ถึงบรรยากาศการมาแนะนำตัวครั้งแรกกับครอบครัวของไอ้เล้งจะไม่ได้กดดันเหมือนตอนที่มันไปหาแม่ของผมที่บ้าน แต่ผมก็ยังไม่ได้วางใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะครับ เพราะยังเหลือป๊าของมันอีกคนที่ผมต้องรับมือ
"มากันแล้วล่ะป๊า"
แม่ของไอ้เล้งพูดขึ้น ตอนที่เราสามคนเดินเข้าไปยังส่วนของห้องนั่งเล่น ผมรีบยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ที่นั่งเล่นแท็บเล็ต แล้วก็พยายามทำตัวและจิตใจให้สงบ เมื่อเจอสายตาพิจารณาที่เคร่งเครียดส่งมาให้
คนละบรรยากาศกับเมื่อกี้เลยว่ะ...
"หวัดดีครับป๊า"
สายตาทิ่มเทงที่ได้รับก่อนหน้านี้หันไปมองไอ้เล้งแทน ก่อนที่ท่านจะพยักหน้ารับ
"แล้วเป็นไงกันบ้าง"
ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกนัก แต่ก็เลือกไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับไอ้เล้ง โดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนนั่งที่โซฟาตัวยาวด้วยกัน
"ก็โอเคนะป๊า"
"ก็ดีแล้ว แล้วเราล่ะ เป็นยังไง"
เมื่อคำถามถูกส่งมาให้ พร้อมสายตาสามคู่ที่พุ่งตรงมา ถึงจะรู้สึกเกร็ง แต่ผมก็พยายามทำตัวให้เยือกเย็นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่า ตัวเองกำลังถูกสอบสัมภาษณ์อยู่เลยครับ
"สบายดีครับ"
"อืม คบกับเล้งมากี่ปีแล้ว"
คำถามเข้าประเด็นที่ตามมา ทำให้ผมต้องตั้งสติอีกครั้ง แล้วตอบอย่างสุภาพและจริงใจให้ดูน่าเชื่อถือ
"ก็เกือบห้าปีแล้วครับ"
ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องเวลาที่แน่นอน อันที่จริงตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนที่ต้องแยกห่างกัน ก็ใช้เวลาไม่ถึงปีด้วยซ้ำครับ
"พี่เล้งเล่าเรื่องน้องอิงไว้เยอะเชียว โดยเฉพาะเรื่องงานบ้านงานเรือน"
ผมมองแม่ของไอ้เล้ง ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวเล็กน้อย ไอ้เล้งก็ยังนั่งอารมณ์ดี ไม่ได้รู้สึกรู้สากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่
"ครับ"
"แม่อยากชิมฝีมือน้องอิงมานานแล้ว แต่ก็เกรงใจ"
"ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่รบกวน ผมอาสาทำมื้อเย็นวันนี้ให้ครับ"
พูดมาขนาดนี้ ใครจะไปปฏิเสธกันล่ะครับ...
"จริงเหรอ ดีใจจัง แต่น้องอิงไม่ต้องเป็นทางการมากก็ได้ เป็นแฟนพี่เล้งก็เหมือนเป็นลูกแม่อีกคน"
"ครับ คุณแม่"
ผมมองรอยยิ้มหวานของอีกฝ่ายอย่างโล่งใจ ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายคุณนายแม่จะไม่มีปัญหาแน่นอน ก็เหลือแต่ฝั่งคุณป๊าที่ยังต้องรอดูกันต่อไปครับ
"แล้วนี่วางแผนเรื่องคบกันไว้ยังไงบ้างล่ะ"
คุณป๊ามองผม ก่อนจะหันไปมองไอ้เล้งที่นั่งดื่มน้ำผลไม้ที่คนรับใช้เพิ่งเอามาเสิร์ฟอย่างสบายอารมณ์
"เล้งจะย้ายไปอยู่คอนโดกับพี่อิง"
"ยังไม่ทันแต่ง จะไปอยู่กินกันเลยเหรอ"
ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง แล้วปั้นหน้ายาก เมื่อมองคนที่ตั้งคำถามขึ้นมา คุณนายแม่หัวเราะเล็กน้อย ส่วนไอ้เล้งก็ทำสีหน้าจริงจังออกมา
"โหย...ไม่ต้องแต่งแล้ว เข้าหอกันไปนานแล้วป๊า”
ผมแทบจะตาเหลือกมองคนที่นั่งโซฟาอีกตัวอย่างตกใจ แต่ดูเหมือนผู้ใหญ่ทั้งสองคนจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับคำตอบของลูกชายเท่าไหร่นัก
ถึงจะบอกว่ารับกันได้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ต้องเปิดเผยกันขนาดนั้นก็ได้มั้ง...
"แต่แม่อยากจัดนะ ไปงานแต่งคนอื่นเยอะแล้ว ก็อยากจะไปงานแต่งพี่เล้งบ้าง"
"เล้งเป็นผู้ชายนะ แม่กับป๊าไม่อายเหรอ"
ผมมองสามคนพ่อแม่ลูกที่มองหน้ากันไปมาเงียบๆ ตอนนี้นอกจากจะต้องตั้งสติกับคำถามของผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องเตรียมใจรับคำพูดคาดไม่ถึงของไอ้เล้งด้วย
"ไม่อายหรอก ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แถมเดี๋ยวนี้ก็เห็นจัดงานแต่งกันเกลื่อนใช่ไหมป๊า"
"งั้นเหรอ"
"ก็วันนั้นยังดูข่าวด้วยกันอยู่เลย มาทำเป็นจำไม่ได้นะป๊า"
"เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เห็นเล้งเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านเราไม่ยอมรับไม่ใช่เหรอ"
คุณป๊าหันมาสนใจผมแทนที่ภรรยาของตัวเองที่มองเขม่นอยู่ ดูท่าทางแล้วคุณนายแม่ก็คงเอาแต่ใจน่าดู
"ก็...ครับ"
"แล้วตอนนี้ล่ะ เป็นยังไง"
"แม่ยอมรับแล้ว ไม่มีปัญหาครับ"
"ก็ดี จะคบกันจริงจัง ถึงจะโตกันแล้ว ก็ควรให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่าย"
"ใช่จ๊ะ พี่เล้งก็พยายามเต็มที่เลยนี่น่า"
คุณนายแม่หันไปยิ้มให้ลูกชาย ไอ้เล้งก็ยิ้มรับ นอกจากท่านจะท่าทางเอาแต่ใจแล้ว ก็ยังตามใจลูกชายแบบสุดๆ แน่เลยล่ะครับ ไม่แปลกใจว่า ทำไมไอ้หมาของผมมันถึงได้ดื้อนัก
ผมมองแม่ลูก แล้วหันไปมองคุณป๊าที่ยังทำหน้าเข้มอยู่ ก่อนจะเกร็งตัวเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำถามใหม่
"รักเล้งจริงใช่ไหม"
ผมกลั้นลมหายใจครู่หนึ่ง เมื่อบรรยากาศที่ผ่อนคลายก่อนหน้านี้เหมือนจะหนาแน่นขึ้นกะทันหัน ผมมองคุณป๊าอย่างจริงจัง ถึงจะเขินอายจนไม่กล้าพูดขนาดไหน แต่วินาทีนี้ผมก็ต้องก้าวผ่านไปให้ได้
"รักมากเลยครับ"
คุณป๊าจ้องผมเขม็ง ผมเองก็ไม่ถอนสายตาออก ก่อนที่ท่านจะยกยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไอ้เล้งถอดแบบมาไม่มีผิด
"จะมากพอที่จะรับเงื่อนไขของฉันได้หรือเปล่า"
ผมนึกอึ้งไปอีกครั้ง ก่อนจะลอบมองไอ้เล้งที่มองไปทางคุณป๊าเหมือนกัน ส่วนคุณนายแม่ก็ยังไม่พูดอะไร นอกจากใบหน้าที่ยังแต้มไปด้วยรอยยิ้มบาง
"ได้ครับ"
คุณป๊าเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ อาจเป็นเพราะคำตอบที่ไม่ได้ใช้เวลาคิดของผมก็ได้
"จะไม่ถามกลับหน่อยเหรอว่า เป็นเงื่อนไขอะไร"
"ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขอะไร เพื่อให้ได้อยู่กับเล้ง ผมทำได้หมดครับ"
ถึงผมจะไม่รู้ว่าเงื่อนไขคืออะไร แต่ผมก็บอกชัดแล้วว่า ผลลัพธ์ของกติกานั้น ผมต้องได้คบกับไอ้เล้ง ถ้าจะให้มาถอนตัวหรือเลิกคบ ผมไม่ยอมเด็ดขาด
"พูดดี แต่จะทำได้อย่างที่ปากว่าหรือเปล่า"
"แน่นอนครับ"
ผมสบตากับคุณป๊าครู่หนึ่งเหมือนวัดใจ ก่อนที่ใบหน้าเคร่งขรึมจะเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้แสดงถึงความเจ้าเล่ห์เหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าเป็นการยิ้มที่เหมือนพอใจ
"ดี ถือว่ารับปากป๊าแล้วนะว่า ห้ามทำให้เล้งเสียใจไปตลอดชีวิต ถ้าผิดคำพูด จะไม่มีการให้อภัยในทุกกรณี"
ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ ผมหันไปมองไอ้เล้งที่ยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน แล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ผมไม่มีวันผิดสัญญาเด็ดขาดครับ!"
.........
หลังจากช่วงบ่ายหมดไปกับการสนทนาและได้ฝากตัวเป็นลูกชายอีกคนของบ้านหลังนี้เรียบร้อย พวกเราก็ร่วมมื้อเย็นด้วยกัน โดยที่ผมรับหน้าที่เป็นพ่อครัวใหญ่ จนถึงช่วงดึกผมก็ต้องขอตัวกลับบ้าน
"อิงกลับนะครับป๊า คุณแม่"
ผมยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ป๊าก็พยักหน้ารับ ส่วนคุณแม่ก็ยิ้มหวานมาให้
"จ้ะ ขับรถกลับดีๆ นะน้องอิง"
"ครับ"
ผมเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่ตรงไปที่โรงรถ โดยที่มีไอ้เล้งเดินมาด้วยกัน ก่อนที่ผมจะหันไปมองอีกฝ่าย เมื่อถูกจับมือแบบไม่ทันตั้งตัว
ผมมองรอยยิ้มบางของมัน โดยไม่ได้พูดอะไร นอกจากกระชับมือของตัวเอง ปล่อยให้ความเงียบและเวลาเคลื่อนผ่าน จนกระทั่งเราสองคนเดินทางถึงรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่ไม่เข้าพวกในสถานที่แห่งนี้
พวกเราปล่อยมือออกจากกัน และเมื่อผมเข้าไปนั่งในรถแล้วติดเครื่องยนต์ ผมก็หันกลับไปมองอีกคนที่ยืนมองอยู่
"แล้วเจอกันนะพี่อิง"
"อืม"
ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะขับรถไปไหน ผมก็ต้องเลื่อนกระจกลงด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินเสียงเคาะเรียก
"จูบลากันหน่อยสิครับ"
ไอ้เล้งเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากของเราสองคนจะสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาและแนบแน่นขึ้นในวินาทีต่อมาแล้วยุติลง เมื่อความรู้สึกได้ถูกส่งต่อให้อีกคนจนพอใจ
"ถึงแล้วจะโทรมาบอก"
"เป็นเด็กดีแบบนี้ จะรีบให้ป๊าไปสู่ขอนะครับที่รัก"
"เดี๋ยวเถอะ"
ผมมองคนที่ยืนยิ้มแป้นอย่างคาดโทษ ก่อนจะเลื่อนกระจกปิด แล้วเริ่มขับรถออกมา โดยที่สายตาก็ยังมองคนที่ยืนห่างออกไปเรื่อยๆ ผ่านกระจกมองหลังแล้วถอนหายใจ
ถ้าจะต้องสู่ขอกันจริง ขายสมบัติจนหมดตัว จะพอสำหรับสินสอดขอลูกชายบ้านนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้...
.........
อาจเป็นเพราะตื่นเช้าจนเคย ทั้งที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่างกายก็ปลุกเองโดยอัตโนมัติ ทว่าทันทีที่ลืมตาขึ้น ผมก็พบว่าไม่ใช่ความเคยชินของร่างกายอย่างที่คิด แต่เป็นเพราะขาของใครอีกคนที่พาดมาที่กลางท้องของผมต่างหาก
ผมถอนหายใจ ก่อนดันขาของคนที่นอนด้วยกันออก เมื่อคืนนี้ผมเข้านอนก่อนไอ้เล้งครับ เพราะเหนื่อยกับงานที่บริษัท ส่วนมันนั่งดูหนัง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า อีกฝ่ายเข้านอนตอนไหน แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ถ้าไม่จำกัดพื้นที่ คนนอนดิ้นก็ออกลีลาเต็มที่
ผมจัดท่าของคนที่ยังนอนหลับให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะใช้วงแขนของตัวเองล็อกไม่ให้คนนอนดิ้นออกลวดลายได้อีก แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
สัมผัสที่ข้างแก้มเรียกให้ผมหลุดจากภวังค์ของการพักผ่อน หลังจากเปลือกตาเปิดขึ้น ผมก็เห็นดวงตาอีกคู่ที่กำลังมองอยู่ ก่อนที่ผมจะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่อยู่ไม่ห่าง ตามมาด้วยความอุ่นของริมฝีปากที่แนบชิดและความนุ่มของปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันจนเกิดเสียงครางแผ่วลอดผ่าน
"เมื่อคืนหนีนอนก่อน วันนี้ต้องทำของโปรดให้กูกินด้วย"
"ไร้สาระ"
"พี่อิงผิดนะเว้ย แล้วเรื่องปากท้องกับความชอบไม่ใช่เรื่องไร้สาระด้วย"
"เพ้อเจ้อ"
"พี่อิง...."
"ทำอะไรให้แดก ก็แดกไป อย่าเรื่องมาก"
ไอ้เล้งทำหน้างอใส่เล็กน้อย แล้วลุกขึ้นนั่ง ผมปรับสายตาและสติให้เข้าที่อีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งตามอย่างเชื่องช้า
"ไปอาบน้ำได้แล้ว"
ไอ้เล้งส่งสายตาไม่ชอบใจมาให้ผมอีกรอบ แต่มันก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าอาบน้ำเสร็จ ของโปรดที่ต้องการก็วางอยู่บนโต๊ะนั่นแหละครับ
บางทีไอ้เล้งก็ทำงอนเล่นไปอย่างนั้น เหมือนกับผมที่พูดไม่ดียังไง ก็ทำตามใจมันตลอด
ผมยิ้มกับตัวเอง แล้วเดินเข้าห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ไอ้ตัวแสบอย่างอารมณ์ดี
.........
"วันนี้ไปดูหนังกัน"
"ก็ได้"
ผมมองคนตรงหน้าเล็กน้อย พร้อมกับนั่งกินอาหารเช้าของตัวเองไปเรื่อย โดยที่มีเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นต่อ
"เสร็จแล้ว ก็ไปกินอาหารญี่ปุ่นต่อ"
"อืม"
"แล้วตอนเย็นก็ไปกินสุกี้กันนะ หรือว่าจะซื้อมาทำกินที่นี่ดีวะ"
ผมมองคนที่ทำหน้าครุ่นคิด แล้วกลับมาสนใจมื้อเช้าของตัวเองอีกครั้ง พลางตอบคำถามของมันแบบไม่ใส่ใจนัก
"กินที่ร้าน กูขี้เกียจเก็บ"
"อะไรวะ ทำไมเป็นคนขี้เกียจอย่างนี้ เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า"
ผมส่งสายตาดุไปให้ แต่คนตรงหน้าก็ไม่สะเทือนอะไร แล้วยังพล่ามต่อไปอย่างต่อเนื่อง
"แต่กูอยากกินที่นี่ว่ะ พี่อิงไปซื้อมาทำเองเถอะ อยากให้มึงลวกให้ด้วยอ่ะ"
อยู่ที่ร้านกูก็ทำให้ได้...
"นะครับพี่อิง"
"เออ"
ผมมองรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ มาจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่า เผลอไปรักไอ้เล้งได้ยังไง แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ...แค่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขก็พอ
"พี่อิง กูอยากเลี้ยงหมาว่ะ"
"กูก็เลี้ยงอยู่นี่ไง ไอ้หมาเล้ง"
"โหย....ไม่ใช่แบบนั้นดิ แบบหมาพันธุ์เล็กอ่ะ เมื่อวานมีนแม่งซื้อชิวาวาให้พี่กลมเว้ย โคตรน่ารัก"
ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยสนใจนัก ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
"เลี้ยงตัวเองให้รอดก็พอ"
"ไม่เอาอ่ะ กูอยากมีสัตว์เลี้ยงบ้าง"
"งั้นเลี้ยงปลาทองหรือไม่ก็ปลาหางนกยูงไป"
"แต่..."
"อย่าให้กูพูดซ้ำ"
ผมมองไอ้เล้งอย่างจริงจัง ถึงผมจะตามใจมันประจำ แต่บางเรื่องก็อ่อนข้อให้ไม่ได้ ไอ้เล้งทำหน้างอใส่ แล้วแย่งไก่ทอดชิ้นสุดท้ายที่ผมกำลังจะหยิบกินไปต่อหน้าต่อตา
"กูไม่เลี้ยงปลาทองหรือปลาหางนกยูงหรอก กูจะเลี้ยงปลาสิงโต!"
"เรื่องของมึง"
ผมมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ ไอ้เล้งก็ยังมีสีหน้าขุ่นเคืองอยู่ อันที่จริงผมก็ทำงานมาหลายปีแล้ว ส่วนไอ้เล้งก็เริ่มทำงานที่บริษัทได้เกือบปีแล้วเหมือนกัน โดยรวมก็มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิพอสำหรับการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ได้แล้ว
"เล้ง แล้วถ้ากูจะเลี้ยงบ้าง มึงจะว่ายังไง"
"เลี้ยงอะไรวะ"
ไอ้เล้งมองผมอย่างสงสัย ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเรื่องที่ครุ่นคิดกับตัวเองมาพักใหญ่แล้ว
"กูว่าจะหาเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกสักคน"
ไอ้เล้งเบิกตากว้าง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
"เฮ้ย! จริงเหรอ!"
"อืม คุณแม่อยากเล่นกับหลานน่ะ"
เมื่อหลายวันก่อนคุณแม่กับป๊าเปรยกับผมว่าเหงา น่าจะมีเด็กมาวิ่งเล่นให้ปวดหัวบ้างครับ ซึ่งถ้อยคำบอกเล่าที่แจ้งเจตนารมณ์ชัดเจน ก็ทำให้ผมต้องขบคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เคยนึกมาก่อน
"งั้นกูไม่เลี้ยงปลาสิงโตแล้ว! จะรอเลี้ยงลูกกับมึง!"
ไอ้เล้งมองผมอย่างกระตือรือร้น ผมยิ้มออกมา เมื่อเห็นสายตาแวววาวที่เต็มไปด้วยความดีใจของอีกฝ่าย
"อืม ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้อีกทีแล้วกัน"
ผมไม่อยากรีบร้อน เพราะรู้ดีว่า การเลี้ยงดูเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังไม่มีความผูกพันทางสายเลือดด้วย เราสองคนคงต้องใช้เวลาศึกษาอะไรอีกหลายอย่างเลยล่ะตรับ
"ผู้หญิงหรือผู้ชายดีวะ กูว่าผู้ชายดีกว่า"
"ก็บอกว่า ไว้ค่อยคุยกันอีกทีไง"
ผมมองไอ้เล้งที่ยังคุยหัวข้อชวนตื่นเต้นไม่หยุด จนกระทั่งเวลามื้อเช้าจบลง แล้วเราสองคนก็เตรียมตัวออกจากห้อง เพื่อไปดูหนังตามที่อีกฝ่ายวางแผนเอาไว้
"ไปดูหนังสยองขวัญนะ ถ้ากลัวก็กอดกูได้"
ไอ้เล้งหันมายักคิ้วให้ ผมก็เลยผลักหัวของมันไปทีหนึ่ง ก่อนที่เราสองคนจะเดินออกจากลิฟต์ แล้วตรงไปที่ลานจอดรถของคอนโดอย่างไม่รีบร้อน
ถึงผมจะไม่เคยคิดว่า ชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ยังไง แต่ก็รู้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญเป็นตัวขับเคลื่อน แม้ว่าจะติดขัดหรือมีอุปสรรคระหว่างทาง แต่ถ้าหากไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง ต่อให้ลำบากแค่ไหน ก็ยังสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้ต่อ
ตราบเท่าที่ความรักของเราสองคนยังเติมเต็มชีวิตให้กันและกันครับ
.
.
.
End...
Marionetta :: ดีต่ะ ในที่สุดอิงอิงกับนังเล้งา็มาถึงจุดสุดท้าย ขอบคุณทุกความคิดเห็นและกำลังใจที่มีให้มาตลอดนะคะ
แต่เรื่องราวของทั้งสองคนยังมีให้ติดตามต่อในตอนพิเศษฉบับรวมเล่มค่ะ

ท่านใดสนใจ สามารถคิดคามได้ที่
http://marionetta.lnwshop.comขอบคุณอีกครั้งและช่วยสนับสนุนผลงานต่อไปด้วยนะคะ