "เจ้าไม่ควรตามใจเขามากนัก ตาเสือโคร่งเฒ่านั้นมีนิสัยทำอะไรเอาแต่ใจตนเอง" เดินต่อไปอีกหลายก้าวนางก็ถามขึ้นมา "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาป่วยหนัก"
เฉินอวี้รู้สึกร้อนขอบตาขึ้นมาในทันที ว่าเป็นเทพเสือโคร่งภูผาเล่าให้ฟังในวันนี้
“ที่เขาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเขาดีขึ้นมากแล้ว”
“ขอรับ” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในส่วนของตนเอง "ตั้งแต่คราวที่ตามไปส่งตัวเหอหลินจื้อสองปีก่อน เขาไม่ได้ตามเข้าไปถึงเมือง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ตามกลับไปที่เมืองหลวง ข้าคิดว่าเขาอาจกลับมาบำเพ็ญเพียรเหมือนครั้งก่อน" ซึ่งเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง เทพเสือโคร่งภูผาก็จำความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ได้ "ข้าไม่อยากเจ็บปวดเช่นนั้นอีก จึงตั้งใจว่า จะตามมาพบกับเขาเอง" เฉินอวี้จะไม่เป็นผู้ที่ถูกลืมอีกครา "ครั้งก่อนเขายังมารับข้ากลับไปที่ถ้ำยา แต่มาในครั้งนี้เขามาหาในวันสุดท้าย และเล่าเรื่องของกระเรียนขาวที่จวนเจ้าเมือง กับความแค้นของเขา"
"มันบั่นทอนพลังชีวิตของเขาลงไปมากจริงๆ" น้ำเสียงของนางเทพกวางช่างหม่นหมอง "หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว บอกว่านอกจากความโกรธแค้นแล้ว อาจเพราะหลายสิบปีมานี้เขามีชีวิตเพื่อการตามหาสหาย และเพื่อกวางทอง แต่ในวันนี้เขาพบสหายแล้ว และกวางทองก็แข็งแรงขึ้นจนไม่ต้องการพลังชีวิตจากบิดาอีกต่อไป ยิ่งทำให้เขาถดถอยลงอย่างรวดเร็วและฟื้นพลังกลับมาได้ยากยิ่ง"
นางเทพกวางสายลมหันมาหาเฉินอวี้ ดวงตาสีน้ำตาลงดงามคู่นั้นบ่งบอกถึงความกังวลที่เต็มเปี่ยม
กังวลและเข้าใจ ว่าเฉินอวี้กำลังหวาดกลัวที่จะต้องกลายเป็นคนที่ถูกลืมไปอีกครั้ง จึงได้กลับมา
“ข้าเป็นกำลังใจให้เจ้า”
เฉินอวี้ก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็เดินตามต่อไปจนเชิงเขา พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนหมอบขวางอยู่ด้านหน้าถ้ำยา เสือโคร่งตัวนี้มีใบหูและส่วนหางเป็นสีขาวขุ่น เมื่อเห็นนางเทพกวางสายสายลม และเฉินอวี้เดินมา ก็เปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างหนาผู้หนึ่ง
"ท่านเทพกวางสายลม แม่เล็ก"
นางเทพกวางสายลมก้มศีรษะรับคำทักทายนั้น ขณะที่เฉินอวี้ยังเก้อเขินทุกครั้งที่ถูกเรียกเช่นนี้
"นี่คือเทพเสือโคร่งมุกดา นางกับพี่ชายจะผลัดกันมาเฝ้าบิดาที่นี่"
นางเทพกวางสายลม ชี้บอกให้เฉินอวี้เดินเข้าไปตามลำพัง
"เขาต้องยินดีมากที่เห็นเจ้ากลับมา"
เมื่อครั้งที่พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เฉินอวี้ตกจากหลังม้า เทพเสือโคร่งภูผาเคยพาไปพักที่กระท่อมยาในป่า และต่อมาเทพเสือโคร่งเคยพูดถึงถ้ำยาที่เป็นที่พัก และสถานที่ดูแลกวางทอง เฉินอวี้ก็คิดว่าถ้ำยาน่าจะมีลักษณะคล้ายกันกับกระท่อมหลังนั้น แต่ต่อมาเมื่อได้มาพบเห็นกับตาตัวเองถึงได้รู้ว่าถ้ำแห่งนี้ ไม่ได้มีสิ่งใดที่ใกล้เคียงกับที่คิดไว้เลยสักนิด
ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่เหมือนกับมีขึ้นมาเพื่อให้เทพเสือโคร่งตัวใหญ่พักอยู่
นี่คือสถานที่ที่เคยมานอนพักหลายคืนแล้ว หรือต่อให้มาเป็นครั้งแรกก็ไม่มีวันหลงทาง
จากปากถ้ำกว้าง แม้จะเดินผ่านห้องเล็กห้องน้อยหลายห้อง แต่ทางเดินกว้างที่ค่อนข้างเรียบจะพาไปที่ห้องด้านใน มวลอากาศภายในห้องนี้สงบนิ่ง ท่ามกลางความมืดสลัวมีแสงอ่อนๆ จากร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่ที่นอนหมอบหลับอยู่บนพรมขนสัตว์อ่อนนุ่ม
เฉินอวี้วางห่อสัมภาระลงบนแคร่ตัวหนึ่งที่วางอยู่ชิดผนังแล้วเดินเข้าไปหา ลูบขนจากส่วนคอลงไปที่ส่วนหลัง
เสือโคร่งตัวใหญ่ลืมตาขึ้นมามอง ยื่นหน้ามาเลียน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
เฉินอวี้กอดเสือโคร่งตัวใหญ่ไว้ เสียงร้องไห้ของชายหนุ่มดังสะท้อนอยู่ในถ้ำยา ได้ยินไปถึงด้านนอก นางเทพกวางสายลมถอนหายใจยาว แล้วหันหลังจะกลับออกไป นางเทพเสือโคร่งมุกดาขอตามไปส่ง
"เรากลับไปเองได้ ไม่ต้องไปส่งหรอก"
"ขอข้าตามไปด้วยเถิด ท่านแม่เล็กร้องไห้แบบนั้นมันบีบหัวใจเกินไป" นางเทพเสือโคร่งมุกดามีขอบตาแดงเรื่อท่าทางอยากจะร้องไห้ตามไปด้วย
เพราะนางมีคู่ครองแล้ว จึงเข้าใจความโศกเศร้าที่ปรากฎชัดเจนอยู่ในเสียงสะอื้นไห้ของแม่เล็ก จนอยากกลับไปดูแลคู่ครองสักครู่ก็ยังดี แต่นางไม่อาจทิ้งบิดาไปโดยพลการจึงขออนุญาตจากนางเทพกวาง
ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้า แล้วเดินนำออกมา
เฉินอวี้ตื่นนอนตอนเช้าในสภาพที่ดวงตาทั้งบวม และแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก ทั้งยังรู้สึกปวดศีรษะอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผายังหลับอยู่จึงออกมาล้างหน้าที่ด้านหน้าถ้ำ ซึ่งนอกจากจะมีถังน้ำวางอยู่ยังมีตระกร้าผลไม้ กับมีน้ำนมแพะอีกหนึ่งกระบอก เมื่อล้างหน้าเสร็จก็หยิบตระกร้าเข้าไปด้านใน เทพเสือโคร่งลืมตาขึ้นมามองแล้วขยับตัวเล็กน้อย
"มีน้ำนมแพะด้วย ท่านพี่ดื่มสักนิดเถิด"
เฉินอวี้กำลังจะเทน้ำนมลงในจาน ได้ยินน้ำเสียงต่ำๆ จากเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ก็หันไปมอง "ท่านกล่าวว่าอะไรนะ"
เทพเสือโคร่งกำลังมองไปที่กระบอกใส่น้ำนมแพะแล้วพยักหน้ามาทางเฉินอวี้ "หมายความว่านี่เป็นของข้าหรือ แล้วท่านจะกินผลไม้หรือ"
เทพเสือโคร่งส่ายหน้า
"เช่นนั้นท่านกินอะไร"
เทพเสือโคร่งส่ายหน้าแล้วหลับตาลง
เฉินอวี้ดื่มน้ำนมไปหนึ่งอึกแล้วถือที่เหลือมานั่งลงด้านหน้าเทลงเล็กน้อยในฝ่ามือ
"รับรองว่าจะไม่บอกใครว่าเสือดื่มนมแพะ"
เทพเสือโคร่งลืมตาขึ้นมามองเหมือนกำลังยิ้มขำ
"ดื่มสักนิดนะ" เฉินอวี้ยังคงพยายามจะป้อนน้ำนมจากมือ แต่เมื่อไม่ยอมดื่มก็ดื่มเสียเอง แต่พอมาถึงอึกที่สามก็เปลี่ยนเป็นอมน้ำนมไว้ในปาก วางกระบอกน้ำนมแพะลงข้างๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่หกไปเสียก่อน แล้วยกคางของเทพเสือโคร่งให้เงยหน้าขึ้น จรดริมฝีปากเพื่อให้เทพเสือโคร่งดื่มน้ำนมจากปากตนเอง
แต่ในตอนที่กำลังคิดสงสัยตนเองว่า ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก ก็แค่ยกคางของเทพเสือโคร่งขึ้นมาแล้วป้อนน้ำนมจากกระบอกให้ตรงๆก็สิ้นเรื่อง ปลายลิ้นของเทพเสือโคร่งก็ตวัดเลียริมฝีปากสวย
ด้วยความมึนงงเฉินอวี้หันไปยกกระบอกน้ำนมอีกครั้ง อมน้ำนมไว้ในปากแล้วป้อนแบบเดิม อย่างระมัดระวัง แต่แล้วเทพเสือโคร่งที่กำลังดื่มน้ำนมแพะจากปาก ก็เปลี่ยนร่างอย่างฉับพลัน
ทันทีที่รู้สึกว่าเอวบางถูกโอบรัด แผ่นหลังก็สัมผัสกับขนสัตว์อ่อนนุ่ม
มือสวยแตะที่อกหนาในทันที ดวงตากลมกระพริบถี่ ๆ มองภาพข้างหน้าด้วยความสงสัย
สีหน้าเหรอหราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้เทพเสือโคร่งหัวเราะ
"ข้าอยากจูบเจ้า อยากสัมผัสเจ้า อยากกอดเจ้าจนทนไม่ไหวน่ะสิ"
"ท่านพี่อ่อนเพลียอยู่มิใช่หรือ"
"ข้าอ่อนเพลีย แต่เจ้าแข็งแรงดี"
(มีต่อ)