หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว  (อ่าน 66266 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๑๒
[/b]




ณ สนามบินระดับประเทศของไทยอย่างสุวรรณภูมิต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารมากหน้าหลายตา หลากหลายเชื้อชาติ
ร่างสะโอดสะองของหญิงสาวโซนเอเชียก้าวออกมาจากประตูฝั่งขาเข้า ใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดแบรนด์เนมราคาแพง ทว่าก็ไม่สามารถปิดบังรัศมีความงามของเธอได้แม้แต่น้อย เส้นผมสีดำขลับยาวเหยียดตรงถึงกลางหลังพลิ้วไสวไปตามแรงปัดของเจ้าตัว ต่างหูระย้าเคลื่อนไหวตามจังหวะการก้าวเดิน

เธอกวาดสายตาเพื่อมองหาใครสักคนก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเธอพร้อมรอยยิ้มจริงใจ หญิงสาวถอดแว่นกันแดดแล้วดันมันขึ้นคาดเรือนผมสวย

นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวของคนคนนี้

“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยครับนานะ”

หญิงสาวลอบสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขายังคงรักษาความสง่า ภูมิฐานได้เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน แถมใบหน้าที่คาดว่าจะดูแก่ลงตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นทุกๆปีกลับดูผุดผ่อง อ่อนวัยราวหนุ่มแรกแย้ม หากบอกชายตรงหน้าเป็นลูกหลานตระกูลแวมไพร์ มีชีวิตอมตะ เธอก็เชื่อ

“คุณดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

“แต่คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ สวยขึ้นมากทีเดียว”

“ขอบคุณที่ชม แต่ใครๆเขาก็ว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มหัวเราะเบาในลำคอ เดินอ้อมมาช่วยเข็นกระเป๋าเดินทางซึ่งดูท่าน้ำหนักไม่น่าจะต่ำกว่าห้าสิบกิโลกรัมไปตามโถงทางเดิน

“ไม่ได้เจอกันนานสบายดีใช่ไหมคะคุณลุค อ่อ ไม่สิ ถ้าอยู่ไทยคุณชื่อลักษณ์ใช่ไหม”

“ใช่ ศุภลักษณ์ คือชื่อของผม ถ้าคุณยังจำได้”

“ชื่อของคนที่ช่วยฉันไว้ ฉันไม่มีวันลืมหรอกค่ะ” เพราะต่อให้อยากลืมยังไง เธอก็ลืมไม่ลง “ว่าแต่ที่เรียกฉันมาที่นี่...มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากให้คุณมาเที่ยวที่เมืองไทยบ้าง เผื่อวันดีคืนดีคุณถูกใจหนุ่มไทย ผมจะได้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้ได้”

“แหม รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยนะคะ”

ไฟหน้ารถกระพริบอยู่สองครั้งก่อนศุภลักษณ์จะจัดการยกกระเป๋าเดินทางขึ้นท้ายรถ แต่กว่าจะยกได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบทีเดียว ถ้าเทียบระหว่างน้ำหนักของเขาและน้ำหนักกระเป๋า มันต่างกันไม่ถึงสิบห้ากิโลด้วยซ้ำ เขาอยากรู้นัก ในกระเป๋าใบโตเธอใส่อะไรเข้าไปบ้าง

“ดูจากน้ำหนักกระเป๋า กะมาอยู่นานเป็นเลยใช่ไหมครับ”

“คุณลักษณ์ก็พูดไปค่ะ ที่ฉันเอามาก็มีแค่ของจำเป็นที่ต้องใช้เท่านั้น”

“จำเป็นต้องใช้เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“คุณไม่เข้าใจหัวอกผู้หญิงหรอกค่ะ เราหยุดสวยกันไม่ได้” เพราะถ้าหยุดสวยเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงโอกาสในเรื่องการงานอาชีพ ผู้ชายที่เล็งเอาไว้ อาจจะมลายหายไปในพริบตา

“ผมไม่ค่อยเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่อย่างคุณถึงแต่งตัวธรรมดา ไม่แต่งหน้าไม่น่ามองเท่าผู้หญิงคนอื่น ผมก็ยังคิดว่าคุณสวยอยู่ดี”

“...”

“เดี๋ยวผมคาดให้นะ”

“โอ้ ขอบคุณนะคะ” นานะฉีกยิ้มหวานหลังจากชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นผู้มีพระคุณของเธอเอื้อมมาดึงสายเบลท์คาดให้ พวงแก้มน้อยแดงระเรื่อตัดกับสีผิวขาวเกือบซีดของเธอ หัวใจที่นิ่งสงบมานานกลับเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ...อีกครั้งที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนเดียวเมื่อสิบห้าปีก่อน

เขายังดีคงเส้นคงวาไม่มีเปลี่ยนสักนิด

จากเด็กน้อยข้างถนนในรัฐชิคาโก้ กลายมาเป็นดีไซน์เนอร์อันโด่งดังที่มีแต่คนชื่นชม ให้ความสนใจ ความทรงจำในวันวานผุดขึ้นมาทุกขณะ ภาพของชายหนุ่มโซนเอเชียที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้ายังคงตรึงตาตรึงใจเธอทุกวินาที หากไม่มีเขาเธอก็คงไม่มีวันนี้ สาบานได้เลย ถ้าเขาต้องการให้เธอทำอะไร แม้จะเป็นเรื่องดีหรือเลวร้ายสักแค่ไหน เธอก็จะขอทำมันเพื่อทดแทนบุญคุณที่ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้งก็ยังมิอาจแทนทดได้หมด

“นี่เราจะไปไหนกันคะ”

“ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับพี่ชายของผม”

“พี่คุณคือ...”

“เจ้าของร้านรามาจิวเวอร์รี่ในรัฐวอชิงตันและคนที่ส่งทุนให้คุณเรียนต่อจนจบ ราเมนทร์ อัศวรานนท์ หรือที่คุณรู้จักในชื่อ มิสเตอร์ซี”



บนโลกนี้ใครจะมีความสุขเท่าอสุเรนทร์คงไม่มีอีกแล้ว ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มแทบตลอดเวลา ดวงตาที่คอยจับจ้อง ส่งความห่วงใย รักใคร่ให้กับคนรักอย่างไม่มีปิดบัง ผู้ชายที่มีหน้ามีตาทางสังคม กล้าพูดถึงเรื่องคนรักอย่างไม่แคร์สายตาหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของใคร คนที่เป็นตัวของตัวเองแบบที่สุดของที่สุด

จนคนรอบข้างเริ่มนึกเอือม

“อากฤตรู้สึกแถวนี้มันแปลกๆหรือเปล่าครับ เหมือนผมจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีชมพู พอลมพัดมาไอ้กลิ่นอายความรักนี่ลอยหึ่งเชียว” รณพักตร์ย่นจมูกฟึดฟัด หรี่ตามองคนที่กำลังนั่งเท้าคาง ยิ้มหน้าบานอยู่ใต้ต้นจันบนเรือนทศราชย์ราวคนไข้ในแผนกจิตเวช

ชินกฤตยิ้มแกมขำเมื่อได้ยินหลานชายตัวแสบพอๆกับคนเป็นพ่อเอ่ยแซว ก็ไม่ได้อยากเห็นด้วยกับคำของเจ้านี่เสียเท่าไหร่ ทว่าภาพตรงหน้ามันกลับฟ้องอยู่ทนโท่ว่าท่านประธานที่เคารพรัก ในเวลานี้ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มผู้ซึ่งตกอยู่ในอาการตกหลุมรัก หรืออย่างที่เจ้าอินชอบบอกเขาเป็นประจำ ทศกัณฐ์อินเลิฟ

“สงสัยคงโดนอาถรรพ์พ่อเปรมเล่นงานหนักหน่วง โอ...เป็นเอามากเหลือเกินครับอากฤต อินรับไม่ได้”

รณพักตร์ถึงกับส่ายหัวเหนื่อยหน่ายเมื่อเจ้าของตำแหน่งประธานรูปหล่อขวัญใจคนทั้งประเทศและเจ้าของหัวใจนักแสดงตัวนางสีดาชื่อดังยังคงนั่งเหม่ออยู่เหมือนเดิม

“ดูท่าจะบ้าจริงแฮะ เฮ้แด๊ด อาร์ยูโอเค้?”

“...”

เงียบ ไร้สัญญาณตอบกลับ

“แด๊ดดี้? Are you hear me?”

“เยส...แอม โอเค กู๊ดซัน”

“อุบ๊ะ! พระบิดาสปีคอิงลิช oh my Buddha.......It's really? seriously? อากฤต! พระบิดาสปีคอิงลิชล่ะ” รณพักตร์บอกด้วยอาการหน้าตาตื่น

แล้วมันน่าแปลกตรงไหน

“อย่าเยอะตามพ่อเจ้าสิเจ้าอิน”

“โธ่อา นานๆจะได้ยินสำเนียงอเมริกันจากปากพระบิดาสักที มันเลิศมากอ่ะ เลิศสุดๆ” ชินกฤตพ่นลมหายใจยาวเหยียดไปทีหนึ่ง พยายามไม่สนอาการระริกระรี้ของหลายชายแล้วหันหน้ากลับมาทางอสุเรนทร์แทน “แล้วนี่ท่านพี่จักออกไปไหนฤาไม่ขอรับ”

“แหม คุณอาขอรับ ถามอย่างกับไม่รู้จักองค์ทศกัณฐ์ผู้นี้ดี ตั้งแต่มีเมียเคยอยู่ติดบ้านเสียที่ไหน”

“ปากมากเจ้ายักษ์แคระ”

“แคระไม่แคระก็ลูกพระบิดาปะ”

“เจ้าอิน” ชินกฤตจ้องเขม็งพลางกล่าวเสียงเรียบ

“อย่าดุสิอากฤต อินแค่ตอบไปตามความจริง ผิดตรงไหน”

“ก็ตามที่เจ้าอินบอก ข้าจักไปหาเปรมแล้วก็นอนค้างที่นั่นเลย” อสุเรนทร์คิดไว้อย่างดิบดีว่าถ้าไปถึงที่นั่นแล้วจะทำอะไรบ้าง เขาไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรมาก่อนในชีวิตนอกจากเรื่องสงครามระหว่างพระรามและเผ่าพงศ์ยักษา ยักษี แล้วก็...กายหอมกรุ่มของคนรักที่ดึงดูดให้เขาหลงใหล เคลิบเคลิ้มทุกยามราตรี

อ่า...แค่คิดก็....

“ทำหน้าแบบนี้ ต้องคิดเรื่องสิบแปดบวก บทอัศจรรย์ฟ้าฝ่าเปรี้ยงปร้างอยู่แน่เลย ใช่ไหมพระบิ...โอ้ย!”

ร่างเล็กร้องทันทีที่โดนก้านขาแกร่งเตะเข้ากลางหลังจนเซไปด้านหน้าเกือบล้มหัวฟาดพื้น ดีที่ได้อากฤตช่วยจับไว้ ไม่อย่างนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาที่อุตส่าห์เฝ้าทำนุบำรุงมาหลายร้อยปีเป็นอันต้องเสียโฉมแน่ๆ

“โหย พระบิดา เตะมาได้ เดี๋ยวนี้เล่นแรงนะ ลุกมาต่อยกันตัวต่อตัวเลยมา”

“ไอ้เด็กคนนี้ ไปไกลๆเลย รำคาญ”

“พระบิดา!”

“เจ้าอิน!”

“พระบิดา!”

อีกแล้ว ทะเลาะกันอีกแล้ว เมื่อไหร่สองพ่อลูกคู่นี้จะเลิกทำนิสัยแบบเด็กน้อยเสียที เจ้ายักษ์แคระก็เอาแต่กระโดด กระแทกปลายเท้าเสียงตึงตัง ส่วนอีกคนก็เอนพิงพนักเก้าอี้ จ้องเขม็งลูกชายอย่างเอาเรื่อง ชินกฤตทอดถอนหายใจยาวเหยียด ส่ายหัวมองสองพ่อลูกด้วยความเอือมระอา

พอกัน ไม่เต็มเต็งทั้งคู่

เขาที่หวังจะปราดเข้าไปห้ามทัพกลับต้องหยุดชะงักกะทันหัน ดวงตาเบิกกว้าง เส้นเลือดฝอยในตาแผ่ซ่านแดงก่ำเมื่อภาพบางอย่างไหลเขามาในหัว รวดเร็วดั่งสายน้ำเชี่ยวกราด รุนแรงและเจ็บปวด เล่มหนังสือที่ถือติดตัวเอาไว้ตกกระทบลงพื้นเกิดเสียงดังสนั่น รณพักตร์วิ่งถลาเข้ามาจับไหล่อาชายอย่างรวดเร็ว อสุเรนทร์มองน้องด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนดูอยู่ห่างๆ

ชินกฤตกำลังเห็นนิมิตข้างหน้า

โลหิตสีเข้มไหลออกมาจากทางจมูกและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อสุเรนทร์พอจะทราบอยู่บ้าง ยิ่งเหตุการณ์ที่เห็นอันตรายมากเท่าใด อาการบาดเจ็บของผู้ล่วงรู้อนาคตยิ่งทวีความรุนแรงเป็นเท่าตัว อย่างตอนที่ชินกฤตเห็นเขาจะต้องตายด้วยน้ำมือหนุมานเมื่อพันปีก่อน ก็ทำเจ้าตัวนอนซมไปหลายคืน

“ชินกฤต”

“พระบิดา อากฤต...อากฤต”

“จับอาเจ้าเอาไว้”

จู่ๆลมด้านนอกก็พัดมาวูบหนึ่ง ภาพบางอย่างแทรกเข้ามาในหัว เป็นภาพที่แสนรางเลือน...เหมือนเป็นชายคนหนึ่ง แม้จะพร่ามัว แต่เขาก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นคนที่เขารู้จัก

‘ฮัลโหลพี่ทศ เปรม...ก....ไปหา...พ....นะ’

............

‘ฝนตกหนักจะมาทำไมครับเปรม’

‘เปรมอยากมาหา.....พ....พี่’

‘....’

‘เปรมคิดถึง อยากเจอหน้า’

‘เปรม...อ....ไหน’

‘แย...กหน้......ก็......ถ......พี่......ว’

เปรี้ยง!!

เสียงฟ้าคำรามร้องดังกึกก้องคล้ายเสียงหัวเราะแผดไปทั่วท้องนภา พร้อมกับพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา กระแสลมกรรโชกรุนแรงฉีกกระชากพุ่มหญ้า ต้นไม้บริเวณนั้นให้หักกระจุยปลิวหายไปในสายหมอกหนาทึบ

‘เฮ้ย!’

เสียงเบรกดังสนั่นตามมาด้วยเสียงกระแทกอย่างแรงของรถสองสามคันด้านหน้า ร่างโปร่งรีบหักพวงมาลัยหลบรถตู้ปาดหน้ากะทันหันจนรถหมุนเป็นวงกลม เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะครั้นเห็นแสงไฟสีส้มสาดส่องเข้ามาในรถพร้อมเสียงบีบแตรดังถี่เป็นระยะ

รถบรรทุกกำลังแล่นเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง เนื่องจากพื้นถนนที่เปียกและลื่นจึงทำให้ไม่สามารถหยุดชะลอความเร็วได้แม้แต่น้อย

เอี๊ยดดดด!!!!

เสียงล้อรถบดขยี้พื้นถนนคอนกรีตเสียงดังสนั่น ตามด้วยแรงกระแทกบริเวณฝากระโปรงรถ ร่างกายของคนในรถถูกเหวี่ยงกระแทกไปตามแรงอัด ความแรงที่พุ่งชนเข้ามาส่งผลให้รถพลิกคว่ำครูดไปตามพื้นถนนจนเกิดประกายไฟใต้ท้องรถ

 ‘เป.....เ......รม!!!!’

กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นฉุนของน้ำมันเครื่องลอยคละคลุ้งปะปนอยู่ในชั้นอากาศ ชายหนุ่มพยายามปลดล็อกสายคาดด้วยมืออันสั่นเทา หากมันกลับติดอย่างแน่นหนาไม่สามารถเอาออกได้ เลือดที่อาบศีรษะไหลย้อยลงมาเปื้อนหน้าผากและดวงตา
อยากออกจากตรงนี้

ช่วยด้วย...

‘อึก...พี่ทศ’

‘เปรม!!! เปรมยังอยู่ไหม!’

ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์มากุมเอาไว้แน่นเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มได้ หน้าจอยังคงปรากฏรายชื่อที่โทรเข้ามาล่าสุด...อีกแค่นิดเดียว....นิดเดียวเท่านั้น เราก็จะได้เจอกันแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน

ความปวดร้าวไปถึงกระดูกที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย เปลือกตาที่เคยเปิดกว้างมองเปลวไฟที่ลุกลามใกล้ถังน้ำมันค่อยๆปิดลงอย่างอ่อนแรง

‘ผมขอโทษ’

‘เปรม...เปรม!’



ตู้มมมมมมมมมมม!!!!!




“เฮือก!”

ชินกฤตเบิกตาโพล่งและสลบไป อสุเรนทร์เห็นท่าไม่ดี รีบดึงตัวร่างผอมบางของน้องชายมาอุ้มแนบอก พยายามกระซิบเรียกหลายต่อหลายครั้งเพื่อเรียกสติให้กลับคืนสู่กายหยาบ

“ชินกฤต...พิเภก เจ้าตื่นสิพิเภก!”

“พระบิดา อากฤต”

“พิเภก!!”
 
ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงจนเหลือเพียงแสงแดดอ่อนๆที่แสนอบอุ่น ความวุ่นวายต่างๆได้จางหาย เหลือเพียงความเงียบสงบที่ทัดแทนเข้ามา รณพักตร์ลอบมองอาชายผ่านกระจกเงาบานใหญ่ยาวที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติบนเตียงนุ่ม หมอวัยกลางคนเก็บอุปกรณ์รักษาลงในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์

“อาการของคุณชินกฤตเกิดจากความเครียด พยายามให้เขาพักผ่อนมากๆก็พอครับ”

“ขอบคุณหมอมากเลยนะครับ อิน ช่วยไปส่งคุณหมอเขาทีนะ”

“ครับ เชิญครับหมอ”

อสุเรนทร์ดึงมือน้องชายกุมไว้หลวมๆ นับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชินกฤตเป็นลมล้มพับไปกองกับพื้นเพราะเหตุการณ์ล่วงหน้า ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดตรงหน้าทำเขาวิตก อะไรคือสิ่งที่ชินกฤตเห็น...มันร้ายแรงถึงขั้นหมดสติได้เชียวหรือ

ครืด...ครืด

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง เขาล้วงมันออกมาก่อนจะกดรับทันทีเมื่อหน้าจอแสดงเบอร์ของคนที่เขากำลังนึกถึง

“ครับเปรม”

‘พี่ทศ จะมาบ้านหรือเปล่าครับ’

“พี่ขอโทษด้วย วันนี้พี่ไปไม่ได้ ต้องอยู่ดูแลเจ้ากฤตน่ะ”

‘คุณกฤตไม่สบายหรือครับ แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ให้เปรมไปช่วยไหม’

“ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”

‘ถ้ามีอะไรร้ายแรง โทรบอกผมเลยนะ ผมจะได้ไปหา’

“ทราบแล้วครับเมีย”

‘พี่พี่ทศก็...แค่นี้นะครับ ถ้าจะมาก็โทรบอกด้วย เปรมขอไปช่วยแม่ทำอาหารก่อน’

“ครับ”

อสุเรนทร์กดวางสาย ทรุดตัวนั่งลงปลายเตียงพลางยกมือกำเสื้อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายตรงจุดหัวใจจนยับยู่ยี่ ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงมีอาการวูบโหวงแปลกประหลาด รู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ราวกับว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงในเร็วพลัน
หวังว่าสิ่งที่เขาคิดคงไม่เกิดขึ้นจริง



“โอ๊ย!” ด้วยอารามตกใจเขารีบปล่อยมีดทิ้งลงกับพื้นทันทีที่ความคมของมันเฉือนเข้าปลายนิ้วชี้จนหยดสีแดงข้นไหลซึมเป็นทางยาว เปรมมองดูหยดเลือดในอ่างล้างมือหยดแล้ว...หยดเล่า แล้วครางออกมาเล็กน้อยกับความปวดหนึบบริเวณปากแผล
“เปรม เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก” ดวงดาวรีบเอ่ยถามพร้อมดึงมือลูกชายขึ้นมาสำรวจบาดแผล “แม่บอกแล้วว่าไม่ต้องมาช่วย เห็นไหม เจ็บตัวจนได้”

“ก็เปรมอยากช่วยแม่ทำกับข้าวบ้าง”

“จริงๆเลยลูกคนนี้” เธอเท้าสะเอวถอนหายใจ เอี้ยวตัวเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลในตู้เก็บของใกล้อ่างล้างมือ ก่อนจะคว้ามือใหญ่กว่ามาทำแผลให้อย่างชำนาญ เห็นตอนโตหงิมๆเรียบร้อย ตอนเด็กไม่รู้ผีลิงค่างที่ไหนเข้าสิง กลับจากโรงเรียนที่ไรมักจะมีแผลติดตัวมาให้เธอทำให้ทุกที “มือเขามีไว้ใช้หยิบจับสิ่งของ ไม่ได้มีไว้รับคมมีด”

“มันเฉือนเข้ามาเองนะ เปรมไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย”

“สะเพร่า”

“แม่อ่ะ”

“โตแล้วยังโดนมีดบาดอีก อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย หืม”

“โดนมีดบาดเกี่ยวอะไรกับอายุด้วยล่ะครับ”

“งั้นก็คงเป็นเรื่องสมอง”

“แม่!”

พลาสเตอร์ยาสีครีมอ่อนแปะทับปิดปากแผลบนนิ้วเรียวยาวอย่างเบามือที่สุด

“โดนแค่นิ้วก็บุญเท่าไหร่แล้ว ดีไม่ปาดคอเข้า แม่คงหัวใจวายตาย”

“เปรมขอโทษ แต่คนอย่างเปรมไม่ตายง่ายๆหรอกแม่ ยังต้องอยู่แกล้งแม่อีกนาน รู้หรือเปล่า” เปรมฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีพลางโอบกอดไหล่บางของผู้เป็นแม่ แนบแก้มคลอเคลียอยู่อย่างนั้นประดั่งลูกแมวอ้อนเจ้านาย แม่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบกังวล ชอบคิดมากทั้งๆที่เรื่องมันเล็กแค่นิดเดียว แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่แม่แสดงออก ไม่ว่าจะทางสีหน้า ทางดวงตาหรือคำพูด ล้วนเกิดจากความรักและเป็นห่วงทั้งสิ้น แล้วแบบนี้เขาจะไม่รู้สึกผิดได้ยังไง

“ขอให้จริงเถอะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“จะไปไหนก็ไปเลยเรา แม่จะทำกับข้าว” ดวงดาวเอ่ยปากไล่ลูกชายไม่จริงจังนัก

“เดี๋ยวเปรมช่วย” เปรมอาสา

“ไม่ต้องเลย กลับเข้าห้องไปซะจนกว่าแม่จะเรียก ถึงอยู่ไปจะช่วยให้แม่ทำเสร็จไวขึ้นหรือเสร็จช้าลงก็ไม่รู้ แต่คาดว่าคงเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า”

“โธ่แม่ ต้องเสร็จไวขึ้นสิครับ มา เดี๋ยวช่วย”

“ไปห่างๆเลย”

“ไม่เอาอ่ะ เปรมเบื่อ ไม่มีอะไรทำเลย”

“เบื่อก็ไปบ้านคุณทศเขาสิ” คนเป็นแม่เสนอทางออกสุดพิเศษให้กับลูก เพราะรู้เต็มอก ยังไงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอต้องก้มหน้าตอบเอียงอายเป็นแน่ แต่ทว่าดันผิดคาดเสียอย่างนั้น เมื่อใบหน้าหวานราวหญิงสาวกลับงอง้ำ ริมฝีปากเม้มปิดสนิท อะไรกัน นี่เธอตกข่าวสำคัญไปหรือเปล่า

“ทะเลาะกับพี่เขามาหรือลูก”

“เปล่า” ปฏิเสธเสียงแข็ง หากดวงตากลับสั่นไหวน้อยอกน้อยใจนัก

“แล้วที่เบะปากเตรียมร้องไห้นี่เขาเรียกว่าอะไรคะคุณลูกชายที่รัก”

“เปรมเปล่าร้องไห้” ก้มหน้าพูดเสียงอู้อี้ในลำคอ คะ...ใครจะไปร้องไห้แค่เรื่องเล็กๆน้อยนี่กัน เขาก็แค่น้อยใจที่อีกคนไม่ยอมโทรมาบอกล่วงหน้า เข้าใจว่าน้องชายไม่สบายกะทันหัน แต่ช่วยโทรบอกหน่อยได้ไหม นี่ถ้าเขาไม่โทรไปหาก็คงไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะ

“น้อยใจที่พี่ทศเราไม่มาหาหรือไง”

“เขาน่าจะบอกผมก่อน”

“แล้วเรากลายเป็นเด็กขี้งอน ขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หืม...”

ใครขี้งอน เขาเปล่าขี้งอนสักหน่อย

“เอารถแม่ไปก็ได้ ให้ยืมหนึ่งวัน”

“แม่”

“ถ้าเขาไม่มาเราก็ไปเองสิ มันจะไปยากอะไร อย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องสิเปรม คนเราล้วนมีเหตุผลกันทั้งนั้นใช่ไหม”
“แต่พี่ทศเขาบอกไม่ให้ผมไป” แม้น้ำเสียงจะอ่อนลงแต่ยังคงความขุ่นอยู่

“แล้วใจเราอยากไปไหมล่ะ”

“...”

“ถ้าใจอยากไปก็ไป”

“...”

“สรุปว่าไงจ๊ะลูกรัก”

เปรมเงียบสักพักก่อนจะพยักหน้ายอมรับโดยดี

“ก็แค่นั้น” ฝ่ามืออ่อนนุ่มลูบศีรษะลูกชายตัวโย่งอย่างนึกเอ็นดู เพราะนิสัยอย่างนี้ไงพ่อทศจึงไปไหนไม่รอด “ขากลับแม่ฝากซื้อขนมถ้วยหน้าปากซอยบ้านด้วยนะ ไม่ได้กินมานานมากแล้ว”

“โอเคครับ ผมจะรีบไปแล้วรีบเอาขนมถ้วยมาให้”

“ขับรถดูทางดีๆ และอย่าเร็วนักล่ะ”

“รับทราบครับท่านผู้หญิง” เปรมทำท่าตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน ยื่นหน้ามาหอมแก้มแม่เต็มรัก แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากครัว ดวงดาวหันมองแผ่นหลังของลูกชายที่เดินหายลับไป มือข้างขวาที่กำลังคนแกงในหม้อให้เข้าที่กลับค่อยๆอ่อนแรงและหยุดลงในที่สุด
หยดน้ำตาหยดแหมะลงข้างหม้อร้อน

น่าแปลกนัก ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกที่ว่า...จะไม่ได้เจอหน้าลูกอีก

รีบกลับมานะเปรม....แม่รอลูกอยู่



หากมีคำผิดขออภัยด้วยจ้าาา
ต่อด้านล่างเหมือนเดิมนะ   :katai5:  :katai4:

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เนื้อเรื่องได้เข้าสู่จุดพีคครั้งที่1แล้ว กรุณาเตรียมใจไว้ดีๆนะคะ  :hao3:



ซ่า....ซ่า.....


หยาดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าร่วงหล่นกระทบกับพื้นเสียงดังฉะฉาน จากท้องฟ้าที่เคยมีสีสันสดใสกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีดำครึ้มทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาตะวันจะตกดิน แสงแปลบปลาบเป็นสายยาวนำมาก่อนเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นบาดหู เปรมชะโงกหน้ามองลอดผ่านกระจกฟิล์มรถ

ฝนจ๋า อย่าเพิ่งมาตกเอาตอนนี้นะ

ทุกอย่างกลายเป็นภาพคุณภาพต่ำระดับ144p มันพร่ามัวเสียจนมองค่อยจะไม่เห็นว่าทางข้างหน้าและด้านข้างเป็นอย่างไร ต้องคอยเพ่งตาแล้วขยับรถวิ่งออกไปอย่างช้าๆ ใครจะบีบแตรไล่หรือด่าว่าเขาในใจขับช้าเป็นเต่าคลานก็ยอมล่ะวินาทีนี้

ครืด...ครืด...

แรงสั่นจากเครื่องโทรศัพท์เรียกร้องให้เขาต้องละความสนใจจากบรรยากาศรอบนอก เปรมเอื้อมคว้ามันขึ้นมาแนบหูโดยไม่ได้มองเลยว่าใครเป็นผู้โทร

“พี่ทศ เปรมกำลังไปหาพี่นะ”

‘ขับรถอยู่หรือเปล่า’

“ใช่ครับ” เปรมบอกพร้อมเปิดไฟกระพริบ หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาเพื่อตรงเข้าสู่ถนนใหญ่ที่จะไปบ้านของอสุเรนทร์

‘งั้นขับกลับบ้านไป ฝนใกล้ตกแล้ว มันอันตราย’

“โธ่พี่ทศ อย่าห้ามเปรมได้ไหม นี่เปรมก็ออกมาเกือบจะถึงบ้านพี่แล้วด้วย”

‘กลับไปเปรม เชื่อพี่’

“ไม่เอา”


‘ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำยังไง’


“ไม่ต้องห่วงเปรมนะ เปรมคอยดูทางตลอด”

‘อย่าดื้อได้ไหม’

“...”

‘เปรม’

“แต่เปรมอยากไปหาพี่” นั่นคือความจริงที่เขาอยากบอกกับอีกคน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเจอหน้าอสุเรนทร์นัก มันคิดถึง คิดถึงจนอยากไปหาเสียให้ได้

‘...’

“เปรมคิดถึง อยากเจอหน้า เปรมผิดด้วยหรือครับ”

เขาได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจแรง ‘แล้วเปรมอยู่ตรงไหน เดี๋ยวพี่ออกไปรับ’

ร่างบางพยายามเบิ่งตามองฝ่าแสงสลัวไปยังป้ายบอกเส้นทางอันใหญ่ ดีหน่อยที่มันติดสัญญาณไฟจราจรพอดี เขาเลยมีเวลาเพ่งดูนานหน่อย “แยกหน้า ก็จะถึงซอยบ้านพี่แล้ว ไม่เกินสิบนาทีที่ทศรอเปรมหน้าบ้านได้เลย”

‘จอดรถเดี๋ยวนี้เปรม!’

เปรี้ยง!!!

ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังกัมปนาท คล้ายเสียงหัวเราะแสนเกรี้ยวกราดสั่นสะเทือนทั่วแผ่นฟ้าพร้อมกับพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ร่างบางสั่นสะท้าน สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว กระแสลมกรรโชกรุนแรงฉีกกระชากพุ่มหญ้า ต้นไม้บริเวณโดยรอบให้หักกระจุยปลิวหายไปในสายหมอกหนาทึบ พานทำให้คนแถวนั้นที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตบาทต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น

‘ยังอยู่หรือเปล่าเปรม ตอบพี่หน่อย เกิดอะไรขึ้น’

“มะ...ไม่มีอะไรมาก แค่ฝนตกหนักน่ะครับ”

‘ได้โปรดจอดรถ’

“แต่เปรมใกล้...”

‘พี่ขอร้อง ช่วยจอดรถที!’ ปลายสายตวาดกลับอย่างเหลืออด และถ้าหากเขาได้ยินไม่ผิดเหมือนน้ำเสียงอีกคนออกจะสั่นเครือมากทีเดียว แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่เปรมก็เลือกที่จะยอมทำตามคำขอร้องของอสุเรนทร์

หากมันทำให้อีกฝ่ายสบายใจ

“เฮ้ย!”

ทว่ายังไม่ทันได้เปิดไฟขอเลี้ยวเข้าข้างทาง รถกระบะที่วิ่งตามหลังมากลับพุ่งเข้าชนท้ายรถอย่างจัง! ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก...เร็วเสียเขาตั้งตัวไม่อยู่ พยายามควานเท้าหาที่เหยียบเบรก แต่ในเวลานี้ วินาทีนี้! มันช่างหายากเหลือเกิน  หัวใจมันเต้นระรัวไปหมด ทั้งกลัว ทั้งตื่นตระหนก มือเท้าจิกเกร็งแน่นอย่างห้ามไม่ได้ เสียงเบรกดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเสียงพุ่งชนกันอย่างรุนแรงของโลหะและเสียงอึกทึกครึกโครมที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต

เปรมพยายามควบคุมสติเร่งเครื่องหนีห่าง แต่โชคไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่นักเมื่อรถคันหนึ่งจากถนนเลนในพุ่งมาชนท้ายรถซ้ำอีกหน ผลักดันให้รถของเขาลื่นไถลไปตามถนนเปียกแฉะด้วยความเร็วกว่าปกติ ซ้ำร้ายยังต้องหักพวงมาลัยหลบรถตู้ปาดหน้ากะทันหันจนรถหมุนคว้างเป็นวงกลม ทุกสิ่งกลายเป็นภาพสโลโมชั่น เปรมเห็นเส้นแสงที่ลากผ่านกายไปอย่างเชื่องช้าเต็มตา
เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ

เคยได้ยินคนโบราณว่ากันว่า คนที่ถึงเวลาตายมักจะเห็นอะไรช้าลง

‘เปรม!’

ใบหน้าหวานค่อนไปทางซีดเผือกสว่างวาบทันทีที่แสงไฟสีส้มสาดเข้ามาแยงตาปิดบังการมองจนหมดสิ้น พร้อมเสียงบีบแตรดังถี่เป็นระยะ

รถบรรทุกสิบล้อที่แล่นสวนเลนถนนมาด้วยความเร็วสูง เนื่องจากพื้นถนนที่เปียกและลื่นจึงทำให้คนขับไม่สามารถหยุดชะลอความเร็วได้แม้แต่น้อย เสียงล้อรถใหญ่บดขยี้พื้นถนนคอนกรีตดังสนั่นหวั่นไหว เปรมมองภาพนั้นด้วยอารามตกใจสุดขีด ร่างกายสั่นเกร็ง ทำอะไรไม่ได้เลยนอกเสียจากหลับตาแล้วกลั้นลมหายใจในทันที


เอี๊ยดดดด!!!! ปึงง!!!!


คล้ายมีแรงบางอย่างผลักดันให้รถลื่นไถลไปทางอื่น ล้อรถหมุนคว้างเกิดเสียงดังแสบแก้วหู ก่อเกิดประกายไฟบนพื้นลาดยางบนถนน เศษกระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันลอยเฉียดแก้มเขาไป เลือดไหลย้อยบนใบหน้าเนียนเป็นหย่อมๆ แรงเสียดสีและแรงกระแทกจากฟุตบาธข้างถนน ส่งผลให้กระโปรงรถบี้ยับไม่น้อยทีเดียว

เม็ดฝนหล่นโปรยปรายกระทบหลังคารถเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ท่ามกลางความเงียบสงัด กลุ่มควันสีขาวขุ่นฟุ้งกระจายลอยละล่องอยู่ในอากาศ ตัวรถยับยู่จากการถูกอัดหากที่ปัดน้ำฝนยังคงทำงานไล่สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง

ความปวดร้าวไปถึงกระดูกที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายและเลือดข้นๆที่โดนพวงมาลัยรถกระแทกเต็มแรงไหลย้อยลงมาอาบแก้ม เป็นสาเหตุให้สติเริ่มเลือนรางลดน้อยลงทุกที มันสร้างความทรมานเขาไม่รู้จักจบจักสิ้น เปลือกตากระพือเปิดอ่อนแรง ทอดมองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างเลื่อนลอย

แม้ร่างบางจะมองเห็นที่ไม่ชัดเจนนัก ทว่าสายตาเขากลับมองเห็นใครคนหนึ่ง

ท้องฟ้ารัตติกาลสว่างวาบสลับกับกำไลบนข้อมือเรียว หากทุกสิ่งทุกอย่างประดั่งความฝัน และมันก็คงเป็นฝันที่แปลกที่สุดและก็เจ็บที่สุด แต่ถ้าหากเป็นความจริง...มันคงเป็นความจริงที่น่าเหลือเชื่อทีเดียว

ร่างสูงสมส่วนชายชาตรี ผิวกายาออกสีเขียว...เขาอธิบายไม่ถูกว่าสีเขียวอย่างไร มันไม่อ่อน ไม่เข้มแก่ แต่เขียวกำลังดีเหมือนองค์เทวาบนสรวงสวรรค์ ท่อนบนเปลือยอกโชว์สัดส่วนกล้ามเนื้อเปี่ยมด้วยพลัง เรือนผมสีดำสลวยคล้ายผู้หญิงเปียกลู่ไปตามเครื่องหน้าหล่อเหลา ท่อนล่างอยู่ในเครื่องนุ่งห่มแบบจีบโจงหน้านางคล้ายเครื่องทรงกษัตริย์ประหลาดตา เปรมไม่รู้คนแปลกหน้าคนนี้คือใคร แต่เขาไม่สามารถหลบนัยน์ตาคมคู่นี้ได้เลย

วินาทีนั้นที่ดวงตาทั้งสองสบกัน คล้ายมีอำนาจบางอย่างแผ่ซ่านสะกดหัวใจของเขาไว้สิ้น เนตรสีเขียวมรกต ยาวรีได้รูปและมีแก้วตาสุกใสเป็นประกายลึกล้ำ... รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับภาพซ้อนทับของคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียว



“พี่ทศ”



 :ling1: :katai1: :serius2:
โอยยยยย เครียดดดดด ไม่รู้จะพูดคำไหนดีเลยค่ะ อย่าพึ่งเป็นอะไรนะลูก  :sad4:
ทุกคนอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปรม แต่ขอบอกเลยว่ามันเป็นเพราะเรื่องราวในอดีตชาติ(ซึ่งจะเฉลยหลังจากนี้) กรรมใครกรรมมัน คนนั้นต้องแก้
ยังไงก็ช่วยเอาใจช่วยหนูเปรม แล้วก็พี่ทศด้วยนะจ๊ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นของทุกคนมากเลยนะคะ เราดีใจมากกก
เอาไว้เจอกันใหม่จ้า  :mew1:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ไม่เอามาม่าได้ไหม

ไม่ถนัดขอรับ

เอาใจช่วยน้องเปรม


ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
น้องเปรมอย่าเป็นไรนะะะ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ jjasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โง้ยยย ลุ้นนนนนนนน

น้องเปรม พี่ทศมาช่วยแล้วว

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

ออฟไลน์ ก๊าบก๊าบ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้นโครตๆๆ พี่ทศช่วยน้องเปรมด้วยยยย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ toonsora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ๊ยย พ่อเปรมของพี่ทศ จะเป็นอะไรมั้ยนี่ :sad4: :m15:

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ขออภัยไปนานค่าาาา พอดีติดธุระ เคลียร์งานก่อนถึงช่วงหยุดยาว วันนี้มาลงให้แล้วนะคะ เดี๋ยวจะแถมให้อีก 1 ตอนด้วย

ไปอ่านกันเลยค่ะ



บทที่ ๑๓



“ท่านพี่ขอรับ”

ชินกฤตยกมือตบบ่าหนาของคนเป็นพี่ชายอย่างแผ่วเบา รู้ซึ้งดี ภายใต้ใบหน้าเงียบขรึม สุดแสนจะเย็นเยียบราวน้ำค้างจากชั้นฟ้านั้นแสนเจ็บปวดเจียนตายเพียงใด แม้ทศกัณฐ์จะเป็นยักษ์ผู้เหี้ยมโหด แสนเกรี้ยวกราดในสายตาคนหมู่มาก ทว่าใครจะรู้ว่าจุดอ่อนที่เลวร้ายที่สุดของเขา ไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่เป็นบุคคลอันเป็นที่รักต่างหาก

ปลายนิ้วใหญ่ลูบกระจกห้องฉุกเฉินที่กั้นขวางพวกเขาสองคนไว้ด้วยหัวใจร้าวระทม ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกคล้ายเจ้าของร่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ทั้งหมดอย่างเต็มกำลัง

“อยากพักสักหน่อยไหม”

“ไม่”

“แต่ท่านพี่นั่งเฝ้าอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงแล้วหนา หากเกิดอันใดขึ้นกับท่านอีก ข้ากับเจ้าอินจักทำเยี่ยงไร” ชินกฤตบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าลืมสิ ท่านพี่เพิ่งเสียพลังไปส่วนหนึ่งเพราะช่วยเหลือเขา ยังไงท่านพี่ก็ต้องพัก”

“ข้ายังสบายดี”

“เหตุใดท่านจึงดื้อดึงเช่นนี้”

“เพราะเปรมยังมิแคล้วจากบ่วงภัย เขาต้องการกำลังใจจากข้า แลข้าก็ใคร่อยู่รอดูเขาฟื้นเช่นกัน” อสุเรนทร์ยิ้มน้อย น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะจากหัวตา ร่วงหล่นกระทบพื้นกระเบื้องสีขาวขุ่นจนแตกกระกายออกเป็นวงกว้าง พยายามกลืนก้อนสะอื้นก้อนใหญ่ลงคอ กำมือตัวเองแน่นอย่างข่มอารมณ์ หากเวลานี้มันช่างยากเหลือเกิน

“ท่านพี่ทศ”

“ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า”

“...”

“ข้าทำให้เปรมต้องมาพบกับ...”

“หยุดพูดจาว่าร้ายตนเองเสียที” คนที่เคยใจเย็นที่สุดในบ้านกลับบันดาลโทสะออกมา ดวงตาเขียวอมทองแวววาบเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหายไป ชินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึกและปล่อยออกยาวเหยียด

“แม้นท่านพี่จักโทษว่าเป็นความผิดตน พ่อเปรมก็หาได้ฟื้นคืนสติไม่”

“...”

“เรื่องนี้มิมีผู้ใดผิด หากแต่มันเป็นผลกรรมที่พ่อเปรมจักต้องผ่านมันไปให้ได้ ข้ารู้ว่ามันยากเกินกว่าท่านจักรับไหว แต่เชื่อข้าเถิด...เขาจักต้องรอด”

“แล้วหากเปรมมิรอดเล่า”

อสุเรนทร์หวนย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในสมัยอดีตกาล ไม่ใช่ชาตินี้ชาติแรกที่เขาได้ผูกรักกับผู้มีจิตวิญญาณอันเต็มเปี่ยมของสีดา ทว่ายังมีชาติอื่นๆที่พญารากษสอย่างเขาต้องประสบพบเจอทั้งความสุข ความโหยหาและการสูญเสียที่เปรียบประดั่งหนามแหลมคมคอยทิ่มแทงใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขายังจำได้แม่นถึงคราวที่ต้องสูญเสียนางอันเป็นที่รักในชาติก่อนๆเพราะเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว

ผิดหวัง ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เหตุใดยามใกล้ประสบผลในสิ่งปรารถนากลับต้องมีบางอย่างขวางกั้น พาลให้พวกเขาทั้งสองจำต้องพลัดพรากลาจากกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หรือนี่...จะเป็นเพราะเดชะบุญที่เคยสร้างร่วมกันมาน้อยเกินไป ถึงมิอาจนำพาความรักของเขาให้อยู่คู่กับคนรักตราบชั่วกัลปาวสาน

คำถามมากมายวกวนเวียนไปมาในหัวสมอง แต่ไม่มีคำถามไหนเลยที่อสุเรนทร์สามารถตอบได้ หัวของเขามันหนักอึ้งและตื้อตึงไปเสียหมด คล้ายมีหินก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งกดทับเอาไว้ จะหยิบจับหรือขว้างทิ้งก็ทำไม่ได้

ช่างน่าเวทนา

“นี่คือบททดสอบของพ่อเปรม หากเขายังอยากกลับมาหาคนในครอบครัวหรือคนรัก เขาจักรีบหาทางกลับมาเอง สิ่งที่ท่านพี่ทำได้ในเพลานี้คือรอ”

“เจ้าเห็นอนาคตของเขาหรือเปล่า”

“ขออภัย มันมืดสนิท ข้ามองมิเห็นสิ่งใดเลย”

“เจ้าจักบอกข้าว่า...”

“หาไม่ขอรับท่านพี่ พ่อเปรมยังมิตาย ที่ข้ามองมิเห็นเขาอาจเป็นเพราะเขาอยู่อีกภพภูมิหนึ่งซึ่งข้าตามไปรู้แจ้งมิสะดวกนัก”

“แล้วนั่นมิได้หมายถึงตายดอกรึ!”

“แค่จิตออกจากร่าง จักตายได้อย่างไร”

“แล้วถ้าจิตหาทางกลับคืนร่างมิได้เล่า”

“ข้าบอกว่ามิเป็นกระไรก็มิเป็นกระไร ท่านอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ได้ฤาไม่” ชินกฤตเสยผมที่ปรกหน้าไปทางด้านหลัง สุดจะทนกับความดื้อรั้นของคนข้างๆ บอกกล่าวอะไร เคยฟังที่ไหน ดื้อแพร่งคิดไปก่อนเสียทุกเรื่องราว “ดวงชะตาของเขาเป็นคนดวงแข็ง ต่อให้ถูกรถชนหนักกว่านี้ ข้าเชื่อเขาต้องกลับมาแน่”

“ข้าเชื่อเช่นเจ้า แต่เราก็ควรมีแผนสำรอง”

“ท่านคงไม่....”

“ใช่ ข้าจะใช่วิธีนั้น

“ไม่...ท่านพี่ทศ เราจักมิใช่มันเด็ดขาด!” ใบหน้าซีดเซียว ผลกระทบการการมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเคร่งขรึม
“ท่านก็รู้มันเสี่ยงต่อชีวิตรากษสอย่างเรา”

“หากมันได้ผล ถึงเสี่ยงข้าก็จะทำ”

“พี่ทศ”

“อย่าห้ามข้าเลยน้องรัก”

“เรายังคิดค้นวิธีอื่นได้ แต่สิ่งนี้โปรดเถิด ให้มันเป็นทางเลือกสุดทายที่พวกเราจักทำ”

ประกายแห่งความเศร้าวูบขึ้นที่ดวงตาของชายหนุ่มใกล้วัยกลางคน เขารู้ กฎ แห่งธรรมชาติ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับเสมอไป ไม่มีใครหนีพ้น แต่เปรมจะเป็นคนแรกที่เขายอมจะแหกกฎทุกคน ละเมิดลิขิตสวรรค์ทุกประการ เพื่อนำพามาซึ่งการคงอยู่ของเจ้าจอมขวัญ

ต่อให้เปรมตกนรก เขาก็ตามกลับขึ้นมา หรือถ้าอยู่บนสวรรค์ เขาก็จะสอยเจ้าตัวให้กลับลงมาอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ดั่งเดิม

“เจ้ารู้ใช่ฤาไม่น้องรัก หากเปรมมิกลับมาภายในเจ็ดราตรี ข้าคงต้องทำมัน

“พ่อทศ!!”

เสียงแหบพร่าติดสั่นดังจากทางด้านหลัง พร้อมกับบรรดาคนในครอบครัวของคนที่เขารักสุดหัวใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว โดยเฉพาะคนเป็นแม่ เห็นจะอาการหนักกว่าใคร จากใบหน้าสวยสุกปลั่งกลับกลายเป็นขาวซีด ขอบตาและจมูกเริ่มแดงช้ำเธอเดินเข้ามาหาเขาแล้วจับแขนแกร่งยึดไว้เป็นที่พึ่ง

“สวัสดีครับ”

“น้องเป็นอย่างไรบ้าง พ้นขีดอันตรายหรือยัง ละ...แล้วหมอเขาว่าอย่างไรบ้าง เปรมไม่ได้เป็นอะไรหนักมากใช่ไหม ตอบแม่สิทศ ตอบแม่!”

“คุณ ใจเย็นๆสิ”

“ตอบแม่ น้องปลอดภัยดีหรือเปล่า”

“คุณดาว”

“ฉันเย็น ฮึกๆไม่ไหวแล้วพี่แอ๊ด”

“ลูกเราต้องไม่เป็นอะไร อย่าร้องไห้สิคุณ” เรียวแขนหนาของผู้เป็นสามีโอบกระชับภรรยาแนบแน่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังอู้อี้อยู่ในอ้อมอกอยู่เนิ่นนาน มันเป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนให้คนอื่นๆเศร้าซึม ร้าวระทมไปตามๆกัน อสุเรนทร์มองหญิงวัยกลางคนแล้วมองเลยไปสบชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วน คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลัง เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตาเสมากับปู่ไม้เอาไม้มาหวด มาเคาะหัวให้แตก เลือดกระเซ็นซ่าน ยังดีเสียกว่ายืนเงียบ ไม่ทำอะไรเลยแม้กระทั่งโหวกเหวกโวยวาย

มันน่ากลัวเกินไป

“ทศ”

“ครับคุณพ่อ” ร่างสูงตอบรับคำชายวัยกลางคน

“ได้พักบ้างหรือยัง สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ”

“พ่อรู้ว่าเราเป็นห่วงเปรมมาก แต่ยังไงก็พักผ่อนสักหน่อยเถอะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน พวกเราคงไม่สบายใจ”

“ครับ ผมเข้าใจ แต่ผมยังไหวอยู่”

ในเมื่อเจ้าตัวบอกเต็มเสียงขนาดนั้น กษิดิษก็ทำได้แค่พยักหน้ารับส่งๆ

“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น พ่อรู้แค่เปรมเขาวิ่งตึงตังออกจากบ้านพร้อมกับกุญแจรถ รู้อีกทีก็ตอนที่...อินใช่ไหม โทรมาบอกว่าเปรมประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัสอยู่ในห้องฉุกเฉิน ถ้าเล่าได้ก็เล่านะทศ”

ชินกฤตบีบไหล่พี่ชายเป็นเชิงให้กำลังใจ

“คือวันนี้ช่วงบ่ายผมโทรไปบอกเปรมว่าจะไม่เข้าไปหาเพราะน้องชายเกิดไม่สบาย ก็เลยจะอยู่ดูอาการสักหน่อยแล้วค่อยไปหาเขาพรุ่งนี้ที่บ้าน” อสุเรนทร์พูดเว้นวรรค สูดหายใจเข้าลึกๆ “เราคุยตกลงกันเรียบร้อย ผมคิดว่าเรื่องทุกอย่างคงจบ
แต่พอผมโทรไปหาเขาอีกครั้ง...เขากลับบอกใกล้ถึงบ้านผมแล้ว ผมพยายามไกล่เกลี่ยบอกให้รีบกลับบ้านไปซะเพราะฝนทำท่าจะตกหนัก มันคงไม่ดีแน่ๆถ้าขับรถต่อไปเรื่อยๆ...”


“...”

“ผมถือสายคุยกับเขาตลอดเวลา และรู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ผมขอโทษ ถ้าผมไปหาเขาเร็วกว่านี้ เปรมก็คง – ทุกอย่างเป็นความผิดของผม ผมขอโทษครับ”

“งั้นแม่ก็ผิดด้วยที่อนุญาตเปรมออกไปหาทศเอง แม่น่าจะห้ามน้องเอาไว้”

“หมายความว่าไงคุณ”

“เปรมเขาน้อยใจที่พี่ทศของเขาไม่ยอมมาหา ฉันก็เลยแนะนำว่าให้ไปหาพ่อทศที่บ้านเสีย เรื่องราวมันจะได้จบๆไป แต่ไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะเลวร้ายแบบนี้ ฉันโทษนะคะพี่แอ๊ด ฉันโทษ”

ทุกคนในที่นี้ต่างตกอยู่ในอาการตรึงเครียด ร่างสูงก้มหน้าคางชิดติดอก น้ำตาเม็ดแรกหลั่งรินและหยดลงบนพื้นเย็นหลายต่อหลายหยด ความทุกข์ที่สะสมเอาไว้นานหลายชั่วโมงเริ่มพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า เขายกมือขึ้นปิดบังหน้าของตัวเองแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อย ฟังดูขมขื่น ระโหยโรยแรงราวกับสัตว์ใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก

ดวงดาวเห็นจึงเกิดเวทนา อ้าแขนรวบตัวชายหนุ่มร่างสูงมากอด พลางลูบแผ่นหลังอันสั่นเทานั้นอย่างปลอบประโลมด้วยหวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“ผมขอโทษ”

“อยากร้องก็ร้องออกมาให้หมดนะลูก ร้องออกมา”

“ผมอยากให้เขากลับมา”

“ทุกคนอยากให้น้องกลับมาทั้งนั้นจ๊ะ”

“ผมขอโทษ ฮึกๆ ผมน่าจะเป็นคนไปหาเปรมที่บ้านเอง”

“มันไม่ใช่ความผิดของเอ็งหรอกพ่อหนุ่ม ทุกชีวิตล้วนมีเวรกรรมติดตัว เราห้ามไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราหรือคนใกล้ตัวของเราเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร...บางทีเผลอๆอาจเกิดตอนเจ้าเปรมอยู่บ้านก็ได้”

“พวกเรารู้ เวลานี้คงใกล้มาถึง เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยนะพ่อทศ พวกยายเข้าใจกันดี”

“แต่ผมปกป้องเปรมไม่ได้”

“ขนาดทศกัณฐ์ ผู้มีอิทธิฤทธิ์มากยังปกป้องนางอันเป็นที่รักจากฝ่ายศัตรูไม่ได้ แล้วเอ็งเป็นใคร เป็นมนุษย์เทเลพอร์ตหรือไงถึงจะสามารถวาบไปช่วยเจ้าเปรมได้ทัน”

“...”

“อย่าโทษตัวเองเลยทศ เฮ้อ...แค่เอ็งช่วยยืดเวลาตายให้หลานข้าอยู่นานขึ้นก็ดีโขแล้ว”

อสุเรนทร์เหลือบดวงตาอันแดงก่ำกลับมามองปู่ไม้และยายนวลที่กำลังส่งยิ้มบางอย่างคนมองโลกในแง่ดี มือที่เคยกำแน่นจนข้อนิ้วขาว ความโมโหและโกรธตนเองค่อยๆแผ่วลง คล้ายไฟที่ลุกโหมกระหน่ำเริ่มถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์แห่งสรวงสวรรค์

“ลูกแม่เขาเป็นคนดี เทวดาต้องคุ้มครอง”



ไม่กี่นาทีต่อมาบานประตูที่ปิดสนิทมานานนับสี่ชั่วโมงก็เลื่อนเปิดออกแช่มช้า ปรากฏชายวัยกลางคนในชุดผ่าตัดสีเขียวเดินออกมาด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาว่าคิดสิ่งใดอยู่ อสุเรนทร์ผละกายออกจากมารดาของคนรักก่อนจะเดินตรงดิ่งไปหาหมอคนนั้นทันที

“คุณหมอครับ เปรมเป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหม”

“ครับ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรน่ากังวลนักแต่หลังจากนี้คงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอวัยวะภายในบางจุดได้รับความเสียหายไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะสมองได้รับความกระทบกระเทือนมากกว่าบริเวณอื่น จำต้องตรวจดูอย่างละเอียดอีกทีว่าจะเกิดปัญหาอื่นตามมาทีหลังหรือเปล่า”

“แล้วลูกดิฉันจะฟื้นเมื่อไหร่คะ” ดวงดาวถามเสียงสั่นเครือ

“ทั้งที่ทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนไข้และความพร้อมของเขาด้วยน่ะครับ หมอเลยไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้”

“คุณเป็นหมอ ทำไมถึงตอบเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ถ้าแฟนผมไม่ฟื้น ผมกับครอบครัวของเขาจะทำยังไง”

“พี่ทศ ใจเย็น” ชินกฤตเอ่ยปราม

“คุณต้องการเท่าไหร่ กี่แสน กี่ล้านบอกผมมา ไม่ว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหนผมยอมทั้งนั้น ขอให้เขารอดกลับมา หมอเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”

“ครับ หมอเข้าใจ และหมอจะพยายามทำให้เต็มที่ที่สุด”

“รักษาคำพูดไว้แล้วกัน”

“ไม่เอาน่าพี่ทศ”

“อย่ามายุ่งกับฉัน”

ร่างสูงหันหน้าหากำแพง ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้าบ่งบอกว่าเขากลัวมากแค่ไหน เสียงร่ำไห้ทุ้มแผ่วของอสุเรนทร์สะท้อนดังก้องไปตามทางเดินแห่งนี้ สะท้อนไปถึงใจคนฟังและคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างรณพักตร์ที่ตามมาสมทบ

ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอยเดิม

“เปรม...ฮึก...เปรมจ๋า เปรมต้องกลับมาหาพี่นะ”

“กลับมา”

“พี่รักเปรมมาก...มากเหลือเกิน”

“ได้โปรด...อย่าทิ้งพี่ไปอีก”



....น้องต้องกลับมาหาพี่




ได้ยินไหม....




ความรู้สึกวูบนั้นคล้ายเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อเปรมลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ทุกสิ่งก็ดูเป็นสีเทาหมองหม่นจนเขาต้องหลับตาอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้นใหม่อีกหน ทุกอย่างพร่ามัวคล้ายมีหมอกหนาทึบปิดกั้นไว้จากทั่วสารทิศ แม้แต่สีที่มองเห็นก็ยังเหมือนกับการมองจอโทรทัศน์สมัยก่อนที่ยังคงเป็นภาพขาวดำไม่มีสีสันสดใส

เขาอยู่ที่ไหน

นั่นคือสิ่งเดียวที่สมองพอจะกลั่นกรองออกมาเป็นประโยคได้ พยายามหาเหตุผลมารองรับสถานการณ์ในตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่จนแล้วจนเล่าก็หาอะไรมาเป็นคำตอบที่ดีที่สุดไม่ได้เลย สิ่งที่ชายหนุ่มคิด มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ

มันเป็นเพียงความฝัน

หรือไม่...


ก็คือโลกหลังแห่งความตาย


ม่านหมอกสีขาวโอบล้อมรอบตัวหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่บดบังทัศนียภาพรอบด้านเท่านั้น ซ้ำยังทำให้ระบบทางเดินหายใจติดขัดเข้าไปอีก และที่น่ากลัวกว่านั้นคือมีเสียงร้องไห้โหยหวนที่แว่วตามสายลมมาเป็นระรอก ดวงตาเรียวสวยสั่นระริก ยกมือปิดหู ม่านน้ำตาบดบังทุกอย่างให้เขาเห็นไม่ถนัด  แต่เท้าก็ยังวิ่ง วิ่ง วิ่งต่อไปอย่างไร้จุดหมายด้วยความหวาดกลัว

พ่อ

แม่

คุณตา คุณยาย

คุณปู่ คุณย่า

พี่ทศ ช่วยผมด้วย...


เปรม...เปรมจ๋า ได้ยินพี่ไหม


ดวงตาเรียวเบิกกว้าง หันมองตามเสียงเรียกแสนคุ้นเคย แต่ไม่ว่าจะหันซ้าย หันขวา หันไปมองด้านหลังหรือชะเง้อมองด้านหน้ากลับไม่ปรากฏร่างของผู้พูดแม้เสี้ยวเดียว น้ำตาเม็ดเล็กไหลพรูลงมาจากดวงตาหมองหม่นไร้ประกาย สองมือยื่นออกไปคลำทางสะเปะสะปะ

“พี่ทศ พี่ทศใช่ไหม ช่วยเปรมด้วย”

เปรม...กลับมา....

“พี่ทศอยู่ไหน เปรมอยู่ตรงนี้”

เปรม....

“พี่ทศ!”

ร่างบางวิ่งล้มลุกคลุกคลานด้วยความหวาดวิตก เขามองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเองที่กำลังกวัดแกว่งตัดผ่านอากาศ ยิ่งเส้นทางห่างไกลจากจุดเริ่มต้นมากเท่าใด หัวใจยิ่งเต้นแรงและเร็วมากกว่าที่คิดเอาไว้

ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างอยู่บ้าง หมอกสีเทาเริ่มจางลงจนมองเห็นทางเดินได้เลือนรางและค่อยๆแจ่มชัดขึ้น ตอนนี้รอบกายของเปรมคือทุ่งหญ้ากว้างสีน้ำตาลเทา ดูแห้งแล้งและเวิ้งว้าง แม้ดูไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังนับว่าน่ากลัวอยู่ดี

น้ำตาที่เคยเอ่อล้นอาบแก้มนวลค่อยเหือดหายไปอย่างช้าๆ รอบกายไม่พบสิ่งมีชีวิตสิ่งใดปรากฏอยู่เลย มีเพียงทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาตัดกับขอบฟ้าสีทะมึน ถ้านี่คือฝัน มันต้องเป็นฝันที่ว้าเหว่และอยากตื่นมากที่สุด 

แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ....

“ไม่ มันเป็นแค่ฝัน ฉันยังไม่ตาย ต้องยังไม่ตายสิ” เปรมรำเพยรำพันกับตัวเองไม่ดังไม่เบาจนเกินไป เดินลัดเลาะผ่านทุ่งหญ้าเหี่ยวเฉานานนับนาที

ความหวาดกลัววูบเข้าจับใจ เหมือนเด็กที่หลงทางแล้วหาทางกลับบ้านไม่เจอ นั่นแหละ คือสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ หากเป็นไปได้ ร่างบางต้องการออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด อยากกลับไปหาคนในครอบครัว หาคนที่รอคอยเขาอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่ง
มันต้องมีทางออกสักทางสิ

“ใยสีหน้าดูทุกข์ระทมนักออเจ้า”

ร่างกายสะดุ้งโหยง เท้าทั้งสองข้างชะงักฉับพลันขณะได้ยินเสียงทักจากใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างบางพยายามหรี่ตาเพ่งมองไปยังจุดต้นกำเนิดของเสียง แม้จะเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำมืด แต่ก็พอรู้คนพูดคือผู้หญิง และน่าจะสวยมากทีเทียว

“คุณเป็นใครครับ”

“เป็นคนที่ผ่านมาเจอออเจ้าพอดี”

“อ่าครับ” ยอมรับเลยล่ะว่าตอนนี้ค่อนข้างกลัวเล็กน้อย สืบเนื่องจากภาษาการพูดคุยของบุคคลเบื้องหน้า ไม่ต้องวิเคราะห์หาหลักฐานมาพิสูจน์ก็รู้ว่าเป็นคนโบราณ อาจจะยุคสุโขทัย อยุธยา หรือไม่ก็เก่าแก่กว่านั้น

“ออเจ้ากลัวข้าฤา”

“ป...เปล่าครับ”

“มิต้องกลัวไปดอก ข้ามิทำร้ายผู้ใด โดยเฉพาะออเจ้า ข้าใคร่ปกป้องมากกว่าทำร้าย

ก้านนิ้วเรียวบางยกขึ้นลูบกลุ่มไหมนุ่มเชื่องช้า อ่อนโยน เพื่อเป็นการบอกนัยๆว่าเจ้าตัวไม่จำเป็นต้องกลัวเธอแม้แต่น้อย และน่าแปลกที่เขากลับรู้สึกไว้วางใจผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด

“เชื่อข้าเถิดพ่อเปรม ข้านั้นแสนจริงใจต่อออเจ้ากว่าผู้ใด”

“คุณรู้ชื่อผม?”

“ใช่ ข้ารู้ แลตระหนักดีว่าเหตุใดเจ้าต้องมาพบชะตากรรมเช่นนี้”

“...”

“มากับข้าเถิดออเจ้า”

 มือเรียวบางยื่นมาหยุดตรงหน้าเขา เปรมมองอย่างชั่งใจนัก ฝั่งหนึ่งบอกให้ยื่นไปจับเลย ไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆ ส่วนอีกฝั่งก็เอ่ยห้าม กลัวเป็นกลลวงของผีสางที่จะพาเขาไปตายมากกว่ารอดชีวิต

 “คุณคือใครกันครับ พอจะบอกผมก่อนได้ไหม”

“หากออเจ้ามากับข้า ข้าจักบอกทุกสิ่งอย่างที่ออเจ้าใคร่รู้”

เปรมเม้มปาก ไม่แน่ใจนัก

“หากปรารถนาจักกลับไปปะหน้าคนรักแลครอบครัวแล้ว ออเจ้าต้องมากับข้าหนา”

“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง”

เธอหัวเราะในลำคอแผ่ว ก่อนใช้มือข้างหนึ่งลูบพวงแก้มของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน “เพราะออเจ้าคือคนคนเดียวในเพลานี้ที่จักแก้ไขความผิดพลาดต่างๆในอดีตกาลได้”

“แก้ไข?”

“มาเถิด ยังมีสิ่งมากมายรอให้ออเจ้าค้นหาอยู่”






ต่อด้านล่างจ้าา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2016 17:59:19 โดย Lalita »

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ต่อจ้า



อสุเรนทร์นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง...


ก้านนิ้วหนาลูบไล้เรือนผมและดวงหน้าหวานของคนป่วยในห้องพักพิเศษด้วยหัวใจร้าวระทม สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า สิ่งที่เขากำลังเห็นคือเปรม คนที่เขารักสุดหัวใจกำลังนอนหลับใหล ไม่ได้สติอยู่บนเตียงสีขาวสีไม่ต่างไปจากผิวกายไร้สีเลือดของร่างผอมบาง ใบหน้างามงดครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์มากมายระโยงระยางเต็มรอบกายจนน่าหวาดหวั่นเหลือคณานับต่อสายตาของผู้พบเห็น เสียงคลื่นหัวใจดังเป็นระยะๆ หนักบ้าง เบาบ้างตามอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติไปจากเดิมหากเลือกได้ เขาขอเป็นคนนอนตรงนั้นแทนน้องน้อยยังดีเสียกว่า

เจ็บ เจ็บเหลือเกิน

อสุเรนทร์ยิ้มให้กับตัวเอง จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากหอม ไล่มาที่เปลือกตา จมูก พวงแก้ม และสุดท้ายริมฝีปากนุ่มของคนที่นอนหลับสนิทอย่างทะนุถนอม ถ่ายทอดความอ่อนโยนด้วยใจที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด

เขาโกรธ โกรธตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเปรมให้ดีกว่านี้ ความรู้สึกผิดตีตราอยู่ในหัวใจ เสมือนบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาให้หายขาด แม้นรอยจะจางลง หากทว่าไม่มีลบเลือนหาย จะอยู่เป็นรากฝังลึก เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนใจว่าอย่าให้เกิดเรื่องพรรณนี้ขึ้นอีก

“สองวันแล้วนะเปรม สองวันแล้วที่น้องไม่ตื่นมา ต้องให้พี่รอไปถึงเมื่อไหร่หืม..”

“...”

“วันนี้พี่ยอมโดดงานจากบริษัทเพื่อมานั่งเฝ้าน้องโดยเฉพาะ ลุกขึ้นมาด่าพี่ก็ได้นะ พี่ยอมถูกเปรมด่าเช้า กลางวันเย็น หรือจะด่าเลยไปถึงช่วงเช้าอีกวันก็ได้”

“...”

“ไม่รู้น้องจะได้ยินพี่หรือเปล่า แต่พี่คิดถึงน้องนะ คิดถึงแทบขาดใจ...ต้องให้พี่บุกเข้าไปบนสรวงสวรรค์หรือนรกก่อนใช่ไหม น้องถึงจะกลับมาน่ะ รู้หรือเปล่าคนรอตรงนี้มันเริ่มทนไม่ไหวแล้ว”

“...”

“เปรมจ๋า...ช่วยตื่นขึ้นมาตอบพี่ทีเถอะ ได้โปรด....”


/ เฮ้ย ห้ามเข้า ยังไงก็ห้ามเข้า ไม่ได้! ถอยออกไปเลยนะ! /
/ ถอย ฉันจะเข้าไปในนั้น /
/ ไอ้บ้า กลับไปกรุงอโยยาซะ น่ารำคาญเป็นบ้า โฮลี่ชิท! /

อสุเรนทร์เหลือบมองบานประตูที่เลื่อนเปิดออก ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับเขาถลาเข้ามา พร้อมสวนหมัดใส่ใบหน้าคมเต็มแรงจนได้กลิ่นคาวเลือดที่มุมปาก

“เป็นการทักทายที่ดีนะ”

“แกทำอะไรเปรม!”

ราเมนทร์ระชากคอเสื้ออสุเรนทร์แล้วผลักไปชนผนังห้องพักคนป่วยอย่างจัง! สีหน้าเกรี้ยวกราดที่เห็นไม่บ่อยนัก ปรากฏขึ้นเต็มตา

“ฉันถามว่าแกทำอะไรเปรม ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้”

“เจ้าต้องการคำตอบเช่นไรเล่า ประเดี๋ยวข้าจักตอบให้”

“เรื่องราวทั้งหมดมันต้องเป็นเพราะแกแน่ทศกัณฐ์ ฉันรู้และแกก็รู้อยู่เต็มอกนี่ว่าเมื่อไหร่ที่สีดาเลือกแก มักมีอุปสรรคเข้ามาขวางกั้นตลอด ถ้าหล่อนไม่ได้ป่วยตายก็พิกลพิการเสียสติ”

“ราเมนทร์”

“เพราะความรักของแก เลยทำให้พวกหล่อนต้องตาย”

“...”

“และเปรมก็กำลังจะเป็นอีกรายที่ชีวิตต้องจบสิ้นเพียงเพราะยักษ์เสนียดจัญไรอย่างแก!” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังก้องพร้อมกับมือที่ออกแรงกำคอเสื้อแน่นขึ้น

“มันจะมากไปแล้วนะ!” ร่างเล็กชี้หน้าโวยวาย เตรียมถลาเข้าใส่อย่างหาเรื่องเต็มที่ หากทว่าอสุเรนทร์กลับยกมือห้ามไว้ก่อน

“เจ้าอิน พ่อจัดการเอง”

“แต่พระบิดา”

“ฟังพ่อ”

ร่างเล็กขบกรามและกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้นเป็นแนวอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่สวยจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งไม่แม้แต่กะพริบตา ก่อนพรูลมหายใจก้าวถอยออกมายืนติดเตียงคนไข้แบบอารมณ์ขึ้นสุดๆ ถ้าพระบิดาไม่ห้ามนะ กระโดดถีบยอดหน้าไอ้ชั่วนี่ไปแล้ว

“ฉันขอเตือน อยู่ให้ห่างจากเปรมซะ”

“...หึ”

“แกมันตัวซวย เพราะฉะนั้นอยู่ให้ห่างจากเขาซะ”

“ให้ห่างฤา” ร่างสูงเอียงคอยกยิ้มเยาะขณะส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปให้อีกคนราวเห็นเรื่องตรงหน้าเป็นเรื่องตลกซะเต็มประดา “ข้าควรเป็นคนพูดประโยคนี้เสียมากกว่าเป็นเจ้ากระมังราเมนทร์”

“แกว่าไงนะ”

“เจ้าน่ะ...เป็นแค่คนนอก มีสิทธิ์อันใดจักมาพรากผัวพรากเมียผู้อื่นเขา

“!!”

“เฮ้อ ข้ามิใคร่สนใจดอกราเมนทร์ ว่าเจ้าจักมาพูดตอกย้ำถึงสิ่งผิดพลาดในอดีตเพื่อกระไร หรือพยายามใช้กลโกง หลอกล่อให้ข้าหลงกลอย่าที่เจ้าเคยทำกับข้าแลหม่อมเจ้าอิงอร แต่ขอให้รู้ไว้...เปรมคือเมียข้า คนรักของข้า หากเจ้าปรารถนาในตัวเขา อยากเคียงกายเขาเสมือนครั้นอดีตก็ต้องผ่านศพข้าไปเสียก่อน...เจ้าก็รู้ข้านั้นรักแลหวงของของตนยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก โดยเฉพาะสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเมีย ต่อให้ข้ามิใช่ทศกัณฐ์คนเก่า ผู้ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์สั่งฟ้าสั่งฝน เหาะเหินเดินอากาศมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ข้าก็สามารถปลิดชีวิตอมตะเจ้าทิ้งอย่างง่ายดายด้วยยี่สิบกรแลสองตีน

“ทศกัณฐ์”

 “ข้าถือคติดีมาดีตอบ ร้ายมาก็ร้ายตอบ ฉะนั้นอย่าคิดร้ายกับข้าก็แล้วกัน”

แสงอาทิตย์จากด้านนอกสาดกระทบนัยน์ตาของอสุเรนทร์ บาง สะท้อนให้เห็นประกายสีเขียวเจิดจ้าพลุ่งโพล่งอยู่ภายใน
ราเมนทร์ยืนแข็งทื่อ รับรู้ได้ถึงแรงกดดันเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะจิต เหมือนโดนบีบแล้วอัดทับด้วยอากาศที่มองไม่เห็น ทศกัณฐ์ก็ยังเป็นทศกัณฐ์ เหี้ยมโหด ดุร้าย ป่าเถื่อน แต่ทำไม...ทำไมคนดีๆอย่างเปรมถึงเลือกมันแทนที่จะเป็นเขา เขาต่างจากมันตรงไหนทั้งที่ดีแสนดีทุกอย่าง

“ครั้งนี้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มิว่าเจ้าจักพูดจากกลอกกลิ้ง พลิกลิ้นเป็นพัลวัน ข้าก็จักมิยอมปล่อยเปรมให้หลุดมืออีกเด็ดขาด”

“ในเมื่อเปรมยังไม่ได้บอกรักแก ฉันก็ยังมีสิทธิ์ชิงคืน”

“สำหรับข้าคำพูดเป็นเพียงแค่ลมปาก การกระทำต่างหากที่พิสูจน์ค่าความรู้สึกของคน ข้ากินนอนกับเมียข้าเกือบทุกวันย่อมรู้ใจเมียข้าดีว่าเขารักข้ามากเท่าใด”

“ไอ้ทศกัณฐ์”

“เฮ้ โปรดให้เกียรติชื่อดั้งเดิมข้าหน่อย นี่ข้ามิเคยเรียกเจ้าว่าไอ้พระรามสี่บะหมี่เกี้ยว หรือพ่อพระเอกลิเกท้ายสวนมะพร้าวสักครั้งเลยหนา มีมารยาทหน่อยสิเจ้า”

พ....พระรามสี่บะหมี่เกี้ยว?

พ่อพระเอกลิเกท้ายสวนมะพร้าว?


ไอ้บ้านี่!!!

“ฉันจะฆ่าแกไอ้เวรตะไล”

“ก็เอาสิ ถ้าพระรามบุรุษผู้ทรงเสน่ห์ เปี่ยมด้วยจิตใจโอบอ้อมอารี มีความยุติธรรมต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกหล้าอยากทำ ข้าจักห้ามอันใดได้”

อสุเรนทร์กระตุกยิ้มเหยียดที่มุมปากเล็กน้อย ชวนเรียกบรรดาโทสะให้ปรากฏออกมาจากกายบุรุษรูปงามเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี ราเมนทร์แทบจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยซ้ำแต่ถูกน้องชายร่างผอมบางคว้าเอาไว้เสียก่อน  ลมหายใจร้อนระอุ ความโกรธแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ จนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนพร้อมแววตาที่วาวโรจน์เต็มไปด้วยไฟแค้น จับจ้องใบหน้ายียวนอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้ลักษณ์” ราเมนทร์เค้นเสียงแหบพร่าลอดไรฟัน

“วันนี้ เรามาเยี่ยมเปรม เราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับอสุเรนทร์นะครับ”

“น้องเข้าข้างมันเรอะ”

“ผมเป็นน้องพี่ ผมจะเข้าข้างฝ่ายศัตรูได้ไง แต่ผมขอเถอะนะอย่ามีเรื่องกันได้ไหม”

“ลักษณ์”

ศุภลักษณ์คิดมันถึงเวลาแล้วที่เผ่าพงศ์ยักษ์และมนุษย์ควรยุติความโกรธแค้นไม่มีที่สิ้นสุดนี่เสียที เขารักพี่ชาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พี่มีความสุข สมหวังทุกสิ่ง ทำแม้กระทั่งในสิ่งที่ไม่สมควรและผิดต่อความรู้สึกตัวเอง

สงครามเย็นมันเนิ่นนาน...เนิ่นนานเกินไปจนเขามองไม่ออกว่าปลายทางของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลจะจบลงตอนไหน อีกห้าปี สิบปี ร้อยปี หรือมากกว่านั้น

เขาเบื่อชีวิตซ้ำซากนี่เต็มทน

“เราควรยุติ...”

“ไม่”

“พี่ราม”

“ไม่! พี่ไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆแน่ และถ้าวันนี้ไม่ได้เลือดบนหัวมันมาล้างเท้า พี่จะไม่กลับเด็ดขาด” สิ้นเสียงเหี้ยมดุจสายฟ้าฟาด ราเมนทร์ก็ผลักร่างของน้องชายตัวเองออกไปไกล เตรียมพุ่งตัวเข้าประชิดอสุเรนทร์ที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก หมายใช้กริชบั่นคอของมันให้ขาดสะบั้นภายในครั้งเดียว หากทว่า! กลับมีตัวมารตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาขวางทางพร้อมดวงตาสีแดงก่ำ

“อย่า-ได้-คิด-แตะ-ต้อง-พระ-บิ-ดา-ข้า!!” น้ำเสียงทรงอำนาจราวกับสายอสนีบาตฟาดสู่พื้นพิภพ

เขี้ยวสีขาวมุกยาวโผล่พ้นมุมปากทั้งสองข้าง นัยน์เนตรลุกโชนด้วยเปลวเพลิง จับจ้องศัตรูราวสัตว์ป่าผู้หิวโหย เอาสิ ใครหน้าที่คิดลองดี ใคร่เอาชีวิตของพระบิดาทศกัณฐ์ผู้นี้ ก็จงเข้ามาเสีย เขาจะจัดการให้เรียบ

“จัดการพวกมันซะกบินทร์”

พญาวานรเผือกรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย กระโดดมายื่นด้านหน้าพร้อมย่อตัวพร้อมรับสถานการณ์ ยื่นหางสียาวพุ่งตวัดรัดร่างรณพักตร์ให้แหลกเป็นจุล ทว่าอีกคนกลับหลบได้ทันเฉียดฉิว หมุนกายฟาดศรนาคบาศเข้าเต็มแผ่นหลังมันเต็มแรง กบินทร์ส่งเสียงคำรามในลำคอ วูบกายไหวมาประดั่งสายวาโยกราดเกรี้ยว ชักตรีเพชรโรมรันหมายจ้วงแทงศัตรูคูอาฆาตให้สิ้นใจ แต่อสุเรนทร์กลับรู้ทัน ยกมือปัดการโจมตีนั้นออก ก่อนใช้เท้าถีบเข้าเต็มท้องแกร่งจนร่างของมันกระเด็นไปกระแทกผนังห้องอย่างแรง
บังเกิดกลายเป็นความเงียบงันไม่มีเสียงใดลอดผ่านริมฝีปากหยัก เสมองไปทางพญาวานรเผือกที่กุมท้องผุดลุกขึ้นเดินซวนเซมาอยู่ด้านหลัง

อีกแล้ว เสียท่าให้พวกมันอีกแล้ว

“ขออภัยขอรับท่านราม”

ว่ากันว่ายามทศกัณฐ์กราดเกรี้ยวมันช่างน่ากลัวกว่าอะไรๆเป็นร้อยเท่า

และริมฝีปากที่เม้มแน่นสนิทก็ค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็น ราเมนทร์เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


แต่คงไม่มีใครเคยคิดสินะ ว่าด้านมืดของพระรามก็น่ากลัวมิแพ้กัน



สิ่งอันน่ามหัศจรรย์บังเกิดอยู่ตรงหน้าของเปรม ผืนดินที่เคยโอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีน้ำตาลเทา สุดแสนจะแห้งแล้ง ได้แปรเปลี่ยนผิดแผกแตกต่างราวฟ้ากับดิน

“นี่ผมฝันไปหรือเปล่า”

คนร่างบางยืนแข็งข้างตรงจุดเดิมเนิ่นนานกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็น เขา แน่ใจ ว่ามันต้องไม่ใช่โลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันแน่นอน ผืนฟ้าสว่างเรืองโรจน์ด้วยแสงแห่งสุริยะเทพสาดส่องสู่เบื้องล่าง

จากแผ่นดินที่ปูลาดด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี และไกลตาออกไปคือภูเขาและธารน้ำใส ปลายแหวกว่ายอยู่ไหว ไหว สวยงามตระการตา เปรมแหงนมองท้องฟ้า สูดดมกลิ่นหอมจากเนื้อดิน กลิ่นหญ้า เกสรจากดอกไม้ทั่วสารทิศ เสียงดนตรีบรรเลงดังคลอไปกับสายลมที่พัดผ่านอย่างไพเราะเพราะพริ้ง

เมื่อครู่กับตอนนี้แตกต่างกันหลายขุมทีเดียว

“ที่ไหนกัน?” เจ้าตัวงุนงงสงสัย หากความงามของธรรมชาติดึงดูดให้คนร่างบางค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เดินไปบนเส้นทางเล็ก ปูลาดด้วยแผ่นหินสีขาวเหลือบมุก สองข้างคือแนวไม้ประดับงามละลานตา

เสียงสายน้ำโรยตัวลงสู่ที่ต่ำดังแว่วเข้ากระทบโสต ชายหนุ่มหันมองเส้นทางเล็กๆอีกสายที่แยกออกไปทางซ้ายมือเบื้องหน้าที่มีโขดหินกั้นเป็นแนวคล้ายปราการธรรมชาติ

“ออเจ้า จงเร่งฝีเท้าตามข้าเถิด เราใกล้จักถึงแล้ว”

เปรมเดินตามคุณผู้หญิงในชุดเครื่องทรงใหญ่โบราณ สไบปัดดิ้นทองและเงินเกือบทั้งหมด ยังไม่รวมถึงกำไลข้อมือและข้อเท้า สร้อยสังวาลล้วนประกอบจากทองคำแท้ทั้งหมด พวกมันต่างส่งเสียงกรุ้งกริ้ง ล้อกับเสียงนกกระจิบที่ดังแว่วมาเป็นระยะ เขาไม่รู้แต่ก่อนเธอเป็นลูกเจ้าองค์ไหน สืบเชื้อสายจากตระกูลใด หากความงดงามที่แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ก็บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดาทีเดียว

รู้สึกอยากเห็นหน้าเร็วๆจังเลย

และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่กลิ่นหอมอ่อนประดั่งบุปผาสวรรค์ ท่วงท่าการเดินและการพูดจา มันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเจอเธอมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

“เราจะไปไหนกันครับ”

“ที่พักของข้า”

“คุณมีที่พักด้วยเหรอ” เปรมถามอย่างตื่นเต้น

“ข้ามิใช่ผีเร่ร่อนมิมีที่อยู่หลักแหล่งดอกหนาออเจ้า”

“แล้วคุรอยู่กับใคร คนเดียวหรือเปล่าครับ”

“เปล่า ข้าอยู่กับลูกข้าสองคน”

“งั้นคุณก็คงไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่”

“แม้นมิเคยเหงา หากใจข้ากลับเศร้าทุกข์ระทมแทบตลอดเพลา” คล้ายหญิงสาวเบื้องหน้าจะลอบทอดถอนหายใจลึก ก่อนบ่นพึมพำ “มันน่าอดสูกว่า”

เปรมก้มหลบกิ่งไม้ที่เอนตกลงมาบดบังทาง ก้าวเท้าเดินลัดเลาะหินน้อยใหญ่ เหลียวมองดูธรรมชาติรอบๆตัวด้วยความเบิกบานใจ เจ้าตัวคงลืมไปเสียแล้วกระมังว่าอยู่แห่งหนใด

“เอ่อ แล้วลูกคุณชื่ออะไรกันบ้างเหรอครับ”

“พระสุริยากับจันทราน่ะ”

“คงน่ารักน่าดูนะครับ”

“ใช่ ทั้งสององค์ต่างน่าเอ็นดูมากเทียว หากออเจ้าเห็น ออเจ้าคงรักใครพวกเขามิต่างจากข้าดอกหนา”

“เอ่อ...แล้วคุณพอจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณเป็นใคร อย่างน้อยถ้าผมกลับไปหาคนในครอบครัวไม่ได้....”

“มิต้องกังวลดอก ออเจ้าจักได้กลับไปยังที่ที่เจ้าจากมา ขอแค่รอเวลาอีกประเดี๋ยวเท่านั้น” เธอเว้นวรรคหายใจชั่วครู่หนึ่งและพูดต่อ “เหตุใดออเจ้าจึงอยากรู้ตัวตนของข้านัก”

“ผมเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อน ไม่สิ...ผมไม่เคยเจอคุณด้วยซ้ำ มันแค่ความรู้สึกคุ้นๆน่ะ”

“อย่างนั้นดอกรึ”

เมื่อเดินผ่านทุ่งดอกไม้ ฝีเท้าเธอก็หยุดลง ความเงียบกรายเข้ามาเยือนเนิ่นนาน ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ แม้แต่เสียงกรีดปีกร่ำร้องของเหล่าแมลงตัวน้อย...

...ทั่วพนาสงัดสงบ...ประหนึ่งโลกทั้งใบหยุดนิ่ง

“เจ้ามิประหลาดใจหน่อยฤา เพราะกระไรนั้นเจ้าแลข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยผูกพันทั้งที่มิเคยปะหน้าหรือกล่าววาจาต่อกันมาก่อน”

“เอ่อ...ไม่รู้ครับ”

เพราะเราคือคนเดียวกันอย่างไรเล่า

คนเดียวกัน?

หมายความว่ายังไง

“ข้าคือออเจ้าในอดีต ส่วนออเจ้าคือข้าในภพปัจจุบัน”

ไม่เข้าใจ

“ผมไม่...” ริมฝีปากขยับ ขณะโลกคล้ายหมุนทวนกลับ สติลอยควะคว้าง ก่อนโรยตัวลงสู่ที่ต่ำประดุจขนนกร่วงหล่นจากเบื้องสูง
เสี้ยวหน้าหนึ่งค่อยๆหันกลับมาทางที่เขายืนอยู่ด้านหลัง หยดน้ำตาไหลรินจากดวงเนตรคู่สวย ร่วงกระทบผืนดินแตกกระเซ็นซ่านและหายวับไป


เส้นแสงสุริยากรสาดกระทบดวงหน้าขาวผ่อง เปรมถึงกับเบิกตาอย่างตื่นตะลึงเมื่อเธอหันกลับมาสบเขาเต็มตา หากบนโลกนี้เกิดสิ่งมหัศจรรย์มากมาย นี่ก็คงเป็นอีกอย่างที่ทั้งน่าประหลาดใจและตกใจในคราวเดียวกัน

วงหน้าผุดผาดงดงามไปทุกสัดส่วน คิ้วเรียวเข้มรับกับดวงตาเรียวทว่าไม่เล็ก ขนตางอนยาวเป็นแพยิ่งเสริมให้ดวงตาดูหวานล้ำลึกน่าค้นหากว่าเดิม จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากอิ่มตึงดูเย้ายวนสีแดงสดฉ่ำวาว

นี่....มัน

เป็นไปไม่ได้

เปรมรู้สึกเหมือนหัวใจตกหล่นสู่หุบเหวลึกล้ำ คล้ายไม่หลงเหลือสิ่งใดๆอยู่ในความคิดอีกเลย นอกเสียจากสตรีแน่งน้อยตรงหน้าประการเดียว

หยาดน้ำใสเอ่อล้นขอบตานวลนาง ทั้งสุขใจที่กงล้อแห่งโชคชะตาได้นำพาเขามาที่นี่ และทุกข์ใจที่ตนคือต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องราวอันยืดยาวมานานนับพันปี!



“ดีใจที่เจอ...จิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งแห่งข้า





หูยยยยย ตื่นเต้นนนนน นางสีดาภพเก่ากับภพใหม่ได้เจอกันแล้ว ฮืออออ :z3: :z3:
เป็นยังไงกันบ้างคะ มีความคิดเห็นกันยังไง สามารถคอมเม้นพูดคุยกันได้เลยน้าาา
เดี๋ยวเราขอแว็บไปประเดี๋ยวแล้วจะกลับมาต่ออีกตอนให้น้าาาา


ออฟไลน์ ก๊าบก๊าบ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ jjasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ลุ้นๆ น้องเปรมตื่นเร็วๆนะ สงสารพี่ทศ


ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๑๔


บนโลกนี้มีอะไรให้น่าแปลกใจเสมอ


คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือต้นตระกูล ไม่แม้กระทั่งอยู่ภพภูมิเดียวกัน ทำไม...ทำไมถึงได้มีใบหน้า ลักษณะคลับคล้ายคลับคลากันเช่นนี้ ทุกอย่างเหมือนกันไปเสียหมด จมูก คิ้ว ปาก ดวงตา แล้วไหนจะ...รอยปานกุหลาบสีแดงหลังใบหูด้านขวาที่เหมือนกันมิมีผิดเพี้ยน

ราวกับฝาแฝด!!

เห็นจะมีแต่เพศกระมังที่มีความต่างกัน

ความเขียวชอุ่มและความร่มรื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่ มีเพียงเส้นแสงพระอาทิตย์เส้นเล็กที่สาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง เสียงนกร้องขับขานต่อกันจนเป็นท่วงทำนองที่ฟังแล้วแผลกหูกว่าที่เคยได้ยินมา กลิ่นอายแห่งธรรมชาติของป่าพงไพรลอยคละคลุ้งตามติดชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาสาวเท้าเดินหน้า แต่นั่น....ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เปรมกำลังสับสน มึนงง ไม่เข้าใจกับคำพูดก่อนหน้าของหญิงสาวนิรนามตรงหน้าสักเท่าไหร่ เขากับเธอมีความเกี่ยวข้องกันมากแค่ไหน เธอเป็นใคร และที่เธอบอกเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เธอต้องการบอกอะไรกับเขากันแน่

นัยน์ตาหวานหรี่ลง ก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้นอย่างเชื่องช้าจนจบประโยค ...

“คุณพูดจิตวิญญาณ...อย่างนั้นเหรอครับ”

“ออเจ้าได้ยินมิผิดดอก”

“ยังไง ทำไม ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด”

“ใจเย็นเถิด ข้าจักตอบคำถามออเจ้าทุกข้อ แต่ออเจ้าต้องรับปากข้าว่าจักเงียบแลเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนระทวยคล้ายคนใกล้หมดแรง

“คุณอยากให้ผมช่วยอะไร”

“ข้าปรารถนาให้ออเจ้าช่วยแก้ไข”

“แก้ไขอะไรครับ”

“เรื่อง...”

หมับ

หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยจบ แรงจับหนักที่ข้อมือก็ทำเอาร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด รีบหมุนตัวหันกลับมามองทางด้านหลังอย่างระวาดระวังภัย...คล้ายหัวใจจะหยุดเต้นชั่ววูบ ดวงตาที่เบิกกว้างยิ่งกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อมองเห็นเด็กชายตัวน้อยนุ่งห่มอาภรณ์แปลกตา เปลือยท่อนบนโชว์ผิวกายเนียนละเอียดสีเขียวดั่งเม็ดมรกตน้ำงาม เรือนผมสีดำสนิทร่วมขึ้นสูงซ่อนอยู่ใต้รัดเกล้าสีทองประดับอัญมณีแพรวพราว ท่อนล่างอยู่ในเครื่องนุ่งห่มแบบจีบโจงหน้า ยืนทำตากลมใส่เขาปริบๆ
คุ้นตาจังเลย

เด็กคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันนะ หรือจะเป็น...

“แม่จ๋า”

แม่....เหรอ?

“แม่จ๋า”

“หนูทักผิดคนแล้วครับ พี่ไม่ใช่แม่หนูนะ” เปรมเอ่ยปัด

“ข้าจำได้ แม่จ๋าคือแม่ของข้า”

“เอ่อ...”

“แม่จ๋ามิรักสุริยาแล้วฤา” น้ำตาที่ไหลนองอาบแก้มกลมกลึงของเด็กน้อย เปรมอดไม่ได้ที่จะช้อนตัวร่างป้อมๆขึ้นอุ้มแล้วปาดคราบน้ำตาออกให้ด้วยความอ่อนโยน สองแขนเล็กตวัดรัดรอบคอเขาเสียแน่น พร้อมเอาหัวมาซบที่ไหล่อย่างออดอ้อน ความอุ่นและเปียกชื้นบริเวณหัวไหล่ทำเอาคนที่อยากปฏิเสธว่าไม่ใช่แม่ต้องกลืนคำที่จะพูดจนหมดสิ้น โยกตัวเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนอย่างปลอบประโลม

“แม่จ๋า” เสียงสะอึกสะอื้นปานจะขาดใจที่ดังกึกก้องในโสตประสาตคล้ายจะบีบรัดหัวใจของเปรมให้เจ็บปวดไม่ต่างกัน ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก เปรมอยากร้องไห้ ร้องให้ขาดใจเสีย แต่ไม่ใช่ร้องเพราะโศกเศร้าเสียใจ แต่ทว่าเป็นเพราะความสุขที่เอ่อล้นจิต คล้ายมีบางอย่างเชื่อมถึงเขาและร่างป้อม รับรู้ได้ถึงความรัก ห่วงใย โหยหา...

สายสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

ยากจะปฏิเสธว่าคุ้นเคยกับเด็กคนนี้ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลายี่สิบสองปีที่เปรมเกิดมาไม่เคยเจอกันสักครั้งเดียว
เปรมเหลือบมองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจนัก

“เขารู้จักผมหรือครับ”

“ข้าบอกแล้ว ออเจ้าแลข้าคือหนึ่งเดียวกัน หากข้าคือแม่ ออเจ้าก็คือแม่ พระสุริยาจักมิรู้จักมักคุ้นออเจ้าได้เยี่ยงไร สายสัมพันธ์ครอบครัว ต่อให้มิได้พบพาน มิเคยเจอ เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณที่หลุดพ้น ก็ยังจำกันได้”

ไม่ว่าจะฟังประโยคกำกวมเช่นนี้สักร้อยสักพันหน เปรมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“เพลานี้เจ้าอาจมิเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกกล่าว แต่อีกมินาน เจ้าจักเข้าใจมันถ่องแท้”

“งั้นคุณก็เล่าให้ผมฟังสักทีสิครับ มัวแต่พูดอ้อมค้อมอย่างนี้ ไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจถึงคำพูดของคุณหรอก”

“ข้าบอกเจ้าแน่ มิต้องห่วงไป”

เปรมถอนหายใจหนักหน่วง “แล้วเมื่อไหร่ครับ”

ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ยอมตอบง่ายๆ หญิงสาวยิ้มหวานให้กับเขาก่อนเหลือบมองเจ้าร่างป้อมที่ใช้แขนขากอดคอ เกาะเกี่ยวเอวเขาราวกับลูกลิงติดแม่ก็มิปาน

“พระสุริยา กอดพี่เขาเช่นนั้นพี่เขาจักหายใจไม่ออกหนา”

เมื่อเด็กน้อยได้ยินเสียงคุ้นหู ถึงกับดีดตัวผึ่งชะโงกหน้ามองหญิงงามที่ปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างรวดเร็ว เด็กชายเอียงคอ เลิกคิ้วขมวดครุ่นคิด มองหน้าเปรมและเธอสลับกันไปยกใหญ่

“เหตุใดข้ามีแม่จ๋าสองคน”

“พี่ไม่ใช่แม่จ๋าของเรานะครับเด็กน้อย แม่จ๋าของเราคนนู้น”

“มามะ มาให้แม่อุ้มเจ้าเสียดีกว่า”

“ไม่เอา ข้าจักอยู่กับแม่จ๋าคนนี้ ข้าเหนื่อย ข้าง่วงแล้ว” ประโยคบอกเล่าปากจิ้มลิ้มเล่นเอาร่างบางงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคืออยากอยู่กับแม่จ๋าอีกคน แล้วเอียงหัวซบไหล่เขาไม่ยอมปล่อย

“เห็นทีข้าคงต้องวานให้ออเจ้าช่วยอุ้มพระสุริยาแทนข้าเสียแล้วกระมัง”


ดวงแก้วแห่งทิวาวารเคลื่อนคล้อย แสงกล้าเริ่มราแรงประกอบกับสายลมเย็นเริ่มพัดโบกพาความร้อนรุ่มให้มลายหายสิ้น

“ออเจ้าคงอยากรู้มากแล้วหนา ใช่ฤาไม่” หญิงสาวถามเบาๆขณะอีกฝ่ายพยักหน้าบอก

“ครับ”

“ฉะนั้นเจ้าอยากถามกระไรเป็นสิ่งแรก”

“ผมอยากรู้คุณกับผม เราเกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน คุณเป็นใคร”

หญิงสาวแย้มยิ้มละมุน โน้มตัวรับร่างป้อมๆของบุตรชายมาอุ้มแทนพร้อมหอมแก้มอูมซ้ายขวาเบาๆ  เธอเอื้อมมือที่ยังเหลืออยู่อีกข้างหนึ่งออกแรงดึงให้ชายหนุ่มร่างบางเดินตาม สิ่งแรกที่เปรมรู้สึกถึงคือกลิ่นหอมหมู่มวลผกากรองและบุปผาต่างพันธุ์เมื่อเข้าสู่อาณาเขตเรือนไม้หลังใหญ่

เปรมหรี่ตามองบ้านเรือนไทยโครสร้างดั้งเดิมยกสูงอย่างครุ่นคิด  บนตัวเรือนเป็นชานกว้างร่มรื่นด้วยต้นไม้ต้นไทยที่แทงลำต้นสู่ผืนฟ้า...ผ่านกลางชานบ้านที่เจ้าของเปิดช่องให้ลำต้นของต้นจัน แผ่กิ่งก้านส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งเรือน
นี่มันบ้านพี่ทศชัดๆ

“ที่จริง เรือนนี้มิใช่เรือนอยู่ของข้าตั้งแต่แรก แต่มีใครคนหนึ่งได้ยกมันให้กับข้า”

“...”

“ใครบางคนที่ออเจ้ารู้จักแลคะนึงถึงอยู่ทุกขณะจิต” มือเรียวงามที่เย็นชืดจับนิ้วเล็กบางพอๆกับตนนั้นมาเกาะกุมไว้หลวมๆ หยาดน้ำฟ้าร่วงหล่นจากวงหน้าหวานละมุนสู่พื้นเบื้องล่าง สีหน้าทุกข์ตรม อึดอัดแทบตลอดเวลาของเธอ ทำเอาเปรมอดสงสารไม่ได้

“อย่างที่ข้าเคยบอก ข้าคือตัวตนของออเจ้าในอดีต แลตัวตนของข้าคือออเจ้าในปัจจุบัน เราต่างมีพันธะร่วมกัน การที่ข้าแลเจ้าเจอกัน นั่นหมายถึงประตูแห่งการแก้ไขได้เปิดต้อนรับออเจ้าแล้ว”

“งั้นผมคือใคร”

 “ออเจ้าคือสีดา สีดาของพระรามแลทศกัณฐ์”



โลกมนุษย์มีทิวากาลคู่ราตรีฉันใด โลกหลังแห่งความตายก็เป็นไปโดยฉันนั้น สายลมหวีดหวีดพัดผ่านหน้าต่างโปร่งที่เปิดรับลมโชยชาย บนตักนวลนางคือเด็กชายและเด็กหญิงที่ปิดเปลือกตานอนหลับสนิทโดนมีมือผู้เป็นแม่คอยลูบหัวอยู่ไม่ห่าง
ราตรีมณี...ดวงแก้วแห่งรัตติกาลเคลื่อนสูง แสงจันทรามลังเมลืองทาบบรรยากาศให้แลดูเศร้าซึม เปรมแหงนมองดวงแก้วกลางคืนกระจ่างด้วยสีหน้าสับสน มึนงงเกินกว่าที่จะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้

คนวัยยี่สิบปีเศษนั่งมองจันทราอยู่เนิ่นนานนับหลายนาที และยังคงเป็นเช่นนั้นหากหญิงสาวที่บอกนามกับเขาว่าชื่อสีดาไม่เรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ความคิดเสียก่อน

“พ่อเปรม”

“ครับ” ดวงหน้าหวานของชายหนุ่มหันกลับมามองสตรีร่างโอดสะองที่ยื่นมือมาแตะไหล่กลมมนของตนแผ่วเบา เบาจนแทบไม่มีความรู้สึกใดๆ

“ข้ารู้มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจยาก หากแต่สิ่งที่ข้าจักบอกออเจ้าต่อไปนี้คือเรื่องจริงทุกประการ” เธอก้มปาดคราบน้ำตา เงียบ...เนิ่นนาน แล้วกล่าวต่อ “ออเจ้ารู้ใช่ฤาไม่ข้าคือสีดา พระธิดาแห่งกรุงมิถิลา”

“คุณคือสีดาจริงหรือครับ ผมนึกว่ามันเป็นเรื่องแต่งขึ้นเสียอีก”

“เรื่องแต่งขึ้นรึ?”
“คล้ายๆจดหมายเหตุ จดเรื่องราวต่างๆในเวลานั้นๆน่ะครับ”

“ข้ามิใคร่เข้าใจคำพูดของออเจ้านัก แต่เอาเถิดสิ่งที่ข้าเอ่ยออกมาล้วนเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น” ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ สีดาที่ทุกคนบนโลกต่างกล่าวขาน ตัวละครหลักในวรรณคดีชั้นยอดอย่างรามายณะ กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ชัดเจน กระจ่าง

“ถ้าอย่างนั้นทุกตัวละคร...ไม่สิ ทุกคนทั้งฝั่งยักษ์ฝั่งลิง ฝั่งมนุษย์ก็มีชีวิตหมดใช่ไหมครับ”

“ถูกแล้วออเจ้า”

“งั้นที่คุณบอกว่าผมคือสีดา คือคุณในอดีต มันเป็นเรื่องจริงได้ยังไงครับในเมื่อคุณก็ยังนั่งคุยกับผมอยู่ตรงนี้” เปรมละล่ำละลักถามเสียงรัวอย่างตื่นตระหนก

เพราะจิตวิญาณของพวกเราถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยคำสาบานของข้าเอง

“!”

คล้ายสมองจะเกิดอาการมึนเบลอชั่วขณะ  พยายามนั่งเรียบเรียงประโยคแต่ละประโยคอยู่ในใจเชื่องช้า...นี่มันอะไรกัน จิตวิญญาณถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วนอย่างนั้นเหรอ! เกิดมาเขาไม่เคยได้ยินเรื่องพรรณนี้สักครั้งเดียว มันจะเป็นไปได้ยังไง

“ส่วนหนึ่งคือข้าที่ยังคงชดใช้กรรม รอการปลดปล่อย อีกส่วนหนึ่งคือเจ้าที่ได้เกิดยังภพภูมิอื่น”

“แล้วทำไมมันถึงแยกกันได้ล่ะครับ แค่คำสาบานไม่น่าจะร้ายแรงถึงขนาดนั้น”

“อย่าได้ดูถูกคำสาบานที่มาจากแรงตั้งมั่นเชียวหนาออเจ้า” สีดาเอ็ดเล็กน้อย “ออเจ้ารู้ใช่ฤาไม่ข้าเป็นพระชายาแห่งองค์ราม”

“รู้ครับ”

“ชีวิตข้าเคยมีแต่ความผาสุกเพราะได้อยู่ข้างกายชายอันเป็นที่รัก ข้านั้นปักรักไว้เพียงแต่พระราม มิว่าพระองค์จักทำกระไร อยู่แห่งหนใด แม้กระทั่งยอมติดตามในยามพระองค์ออกบวช เดินทางรอนแรมในป่าเขาลำเนาไพรด้วยความลำบากตรากตรำ แม้มิชอบสักเท่าใด ข้าก็พร้อมยินยอมแต่โดยดี” ดวงตาคู่สวยสีเข้มขึ้นเพราะเปลวเทียนในห้องที่ริบหรี่ลง “เพราะข้ารักพระองค์ รักพระรามผู้นั้นสุดหัวใจ...แต่มันช่างน่าขันนัก เมื่อความรักที่ข้าให้พระองค์นั้นกลับถูกตอบแทนด้วยความมิเชื่อใจกัน”

อากัปกิริยาภายนอกสงบนิ่ง  หากในความคิดไหวพล่าน...ภาพในอดีตพร่าไหว จากความทรงจำรางเลือนพลันกระจ่างแจ่มชัดไม่ต่างไปจากดวงแก้วในราตรีทิวากาลคืนนี้ เสมือนภาพยนตร์ฉายย้อนกลับ

นำพาเธอไปสู่อดีตอันยาวนานนับหนึ่งสหัสวรรษ

เปลวเทียนพลิ้วไสวไปตามแรงลมที่โบกโชยชายเข้ามาในอาศรม สองร่างชายหญิงกอดเกยแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน มือใหญ่ไล้ไปตามเส้นผอมหอมปล่อยสยายเต็มหมอนไหม ก่อนจะดึงนวลนางเข้ามาอิงซบกับอกแกร่งของตน

“สีดา”

“เพคะ”

“ระหว่างอยู่กับพี่กับและอยู่กับพระลักษณ์ ผู้ใดทำให้เจ้ามีความสุขมากกว่ากัน”

สีดาเงยหน้ามองผู้เป็นพระสวามีอย่างไม่เข้าใจคำถามสักเท่าไหร่ เธอผละตัวออกจากอ้อมอกนั้นเล็กน้อย ก่อนจะช้อนสายตาตอบอย่างจริงจัง

“เหตุใดจึงถามเช่นนั้นเล่าเพคะ เสด็จพี่ย่อมรู้หัวใจของน้องมิอาจรักใครได้อีกน้องจากพระองค์ผู้เดียว”

“แต่การที่เจ้าสนิทรักใคร่กับพระลักษณ์มากเกินไป มันทำให้ความเชื่อมั่นในตัวน้องลดลง”

“เสด็จพี่”

“พี่รักเจ้า รักเจ้ายิ่งกว่าอื่นใดทั้งมวลบนโลกใบนี้ ฤาจักเป็นโลกอื่นก็ตามที น้องคือหนึ่งเดียวของพี่สีดา พี่จักมิมีวันยอมยกเจ้าให้ชายอื่นใดเป็นอันขาด”

“น้องรู้ แลน้องก็รักเสด็จพี่มิต่างไปจากกันเลย โปรดเชื่อมั่นในความรักของน้อง เชื่อมั่นในหัวใจของน้องว่าต่อให้เสด็จพี่ยกข้าให้คนอื่น ฤาเราสองโดนพลักพรากจากกันไกล น้องก็จักรักเสด็จพี่ตราบชั่วลมหายใจ”

“เจ้ากล้าสาบานฤาไม่ ว่าความรักของเจ้าเป็นจริง”

“เสด็จพี่มิเชื่อใจข้ารึ”

“พี่เชื่อใจเจ้า แต่พี่จำต้องทำเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจักมิคิดหันไปรักผู้อื่น โปรดเข้าใจพี่ด้วยเถิดจอมขวัญ” หญิงสาวค่อนข้างตกหทัยเล็กน้อยถึงคำพูดที่ไม่ควรออกมาจากปากของพระสวามี มีอย่างที่ไหนอยู่กินฉันท์ผัวเมียกันแล้ว เดินทางรอนแรมในป่า ตามติดทุกฝีก้าว เธอจะมีเวลาที่ไหนไปปันใจให้ชายอื่น อย่ากล่าวถึงพระลักษณ์เลย เธอเห็นเขาเป็นแค่น้องชายพระสวามีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

รู้สึกเสียใจไม่น้อยทีเดียว แต่ก็พยายามแย้มยิ้ม กล้ำกลืนความทุกข์ลงในลำคอเสียให้หมด

“หากพระองค์อยากให้น้องสาบาน น้องก็จักทำ”

สีดาลุกขึ้นนั่งบนตั่งเตียง หันหน้าเข้าหาดวงแก้วในคืนรัตติกาล ประนมมือพร้อมอธิษฐานจิตอย่างตั้งมั่น

“ขอให้ฟ้าดินจงรับรู้เป็นพยาน อันตัวข้านามสีดา ข้าขอสาบานจักรักแลเทิดทูนพระราม พระสวามีของข้าเหนือสิ่งใด แต่ถ้าหากข้าลักผิด คิดปันใจให้ชายอื่นที่มิใช่พระรามผู้นี้ ขอให้ข้าจงมีอันเป็นไป ไม่ตายด้วยคมมีดคมหอกปักแทงหัวใจ ก็ขอให้จงตายด้วยอุบัติภัยไม่คาดฝันด้วยเถิด”

“.!!”

หวังว่าพระองค์จักพอพระทัยคำสาบานของน้อง






ต่อด้านล่างเซมๆ เน้อ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0




แสงนวลแห่งจันทราลูบไล้ปฐพี เรือนไม้หลังใหญ่ริมราวป่าเขายืนหยัดอยู่เดียวดาย...สตรีและชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษที่ยังคงความเยาว์วัยและหวานล้ำเสียยิ่งกว่าค้างน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ประดับอยู่บนใบหน้า ดวงเนตรแห่งนางพริ้มหลับทิ้งคราบน้ำตาที่เริ่มแห้งเหือดไว้บนเนื้อแก้มทั้งสองด้าน ราตรีนี่ยังอีกยาวไกล คงไม่ต้องบอกว่าเธอต้องสูญเสียน้ำตาอีกสักกี่หยดจึงจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดจนจบ

“คุณไม่กลัวเลยเหรอครับถึงพูด...เอ่อ แบบนั้นน่ะ”

“ข้ามิเคยเกรงกลัวต่อคำสาบาน เพราะข้านั้นเป็นผู้รักใครแล้วจักรักเท่าชีวีมิมีเปลี่ยนผัน ตั้งมั่นในวาจาแลความรู้สึกอันแท้ของตนอยู่เป็นนิจ” สีดาปล่อยความคิดล่องลอยไปอย่างไรจุดหมาย ล่องลอยไปกับภาพอดีตที่กรายเข้าสู่หัวใจตนดั่งสายน้ำหลาก “แต่สิ่งที่ทำให้ข้าหวั่นวิตกในคำสาบานของตน มันเริ่มขึ้นจากตรงนี้...หลังจากข้าถูกทศกัณฐ์จับมายังกรุงลงกา แลตกเป็นเมียของเขา”


พระเจ้า!


“คุณว่าไงนะ” ร่างบางแทบจะตะครุบปากตัวเองไม่ทัน สำรวจดูเด็กน้อยสองคนก่อนจะเงยหน้ามองสีดาอย่างไม่เข้าใจ “ผมพอเข้าใจว่าคุณกับพระรามเป็นสามีภรรยากัน แต่ทศกัณฐ์คุณกับเขาเป็นพ่อลูกกันนี่นา”

“ใช่ ข้าแลพี่ท่านเราเป็นพ่อลูกกัน แต่ข้าก็เผลอหลงรัก ปันใจให้เขาจนหมดสิ้น”

“ห๊ะ”

 “เหตุใดเจ้าจึงทำสีหน้าเช่นนั้น ในจดหมายเหตุของออเจ้ามิได้เขียนเช่นนั้นดอกรึ”

เขาส่ายศีรษะ “ไม่ครับ ไม่ได้เล่า แต่...แต่ไม่นานมานี้พี่ทศ เอ่อ ผมหมายถึงคนรักของผมน่ะครับเขาได้สร้างละครโขน...ผมหมายถึงงานรื่นเริงจำพวกหนึ่งที่ให้คนบางกลุ่มมาสวมบทบาทเป็นคุณแล้วก็คนอื่นๆเพื่อดำเนินเหตุการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด ผมนึกว่ามันเป็นเรื่องแต่งขึ้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันคือเรื่องจริง”

“ทุกอย่างจริงแท้แน่นอนนออเจ้า กาลแรก ข้าคือพระชายาเพียงองค์เดียวของพระราม พวกเราอยู่กินกันฉันท์ผัวเมีย ในใจข้ามีแต่พระองค์ผู้เดียว...หากแต่ทุกอย่างมันกลับผิดแผกแตกต่างจากเดิมเมื่อข้าถูกจับมายังกรุงลงกาโดยฝีมือของเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์ ข้าเกลียดชังมันที่พรากข้าจากผู้เป็นสามี เกลียดที่มันคอยชักจูงให้คล้อยตามเกลียดที่ยักษ์ตนนั้นเข้ามาทำให้ความรู้สึกข้าเปลี่ยนแปลง”

“...”

ข้าหลงรักทศกัณฐ์

“!”

“หลงรักทั้งๆที่รู้ว่ามิสมควรหลงรักทั้งๆที่รู้ว่ามิสมควร รู้ว่าเขาคือศัตรูของพระสวามี แต่ข้ากลับตัดความกังวลใจออกเสียหมดเพราะทศกัณฐ์ดีต่อข้า เอาใจใส่ข้าแลรักข้ายิ่งชีพ ข้ามิเคยเห็นผู้ใดที่ทุ่มเทรักให้ข้ามากเพียงนี้...ออเจ้าต้องมิเชื่อแน่ว่ายักษ์เหี้ยมโหดอย่างเขาเคยร้อยพวงมาลาให้ข้าด้วยหนา”

“ร้อยพวงมาลา?!”

“ข้าล่ะต้องกลั้นขำมิหวาดมิไหวยามเห็นสีหน้าจริงจังของพญารากษสที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัวยามร้อยดอกสนเข้ากับเข็มมาลา” ประกายแห่งความสุขทอวูบขึ้นที่ดวงตาของสตรีที่อยู่ตรงเบื้องหน้า หากครู่เดียวก็ดับไป

“แม้เขาจะเป็นคนเลวน่ะหรือครับ”

“สิ่งที่ออเจ้ารู้แจ้งดูเหมือนจักผิดแผกจากเรื่องจริงมากเทียว พี่ท่านมิใช่คนเลว เขาทำเพื่อปกป้องตนเองแลเพื่อนพ้องตนจากอันตราย ผสมปนเปไปกับนิสัยใจร้อน เอาแต่ใจ จึงทำให้เขาดูเป็นคนเลวร้าย มิมีหัวใจ” สีดายิ้มอ่อน จ้องเปลวไฟพลิ้วไสวในโคมแก้ว “แต่ผู้ใดที่ได้ใกล้ชิดจักรู้ว่าเขาจิตใจดีมากเทียว...อาจมากกว่าพระรามด้วยซ้ำ”

“ผมว่าพระรามดูใจดี มีเมตตาดีออก”

“ก็แค่ส่วนหนึ่ง...เจ้าต้องมาเห็นอีกมุมหนึ่งของพระองค์จึงจักรู้ว่ามันน่ากลัวเพียงใด ...พระรามเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากหนุมานทำการช่วยเหลือข้าอย่างลับๆ แลพาข้ากลับมายังกรุงอโยธยาได้ระยะเวลาหนึ่ง พระองค์ถามข้าว่าทศกัณฐ์ปรนเปรอสมบัติใดแก่ข้าบ้าง เหตุเพราะข้าดูมีความสุขแลผุดผ่องผิดหูผิดตา”

“แล้วคุณทำยังไงครับ”

“ข้าจึงปรามาศขอลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความซื่อตรงต่อพระองค์ เพราะมันคือหนทางเดียวที่ทำให้พระรามไว้วางใจข้าแลปกป้องลูกน้อยที่กำลังจักเกิดมา”

“แต่ว่าคุณ เอ่อ...มีปฏิสัมพันธ์กับทศกัณฐ์แล้วนี่ครับ มันไม่เป็นอะไรเหรอ”

“องค์อินทร์แลเทวดาบนสวรรค์คงสงสารแลเห็นใจข้ากระมัง จึงช่วยข้าแลลูกที่เกิดจากทศกัณฐ์ให้รอดพ้นความฉิบหายอย่างหวุดหวิด”

“!”

“ข้าท้องลูกของทศกัณฐ์ ทั้งสององค์ที่เจ้าปะหน้ามิใช่ลูกของพระราม หากแต่เป็นทศกัณฐ์เพียงผู้เดียว” นางก้มหน้าร้องไห้ เนื้อตัวสั่นเทาน่าสงสารจับใจ “ข้ารู้สึกผิดต่อพระรามยิ่งนัก แต่ก็ทำอันใดมิได้นอกเสียจากปล่อยให้พระองค์เข้าใจว่าเป็นลูกของตน เพราะข้ามิต้องการให้พระสุริยาแลจันทราต้องมาตายทั้งที่ยังมิได้ลืมตาดูโลก ข้าหลอกพระราม หลอกทุกคนให้หลงเชื่อว่าลูกในท้องของข้าคือหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์อโยธยา แต่ทว่ามีเพียงผู้เดียวที่รู้ความลับของข้า”

“ใครหรือครับ”

พิเภก

ไม้รู้ว่าเปรมต้องตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว เขากลืนน้ำลาย ตั้งสติเรียบเรียงเนื้อความทั้งหมดก่อนจะตั้งใจฟังต่อไป

“ข้าขอร้องให้พิเภกช่วยพาข้ากลับไปหาทศกัณฐ์ ขอร้องอยู่นานจนสุดท้ายพิเภกยอมใจอ่อน บอกให้ข้านิ่งเฉยไว้แล้วตนจักจัดการทุกอย่างเอง ข้าไม่เคยรู้ความคิดของยักษ์ตนนี้ว่ากำลังคิดสิ่งใด มารู้ความอีกทีก็ตอนนางยักษ์อดูลจำแลงกายเป็นนางกำนัลมาบอกให้ข้าวาดรูปทศกัณฐ์แลให้ข้าเก็บรูปวาดนั้นไว้ใต้หมอน”

เขาควรสบถออกมาเป็นภาษาอะไรดี สิ่งที่ได้ยินได้ศึกษามาเกือบทั้งหมวด ทำไมถึงได้แตกต่างกับราวฟ้ากับเหว ยักษ์อาดูลที่เคยแปลงกายมาให้พระรามกับนางสีดาผิดใจกันจนถึงขั้นให้ควักหัวใจตายกลับกลายเป็นแผนของพิเภกอย่างนั้นเหรอ!

“เพราะอย่างนี้พระรามเลยสั่งให้พระลักษณ์นำตัวคุณไปฆ่าแล้วแหวะเอาหัวใจมาถวายใช่ไหมครับ แต่พระลักษณ์กลับไม่ยอมทำจึงไล่ให้คุณหนีไป ซึ่งนั่นคงเป็นแผนที่พวกคุณวางไว้ตั้งแต่แรก”

“สิ่งที่ออเจ้าพูดมาถูกต้องทุกประการ”

เปรมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “แล้วเรื่องคำสาบานล่ะครับ”

“มันเกิดขึ้นหลังจากนี้”



พันปีก่อน...

กรุงลงกา



ฟ้ามืดมัวหม่น แสงทิวาเลือนลับไปเนิ่นนานแล้ว หากคนในห้องทำคลอดยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาแจ้งข่าวเสียที พญารากษสร่างกายสูงใหญ่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องราวหนูติดจั่น ข้างกายมีนางมณโฑที่คอยปลอบประโลมให้กำลังใจผู้เป็นสามีอย่างใกล้ชิด

“อย่ามายุ่งกับข้า”

“เหตุใดเสด็จพี่ตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ น้องเพียงมาแวะเวียนให้กำลังใจธิดาของเรา ที่กำลังจักคลอดบุตรคนใหม่ให้แก่พระองค์”

“ถ้าเจ้าจักมาหาเรื่องกัน ก็จงไปให้พ้นหน้าข้าเสียมณโฑ”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” หญิงสาวเรือนร่างงดงามไม่แพ้หน้าตาตระกองกอดสามีอย่างเสน่หา พยายามปั้นหน้าฉีกยิ้มหวาน ทั้งที่ในใจกรุ่นโกรธไม่น้อยที่ลูกสาวในไส้ดันได้ผัวคนเดียวกันกับแม่ “นางจักต้องปลอดภัยคลอดบุตรให้เสด็จพี่ได้เชยชม มิต้องร้อนใจไป”

“เจ้าคิดจักทำกระไรมณโฑ ปกติเจ้ามิเคยสนใจสีดา แต่ไฉนวันนี้จึงปรากฏตัวได้”

“นางถือเป็นลูกข้า เป็นลูก...เอ่อ เมียเสด็จพี่คนหนึ่ง ข้าก็ต้องมาเพื่อให้กำลังใจนางสิเพคะ”

“อย่าโกหกข้าเชียว เจ้ารู้ข้ามิชอบหญิงปลิ้นปล้อนตอแหล”

เสียงอสุนิบาตรคำรามดุจฟ้าพิโรธ ทำให้ทศกัณฐ์ต้องเบือนมองไปทางหน้าต่างที่เปิดรับกระแสลมกรรโชกที่ตีโต้เข้ามาด้านในพระราชวัง คิ้วเข้มพลันขมวดด้วยความประหลาดใจ จากราตรีกาลที่เงียบสงบมลายสิ้น...เมฆหนารวมตัวกันมืดทะมึน บวกกับประกายเจิดจ้าของเส้นสายอสุนิบาตรที่ปลาบแปลบขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้แลดูน่าสะพรึงกลัว...

“เกิดเหตุอาเพสอันใดขึ้นเล่าพระบิดา” อินทรชิตเอ่ยถามระหว่างย่างก้าวเข้ามาใกล้คนเป็นพ่อหลังจากตรวจดูความเรียบร้อยรอบเมืองเรียบร้อย พิรุณเริ่มโปรยเม็ด จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็กระหน่ำเทลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

“อิน”

“ขอรับพระบิดา”

“สั่งให้พวกมันปิดหน้าต่างทุกบาน ยืนเฝ้าระวังภัยให้ทั่วเขตพระราชวัง”

“เหตุใด...”

“แค่ทำตามที่พ่อบอกก็พอ”

ทศกัณฐ์แหงนมองท้องฟ้าที่ยังมืดหม่นด้วยเมฆฝน รู้สึกเอะใจกับบรรยากาศน่าสะพรึง แม้ไม่มั่นใจนัก แต่ดูเหมือนจะอีกไม่นาน คงจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นภายในกรุงลงกา


เหงื่อเม็ดเล็กๆเกราะพราวไปทั่วใบหน้างามงดที่เหยเหยด้วยความเจ็บปวด หมอหลวงหญิงตัวอวบพีให้จังหวะการจัดท่าของทารกในการคลอดอย่างขมีขมัน หมอหลวงมั่นในท้องนั้นต้องมีเด็กสองคนอย่างแน่นอน ถ้วยชาม หม้อต้มน้ำร้อน ชามเกลือผลึกคมถูกวางไว้พรั่งพร้อมเพื่อช่วยในการเลาะฝีเย็บหากคลอดยาก ยาหม้อสมุนไหนและก้อนเส้าเผาไฟที่ตระเตรียมไว้ให้อยู่ไฟอย่างดิบดี
สีดาจับผ้าที่ผูกโยงไว้กับขื่อคาพร้อมออกแรงเบ่งตามหมอหลวงให้จังหวะ ความปวดร้าวไปทั้งอุ้งเชิงกรานนั้นแทบขาดใจ ปวดชาไปทั้งหน้าขาจนอยากจะตัดขาตัวเองทิ้งไปให้พ้นเสีย เหงื่อที่ไหลซึมมีนางกำนัลคอยซับคอยเช็ดให้ไม่ห่างกาย ห้องหับล้วนถูกปิดสนิทยากที่ลมจะเล็ดลอดผ่านไปและเข้ามาได้

เสียงร้องของนางดั่งกัปนาทไม่ต่างไปจากเสียงร้องครืนๆของอสุนิบาตร

“เบ่งอีกเพคะพระนาง”

“ข้ามิไหวแล้ว...ท่านหมอ”

“พยายามอีกนิดเถิดเพคะ”

“ข้า...อื้อ...”


เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน

ลูกจ๋า ช่วยออกมาเร็วๆด้วยเถิดหนา

“สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพคะ อีกไม่นาน”

หญิงสาวยกมือจับผ้าแน่นจนนิ้วไร้สีเลือด หายใจ...ออกแรงเบ่งท้องตามการให้จังหวะของหมอหลวงอีกครั้ง ปวด... ปวดจนร้องไม่ออก ดวงต่ำและแพขนตาหนาฉ่ำไปด้วยน้ำตาสีใส ภาวนาขอให้เวลาแสนทรมานผ่านพ้นไปเสียที

“พระนางต้องอดทนเพื่อบุตรธิดาในครรภ์ หายใจเข้าเถิดเพคะ”

“ท่านหมอ...”

“เห็นหัวเด็กแล้วเพคะ อีกมินาน ได้โปรดเถิด”

“อื้อ....!!!”

“ดีมากเพคะ ร้องออกมา ร้องออกมาให้เต็มที่ หากหม่อมฉันบอกให้เบ่งต้องเบ่งหนาเพคะ” เสียงหมอหลวงทำคลอดหายไปช่วงระยะหนึ่ง ก่อนดังขึ้นใหม่ “เบ่งเพคะ!!”

เสียงร้องของเมียช่างบาดลึกไปในใจของกษัตริย์ผู้ที่เคยเข้มแข็งดุดันจนถึงขั้นต้องหยุดเดิน หันมองประตูห้องคลอดด้วยความสงสารจับจิต

“ลูกเอ๋ย อย่าทำแม่เจ้าเจ็บนักสิ รีบออกมา ออกมาให้พ่อได้ยลโฉมเจ้าโดยพลันด้วยเถิด”

“มิต้องกังวลดอกเพคะ ประเดี๋ยวลูกของพระองค์ก็ทรงออกมาแล้ว”

“ฝ่าบาท!”

หัวหน้าทหารยักษ์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหน้าตาตื่น คิ้วเข้มหนาขมวดมุ่นเป็นเชิงสงสัย สงสายตาคมกริบเร่งให้พวกยักษ์ฉกรรจ์เอ่ยวาจาสักที มัวแต่เป่าลมหายใจออก สูดลมหายใจเข้า เมื่อไหร่เขาจะรู้เรื่องกัน

“พวกเจ้ามีกระไร”

“ฝ่าบาท...แย่แล้วพะยะค่ะ”

“พวกเอ็งก็บอกมาสิวะว่าเรื่องกระไร อย่าให้ข้าอินทรชิตผู้นี้ต้องใช้มีดปาดหัวพวกเอ็งรายตัวเชียว” หัวหน้าทหารกลืนน้ำลายดังอึก และเริ่มพูดเสียงสั่นรัว

“เกิดเหตุใหญ่แล้วพะยะค่ะ ที่...ที่หน้าพระราชวังพวกมนุษย์แลอ้ายลิงหน้าขนกำลังบุกเข้ามาโจมตีที่นี่ด้วยกำลังพลไม่น้อยเทียวพะยะค่ะ พวกมันเข้ามาเร็วมาก ข้าพระองค์มิอาจสกัดไหว จึงรีบมาเรียนให้ฝ่าบาททรงทราบ”

“มันเป็นผู้ใด”

“แม้นมิมั่นใจนัก หากแต่ข้าพระองค์คิดว่าเป็นพวกพระรามแลหนุมานพะยะค่ะฝ่าบาท”

“ปล่อยให้มันเข้ามา”

“ฝ่าบาท!”

“พระบิดา!”

“เสด็จพี่!”

สามเสียงประสานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าแล้วต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นับว่าลางสังหรณ์ สัญชาตญาณนับรบยังใช้การได้อย่างยอดเยี่ยม พระรามเรอะ...คิดจะบุกพื้นที่คนอื่นเขาก็ควรแจ้งเสียก่อนสิ มาทำอย่างนี้ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ยอดแย่
ทศกัณฐ์หันไปมองนางมณโฑเป็นคนแรก ยกมือนางขึ้นมากุมหลวมๆ

“กลับไปอยู่ในห้องเจ้าเสีย”

“เสด็จพี่”

“นี่คือคำสั่ง หากเจ้ายังขัดคำข้าแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจักฆ่าเจ้าเสีย”

“แต่ข้าเป็นมเหสีของพระองค์ ข้ามีสิทธิ์อยู่ข้างกาย...”

“เหตุใดชอบทำให้ข้าหนักใจนักมณโฑ ถ้ามิคิดห่วงตัวเองก็ช่วยห่วงลูกเจ้าบ้าง กลับไปดูแลพวกเขาให้ดี ประเดี๋ยวเสร็จจากการพบปะมิได้นัดหมายครั้งนี้ ข้าจักไปหา...พวกเจ้าจงเร่งฝีเท้านำตัวพระมเหสีเอกกลับตำหนักประเดี๋ยวนี้ เร็ว!” เมื่อเป็นคำสั่งจากกษัตริย์ผู้ครองกรุงลงกา ใครไหนเลยจะปฏิเสธได้

“พระบิดาท่านมีความจำเป็นเยี่ยงไรจึงยอมปล่อยให้พวกมันเข้ามาโดยง่าย” อินทรชิตเอ่ยถามขณะร่ายมนต์ถือคันศรนาคบาศเตรียมการเต็มที่

“นี่เป็นเรื่องบาดหมางของพ่อแลพระรามผู้นั้น พ่อมิอยากทำศึกใหญ่ในครานี้ เกรงลูกน้อยของพ่อ...น้องๆของเจ้าจักมิปลอดภัย”
“งั้นข้าจักเป็นหูเป็นตาคอยช่วยเหลือพระบิดาเอง”

“ขอบน้ำใจเจ้านักลูกข้า แต่พ่อจัดการเองได้”

“แต่...”

“อย่าขัดคำสั่งพ่ออินทรชิต พ่ออยากให้เจ้าช่วยดูแลปกป้องน้องๆของเจ้าให้ดี อย่าให้พวกมันได้ย่างกรายเข้าไปเป็นอันขาด หากมันคิดเล่นตุกติก ก็จงฆ่ามันให้ตายเสีย!”






ยิ่งอ่านยิ่งระทึก โอยยยย โอยยยยย  :hao7: :hao7: :hao7:
เป็นไงกันบ้างคะกับตอนนี้ บอกได้เลยสนุกมากกกก(ชมนิยายตัวเอง5555)
หากมีคำผิดโปรดอภัย
1เม้น=1กำลังใจ น้าาาา
วันนี้เราต้องขอตัวก่อน ไม่ไหวล่ะค่ะ ปวดหัวมากกกก ตุบๆเลย
ไว้พบกันใหม่ตอนหน้า  :mew1:


ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
จริงๆไม่ชอบพระรามตั้งแต่อ่านออริจินัลละแหละ พระรามเรื่องนี้ทำหมั่นกว่าเดิม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ทางเปรมกับนางสีดาก็เริ่มเล่าความหลังกันไม่ทันเท่าไหร่
ทางพระรามกับรณพักตร์ก็ตีกันอยู่อีกทาง
จะตีกันตายหรือทศกัณฐ์จะมาช่วยเปรมก่อนเปรมฟื้นเองไหมล่ะนั่น :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ลุ้นมาก...............

ขอต่อเวลาเพิ่มได่ไหมขอรับ

อยากอ่านอีก

รอต่อขอรับ


ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
อยากอ่านทีเดียวหลายๆตอนเลย

อย่าลืมดูแลตัวเองนะจ๊ะ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
สนุกมากอ่ะ เปรมฟื้นเร็วๆนะ สงสารพ่อทศมาก กลัวเปรมความจำเสื่อมจังอ่ะ

บอกเลยว่าหมั่นไส้ท่านพระรามมาก คือหมั่นไส้ตั้งแต่ฉบับดั้งเดิมแล้วอ่ะ มาเรื่องนี้หมั่นไส้คูณสองจ้า

แสดงว่าสุริยากับจันทราก็ตายด้วยแน่เลย น่าสงสารจัง

ออฟไลน์ jjasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ลุ้นหนักมาก

เกลียดพระรามตั้งแต่อ่านวรรณคดีต้นฉบับแล้ว

พ่อเปรมรักท่านทศให้มากๆเลยนะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ drqam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเดียวจบ ติดงอมแงมมาก
กลัวว่าพ่อเปรมฟื้นขึ้นมาจะสับสนกับเรื่องราวที่ได้ไปปะหน้ากับสีดา จะทำให้พ่อเปรมมองพระรามอีกมุม แต่เราเชื่อมั่นในรักของพ่อเปรมต่อพี่ทศนะ  :o8:
/
/
รอต่อไปค่ะ :hao4:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด