『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018  (อ่าน 62648 ครั้ง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
นายพรานวางกับดัก5: โดนล่อลวงเข้าให้แล้ว (2/2)


หลังเฝ้ารอแล้วรอเล่าจนเกือบถอดใจ แต่แล้วในเวลาบ่ายกว่าๆ ประตูห้องพักของผมก็ถูกกระแทกเปิดจนได้

“ไอ้พี่ภู!!”

คนตะโกนเรียกชื่อผมบุกเข้ามาอย่างพายุ ใบหน้าพราวด้วยหยดน้ำ ไร้รอยสีม่วงให้เห็นอย่างน่าเสียดายเล็กน้อย แต่แมวเถื่อนไม่ให้เวลามองนาน มันวิ่งกระโจนเข้าใส่จนผมหมุนตัวหลบแทบไม่ทัน

“อย่าหลบสิวะ!”

“ไม่หลบก็ได้ มาสิ” ผมกางแขนอ้าออกรออีกฝ่าย เผื่อมันกระโดดเข้ามาในอ้อมกอด แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ดูสิ บาทาของมันกำลังพุ่งเข้าใส่ขนาดนี้ ผมรีบก้าวถอยหลังสองก้าวถึงจะหลบปลายเท้าที่ทำท่าจะเสยคางได้สำเร็จ

“ไหนว่าจะไม่หลบไง!”

“กูไม่ได้รับปากสักหน่อย”

ผมตอบหน้าตายเลยโดนแมวเถื่อนสบถใส่ ตามด้วยคำด่าอีกชุดใหญ่

อ่า…ต้องแบบนี้สิ ค่อยหายคิดถึงมันหน่อย

ผมฟังเสียงด่าอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งคนด่าเหนื่อยถึงได้เป็นฝ่ายถามบ้าง

“มึงได้กินข้าวมันไก่ยัง?”

แมวเถื่อนแยกเขี้ยวใส่ผมทันที “ถ้ากูไม่ต้องไปล้างรอยบนหน้าออกที่ห้องน้ำ แล้ววิ่งโร่มาเอาเรื่องคนทำอย่างมึง กูคงได้กินไปนานแล้ว!”

ขนาดตอนโมโหก็ยังดูน่ารักเลยวะ

ผมพยายามกลั้นยิ้มกับความน่ารักที่ได้เห็นในตอนนี้ แต่ดูท่าไม่รอดเลยตรงไปจับข้าวยำหันหลัง มันไม่เห็นแล้วก็ยิ้มได้เต็มที่ เสียก็แต่แมวของผมดูจะสงสัยอย่างหนัก

“จับกูหันทำไมเนี่ย”

“ไปห้องมึงกัน” พูดแล้วก็ต้องดันตัวให้มันเดินนำหน้าด้วย จะได้สมจริงไร้ข้อกังขา แต่สงสัยจะไม่ได้ผล เพราะแมวของผมก็ยังสงสัยอยู่ดี

“จะไปทำไมวะ”

“เอาน่า เดินไปๆ”

อาศัยช่วงเวลาเดินไปห้องอีกฝ่ายพยายามนึกหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลไปด้วย แต่พอเปิดประตูเข้าไป กลับเจอวินกำลังโส้ยข้าวมันไก่กล่องที่สองอยู่พอดี

“ข้าวมันไก่ของกู!!”

แมวเถื่อนโวยลั่นจนคนกำลังกินถึงกลับสำลักข้าวด้วยความตกใจ

“แค่กๆๆ”

เดือนวิศวะคว้าถุงน้ำชุปเทกรอกคอจนเกือบหมด แล้วสำลักไออยู่พักใหญ่ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาพูดแก้ตัว “กูนึกว่ามึงไม่มากินแล้วก็เลยเหมาลงท้องสองกล่องรวด”

ข้าวยำสบถด่าเพื่อนไปหนึ่งที ทำท่าจะไปวางมวยชาวบ้าน เดือดร้อนผมต้องจับตัวมันไว้ก่อน แล้วต้องรีบพูดปลอบแมวกำลังเดือด “ใจเย็นน่า เกิดมึงไปชกหน้าสมบัติคณะเข้า เดี๋ยวได้โดนรุ่นพี่ด่าเข้าหรอก เพื่อนมึงยังต้องใช้หน้าไปชิงตำแหน่งเดือนมหา’ลัยอยู่”

“กูไม่ชกหน้ามันหรอกน่า! แล้วมึงก็กล้าพูดนะ ละเลงหน้าสมบัติคณะซะไม่มีดีแบบนั้นน่ะ!”

แมวเถื่อนชี้นิ้วไปทางเพื่อน หลักฐานสีม่วงๆ เลอะๆ ยังอยู่หน้าของวินเท่าเดิมอยู่เลย

...มันไม่คิดจะไปล้างหน้าบ้างหรือไง

ผมแสร้งเปลี่ยนเรื่องทันที “ไปๆ เดี๋ยวกูพามึงไปกินข้าวเอง” พูดจบก็รีบลากตัวคนโมโหหิวออกห่างจุดเกิดเหตุ จนมาถึงหน้าบันไดค่อยปล่อยตัวให้ข้าวยำเดินเอง ถึงอย่างนั้นคนอารมณ์เสียก็ยังบ่นไม่หยุด 

“มึงรังแกกูไปคนแล้ว วินยังรังแกกูอีก ไม่ยุติธรรมเลย!”

“เพื่อนมึงไม่ได้ตั้งใจมากกว่ามั้ง” ผมว่าพลางรั้งตัวคนที่ทำท่าจะเดินลงบันไดไปชั้นหนึ่ง “แวะห้องกูไปเอากระเป๋าตังค์ก่อน”

เรากลับมาที่ห้องของผมอีกครั้ง ระหว่างที่หยิบของจำเป็นต้องพกออกไป ผมก็หันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “มึงอยากกินอะไรล่ะ กูจะได้พาไปเลี้ยงถูกที่”

“จะเลี้ยงจริงดิ?” น้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อ

“เออ ถือเป็นรางวัลของความพยายามเมื่อวานไง”

“งั้นไปซีสเลอร์กัน นะๆ กูอยากกินสเต็ก”

ทีแบบนี้ถึงเข้ามาคลอเคลีย เหอะ!

แม้ชอบใจอยู่บ้าง แต่ความหมั่นไส้มีมากกว่าเลยถามคนออดอ้อนไปเสียงเข้ม “คิดเกรงใจกูบ้างไหม?”

“ไม่!”

ดูมันตอบ!

เอื้อมมือไปกดหัวคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ ไหนๆ ก็ได้จับหัวแล้วเลยจัดการขยี้ผมด้วยเลย

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!” ข้าวยำพยายามปัดมือออก แต่ไม่สำเร็จ “ปล่อยนะ”

ผมมองคนหัวยุ่งเหยิงอยู่อึดใจหนึ่งจึงตัดสินใจได้ในที่สุด

“พาไปก็ได้วะ”

ข้าวยำหยุดชะงักกะทันหัน ทั้งเงยหน้าขึ้นถามด้วยดวงตาวิบวับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“จริงนะ?”

“เออ”

“เย้!”

เออ กระโดดเข้าไป น่าหมั่นไส้โว้ย!

ผมเอื้อมจับหลังต้นคอ ดึงตัวคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ให้หงายหน้าขึ้นรับสัมผัสที่ริมฝีปาก ได้กวาดชิมรสจนพอใจถึงค่อยปล่อยตัวอีกฝ่ายเป็นอิสระ รสชาติยาสีฟันยังติดปลายลิ้นผมมาอยู่เลย ส่วนคนโดนจูบกำลังทำหน้าอึ้งเหมือนคาดไม่ถึง แต่พอตั้งตัวได้ก็ส่งสายตาเกรี้ยวกราดใส่ผมทันที

“มึงทำแบบนี้กับกูอีกแล้วนะ!”

“แค่จูบเอง เป็นค่าตอบแทนที่กูต้องขับรถพามึงไปกินไง”

“ค่าตอบแทน!” มันทวนคำเสียงดัง หน้าตานี่บูดบึ้งเชียว “ทีหลังหัดบอกกันก่อนสิโว้ย กูจะได้ไม่หลวมตัวไปตกลงกับมึง”

“แล้วจะไปไหม?”

“ไป!”

“งั้นมึงควรไปอาบน้ำได้แล้ว หรืออยากไปในสภาพเน่าๆ แบบนี้กูก็ไม่ว่า”

ข้าวยำก้มหน้ามองตัวเองเพียงครู่เดียวก็วิ่งปรู๊ดไปทางประตูห้อง คว้าลูกบิดประตูได้ก็หันหน้ากลับมาชี้นิ้วใส่ “ต้องอยู่รอนะโว้ย ห้ามไปก่อนเด็ดขาด”

ปัง!

สิ้นเสียงปิดประตู ผมก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทันที คิดไปได้ไงว่าผมจะไปก่อน...อ้อ สงสัยจะกลัวโดนผมแกล้งให้ไปเองล่ะมั้ง ฮ่าๆๆๆ

-------------

“กูเอานี่ กับนี่ แล้วก็นี่ ฝากสั่งให้กูด้วยนะ”

ผมมองตามนิ้วชี้ของแมวเถื่อนที่เลื่อนไปตามเมนูที่ต้องการอย่างรวดเร็ว มันเล่นจิ้มเอาๆ แบบไม่เกรงใจกระเป๋าตังค์ผมเลย พอพูดจบก็ลุกไปลั้ลล้าแถวสลัดบาร์ทันที ทิ้งให้ผมนั่งเฝ้าโต๊ะ มองเมนูที่ยังกางค้างอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย

มันจะกินหมดไหมวะ หรือผมต้องช่วยกิน?

เดี๋ยวสิ หรือว่ามันจะ...

ความคิดของผมถูกขัดจังหวะด้วยเสียงพนักงานที่มารับออเดอร์ ผมพูดสั่งทุกเมนูตามที่แมวเถื่อนบอก แล้วสั่งของตัวเองเพิ่มอีกหนึ่ง ตามด้วยโค้กรีฟิวอีกสอง

“แค่นี้แหละครับ”

พนักงานทวนรายการอาหารครู่หนึ่งก็จากไป ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาก็มองตามคนคีบนู้นคีบนี้ใส่จานอยู่โซนสลัดบาร์แล้วยกยิ้มมุมปาก หึ ถ้ามันคิดแกล้งกันด้วยการอยากให้ผมจ่ายเยอะๆ ล่ะก็ ผมก็มีวิธีแก้เผ็ดกลับเหมือนกัน เอาให้จำไปเลยว่าคราวหลังไม่ควรเล่นไม้นี้กับผมอีกเด็ดขาด

แต่พอเห็นมันกินเอาๆ ไม่สนใจใครแล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าผมอาจคิดมากไป และเริ่มสำนึกได้ว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่าง

...ลืมไปว่าแมวผมมีกระเพาะหลุมดำ

คิดพลางลอบถอนหายใจ เริ่มเห็นอนาคตลางๆ เลยว่า แค่เลี้ยงมันคนเดียว ผมก็จนแล้วแหงๆ

“มึงไม่กินเหรอ”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นคนเอาแต่กินเงยหน้าขึ้นมาถาม “...ดูมึงกินก็อิ่มแล้ว”

ข้าวยำทำหน้าเจื่อน เหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเอาแต่กินไม่สนใจคนร่วมโต๊ะอย่างผมเลย มันถึงได้ตัดแบ่งเนื้อไก่ในจานมาให้ผม “อันนี้อร่อยนะ กูให้ชิม”

ในเมื่อแมวเอาของมาง้อ ผมก็จิ้มเนื้อไก่ที่ว่าเข้าปากสิ แต่ยังไม่ทันได้เคี้ยวก็ต้องชะงักกับคำพูดของคนร่วมโต๊ะอาหาร

“กูให้มึงแล้ว ตากูขอชิมจากมึงบ้างนะ”

เนื้อย่างในจากผมถูกหันไปชิ้นใหญ่กว่าที่ผมได้มาตั้งเท่าหนึ่ง ไม่ทันได้ทักท้วงก็โดนแมวฉกหายเข้าไปในปากอย่างไว

นี่เองเรอะที่มาของแมวขโมย!

เมื่อโดนโกงขนาดนี้ใครจะยอมอยู่เฉย ผมหันไปมองจานสเต็กที่ยังไม่มีใครแตะต้อง แล้วจัดการหันเนื้อในจานนั้นเข้าปากเย้ยคนร้องโวยลั่น

“เฮ้ย! นั่นของกูนะ!!”

ผมรีบเคี้ยวแล้วกลืนลงคอเพื่อพูดประโยคนี้โดยเฉพาะ “แต่ตังค์กูจ่ายไหมล่ะ?”

แมวเถื่อนหน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันที เห็นแล้วสบายตาสบายใจจริงๆ จากนั้นข้าวยำก็เอาแต่กินๆๆ แล้วก็กินด้วยระดับความเร็วมากกว่าปกติ โดยมีผมร่วมแย่งกินด้วยความหมั่นไส้เป็นระยะ รู้ตัวอีกทีก็อาหารบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง

เอิ๊ก...อิ่มเป็นบ้า

“กูขอสั่งเพิ่มได้ไหม?”

ผมมองคนพูดขอร้องด้วยความตะลึง มันยังจะกินต่ออีกเรอะ!

“สั่งเพิ่มแล้วจะกินหมดเรอะ”

“หมด! และกูคงอิ่มไปแล้วถ้ามึงไม่แย่ง!”

ความผิดผมซะงั้น

“...ตามใจ แต่ถ้ามึงกินไม่หมด กูจะบังคับมึงพูดขอพนักงานให้ช่วยห่อกลับบ้าน”

ขู่ส่งท้ายตามแผนแก้เผ็ดที่คิดเอาไว้ว่าคนอย่างมันไม่น่าจะพูดขอห่อกลับให้ได้อายหรอก แต่คนฟังกลับดูไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น หันไปยกมือเรียกพนักงานมาสั่งสเต็กเพิ่มอีกจาน แล้วลุกไปแถวสลัดบาร์เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ขี้เกียจนับแล้ว

ผมดึงมือถือจากกระเป๋ากางเกง เอาขึ้นมาถ่ายซากอารยธรรมบนโต๊ะ แล้วอัพรูปพร้อมข้อความลงเฟสบุ๊คที่ไม่ค่อยได้เข้าไปอัพเดตอะไรเท่าไหร่ แต่วันนี้โคตรอยากบอกให้โลกรู้

เลี้ยงแมวเพียงตัวเดียวก็ทำกูจนได้ #ตัวก็แค่เนี่ยจะกินจุไปไหนวะ

ทาสแมววาวีมากดถูกใจคนแรกเลย แถมยังล้อกลับมาอีก

วาวี: ท่าทางแค่หุ้นบริษัทคงไม่พอแล้วล่ะ มาทำงานกับกูดีกว่าไหม มีค่าแรงเพิ่มให้ด้วยนะ
ภูคำ: เหอะๆ
วาวี: ว่าแต่น้องรัก แมวตัวนี้ใช่ตัวเดียวกับที่พาไปบ้านวันนั้นหรือเปล่า
ภูคำ: แมวของกู ไม่เกี่ยวกับมึง
วาวี: ถ้าเป็นว่าที่น้องสะใภ้ก็เกี่ยวแน่
ภูคำ: โปรดอย่าเผือก แล้วไสหัวไปดูแลเจ้านายทั้งหลายที่บ้านไป๊

ผมกดออกจากแอพอย่างอารมณ์เสีย แต่พี่วีกลับตามราวีในไลน์ต่อ ผมเลยกดปิดเสียงแล้วยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแมวเถื่อนเดินถือจานสองใบกลับมานั่งกินที่โต๊ะแล้ว

ผมยกแขนเท้าคางกับโต๊ะ มองคนตรงข้ามนั่งกินนู้นกินนี่อย่างมีความสุขก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

หึ เอ็นจอยกับการกินจริงๆ

แต่พอเหลือบเห็นจานกองพะเนินบนโต๊ะก็เผลอหุบยิ้มกะทันหัน

มิน่าล่ะ ตอนผมบอกว่าจะเลี้ยงถึงได้ถามย้ำ ไหนจะเรื่องกลัวผมหนีไปก่อนอีก...ก็เล่นกินล้างกินผลาญขนาดนี้จะมีใครกล้าเลี้ยงมันวะ

-------------

“อ่า อิ่มสุดๆ ไปเลย”       

ผมนิ่วหน้าใส่คนเดินลูบท้องข้างๆ แล้วชูใบสลิปค่าอาหารเมื่อครู่ตรงหน้ามัน โปรดดูราคาอาหารที่ต้องใช้บัตรเครดิตรูดจ่าย ผมยังไม่เคยจ่ายเงินเลี้ยงข้าวใครเยอะเท่านี้เลย!

“แหะๆ”

ยังมีหน้ามาหัวเราะแหะๆ อีก!

“ปกติมึงจ่ายเงินค่าอาหารแบบนี้เรอะ”

“ไม่อ่ะ ถ้ากูต้องจ่ายเองคงไม่มากินหรอก”

เยี่ยมมาก!

นึกประชดในใจ นี่ผมโดนแมวลวงมาจ่ายค่าอาหารให้สินะ แม่ง เห็นคำว่าขาดทุนลอยว่อนในหัวเลย

ไม่ได้แล้ว! งานนี้ต้องคิดหาวิธีเรียกกำไรกลับคืนมาบ้าง

“มึงๆ แวะร้านหนังสือการ์ตูนกัน”

ผมรีบซ่อนแววตาที่กำลังคิดแผนการร้ายทันที “เออๆ” รับคำแล้วก้มมองมือตัวเองที่โดนอีกคนลากตัวเข้าร้านหนังสือการ์ตูน แล้วโดนจับอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าตัวเจอหนังสือการ์ตูนที่ต้องการถึงปล่อยมือ เอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มนั้นแทน

“เรื่องนี้สนุกนะ กูแนะนำ” ข้าวยำยิ้มร่าเริง “กูมีเก็บทุกเล่มเลย มึงมาขอยืมไปอ่านจากกูก็ได้นะ”

ผมมองหนังสือการ์ตูนแนวต่อสู้ผจญภัยแวบหนึ่ง แล้วพูดไปเรียบๆ “...ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

แต่เหมือนข้าวยำจะไม่ได้สังเกตว่าผมไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือการ์ตูนเท่าไหร่ มันถึงได้ลากผมไปแนะนำเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างกับเด็กอวดของเล่น แล้วยังซื้อที่ออกใหม่มาอีกหลายเล่มด้วย เห็นราคาแต่ละเล่มก็เผลอขมวดคิ้ว เพราะจำได้ว่าพวกการ์ตูนที่เก็บในชั้นหนังสือห้องพี่วีราคาถูกกว่านี้นี่หว่า

“...หนังสือการ์ตูนขึ้นราคาเหรอ” ผมถามอย่างข้องใจ

ข้าวยำมองมาอย่างประหลาดใจ “ขึ้นมานานแล้วนะ...อ้อ มึงคงไม่ได้อ่านการ์ตูนมานานแล้วล่ะสิเลยตกใจราคาตอนนี้ใช่มะ”

ผมไม่ได้ตอบกลับไป ข้าวยำก็ไม่ได้แซวอะไรต่อ แถมยังเปลี่ยนเรื่องชวนคุยนั่นคุยนี้อย่างร่าเริง แต่พอโดนผมพูดแหย่ให้โกรธก็กลับเป็นแมวขี้หงุดหงิดทันที แต่พอเจอสิ่งดึงดูดใจที่ชอบก็กลับไปอารมณ์ดีอีกครั้ง

อืม...เป็นพวกโกรธง่ายหายเร็วสินะ

ระหว่างเดินเล่นเรื่อยเปื่อยในห้าง ผมก็ถูกพวกเอโทรมาชวนไปกินเหล้า ตอนแรกว่าจะไม่ไป แต่พอเห็นข้าวยำก็เปลี่ยนใจกะทันหัน

“ไปก็ได้ แต่กูจะพารุ่นน้องไปด้วยคนหนึ่ง”

[ใครวะ?]

“ข้าวยำ”

เจ้าของชื่อหันมามองผมอย่างสงสัย ส่วนปลายสายก็ตอบรับเสียงระรื่นมาทันทีที่ได้ยินชื่อรุ่นน้องคนนี้

[ได้เลย]

หลังวางสายก็เจอสายตาจ้องเขม็งใส่ หึ ถึงไม่จ้องแบบนี้ผมก็จะบอกมันอยู่แล้ว

“เพื่อนกูชวนมาไปกินเหล้า จะไปไหม”

“อยาก แต่พรุ่งนี้กูมีเรียนเก้าโมง”

“กูก็ด้วย เพราะงั้นไม่อยู่ดึกหรอกน่า”

แมวเถื่อนรีบพยักหน้าหงึกๆ ตอบรับคำชวน พวกเราเลยตกลงกันว่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลาในห้างก่อน แล้วค่อยตรงไปร้านนั่งเล่นเจ้าประจำตามเวลานัดหมาย แต่ไม่รู้ทำไมคราวนี้ผมกลับเลี่ยงโซนเกม แล้วพามันตระเวนหาอะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ไปเรื่อยแทน ผมน่ะอิ่มจนไม่รู้จะอิ่มยังไง ผิดกับข้าวยำที่มันกินได้เรื่อยๆ เหมือนกระเพาะไม่มีวันถมเต็ม

“...กูว่ามึงควรกินยาถ่ายพยาธิสักหน่อยนะ” ผมออกความเห็น

ข้าวยำดึงช้อนไอติมออกจากปากทันที “กินทำไมวะ?”

“เผื่อมึงมีพยาธิคอยแย่งชิงสารอาหารน่ะสิ”

มันทำท่าไม่ค่อยแน่ใจทันที “...แต่กูว่าไม่มีนะ”

“มีหรือไม่มีก็ลองกินไปก่อนเหอะน่า!”

-------------

ไหนวะ คนที่บอกผมว่ามีเรียนเช้า

ผมแบกคนเมาขึ้นหอพักอย่างหงุดหงิดเล็กๆ แค่ละสายตาไปห้องน้ำแวบเดียว กลับมาก็เจอแมวขี้เมาตัวหนึ่งแล้ว

ถ้ารู้ว่ามันจะดื่มแทนน้ำขนาดนี้คงไม่พามันไปหรอก...กรณีเป็นคนนิสัยดีคงคิดแบบนั้น

“มึงนี่เป็นพวกเจ็บ แต่ไม่เคยจำชัดๆ”

ผมบ่นคนที่หัวเราะฮิๆ อะไรก็มันก็ไม่รู้ ดูสิ ถูกหลอกมากินเหล้าจนเมาก็ไม่รู้ตัวตั้งแต่ต้นจนจบแบบนี้ แล้วผมจะกล้าปล่อยมันไปกินกับคนอื่นได้ยังไง

“ภู” ข้าวยำเรียกผมเสียงยางคาน

“อะไร”

ไม่มีคำพูดอะไรกลับมา แต่หัวคนเรียกกลับซบกับไหล่ผมอยู่นานจนพาเข้ามาในห้องแล้วนั่นแหละ คนเมาถึงได้ลงจากหลัง แต่แทนที่จะเดินไปหาเตียงอย่างทุกทีกลับตรงมากอดผมซะแน่น

“...อะไรของมึง”

“กู...” มันเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมา แววตานี่หยาดเยิ้มเลย “คือกู...”

พูดแค่นั้นก็เงียบอีกแล้ว ผมแกะมือมันออกจากตัวจะได้เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้คนเมาไปอาบน้ำเรียกสติสักหน่อย แต่กลับโดนข้าวยำรั้งตัวไว้ แล้วยังโดนกระชากคอเสื้ออีก ริมฝีปากของเราสัมผัสกันในวินาทีต่อมา ทำเอาผมคาดไม่ถึงว่าจะโดนแมวเถื่อนจูบก่อน แถมเป็นจูบเรียกร้องอย่างแรงกล้าจนผมมึนงงไปชั่วขณะ

“ภู...”

ข้าวยำเรียกผมเสียงหวานแบบที่ปกติมันไม่มีทางพูดแบบนี้แน่ๆ

“มึงเป็นอะไรเนี่ย!” ผมถามอย่างตระหนก

“ไม่รู้สิ กูร้อนอ่ะ แล้วก็...อยากด้วย” พูดจบมันก็ยิ้มเขินๆ

ผมข่มใจอย่างหนักไม่ให้อุ้มมันไปวางบนเตียง และพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุดเพื่อถามหาความผิดปกติก่อน “ร้อนแบบอยากอาบน้ำ?”

แมวเถื่อนส่ายหน้าปฏิเสธ มันทำหน้าแดงๆ แล้วเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อของผมเฉย ไม่สิ...มือมันกำลังสั่นอยู่ชัดๆ

“มึง...อยากให้กูกอดมากเลยเหรอ?” ผมถามอึ้งๆ

“อือ”

ตอบรับด้วยเว้ย! ผิดปกติแน่แล้วแบบนี้!

ผมรีบดันตัวมันออกห่าง แต่เพียงแค่มือแตะโดนตัว คนตรงหน้าผมก็ครางออกมาทันทีจนต้องรีบปล่อยมือแทบไม่ทัน ข้าวยำออกอาการแปลกๆ ชัดเจน ดูกระสับกระส่ายงุ่นง่านอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ร้อนอ่ะ ทรมานด้วย” พูดพลางโผเข้ามากอดผมอีกรอบ “กอดกันนะภู นะๆ” 

เวรเอ๊ย! ผมสบถอยู่ในใจอย่างเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง และอยากต่อยเพื่อนตัวเองสักหลายๆ ที

ไอ้หมาเลวตัวไหนกล้าเอายาปลุกเซ็กส์ให้แมวกูกินวะ!! 

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2017 17:39:13 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ฮาาาา กลายเป็นแมวยั่ววววว

ออฟไลน์ มะเหมียว17

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 : :mew5: หาเรื่องเจ็บตัวอีกแล้ว  ข้าวยำเอ้ย!!

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอ รู้แล้วสิ ว่าใครเป็นเมียภู  o22
วางยาซะเลย  :hao7:
อย่างนี้ภูก็ยิ้มถูกใจเลยสิ  :laugh: :laugh: :laugh:

ภู รู้ทุกอย่างของยำๆ หมดละมั้ง
ใครเป็นทาสแมวเถื่อนกันนะเนี่ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao3: พี่ภูนี่คงต้องป่วนกับแม่วน้อยไปตลอดแน่ๆ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
นายพรานวางกับดัก6: มันเป็นใคร!


เป็นเรื่อง!

ผมนวดขมับกับปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ว่าจะเรื่องแมวที่ป่วยอีกแล้ว และคราวนี้มันโกรธจัดจนไม่ยอมมองหน้ากัน

“ข้าวยำ...ยำ” ผมเรียกคนป่วยที่น่าจะแกล้งหลับ “ไม่หันมากูจูบนะ”

คนป่วยลืมตามองผมอย่างโกรธๆ

“กูยืนยันได้ว่าไม่รู้เรื่องยา” ผมพูดซ้ำเป็นรอบที่สาม

“แต่พวกนั้นเป็นเพื่อนมึง!”

“เออ เพื่อนกู เป็นรุ่นพี่มึงด้วย กูสิที่ต้องถามว่ามึงไปกินยามาได้ยังไง”

“...”

เห็นมันเงียบแบบนั้น ผมก็เผลอถอนหายใจอย่างระอา แมวของผมจะซื่อไปไหนวะ โดนยามาเมื่อไหร่ก็ท่าจะไม่รู้ตัวเลย คิดแล้วก็เป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน

“ตอบกูหน่อยสิ ช่วงที่กูไปเข้าห้องน้ำ มึงได้ไปวางแก้วจากมือ หรือรับแก้วใครมา หรือส่งแก้วให้ใครไหม”

“กูส่งให้เพื่อนมึงชงเหล้าไง!”

“คนไหนล่ะ เอ? กลม? หรือกังหัน?”

คนถูกถามนิ่วหน้า “...กูจำไม่ได้วะ”

“...สงสัยกูคงต้องไปไล่ต่อยเรียงตัวสินะ”

ผมพูดเสียงเหี้ยม เพราะนึกโมโหตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถึงจะทำให้ผมได้กำไรแบบสุดๆ ก็เถอะ แต่ไอ้ความโกรธที่พวกมันกล้ามาวางยาแมวของผมกลับไม่ลดลงเลย เพราะเกิดเมื่อคืนมันหายออกไปกับคนอื่นเข้าล่ะก็...

เพียงแค่นึกผมก็โกรธหนักกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว! 

“...เอาให้เต็มแรงเลย เผื่อกูด้วย”

นี่ก็ไม่มีห้าม สงสัยจะโกรธมากพอกัน

“ได้ มึงนอนไป เดี๋ยวขากลับกูจะซื้อข้าวมาฝาก”

“เดี๋ยว...แน่ใจนะว่าไม่ใช่แผนมึง?”

ผมปรี๊ดขึ้นมาทันที “กูจะวางยามึงให้เปลืองตังค์ทำไม!”

เพราะแค่มอมเหล้ามันก็เสร็จผมแล้วน่ะ

ได้ออกจากห้องด้วยอารมณ์คุกรุ่นหนักกว่าเก่า ตรงไปชำระความกับเอที่พักอยู่ห้องใกล้สุดก่อน ไปถึงก็เห็นมันกำลังนอนสบายอย่างน่าโมโห ผมเลยกระชากคอเสื้อเพื่อนขึ้นมา พร้อมกับปล่อยหมัดต่อยปลุกไปหนึ่งที

“โอ๊ย! อะไรวะ!”

“บอกกูมาว่ามึงหรือไอ้เลวตัวไหนวางยาข้าวยำ!”

“วางยา? เรื่องอะไรวะ?”

“มึงไม่รู้?”

“รู้ห่าอะไรล่ะ! แล้วมึงต่อยกูทำไมเนี่ย! ซี๊ด!”

ผมปล่อยคอเสื้อเพื่อนที่กำลังจับแก้มข้างที่เจ็บของมัน แล้วรีบหมุนตัวออกจากห้องเพื่อเดินไปหาคนถัดไป แว่วเสียงคนถูกทิ้งตะโกนเรียกจากด้านหลัง แต่ผมไม่สนเดินดุ่มๆ หน้านิ่งต่อไปจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังไล่หลังมา พร้อมไหล่ขวาที่ถูกกระชากให้หันกลับไปมอง

“มึงพูดกับกูให้รู้เรื่องก่อนดิ!”

ผมมองเพื่อนตาขวาง “ถ้าไม่อยากโดนกูต่อยอีกหมัดก็ตามมาเงียบๆ”

เอผงะไปเล็กน้อย มันปล่อยมือออกจากไหล่ผมทันที “เอ่อ กูตามไปเงียบก็ได้”

ระหว่างที่เอเดินตามมา ผมก็ได้ยินเสียงพึมพำคล้ายด่ากันแว่วๆ พวกผมแวะไปหาคนที่สอง เจอกังหันกำลังหลับเป็นสุขอีกคน เลยได้กระชากคอเสื้อต่อยปลุกไปอีกหนึ่งหมัด ทะเลาะกันจนได้รู้ว่ากังหันไม่รู้เรื่องนี้เลย สุดท้ายก็ตามกันมาเป็นทอดๆ และกว่าจะรู้ตัวคนลงมือก็ดันเป็นคนสุดท้ายที่ผมไปหา

“กูขอโทษ! กูไม่คิดว่าจะเป็นยาปลุกของจริง!”

ไอ้คนแก้มบวมตุ่ยทั้งสองข้างยกมือขอโทษขอโพยเหนือหัว

“แล้วมึงไปเอายามาจากไหน!” ผมถามเสียงเข้ม

“จากพี่กูน่ะสิ!” กลมสูดปากเบาๆ ด้วยความเจ็บ “กูถึงนึกว่าโดนหลอกไง!”

พวกผมมองหน้ากัน เพราะใครๆ ก็รู้ว่าพี่กลมเรียนเภสัช แถมยังเป็นพวกชอบแกล้งน้องอย่างหนัก ไอ้กลมที่เป็นน้องชายเพียงคนเดียวเลยโดนหลอกโดนแกล้งมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันนี้มันยังเหลือความเข้าใจแบบผิดๆ ให้พวกผมต้องคอยแก้ไขอยู่เลย

“เล่าตอนพี่มึงให้ยามาดิว่าเขาบอกอะไรมึงไปบ้าง” กังหันพูดสั่งเสียงเข้ม

“ก็...บอกว่าเป็นยาปลุกเซ็กซ์ที่เพื่อนให้มาทดลอง แล้วก็บอกให้กูเอาไปลองใช้จะได้ไม่ซิงให้เป็นที่เวทนาของเพื่อน แต่พอกูเห็นยาเม็ดเดียวที่ได้มาชัดๆ พลิกมองมุมไหนก็ไม่ต่างจากยาบำรุงร่างกายที่พี่ชอบให้กินเลยนี่หว่า กูเลยคิดว่าพี่ต้องหลอกอีกแล้วแน่ๆ”

“แล้วทำไมมึงถึงเอายาไปใส่แก้วยำวะ” เอถามบ้าง

“ก็น้องมันป่วยบ่อย กูเลยยกยาให้น้องมันกินไง”

“มึงบ้าหรือเปล่า ใครเขาเอายาบำรุงให้กินคู่กับเหล้าวะ!”

“มันไม่ใช่แค่ให้กินคู่” กังหันพูดแย้งเอ “ไอ้กลมเล่นแอบใส่ลงไปในแก้วของน้องเลยต่างหาก”

กลมกระพริบตาปริบ “ก็กูไม่อยากให้น้องระแวงกูนี่ แล้ว...ไม่ใช่ว่าต้องให้ยาบำรุงละลายในน้ำก่อน ค่อยดื่มเหรอวะ”

เอกับกังหันประสานเสียงใส่กันที “พี่มึงเป็นคนบอกอีกแล้วใช่ไหม!”

“อืม กูเองก็กินแบบนั้นประจำ...มันไม่ใช่เหรอวะ?”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ!”

ระหว่างที่สองเพื่อนสอนสั่งคนโดนพี่แกล้งให้เข้าใจวิธีกินยาบำรุงใหม่ ผมก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะต้นเหตุของเรื่องนี้โคตรงี่เง่า แต่ดันสร้างเรื่องได้น่าปวดหัวสุดๆ

“กูกลับไปหายำก่อนแล้วกัน”

“เดี๋ยวเพื่อนเดี๋ยว” เอรีบรั้งผมไว้ “กูมีคำถามสำคัญมากต้องถามมึงให้ได้”

“...อะไร”

เอกลืนน้ำลายลงคอ “ยำ...เสร็จมึงไปแล้วสินะ”

สิ้นคำถาม กังหันกับกลมก็หันมองผมทันที แววตาเหมือนคาดหวังบางอย่าง แต่ก็ดับวูบไปทันทีที่ได้ยินเสียงผมคำรามตอบ

“จะเหลือเรอะ!”

“ตะ แต่น้องมันก็มีแฟนแล้ว มึงเองก็มีเมียแล้ว ก็...ปล่อยๆ ผ่านไปเถอะนะ”

ผมจ้องกลมเขม็งจนร่างที่อุดมด้วยไขมันสะดุ้งโหยงอย่างกับกระต่ายตื่นตูม จ้องคาดโทษอยู่สักพักก็ละสายตาไปหาเพื่อนอีกสอง

“ข้าวยำอยู่ห้องกู จะตามไปดูอาการไหม แต่กูขอแวะไปซื้อข้าวให้น้องมันก่อนนะ”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกผมยกโขยงกลับห้องพร้อมของกินก็พบว่าข้าวยำกำลังหลับสนิท เพื่อนทั้งสามเลยทำแค่มองดูสภาพน้องอย่างสงสาร แล้วตวัดตามองผมเหมือนจะด่า ผมเลยเลิกคิ้วขึ้นสูงทำหน้าประมาณพวกมึงควรโทษกูเรอะ กลมเลยถูกเพื่อนสองคนหันไปจ้องแทนจนเหงื่อแตกซิกๆ

ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน เพื่อนสามคนนั้นก็เอาแต่มองคนป่วยเงียบๆ จนกระทั่งเหลือเวลาอีกสี่สิบห้านาทีจะถึงเวลาเข้าเรียนคาบแรก พวกมันถึงค่อยทยอยออกจากห้องไป มีผมเดินตามออกไปส่งถึงหน้าห้อง แล้วถือโอกาสบอกสั้นๆ

“วันนี้กูโดดนะ”

พวกมันพยักหน้ารับรู้ให้เห็น ผมเลยดึงประตูปิดพร้อมกดล็อกไปด้วยเลย ป้องกันคนมารบกวน เพราะพอผมหายโมโหถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่ข้าวยำที่เพลียหนัก ผมก็ด้วย...ไม่รู้พี่ไอ้กลมเอายาแบบไหนมาให้ถึงได้แรงขนาดรีดน้ำออกจากผมจนแห้งเหือดขนาดนี้

...แต่จะไปนอนกอดแมวป่วยเหมือนตอนอยู่คอนโดพี่วีก็ไม่ไหว เพราะที่นี่ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ไปนอนกอดกันตอนแดดสาดส่องขนาดนี้คงนอนไม่สบายตัวกันทั้งคู่ ทางเลือกของผมเลยจบที่เตียงของนัทแทน พร้อมความคิดที่ว่าผมควรหาคอนโดอยู่ได้แล้วผุดขึ้นมาก่อนผล็อยหลับไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบเที่ยง ผมเลยปลุกคนป่วยกินข้าวกินยา แล้วเอาผ้าขนหนูออกไปชุบน้ำด้านนอกมาเช็ดตัวให้ เอาเสื้อผ้าของผมให้มันใส่แทนไปก่อน ผมอยู่ดูแลคนป่วยทั้งวัน ตกเย็นก็ออกไปหาซื้อข้าวที่โรงอาหารเลยได้เจอหน้าคนอื่นบ้าง

ตอนแรกที่โดนเพื่อนรุ่นเดียวกันมองบ่อยๆ ก็ยังไม่คิดอะไรมาก จนกระทั่งพวกสนิทกันเข้ามาคุยด้วยถึงได้รู้ว่าเรื่องของผมกับข้าวยำกระจายออกไปในหมู่เด็กวิศวะปีสองแล้ว

ไอ้สามตัวนั้น!

ผมกัดฟันนึกถึงหน้าเพื่อนสามคนที่ไปต่อยมาเมื่อเช้า

ใครปล่อยข่าววะ!

“พ่อหนู ข้าวที่สั่งได้แล้ว”

หลังจ่ายเงินรับถุงใส่กล่องมาถือ พอรวมกับอีกหลายถุงในมือเลยค่อนข้างดูพะรุงพะรังไปนิด แต่ช่างเถอะ เดินไปอีกหน่อยก็ถึงหอแล้ว แต่บังเอิญมาเจอเพื่อนทั้งสามคนที่หน้าหอพอดี ต่างคนต่างชะงักเท้ากับที่ ผมเลยถือโอกาสจ้องเขม่นใส่จนพวกมันหน้าเสีย

“เอ่อ...มึงยังไม่หายโกรธอีกเหรอวะ” เอถามอย่างกังวล

แต่ผมกลับตะโกนถามไปอีกเรื่อง “ใครปล่อยข่าว?!”

พวกมันทำหน้ามึนอยู่ครู่เดียวก็รีบส่ายหน้าให้รัวๆ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ใช่กูนะชัดเจนมาก

“ถ้าไม่ใช่พวกมึงแล้วใครเป็นคนพูดวะ”

“พะ...เพื่อนข้างห้องมึงหรือเปล่า” กลมบอกเสียงสั่นๆ “กะ กูได้ยินมาว่าเมื่อคืนมึงทำเสียงดังมาก”

ผมหรี่ตาลงมองเพื่อนร่างใหญ่ครู่หนึ่งก็ละสายตาออก เพราะที่กลมพูดเป็นความจริง แถมพอโดนวางยาแมวของผมก็ดันสัมผัสไวขึ้นกว่าเดิมมาก ขนาดผมพยายามจูบปากมันกลั้นเสียงเรื่อยๆ ก็ยังเอาไม่อยู่ คิดแล้วได้แต่สบถโทษผนังห้องที่ไม่ช่วยเก็บเสียงอะไรให้เลย

ความคิดจะย้ายออกจึงเพิ่มพูนขึ้นอีกระดับทันที

“ภู” กังหันเรียกด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “ก่อนเลิกเรียนกูไปสืบมาให้แล้ว เรื่องของมึงรู้กันแค่ในหมู่ปีสอง”

“อ้อ ก็ยังดี”

เพราะถ้าข่าวกระจายไปทั่ว ผมคงถูกแมวเถื่อนเกลียดขี้หน้าแน่

เพียงแค่คิดว่าต้องกลับไปวนลูปเหมือนเมื่อก่อนที่โดนวิ่งหนีบ้าง หลบหน้าบ้างก็เหนื่อยใจยิ่งกว่าเก่าสามเท่า...ช่วงนี้คงต้องคุมแมวเถื่อนให้อยู่ห่างๆ ปีสองสักหน่อยแล้ว 

ผมพ่นลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง พลางยกมือโบกลาเพื่อนทั้งสาม

“ไปล่ะ ยำรอกูอยู่”

“เดี๋ยวภู!” เอเรียกรั้งผมไว้ “ไอ้กลมมีอะไรอยากบอกมึง”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองกลมที่ถูกเพื่อนสองคนดันให้เดินขึ้นหน้าตรงมาหา

“กะ กู เอ่อ กู...ขอโทษนะโว้ย!”

ผมชะงักเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงว่าจะโดนเพื่อนพูดขอโทษ พอมองหน้าพวกมันที่แก้มยังมีร่องรอยบาดเจ็บเพราะตัวผม ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจึงพูดกลับไปบ้าง

“...กูด้วย ขอโทษที่ต่อยพวกมึงไปเมื่อเช้า”

-------------

กลับถึงห้องก็เจอข้าวยำกำลังนอนเล่นเกมในมือถือของผมอยู่

“มือถือมึงก็มีทำไมไม่เอามาเล่น?”

พอถามไป คนบนเตียงก็ลดมือถือลงมาวางบนอก “ของกูแบตหมดไปแล้ว”

“เอาสายกูไปชาร์ตสิ”

“ถ้าชาร์ตได้ กูชาร์ตไปนานแล้วเหอะ ว่าแต่มึงซื้ออะไรมาให้กินบ้างอ่ะ”

“หลายอย่าง มีข้าวมันไก่ที่มึงอยากกินด้วย”

คนบนเตียงยิ้มร่าทันที แต่พอต้องขยับตัวจะลุกขึ้นนั่งก็เบ้ปากใส่อากาศ ท่าทางจะเจ็บเสียดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ผมมองอย่างสงสารเลยตรงไปช่วยมันให้นั่งพิงหมอนที่เตียง แล้วยกโต๊ะญี่ปุ่นไปวางบนเตียงให้คนป่วยบวกเจ็บตัวกินข้าวได้ง่ายๆ

ก่อนกินข้าวก็ถือโอกาสจับหน้าผากข้าวยำวัดไข้...ตัวไม่ร้อนแล้ว

“มึงไม่มีไข้แล้ว”

“กูก็ไม่ปวดหัวแล้ว แกะกล่องข้าวเร็วๆ กูหิว”

ผมเปิดฝากล่องโฟมข้าวมันไก่ให้แมวก่อนเลย แกะถุงน้ำจิ้มบริการมันด้วย แล้วมองแมวเถื่อนตักข้าวเข้าปากอย่างมีความสุข เห็นกินลงแบบนี้ค่อยวางใจหน่อย

“มีข้าวหน้าหมูทอดด้วยนะ”

“จริงดิ!”

“สั่งแบบพิเศษมาด้วย” ผมแกะเปิดกระดาษที่ใช้ห่อข้าวให้มันดูว่ามีหมูทอดเยอะขนาดไหน

“เยี่ยมเลย! ขอบคุณนะ”

“...ไม่โกรธกูแล้วใช่ไหม”

พอถามไปอย่างนั้นมันกลับชะงัก แล้วเสหน้ามองไปทางอื่น

“ถ้ามึงยังโกรธอยู่ กูไม่ให้ข้าวหน้าหมูทอดนะ”

คราวนี้มันสะบัดหน้ามองผมทันที แถมยังยู่ปากใส่อีก “ขี้โกงวะ”

ผมยิ้มเล็กๆ แล้วถามแบบคาดคั้นหน่อยๆ “คำตอบล่ะ?”

“กูไม่โกรธมึงแล้วก็ได้!”

------------- 

นึกว่าคงหมดเรื่องให้ปวดหัวแล้ว แต่เลิกเรียนวันต่อมากลับเจอเมียของตัวเองโดนผู้ชายต่างคณะคนหนึ่งมาหาเรื่องถึงที่ แถมยังต่อหน้าต่อตาผมที่กำลังจะเดินไปหามันอีก

มันเป็นใครวะ!

ผมรีบสาวเท้าไปหาแมวเถื่อนอย่างเร็วที่สุด แต่ดันโดนประโยคสนทนากระแทกใส่หูจนต้องหยุดเท้ากับที่ ดีที่ตรงนี้อยู่ในระยะได้ยินคำพูดของคนทั้งสองที่โต้ตอบกันเสียงดังพอสมควร

“นี่เหรอไม่ว่าง! มาเจอกันไม่ได้! โกหกทั้งเพ!”

“ไม่ว่างจริงๆ นะ ผมเพิ่งจะ...” ข้าวยำพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็โวยวายสวนกลับมาก่อน

“ไม่ว่าง แต่มานั่งแดกขนม คุยเล่นกับเพื่อนได้อย่างงี้เหรอ”

นิ้วคนแปลกหน้าชี้ไปที่กองขนมบนโต๊ะ รอบโต๊ะที่ว่ามีเพื่อนข้าวยำนั่งหน้าเหลอหลาเหมือนยังงุดงงกับเหตุการณ์นี้อยู่

“ก็ผมเพิ่งจะ...”

“แล้วเรื่องนี้อีก! อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่าคืนก่อนมึงไปแดกเหล้ามา! กูขอมึงตั้งกี่รอบแล้วว่าอย่าไปกินเหล้า มึงก็ทำให้กูไม่เคยได้!”

“เอ่อ เรื่องนี้...”

“ไหนจะเมื่อวานที่ปล่อยให้กูกดโทรหาเป็นสิบๆ รอบ ส่งข้อความไปจนมือแทบหงิก มึงก็ไม่ตอบหรือโทรกลับหากูเลยตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ จนกูต้องเป็นฝ่ายมาหามึงถึงที่เนี่ย!”

“เด็น ฟังกันหน่อย...” ข้าวยำพยายามจะใช้เสียงอ่อนพูดกับคนกำลังโกรธ

“ก่อนหน้านี้ก็เงียบหายไปเป็นอาทิตย์! มึงได้กูแล้วเลยคิดจะทิ้งกันงั้นเรอะ!”

“ไม่ใช่นะ...”

“แล้วนี่อีก!” มือกระชากคอเสื้อให้แหวกออกเห็นฐานต้นคอฝั่งซ้าย “รอยบนตัวมึงมาจากไหน!”

“คือรอยนี่มัน...” ข้าวยำทำหน้าอ้ำอึ้ง

“กูเห็นมาหลายครั้งแล้วนะ มึงกำลังนอกใจกูใช่ไหม!”

สิ้นเสียงนั้น ข้าวยำก็เงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วพยายามจะพูดอะไรบ้างอย่าง แต่ไม่มีเสียงออกมา คนที่มาโวยวายตาแดงก่ำด้วยท่าทางทั้งโกรธทั้งอยากร้องไห้ แต่ตอนนี้เม้มริมฝีปากเข้าหากันเหมือนอดกลั้นอะไรบ้างอย่าง แล้วตวัดมือตบหน้าข้าวยำไปหนึ่งเพียะ

ผมกำมือทั้งสองข้างแน่น พยายามข่มใจไม่ให้เดินไปผลักเมียของเมียออกไปห่างๆ คนของตัวเอง 

“บอกกูมานะว่ามันเป็นใคร!”       

หมับ!

ไหล่ผมถูกจับกะทันหัน พอหันมองเจ้าของมือก็เจอหน้ากังหันกำลังขมวดคิ้วใส่

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นวะภู”

แม้จะไม่อยากพูด แต่ผมก็ตอบไปตามตรง “เมียยำมาอาละวาด”

“...เพราะเรื่องมึงสินะ” กังหันทอดสายตามองข้าวยำด้วยแววตารู้สึกผิด

“คงงั้น” ผมตอบไปสั้นๆ หันมองสองคนที่ยืนถกเถียงกันอยู่อีกครั้ง พร้อมนิ่งคิดอะไรเล็กน้อย แล้วพูดกับเพื่อนต่อ “ส่งคนไปตามสืบเรื่องเด็กนั่นให้กูหน่อยสิ”

“เด็กนั่น?”

“เมียยำไง กูอยากรู้ว่ามันเป็นใคร”

“แค่นั้น?”

“ความเป็นมาเอาแค่นั้น ส่วนพฤติกรรมกับนิสัย...อยากได้แบบละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“...ที่ให้กูไปสืบนี่ เพราะมึงเริ่มคิดจริงจังเรื่องน้อง หรือแค่รู้สึกผิดวะ”

ผมหันไปสบตากังหัน “จำเรื่องที่กูบอกว่าเมียของกูมีเมียได้ไหม”

“จำได้ด้วยว่าเมียมึงเป็นเกย์”

ผมหันไปพยักเพยิบไปทางเด็กสองคนที่เถียงกันอยู่หน้าคณะแบบไม่เกรงสายตาใครเลย

“นั่นไง เมียของเมียที่ว่า”

“มึงเป็นชู้แฟนรุ่นน้องเรอะ!”

“เมียกูไม่ใช่คนที่มาอาละวาด”

“...เดี๋ยวนะ” กังหันปล่อยมือจากไหล่ผม แล้วนิ่งเงียบไปพักใหญ่กว่าจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หมายความว่ามึงมีอะไรกับยำมาก่อนหน้านี้แล้ว?”

“เออ”

“ก่อนหน้าที่ยำจะโดนกลมวางยา?”

“เออ”

หัวผมโดนโบกจากด้านหลังทันที หน้านี่เกือบทิ่ม หันไปก็เจอคำด่าเป็นสัตว์กระแทกใส่หน้าเต็มๆ

“แล้วทำไมไม่บอกวะ! ปล่อยพวกกูรู้สึกผิดจนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดอยู่ได้!!”

“ก็พวกมึงไม่ถามเอง”

“มึงมีปากก็บอกสิ!”

“แล้วทำไมกูต้องเอาเรื่องส่วนตัวมาบอกพวกมึงด้วยวะ!”

“เอ่อ...ก็ถูก”

ผมพ่นลมหายใจเบาๆ “เอาเป็นว่าเรื่องของเมีย กูจริงจัง”

กังหันขยี้หัวตัวเองทันที “มึงนี่มัน...กูหาคำมาด่ามึงไม่ถูกเลย”

“แล้วจะช่วยสืบให้ไหม?”

กังหันถอนหายใจ “เออ เดี๋ยวไปสืบให้ จะเอาไอ้สองตัวนั้นมาเป็นผู้ช่วยด้วย ถือเป็นคำขอโทษเรื่องคืนวานแล้วกัน”

“ขอบใจ”

“แล้วมึงน่ะ ได้น้องพวกกูไปก็ช่วยดูแลอย่างดีด้วย ห้ามเอาไปทิ้งขว้างให้เจ็บช้ำเด็ดขาด”

ได้ยินแล้วก็ชักอารมณ์เสีย ผมเลยหันไปเขม่นคนพูด

“ถ้ากูคิดฟันแล้วทิ้ง พวกมึงคงไม่โดนกูต่อยเข้าให้หรอก!”

กังหันนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนผงกหัวอย่างพึงพอใจ ช่วงเวลานั้นแขกที่มาเยือนดุจพายุก็พูดทิ้งท้ายด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วเดินกระทืบเท้าจากไปพอดี

กังหันตบไหล่ผมสองที “ได้เวลาที่มึงควรไปทำหน้าที่ปลอบเมียแล้วมั้ง”

“ขืนเข้าไปตอนนี้กูคงโดนระบายอารมณ์ใส่น่ะสิ”

“งั้นจะเข้าไปตอนไหนก็ตามใจมึงครับ ส่วนกูขอตามเมียของเมียมึงไปก่อนล่ะ”

“เออ ฝากด้วยล่ะ”

############

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
จัดการเมีย ของ เมีย ก่อนล่ะกันนะ

ออฟไลน์ มะเหมียว17

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เมียของเมีย หรือจะเป็นเมียของเพื่อนอ่ะ...

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
สนุกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นี่เข้ามาอ่านรวดเดียวเลย ยำยำต้องผลาญเงินพี่เค้าเยอะๆเลยนะลูกชอบแกล้งดีนัก
ปล.คนเขียนขาาาาา รีบมาต่อนะคะติดใจม้ากกกกก

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
นายพรานวางกับดัก7: สายสัมพันธ์ที่เหมือนเส้นด้าย


ถ้าเข้าไปหาตอนนี้ แล้วเราสองคนจะเป็นยังไงต่อ?

มันจะตัดความสัมพันธ์กับผมเลยหรือเปล่า?

พอคิดถึงตรงนี้ สองขาก็เหมือนถูกตอกยึดติดกับพื้นทันที ได้แต่มองแมวเถื่อนในวงล้อมเพื่อนอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ถึงค่อยหันหลังจากมาเงียบๆ ด้วยใจที่สับสนพอสมควร

...ที่ผ่านมาผมไม่เคยกลัวเรื่องตัดความสัมพันธ์กับใครมาก่อน แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว

นี่มันแย่แล้วแฮะ แย่จริงๆ

ผมปล่อยลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วแหงนหน้ามองฟ้าที่มีเมฆฝนสีหม่นๆ ลอยล่องจนไม่เห็นสีของท้องฟ้าที่แท้จริง แถมบนนั้นยังมีภาพหน้าพี่วียิ้มเยาะใส่ด้วย

เหอะ!

พลั่ก!

แรงถีบจากด้านหลังทำผมเซถลาเกือบล้ม พอตั้งหลักได้ก็รีบหมุนตัวเตรียมตั้งรับทันที แต่พอได้เห็นคนลอบทำร้ายทีเผลอเมื่อครู่ชัดๆ ความประหลาดใจก็มาแทนที่ความไม่พอใจ จนเผลอหลุดถามเสียงอ่อนกว่าปกติ

“วิ่งตามกูมาเหรอ”

ข้าวยำยืนหอบหายใจแรงอยู่ตรงนั้น พอได้ยินคำถามก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างอดทนอดกลั้นอะไรบางอย่าง พอสบตาด้วยก็พบอารมณ์ผสมปนเประหว่างโกรธ เจ็บปวด และอยากร้องไห้ แค่เห็นสภาพคล้ายคนเสียศูนย์พอสมควรตอนนี้ผมก็รู้สึกเจ็บปวดใจตามทันที

“เพราะมึงนั่นแหละ!”

“อืม”

ผมรับคำกล่าวหาโดยดี ถ้ามันได้ต่อว่าผมแล้วสบายใจขึ้นก็ตะโกนมาเถอะ ตะโกนให้พอ แล้วหลังจากนั้นช่วยกลับมายิ้มร่าเริงเป็นหมาน้อยของพวกพี่ๆ และเป็นแมวเถื่อนของผมอีกครั้งก็พอ แต่...

“มากับกูก่อน”

ผมคว้ามือแมวเถื่อน แต่โดนอีกฝ่ายสะบัดมือออกอย่างแรง

“อย่ามาแตะตัวกู!”

“อยากด่าก็ด่า กูไม่ว่า จะอยู่ให้มึงด่าจนพอใจด้วย” ผมอธิบายอย่างใจเย็น แล้วพูดเสียงจริงจังขึ้น “แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่!”

เห็นแมวดื้อด้านไม่ยอมขยับไปไหน แถมยังซ้อนมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังอีกก็ได้แต่พูดเตือนเสียงดุ“มึงจะทำกิริยาก้าวร้าวกับกูแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ เพราะพวกเขายังมองว่าเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันอยู่”

แต่มันฟังคำเตือนซะที่ไหน เล่นสบถคำหยาบใส่ผม แล้วเริ่มร้องด่าด้วยประโยคขึ้นต้นเดิมๆ จนผมจับทางได้จึงรีบตรงไปปิดปากข้าวยำก่อนคำที่เหลือจะหลุดออกมา

“ไอ้...อื้อ!”

“อย่าให้กูต้องบังคับ!”

ผมพูดอย่างข่มความหงุดหงิด ชำเลืองมองเพื่อน พี่ น้องในคณะที่กำลังหันมาดูพวกผมแวบหนึ่ง แล้วตัดสินใจใช้กำลังลากตัวแมวเถื่อนออกห่างจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมันไม่ให้ความร่วมมือเลยค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร แม่ง อย่างกับผมเป็นโจรลักพาตัวเลย

“อื้อๆๆๆ”

“เป็นเด็กดีว่าง่ายกับกูแปบหนึ่งเถอะน่า”

“อื้อๆ อื้อ!”

ผมขมวดคิ้วใส่แมวเกเรที่พยายามดิ้นให้หลุดจากมือ “อย่าดื้อนะยำ ไม่งั้นมึงได้ถูกจูบตรงนี้แน่”

คราวนี้แมวในมือนิ่งทันที เฮ้อ...ต้องให้พูดขู่แบบนี้ถึงยอมว่าง่ายอยู่เรื่อย

ผมยอมปล่อยมือออกจากเหยื่อ แล้วเปลี่ยนมาคว้ามือข้าวยำจูงให้เดินตามมาจนพ้นจากเขตวิศวะเข้าสู่เขตของคณะอื่น แต่ระหว่างกำลังมองหาที่เงียบๆ เพื่อคุยกัน เม็ดฝนกลับโปรยปรายลงมาก่อน จากไม่กี่เม็ดก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องรีบดึงข้าวยำไปหาที่หลบฝน แต่แรงต้านที่ได้รับทำให้ผมต้องตวัดตาดุๆ ไปให้แมวดื้อ

“ตรงนั่นๆ”

ข้าวยำไม่ได้สนใจผม เอาแต่มองและชี้นิ้วไปทางทิศตรงข้ามกับที่ผมกะจะพาไป พอหันมองตามก็เห็นอะไรสีแดงๆ หม่นๆ อยู่ห่างออกไปพอสมควร ยังไม่ทันได้ถามก็กลายเป็นตัวผมโดนข้าวยำลากไปทางนั้นแทน

พอเข้าไปใกล้ระยะหนึ่งถึงเห็นว่าเป็นซุ้มขายน้ำข้างทางที่เป็นโลโก้ของน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง ใกล้กับซุ้มมีโต๊ะสนามแบบกลมที่ตรงกลางมีรูให้ใส่ร่มผ้าใบคันใหญ่สีขาวสลับแดงสกรีนโลโก้น้ำอัดลมแบบเดียวกันอยู่หลายชุด ทุกโต๊ะว่างเปล่าไร้คน ก็นะ ใครมันจะบ้ามานั่งชิวรับลมรับฝนเล่นกันล่ะ

แต่สำหรับคนกำลังมองหาที่หลบฝนอย่างพวกผม ที่นี่ถือว่าดีทีเดียว

พวกผมตรงไปนั่งที่โต๊ะสนามตัวหนึ่ง แล้วเกิดความเงียบขึ้นมาทันที นั่งอย่างอึดอัดใจสักพัก ผมก็ถือโอกาสยกเรื่องเมื่อครู่มาเป็นหัวข้อสนทนา

“เรื่องมึงด่าหรือถีบกูน่ะ กูไม่เคยคิดถือสาก็จริง แต่รุ่นพี่คนอื่นน่ะไม่ใช่”

“เกี่ยวอะไรกับคนอื่นวะ มันเป็นแค่เรื่องของกูกับมึงปะ?”

“เรื่องของเราแล้วไง คนอื่นรับรู้ด้วยที่ไหน เขามองแค่ว่ารุ่นน้องรุ่นพี่ในคณะตีกันเอง มึงผ่านรับน้องมาแล้วก็น่าจะรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในคณะเรา”

“...ความสามัคคีเหรอ?”

“ใกล้เคียง” ผมไม่คิดเฉลยคำตอบ เพราะเดี๋ยวปีหน้ามันก็ได้รู้เอง “แล้วตั้งแต่มึงเข้ามาก็เห็นอยู่ว่าคณะเราให้ความสำคัญกับเรื่องน้องเคารพพี่ พี่เองก็ต้องให้เกียรติน้องด้วย...”

“มึงไม่เห็นจะให้เกียรติกูเลย!”

“พูดอย่างกับมึงเคารพกูก่อน” พูดแล้วก็รีบยกมือห้ามคนอ้าปากทำท่าจะเถียงกลับมา “สรุปคือมันมีข้อห้ามกลายๆ ไม่ให้พี่น้องชาวคณะตีกันเองไง แต่ความจริงใครอยากตีกับใครก็ได้ แต่ควรนัดเคลียร์กันในสถานที่อื่น และถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็นัดในที่มิดชิดหน่อย เรื่องก็จะจบอยู่แค่นั้นไม่เอามาเป็นประเด็นให้ส่วนรวมพูดถึง แต่เมื่อกี้มันไม่ใช่ เพราะมึงเล่นไปถีบกูอยู่หน้าคณะ”

“แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน?”

ผมนวดขมับ เพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี ให้เล่าประสบการณ์ที่เจอไปก็แค่ช่วยให้เข้าใจมากขึ้น แต่ไม่ได้อารมณ์ร่วมเหมือนที่เจอด้วยตัวเองอยู่ดี “...เอาเป็นว่าคราวหลังไม่พอใจอะไรกูก็ช่วยระงับอารมณ์สักหน่อย แล้วเรียกกูไปเคลียร์ที่อื่นก็พอ เข้าใจไหม?”

ข้าวยำขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องยุ่งยาก มองหน้ามันแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ เพราะดูท่าแมวเถื่อนของผมคงไม่เห็นความสำคัญของเรื่องที่เตือนไปแม้แต่น้อย

เฮ้อ ปล่อยให้เจอกับตัวคงดีกว่า

“แล้วก็...หลังจากนี้คงมีข่าวลือเรื่องกูกับมึงออกมาอีกแน่”

“ข่าวลืออะไรอีก!” ข้าวยำเหมือนจะอารมณ์เสียมากขึ้น

“กูจะไปรู้ได้ไงว่าโดนพูดถึงแบบไหน มึงก็รอฟังเอาเองแล้วกัน”

ซ่า!

ผมกับข้าวยำสะดุ้งเล็กน้อย พอหันไปมองก็พบว่าฝนเทลงมาอย่างหนัก จนเหมือนที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย พอมองไปที่แมวเถื่อนอีกครั้งก็เห็นข้าวยำเริ่มขยับตัวยกขาขึ้นมาบนเก้าอี้ในท่านั่งกอดเข่า

...สงสัยจะไม่ชอบให้น้ำฝนที่กระทบกับพื้นกระเด็นมาโดนขาล่ะมั้ง

แต่พอเห็นมันยกแขนมากอดเข่าทั้งซบหน้าลงไปก็รู้สึกว่า หลบฝนที่นี่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่ ยังไงก็มีละอองฝนพัดเข้ามาโดนให้ตัวชื้นอยู่ดี และมันเพิ่งจะหายป่วยด้วย

...ทำไงดีวะเนี่ย

ระหว่างที่นั่งกระวนกระวาย เพราะเป็นห่วงแมวบางตัว แมวที่ว่าก็ผงกหัวขึ้นมาตะโกนลั่นจนฝ่าเสียงฝนมาถึงหูผมจนได้

“กูโคตรหิวข้าว!!”

ห๊ะ?

แล้วเหมือนนั่นคงเป็นพลังงานเฮือกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในร่าง เพราะหัวแมวเถื่อนไถลไปซบเข่าอีกรอบคล้ายกับตุ๊กตาถ่านหมด ผมมองข้าวยำอยู่อึดใจหนึ่งก็มองเลยตัวมันไปทางซุ้มขายน้ำ จากตรงนี้ยังพอมองเห็นได้เลือนรางอยู่

“...ของกินสินะ”

ผมพึมพำพลางลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าปอดเตรียมเผชิญกับเม็ดฝนที่กระทบใส่ร่าง แล้วออกวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปทางซุ้มขายน้ำที่ว่า ในใจภาวนาให้มีของกินอย่างอื่นนอกจากน้ำด้วย

ไปถึงซุ้มได้ก็รีบก้มหัวมุดผ้าใบกันสาดเข้าไปด้านใน กวาดสายตามองของที่มีขายรอบหนึ่งก็ซื้อโค้กแช่ในน้ำแข็งสองกระป๋องสองกระป๋อง น้ำเปล่าไม่เย็นอีกขวด แล้วก็พวกขนมขบเคี้ยวมาหลายถุง จากนั้นก็วิ่งฝ่าฝนกลับไปหาข้าวยำที่กำลังนั่งหน้าตื่นมองมาอยู่ พอเห็นผมกลับมาสีหน้าก็ผ่อนคลายลง แต่แววตากลับมองอย่างคาดโทษ

“ออกไปทำบ้าอะ...”

คำพูดที่เหลือขาดหายหลังเห็นผมวางของกินไว้บนโต๊ะ

“เอาไปกินรองท้องก่อน เดี๋ยวฝนหยุดตกเมื่อไหร่ กูค่อยพามึงไปกินข้าว”

ข้าวยำเงียบไปเลย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอาขาลงจากเก้าอี้ แล้วขยับไปหยิบถุงขนมขึ้นมาแกะกิน

“...ออบอุน”

“พูดอะไรวะ” ผมได้ยินไม่ถนัด ไหนจะเสียงฝนที่แทรกมา แล้วยังขนมเต็มปากอีก

“ออบอุน!”

“เฮ้ย ไม่ต้องพยายามพูด เดี๋ยวติดคอ...”

“แค่กๆๆ”

นั่นไง ผมถอนหายใจเบาๆ รีบเปิดฝาขวดน้ำเปล่าที่เพิ่งซื้อมาส่งให้มันรับไปดื่มอึกๆ พอข้าวยำลดขวดน้ำลงก็ตวัดตามามองเคืองใส่...อย่างกับผมเป็นคนทำขนมติดคอมันงั้นแหละ

“กูบอกว่าขอบคุณ!” มันกระแทกขวดน้ำกับโต๊ะ “ฟังชัดพอยังวะ!”

ผมรีบพยักหน้า เล่นตะโกนใส่ขนาดนี้ต้องฟังชัดมากอยู่แล้ว

“ล...แล้วมึงซื้อโค้กแช่เย็นเจี๊ยบมาทำไมตั้งสองกระป๋อง!”

 ข้าวยำชี้นิ้วไปที่กระป๋องน้ำอัดลมบนโต๊ะ เลื่อนนิ้วมาทางผมที่กำลังปลดกระดุมเสื้ออยู่

“หรือมึงเย็นไปถึงกางเกงในไม่พอต้องกินไปเพิ่มความเย็นในร่างด้วย!”

ผมนิ่งไปพักหนึ่งถึงค่อยเข้าใจความหมายแท้จริงที่แมวเถื่อนต้องการสื่อถึง…เป็นห่วงกันสินะ คิดแล้วก็ส่งยิ้มให้คนพูดจาประชดใส่

“ซื้อมาให้มึงประคบแก้มไง”

พอได้ยินแมวเถื่อนของผมก็นิ่งไปเลย จากนั้นคือไม่ยอมสบตาด้วยอีก มือก็คอยหยิบขนมเข้าปากเรื่อยๆ ไม่มีหยุด ยิ่งจ้องยิ่งหยิบเข้าปากเร็วขึ้นกว่าเดิม

ผมพยายามไม่ยิ้มทั้งที่อยากหัวเราะใจจะขาด ก็อาการแบบนี้คือกำลังทำอะไรไม่ถูกชัดๆ และถ้าผมยังจ้องต่อไปคาดเดาได้เลยว่าแมวบางตัวคงทำขนมติดคออีกรอบ เลยต้องละสายตามาถอดเสื้อตัวเองออกมาบิดไล่น้ำ แล้วใช้เสื้อในมือมาเช็ดผมชั่วคราว อย่างน้อยก็พอช่วยซับน้ำออกไปได้บ้าง   

หือ?

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นแมวเถื่อนจ้องใส่ไม่วางตาทั้งที่ในปากคาบขนมค้างอยู่...ลองขยับตัวไปทางซ้าย ลูกตาก็เลื่อนตาม ไปทางขวาก็ยังมองตาม

หึ...ที่ตอนอยู่บนเตียงไม่เห็นจะมีอาการแบบนี้บ้าง

นึกแล้วก็หมั่นไส้ เลยลองกระแอมไอดู ปรากฏว่าลูกตาข้าวยำเลื่อนขึ้นมาสบตาเพียงแวบเดียว แมวเถื่อนก็ผงะ เผลอปล่อยขนมร่วงจากปาก แถมตายังเริ่มล่อกแล่กไปมาไม่อยู่เฉย อาการโคตรน่าแกล้ง ผมเลยพูดเย้าไป

“ตัวกูน่ากินใช่ไหมล่ะ” 

“ล...หลงตัวเอง!”

ด่าทั้งที่หน้าแดงเถือกเนี่ยนะ หึ!

ผมดึงเสื้อลงจากหัว ใช้สองมือพยายามบิดไล่น้ำออกจากตัวเสื้อให้ได้มากที่สุดแล้วค่อยสวมใส่ ระหว่างไล่ติดกระดุมขึ้นมาก็เหลือบมองคนนั่งตรงข้ามสักหน่อย

หืม? เปลี่ยนมาทำหน้าเครียดแล้วแฮะ…คิดอะไรอยู่วะนั่น? 

“มึง!”

จู่ๆ ข้าวยำก็โผล่พูดขึ้นมากะทันหันจนผมสะดุ้งเล็กน้อย “อะไร!”

“ด...ได้เห็นเหตุการณ์หน้าคณะหรือเปล่า”

ตัวผมเกร็งขึ้นเล็กน้อยกับหัวข้ออันตราย ปากก็พูดแถไปแบบไม่ต้องคิด

“เรื่องที่มึงถีบกูน่ะเหรอ”

“ไม่ใช่ เรื่องก่อนหน้านั้นอีก...เรื่องของกูน่ะ”

ในหัวเริ่มขบคิดเร็วจี๋ว่าควรบอกความจริงหรือโกหกดี ยิ่งเวลานี้สายสัมพันธ์ของผมกับมันเปราะบางพอๆ กับเส้นด้ายอยู่ด้วย

ถ้าเลือกทางผิดขึ้นมาทีได้จบเห่แน่!

ผมนึกอย่างเคร่งเครียด แม้ภายนอกยังพยายามทำหน้าเฉยชาก็ตาม คิดแล้วคิดอีกก็ได้ข้อสรุปว่าควรโกหกไปก่อนดีที่สุด แต่พูดปฏิเสธตรงๆ คงไม่ดี งั้นเนียนถามไปเลยแล้วกัน

“เรื่องอะไร” แสร้งทำหน้าสนใจไปด้วย

“มึงไม่เห็น?”

“เห็นอะไรล่ะ”

ข้าวยำมองผมด้วยแววตาโมโหขึ้นมาทันที “โกหก! ถ้ามึงไม่เห็น แล้วจะซื้อโค้กให้กูประคบแก้มทำไม!”

“ก็แก้มมึงแดงเถือกขนาดนั้น กูสิต้องถามว่ามึงไปโดนใครชกมา อ้อ หรือเรื่องที่มึงถามคือเรื่องนี้?”

คนได้ฟังคำแก้ตัวของผมย่นคิ้วเข้าหากันทันที ทั้งยังมองมาด้วยแววตาไม่แน่ใจปนสับสน

“มัน...แดงขนาดนั้นเลย?”

“เออ!” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น เพราะตอนนี้แก้มของมันเริ่มแดงให้เห็นจริงๆ “ไม่เชื่อมึงก็หยิบมือถือมาเปิดโหมดกล้องส่องแทนกระจกสิ”

ข้าวยำหยิบมือถือขึ้นมาทำตามที่ผมบอกจริงๆ พอเห็นว่าเป็นอย่างที่ผมกล่าวอ้าง มันก็มีท่าทางสงบลง แต่กลายเป็นผมเองที่รู้สึกกระสับกระส่ายว่าเนียนพอหรือยัง ควรซักถามต่อไปดีไหม ถ้าไม่ถามเลยก็ดูผิดปกติเกินไป แต่ในใจไม่อยากกลับไปคุยหัวข้ออันตรายนั่นเลยวะ...เอาวะเพื่อความเนียน! ถามก็ถาม!

“แล้วตกลงแก้มมึงไปโดนใครชกมา”

“ไม่มี”

“มึงโกหกกู?”

“เปล่า กูไม่ได้โดนใครชกมาจริงๆ”

คำตอบก็ถูกอยู่หรอก มันโดนเขาตบมาต่างหาก แล้ว...ผมควรถามเซ้าซี้ต่อไปดีไหมวะ ไม่ๆ เดี๋ยวมันหงุดหงิดจนฟิวส์ขาดขึ้นมาตอนนี้ ตัวผมนี่แหละที่จะซวยเอง แต่จะให้เงียบไปเลยก็ผิดปกติเกินไป ทำไงดีวะ! คิดจนหัวแทบระเบิดก็นึกได้ว่าทำตัวตามปกติให้มากที่สุด งั้นก็แสร้งพูดเยาะเย้ยปนห่วงออกไปแทนแล้วกัน

“ยังไงก็ประคบแก้มไว้ก่อนเถอะน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงกินข้าวไม่ได้ขึ้นมา กูจะสมน้ำหน้าให้”

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก”

ข้าวยำเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม จ้องอยู่นานจนผมมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาทั้งที่อากาศตอนนี้เรียกได้ว่าเย็นสบายด้วยซ้ำ นี่ล่ะมั้งความอึดอัดของคนมีชนักติดหลัง

“...จะมองหน้ากูอีกนานไหม”

ผมแกล้งพูดข่มเสียงดุไปก่อน เผื่อมันจะเลิกจ้องกันสักที

อีกฝ่ายยังมองผมนิ่งด้วยแววตาสั่นไหวหน่อยๆ แต่อึดใจต่อมาก็คล้ายคนตัดสินใจบางอย่าง ได้เห็นแบบนั้นผมกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล เลยอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่ข้าวยำกลับพูดขึ้นมาก่อน

“หลังจากนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามาเข้าใกล้กูนัก”

เพียงแค่ได้ยินก็เจ็บในอกขึ้นมาทันที แต่จำต้องข่มอารมณ์ฝืนพูดด้วยเสียงโมโหออกไป

“ทำไม?!”

หวังว่ามันจะของขึ้นแล้วพูดตอกกลับอย่างหงุดหงิดเหมือนทุกที แต่คราวนี้แมวเถื่อนกลับก้มหน้าลงมองพื้น แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“กูขอ...ได้ไหม”

ผมรีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันที มองม่านฝนแล้วคิดขึ้นมาได้ว่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็สิ้นเรื่อง แค่พูดถามไปว่าเมื่อกี้พูดอะไรนะ กูฟังไม่ชัด หรือเสียงฝนกลบวะ พูดอีกทีสิ...แต่พอหันกลับไปเห็นแมวเถื่อนยังก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม ข้ออ้างที่คิดมาเยอะแยะกลับพูดไม่ออกสักประโยคเดียว

“...ถ้าจำเป็นก็เข้าหาได้ใช่ไหม”

ข้าวยำขยับปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป แล้วผงกหัวขึ้นลงให้เห็นแทน

ผมหลุบตาลงมองพื้นโต๊ะ นิ่งคิดครู่หนึ่งก็ยอมพูดตกลงออกมา

“ถ้าอย่างนั้น...ก็ได้”

-------------

 “ภู...ภูโว้ย…ไอ้เลวภู!”

ผัวะ!

แรงสะเทือนทำให้หน้าผมหลุดจากมือที่เท้าคางกับโต๊ะ พอหันไปมองดุ ผู้กระทำก็ผงะไปเล็กน้อย แล้วรีบเอามือข้างที่ทำร้ายกันลงไปซ้อนด้านหลัง ทั้งยังถอยไปชนกังหันที่เดินตามติดมาด้วย

“...กูล่ะไม่เข้าใจ มึงจะกลัวอะไรภูหนักหนา ไม่ใช่แบบไอ้กลมสักหน่อยที่กลัวเขาไปทั่ว”

กังหันถามด้วยเสียงข้องใจ แล้วนั่งลงข้างผมแทนเอที่นั่งลงเก้าอี้ถัดไปแล้ว  ส่วนเพื่อนคนอื่นในกลุ่มต้องไปนั่งเรียนอีกฝั่งแทน เพราะที่นั่งแถวนี้เต็มแล้ว

“ก็...แววตาดุๆ หรือโหดๆ ของมันทำให้กูนึกพ่อทุกทีเลยนี่หว่า ร่างกายเลยมีปฏิกิริยาตอบสนองเองวะ”

พอได้คำตอบคลายความกังขาเรียบร้อย กังหันก็หันมาทางผมแทน

“แล้วช่วงนี้มึงเป็นบ้าอะไรถึงได้ชอบเหม่อนัก”

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ทำไมความสัมพันธ์กับใครบางคนมันถึงได้เหมือนเส้นด้ายนักวะ”

“ฮะ?”

ผมโบกมือสื่อว่าไม่ต้องสนใจคำพูดเมื่อครู่ แล้วตอบใหม่ “กูแค่กำลังอยู่ในช่วงไม่มีที่ชาร์ตแบตให้ใช้วะ”

กังหันทำหน้างงหนักกว่าเดิม “มันเกี่ยวอะไรกับที่ชาร์ตแบตวะ”

“นั่นดิ” เอชะโงกหน้ามามองผมบ้าง “ถึงไม่มี มึงก็ไปยืมเพื่อนมาชาร์ตไปก่อนก็ได้”

“กูไม่ได้อยากยืม!” ผมพูดอย่างหงุดหงิด ยิ่งคิดว่าตัวเองต้องไปขอยืมแมวเถื่อนจากเมียของเมีย อารมณ์ก็ยิ่งพุ่งทะยานสูง “แต่กูอยากขโมยมาเป็นของตัวเองมากกว่า!”

เพราะถ้ามันเป็นของผมคนเดียวเมื่อไหร่ ไม่มีทางหรอกที่จะถูกห้ามไม่ให้ไปเจอ!

คนฟังทั้งสองทำหน้าตะลึงใส่ผมครู่หนึ่ง และเป็นเอที่ย่นคิ้วใส่ผมก่อน

“เอ่อ...มึงจะไปแย่งของจากใครอีกวะ คือมันไม่ดีนะโว้ย ถึงจะเป็นแค่ที่ชาร์ตแบตก็เถอะ”

ผิดกับกังหันที่ทำหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วตบไหล่ผมไปสองที

“มึงกำลังหงุดหงิดเรื่องเมียของเมียนี่เอง แต่ไม่น่าเห็นใจเลยวะ”

ผมพ่นลมหายใจทันที ว่าจะเมินเพื่อนชั่วคราวเพราะไม่อยู่ในอารมณ์อยากคุยกับใครนัก แต่หัวข้อที่กังหันยกมาพูดทำให้ละความสนใจไม่ได้

“ส่วนเรื่องที่มึงให้ไปสืบ พวกกูได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว”

“ว่ามาเลย”

“เด็กนั่นชื่อเด็น เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ปีหนึ่ง ไปรู้จักกับยำได้ไงไม่รู้ รู้แต่เมียมึงไปตามจีบเขาก่อน”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง แถมในหัวยังนึกภาพข้าวยำไปจีบใครก่อนไม่ออกด้วย

“ตอนแรกเหมือนฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจอะไร แต่เมียมึงเล่นไปตามจีบตามดูแลทุกวัน เขาเลยใจอ่อนยอมเป็นแฟนด้วยน่ะสิ จากนั้นก็เหมือนรักกันดี ไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่ง...มีมึงเข้าไปแทรกล่ะมั้ง”

“...งั้นเหรอ” ผมพึมพำตอบไป

“แต่กูยังไม่ฟันธงทีเดียว เลยอยากถามมึงก่อนว่าได้ไปยุ่งกับยำตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ผมนึกคำนวณเวลา “เกือบเดือนได้มั้ง”

“งั้นมึงอาจเป็นแค่หนึ่งในสาเหตุที่ตามมา เพราะสองคนนั้นเริ่มมีปัญหากันประมาณเดือนเศษๆ แล้ว”

ผมย่นคิ้วสงสัย “พวกมันเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“หลังเปิดเทอมสองอาทิตย์”

ได้ยินคำตอบผมก็ยิ่งแปลกใจ “จีบติดเร็วดีนี่ แน่ใจนะว่าตอนแรกฝ่ายนั้นไม่คิดสนใจยำจริงๆ”

“ใครจะไปรู้วะ อาจแค่เล่นตัวพอเป็นพิธีอย่างอดีตเด็กมึงก็ได้”

ผมพยักหน้ารับรู้ “แล้วด้านพฤติกรรมกับนิสัย?”

“เรื่องนี้ยังบอกไม่ได้ คงต้องตามสืบอีกสักระยะ กูหมดเรื่องรายงานแค่นี้แหละ แล้ว...เมื่อวานมึงได้เข้าไปหายำหรือเปล่า”

“เปล่า”

กังหันขมวดคิ้วทันที “มึงไม่ได้ไปปลอบน้อง?”

“ปลอบเหี้ยอะไรล่ะ!”

โดนขอร้องว่าอย่าเข้าใกล้อยู่เนี่ย!   

“แล้วน้องมันรู้ไหมว่ามึงเห็นเหตุการณ์เมื่อวาน”

“กูโกหกไปว่าไม่เห็น”

“ทำไมวะ?”

“เพราะกูกลัวล่ะมั้ง”

“โฮ่...ดูท่ามึงจะจริงจังกับน้องมันมากกว่าที่กูคิดอีกนะเนี่ย แล้วที่ทำตัวแบบนี้ เพราะโดนเขาทิ้งมาล่ะสิ”

“กูก็ว่างั้น” เอยิ้มเยาะใส่ “ไปยุ่งกับของชาวบ้านเขาก็แบบนี้แหละ เรื่องนี้มึงทำตัวเองล้วนๆ วะ”

ถ้อยคำของเพื่อนโคตรทิ่มแทงใจ ผมเลยเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ

“...มึงได้ยินข่าวลือของกูตอนนี้ยัง?”

เอทำหน้าสนใจทันที “ข่าวอะไรอีกวะ”

“เรื่องกูกับยำไง ลือไปทั่วว่าพวกกูแตกหักกันแล้ว เพราะไปแย่งผู้ชายต่างคณะ”

“ห๊ะ!” เออุทาน

ขนาดกังหันยังทำหน้าแปลกใจให้เห็น “ทำไมมีข่าวลือแบบนี้ได้ล่ะ?”

“ก็เพราะเรื่องเมื่อวานนั่นแหละ หลายคนเห็นข้าวยำโดนอาละวาดใช่ไหมล่ะ แล้วหลังจากนั้นก็มีคนเห็นยำถีบกูอีก คงเอาสองเรื่องนี้มาจับผูกโยงเข้าหากันจนออกมาเป็นข่าวลือมั้ง”

“....มันก็มีเค้าถูกนี่หว่า” กังหันพึมพำ

ใช่ถูก แต่มันผิดตรงที่ผมไม่ได้ไปแย่งผู้ชายคนอื่นกับรุ่นน้องก็เท่านั้น

จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแบบไร้ความเกรงใจจากเอ

“หัวเราะอะไรของมึง” ผมถามอย่างข้องใจ

“กูขำเรื่องของมึงไง แบบนี้เด็กของมึงที่เป็นผู้หญิงคงมีเงิบวะ”

“เด็กกูรู้กันหมดแหละว่ากูได้ทั้งชายทั้งหญิง”

“ยิ่งมีข่าวลือแบบนี้ออกมา มึงก็หมดสิทธิ์โดนสาวแลแล้ววะเพื่อน”

เหอะ ไม่แลก็ไม่แลสิ ใครสนกัน

แต่ไอ้คนที่สนใจ มันดันไม่แลตอบกันเลยเนี่ยสิ!

คิดแล้วก็ยิ่งเจ็บจี๊ดในใจ จนต้องฟุบหัวกับโต๊ะเรียนอย่างหมดแรง แล้วภาพสมัยก่อนที่ตัวเองเป็นฝ่ายไม่ค่อยเหลียวแลคนที่ดูใจด้วยก็โผล่ขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ 

“...บางทีเวรกรรมอาจติดจรวดจริงก็ได้วะ กูถึงได้โดนแมวเมินอีกแล้ว”

พูดจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างระบายความอัดอั้น

นี่ขนาดแค่วันแรกนะ แล้ววันต่อๆ ไปล่ะ คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตัวเองจะทนได้นานแค่ไหนกัน?

############

นางฟ้าเชียงชุน <<< เรื่องนี้ลงอาทิตย์ละครั้งค่ะ แต่ถ้าเราตัน หรือเนื้อเรื่องมีปัญหาบางอย่างก็จะยืดระยะเวลาลงออกไปอีกค่ะ แต่เราจะพยายามเขียนลงทุกอาทิตย์นะ // ดีใจที่คุณชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ ขอบคุณนะคะ : )
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2017 20:39:44 โดย KatzeP »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
รอได้ สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
แมวเมิน เหอ ๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภู ยำ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ภูเกรงใจยำ เชื่อฟังยำจริงๆ
นี่แหละนะตัวจริง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
5555 ไม่สงสารเลยอ่ะ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 1 : ทางเลือก


“เอ้านี่”

แขกผู้มาเยือนถึงหน้าห้องพักยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาตรงหน้าผมที่กำลังอ้าปากหาวหวอดใหญ่

“...ขอบใจ”

รับมาแม้ไม่เข้าใจว่ากังหันจะเอามาให้ถึงที่แต่เช้าทำไมก็ตาม...หรือเพราะผมไปพูดเร่งให้มันรีบหาข้อมูล มันเลยแก้เผ็ดกันด้วยการมาปลุกแต่เช้าในวันหยุด?

“ถ้าจะมองกูอย่างนั้นก็พูดด่ามาตรงๆ เถอะว่าถ่อมาหาทำไมแต่เช้า”

“กูมีสิทธิ์ว่ามึงซะที่ไหน...จะเข้ามาก่อนไหม”

“เข้า”

กังหันดันตัวผมเข้ามาในห้อง แล้วช่วยปิดประตูให้ “กูมีเหตุผลที่เอามาส่งให้มึงถึงที่ อย่างแรก...กูไม่อยากให้ใครรู้ว่าที่บ้านทำงานเกี่ยวกับอะไร”

“ไม่เห็นจะดูแย่อะไร” ผมพูดทั้งที่ตามองตราประทับสำนักงานนักสืบบนซองเอกสารไปด้วย “แล้วนี่มึงให้ที่บ้านช่วยหาข้อมูลให้เหรอวะ”

ถามพร้อมกับเปิดซองดูของด้านในว่ามีอะไรบ้าง แต่ยังไม่ทันได้เห็นก็ได้ยินเสียงจานกระทบกันเข้าก่อน เลยหันไปดูต้นเสียง แล้วถามอย่างแปลกใจแทน

“จะกินข้าวที่นี่เรอะ”

กังหันกำลังถือจานกับช้อนเดินตรงมา ในมือมีถุงใส่ห่อข้าวเกี่ยวนิ้วมาด้วย

“เออสิ กูซื้อมาเผื่อมึงด้วยเนี่ย”

ผมจำต้องวางซองสีน้ำตาลทิ้งไว้บนเตียง แล้วก้มตัวไปลากโต๊ะญี่ปุ่นจากใต้เตียงออกมากางบนพื้นห้อง ให้เพื่อนเอาของในมือมาวาง แล้วช่วยมันแกะห่อข้าวเทใส่จาน ดูจากกับข้าว น่าจะเป็นข้าวแกงร้านโปรดของมัน

“...ว่าแต่รูมเมทมึงย้ายออกไปแน่แล้วเหรอวะ”

 “แล้วมึงเห็นข้าวของมันยังอยู่ไหมล่ะ”

“มิน่า ห้องมึงถึงดูโล่งๆ...พูดถึงห้อง กูชอบแบบห้องยำมากกว่า ไม่มีเตียงมาวางให้เกะกะพื้นที่ด้วย”

พูดเรื่องนี้ผมจึงนึกเรื่องที่ลืมถามเจ้าของห้องบ่อยๆ ออก คราวนี้มีคนที่น่าจะรู้เรื่องอยู่ตรงหน้าก็ขอถามสักหน่อยแล้วกัน

“เตียงห้องน้องหายไปไหนวะ”

“มึงไม่รู้เรอะ ข่าวออกจะดัง”

“ข่าวไร”

“ข่าวช่วงเปิดเทอมไงที่มีเด็กปีหนึ่งใจกล้าคู่หนึ่งร้องขอให้ผู้ดูแลหอย้ายเตียงออกไปน่ะ”

“อ้อ...สองคนนี้เองเรอะ”

“เออ! ยำกับวินนี่แหละ สองคนนั้นให้เหตุผลสั้นๆ ว่าสภาพเตียงเกินเยียวยาเลยไม่กล้าใช้”

“แย่กว่าห้องอื่นอีกเรอะ”

“ไม่แน่ใจวะ แต่ขนาดน้องมันรับไม่ได้นี่ก็น่าคิดนะ และเพราะเรื่องนี้ กูเลยได้ยินข่าวลือว่าปีหน้าเขาจะเปลี่ยนเตียงใหม่เป็นเตียงสองชั้นแทน แล้วก็อาจเปลี่ยนให้อยู่สี่คนต่อห้องด้วย”

ผมขมวดคิ้วทันที “อึดอัดแย่แน่”

กังหันยักไหล่ “มันก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้วปะ”

“ก็จริง” ผมยอมรับ แล้วถือโอกาสบอกเพื่อนไปด้วย “กูว่าจะย้ายออกเทอมหน้า มึงล่ะ”

“อยู่อีกเทอม ใกล้ปิดเทอมใหญ่ค่อยลองถามพวกรุ่นพี่ที่เรียนจบปีนี้ดู ทำแบบนั้นคงได้ห้องง่ายกว่าไปหาเอาเองดาบหน้า”

“มึงพูดถูก แต่กูว่าช่วงเวลานั้นได้เกิดศึกแย่งชิงห้องกันแน่”

กังหันหัวเราะร่วน “ถ้าไม่เลือกทำเลใกล้มหา’ลัยมากนัก อัตราแข่งขันน่าจะน้อยลง ยังไงกูกับเอก็มีมอเตอร์ไซค์ทั้งคู่ เลือกห่างสักหน่อยคงไม่มีปัญหาหรอก”

“พวกมึงจะพักอยู่ด้วยกัน?”

“ก็ประหยัดค่าห้องดี แต่ถ้าหาได้คนละห้องคงแยกกันอยู่น่าจะสะดวกกว่า”

ผมฟังไปตักข้าวเข้าปากไป เรากินบ้างคุยบ้างจนหมดจาน จึงช่วยกันเก็บกวาดโต๊ะกับเอาขยะไปทิ้งถังใหญ่ด้านนอก แล้วมานั่งคุยเรื่องของด้านในซองสีน้ำตาลกันต่อที่โต๊ะญี่ปุ่น

กังหันเทของด้านในซองออกมา มีทั้งเอกสารทั้งพวกรูปถ่าย

“มึงเอาเอกสารสองแผ่นนี้ไปอ่านก่อน”

ผมรับมากวาดตาอ่านคร่าวๆ…สมแล้วที่มืออาชีพหาข้อมูลให้ ทั้งละเอียดทั้งครบถ้วนยิ่งกว่าที่ผมขอเพื่อนไปอีก ดูจากผลงานในมือ ผมว่ากังหันคงวานให้ที่บ้านช่วยจริงๆ นั่นแหละ

เมียของเมียผมเป็นเด็กภาคเหนือ ทั้งที่เลือกเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้านได้ แต่เจ้าตัวกลับเลือกเรียนไกลบ้าน ถ้าเพื่ออนาคตข้างหน้าคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กรณีเด็กนี่คงเพราะอยากไปให้พ้นหูตาพ่อแม่มากกว่า

“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเด็กมีปัญหา...รักแรกเป็นพี่ชายข้างบ้านอายุห่างกันสามปี คบหากันตอนอยู่ม.ต้น พอโดนพ่อแม่จับได้ก็ถูกกีดกันทันที จากนั้นถูกคุมเข้มอย่างหนัก แล้วช่วงโดนกีดกันฝ่ายชายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอีก หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นี่เรื่องจริงหรือละครวะ?”

“แทนที่มึงจะเห็นใจเขา”

“อ้าว กูผิดที่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เรอะ”

“โลกความเป็นจริงก็อย่างนี้แหละ ต่อให้ตอนนี้สังคมเปิดกว้างมากขึ้น แต่คนที่ไม่ยอมรับก็ยังมีไม่น้อย แล้วเด็กนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น...คงเจ็บปวดมาไม่น้อยเลยล่ะ”

“...ก็น่าเห็นใจอยู่”

“แต่เสียงมึงเรียบมาก ฟังไม่เหมือนเห็นใจเขาเลยวะ”

ผมขี้เกียจเถียงเลยถามเรื่องที่อยากรู้แทน “แล้วผู้ชายที่ถูกกล่าวถึงในนี้ ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วล่ะ”

“มึงอยากรู้ไปทำไม”

“เอาไว้ต่อรอง เพราะเด็กนี่น่าจะอยากเจออดีตพี่ชายข้างบ้านคนนี้ไม่น้อย”

“ก็จริง แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้วนะ”

“แล้วแต่มึง” ผมไม่คิดมากถ้าเพื่อนจะคิดตังค์ค่าสืบ ถือว่าอุดหนุนกิจการบ้านเพื่อนแล้วกัน

อ่านข้อมูลจนครบทั้งสองแผ่นก็เงยหน้าขึ้น เห็นกังหันกำลังมองอยู่เลยยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อย

“พอได้อ่านปัญหาคนอื่นแล้ว กูถึงได้เข้าใจว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่พี่วีไม่คิดมาก หากกูจะคบหาผู้ชายสักคนเป็นแฟน” 

“ใช่ มึงโชคดี” กังหันพูดอย่างเห็นด้วย “ส่วนเมียของเมียมึงโชคร้าย รายนั้นเลยเลือกหนีห่างจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ด้วยการยกเรื่องเรียนเรื่องอนาคตมาอ้างกับที่บ้าน แล้วเผ่นมาใช้ชีวิตตามลำพังถึงนี่ ส่วนข้าวยำก็ดันเข้าไปจีบในจังหวะที่เขากำลังอยากเปิดเผยรสนิยมตัวเองพอดี”

กังหันถอนหายใจ แล้วยื่นเอกสารแผ่นต่อไปมาให้

“มึงอ่านแผ่นนี้ต่อ”

ผมยื่นมือไปรับมาดู คราวนี้ต้องประหลาดใจพอสมควร เพราะทั้งแผ่นเป็นเรื่องของข้าวยำล้วนๆ หลังตั้งใจอ่านเป็นพิเศษจนจบ กังหันถึงเริ่มพูดต่อ

“เมียของมึงก็เป็นเด็กมีปัญหาทางครอบครัวเหมือนกัน สองคนนี้เลยคลิกกันได้เร็วเป็นพิเศษ เพราะเจอสถานการณ์คล้ายๆ กันมา นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คู่นี้คบกันได้เร็วเป็นพิเศษ”

ผมกลับไม่ติดใจเรื่องนั้นเท่ากับอีกเรื่อง “...แล้วเรื่องแม่ที่พูดถึงในนี้ล่ะ จริงเท็จแค่ไหน?”

“มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่คนเป็นแม่หนีตามผู้ชายอื่นไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ส่วนตรงที่เขียนว่าคนแม่ตายไปแล้วเป็นข่าวลวงที่คนพ่อปล่อยออกมา...ถ้ามึงอยากรู้รายละเอียดเพิ่มพลิกไปด้านหลัง”

ด้านหลังมีข้อความแล้วก็รูปประกอบที่ยืนยันว่าเธอไปสนามบินกับผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งจริง

...นี่สินะความหมายของคำว่าคนทรยศที่ยำพูดถึงวันนั้น

“มึงไปหาเรื่องนี้มาได้ไง” ผมถามอย่างสงสัย เพราะเรื่องมันเกิดเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ข้อมูลไม่น่าจะเหลือให้สืบหาได้

“คนพ่อเคยมาขอให้บ้านกูสืบหาเมียที่จู่ๆ ก็หายตัวไปน่ะสิ กูเห็นว่าเกี่ยวข้องเลยก๊อปปี๊มาให้มึงดู”

“เกี่ยวตรงไหนวะ?”

“ตรงที่ทำให้น้องเรามีอคติกับเพศหญิงมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาเลยเป็นเกย์อย่างทุกวันนี้ไง”

“อ้อ”

“มึงอ่านแผ่นนี้ต่อ”

ผมรับมาดูพบว่าเป็นข่าวที่ตัดจากหน้าหนังสือพิมพ์เก่า แต่กระดาษในมือผมคือซีรอกส์มาอีกที มันเป็นกรอบข่าวเล็กๆ ที่เขียนว่าเด็กม.ต้นขึ้นศาลเยาวชน เหตุเพราะทำเพื่อนร่วมโรงเรียนเป็นหมัน อ่านเนื้อหาจบก็ยังไม่เข้าใจว่ากังหันเอามาให้ผมดูทำไม

“ที่มึงอ่านไปคือจุดเริ่มต้น ไอ้คนโดนกระทืบของรักของหวงจนเป็นหมันสามารถโตขึ้นมาแบบปรับตัวได้ดี อาจเพราะยังเป็นเด็กด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะไอ้นั่นใช้การไม่ได้หรือเพราะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง มันถึงได้เบี่ยงไปเป็นกระเทยซะได้ แต่สันดานคนกลับไม่ได้เปลี่ยนด้วย”

กังหันวางรูปใบหนึ่งบนโต๊ะ เป็นรูปข้าวยำหัวเกรียนในชุดรด. มีพลาสเตอร์ยาแปะบนหน้า สภาพคล้ายไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา แล้วดูตาขวางๆ มองกล้องนั่นสิ ฮ่าๆๆ สมฉายาแมวเถื่อนที่ผมตั้งให้เลยวะ

“มึงหัวเราะอะไร น้องมันดูสมชายชาตรีดีออก ไม่เห็นมีอะไรน่าตลก”

ผมโบกมือปฏิเสธ พยายามกลั้นขำเต็มที่ “รูปนี้กูขอได้เปล่า”

“...ถ้ามึงยอมบอกว่าหัวเราะเรื่องอะไร”

“กูเคยพูดว่าเห็นยำเป็นแมวเถื่อน รูปนี้สมฉายากูมาก กูเลยหัวเราะขำไง”

กังหันขมวดคิ้ว หมุนรูปมาจ้องดูสักพักก็หัวเราะออกมา

“กูเห็นแต่ข้าวยำฉบับร่าเริงเป็นลูกหมาจนชินตา ตอนมึงพูดถึงครั้งนั้นเลยนึกภาพไม่ออก เพิ่งจะเข้าใจก็ตอนนี้วะ ฮ่าๆๆ”

ผมแย่งรูปไปจากมือเพื่อนทันที “อย่ามองมาก กูหวงแมวของกู”

“กล้าพูดนะมึง” กังหันทำหน้าหมั่นไส้ใส่ “กลับเข้าเรื่องกันก่อน ข้าวยำเวอร์ชั่นแมวเถื่อนหัวเกรียนของมึงถูกตาต้องใจกระเทยรุ่นเดียวกันไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็มีกระเทยที่เป็นหมันนั่นด้วย”

“อย่าบอกนะว่ามันฉุดยำไปปล้ำเหมือนที่เคยทำกับเด็กที่กระทืบมันไปน่ะ!”

“ตามนั้นเลย แต่คราวนี้เปลี่ยนจากฉุดไปทำเมีย เป็นฉุดไปทำผัว”

ผมตบโต๊ะด้วยหงุดหงิด กังหันเล่าต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“แต่ก่อนจะมีการเสียตัวเกิดขึ้น เพื่อนยำก็ไปช่วยไว้ได้ทัน เลยโดนคนเดิมที่ทำมันเป็นหมันกระทืบเข้าให้จนไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล พร้อมกับพรรคพวกอีกสองคน”

“ทำได้ดีมาก!” ผมพูดชมอย่างถูกใจ และนึกสนใจขึ้นมาด้วย “เพื่อนยำคนนั้นใครวะ”

“ชื่อที เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์”

ผมชะงักไปทันที “คณะนี้มัน...”

“ใช่ คณะเดียวกับเมียของเมียมึง แล้วยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ยำมาเจอกับเด็น แต่เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง กูขอพูดประเด็นเดิมให้จบก่อน” กังหันวางรูปใหม่ลงบนโต๊ะญี่ปุ่น “มึงลองสังเกตรูปพวกนี้ดู”

ที่เห็นมีแต่รูปข้าวยำในชุดนักศึกษาฝั่งเดียว ส่วนอีกฝั่งเป็นทิศที่ยำมองไปกลับถูกตัดแยกออกไปอย่างจงใจ แล้วทุกรูปก็แสดงออกถึงความหวาดระแวงปนระวังตัวของแมวเถื่อนทั้งนั้น

“ยำกำลังกลัวอะไร”

กังหันตอบผมด้วยการหยิบรูปใบใหม่ขึ้นมาวาง แค่เห็นก็ทำผมชะงักไปทันที ยิ่งเห็นใบอื่นๆ ก็ยิ่งรู้สึกพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเพื่อนจับรูปภาพพวกนั้นมาประกบกับรูปข้าวยำก่อนหน้านี้จนภาพแต่ละใบกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

“นี่คืออีกสาเหตุที่ทำให้กูอยากสืบเรื่องยำ” กังหันพูดออกมาทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากรูปแต่ละใบ “กูนึกสงสัยตั้งแต่ได้เห็นยำเขยิบหนีรุ่นพี่ที่เป็นกระเทยแล้ว พอสังเกตมากขึ้นก็เห็นน้องมักหลีกกระเทยทุกวัยเป็นพิเศษ”

“...ผลจากเรื่องโดนฉุด?”

กังหันพยักหน้า “เหมือนจะเป็นแผลฝังใจซะด้วย แล้วที่กูยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะ...”

รูปบนโต๊ะถูกปัดไปกองรวมกันด้านข้าง แล้วแทนที่ด้วยรูปใหม่สองใบ

“มึงลองสังเกตสองรูปนี้ให้ดี”

ผมมองตาม รูปแรกคือเด็กชื่อเด็นอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มีทั้งชายและหญิง อีกรูปก็เหมือนกันเพียงแต่กลุ่มเปลี่ยนเป็นอีกกลุ่ม

“เพื่อนในมหา’ลัยกับเพื่อนนอกมหา’ลัย?” 

“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่ที่กูอยากให้ดูคือบรรยากาศและการแสดงออกของเด็กนี่ต่างหาก”

ผมมองรูปถ่ายอีกครั้ง หากให้เปรียบเทียบ รูปในฝั่งซ้ายเสมือนคนปกติทั่วไปที่สวมหน้ากากเข้าหาผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดในสังคม แต่ในรูปทางฝั่งขวาเหมือนถอดหน้ากากออกกลับคืนสู่ธรรมชาติของตนเอง…

ธรรมชาติงั้นเหรอ

ผมทวนคำอยู่ในใจ และเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ยิ่งกังหันหยิบรูปใหม่ที่เด็นอยู่ร่วมกับเพื่อนนอกมหา’ลัยมาไล่เรียงต่อกันให้ดูก็ยิ่งเห็นสิ่งผิดปกติที่ว่าชัดขึ้นทุกทีๆ 

“เด็กนี่เป็นกระเทยเรอะ!”

“กูคาดเดาว่าใช่ แต่เหมือนเจ้าตัวยังสับสนกับตัวเอง”

“สับสนอะไรอีกวะ แสดงออกชัดขนาดนี้!”

“อาจเพราะถูกบีบให้ต้องเก็บซ่อนตัวตนในเปลือกมานานก็ได้ เด็กนี่เลยเกิดความขัดแย้งในใจขึ้น คงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะหายสับสน อันนี้กูเดานะ”

“อ้อ แต่ต่อให้สับสนแค่ไหนก็ยังห้ามตัวตนลึกๆ กะเทาะเปลือกออกมาไม่ได้อยู่ดีสินะ”

“มันเลยเป็นปัญหากับยำไง และนี่คืออีกเหตุผลที่กูโผล่มาหามึงถึงที่แต่เช้า”

ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด “...มึงคิดว่าถ้ายำรู้เรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่เห็นต้องถาม เป็นอย่างในรูปที่กูให้มึงดูชัวร์”

“แต่นี่คือแฟนมัน”

“ก็เพราะแฟนน่ะสิ” กังหันถอนหายใจ “ถ้าคู่นี้ฝืนคบกันก็มีแต่ปัญหาตามมาเป็นพรวน...กูว่านะทำให้เลิกกันตั้งแต่ตอนนี้ยังดีซะกว่าอีก”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยยามเห็นแววตาสื่อนัยบางอย่างของกังหัน

“มึงจะให้กูรับบทตัวร้าย?”

“ถ้าให้พูดตามจริง ตอนแรกกูก็ไม่เห็นด้วยถ้ามึงจะไปทำคู่รักแตกแยก แต่ตอนนี้กูว่ามึงควรทำ”

ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิดอยู่นาน กว่าจะพูดขึ้นมา

“...ทำให้เลิกไม่ใช่เรื่องง่าย”

“กูรู้ ดูจากเด็กนี่ตามไปราวีข้าวยำถึงคณะ คงไม่มีทางยอมเลิกง่ายๆ หรอก”

ผมนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดออกมา “มึงได้สืบช่วงที่สองคนนี้มีปัญหาหรือเปล่า”

“สืบสิ แต่หาข้อมูลไม่ได้วะ เลยยังเป็นปริศนาคาใจกูอยู่เนี่ยว่าเพราะอะไร”

ผมลอบถอนหายใจ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องที่เพื่อนสืบหาไม่ได้อยู่ เพราถ้าเล่นสืบได้หมด ผมคงเริ่มกลัวมันขึ้นมาจริงๆ

“ที่กูพอหาได้คือยำเมาหนัก เด็นจึงพามันกลับมา แล้วให้นอนที่หอตัวเอง...”

“อะไรนะ!” ผมทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “ยำเมาแล้วไปนอนค้างกับเด็กนี่เรอะ!!”

“ช...ใช่”

กังหันดูอึ้งที่ผมทำเสียงดังใส่กะทันหัน แต่ผมสิอึ้งกว่า!

แต่พอนึกได้ว่าเด็กนี่คงไม่เป็นฝ่ายรุกใครแน่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับยกมือมาคลึงขมับหลังเริ่มเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อความแน่ใจต้องถามเพื่อยืนยันอีกที

“หลังจากคืนนั้นท่าทีของสองคนนี้ก็เปลี่ยนไปสินะ?”

“ใช่...มึงรู้อะไรบางอย่างใช่ไหม!”

ประโยคหลังกังหันใช้น้ำเสียงคาดคั้นใส่กัน

“ไม่เชิง” ผมถอนหายใจอีกเฮือก “…กูเป็นคนพาข้าวยำที่เมาเหล้ากลับไปทุกครั้งก็จริง แต่ไม่เคยพามันไปค้างด้วยเลยจนกระทั่งคืนที่เราไปเปลี่ยนบรรยากาศกินเหล้าไกลจากมหา’ลัยมาก”

“อ้อ กูจำได้ แล้วช่วงนั้นยำก็แสดงออกว่าเกลียดขี้หน้ามึงด้วย”

“เหตุเกิดคืนนั้นแหละ กูไม่อยากขับกลับมานอนหอเลยไปนอนที่คอนโดพี่วีแทน แล้วกูก็พามันไปนอนค้างด้วย...” พูดถึงตรงนี้ผมก็เงียบไปทันที

พลั่ก!

กังหันถีบขาผมจากใต้โต๊ะ “มึงจะหยุดพูดให้กูลุ้นทำไม”

“ก็กูไม่อยากพูดถึงนี่!”

“มึงเล่ามาขนาดนี้แล้วก็เล่าให้หมดสิวะ!”

ผมพ่นลมหายใจ แล้วลดเสียงลง “มันจะปล้ำกูน่ะ กูเลยเป็นฝ่ายพลิกกระดานจับมันทำเมียแทน”

“ยำเนี่ยนะ?!”

“เออ! ส่วนกูมารู้จากวินทีหลังว่าเวลายำเมาหนักถึงเป็นแบบนั้น เป็นมานานแล้ว และวินก็มีวิถีรับมืออยู่ เต้ถึงได้ขอร้องให้กูคอยดูแลและพาตัวน้องรหัสมันไปส่งถึงห้องทุกครั้งที่ไปกินเหล้ากันไง”

“ง...งั้นยำก็ไปปล้ำเด็กนั่นเข้าน่ะสิ!”

“ชัวร์!” ตอบไปแล้วก็พูดต่ออย่างหงุดหงิด “ดีที่เด็กนั่นเป็นชายใจหญิง ถ้าเป็นชายเชิงรุกแบบกู ยำคงได้ตกเป็นเมียเขาไปแล้ว”

“กูล่ะปวดหัว” กังหันบีบขมับบ้าง “...แล้วยำมีมึงเป็นคนแรกหรือเปล่า”

“จากปฏิกิริยา กูเป็นคนแรกแน่นอน”

“...มันรอดพ้นมือคนอื่นมาเสร็จมึงได้ไงวะ”

“เพื่อนมันคงดูแลดีมั้ง กูหมายถึงเพื่อนแบบวิน...เพื่อนที่ไม่ใช่แบบที่เพิ่งรู้จักใหม่ในมหา’ลัยน่ะ”

“อ้อ ยำมีเพื่อนสมัยเด็กอยู่หกคน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ประถมยันมัธยม ที่จริงพวกนั้นก็อยู่มหา’ลัยเรานะ แต่กระจายกันไปคนละคณะ”

“มึงพูดเรื่องเพื่อนสมัยเด็กที่อยู่คณะเศรษฐศาสตร์ค้างไว้นี่”

“อ้อ คือน้องเราไปหาเพื่อนสมัยเด็กคนนั้น แล้วไปเจอเด็นที่เป็นเพื่อนใหม่ที่อยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนสมัยเด็กเข้าน่ะ แต่ดูเหมือนเพื่อนสมัยเด็กที่ว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับการคบกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร บางครั้งยังยื่นมือเข้าช่วยด้วยซ้ำ ที่สองคนนี้คบกันราบรื่นดี อาจเพราะมีเพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือ”

“…ตอนนี้ไม่ช่วยแล้วหรือไง?”

“ดูเหมือนไม่ค่อยอยากยุ่งด้วยแล้ว”

“งั้นกูก็ไม่ใช้ต้นเหตุสร้างรอยร้าวฉานน่ะสิ”

“เออ! แต่มึงเป็นตัวแปรที่ทำให้รอยร้าวขยายใหญ่ขึ้น” กังหันทำหน้าหนักใจ “คู่นี้กูว่ายังไงก็ไม่น่ารอด...มึงเป็นตัวแปรต่อไปก็ดีเหมือนกัน”

“มึงเป็นเพื่อนกูจริงหรือเปล่า ถึงได้พยายามยัดบทตัวร้ายใส่กูเหลือเกิน!”

 “กูเป็นพวกลำเอียงที่เห็นแก่รุ่นน้องหมาน้อยมากกว่าเพื่อนเลวแบบมึง!”

“ยังไงกูก็ไม่เอาด้วย แค่นี้กูก็แทบไม่มีอะไรดีในสายตาเมียอยู่แล้ว”

“แล้วมึงไม่อยากได้เมียคืนหรือไง”

“อยาก แต่กูรอได้”

เพราะยังไงคู่นี้ก็ไปกันไม่รอดแน่อยู่แล้วนี่

“อ้อ มึงคิดจะให้สองคนนี้เลิกกันเองก่อน แล้วมึงค่อยเข้าไปเสียบทีหลัง?”

“เออ”

“นี่มึงชอบน้องกูแน่เหรอวะ”

“ถามทำไม?”

“ก็มึงเห็นแก่ตัวน่ะสิ! แทนที่จะไปเป็นตัวแปรทำให้เรื่องจบลงแบบที่เมียมึงไม่รู้สึกแย่มากนัก”

ผมรู้สะดุดใจกับคำพูดเพื่อนจนเผลอขมวดคิ้ว แต่ปากก็ขยับพูดตอบโต้ไปด้วย

“แล้วให้มันมารู้สึกแย่สุดๆ กับกูแทนน่ะเหรอ? กูคงได้โดนเมียเทน่ะสิ!”

“สภาพมึงตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกเขี่ยทิ้งอยู่แล้วนี่”

หัวใจของผมถูกคำพูดเพื่อนทิ่มแทงอีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างจนเผลอมองเพื่อนแปลกไปวูบหนึ่ง ก่อนเมินหน้าหนีพร้อมยืนยันคำเดิมสั้นๆ

“ยังไงกูก็ไม่เอาด้วย”

กังหันตบโต๊ะอย่างหงุดหงิด “ตามใจมึง! กูกลับล่ะ!”

ผมหันกลับมาก็เห็นกังหันกวาดของที่ถูกเทออกมาก่อนหน้านี้ลงซองสีน้ำตาลลวกๆ ท่าทางคงอยากจากไปเต็มแก่ ผมเลยถือโอกาสนี้ลองพูดบางอย่างเป็นการลองเชิง

“ความจริงมึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยนะ แต่ทำไมถึงใส่อารมณ์ยิ่งกว่าคนเกี่ยวข้องอย่างกูอีกวะ”

กังหันเงยหน้ามองผมด้วยแววตาวาวโรจน์ ก่อนกวาดรูปชุดสุดท้ายลงซองสีน้ำตาล แล้วผุดลุกขึ้นยืนเดินจากไปทันที แต่ก่อนประตูห้องจะปิด มันก็หันมาบอกผมสั้นๆ

“เลือกเอาว่ามึงจะ ‘เห็นแก่ตัว’ หรือ ‘เห็นแก่เมีย’ มากกว่ากัน!”

ปัง!

ผมมองประตูที่ถูกปิดไปแล้วอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ในใจก็ครุ่นคิดอย่างหนักหลังจากรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่มันแปลกๆ ความรู้สึกที่ว่าไม่ควรมองข้ามพุ่งพรวดเข้ามาในความคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ

...ไม่หรอก อาจไม่ใช่ก็ได้

ถึงพยายามคิดแบบนั้น แต่ความไม่ไว้วางใจกลับไม่มีทีท่าจะลดน้อยลงเลย

-------------

ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องเมื่อเช้าหรือเปล่าที่ทำให้ผมมาหยุดยืนหน้าห้องพักรุ่นน้องในตอนเย็น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าวินไม่อยู่แน่ ผมก็ยังเคาะประตูห้องเรียกคนข้างในมาเปิด ละเมิดคำขอร้องของแมวเถื่อนที่พยายามรักษามาตลอดจนได้

“รู้แล้วๆ กูกำลังจะออกไป!”

แว่วเสียงข้าวยำตะโกนจากข้างใน ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก เจ้าของห้องชะงักไปทันทีที่เห็นหน้ากัน ผมเองก็ได้แต่มองมันเงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีทั้งที่ในใจมีเรื่องอยากถามอยากพูดให้ฟังตั้งหลายเรื่อง

“...มึงมาทำไม”

ผมหลุดจากภวังค์มามองคนเอ่ยถามขึ้นก่อนอย่างแปลกใจ ทั้งทีนึกว่าคงโดนประตูปิดใส่หน้าซะอีก แต่อีกฝ่ายกลับพูดถามด้วยสีหน้าเรียบสงบจนใจคนมองอย่างผมแกว่งไปมาอย่างไม่มั่นคง

แค่ไม่ถึงอาทิตย์มันก็ตัดผมออกไปจากความรู้สึกมันได้แล้วเรอะ

ได้แต่ข่มความรู้สึกด้านลบที่ตีวนกันอยู่ในใจลงด้วยการทำเป็นกวาดมองดูเสื้อผ้าของคนตรงหน้า แล้วถามคำถามโง่ๆ ออกไป

“เตรียมจะไปงานเฟรชชี่ไนท์แล้วเหรอ?”

“มึงไม่น่าถามอะไรโง่ๆ”

โดนด่าสวนกลับมาทันที แต่ผมกลับยิ้มรับ เพราะอย่างน้อยแมวเถื่อนก็ยังด่าใส่กันอยู่

“มีเวลาให้กูสักหน่อยไหม?”

ข้าวยำหยุดคิดอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “...ถ้าแค่ห้านาทีล่ะก็ได้”

คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง และเพื่อไม่ให้เสียเวลาห้านาทีที่ได้มา ผมเลยรีบดันข้าวยำเข้าไปในห้องพร้อมดึงประตูปิดอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกมือก็ตวัดโอบเอวแมวเถื่อน ทั้งออกแรงรั้งตัวกะทันหันจนมันเซถลามาชนผม ได้จังหวะก็รีบโอบล้อมตัวกักขังตัวไว้ในอ้อมแขนทันที

“จ...จะทำอะไร”

คนไม่ทั้งตั้งตัวร้องถามเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังพยายามทั้งดิ้นทั้งดันตัวมันเองให้เป็นอิสระ

“ขอกูอยู่อย่างนี้สักห้านาที”

ลองพูดเสียงอ่อนเจือขอร้องดู ก็ไม่คิดว่าจะได้ผลหรอก แต่กลายเป็นว่าคนในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักน้อยลงและยอมหยุดยืนนิ่งให้กอดจนได้ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ผมก็รีบกระชับแขนดันตัวข้าวยำให้แนบชิดมากกว่าเดิม พลางหลับตาลงรับสัมผัสอุ่นๆ จากตัวแมวเถื่อนอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ห่างหายจากสัมผัสนี้ไปเกือบอาทิตย์

“...เป็นอะไรของมึง”

หืม?

เหมือนผมจะได้ยินเสียงสงสัยกึ่งเป็นกังวลจากแมวเถื่อน...หูฝาดหรือเปล่าวะ?

“กูถามก็ตอบสิวะ!”

เหมือนจะไม่ฝาดนะ ผมลืมตาขึ้นทันที ทั้งยังกลั้นยิ้มน้อยๆ กับเสียงตวาดเมื่อครู่

บางทีผมอาจไม่โดนตัดสัมพันธ์อย่างที่คิดก็ได้ เพียงแต่...สายสัมพันธ์ที่ว่ายังคงเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบไหนนั้นไม่รู้ ที่รู้คือผมอยากเปลี่ยนจากเส้นด้ายเป็นสายเอ็นตกปลาชะมัด ถึงเล็กบางเหมือนกัน แต่คงไม่ขาดง่ายให้กังวลใจเท่านี้

เหมือนผมจะเงียบนานไป แมวเถื่อนถึงได้เริ่มพยศอีกแล้ว ได้แต่ใช้แรงรั้งตัวคนดิ้นเต็มที่เอาไว้พร้อมปากขยับตอบไปโดยเร็ว

“ความเห็นไม่ลงรอยกับเพื่อนมา”

คนได้คำตอบนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนถามกลับมาเสียงสูงกว่าปกติ “มึงทะเลาะกับเพื่อน?”

ผมครางรับในคอ วางคางลงบนหัวแมวเถื่อนที่ยืนนิ่งเงียบไปแล้ว อ่า...อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ ชะมัด

“...ไม่เห็นต้องคิดมาก” คำพูดมาพร้อมแรงตบที่หลังเบาๆ สองที

ผมโดนแมวเถื่อนปลอบใจเข้าให้แล้ว คิดพลางหัวเราะเสียงแผ่วอย่างมีความสุขและเสียดายไปพร้อมกัน เวลาห้านาทีน้อยไปจริงๆ นั่นแหละ แถมต่อไปจะได้มีโอกาสกอดอย่างนี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

“...ถ้ากูทำเรื่องชั่วๆ แต่ทำเพื่อคนอื่น มึงจะคิดยังไง?”

ผมถามด้วยความกังวลปะปนกับอยากรู้ความเห็นคิดของแมวเถื่อนบ้าง

คนฟังเงียบไปนานกว่าจะตอบกลับมา “ทางที่ดีมึงควรไปถามเขาก่อนว่าอยากให้มึงทำชั่วเพื่อเขาไหม”

“แล้วมึงอยากให้กูทำให้ไหม”

“...ไม่”

“ถ้ากูทำล่ะ มึงจะเกลียดกูหรือเปล่า”

“...ต้องดูก่อนว่ามึงไปทำชั่วอะไรมา แล้วยังพอให้อภัยได้ไหม”

“งั้นเหรอ”

ผมซึมซับไออุ่นจากแมวเถื่อนจนใกล้ครบห้านาที ถึงเลื่อนใบหน้าไปกดจูบที่ขมับคนในอ้อมแขนเบาๆ หนึ่งหน แล้วผละออกช้าๆ อย่างเสียดาย

“มึง...ดูผิดปกตินะ”

ผมหัวเราะเบาๆ กับสายตากึ่งสงสัยกึ่งจับผิดที่มองมา แล้วพูดตัดบทสั้นๆ

“ครบเวลาที่กูขอมึงแล้ว กูไปก่อนล่ะ”

หมับ! ไม่คาดว่าแค่หมุนตัวทำท่าจะจากไป ชายเสื้อของผมก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือของคนทำกำลังหน้านิ่วขมวดคิ้วใส่

“มึงคิดจะทำอะไร?”

“...ไปทำให้มึงเกลียดล่ะมั้ง”

“กูถามดีๆ นะ”

“กูก็ตอบดีแล้ว”

เห็นแมวเถื่อนทำหน้าโมโหใส่ก็อดเอื้อมมือไปดันท้ายทอยให้มันแหงนหน้าขึ้น แล้วกดจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาหนึ่งทีไม่ได้ แต่ก่อนจะถูกด่าเรื่องฉวยโอกาส ผมก็พูดสิ่งที่อยากบอกตอนนี้ให้มันฟังก่อน

“กูไม่ใช่คนดี เป็นคนเลวในสายตาของมึงด้วยซ้ำ และในอนาคตก็อาจเลวยิ่งกว่านี้อีก แต่กูอยากให้มึงเข้าใจในความเลวของกูนะ”

ส่งยิ้มให้แมวเถื่อนที่ยืนอึ้งตรงหน้าไปหนึ่งที แล้วปล่อยมือถอยห่างอีกครั้ง แต่กลับโดนอีกฝ่ายกระชากคอเสื้อเข้าให้ก่อน

“แต่ตอนนี้กูไม่เข้าใจ! และกูต้องการจะรู้เดี๋ยวนี้!”

ผมแกะมือข้าวยำออกจากคอเสื้อ แล้วดึงมือข้างนั้นมาแตะกับริมฝีปากตัวเองจนแมวเถื่อนสะดุ้งโหยง กระชากมือกลับคืนกะทันหันไม่พอ ยังกระโดดถอยห่างด้วยสีหน้าตื่นๆ อีกต่างหาก เป็นปฏิกิริยาที่ผมเผลออมยิ้มขำออกมา

“เอาไว้กูค่อยมาเคลียร์กับมึงทีหลังแล้วกัน”

รีบหมุนตัวออกจากห้องก่อนจะทนความน่ารักที่เห็นไม่ไหวจนเผลอจับแมวบางตัวมาจูบปากสักที

ระหว่างดึงประตูห้องปิด ผมทันได้เห็นสีหน้ายังตื่นตระหนกปนมึนงงของคนในห้อง เพียงแต่แววตาที่จ้องมาเริ่มปรากฏความระแวงให้เห็นเล็กน้อย ผมมองหน้าแมวเถื่อนอีกชั่วอึดใจหนึ่งก็จำใจดึงประตูปิดให้สนิท พร้อมพ่นลมหายใจออกมาทันที

เฮ้อ~ ต้องทนห่างมันอีกแล้ว แถมหลังจากนี้อาจโดนโกรธถึงขั้นหมางเมินเสมือนผมเป็นอากาศ

หยุดความคิดด้านลบทันที แล้วคิดใหม่

เฮ้อ~ ถึงผมทำเรื่องไม่ดีลงไปก็ขอให้มันยังยอมกระโจนเข้าหา จะอาละวาดใส่ก็ได้ หรือจะดุร้ายขนาดไหนก็รับไหว

...ผมขอแค่นั้นจะได้ไหมนะ?     

############

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อื้อหือออออ ประเด็นเมียของเมียนี่เซอร์ไพรส์มาก

ออฟไลน์ absolutepoison

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้ๆ นะพี่ภู

ออฟไลน์ Iamex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 2 : ผู้ที่ก้าวเข้ามาในกับดัก


สองสามวันมานี้มีหลายสิ่งที่แปลกไปจากปกติ อย่างแรกคือเรื่องเพื่อน

ผมเป็นพวกไม่ยึดติดกับเพื่อนก็จริง แต่เมื่อเพื่อนสนิทสุดอย่างเต้กับนัทดันชอบหายหัวบ่อยๆ ตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมเลยต้องหาเพื่อนอีกกลุ่มไว้คุยแก้เบื่อ นานไปเพื่อนอีกสองคนของผมก็เริ่มสนิทกับเพื่อนใหม่จนแทบจะรวมเป็นกลุ่มเดียวกันได้ ถ้าพวกมันเลิกนิสัยชอบหายตัวสักทีน่ะนะ พอผ่านมาสองปีก็กลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง ต่อให้ไม่อยากยอมรับ แต่ผมก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนกลุ่มนี้ไปแล้วอยู่ดี ดังนั้นเลยไม่ค่อยแปลกใจหากเอจะเดินมาถามเสียงเรียบถึงที่

“...มึงกับกังหันมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าวะ”

“แค่ความเห็นไม่ตรงกัน” ผมตอบไปสั้นๆ

คนฟังขมวดคิ้วใส่ “ถ้าแค่นั้นมึงจะหายหน้าจากกลุ่มกูไปทำไมวะ”

“กูแค่ไม่อยากมีเรื่อง ห่างกันได้ก็ห่าง มันจะได้ใจเย็นลงหน่อย”

และผมจะได้มีโอกาสสังเกตอะไรบางอย่างในมุมมองคนอยู่นอกวงด้วย

“เฮ้อ~” เอถอนหายใจใส่เสียงดัง ทั้งยังยกมือเท้าคางกับโต๊ะด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด “พวกมึงทะเลาะกันเรื่องอะไรวะ”

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง มึงไม่ต้องสนใจหรอก”

“ไม่ให้สนได้ไง มึงก็เพื่อน กังหันก็เพื่อน คนกลางอย่างกูแอบลำบากใจนะโว้ย”

“มึงอยู่เฉยๆ รอไปก่อน อีกไม่นานกังหันก็คงหายบ้าเองนั่นแหละ”

“เอางั้น?”

“เออ”

“แล้วมึงจะนั่งเรียนหรือกินข้าวคนเดียวไปถึงเมื่อไหร่?”

“คงสักพักนั่นแหละ” ผมส่งยิ้มให้เอที่กำลังขมวดคิ้วใส่ “กูไม่เดือดร้อนหรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เพราะมึงเบื่อที่จะอยู่คนเดียวถึงได้มาอยู่กับพวกกูไม่ใช่หรือไง?”

ผมพยักหน้าว่าใช่ และพูดเสริมอีกหน่อย “แต่กูก็ไม่ได้เกลียดกับการอยู่คนเดียวหรอก ไม่งั้นกูจะคบเต้กับนัทเป็นเพื่อนได้ยาวขนาดนี้เหรอ”

“...ก็จริง” เอพ่นลมหายใจอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน “งั้นกูไปล่ะ”

“เออ”

คล้อยหลังเอได้ไม่นาน มือถือของผมก็ส่งเสียงคนโทรเข้ามา ผมทำหน้าเคร่งมองหน้าจออยู่สักพักถึงได้กดรับสาย

[มึงเป็นคนบอกให้กูโทรหาแท้ๆ แต่จงใจรับสายช้าทำเผื่อ!]

ผมยิ้มให้กับเสียงหงุดหงิดของพี่วีอยู่ในใจ ส่วนภายนอกก็ทำหน้าเคร่งเครียดต่อไป

“กูมีเหตุผลของกูน่า”

[แล้วจะให้กูใช้เบอร์เพิ่งเปิดใหม่โทรหามึงทุกวันไปจนถึงเมื่อไหร่?]

“จนกว่ากูบอกให้หยุดไง...หรือมึงเบื่อจะคุยกับน้องชายอย่างกูแล้ว?”

[ถ้ากูบอกว่าเบื่อ มึงจะถีบกูไหม]

น้ำเสียงพี่วีบ่งบอกอารมณ์เบื่อหน่ายของจริง ผมอยากหัวเราะ แต่ดันต้องพยายามเม้มปากกลั้นขำสุดชีวิต ทีตอนบอกครั้งแรกยังเห็นดีด้วย ผ่านมาแค่สามวันก็เบื่อกันซะแล้ว

[แล้วเรื่องที่มึงเล่าให้ฟังเมื่อวาน ถ้าให้พูดตรงๆ...กูไม่เห็นด้วย]

คำตอบจากพี่วีไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจใดๆ และเลือกฟังพี่วีพูดต่อไปเงียบๆ

[เพื่อนมึงนี่ก็แปลก เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องรุ่นน้องเกินไปจนน่าสงสัย]

“มึงคิดเหมือนกูใช่ไหมว่ามันน่าจะมีอะไรในกอไผ่”

[คงงั้น แล้วที่มึงเดือดร้อนไปด้วยเนี่ย เพราะรุ่นน้องคนนั้นคือน้องสะใภ้กู?]

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

[ความรักบังตาหรือไง ถึงได้คิดจะทำอะไรโง่ๆ]

ผมหัวเราะหึในคอ “ทำอย่างกับกูเป็นคนดีที่โดนเข้าหลอกใช้ไปได้”

[ไม่ใช่หรือไง]

“ไม่ใช่น่ะสิ”

[ขอให้จริง...ว่าแต่น้องสะใภ้กูน่ารักไหม]

“น่ารักในสายตากู”

[ฮะๆๆ เต็มปากเต็มคำมาก อย่าลืมพามากินข้าวที่บ้านล่ะ]

“รอมันเป็นของกูร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน”

[แล้วตอนนี้ได้มาแล้วกี่เปอร์เซ็นต์?]

“ถ้าตัวน่ะได้มานานแล้ว แต่ใจนี่สิที่เป็นปัญหา” ผมพ่นลมหายใจออกมา “จะถึงยี่สิบหรือเปล่าก็ไม่รู้”

[ต่ำขนาดนั้นเลยเรอะ แล้วมึงยังกล้าคิดแผนทำร้ายจิตใจอีกนะ เดี๋ยวก็โดนเกลียดเข้าให้หรอก]

“กลัวอยู่เหมือนกัน แต่กูคิดทบทวนดีแล้วน่า”

[ไหนลองแจกแจงข้อดีข้อเสียให้กูฟังสิ]

“งั้นกูขอพูดข้อเสียก่อน...อย่างที่มึงเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ กูมีสิทธิ์โดนเมียโกรธ เกลียด และอาจถูกทิ้ง แต่มึงเคยบอกกูเองว่าคิดทำการใหญ่ต้องยอมรับความเสี่ยง”

[นั่นกูพูดถึงเรื่องธุรกิจและการเงิน!]

“นั่นแหละๆ” ผมพูดปัดๆ อย่างไม่สนใจนัก แล้วดึงเรื่องกลับมาทางเดิมอย่างรวดเร็ว “ส่วนข้อดี กูมองว่าจบเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น”

[...แค่นั้น?]

“ที่บอกคือผลสรุป ถ้าให้แจกแจงรายละเอียดเพิ่มก็มีหลายข้ออยู่ อย่างเช่น ถ้าไม่ยื่นมือไปยุ่งก็มองไม่เห็นปลายทางเลยว่ามันจะจบเมื่อไหร่ หรือถ้ากูยังเล่นบทชู้ต่อไป ความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงกลางอาจย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ เผลอๆ หลังบอกเลิกกันแล้วอาจหันมาตัดขาดกับกูอีกคนก็ได้ แล้วก็...ถ้ายังปล่อยให้คาราคาซังต่อไป อาจมีมือที่สี่โดดมาร่วมวงอีกหนึ่งก็ได้”

[มือที่สี่ที่ว่า...คงไม่ใช่เพื่อนมึงหรอกนะ]

“ยังไม่แน่ใจ แต่แค่นี้ก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว กูไม่อยากมีคู่แข่งเพิ่มหรอก”

พี่วีปล่อยเสียงหัวเราะยกใหญ่ [น้องกูน่าสงสารจริง]

“เหอะ” ผมทำเสียงในคออย่างไม่สบอารมณ์

[ตอนนี้มึงคงคอยสังเกตเพื่อนอยู่ล่ะสิ]

“อืม”

[งั้นก็สังเกตต่อไป ว่าแต่ที่กูให้คำปรึกษาไปคราวก่อน ผลเป็นยังไงบ้างล่ะ]

“...ดีกว่าที่คิดไว้”

นึกถึงท่าทีต่อต้านน้อยลง แถมยังยอมให้ผมกอดตั้งนานสองนานก็อยากยิ้มขึ้นมา แต่ตอนนี้ขอยิ้มในใจไปก่อนแล้วกัน

[แล้วช่วงนี้ยังได้เจอน้องสะใภ้กูอยู่หรือเปล่า]

“มึงลืมหรือไงว่ากูโดนขอร้องว่าอย่าเข้าใกล้ถ้าไม่จำเป็นอยู่น่ะ”

[ยังไม่เลิกสั่งห้ามอีกเหรอวะ]

“ยัง”

[ไหงมึงบอกว่าดี แต่ผลออกมาไม่เห็นได้เรื่อง!]

“ดุกูทำไมเล่า” ผมพูดเสียงเนือยๆ “ผลไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย”

[ขยายความไม่แย่ที่ว่าหน่อยสิ]

“มึงอยากรู้?” ผมถามเสียงสูงกว่าปกติเล็กน้อย

[กูผิดหรือที่อยากรู้ในฐานะผู้ให้คำปรึกษา?]

“ก็ไม่...”

[ถ้ามึงยังลีลาไม่เลิก กูจะเอาเจ้านายตัวโปรดที่บ้านไปป่วนมึงถึงมหา’ลัย]

ตัวไหนวะ?

แม้จะสงสัยแค่ไหนก็ไม่คิดถาม และไม่อยากเห็นหน้าแมวตัวโปรดของพี่วีด้วย

“ใจเย็นน่า กำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง”

[เดี๋ยวจะหมดเวลาคุยแล้ว รีบพูดมาเร็วๆ]

“ตอนปรึกษาคราวก่อน กูเล่าไปว่าโดนเมินเหมือนคนไม่รู้จักมาหลายวัน แล้วยังมีเรื่องที่เมียพยายามไปขอคืนดีกับแฟนลอยเข้าหูอีก...”

[มึงจะพูดทวนให้กูฟังทำไม! กูไม่ได้ความจำสั้น...อ้อ คิดถ่วงเวลาล่ะสิ]

“ถ่วงบ้าอะไร! กูกำลังพูดให้ฟังอยู่เนี่ย แต่ตอนนี้หมดอารมณ์บอกแล้ว แค่นี้แล้วกัน”

[เฮ้ย! มึงจะทำแบบนี้กับพี่มึงไม่ได้นะ…]

ผมกดตัดสายทิ้งทันทีและกดปิดเสียงอย่างหงุดหงิด คนตั้งใจพูดให้ฟังเป็นขั้นเป็นตอนจะได้ไม่งงแท้ๆ ดันมาหาว่าถ่วงเวลา 

อึดใจต่อมาพี่วีก็โทรเข้ามาตามคาด พอเห็นผมไม่รับสายก็ไปกระหน่ำด่าในไลน์แทน ผมทำเมินด้วยการเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง แล้วแสร้งลุกขึ้นจากเก้าอี้ จงใจเลือกเดินไปทางหนึ่ง ปล่อยให้คนแอบซุ่มดูอยู่นานสองนานต้องรีบกุลีกุจรหาที่หลบซ่อนตัว

นี่ไงล่ะ ผลที่บอกว่าไม่แย่ หรือจะเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ที่คาดไม่ถึงก็ได้

คิดพลางลอบยิ้มอยู่ในใจ

สุขไหนจะเท่ากับการโดนคนไม่แลกันเมื่ออาทิตย์ก่อน คอยลอบจับตามองเกือบตลอดเวลา ดีจนผมต้องพยายามทำตัวให้น่าสงสัยเข้าไว้ มันจะได้ตามติดชีวิตกันต่อไปนานๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมขอให้พี่วีคอยโทรหาในเวลาพักเที่ยงตั้งแต่สองวันก่อน

แต่ดีที่สุดคือกำไรที่ตามผลพลอยได้มาต่างหาก กำไรยังไงน่ะเหรอ หึ ในเมื่อตัวแมวเถื่อนคอยตามดูผมเช้า กลางวัน เย็นแบบนี้ แล้วมันจะเอาเวลาไหนไปตามง้อเมียมันล่ะ

คิดถึงตรงนี้เท้าก็ก้าวเดินพ้นจุดที่แมวเถื่อนซุ่มหลบซ่อนตัวพอดี หลังแน่ใจแล้วว่าแมวเถื่อนไม่เห็นสีหน้าผมแน่ๆ รอยยิ้มชอบใจจึงปรากฏออกมาอย่างห้ามต่อไม่ไหว

หึๆๆ จับตาดูกูต่อไปนานๆ นะมึง

-------------

ผมเดินผ่านประตูห้องเรียนออกมาหาเพื่อนต่างสาขาที่เพิ่งโทรเรียกตัวกันเมื่อครู่ เห็นเพื่อนยืนพิงผนังรออยู่ด้านตรงข้ามก็เดินเข้าไปหา ระหว่างนั้นก็กวาดตามองหาแมวเถื่อนจอมซุ่มไปด้วย ไม่อยู่ตามคาด สงสัยจะไปนั่งรอเรียนคาบบ่ายแล้วล่ะมั้ง

“มีอะไรวะ”

“ดูซะ ดูให้ชัดๆ ว่าเด็กปั้นของกูได้ตำแหน่งอะไร!”

ผมผงะเล็กน้อยกับการที่โดนเพื่อนตวัดโทรศัพท์ในมือมาจ่อตรงหน้า และไม่คิดจะยื่นมือไปรับแต่อย่างใดด้วย เพราแค่เห็นภาพเริ่มต้นของคลิปที่ปรากฏบนหน้าจอเครื่องสื่อสารก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร

“นี่มึงถ่อมาหากูถึงนี่ เพราะเรื่องแค่นี้?”

ผมพูดพร้อมดันมือมันออกห่างจากหน้าด้วยความระอา ดูก็รู้ว่าผูกใจเจ็บเพราะรูปถ่ายหน้าเลอะๆ ของวินวันนั้นแน่

“เรื่องแค่นี้ที่ไหน! มึงปรามาสว่าเด็กกูไม่มีทางได้ตำแหน่งเดือนมหา’ลัยแน่ แต่ความจริงคือได้วะ!”

“กูรู้แล้ว”

“แน่นะว่ารู้?”

“เออสิ ไม่ใช่มึงหรือไงที่สั่งให้เพื่อนมึงส่งคลิปให้กูรัวๆ ตั้งแต่คืนเฟรชชี่ไนน์น่ะ”

ส่งมาตั้งแต่วินเพิ่งเริ่มขึ้นเวทีจนถึงประกาศผลเลยทีเดียว

“แล้วมึงดูฉากประกาศผลหรือไง”

“ดูแล้ว”

“งั้นมึงมีอะไรจะพูดกับกูไหม”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดเสียงเนืองๆ “ยินดีด้วยวะคุณพี่เลี้ยงที่เด็กมึงได้เป็นเดือนมหา’ลัยแล้ว”

“ไอ้คำพูดเรียบเรื่อยไม่ยินดียินร้ายนี่มันอะไร” คนพูดหรี่ตาจ้องผมอย่างไม่พอใจ “หรือมึงมีปัญหาอะไรกับวินอีกคน?”

“เปล่า กูแค่หมั่นไส้น้องมันเฉยๆ เลยส่งรูปไปให้มึงดู แล้วก็ถือโอกาสแกล้งมึงด้วย”

“แกล้งกู?”

“เออ!”

คนมาเอาเรื่องถึงที่ทำหน้าเหลอหลาใส่กันซะงั้น

“ตกลงว่ามึงไม่ได้ส่งรูปมาเยาะเย้ยกัน?”

“แค่แกล้งน้องกับมึงเล่นๆ” ผมย้ำเสียงหนัก

“มาแกล้งตอนกูกำลังเครียดเนี่ยนะ?”

ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ก่อนพูดออกมาอย่างยอมรับความผิด

“กูผิดเองที่แกล้งเพื่อนอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา ขอโทษด้วยแล้วกัน”

“...หายโกรธมึงแล้วก็ได้” 

เออ หายเร็วดีจริงๆ

“มึงมีเรื่องจะคุยกับกูแค่นี้?” ผมถามต่อ เพราะนี่ใกล้ได้เวลาอาจารย์มาเข้าสอนเต็มที

“เปล่า พอดีกูอยากเคลียร์เรื่องเมื่อกี้ เลยอาสาเอาของมาส่งให้มึง”

“ของ?” ผมกวาดมองมือเพื่อนก็ไม่เห็นมันจะถืออะไรติดมือมา นอกจากสมาร์ทโฟน

“นี่ไง”

แค่เห็นซองจดหมายสีขาวล้วนที่เพื่อนต่างสาขาหยิบพ้นกระเป๋าเสื้อเพียงนิดเดียว ผมก็พ่นลมหายใจออกมาทันที “ซองผ้าป่าอีกแล้วเรอะ คราวนี้จะไปทำบุญที่วัดไหนล่ะ”

“ใช่ที่ไหนเล่า!”

ซองจดหมายถูกยัดใส่มือ ผมถึงได้เห็นว่ามันแตกต่างจากทุกที เพราะหน้าซองไม่มีอะไรเลยนอกจากอักษรเขียนด้วยมือเพียงประโยคเดียว

‘ฝากให้พี่ภู’

พลิกไปด้านหลังก็ขาวสะอาดไร้ชื่อคนส่งมา

“ของใครวะ?”

“กูจะไปรู้กับมึงไหมล่ะ ตายห่า! จะบ่ายโมงแล้ว กูไปเข้าเรียนก่อนนะโว้ย!!”

ผมมองเพื่อนที่วิ่งจากไปเพียงแวบเดียวก็หันมาสนใจจดหมายในมือต่อ แอบลองส่องกับแสงอาทิตย์ดูก็เห็นแค่สีทึบๆ ของสิ่งที่อยู่ด้านใน ดูจากที่ซองทั้งเบาทั้งบาง น่าจะเป็นกระดาษ ด้วยความสงสัยผมเลยฉีกริมสุดของซองออก แล้วดึงของข้างในออกมา

กระดาษจริงๆ ด้วย

ผมมองกระดาษเอสี่ขาวล้วนที่ถูกตัดเหลือเพียงครึ่งแผ่นพับใส่ในซองอีกที แล้วตัดสินใจคลี่กระดาษออก ยืนอ่านข้อความอยู่ตรงนั้น

‘ผมอยากเจอพี่ครับ หลังเลิกเรียนจะไปรอแถวร้านกาแฟ000’

ร้านกาแฟนั่นอยู่แถวคณะแพทย์ไม่ใช่หรือไง

จ้องสถานที่นัดหมายอยู่ครู่หนึ่งอย่างมึนงง...นี่ผมไปมีเรื่องกับเด็กแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?   

-------------

เพราะความสงสัยล้วนๆ พอเลิกเรียนผมเลยได้มาเยือนถิ่นของพวกเด็กแพทย์ทั้งที่อยู่ในชุดช็อป

เด่นดีจริงๆ   

ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาของเหล่าผู้ที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ แถมยังสะอาดสะอ้าน...สมกับเป็นคณะที่ต้องรักษาภาพพจน์กันสุดๆ พวกเสื้อไม่รีดแบบผมเลยจำต้องจ้ำเท้าตรงไปร้านกาแฟให้เร็วที่สุด ก่อนจะโดนจ้องจนพรุนประดุจเป็นของประหลาดที่หลุดลอดเข้ามากลางดงพวกเสื้อขาวรีดซะเนียบ

พอก้าวเข้ามาในร้านกาแฟ ผมก็ตรงดิ่งไปซื้อเครื่องดื่มมาดับกระหายทันที เดินมานี่ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ทั้งรู้สึกคิดผิดมากที่เลือกเดินมาแทนที่จะเดินวกกลับหอไปเอารถก่อน

ได้มอคค่ามาหนึ่งแก้วก็ดูดไปพลางกวาดมองไปรอบร้านอย่างมืดแปดด้าน คือผมใส่ชุดช็อปเด่นขนาดนี้ ไอ้คนนัดน่าจะเข้ามาทักได้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่มี ตกลงว่ามันจะรอให้ผมไปทักคนไม่เคยเห็นหน้า ชื่อก็ไม่รู้จักก่อนหรือไง...แต่ถ้าคิดในแง่ดีอาจจะยังมาไม่ถึงก็ได้

คิดแล้วก็มองหาที่นั่งรออย่างใจเย็น ผ่านไปสิบห้านาทีก็ลุกไปสั่งแซนวิชมานั่งกินเล่น กินช้าๆ จนหมดก็ยังไม่มีใครมาทักสักคน หยิบมือถือมาดูเวลาก็ต้องขมวดคิ้ว

รอมาตั้งสี่สิบห้านาทีแล้วนะเฮ้ย!

…หรือผมจะโดนเพื่อนแกล้งวะเนี่ย

หยิบจดหมายที่ว่ามาเพ่งดูอีกที ลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย อ่านง่ายแสนง่าย แล้วยังมีกลิ่นหอมจางๆ บนซองนี่อีก อืม ของแบบนี้ไม่น่าจะมาจากผู้ชายชัวร์ หรือจะเป็นแฟนเก่า?

...ไม่น่าใช่ กลิ่นน้ำหอมไม่คุ้นเลย

และอีกอย่างผมไม่เคยมีแฟนเป็นเด็กแพทย์ ไม่คิดจีบด้วย เพราะไหนจะต้องถ่อมาตั้งไกลทุกวัน แถมรู้ๆ กันอยู่ว่าพวกแพทย์เรียนหนักกันจะตาย มีเวลาให้ซะที่ไหน จีบติดแล้วทางนั้นก็ไม่มีเวลาให้เหมือนเดิม ยิ่งเรียนชั้นปีสูงๆ ก็แทบจะหายหัวไปเลย

แล้วใครเป็นเจ้าของจดหมายวะ??

ด้วยความคาใจ ผมเลยนั่งรอต่อไป จนกระทั่งครบชั่วโมงก็เริ่มหมดความอดทนกับการนั่งรอฟรี เลยลุกออกจากร้านกาแฟด้วยความหงุดหงิด ระหว่างกำลังนึกด่าเจ้าของจดหมายที่ทำให้ผมเสียเวลาตั้งนานสองนาน สู้เอาเวลาไปทำให้แมวเถื่อนตามติดชีวิตช่วงเย็นยังดีซะกว่าอีก แม่ง ไม่น่ามาเลยจริงๆ

“พี่ภู...”

อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อผมออกมาเบาๆ ผมหันขวับไปหาต้นเสียงทันที มั่นใจว่าในสถานที่ต่างถิ่นแบบนี้ คนที่รู้ชื่อผมได้ต้องเป็นคนรู้จัก หรือไม่ก็ต้องเป็นเจ้าของจดหมายแน่ แต่พอได้เห็นหน้าคนเรียกชัดถนัดตา ถ้อยคำที่อยากด่าเอาเรื่องฐานทำให้เสียเวลาก็ถูกกลืนลงคอ ผิดกับคนที่เรียกอย่างไม่มั่นใจในทีแรก ตอนนี้กลับก้าวเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้ามั่นใจมากขึ้น

“พี่ภู...ถูกไหมครับ”

ผมเพียงตอบรับในคอไปคำเดียว พร้อมกับกวาดตามองใบหน้าของเด็กผู้ชายในชุดนักศึกษาถูกระเบียบไปด้วย จะว่าเป็นคนแปลกหน้าก็ได้ แต่ดันเป็นใบหน้าที่ผมจำได้แม่นทั้งที่เคยเห็นจากในรูปเพียงครั้งเดียว

...ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอตัวจริงเร็วขนาดนี้

“ดีจังที่มาทัน ผมขอโทษครับ พอดีตอนเลิกเรียนผมมีประชุมกับเพื่อนคณะ เลิกแล้วก็รีบมาหาพี่เลย...”

ผมย่นคิ้วเข้าหากัน มือก็ล้วงหยิบซองจดหมายสีขาวออกมาโชว์ให้อีกฝ่ายดู พร้อมกับถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว “เจ้าของจดหมายนี่?”

“ครับ”

“รู้จักพี่?” เป็นอีกคำถามที่สงสัยมาก

“แค่เคยได้ยินเรื่องของพี่มาบ้างครับ”

ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วถามต่ออย่างข้องใจ “มีธุระอะไรล่ะ”

“คือผม...มีเรื่องอยากขอปรึกษาพี่ภูสักหน่อย”

คนพูดหยุดกลืนน้ำลาย แล้วพูดต่อด้วยเสียงจริงจังมากขึ้น

“เรื่องของ...ข้าวยำ”

############

ต้องขอโทษด้วยนะคะ (โค้งๆ) เรายอมรับผิดว่ามาช้ามากถึงมากที่สุด
คือช่วงนี้นักเขียนของคุณมีอาการหัวตื้อๆ มึนๆ เขียนงานไม่ค่อยออกค่ะ
เลยต้องใช้เวลาเค้นออกมามากกว่าปกติ (อันที่จริงก็เริ่มมีอาการตั้งแต่เขียนบทที่แล้ว)
และถ้าบทต่อไปมาช้าอีกก็รอกันหน่อยนะทุกคน เราจะพยายามค่ะ

------------------

♥►MAGNOLIA◄♥ <<< ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ให้มาค่ะ และขอบคุณที่ยังรอเรื่องนี้อยู่นะ  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2017 11:20:15 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มาต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ภู เจ้าแผนการ กำลังวางกับดักแมวเถื่อน
มีพี่ชายร่วมแผนด้วย

แต่กลับได้นัดจากนศพ.ปรึกษาเรื่องแมวเถื่อนซะเอง  :hao3:

เรื่องที่ไรท์ มึนๆ คิดไม่ออกกับเรื่องที่เขียน
เคยอ่านเจอว่าให้ปล่อยวางเรื่องที่คิด
ไปทำอย่างอื่น เช่น ปล่อยอารมณ์ชมนก ชมไม้
พูดคุยกับเพื่อนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานเขียน
แล้วเขาบอกว่าจะมีเรื่องดีๆออกมาเอง
ขอบคุณไรท์มาก ช้าก็ไม่เป็นไร รอได้นะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Iamex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มาแล้ว ดีใจจัง :mew3:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ขอบคุณที่มาต่อค่า

คนเขียนสู้ ๆ น้า

ออฟไลน์ มะเหมียว17

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew5: แมวตัวนี้ ทั้งเถื่อน ทั้งดุ.. พี่ภู ต้องระวังหน่อยแล้ว
คิดจะรักแมวเถื่อน ต้องทุ่มสุดตัวหน่อยละ

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 3: กับดักของนายพราน


“พี่รู้จักข้าวยำมานานแค่ไหนแล้วครับ” 

ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับคำถามแรกจากปากของคนมาขอคำปรึกษา แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เลยต้องปรามสักหน่อย

“พี่รับปากแค่จะให้คำปรึกษาอย่างเดียวนะ”

เด็กนั่นทำหน้าไม่พอใจให้เห็นเพียงแวบเดียว ก็พยายามปรับสีหน้าให้ดูหงุดหงิดน้อยลง แล้วยังพยายามพูดต่อ “แต่ถ้าพี่ไม่ตอบคำถามก่อน ผมจะปรึกษาถูกได้ยังไงล่ะครับ”

หืม?

ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มนิดๆ เริ่มแน่ใจมากขึ้นว่าคนส่งจดหมายนัดมา ไม่ได้ต้องการปรึกษาอะไรด้วยหรอก แค่อยากมาซักถามเรื่องใครบางคนกับผมมากกว่า ซึ่งผมไม่คิดมาก่อนว่าจะโดนเมียของเมียนัดออกมาแบบนี้ ยอมรับเลยว่าประหลาดใจมาก ขณะเดียวกันก็น่าสงสัย

ข้าวยำสนิทกับรุ่นพี่ไปทั่วแท้ๆ แต่ทำไมเด็กนี่ถึงเลือกผมวะ?

...ถ้าเมียของเมียดูโง่กว่านี้อีกหน่อย ผมอาจลองเสี่ยงถามออกไปดู แต่น่าเสียดายที่ดันดูฉลาดกว่าที่คิดเลยต้องกลืนความสงสัยที่ว่าลงท้องไปก่อน เอาน่า คิดซะว่าเป็นคราวซวยของเด็กนี่แล้วกันที่เลือกถามผิดคน

“ตกลงว่าน้องต้องการอะไรจากพี่กันแน่ครับ ปรึกษาหรือซักถาม?”

ผมยังคงรอยยิ้มเช่นเดิมทั้งที่สีหน้าคนนัดหมายเริ่มแปรเปลี่ยนไปมา

“วันนี้พี่เสียเวลากับน้องมากพอแล้ว เลยให้เลือกให้แค่หนึ่ง และพี่มีเวลาให้น้องอีกแค่...” ทำเป็นหยิบมือถือขึ้นมามองเวลา ก่อนตอบไปสั้นๆ “สิบห้านาที”

แล้วหลังจากครบเวลาไม่ว่าเด็กนี่จะพูดอะไรค้างอยู่ ผมก็จะไปทันทีแบบไม่คิดจะหันกลับมาสนใจอีกเลยล่ะ

คนฟังสูดลมหายใจเข้าปอดระงับอารมณ์ แล้วจ้องมองตรงมาไม่มีหลบ

“ถ้าพี่โกรธเรื่องที่ทำให้ต้องรอเป็นชั่วโมง ผมได้ขอโทษพี่ไปแล้ว”

 “รู้อะไรไหม คำขอโทษกับอารมณ์ของคน มันแยกกันคนละส่วนกัน บางคนแค่พูดหรือได้ยินคำขอโทษก็จบ แต่กับบางคนก็ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ดี” ผมยังคงรอยยิ้มระหว่างที่พูดเสียงเรียบเน้นย้ำประโยคหลัง “พี่เป็นคนประเภทหลัง เพราะงั้นรีบช่วยพูดเข้าเรื่องเร็วๆ ก่อนที่พี่จะหงุดหงิดกว่านี้ดีกว่านะ”

คนฟังผงะไปทันที แววตาดูคาดไม่ถึงชัดเจน ก่อนจะหุบตาลงมองพื้น พึมพำกับตัวเองเสียงเบา แต่เพราะสถานที่ในตอนนี้ค่อนข้างเงียบ บวกกับผมยืนอยู่ไม่ไกลนักเลยพลอยได้ยินถ้อยคำที่ว่าไปด้วย

“ไหนยำบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่พึ่งพาได้ไง คนดูร้ายกาจแบบนี้เนี่ยนะพึ่งพาได้?”

หืม? ยำเคยเอาเรื่องของผมมาพูดให้เมียมันฟังด้วย?

เป็นอีกเรื่องที่ทำผมประหลาดใจ เพราะเคยนึกว่ายำคงเลี่ยงพูดเรื่องผมกับเมียของมันแน่ๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดเดา...หรือว่าเพราะเหตุนี้ เด็กนี้เลยเลือกนัดผมออกมา?

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะเพราะต่างคนต่างจมอยู่ในความคิด มาได้สติอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ล้วนๆ เป็นเสียงจากโทรศัพท์ในมือผมเอง พอก้มดูหน้าจอปรากฏรูปตุ๊กตาแมวตัวที่ผมคีบได้ที่ห้างกับคำว่าแมวเถื่อนให้เห็นชัดเจนจนเผลอจ้องอยู่นานว่าตาฝาดไปหรือเปล่า

ตั้งแต่ได้เบอร์มา ผมยังไม่เคยโทรหามันสักครั้ง แมวเถื่อนก็ไม่เคยโทรมาเองแบบนี้จนผมนึกว่ามันไม่ได้เก็บเบอร์โทรผมไว้ซะอีก แต่นี่...แมวเถื่อนโทรเข้ามาจริงๆ วะ!

“...พี่ไม่รับสายเหรอครับ”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผมได้สติกลับมา พอได้หน้าเมียของเมียก็เผลอมองสลับกับรูปตุ๊กตาแทนของตัวใครบางคน

แม่ง เลือกโทรมาได้จังหวะดีจริงๆ

ผมตัดสินใจไม่รับสาย “คงโทรมาตามตัวน่ะ”

เพิ่งพูดจบหมาดๆ คนฟังก็รีบพูดต่อทันที “ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ”

หึ กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้า แล้วคิดจะชิ่งหนีง่ายๆ งั้นเรอะ ฝันไปเถอะ!

“พี่บอกแล้วว่ามีเวลาให้สิบห้านาที แต่ตอนนี้เหลือสิบสามแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ คือผมไม่รบกวนพี่แล้วดีกว่า...”

ผมเผยยิ้มเหี้ยมออกมาทันที “กล้านัดพี่มาตั้งไกลขนาดนี้ แถมยังปล่อยให้รอเป็นชั่วโมง แล้วจะมาบอกว่าไม่รบกวนตอนนี้ มันช้าไปไหมน้อง”

“คือ...ผม...”

“ถ้าไม่อยากให้พี่หมดความอดทน ลากน้องไปยำตีนก็รีบๆ พูดธุระมา!”

คนฟังเผยปากขึ้นเหมือนตกใจหนัก พอผมมองเขม็งซ้ำอีกรอบก็รีบถอยกรูดไปถึงสามก้าว

เหอะ! นี่เรอะคู่แข่ง กับคนแบบนี้ผมไม่นับเป็นคู่แข่งหรอก เป็นแค่เหยื่อมากกว่า

ความคิดสะดุดลงทันที...เหยื่องั้นเหรอ

หลังทวนคำในหัว ผมก็คิดอะไรบางอย่างออกจนเผลอหรี่ตาลงจ้องเด็กตรงหน้าที่กำลังยืนกระสับกระส่ายคล้ายคนอยากหนีไปเต็มแก่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าหนี

หึๆๆ เหมาะกับเป็นเหยื่อจริงๆ นั่นแหละ

อีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นมา ผมก้มมองดูเร็วๆ ยังคงเป็นแมวเถื่อนโทรมา ได้พ่นลมหายใจยาวเหยียด อยากรับสายอยู่หรอกนะ แต่ก็ไม่อยากปล่อยเหยื่อที่ดันโผล่เข้ามาอยู่ในมือกลับออกไปง่ายๆ เช่นกัน

จะเอาไปทำอะไรก่อนดีนะ จับเอาไปล่อแมว? หรือจะส่งตัวไปให้เพื่อนเคี้ยวเล่นแก้เหงาปาก มันจะได้หัวหมุนจนไม่มีเวลามาสนใจแมวเถื่อนของผม

คิดถึงหน้าเพื่อนที่อาจเป็นมือที่สี่ก็เผลอย่นคิ้ว

ถึงลอบสังเกตกังหันมาพักใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นไบฯ เหมือนกันหรือเปล่า หรืออาจแค่เผลอใจไปกับรุ่นน้องชายแค่คนเดียว ไม่สิ...สายตามันที่มองยำไม่เหมือนคนชอบพอแบบคนรัก แต่ไอ้ความเป็นห่วงมากเกินไปนี่คืออะไรวะ ปกติมันไม่ใช่คนเป็นห่วงเป็นใยใครสักหน่อย!

“พ...พี่ภูรับโทรศัพท์เถอะครับ”

ผมตวัดตามองเจ้าของเสียงอย่างหงุดหงิด คนที่พูดแทรกเมื่อครู่สะดุ้งโหยงรีบพูดต่อรัวเร็วแบบไม่หยุดพักหายใจ

“เขากระหน่ำโทรหาพี่ไม่หยุดเลยครับ”

ผมก้มมือโทรศัพท์ในมือ เสียงเพลงเพิ่งขาดหายไปพร้อมข้อความสายที่ไม่ได้รับต่อท้ายด้วยเลขสาม ไม่ทันมองมากกว่านั้นแมวเถื่อนก็โทรเข้ามาเป็นครั้งที่สี่ให้ได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คาดว่าถ้ายังไม่กดรับอีก แมวบางตัวก็คงโมโหจนกดโทรต่อไปเรื่อยๆ แน่

เอาเถอะ...ยอมปล่อยเหยื่อไปก่อนก็ได้

ผมหมุนตัวเดินจากเด็กนั่นมาดื้อๆ ทั้งยังปล่อยให้โทรศัพท์ดังต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดจะรับ จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา และเด็กนั่นไม่ได้อยู่แถวนี้แน่ๆ ถึงค่อยกดรับสายอย่างคนรู้ดีว่าปลายสายต้องตะโกนใส่กันแน่ๆ

[มึงจงใจยั่วโมโหกูใช่ไหม! ถึงได้ไม่ยอมรับสายสักที!!] 

นั่นไง

จากนั้นแมวเถื่อนผู้กำลังหงุดหงิดก็พ่นถ้อยคำด่าออกมาอีกชุดใหญ่ ผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายด่าระบายอารมณ์เต็มที่ จนข้าวยำเริ่มเงียบถึงค่อยเอาโทรศัพท์แนบหู พูดปลอบคนกำลังหอบเหนื่อยด้วยเสียงนุ่มกว่าปกติ 

“กูแค่ไม่สะดวกรับสาย ไม่ได้คิดยั่วโมโหมึงสักหน่อย”

[...แน่นะ?]

“เออ!”

[งั้นก็แล้วไป] 

ได้ยินประโยคสั้นๆ นั่น ผมกลับเป็นฝ่ายชะงักเล็กน้อย เพราะดันรู้สึกคล้ายโดนเมียโทรมาจับผิดยังไงอย่างนั้น

“...ไม่ต้องห่วง กูไม่นอกใจมึงหรอก” คนฟังเงียบไปเลย ผมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “กูแค่อยากบอกให้ฟังเฉยๆ เพราะตอนนี้เมียของกูอาจกำลังหึงปนระแวงอยู่ก็ได้ ถึงได้กระหน่ำโทรเข้ามาจัง”

[ใครหึงวะ!]

คราวนี้ไม่ปฏิเสธว่าเป็นเมียวะ

ผมคลี่ยิ้มอย่างถูกใจ และไม่คิดจะกระตุ้นถามให้โดนปฏิเสธ พาพูดตามน้ำต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่แฝงความอารมณ์ดีหลายส่วน

“ไม่หึงก็ไม่หึง แล้วโทรมาทำไม”

[กูแค่จะโทรถามว่ามึงหายหัวไปอยู่ไหน!]

“อ้อ...” ผมลากเสียงยาวอย่างจงใจ “แล้วอยากรู้ว่ากูอยู่กับใครด้วยใช่ไหม?”

[เออ!]

ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ รู้ทั้งรู้ว่าแมวเถื่อนขี้สงสัยอยากรู้เพราะอะไร แต่ใจน่ะอยากแหย่แมวเล่น ปากเลยขยับพูดไปตามที่คิดทันที

“มึงอยากรู้ว่ากูอยู่ไหนและอยู่กับใครแบบนี้...ไม่หึงเลยเนอะ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ก่อนได้ยินเสียงอุทานชื่อสามัญของตัวเงินตัวทองดังลั่น จากนั้นสายก็ถูกตัดไปเลย ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าจบการสนทนาด้วยความขบขัน และเป็นอีกครั้งที่ผมเลือกเข้าเฟสเพื่อประกาศให้โลกรู้

ความสงสัยทำให้แมวเถื่อนบางตัวขุดหลุมฝังตัวเองได้
สงสัยบ่อยๆ นะมึง เพราะกูชอบมาก

วาวี: นี่มึงเข้าเฟสเพื่ออวดเรื่องแมวของมึงโดยเฉพาะ?
ภูคำ: ถ้าหนักหัวมึงก็ไม่ต้องมาดู
วาวี: นานๆ น้องรักอย่างมึงจะอัพสเตตัสที กูต้องรีบมาดูให้เห็นกับตาสิ 
ภูคำ: เหอะ

วาวี: แล้วถ้าต่อไปมึงจะอวดแต่เรื่องแมวก็ควรมีแท็กติดไว้สักหน่อย
ภูคำ: แท็กต่อท้ายแบบที่มึงชอบใช้ตอนอวดแมวน่ะเหรอ
วาวี: เออสิ ให้กูคิดให้ไหม
ภูคำ: ไม่ต้อง
วาวี: งั้นก็ไปคิดมานะน้องรัก

ผมมองข้อความของพี่วีอย่างหงุดหงิด ในเมื่อโดนท้ามาขนาดนี้ ใครมันจะไปยอม!

รีบเลื่อนนิ้วไปกดแก้ไขข้อความ แล้วพิมพ์เพิ่มลงไปทันที

ความสงสัยทำให้แมวเถื่อนบางตัวขุดหลุมฝังตัวเองได้
สงสัยบ่อยๆ นะมึง เพราะกูชอบมาก #แมวเถื่อนของกู

ผมมองข้อความที่เพิ่มเติมไปแล้วอย่างพอใจ แต่อารมณ์ต้องมาสะดุด เพราะข้อความที่มีแต่เลข 5 เป็นแถวยาวเหยียดของพี่วี

หัวเราะเข้าไป หัวเราะเข้าไปเลย!

แม่ง อย่างกับถูกแก้แค้นที่เคยไปหัวเราะเยาะตอนมันอวดบรรดาแมวตัวโปรดลงเฟสเลยวะ 

-------------

เมื่อมาถึงหอ ผมที่เดินเหงื่อซกกลับมาก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวเป็นอย่างแรก จากนั้นก็มานั่งเขียนแผนการที่คิดไว้ระหว่างเดินกลับมาร่างลงใส่กระดาษ ก่อนหยิบกระดาษใบใหม่มาแยกเขียนรายละเอียดที่ต้องการลงไปลงหมด แล้วค่อยอ่านทวนเช็คดูอีกรอบว่ามีอะไรตกหล่นไปหรือเปล่า

เห็นเรียบร้อยดีจึงพับเก็บยัดใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมโทรศัพท์ แล้วหันหยิบกระเป๋าตังค์กับพวงกุญแจเพิ่ม ถึงค่อยเดินออกจากห้องตรงดิ่งไปตามหาคนที่ชั้นสอง

กังหันไม่อยู่ห้อง เจอแต่รูมเมทรุ่นพี่ที่นานๆ ผมจะได้เห็นหน้าสักที พอถามหาสถานที่ที่กังหันน่าจะอยู่ รุ่นพี่กลับส่ายหน้าว่าไม่รู้ ผมเลยผละจากมา ระหว่างลงบันไดก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าจะไปหาตัวเพื่อนที่ไหนดี...แต่เหมือนจะไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะไอ้คนที่ว่าเพิ่งโผล่มาให้เห็นหน้าบันไดชั้นล่างพอดี

กังหันมัวแต่ก้มหน้าเดินขึ้นบันไดมา กว่าจะสังเกตเห็นผมยืนขวางทางขึ้นอยู่กลางบันได มันก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมมากแล้ว

ตอนแรกนึกว่าจะโดนผลักให้ถอยห่าง แต่กลับโดนจ้องตาขวางๆ อย่างคนไม่พอใจใส่ ผมเลยจ้องตอบอย่างหาเรื่องอยู่เงียบๆ ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งเพื่อนตรงหน้าถึงได้ละสายตาออกก่อน ทั้งยังโยกตัวหลบเล็กน้อย จงใจใช้ไหล่กระแทกเบียดไหล่ผม ทำท่าจะเดินผละจากไปอย่างหงุดหงิด

ผมเอื้อมมือไปรั้งไหล่เพื่อน แล้วยัดกระดาษที่ถือเตรียมไว้ใส่มือเพื่อนทันที

“...อะไร”

“สิ่งที่มึงต้องช่วยกูทำ”

“ทำไมกูต้องช่วยด้วย?”

“เพราะมึงเป็นคนริเริ่ม และตอนนี้กูเคลื่อนไหวไม่สะดวก”

กังหันขมวดคิ้วใส่ผมทันที ทั้งยังเดินไปพิงพนักหลบคนเดินขึ้นลงบันได เพื่อคลี่กระดาษในมือออกอ่านต่อหน้าคนให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังเดินตามไปยืนพิงผนังข้างมันด้วยซ้ำ

“...มึงจะให้กูรับบทรุ่นพี่ที่ดี แต่แอบเลวแบบนี้เรอะ?”

“อืม เพราะวันนี้กูเพิ่งไปเลวต่อหน้ามันมา”

คราวนี้กังหันละสายตาจากกระดาษหันมามองผมทันที “มึงไปเจอเด็กนั่นมาแล้ว?”

“เด็กนั่นนัดกูไปเจอเองวะ”

“โอกาสมาขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมมึงไม่รับบทรุ่นพี่แสนดีไปเองล่ะวะ”

“กูเพิ่งคิดได้หลังจากนั้น” ผมตอบไปอย่างไม่มีติดขัด ทั้งที่ใจคิดยกบทนี้ให้คนข้างๆ ตั้งแรกอยู่แล้ว “ตอนนี้กูเลยกลับไปรับบทนี้ไม่ทันแล้ววะ เพราะเด็กนั่นระแวงกูไปแล้ว”

“มึงเลยส่งต่อมาให้กูทำแทน?”

“ก็มีแค่มึงที่น่าจะทำได้” ผมหยุดเว้นจังหวะเพื่อสบตาด้วย “ไม่ใช่หรือไง”

“...แล้วจะให้กูเข้าหาเด็กนั่นยังไงไม่ให้ผิดสังเกตวะ”

แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าเพื่อยอมรับปากไปทำให้ ผมข่มเก็บรอยยิ้มยินดีไว้แค่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ถ้าให้กูคาดเดา ที่เด็กนั่นนัดกูไปวันนี้ เพราะคงอยากรู้เรื่องข้าวยำหายหัวไปไหน ทำไมไปตามง้อเหมือนเดิม ในเมื่อกูไม่ได้ตอบข้อสงสัยนั้น เด็กนั่นคงพยายามหาคนถามใหม่ ซึ่งกูอยากให้มึงเป็นคนที่ว่า...ในแบบบังเอิญ”

“นี่แน่ใจนะว่ามึงเพิ่งคิดได้?”

“เออสิ กูมาคิดออกตอนเดินกลับหอ” เห็นแววตายังข้องใจของเพื่อนก็พูดเสริมไป “ตอนเห็นหน้าเด็กนั่น ตัวกูมีแต่ความหงุดหงิด ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งหงุดหงิด สติกูเลยพลอยหดหายไปด้วยวะ”

“...ปกติมึงไม่น่าเป็นคนแบบนั้น”

“แบบไหน?”

“หงุดหงิดจนสติปลิวหายไปไง”

“เหอะ” ผมส่งเสียงในคออย่างถ่วงเวลา สมองก็ครุ่นคิดหาเหตุผลมาโต้แย้งไปด้วย “...เพราะเด็กนั่นเกี่ยวข้องกับแมวเถื่อนของกูด้วยล่ะมั้ง”

ผมตอบไปแค่นั้นอย่างไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติมอีก เพราะยิ่งพูดก็คงยิ่งเหมือนเป็นข้อแก้ตัว ชวนให้สงสัยมากกว่านี้เปล่าๆ และคงจะได้ผล เพราะแววตาข้องใจของเพื่อนเลือนหายไปหลายส่วนทีเดียว

“หึ ไม่คิดว่าจะมีวันที่มึงขาดสติเพราะความรักจนเสียโอกาสไปฟรีๆ จนต้องมาขอให้เพื่อนช่วยเหลือเลยวะ”

ผมพ่นลมหายใจออกมาทันที “กูก็นึกไม่ถึง”

“กูช่วยก็ได้” กังหันพับกระดาษใบนั้นยัดใส่กระเป๋ากางเกง “แต่เพราะเห็นแก่ข้าวยำหรอกนะ ไม่ใช่เพราะเพื่อนเลวอย่างมึง”

พูดจบกังหันก็หมุนตัวขึ้นบันไดต่อทันที ผมมองแผ่นหลังเพื่อนเพียบแวบเดียวก็หันหน้ากลับมา ก้าวเท้าลงบันไดต่อเช่นกัน แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันไปมองเพื่อนใหม่ พร้อมกับตะโกนให้เพื่อนได้ยินอย่างอดแหย่เล่นไม่ได้

“ถ้าไม่อยากได้ยินคำขอบคุณจากกูขนาดนั้นก็ตามใจมึงเลย”

คนเพิ่งเหยียบชั้นสองหมุนตัวกลับมาทันที “กูอยากได้ยินคำว่าขอโทษจากมึงมากกว่าอีก!”

“เสียใจด้วยนะ กูเพิ่งพูดไปวะ”

“กับใครวะ?!”

ผมหัวเราะกับท่าทางตกใจปนประหลาดใจนั่น “มึงลองสืบเอาเองสิ”

พูดทิ้งท้ายแค่นั้นก็ยกมือเป็นเชิงบอกลา หมุนตัวลงบันไดต่ออย่างอารมณ์ดี แต่ต้องมาชะงักเพราะดันไปสบตาแมวเถื่อนที่นั่งยองๆ หลบอยู่แถวบันไดชั้นล่าง 

...มันมาแอบฟังอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 10:30:06 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ absolutepoison

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อแล้วว เย้
พี่ภูมีแผนอะไรน้าาา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ค้างงงงง อยากอ่านต่ออีกละ

ภู เจ้าแผนการจริงๆ
อย่างว่าแมวเถื่อนตัวนี้ไม่ยกให้ใครทั้งนั้น
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 22:21:29 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เรื่องนี้กี่ตอนค่ะ สนุกมากค่ะ

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 4: ช่วยเหลือ


ในสถานการณ์แบบนี้ผมควรจะจับตัวแมวเถื่อนมารีดเค้นว่าได้ยินอะไรมาบ้างดี? หรือจะจับมาต่อว่าโทษฐานแอบฟังคนอื่นมากกว่าดีล่ะ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ เพราะความจริงอยากทำเป็นไม่เห็นแบบทุกทีมากกว่า

แต่ดันสบตาไปแล้วน่ะสิ!

“มีอะไรวะภู”

ผมที่กำลังยืนครุ่นคิดหาทางออกที่ดีกว่านี้อยู่ รีบหันไปมองเพื่อนที่ยังอยู่หน้าบันไดชั้นสอง พร้อมกับไอเดียทางออกอื่นผุดขึ้นมาในหัว จึงแสร้งทำเป็นมองเพื่อนนานๆ แล้วตอบไปว่า

“กูแค่กำลังคิดว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดีอยู่”

“อ้อ”

“ไปกับกูไหม” เอ่ยชวนไปอย่างนั้น

“ไม่ล่ะ กูอิ่มแล้ว แต่ถ้ามึงอยากได้เพื่อนไปกินข้าวก็ลองชวนคนอื่นดู”

พูดจบกังหันก็หมุนตัวเดินจากไปทันที สังเกตท่าทางดูแล้วเพื่อนคงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ผมลอบถอนหายใจสั้นๆ แล้วหันกลับมาอย่างมั่นใจว่าแมวนักซุ่มคงจากไปแล้ว แต่ดันได้สบตาอีกฝ่ายเหมือนเดิมเป๊ะ

ทำไมยังอยู่นี่อีก!

เพราะเมื่อกี้อุตส่าห์เปิดช่องให้มันชิ่งหนีไปแล้วแท้ๆ แต่ไอ้คนที่ควรหนีตามสัญชาตญาณกลับนั่งแหมะอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือคราวนี้มันลุกขึ้นยืน ทั้งยังมองมาด้วยแววตาคุกรุ่นอย่างหนัก อึดใจต่อมาก็รีบสาวเท้าเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดมาหากัน...ซะที่ไหน

ผมรีบขยับไปยืนขวางทางทันทีที่รู้ตัวว่าแมวเถื่อนคิดตามใครไป คนเพิ่งขึ้นบันไดมาเกือบถึงทางพักเท้าจึงหยุดชะงัก แต่ครู่เดียวก็เบี่ยงตัวออกไปด้านข้างทำท่าจะขึ้นบันไดต่ออย่างไม่สนใจจะหยุดทักกันด้วยซ้ำ ผมขยับตัวตามไปขวางอีกครั้ง คราวนี้เลยถูกคนยืนอยู่ขั้นบันไดต่ำกว่าตวัดสายตาหงุดหงิดมาให้

“จะรีบไปไหน”

ผมถามด้วยน้ำเสียงยียวนหวังให้มันหงุดหงิดจนอยู่โต้คารมด้วยนานๆ นานจนลืมไปว่าจะตามใครไปยิ่งดี!

“ไปให้พ้นหน้ามึงไง!” ข้าวยำตอบกลับมาเสียงขุ่นเคือง

“ไปทำไมเล่า กูอยากเห็นหน้ามึงจะตาย”

“เหอะ ถ้ากูเชื่อลงก็ควายแล้ว!” 

พูดจบก็ทำท่าเหมือนจะหลบผมเพื่อขึ้นบันไดต่อ เป็นผมเองที่ต้องคว้าแขนมันเอาไว้ พร้อมพูดข้ออ้างเพื่อลากมันไปจากตรงนี้

“ท่าทางมึงจะโมโหหิว งั้นไปกินข้าวกับกูดีกว่า”

แต่คนถูกคว้าแขนกลับสะบัดมือผมทิ้งอย่างไม่ไยดี ทั้งตะคอกกลับมาอย่างเดือดดาล

“กูไม่ไป! แล้วมึงน่ะ จะทำชั่วอะไรก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาลากคนอื่นไปทำเรื่องชั่วกับมึงแบบนี้!”

“...คนอื่นที่ว่าหมายถึงกังหัน?”

“เออสิ!”

“หึ เป็นห่วงกันดีเหลือเกินนะ” ผมพูดแดกดันกลับอย่างหงุดหงิด 

แม่ง คู่นี้ต้องมีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้แน่ๆ คิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งไม่มีทางปล่อยแมวเถื่อนให้ตามเพื่อนผมไปได้เด็ดขาด! ผมยื่นมือไปคว้าข้อมือข้าวยำจับล็อกแน่น ต่อให้โดนสะบัดแรงแค่ไหนก็ไม่มีทางหลุดอีกแน่

“ปล่อยนะโว้ย!”

“อย่ามางอแงไม่เข้าเรื่องน่า”

“ใครงอแงวะ!”

“ก็ท่าทางมึงตอนนี้ดีดดิ้นเหมือนเด็กงอแง เพราะโดนขัดใจไม่มีผิด”

คนที่พยายามดิ้นให้หลุดจากมือผมชะงักไปทันที ทั้งยังตวัดตามองด่ามาให้อีกต่างหาก แต่ผมไม่สนใจ โน้มหน้าเข้าไปกระซิบใกล้หูมัน

“หัดมองดูรอบข้างซะบ้าง เขามายืนมุงดูมึงกันใหญ่แล้ว ไม่อายหรือไง”

แมวเถื่อนกวาดตามองดูรอบตัวให้เห็นกลุ่มวิศวะมุงทั้งหลาย เชื่อเถอะ พวกนี้มายืนดูเพราะกลัวพวกผมตีกันมากกว่า นี่คงหวังเข้ามาช่วยห้ามกับจับแยกล่ะสิ แต่สีหน้าข้าวยำสิซีดลงทันที ท่าทางก็ดูลุกลี้ลุกลนมากขึ้น อาการอย่างกับคนมีชนักติดหลัง แล้วยังไม่อยากให้ใครรู้ไม่มีผิด

น่าแกล้งวะ!

“ไม่!”

ยังไม่ทิ้งลายแมวปากดีอีกต่างหาก! ผมมองแมวเถื่อนอย่างหมั่นไส้ ที่กล้าบอกว่าไม่อาย แต่ท่าทางมันน่ะอยากไปจากตรงนี้เต็มแก่

“อ้อเหรอ งั้นต่อให้กูประกาศสถานะของมึงตอนนี้ก็ไม่เป็นไร?”

“สถานะบ้าอะไรอีก?!”

ขยับปากไร้เสียงให้มันเห็นชัดๆ เมีย-กู-ไง

“ไอ้...” คนทำท่าจะด่าคงเหลือบเห็นเหล่าคนมุงที่มีทั้งปีหนึ่งปีสอง เลยกลืนถ้อยคำที่เหลือกลับลงคอ แต่เพราะไม่ได้ระบายออกมา สีหน้าแมวเถื่อนเลยยิ่งเพิ่มระดับความหงุดหงิดมากขึ้นอีก

“จะไปกินข้าวกับกูได้ยัง”

“ไม่!”

ปฏิเสธอีกรอบจบ ข้าวยำก็แกะมือผมออก ทั้งหมุนตัวเดินกระแทกเท้าแรงๆ ลงบันไดจากไปดื้อๆ ทิ้งผมให้ยืนดูแมวเถื่อนระบายความโมโหออกไปทางเท้าอยู่อย่างนั้นด้วยความขบขัน

แม่ง จะน่ารัก น่าหมั่นไส้ หรือน่าขย้ำก็ช่วยเลือกๆ มาสักอย่างเถอะ!

ในใจคิดอย่าง ภาษากายกลับแสดงออกอีกอย่าง ผมทำเป็นไม่สนใจคนเพิ่งเดินหนี แล้วโบกมือส่งสัญญาณว่าไม่มีอะไรแล้วให้เหล่าคนมุงได้เห็น พวกมันจะได้พากันเลิกจ้องจับผิดผม แล้วรีบๆ สลายตัวกันไปสักที

เฮ้อ...ดูท่าข่าวลือสถานะความเป็นศัตรูจะอยู่เหนือกว่าข่าวลือผัวเมียอีกล่ะมั้งเนี่ย

-------------

แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเรื่องปะทะกันแบบย่อมๆ ของผมกับแมวเถื่อนเมื่อวานจะส่งผลให้เช้านี้กังหันมีหน้าตาบูดบึ้งใส่กัน

“เอาคืนไปเลย!”

น้ำเสียงแข็งๆ มาพร้อมกับแรงกระแทกโต๊ะเรียนดังปัง ใต้ฝ่ามือมันคือแผ่นกระดาษพับสี่ส่วนแสนคุ้นตา

“...มึงรับไปทำแล้วนี่”

“แต่กูไม่ทำให้มึงแล้ว!”

คนพูดปฏิเสธทำหน้าหงิกอย่างน่าผิดสังเกต ผมมองอยู่สักพักก็เอ่ยปากถามอย่างคาดเดาว่าน่าจะใช่

“เมื่อคืนข้าวยำไปหามึงหรือไง”

“เหอะ” คนเพิ่งวางกระเป๋าเป้บนโต๊ะเรียนข้างๆ ส่งเสียงในคออย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าน้องมาหากูเองยังดีซะกว่าอีก แต่นี่เล่นโทรไปฟ้อง...แม่งเอ้ย! ทำไมไม่มาหากูเองวะ!”

ผมลองเลื่อนกระดาษไปทางคนสบถดู เพื่อนผมเหลือบมองเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปทางอื่นทันที มันแสดงออกชัดเจนว่ากูจะไม่ยุ่งอีกแล้ว

...เหมือนแผนของผมจะพังไม่เป็นท่าซะแล้ว

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา กังหันเลยหันมามองผมก่อนถอนหายใจตาม แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนลงหน่อย 

“มึงก็ไปหาคนอื่นมาช่วยแทนสิ”

“ใครล่ะ”

“เพื่อนเหี้ยๆ ของมึงไม่มีอีกแล้วหรือไง”

“มีใครเหี้ยกว่ามึงอีกไหมล่ะ”

กังหันยกมือโบกหัวกันทันที แต่ผมโยกหลบทัน

“มึงทำกูงานเข้า แล้วคิดจะปล่อยผ่านแบบนี้ไม่ได้! กูไม่ยอม!”

“แล้วจะให้กูทำไง?”

“ก็บอกอยู่เนี่ยว่าให้หาคนอื่นมาช่วยแทน...เดี๋ยว วันนี้ยำยังแอบตามดูมึงอยู่ไหมวะ”

“...คิดว่าไงล่ะ”

“กูจะไปรู้กับมึงเรอะ!”

“สนิทกันไม่ใช่หรือไง ไม่ไปถามเองล่ะ”

“ถามเหี้ยอะไรล่ะ มันหลบหน้ากูอยู่เนี่ย และคงหลบไปอีกนานแหงๆ”

“ทำไมล่ะ”

“มันทำกูงานเข้าไง แต่ต้นเหตุน่ะมาจากมึงล้วนๆ แม่งเอ้ย!”

แล้วกังหันก็วกกลับไปอารมณ์ด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมที่หลุดพ้นจากเป็นผู้โดนซักถามได้ก็ตีหน้าเฉย ถามกลับไปอีก “เหมือนวันนี้มึงดูหงุดหงิดเป็นพิเศษ”

“เออสิ!” ตอบเสร็จก็หันไปพูดกับเอที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้จุดที่พวกผมนั่งรอเรียนกันอยู่ “เอ กูอาจหายหน้าไปสักพักนะ”

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วทำหน้าหน่ายใส่ “ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า มันแค่หงุดหงิดกู”

“อ้อ คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ”

“จะเรื่องอะไรอีกล่ะ นอกจากน้องมันน่ะ” กังหันขยี้ผมระบายความหงุดหงิด “เป็นพวกไม่ยอมดูแลน้องเองแท้ๆ แต่พอน้องไปฟ้องเข้าหน่อยก็มาเอาเรื่องกับกูเฉย เป็นพี่ที่เหี้ยจริงๆ”

“เหรอ...” เอลากเสียงยาวเหมือนจะล้อเลียนอะไรสักอย่าง “แล้วนี่พี่ชายเขารู้หรือยังว่ามึงคิดจะโยนน้องของเขาไปให้คนอื่นดูแลแทนอยู่น่ะ”

“ขืนรู้เข้า กูก็ตายน่ะสิ” พูดถึงตรงนี้ กังหันก็หันมาทางผม “เพราะงั้นนะภู กูจะช่วยกันตัวปัญหาออกไปให้ ระหว่างนี้มึงก็รีบๆ รวบหัวรวบหางยำไปอยู่ใต้ปกครองของมึงเร็วๆ ทำให้น้องมันรับปากยอมให้มึงดูแลได้ยิ่งดี อัดเสียงมาด้วยนะ กูจะได้เอาไปใช้เป็นหลักฐาน!”   

ผมที่ฟังมาสักพักเริ่มปะติปะต่ออะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว แต่เพื่อให้ชัวร์คงต้องถามยืนยันสักหน่อย

“ยำไม่ใช่ลูกคนเดียว?”

“มันมีพี่อายุมากกว่าสองปีอยู่คนหนึ่ง”

“อ้อ แล้วมึงก็รู้จักกับเขา?”

“เออสิ”

ผมเห็นเอที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ถัดไปหัวเราะหึๆ ขึ้นมาก็เริ่มมองจับผิดคนตอบคำถามที่นั่งอยู่ข้างซ้ายมือ “มึงโกหกหรือเปล่าวะ”

“โกหกอะไร?”

“รู้จักพี่ของข้าวยำแน่นะ?”

กังหันเพิ่งจะอ้าปาก เอก็ช่วยตอบแทนเรียบร้อยแล้ว

“มึงไม่ต้องห่วง กังหันรู้จักเขาแน่ สนิทมากด้วย กูช่วยรับประกัน”

ผมมองเพื่อนสองคนสลับไปมา คนหนึ่งยิ้มซะกว้าง อีกคนแยกเขี้ยวใส่คนช่วยพูด มองยังไงก็ประหลาดคล้ายกับมีความนัยบางอย่างที่พวกมันรู้ความหมายกันอยู่แค่สองคน

“เฮ้ย! นั่นนัทนี่ กูไม่เห็นหน้ามันมา...” เอย่นคิ้วอย่างครุ่นคิด “นานเท่าไหร่แล้ววะ”

“นานจนมึงลืมมันไปแล้วไง” กังหันช่วยตอบให้

คนโดนแดกดันกลับผงกหัวเห็นด้วยซะงั้น บทสนทนาพวกเราหมดแค่นั้น เพราะสายตาสามคู่กำลังกวาดสำรวจผู้ที่หายหน้าไปจากเพื่อนฝูงนานจนถูกเพื่อนลืม และที่น่าประหลาดใจกว่าคือการได้เห็นเพื่อนที่แต่งหล่อประจำดูโทรมลงไปมากจนเห็นได้ชัดเนี่ยแหละ

...หรือที่มันหายหน้าไป ไม่ใช่เพราะติดสาว?

ด้วยความติดใจ ผมเลยถามออกไปทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “มึงป่วยเหรอวะนัท”

“เออ ป่วย”

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอกเพื่อนวะ”

ผมถามกลับงงๆ เพราะถ้าบอกกันก็จะได้ช่วยหาข้าวหายา หรือพาไปหาหมอ...

“กูป่วยที่ใจ พวกมึงรู้แล้วจะช่วยอะไรกูได้”

“ห๊ะ!”

เหล่าคนฟังพากันอุทานทั้งตกใจทั้งงง ยังไม่ทันได้ถามซักถามอะไรเพิ่มเติม คนเพิ่งมาใหม่ก็ล้มตัวนั่งข้างขวามือผม ทั้งยังซบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว พวกผมเลยทำได้แค่มองหน้ากันเอง แล้วพากันยักไหล่ตัดสินใจว่าถ้าเพื่อนไม่อยากให้ยุ่งก็ปล่อยไป   

“เอาเป็นว่าไอ้นั่น” กังหันพยักเพยิบไปทางกระดาษที่มือผมยังจับไว้อยู่ “หาใครก็ได้ที่ว่างงานช่วยทำแทนแล้วกัน”

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดโต้ คนที่ซบหัวกับโต๊ะเมื่อครู่กลับผงกหน้าขึ้นมาพูดซะก่อน

“กูว่างมาก จะให้ทำอะไรล่ะ”

“มึงช่วยไม่ได้หรอก” ผมปฏิเสธ

“บอกมาก่อนเถอะน่า”

นัทยังตื้อด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมย่นคิ้วมองเพื่อนที่ดูแปลกไปเงียบๆ รู้ตัวอีกทีกระดาษก็โดนชิงไปตกอยู่ในมือนัทแล้ว ได้แต่เหลือบมองคนแย่งกระดาษเป็นเชิงถาม กังหันขยับปากไร้เสียงบอกแค่ว่า ให้ๆ มันดูไปเถอะ ยังไงมันก็ไม่ทำหรอก

“เดี๋ยวกูช่วยเอง”

ห๊ะ!

ผมกับกังหันรีบมองคนพูดอย่างไม่เชื่อสายตา ก็เพื่อนผมน่ะไม่ได้เป็นทั้งไบฯ ทั้งเกย์ ไม่ต่อต้านให้เห็นชัดเท่ากลม แต่มันก็ไม่พาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยเหมือนกัน

แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นวะ?!

“เดี๋ยวๆ นั่นเด็กผู้ชายโว้ย” กังหันพูดออกมา คล้ายกับจะเรียกสติคนที่แปลกไป

“แล้วไง? ยังไงก็เป็นเด็กที่มึงจะเขี่ยทิ้งอยู่แล้วนี่”

“ไม่ใช่เด็กกู”

ผมรีบปฏิเสธ เดี๋ยวเกิดมีข่าวลือหลุดออกไปว่าผมซุกเด็กไว้จะยุ่งกว่านี้ เพราะแค่เรื่องแมวเถื่อนตัวเดียวก็ทำผมปวดหัวมากพอแล้ว

“อ้อ งั้นก็พวกมาตามตื้อมึงล่ะสิ กูช่วยจัดการให้ก็ได้”

ผมกำลังจะบอกว่ามันเข้าใจผิด แต่กังหันกลับโผล่ถามขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงข้องใจ

“ปกติมึงไม่ยุ่งกับเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอวะ แล้วทำไมคราวนี้ถึงได้อยากไปยุ่งด้วยนัก”

“แค่อยากลองดูเฉยๆ”

คนฟังอย่างพวกผมประหลาดใจมาก แต่นัทกลับพับกระดาษแผนการผมใส่กระเป๋าเสื้อไปแล้ว ก็ได้แต่หันไปสบตากังหันเป็นเชิงถามว่าเอาไงดี

“อยากจะไปยุ่งก็เรื่องของมึง แต่มึงต้องจำไว้ว่ายืนยันจะทำเอง พวกกูไม่ได้สั่งหรือขอร้องให้ช่วย เพราะงั้นอย่ามาเสียใจ โกรธ หรือต่อว่าพวกกูทีหลังล่ะ”

“เออน่า พวกมึงนี่น่ารำคาญจริง”

กังหันย่นคิ้ว แล้วหันมายักไหล่ให้ผมคล้ายจะบอกให้ปล่อยเลยตามเลยไปเหอะ แต่ผมยังมีเรื่องคาใจอยู่เลยกระซิบถามกังหัน

“มึงเขียนรายละเอียดเด็กนั่นลงกระดาษไปเรอะ”

“ก็กูกะให้มึงเอากระดาษไปให้คนอื่นต่อนี่หว่า เลยเขียนรายละเอียดที่จำเป็นทิ้งไว้ แล้วติดรูปลงไปด้วยวะ”

มิน่า นัทถึงไม่ถามรายละเอียดอะไรเลย

ระหว่างที่ผมมองนัทอย่างปลงๆ ก็เหลือบไปเห็นเต้กำลังเดินเข้าห้องมาพอดี...เห็นหน้าพี่รหัสแมวเถื่อนอย่างมันแล้วก็แอบเสียวสันหลังนิดๆ เพราะงั้นเรื่องที่ผมกำลังวางแผนทำชั่วก็อย่าให้เต้รู้เลยจะดีที่สุด 

“กูได้ยินว่ามึงจะออกจากหอเทอมหน้าเหรอวะ”

ผมหันไปสบตากับเอ แล้วพยักหน้าว่าใช่

“แล้วมึงจะหาห้องใหม่เมื่อไหร่ กูตามไปดูด้วยได้ไหม?”

เอโดนกังหันตบหลังไปหนึ่งที “ภูไม่ได้เลือกอยู่หอนอกแถวนี้ มันจะไปอยู่คอนโด”

“กูรู้น่า ก็แค่อยากเห็นห้องชุดเฉยๆ หรอก เผื่ออนาคตทำงานเก็บตังค์ได้เมื่อไหร่ กูจะหาซื้อเป็นรางวัลให้ตัวเองสักห้อง”

“ถ้ามึงอยากไปดูห้องด้วยก็รออีกสักอาทิตย์”

“ทำไมต้องอาทิตย์หนึ่งวะ?” เอถามอย่างสงสัย

“กูให้พี่ช่วยดูให้อยู่ อาทิตย์หน้าคงส่งรายละเอียดที่คัดเลือกไว้มาให้ แล้วถ้ากูสนใจที่ไหนก็ต้องขับรถไปดูสถานที่จริงอีกทีน่ะ มึงจะไปกับกูตอนนั้นไหมล่ะ?”

“ไปๆ อย่าลืมมาชวนกูไปด้วยล่ะ”

ผมพยักหน้าให้เอ แล้วหันไปมองกังหัน “มึงล่ะจะไปด้วยไหม?”

“...ห้องที่ว่ามึงคิดจะพักอยู่กับแมวเถื่อน?”

“เออ”

กังหันนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “...ไป”

-------------

คืนวันศุกร์ พี่วีให้เลขาส่งรายละเอียดมาให้ทางอีเมล ด้วยความที่ผมยังไม่อยากคัดที่ไหนออกตอนนี้ เลยคิดจะไปดูทุกทีก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที คิดได้อย่างนั้นก็ไลน์ไปนัดแนะเพื่อนสองคนให้มาเจอกันเช้าวันเสาร์ที่ลานจอดรถ วันเสาร์ทั้งวันเลยหมดไปกับการตระเวนดูห้องพัก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หมดต้องลากยาวไปดูในวันอาทิตย์ด้วย

“มึงจะเลือกอะไรเยอะแยะวะ” เอเริ่มบ่นระหว่างแวะกินข้าวเที่ยง “ที่พี่มึงคัดเลือกมาดีทุกที่ขนาดนี้ก็เลือกๆ ไปสักทีเถอะน่า”

กังหันที่นั่งดูดน้ำข้างกัน ลดขวดน้ำลงเล็กน้อย “มึงทำเหมือนเลือกห้องหอ”

“เออเหมือน” เอผงกหัวเห็นด้วย ก่อนตักข้าวเข้าปากก็พูดทิ้งท้ายอีกประโยค “เรื่องมากฉิบหายเลย”

ผมหัวเราะเล็กน้อย “กูต้องเลี้ยงแมวตัวหนึ่งด้วยนี่น่า เลยว่าจะเลือกที่อยู่ให้มันดีๆ หน่อย”

กังหันนิ่งไปเล็กน้อย แล้วผงกหัวยิ้มๆ “ได้ยินอย่างนี้ค่อยน่าวางใจฝากให้ดูแลหน่อย”

“พวกมึงพูดบ้าอะไรกัน คอนโดที่พวกเราดูมาตั้งเยอะนั่น เอาสัตว์มาเลี้ยงไม่ได้นะโว้ย!”

ผมหัวเราะกับท่าทางจริงจังของเอ “แมวของกูอยู่ที่ไหนก็เลี้ยงได้ ไม่มีใครต่อว่าแน่วะ”

เอขมวดคิ้ว “มึงพูดถึงตัวที่มันร้องเมี้ยวๆ อยู่เปล่าวะ”

“ถ้าบังคับให้ร้องก็น่าจะได้นะ”

“ได้แน่ แต่มันไม่ทำหรอก” กังหันวางขวดน้ำลง แล้วจับช้อนเตรียมตักข้าวเข้าปาก “พวกมึงน่ะรีบกินเหอะน่า เราจะได้ไปกันต่อสักที”

หลังพักเติมพลังลงท้อง พวกผมก็เดินทางไปดูห้องต่อจนกระทั่งบ่ายสามกว่าๆ ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาหากังหัน มันเลยปลีกตัวไปคุยด้านนอก ปล่อยให้ผมกับเอเดินสำรวจห้องพักสุดท้ายไป ระหว่างที่ผมกำลังฟังเจ้าของห้องพูดอยู่นั้น กังหันกลับพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทั้งร้องเรียกให้ผมช่วยขับรถไปส่งที่ริมถนนแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่พอสมควรเลย

ผมกับเอเผลอมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจบอกขอโทษเจ้าของห้อง ดีที่เจ้าของห้องดูเข้าใจว่าน่าจะมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น เขาเลยไม่ได้ว่าอะไร ทั้งยังบอกอีกว่าอยากมาดูอีกเมื่อไหร่ให้โทรไปหาเขาได้เลย

สามนาทีต่อมาพวกผมก็รวมตัวในรถมุงหน้าไปยังเป้าหมายที่กังหันคอยชี้ทางบอกเป็นระยะ ผมชำเลืองมองตอนรถติดไฟแดง เห็นเพื่อนเปิดค้นหาตำแหน่งมือถืออีกเครื่องอยู่ เส้นทางที่เรากำลังไปก็ทางนั้นแหละ ขับมาได้ครึ่งทางคนนั่งข้างหลังคงทนความอยากรู้ไม่ไหวถึงถึงได้มาเกาะช่องว่างระหว่างเบาะหน้าพร้อมถามอย่างจริงจัง

“เกิดอะไรไรขึ้น?”

“ไอ้ปุ้นน่ะสิ ไปตีกับคนอื่นอีกแล้ว!”

“อ้อ” เอถอนหายหายใจ “นึกว่าเรื่องอะไร ทำกูตกใจหมดเลย”

“แต่คนโทรมาหากูน่ะ ยำน่ะ!”

“อะไรนะ! / หมายความว่าไง?!” ทั้งผมทั้งเออุทานเสียงดังแทบจะพร้อมกัน 

“มึงคิดว่ากูมาอยู่กับพวกมึงได้ไง ถ้าไม่ใช่ว่าอาทิตย์นี้ยำไปอยู่กับปุ้นน่ะ”

เป็นผมที่ถามกลับเร็วกว่า “ปุ้นนี่ใครวะ!”

แต่เหมือนพวกมันทั้งคู่ไม่สนใจคำถามผม เอาแต่คุยกันเองเสียงเครียดน่าดู ก็เลยได้แต่รับฟังอย่างร้อนใจเงียบๆ พร้อมกับเหยียบคันเร่งมากขึ้น แต่ก็ไม่กล้าขับเร็วเกินไป เพราะผมกลัวคุมรถไม่อยู่

“มึงปล่อยยำไปอยู่กับข้าวปุ้นตามลำพังเนี่ยนะ!”

“ก็นานๆ พี่น้องจะได้อยู่ด้วยกันนี่หว่า”

“แล้วไหงมันพาน้องชายไปตีกับคนอื่นเล่า!”

“ยำเล่าให้ฟังว่าออกมากินข้าวกับปุ้น ระหว่างทางเจอคู่อริปุ้นเข้าน่ะสิ ปกติมันคงซัดพวกนั้นคว่ำไปแล้ว แต่คราวนี้มียำอยู่ด้วย ปุ้นคงห่วงหน้าพะวงหลังเลยพลาดท่าเข้าให้”

“อ้าว แล้วยำโทรมาบอกมึงได้ไง?”

“มีคนแถวนั้นโทรแจ้งตำรวจ ต่างฝ่ายต่างหนีหัวซุกหัวซุน แต่พอหลบมาได้ ปุ้นกลับทรุดตัวนั่งพิงกำแพงไม่ขยับไปไหน ยำคงตกใจคิดอะไรไม่ออกมั้งเลยโทรหากูก่อนคนแรก เพราะงั้นไอ้ภู มึงขับเร็วๆ หน่อยโว้ย”

“ส่งพี่ของยำไปโรงพยาบาลก่อนสิ” ผมแนะนำ

“ไม่ได้!” สองเสียงประสานกันเลย

ผมได้แต่ย่นคิ้วด้วยความสงสัย แล้วบอกพวกมันไปแค่ว่า “เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้ว กูขับเร็วสูงสุดโดยไม่พาพวกมึงไปทัวร์นรกก่อนช่วยคนได้แค่นี้แหละ”

############

กลับมาแล้วค่ะ หลังจากหายไปนานมาก
อันที่จริงเรามีแจ้งข่าวไว้ในเพจนะว่าทำไมหายไป
หลักๆ เลยคือเราตันค่ะ บวกกับมีพระราชพิธีด้วย เลยหายไปยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้

ณ ตอนนี้แมวเถื่อนได้ดำเนินเรื่องมาสู่ช่วงครึ่งหลังแล้ว เฮ้!
เราแบ่งเรื่องนี้ไว้ 4 ช่วงค่ะ สังเกตไม่ยากดูเอาจากชื่อตอน 555
ซึ่งช่วงครึ่งหลังนี่แหละค่ะที่เขียนยากกว่าช่วงแรกเยอะเลย
ดังนั้นเราอาจมาลงไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่นะคะ

คำถามจากคุณพัดลม ถามว่าเรื่องนี้มีกี่ตอน (ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มาตอบให้ช้ามาก)
อืม...เราวางแผนแมวเถื่อนไว้ที่ 4 ช่วง ช่วงละ 7 ตอน ก็ประมาณยี่สิบแปดตอนค่ะ
แล้วก็มีตอนพิเศษที่จะเก็บไว้ลงในหนังสือ ประมาณนี้ค่ะ : )
ส่วนคำชมว่าสนุกมาก ขอบคุณนะ เราดีใจมากเลย มาในช่วงที่กำลังตันพอดีด้วย เป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปสุดๆ เลยค่ะ

ไปแล้วนะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 08:40:32 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
มาแล้ว คิดถึงแมวมากกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด