[จบ] SeniorTheSeries รุ่นพี่ที่รัก [Chapter Final : รุ่นพี่ที่รัก]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบ] SeniorTheSeries รุ่นพี่ที่รัก [Chapter Final : รุ่นพี่ที่รัก]  (อ่าน 39538 ครั้ง)

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดค่ะ กรุณาอ่านทุกข้อนะคะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ   ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 
 
 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 
 
 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
 หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
 หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
 และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
 ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
 
 เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 
 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 
 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 
 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 
 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 
 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
       7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
       7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
       7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
             - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 
 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 
 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 
 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวปhttp://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 
 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
 
 บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
 นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 
 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 
 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 
 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 
 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
 (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
 (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
 - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
   (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
 - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
 - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
 - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
 - ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail   
 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข  17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
  เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com.......................................                                                             
 วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย 
 
 
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


Menu

Chapter 0 : บทนำ
Chapter 1 : ร่างกายต้องการทะเล (รึเปล่า)
Chapter 2 : ทะเล และ ท้องฟ้า
Chapter 3 : เส้นคั่นความรู้สึก
Chapter 4 : จุดเริ่มเต้น
Chapter 5 : เพราะโลกมันกลม
Chapter 6 : เพื่อนบ้าน
Chapter 7 : แฟนเก่า
Chapter 8 : รับน้อง
Chapter 9 : คู่จิ้น
Chapter 10 : คืนเหงา
Chapter 11 : ความสัมพันธ์
Chapter 12 : ความสับสน
Chapter 13 : เปิดใจ
Chapter 14 : ถ่ายแบบ
Chapter 15 : คำขอโทษของผู้ชายคนหนึ่ง
Chapter 16 : คู่จิ้นตัวจริง
Chapter 17 : โอ๊ต
Chapter 18 : พี่ชายขายาว
Chapter 19 : ของขวัญ
Chapter 20 : สายรหัส
Chapter 21 : รุ่นพี่
Chapter 22 : หมอก 1
Chapter 23 : หมอก 2
Chapter 24 : ปิดเทอม
Chapter 25 : คนนี้แฟนผมเอง
Chapter 26 : พ่อค้าสุดหล่อ
Chapter 27 : พักผ่อน
Chapter 28 : อ้อน หรือ อ่อย
Chapter 29 : รุ่นพี่ที่รัก (ตอนจบ)

ติดตามในรูปแบบ รูปเล่มได้ เร็วๆ นี้

ติดตามได้ที่เพจ "ไอรัก / ซาคุ" นะครับ

Chapter Special : Happy New Year

 :impress2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2018 20:23:28 โดย kenjangclub »

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Senior รุ่นพี่ที่รัก

 

บทนำ

            “เราเลิกกันเถอะ”

คำพูดเรียบๆ ที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด กับใบหน้าของคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้ทำเอาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทบจะล้มทั้งยืน

“เลิกกันเหรอ หมายความว่าไง”

ผมมองคนตรงหน้าเพื่อหาคำตอบ หวังว่าในแววตาคู่สวยที่ผมเคยหลงใหลจะบอกคำตอบว่าคำพูดนั้นเป็นแค่การโกหกหรือเรื่องอำเล่น แต่ดูมันจะไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่แววตาที่ผมรู้จัก มันดูเป็นแววตาที่ตัดพ้อ ราวกับผมไม่เคยอยู่ในสายตาคู่นั้นมาก่อน

“ก็อย่างที่พูด เราเลิกกันเถอะ” คนตรงหน้ายังคงย้ำคำเดิม

“เราผิดอะไรผิดเหรอหมอก อยู่ดีๆ มาบอกเลิกกันแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

ในเมื่อไม่ได้คำตอบ ผมก็จำต้องทำอะไรบางอย่างที่เหมือนคนไร้สติ

ตุบ...ตุบ...

กำปั้นเล็กๆ ทุบบนหน้าอกคนตรงหน้า แม้มันจะไม่ได้แรงมากนัก แต่มันก็ทำให้คนตรงหน้าเริ่มตอบสนองได้บ้าง

“ทุบพอหรือยัง เราจะได้ไป”

หมอกเตรียมท่าจะเดินหนีทันทีหลังพูดจบ แต่ผมคงไม่ยอม

“เดี๋ยวก่อนสิ แล้วแผนที่เราจะไปเที่ยวทะเลด้วยกันล่ะ นายจะให้เราไปคนเดียวเหรอ” พูดเสร็จผมก็ชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว “เราคบกันมาตั้ง 1 ปี มาเลิกกันง่ายๆ แบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะ”

“แล้วไงล่ะ”

“อะไรนะ”

“ก็นายมันน่าเบื่อไงล่ะ วันๆ เอาแต่ทำตัวงี่เง่า ไม่เคยคิดที่จะทำตัวให้มันน่ารักเหมือนกับคนอื่นบ้างเลย คนเราพอเจออะไรน่าเบื่อๆ แบบนี้ตลอดมันก็ต้องหาของเล่นใหม่บ้างสิ ชีวิตมันจะได้มีความสุขบ้าง ไม่ใช่จมอยู่กับของเดิมๆ ที่ไม่มีรสชาดแบบนี้” หมอกอธิบายถึงเหตุผลพร้อมกับสีหน้าที่มองผมอย่างแขยงราวกับผมเป็นสิ่งของที่น่ารังเกียจ

“น่าเบื่อเหรอ ทำตัวงี่เง่าเหรอ นี่นายว่าเราขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมเริ่มอารมณ์ขึ้นบ้าง จากแรกๆ ที่ไม่อยากจะเลิกกับหมอก แต่พอได้ยินคำนี้มันทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่เคยสร้างร่วมกันมาพังทลายไปทั้งหมด เหลือแต่เพียงความรู้สึกที่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้น ใช่ มันคือ ความรู้สึกเกลียดคนตรงหน้า เกลียดจนไม่อยากจะมอง

“ก็ได้ เลิกก็เลิก ทางใครทางมัน ก็ดี เราก็ไม่ได้อยากคบกับคนแบบนี้อยู่แล้ว ในเมื่อเรามันทั้งน่าเบื่อ ทั้งงี่เง่า น่ารำคาญมากนัก เราก็ยินดี เราจะได้รู้ว่าเรามันแย่ขนาดไหน”

“ต้นน้ำ”

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อเรา ต่อไปนี้เราคงเป็นได้แค่เพียงคนแปลกหน้าต่อกัน เจอกันก็อย่าหวังว่าจะชายตามอง ไม่มีวัน”

“ต้นน้ำ ใจเย็นๆ สิ แค่เราเลิกกันทำไมถึงต้องเป็นถึงขนาดนั้น”

“ออกไป”

“ต้นน้ำ”

“เราบอกให้ออกไปไง”

“...”

“ออกไป๊”

 

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
รอจร้า มาลงต่อเร็วๆนะ

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 1 : ร่างกายต้องการทะเล (รึป่าว)

 

“ร้อนจังแฮะ”

หลังจากลงรถตู้มาได้สักพักผมก็เตรียมเดินไปที่ท่าเรือ แต่ก็ต้องเอ่ยบ่นออกมาเล็กน้อยกับสภาพอากาศตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันจะร้อนไปถึงไหน นี่ขนาดผมใส่เสื้อคลุมกับหมวกหวังกันความร้อนจากแดด แต่มันก็ไม่อาจต้านทานความร้อนไปได้ อยากมากก็ไม่ทำให้ผิวขาวๆ ของผมต้องไหม้

รอไม่นานเรือก็เข้ามาเทียบฝั่ง ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบขึ้นเรือเพื่อหาที่นั่ง เพื่อมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ผมตั้งใจมาเที่ยวกับหมอก นั่นก็คือ เกาะล้าน แต่วันนี้ ทริปเที่ยวนี้มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้น แต่ใครจะสน มาคนเดียวก็สนุกได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องพกใครมาด้วยให้เสียความรู้สึก แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรต่อ เรือก็เริ่มเคลื่อนตัวไปยังเกาะทันที

30 นาทีผ่านมา ผมและลูกเรือคนอื่นๆ ก็มาถึงท่าเรือของเกาะ แน่นอนว่า หลายคนแยกย้ายกันไปตามรีสอร์ทที่ตัวเองจับจองเอาไว้ ผมเองก็เช่นกัน แต่ประเด็นคือผมไม่รู้ว่ารีสอร์ทมันอยู่ที่ไหน เพราะตอนที่เราจองนั้นหมอกเป็นคนจัดการหมด ทำให้ผมไม่ค่อยรู้เรื่องรายละเอียดต่างๆ เท่าไหร่

“เอาไงดีวะ” ผมมองไปรอบๆ เพื่อหาความคิด “โง่ตั้งนาน โทรเอาก็ได้”

พูดเสร็จก็หยิบมือถือสีดำจากกระเป๋ากางเกงออกมาอย่างเร็ว ค้นหาชื่อรีสอร์ทที่จองเอาไว้ แล้วรีบกดไปยังหมายเลขนั้นด้วยความเร็ว

[สวัสดีครับ]

“นั่นใช่รีสอร์ทxxx หรือป่าวครับ”

[ใช่ครับ]

“คือผมเป็นลูกค้าที่จะเข้าพักวันนี้นะครับ เผอิญผมอยู่ที่ท่าเรือแล้วตอนนี้ แต่ผมไปรีสอร์ทไม่ถูกนะครับ”

[ชื่ออะไรครับ]

“ถามเยอะจังวะ” ผมพูดเบาๆ กับตัวเอง “คนจองชื่อภาคินนะครับ”

[สักครู่นะครับ] ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะกลับมา [ภาคินนะครับ ที่จองห้องเอาไว้ มากัน 2 ท่านนะครับ]

“คนเดียว”

[คนเดียว?]

ผมรู้สึกว่าไอ้คนที่รับสายเนี่ยมันจะถามอะไรเยอะแยะนัก แค่ออกมารับลูกค้าแค่เนี่ยต้องถามซะเยอะเลย

“ตกลงจะออกมารับไหมเนี่ย ถ้าไม่ออกมาผมกลับนะ”

[ใจเย็นๆ สิครับคุณลูกค้า เดี๋ยวรอตรงนั้นก่อนนะครับ เดี๋ยวผมออกไป]

“อืมๆ”

แค่เจออากาศร้อนๆ ก็พาลรู้สึกหงุดหงิดแล้ว ดันมาเจอคนกวนๆ อีก มีเหรอที่คนอย่างผมจะไม่อารมณ์เสีย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะไปพาลใส่คนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นต้องพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ก่อน

ยืนรอไปได้สักพัก โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมกดรับแล้วยกแนบหูทันที

“สวัสดีครับ”

[พี่อยู่ตรงไหนครับ ผมมาถึงแล้ว]

“นั่นใคร”

งงสิครับ อยู่ดีๆ ก็มีเบอร์แปลกๆ โทรมา แถมพูดเรื่องแปลกๆ ใส่อีก

[โห่พี่ ทำเป็นงง ผมมารับพี่ไปรีสอร์ทไง]

“อ้าวเหรอ” ผมหัวเราะแก้เก้อไปเลย “โทษทีๆ พี่อยู่แถว...”

[ไม่ต้องแหละ ผมว่าผมเห็นพี่แหละ ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงิน กางเกงยีนต์ แล้วก็ใส่หมวกด้วย ถูกไหมพี่]

ผมรีบหันไปมองรอบๆ หวังจะเจอกับคนที่กำลังคุยโทรศัพท์เหมือนผมอยู่ แต่ด้วยสายตาที่สั้นของผม แถมยังไม่ได้ใส่แว่นอีก ทำให้ผมไม่สามารถมองหาคนๆ นั้นเจอ

“เออๆ ถูก”

“พี่มองหาใครอยู่นะ”

“มองหาคนอยู่นะ” ตาก็มองคนไปเรื่อยๆ แต่ปากดันไปตอบคำถามใครก็ไม่รู้ที่ถามมา

“มองหาผมหรือป่าวพี่”

“อ้าว มาถึงแล้วก็ไม่บอก”

ผมรีบหันไปมองไอ้คนข้างๆ อย่างตกใจโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าไอ้คนข้างๆ เนี่ย หล่อเป็นบ้า ยังไม่รวมกับความสูงที่สูงกว่าผมอีกนิด แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเงยหน้าคุย แต่ก็นะ เห็นผมอย่างนี้สูง 175 ซม.เลยนะ แต่ก็คงไม่สูงเท่าไอ้เสาไฟฟ้าข้างๆ เนี่ยหรอก

“หน้าผมมีอะไรเหรอ เห็นมองไม่เลิกเลย”

“เอ่อ ป่าวๆ ไม่มีไร” ผมรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่มีก็ไม่มี งั้นเราไปกันหรือยัง” คนตัวสูงถาม

“ไปๆ”

5 นาทีต่อมา ผมก็ขึ้นมานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์โดยคนตัวสูงที่ผมยังไม่รู้จักชื่อเป็นคนขับ แถมดูโชคจะไม่เข้าข้างผมสักเท่าไหร่ เพราะเส้นทางที่เราขับมานั้นเป็นเนินสูงบ้าง ลาดเอียงบ้าง ก็ต้องมีบางที่ผมจะเผลอกอดไอ้คนตัวสูงเป็นระยะๆ จนผมกลัวไอ้คนตัวสูงจะว่า

“กอดมาเลยก็ได้พี่ ผมไม่ถือ”

นั่นไง! เพิ่งคิดไปเมื่อกี๋มันพูดเลย

“เอางั้นเลยเหรอ” ผมทำหน้าลังเล

“ได้สิ”

ไม่พูดเปล่า ไอ้คนสูงปล่อยมือข้างซ้ายแล้วจับแขนผมไปเกาะที่เอว ทำเอาผมเหวอไปนิดๆ แต่ก็ยอมทำตามไป เพราะกลัวตกมอเตอร์ไซต์เหมือนกัน ยิ่งยังไม่อยากตายอยู่ด้วย เพิ่งโสดยังไม่กี่วันจะมาตายแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

ยิ่งได้ใกล้ชิดมากขึ้น ผมก็เริ่มได้กลิ่นหอมแปลกๆ มาจากคนตรงหน้า มันเป็นกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่เหมือนกับคนไอ้คนตัวสูงนี้เพิ่งจะอาบน้ำมาแน่ๆ

“จะกอดผมอีกนานไหมพี่ ถึงแล้ว”

“อ้าวเหรอ”

เหวอไปเลย ไม่คิดว่าจะถึงเร็วขนาดนั้น แถมยังคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปด้วย

“ขอบใจมากนะ”

พูดเสร็จผมก็รีบลงจากรถแล้วเดินเข้าด้านในทันที

หลังจากใช้สายตาอันสั้นร้อยนิดๆ (ที่ตอนนี้เอาแว่นสายตามาใส่แล้ว) มองสำรวจรีสอร์ทนี้ได้สักพักก็รู้สึกภูมิใจเล็กๆ แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่คนจองและคนจองเองก็ไม่ได้มาด้วย แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกชอบรีสอร์ทแห่งนี้

“เดี๋ยวเชิญทางนี้เลยครับ”

ไอ้คนตัวสูงที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซต์เสร็จเดินเข้าไปด้านใน นำผมไปที่เคาน์เตอร์เพื่อทำเรื่องเช็คอิน แต่กลับผิดคาด เพราะคนที่ทำเรื่องไม่ใช่คนตัวสูง

“ชื่อจองคุณภาคินนะจ๊ะ”

“ครับ”

ผมมองคนตรงหน้าอย่างงงๆ เพราะเป็นพี่ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ทำเรื่องเช็คอินให้ผม ส่วนไอ้คนตัวสูงนั้นหายเข้าไปด้านในแล้ว

“นี่ค่ะกุญแจ ส่วนห้องพักด้านนี้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

พอเข้าห้องปิดประตูเสร็จ ผมก็รีบเปิดแอร์ให้เย็นช่ำแล้วล้มตัวนอนลงบนที่นอนนุ่มๆ ทันที เพื่อหวังว่าแอร์เย็นๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายร่างกายก็ถูกความเพลียจากการเดินทางมาตลอดทั้งวันทำให้ผมเข้าสู่ห่วงนิทรา

 

ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอน 2 ทุ่ม ถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นหลับไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว แถมท้องเองก็กำลังร้องประท้วงเป็นการใหญ่ เหตุเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่บ่ายแล้ว

“หัวชะมัดเลยแฮะ”

แต่ก่อนที่จะออกนอกห้องเพื่อไปหาอะไรกิน ผมก็ต้องเช็คสภาพหน้าตาและทรงผมตัวเองก่อน เพราะไม่อยากออกไปให้คนอื่นมองด้วยสายตาแปลกๆ ซึ่งพอส่องกระจกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจึงค่อยออกจากห้อง

“อ้าวพี่ ไปหาอะไรกินเหรอ”

เสียงคนร้องทักผมมาจากอีกฝาก ซึ่งพอมองดีๆ ผมก็เห็นไอ้คนตัวสูงโบกมือหยิกๆ เป็นการใหญ่ ไม่รู้มันจะดีใจอะไรขนาดนั้น เพราะเล่นยิ้มกว้างจนแก้มปริ

“เรียกพี่อยู่ได้ เรามีชื่อนะ”

แล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเดินไปหาด้วยเนี่ย

“โทษทีครับ แล้วชื่ออะไรเหรอ”

แม้ปากจะคุยกับผม แต่มือก็ยังคงทำหน้าที่ย่างกุ้งกับปลาหมึกให้ลูกค้าที่มาพักที่นี่ไปด้วย แหม ช่างเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ดีจริงๆ

“เราชื่อต้นน้ำ”

“ผมเต็งหนึ่งนะพี่” ไม่ขาดคำก็ยังเรียกพี่อยู่อีก

“อายุเท่าไหร่เนี่ย มาเรียกคนอื่นพี่เนี่ย”

“19 ครับ”

“ห๊ะ 19 แก่กว่าเราอีก”

“จริงเหรอ แล้วพี่อายุเท่าไหร่”

“18 พอใจยัง แล้วก็เลิกเรียกพี่ได้แล้ว”

“ฮ่าๆ เอาน่า ที่เรียกพี่ถือเป็นการให้เกียรติกับลูกค้านะครับ” เต็งหนึ่งรีบอธิบายเป็นการใหญ่ “ว่าแต่พี่ เอ่ย ต้นน้ำ จะออกไปหาอะไรกินใช่ป่ะ”

“อืม ก็ประมาณนั้นอ่ะ ตอนนี้หิวๆ ด้วย”

พูดไม่ทันขาดคำ ท้องก็ส่งเสียงโครกครากเป็นการใหญ่ จนคนตรงหน้าได้แต่หัวเราะ

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย คนยิ่งหิวๆ อยู่”

“ไม่หัวเราะก็ได้ครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราพาไปซื้อแล้วกัน เพิ่งมาคงยังไม่รู้ว่าตรงไหนขายอะไรบ้าง” เต็งหนึ่งอาสาพาผมไป แต่คิดว่าจะไปได้เหรอ ในเมื่อตัวเองยังย่างกุ้งกับปลาหมึกไม่เสร็จเลย

“แล้วไอ้นี่ล่ะ” ผมชี้ไปยังเตาย่างตรงหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวให้พี่ศรมาทำต่อ”

“พี่ศร?”

พูดไม่ขาดคำ คนที่ชื่อ พี่ศร ก็เดินมาพอดี เลยทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่ผมรับกุญแจห้องพักมาคือพี่ศรคนนี้

“พี่ศร ผมฝากด้วยนะ”

“อ้าว จะไปไหนล่ะ” พี่ศรถาม

“ผมขอพาลูกค้าไปหาซื้อของกินหน่อยนะพี่ แถวๆ นี่แหละ”

“อ๋อ ดูแลลูกค้าดีๆ ด้วยล่ะ”

“ได้ครับ”

“อย่าไปลวนลามลูกค้าล่ะ ยิ่งน่ารักๆ อยู่ด้วย”

เดี๋ยวนะ! คำพูดแรกๆ มันก็โอเคอยู่หรอก แต่ไอ้คำหลังเนี่ยมันทะแม่งๆ นะ

“โห่พี่ เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”

“ก็หื่นไง”

“ต้นน้ำ อย่าไปฟังมากนะ พี่ศรชอบใส่ร้าย”

ผมไม่รู้จะเชื่อใครดี แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดอยู่อย่างเดียวก็คือ หาอะไรใส่ท้องก่อนที่ท้องจะร้องหนักมากไปกว่านี้

 

 

     

º Senior the Series »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หมอก ใจร้ายไปปะ
บอกเลิกตอนที่อีกฝ่ายแพคกระเป๋าเดินทางมา
เตรียมจะไปเที่ยวด้วยกันนี่นะ
ต้นน้ำเลิกไปก็ดี ยังมีคนดีๆอีกนะ
เต็งหนึ่ง ใจดีนะ มีอนุญาตให้กอดด้วย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
ลืมลงกฏ ลงกฏด้วยจ้าเด๋วโดนลบ

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 2 : ทะเล และ ท้องฟ้า

 

บนถนนอันว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนและรถวิ่งผ่าน มีเพียงแต่เราสองคน ไม่ใช่ ต้องบอก มีผมกับไอ้คนตัวสูง ที่ผมเพิ่งรู้จักชื่อเมื่อสักพักนี้ กำลังเดินไปยังร้านค้าใกล้ๆ แถวนี้เพื่อหาอะไรใส่ท้องของผม โดยที่ผมกับคนตัวสูงเลือกที่จะเดินคนละฝากถนนเพื่อรักษาระยะห่าง ถ้าจะถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ก็อาจจะเพราะเมื่อกี๋ผมได้ยินเรื่องแปลกๆ มาจากเจ้าของรีสอร์ทว่าคนที่กำลังเดินมาพร้อมกับผมตอนนี้เป็นคนหื่น ผมก็เลยเลือกที่จะต้องทำแบบนี้

“รังเกียจเราเหรอ” อยู่ดีๆ เต็งหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่พี่ศรพูดเมื่อกี๋ไง ว่าเรา...หื่น”

ดูน้ำเสียงที่พูดออกมาแต่ละคำนั้นมันเหมือนจะมีความเศร้าปนออกมาด้วยจนผมไม่แน่ใจว่าคนข้างๆ กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ

“เฮ้ย คิดมากน่า” ผมพยายามยิ้ม แม้ว่ามันจะไร้ค่าเพราะมันถูกความมืดปกปิดจนคิดว่าอีกคนไม่น่าจะเห็น

“มันก็แค่เรื่องในอดีตนั้นแหละ” คนตัวสูงถอนหายใจแรงๆ ไปหลายครั้งก่อนจะพูดต่อ “ก่อนหน้านี้เราเคยพาแฟนมาเที่ยวที่นี่ โดยที่ตอนนั้นเรายังเพิ่งช่วยงานพี่ศรอยู่ ก็เลยต้องทำหน้าที่ทั้งดูแลลูกค้าและแฟนที่ดี แต่พี่ศรนึกว่าเป็นแค่ลูกค้าที่มาพัก แถมยังมาเห็นเรากำลังจูบกับแฟนอีก พี่ศรก็เลยหาว่าเราหื่น ลวนลามลูกค้า ทั้งที่ความจริงเรากำลังจูบกับแฟนตัวเองอยู่ ตลกดีเนอะ”

“อืม ตลกดี”

ถ้าผมเป็นพี่ศรเองก็คงคิดไม่ต่างกันหรอก เล่นเจอแบบนั้นก็ต้องคิดบ้างแหละว่าน้องชายตัวเองกำลังลวนลามลูกค้าอยู่ แถมยังมาทำที่รีสอร์ทอีก

“แฟนนายคงน่ารักมาสินะ”

“จะให้บอกไงดีล่ะ ก็คล้ายๆ กับนายอ่ะ ต้นน้ำ”

“ห๊ะ”

คล้ายกับเราเนี่ยมันคล้ายยังไงเนี่ย ผมชักสงสัยแล้วสิ

“ตกใจไร”

“ก็...”

“.....”

“เรามีแฟนเป็นผู้ชายนะ”

จากที่เดินมาดีๆ ผมแทบสะดุดหัวทิ่มเพราะคำพูดของคนตัวสูง ไม่คิดว่าคนอย่างเต็งหนึ่งจะมีแฟนเป็นผู้ชาย ขนาดผมเองที่ชอบผู้ชายยังจับผิดไม่ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้มีรสนิยมแบบนี้ เรดาร์ผมคงเสียไปแล้วแน่ๆ ถึงไม่รู้คนๆ นี้เป็นแบบเดียวกับผม

“แต่ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”

“แล้วทำไมต้องนึกว่าเราคิดมากด้วยล่ะ”

“ก็ไม่รู้สิ แค่ความรู้สึกนะ แต่ช่างเถอะ”

ในเมื่อเต็งหนึ่งเลิกที่จะคุยต่อ ผมเองก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ก่อนที่เราจะเดินไปถึงร้านอาหารตามสั่งที่เมนูส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทะเลทั้งหมด

“จะกินที่นี่หรือว่าจะซื้อกลับไปกินที่รีสอร์ทดีล่ะ”

เต็งหนึ่งหันมาถามผม แม้ตอนนี้ผมเองจะยังรู้สึกลังเลอยู่ว่าจะเลือกกินที่ไหนดี ถ้าเลือกที่จะกลับไปกินที่รีสอร์ทผมก็คงต้องนั่งกินคนเดียว แต่ถ้าเลือกกินที่นี่ผมก็ยังมีเพื่อนกินอีกหลายโต๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้นั่งโต๊ะเดียวกันก็ตามที

“กินที่นี่ดีกว่า คนเยอะดี” พูดเสร็จผมก็เดินหาที่นั่ง

“เอาอะไรดี” ไม่พูดเปล่า เต็งหนึ่งเองก็หยิบเมนูเอามาดูด้วยราวกับว่าตัวเองจะกินด้วย

“ทำไรล่ะนั่น”

“ก็หาอะไรกินไง เราก็ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยเหมือนกัน” ปากก็พูดไปส่วนตาก็นั่งมองไล่ดูเมนูไปด้วย

“งั้นเหรอ ก็เอาสิ” ผมรีบดูเมนูด้วยความเร็วแสงเพราะตอนนี้อยากหาอะไรก็ได้ที่ทำได้ไวที่สุดมากิน ก่อนจะไปหยุดที่เมนูอาหารสิ้นคิด “กระเพราทะเลแล้วกัน”

“พี่ครับ กระเพาะทะเล 2 จานครับ”

ผมมองคนตรงหน้าอย่างงงๆ ที่อยู่ดีๆ ก็ตะโกนสั่งไป แถมยังเหมือนกับผมเป๊ะๆ สรุปไอ้ที่นั่งเสียเวลาดูเมนูตั้งนานเนี่ยไม่ได้ช่วยให้หาอะไรได้เลยเหรอ

“สั่งเหมือนกัน จะได้กินพร้อมๆ กันไง” นั่นไง! ดูมันพูดเข้า

“อืม”

“กินข้าวเสร็จแล้วจะไปไหนต่อเหรอ” เต็งหนึ่งหาเรื่องชวนคุยระหว่างที่รอข้าว

“ยังไม่รู้เลย ก็คงกลับห้องนอนพักมั้ง”

ผมก็พูดไปงั้นแหละ ทั้งที่จริงผมเพิ่งตื่นนอนมาด้วยซ้ำ จะให้กลับไปนอนอีกก็คงหลับยาก คิดจะทำอย่างอื่นก็ยังไม่รู้จะทำอะไร พาลคิดไปว่าถ้าหมอกมาด้วยป่านนี้ผมกับหมอกก็คงทำนู้นทำนี่กันตามประสาคนรักกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เราไม่ได้เกี่ยวไรกันแล้ว ดังนั้นมีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเดินหน้าต่อ

“คิดอะไรอยู่เหรอ หน้าเครียดเชียว” เต็งหนึ่งสะกิด

“โทษที คิดอะไรเพลินๆ นะ”

“ข้าวมาพอดีเลย กินกันเถอะ”

พออาหารนำมาเสิร์ฟ เราสองคนก็ต่างคนต่างกันกินเงียบๆ โดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำ อาจจะเพราะตอนนี้ต่างคนต่างหิวด้วยก็เลยไม่มีเวลาได้คุยกันสักเท่าไหร่ จนกระทั่งข้าวในจานใกล้หมด

“รอดตายไปอีกวัน” คนตัวสูงพูดเสร็จก็รวบช้อนเข้าด้วยกัน

“ขนาดนั้นเหรอ” ผมอดขำคนตรงหน้าไม่ได้ ที่ชอบพูดอะไรแปลกๆ

“ก็นิดนึงนะ เพราะเวลามาช่วยงานพี่ศรที่นี่ทีไร กว่าจะได้กินข้าวแต่ละมื้อก็แทบจะยาก เพราะต้องคอยดูแลลูกค้าอยู่ตลอด บางวันก็ได้กินข้าวเย็นเกือบ 4 ทุ่ม ยังดีที่ว่าได้กินของจุกจิกไปบ้าง ไม่งั้นมีหวังได้เป็นโรคกระเพาะพอดี”

“ถ้างั้น ที่บอกพี่ศรว่าพาเรามาหาไรกินเนี่ย ก็หาเรื่องอู้งานใช่ป่ะเนี่ย”

“ก็ประมาณนึง” เต็งหนึ่งหัวเราะเบาๆ แก้เก้อที่โดนผมจับผิดได้

“แต่ก็ไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยนะ นานที”

“นึกว่า นานๆ ถี่”

“ก็ว่าไป กินเสร็จแล้วใช่ป่ะ จะได้รีบเก็บเงิน”

“เอาสิ”

พอจ่ายเงินเสร็จ เราสองคนก็เดินออกจากร้านทันที

“เพิ่ง 3 ทุ่มเองเหรอเนี่ย”

ผมมองตัวเลขที่โชว์หราอยู่หน้าจอมือถือ ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาจะไม่ได้เดินไปมากสักเท่าไหร่เลย

“ไปเดินเล่นกันไหม”

“ห๊ะ ว่าไงนะ”

“เดินเล่น ไปไหม”

ผมลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ตอบตกลงไปทันที เพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่ากลับไปนอนเล่นในห้อง

“ไปสิ”

 

เราสองคนเดินมาสักพักก็มาถึงหาดที่ใกล้ที่สุด ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหาดนี้ชื่ออะไร แต่ที่ผมรู้คือมันทำให้ผมรู้ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก สายลมอ่อนๆ เสียงคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระยะ กับบนท้องฟ้าที่มีแสงระยิบระยับจากหมู่ดาว ทุกอย่างมันทำให้ผมรู้สึกดีเป็นอย่างมาก

“มานั่งด้วยกันสิ” เต็งหนึ่งเรียกผมให้มานั่งโต๊ะไม้ที่เหลือที่นั่งให้ผมให้

“ขอบคุณนะที่พามาชมวิวตอนกลางคืน”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แล้วต้นน้ำชอบไหมล่ะ”

“ชอบสิ”

“แล้วชอบเราไหมล่ะ”

“อะไรนะ”

“ล้อเล่นนะ” เต็งหนึ่งหัวเราะ “เห็นชอบที่นี่เราก็ดีใจ”

“อ๋อ ตกใจหมด”

“เราขอถามอะไรหน่อยได้ป่ะ”

“ถามอะไรเหรอ ถ้าตอบได้ก็จะตอบนะ”

ถึงจะลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ยินดี เพราะตอนนี้ผมเองก็อยากมีคนคอยเคียงข้างบรรเทาความรู้สึกในหัวใจบ้าง แม้จะยังไม่รู้ว่าเต็งหนึ่งจะถามอะไรก็ตาม

“จำตอนแรกที่ต้นน้ำมาถึงที่นี่ได้ไหม ที่เราถามว่ามาคนเดียวนะ”

“อ่อ จำได้ ทำไมเหรอ”

“แล้ว...อีกคน...ไปไหนล่ะ”

คำถามนี้ทำเอาผมแทบจุกไปเลย ได้แต่ฝืนยิ้มให้คนข้างๆ

“ไม่ต้องตอบก็ได้นะ”

“คือเราเพิ่งเลิกกับเค้านะ เลิกก่อนที่จะมาที่นี่ไม่กี่วัน” ผมได้แต่ก้มหน้านิ่ง พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ตัวเองอ่อนแอไปกับความรู้สึก “เรามันคงทั้งงี่เง่า น่าเบื่อมากสินะ ถึงได้เลิกกับเราง่ายๆ แบบนี้”

“ต้นน้ำ”

“ขอโทษด้วยนะ” มารู้สึกอีกที น้ำตามันก็ค่อยๆ ไหลออกมา

“เราว่าต้นน้ำขี้แยมากกว่านะ”

ไม่พูดป่าว เต็งหนึ่งยื่นมือมาปาดน้ำตาผมเบาๆ ราวกับกลัวแก้มผมจะช้ำจากการสัมผัส

“บางทีการได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาบ้าง มันก็อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นก็ได้นะ”

“ขอบคุณนะ”

ผมจับมือเต็งหนึ่งแล้วดึงลง เพราะไม่อยากให้มือที่ขาวสะอาดแบบนั้นต้องมาแปดเปื้อนกับคราบน้ำตาของผม สู้ปล่อยให้มันไหลออกมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่เหลือ แล้วค่อยเช็ดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปทีเดียว

“ขอบคุณที่คอยมาปลอบเรา ขอบคุณที่ยอมนั่งเคียงข้างเรา” ผมได้แต่ก้มหน้านิ่ง “ตลกเนอะ เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แถมตอนแรกเราโวยวายหาเรื่องไปเรื่อย แต่พอมาตอนนี้กลับมาเผยด้านอ่อนแอกับนายจนได้”

“คิดมากน่า”

เต็งหนึ่งโอบไหล่แล้วดึงผมเข้าอ้อมกอด มันอาจจะรู้สึกแปลกๆ เพราะเราสองคนเพิ่งรู้จักกัน แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมามาก จนไม่อาจจะปฏิเสธได้

“อยู่แบบนี้สักพักได้ป่ะ”

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดคำนั้นออกไป แต่ดูเต็งหนึ่งจะไม่ปฏิเสธคำขอนั้น กลับกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นกว่าเดิม อ้อมกอดที่ทำให้หัวใจของผมรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 



º Senior the Series »

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 3 : เส้นคั่นความรู้สึก

 

เราสองคนกลับมาถึงรีสอร์ทประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ซึ่งตอนนี้ลานด้านนอกไม่มีแขกคนอื่นๆ แล้ว จะมีก็เพียงพี่ศรที่กำลังเก็บของอยู่ โดยในมือเป็นของชิ้นสุดท้ายที่กำลังยกไปเก็บพอดี

“อ้าวหนึ่งมาแล้วเหรอ ไปไหนกันมาเนี่ย กลับซะดึกเลย” พี่ศรเอ่ยถาม แล้วยกของเข้าด้านใน

“พาลูกค้าไปเดินเล่นรับลมมานะพี่”

“แล้วไปทำไรลูกค้ารึป่าวเนี่ย”

พี่ศรยังมีย้อนถามถึงประเด็นนี้อีก เล่นเอาผมหลุดขำออกมาเบาๆ โดยไม่ให้คนตัวสูงเห็น

“โธ่พี่ เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” เต็งหนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงเซงๆ ที่ถูกพี่ศรพูดเรื่องนี้ไม่เลิก

“ไม่เลยครับ เต็งหนึ่งดูแลผมอย่างดีเลยครับ” คราวนี้เป็นผมตอบแทน เพราะทนขำคนตัวสูงไม่ไหว แค่เห็นสีหน้าที่พยายามจะอธิบายให้พี่ศรฟังแล้วนี่ตลกสุดๆ

“จริงแน่นะ” คำถามนี้พี่ศรหันไปถามเต็งหนึ่งที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ผม

“จริงสิพี่”

“งั้นแล้วไป” พี่ศรมองด้วยหางตาแล้วยกของไปเก็บ

“เราว่านายเข้าไปพักเถอะ นี่ก็ดึกแล้วพรุ่งนี้จะได้ไปมีแรงไปเล่นน้ำทะเล”

เต็งหนึ่งหันมาบอกผม ซึ่งมันก็จริงเพราะผมเองก็เริ่มรู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำ แล้วก็นอนพักผ่อนอีก (แม้ว่าจะนอนไปบ้างแล้วก็ตาม)

“ถ้างั้นไปก่อนนะ”

“ฝันดีนะครับ” เต็งหนึ่งก้มกระซิบข้างหูผม เล่นเอาผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว

“เออๆ ฝันดี”

ผมรีบบอกฝันดีบ้างแล้วรีบเดินไปกลับห้องตัวเองทันที เพราะถ้าขืนยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้ มีหวังคนตัวสูงจะได้เห็นว่าใบหน้าของผมตอนนี้แดงมากขนาดนั้น

“บ้าเอ่ย คิดอะไรนะเรา”

ผมได้แต่บ่นตัวเองหน้าห้อง ก่อนจะรีบไขกุญแจแล้วเข้าห้องไปพักผ่อนทันที

 

 

ก๊อกๆ

ในขณะที่ผมกำลังฝันหวานเพลินๆ ก็มีอันต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงเคาะประตู นี่ขนาดว่ามาเที่ยวคนเดียวก็ยังมีคนมารบกวนการนอนของผมอีก

“ใครครับ” ผมตะโกนถามไป ทั้งที่ตัวเองนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง

“ต้นน้ำนี่เราเองนะ ตื่นหรือยัง”

มีเสียงคนร้องตอบกลับมาจนผมสงสัย เพราะถ้าจำไม่ผิดนั้นคือเสียงของเต็งหนึ่ง แล้วทำไมมาเคาะห้องผมแต่เช้าแบบนี้เนี่ย จะว่านัดไว้ก็ไม่ใช่ เพราะตอนหัวค่ำไม่ได้คุยอะไรกันไว้

“ยังไม่ตื่น”

ผมตอบไปทั้งตาหลับๆ เพราะตอนนี้ตามันลืมไม่ขึ้นจริงๆ นี่ครับ เมื่อคืนกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปเกือบตี 2 อาจจะเพราะเมื่อวานตอนเย็นผมนอนจนเต็มอิ่มก็เลยไม่ค่อยรู้สึกง่วง แถมดันไปปล่อยโฮกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักอีก แถมคนๆ นั้นเองก็ดันเคยมาแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนด้วยเลยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยิ่งมาตอนจะเข้าห้องดันมากระซิบบอกฝันดีอีก มีเหรอคนอย่างผมจะไม่ได้คิดอะไร

“ยังไม่ตื่นแล้วใครตอบครับ”

เต็งหนึ่งยังไม่ลดละความพยายามที่จะปลุกผมจริงๆ นะเนี่ย

“คนตอบ” กวนตีนกลับไปสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน

“ใช่คนน่ารักหรือป่าว” นึกว่ากวนตีนไปนิดนึงคนตัวสูงจะหยุดดันมาเล่นคำต่ออีก ผมละเหนื่อยใจจริงๆ เลย

“มีอะไรหรือป่าว เราอยากนอนต่อ”

“มีสิครับ”

“....”

มีอะไรแต่เช้าเนี่ย ผมได้แต่สงสัย

“เราว่าจะพาต้นน้ำไปเล่นน้ำทะเลนะ สนใจไหม”

“เล่นน้ำเหรอ?”

“อืม ไปไหม?”

ผมนั่งลังเลอยู่สักพักว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี พอมานั่งนึกๆ ดู ผมเองก็มาเที่ยวที่นี่คนเดียว แถมยังไม่ค่อยรู้จักอะไรที่ไหนเท่าไหร่ แถมตอนนี้มีคนมาเสนอจะพาไปเล่นน้ำทะเลแบบนี้ด้วย ขืนปฏิเสธไปก็คงเสียดายแย่

“ไปๆ แต่รอก่อนนะ ขออาบน้ำก่อน”

“ได้ครับ ถ้าไงเดี๋ยวเราเตรียมอาหารเช้าไว้รอนะครับ”

พูดเสร็จ เสียงฝีเท้าของเต็งหนึ่งก็หายไปอีกทาง ส่วนผมก็ได้แต่นั่งเกาหัวงงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะตั้งแต่ไปเที่ยวมาหลายๆ ที่ไม่เจอการบริการอะไรแบบนี้มาก่อน ทั้งเสนอพาไปกินข้าว เสนอตัวพาไปเที่ยว แถมยังมาเตรียมข้าวเช้าให้กินอีก เป็นใครก็ต้องแปลกใจอยู่บ้างที่เจอแบบนี้

“เอาเหอะ ดีกว่าเที่ยวคนเดียวแหละกัน”

สรุปกับตัวเองง่ายๆ ผมก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำทันที

 

หลังจากออกมาจากห้องผมก็พบกับเต็งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้งชุดสำหรับออกเที่ยว รวมไปถึงมอเตอร์ไซต์ที่พร้อมจะพาผมออกเที่ยว แต่จะพิเศษก็ตรงนี้ตอนนี้บนโต๊ะตรงหน้าผมมีขนมปัง ไส้กรอก ไข่ดาว ไม่รวมน้ำผลไม้อีกแก้วที่กำลังยกมาให้ผม

“นี่มันอะไรเหรอ”

ผมมองของตรงหน้าอย่างงงๆ เพราะเท่าที่รู้ก็คือรีสอร์ทนี้มีขนมปังกับกาแฟเอาไว้รองรับแขก แต่นี่มันไข่ดาว ไส้กรอกแล้วก็น้ำผลไม้มาด้วย ซึ่งมันนอกเหนือจากเมนูปกติ

“ก็อาหารเช้าไง” เต็งหนึ่งนั่งลงข้างๆ แล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“คือรู้ว่ามันคืออาหารเช้า แต่ทำไมมันดูพิเศษจังเลยเนี่ย”

“อาหารมื้อพิเศษสำหรับคนพิเศษไง”

เต็งหนึ่งยิ้มตาหยี แต่ผมสิ เผลอหัวใจพองโตตามคำพูดของคนตัวสูงไปด้วย แต่ยังดีที่ผมยังควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้บ้าง ไม่งั้นคงได้เผลอยิ้มออกไปด้วย

“ก็พูดเว่อร์ไป คนพิเศษอะไรที่ไหน”

“ก็ต้นน้ำไง คนพิเศษสำหรับเรา”

ดูเหมือนยิ่งผมพูดอะไรออกไป มันเหมือนกับยิ่งมัดตัวผมมากขึ้นเท่านั้น

“พอเหอะๆ รับไม่ไหวอ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดตอบไป แต่เต็งหนึ่งกลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร “ว่าแต่ทำไมทำมาเยอะเลยเนี่ย เรากินคนเดียวไม่หมดหรอกนะ”

“อ่อ ลืมไป ทำมากินด้วยกันนะ เราเองก็ยังไม่ได้กินไรเหมือนกัน มัวแต่ช่วยพี่ศรเตรียมของว่างให้เลี้ยงแขกจนเสร็จแล้วถึงไปปลุกนายนั่นแหละ” เต็งหนึ่งอธิบาย

“แหม พูดซะน่าสงสารเชียวนะ”

“แล้วสงสารป่ะ”

“ไม่อ่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“น้อยใจแล้ว” พูดเสร็จ คนตัวสูงก็อมลมซะจนแก้มป่อง นี่ถ้าเป็นเด็กมันคงดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่นี่เด็กโข่งมาทำท่าทางงอนแบบนี้มันดูขัดหูขัดตาสุดๆ

“ตามใจ งั้นเรากินก่อนแล้วกัน หิวแล้ว” ผมลงมือหั่นไส้กรอกหมายจะกิน และในจังหวะที่กำลังจะเอาใส่ปาก ก็ดันต้องหายไปเพราะคนข้างๆ มากินแทน “เฮ้ย...”

“อร่อยจัง”

“ให้มันน้อยๆ หน่อย นั่นเราจะกินนะ”

“เอาน่า เราก็แค่อยากรู้ว่านายป้อนมันจะอร่อยกว่ากินเองไหม” ดูมันพูดเข้าสิ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนทำอาหารเช้ามาให้กินแบบฟรีๆ นะ ผมคงเดินหนีไปหาของกินที่อื่นแล้ว

“เออๆ”

สุดท้ายผมก็ต้องหันไปหั่นไส้กรอกใหม่แล้วรีบใส่ปากตัวเองก่อนที่คนข้างๆ จะมาแย่งไปกิน ซึ่งทั้งผมกับเต็งหนึ่งก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกินของในจานหมด ก็เพราะมันมีสงครามย่อมๆ ขนาดเล็กเกินขึ้นบ้าง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ซึ่งผมมารู้จากเจ้าตัวหลังกินเสร็จว่าอาหารเช้าจานนั้นเป็นฝีมือของเต็งหนึ่งที่ลงมือทำเองโดยเฉพาะ และผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับมันดีไหม

“อิ่มแล้วเราก็ไปกันเถอะ” เต็งหนึ่งที่เสร็จจากการล้างจานเดินออกมาแล้วตรงไปยังมอเตอร์ไซต์คู่ใจทันที

“ไปไหนเหรอ”

“เล่นน้ำไง”

“ตอนนี้เลยเหรอ” ผมมองอากาศข้างนอกอย่างชั่งใจ แม้ตอนนี้แดดจะยังไม่แรงก็ตาม

“แบบนี้แหละแดดอ่อนๆ กำลังดี”

“งั้นเหรอ”

“อืม” เต็งหนึ่งพยายามเรียกผมให้ขึ้น “ว่าแต่จะขึ้นรถเองหรือจะให้เราอุ้มดีเนี่ย”

“พอเลยๆ ขึ้นเองได้”

ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เมื่อคืนมานี้คนตัวสูงเริ่มหยอดคำแปลกๆ ใส่ผมอยู่ตลอด นี่ถ้าเป็นแฟนกันคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่นี่เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองก็เล่นขนาดนี้ซะแล้ว แต่สมองก็ต้องหยุดคิดเมื่อรถมอเตอ์ไซต์เริ่มออกตัวจนผมต้องเผลอกอดคนตรงหน้าแทน

“เกาะแน่นๆ นะ”

ไม่บอกผมก็ต้องเกาะอยู่แล้วล่ะ ก็เส้นทางที่นี่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนถนนทั่วไป แต่มันเหมือนกับการได้นั่งเครื่องเล่นที่หวาดเสียวจนแทบจะฉี่ราด เพราะทั้งลาดชัน ลาดเอียง จนทำต้องร้องลั่นออกมาหลายครั้งด้วยความตกใจ

“ร้องเป็นเด็กไปได้” เต็งหนึ่งหัวเราะชอบใจที่เห็นผมกลัว

“ไม่เป็นเราไม่รู้หรอก”

“ทนอีกนิด ใกล้ถึงแล้ว”

จากนั้นเต็งหนึ่งก็เลี้ยวไปอีกด้านก่อนจะมาถึงหาดแรกที่เรามาถึง ‘หาดตาแหวน’ โดยเต็งหนึ่งทำหน้าที่พาผมไปหามุมนั่งสบายๆ เพื่อรับลมจากทะเล

“สวยดีเหมือนกันนะ” ผมมองไปรอบๆ อย่างสนใจ อาจจะเป็นเพราะผมมาที่นี่ครั้งแรกก็เลยรู้สึกประทับใจกับมัน แต่มันกลับมีอีกความรู้สึกที่เหมือนจะพยายามแทรกความรู้สึกนั้นออกมาอยู่ตลอดจนผมรู้สึกแย่ไป ความรู้สึกที่ว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ แล้วคนที่สัญญาจะมาด้วยนั้นหายไปไหน

“เป็นอะไรไปนะ อยู่ดีๆ ก็เงียบไป” ดูเหมือนเต็งหนึ่งจะสังเกตเห็นอาการผม

“อ่อ แค่คิดอะไรเพลินไปนะ” ผมโกหกไปคำโต

“มีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้เราฟังได้นะ หรือถ้าเราทำให้นายไม่สบายใจก็บอกเรา เราจะได้แก้ไขให้นายรู้สึกดี” เต็งหนึ่งรีบบอก เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้

“เฮ้ยไม่ใช่หรอก เราแค่คิดเรื่องหมอกนะ” ผมเอ่ยชื่อแฟนเก่าออกมา “คนที่จะมาเที่ยวกับเรานั่นแหละ”

“อ๋อๆ” น้ำเสียงเต็งหนึ่งดูเปลี่ยนไปนิดนึง

“ขอโทษนะที่ทำให้บรรยากาศดูแย่ไปเลย”

“คิดมากน่า” แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าคนข้างๆ แต่ผมก็พอจะดูออกว่ามันหมายถึงอะไร แต่ยังไงซะมันก็คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเราเป็นแค่คนรู้จักกันแค่ข้ามคืน “ถ้างั้นเราลงไปเล่นน้ำกันเถอะ”

“เอาสิ”

 

 

 

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nuttyboy2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :a5:

ปูเสื่อรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 4 : จุดเริ่มต้น

 

ทริปเที่ยวเกาะล้าน 3 วัน 2 คืนใกล้จะจบลงแล้วเต็มที่ เพราะถ้าผ่านคืนนี้ไปผมก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง แค่คิดผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ อาจจะเพราะว่าต่อไปผมคงไม่มีใครให้คอยคุยหรือปรึกษาเหมือนแต่ก่อน มันอาจจะรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้างแต่ผมก็คงต้องผ่านจุดนั้นไปให้ได้

ผมถอนหายใจแรงๆ ไปทีนึงเพื่อระบายความรู้สึก เผื่อความอดกั้นข้างในมันจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง

แม้ตอนนี้ผมจะนั่งเล่นอยู่ที่หน้ารีสอร์ทมาสักพัก แต่ผมกลับไม่เห็นหน้าของเต็งหนึ่งเลย ตั้งแต่เรากลับมาจากเล่นน้ำ เต็งหนึ่งก็หายเข้าไปด้านในและไม่ยอมออกมาเลย จะมีก็เพียงแต่พี่ศรที่ออกมาคอยดูแลลูกค้า

“พี่ศรครับ แล้วเต็งหนึ่งล่ะครับ” สุดท้ายผมก็เผลอปากเอ่ยถามหาจนได้

“เห็นนั่งอยู่ด้านในนะ ไม่รู้เป็นอะไรมา พี่ชวนคุยด้วยก็ไม่คุย” พี่ศรตอบ

“อย่างงั้นเหรอครับ”

“ทะเลาะอะไรกันมาหรือป่าวเนี่ย” พี่ศรย้อนถาม คงสังเกตเห็นผมเงียบๆ เหมือนกัน

“ป่าวครับ”

“พี่ก็นึกว่าเราทะเลาะกันซะอีก ไม่ได้ทะเลาะกันก็ดี แต่ถ้ามีเรื่องอะไรไม่เข้าใจกันก็รีบเคลียๆ นะ จะได้ไม่ต้องมีอะไรให้ค้างคากัน” พี่ศรพูดเสร็จก็เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้วทำงานของตัวเองต่อ

ผมก้มมองนาฬิกาที่ตอนนี้ใกล้จะหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ก็เลยคิดว่าควรจะหาอะไรใส่ท้องสักนิด ไม่งั้นคงจะออกไปหาซื้อกินลำบาก หลังจากเดินหาร้านข้าวได้สักพักผมก็เจอร้านที่ถูกใจ ก่อนจะสั่งอาหารทะเลหลายๆ อย่างกะกินให้หายอยาก เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะกลับแล้วก็คงหากินแบบนี้ลำบาก

รอไม่นานบรรดาอาหารทะเลหลากหลายเมนูก็ถูกนำมาเสิร์ฟ แน่นอนมันทำให้ผมอยากกวาดทุกอย่างเข้าท้องเร็วๆ แต่พอทำเข้าจริงๆ อาหารบนโต๊ะก็พร่องไปได้แค่ครึ่งเดียว

“เริ่มแน่นแล้วแฮะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ

พอเห็นว่าไม่สามารถที่จะยัดไอ้ของตรงหน้าลงกระเพาะได้หมด ผมก็จำใจต้องให้พ่อค้ามาคิดค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้

“เก็บเงินด้วยครับ” ร้องบอกไม่นานพี่เจ้าของร้านก็เดินมา

“ทั้งหมด 550 บาทครับ”

“นี่ครับ” ผมยื่นเงินให้ทันที

“เหลือเยอะเหมือนกันนะ ให้พี่ห่อที่เหลือให้ไหม” พี่เจ้าของร้านแนะนำ เพราะเห็นว่าผมกินไม่คุ้ม

“จะดีเหรอครับ” ผมทำหน้าเกรงใจ ทั้งที่ความจริงก็นึกเสียดายอยู่บ้าง

“ดีสิ รอพี่แปบนะ เดี๋ยวให้คนจัดการให้”

ผมนึกขอบคุณพี่เจ้าของร้านที่ดูแลลูกค้าอย่างดี และคิดในใจว่าถ้ามีโอกาสได้มาที่นี่อีก ก็คงจะมากินที่ร้านนี้อีกแน่ และหลังจากรอไม่นาน ผมก็ได้ถุงอาหารติดมือกลับรีสอร์ทอีกหลายถุง แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะได้กินมันตอนไหนก็ตาม

พอมาถึงรีสอร์ทผมก็ยังคงเห็นพี่ศรทำหน้าที่ดูแลลูกค้าอยู่เหมือนเดิม โดยไร้ซึ่งเงาของเต็งหนึ่ง ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเต็งหนึ่งถึงต้องหลบหน้าผม หรืออาจจะเป็นผมเองที่คิดไปเองฝ่ายเดียว แต่มันก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความรู้สึกอะไรแบบนั้นจึงตัดไปได้เลย

ผมยืนมองรอบๆ ไปสักพักก่อนจะคิดได้ว่าควรจะเข้าห้องไปพักผ่อนดีกว่าที่จะมายืนคิดอะไรให้วุ่นวาย โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังแอบมองอยู่ไม่ไกลนัก

 

รุ่งเช้ามาถึง แน่นอนว่าผมแพ็คของทุกอย่างใส่กระเป๋าพร้อมสำหรับเดินทางกลับ ยังไปรวมของฝากอีกนิดหน่อยที่ผมซื้อมาบ้างแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแค่เพียงหาอะไรใส่ท้องสักหน่อย

พอออกมาด้านนอกพบกับพี่ศรที่กำลังเตรียมอาหารเช้าสำหรับแขกในรีสอร์ทอยู่ ผมพยายามมองไปรอบๆ เพื่อมองหาใครบางคนจนพี่ศรสังเกตเห็น

“มองหาเต็งหนึ่งเหรอ” พี่ศรเอ่ยถาม

“ใช่ครับ”

“ออกไปด้านนอกนะ อีกเดี๋ยวคงมา”

“ครับ”

พอรู้คำตอบ ผมจึงเดินเลี่ยงไปหาของกินใส่ท้อง แม้วันนี้เมนูที่กินจะต่างจากเมื่อวานอย่างมาก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมกินได้น้อยไปกว่าเดิม พอท้องอิ่ม ก็ถึงเวลาที่ผมควรจะเช็คเอาท์ออกที่นี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน

ผมยกกระเป๋าและสัมภาระทั้งหมดออกมาก่อนจะทำเรื่องคืนกุญแจห้องกับพี่ศร โดยก่อนกลับพี่ศรขอถ่ายรูปผมเอาไว้เป็นธรรมเนียมของรีสอร์ทสำหรับลูกค้าที่มาเที่ยวที่นี่เพื่อเอาไว้อัพขึ้นแฟนเพจของรีสอร์ท ซึ่งผมก็ยินดี โดยที่พี่ศรให้ผมไปยืนตรงจุดที่จัดเตรียมเอาไว้ ก่อนจะกดชัตเตอร์รัวๆ ไปหลายรูป รวมถึงผมเองก็ยื่นมือให้พี่ศรช่วยถ่ายด้วยเช่นกัน

“ขอบคุณครับ” ผมรับมือถือคืนจากพี่ศร

“มีโอกาสก็มาเที่ยวอีกนะ ที่นี่ยินดีต้อนรับจ๊ะ”

“ได้ครับ”

“แล้วจะรีบกลับไหมเนี่ย ตอนนี้ก็ไม่มีคนด้วย เต็งหนึ่งก็ยังไม่กลับมาด้วยแฮะ เอาไงดีเนี่ย” พี่ศรทำหน้าคิดหนักเรื่องที่จะหาคนไปส่งผมที่ท่าเรือ

“เดี๋ยวผมเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้ครับ ไม่ไกลเท่าไหร่ ผมกะว่าจะเดินชมวิวไปด้วย” ผมตอบ แม้ความจริงจะไม่ค่อยใช่ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่านั่งรอไปเรื่อยๆ เพื่อรอคนไปส่ง

“รอก่อนก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมยกเป้ขึ้นสะพายแล้วเริ่มเดินออกไปเรื่อยๆ แน่นอนว่ามันใช้เวลาพอสมควรจะถึงท่าเรือ แต่ผมก็ต้องสะดุดไปกับคนบางคนที่กำลังคร่อมมอเตอร์ไซต์อยู่ไม่ไกลนัก แต่สายตาที่มองผมนั้นไม่เหมือนสายตาของคนที่ผมคุ้นเคยเลย ผมยืนมองอยู่สักพักเพื่อดูว่าเต็งหนึ่งจะเดินมาหาหรือป่าว แต่ก็ยังคงอยู่ที่เดิม ดังนั้นผมจึงสรุปได้ว่าเต็งหนึ่งพยายามหลบหน้าผม และผมเองก็ควรจะไปจากนี้เสียที

ผมมายืนต่อแถวเพื่อเตรียมตัวขึ้นเรือ แต่ก็ชะงักเมื่ออยู่ๆ ก็โดนโอบกอดจากทางด้านหลัง

“เห้ย!” แน่นอนว่าผมร้องด้วยความตกใจ

“อยู่นิ่งๆ แปบนึงสิ”

เสียงของคนที่โอบกอดผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด น้ำเสียงแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

“เต็งหนึ่ง ทำไม...”

“ขอโทษที่หลบหน้านะ”

“แล้วจะมาขอโทษเราทำไมล่ะ” ผมนึกสงสัย “ปล่อยเราก่อนได้ป่ะ อึดอัดนะ”

“อืม” เต็งหนึ่งคลายกอดอย่างว่างง่าย ผมเองก็หันไปมองคนข้างหลังเพื่อที่จะได้คุยกันง่ายๆ “ไม่คิดจะลากันก่อนเลยเหรอไงเนี่ย หืม?”

“ก็เห็นหลบหน้ากันแบบนี้ใครจะไปอยากเจอล่ะ” ผมตอบความจริง

“เราขอโทษ”

“เลิกขอโทษเราได้แล้ว” ผมจ้องมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย “ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอถึงยอมมาหาเราได้เนี่ย”

“ไปคุยกันด้านในได้ป่ะ ตรงนี้คนเยอะนะ”

ผมพยายามมองไปรอบๆ ก็พบว่าตอนนี้คนมารอเรือกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แถมเสียงของคนรอบด้านเองก็ดังขึ้นทำให้การคุยของเราดูจะยาก จึงตอบตกลงไป

เต็งหนึ่งเดินนำผมมาที่ม้านั่งใกล้ๆ ไม่ไกลจากท่าเรือมากนัก ซึ่งระหว่างที่เดินมาเต็งหนึ่งอาสาช่วยถือกระเป๋าให้ โดยที่ผมเองปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ก็ไม่อาจสู้แรงคนตัวสูงได้

“มีเรื่องอะไรว่ามาสิ เราจะได้รีบกลับ” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้เวลาล่วงเลยไป 10 โมงกว่าแล้ว กว่าจะไปถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม

“ต้นน้ำจะโกรธเราไหม ถ้าเราจะพูดเรื่องที่เราหลบหน้าต้นน้ำนะ” ผมหยุดมองนาฬิกาแล้วหันไปมองคนข้างๆ แทน เพราะไม่รู้ว่าคนตัวสูงกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร

“มีอะไรเหรอ”

“คือมันไม่รู้จะอธิบายว่าไงดี ตั้งแต่ที่เราออกมารับต้นน้ำที่ท่าเรือวันนั้น เราก็เริ่มมองต้นน้ำบ่อยขึ้น ที่เราพยายามชวนออกไปกินข้าว ทำอาหารเช้าให้กิน ออกไปเที่ยว ก็เพราะเราอยากอยู่ข้างๆ ต้นน้ำนะ” เต็งหนึ่งถูมือไปมาเหมือนพยายามกลบเกลือนความรู้สึกของตัวเอง “รู้ทั้งรู้ว่าต้นน้ำเพิ่งอกหักมา แต่เราก็ยัง”

“จะจีบเหรอ” ผมยิ้มให้คนข้างๆ

“เฮ้ยรู้ได้ไง” เต็งหนึ่งร้องเสียงสูง ตานี่ก็โตกว่าปกติหลายจนผมอดขำไม่ได้

“ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว” ผมขำ “ว่าแต่จีบท่าไหนถึงได้หลบหน้าหลบตากันแบบนี้เนี่ย”

“ก็เห็นต้นน้ำเอาแต่พูดถึงแฟนเก่าอยู่บ่อยๆ เราก็เลยรู้สึกว่าต้นน้ำยังไม่ลืมแฟนเก่านะ ขืนถ้าเราแทรกเข้าไปมีหวังได้หน้าแตกกลับมาสิ” เต็งหนึ่งสารภาพออกมา

“คิดมากไปได้”

ผมตบไหล่คนตัวสูงเบาๆ

“เอาไว้ถ้าอยากจีบเราก็ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์แล้วกัน”

ผมยื่นเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ ลงในมือของเต็งหนึ่งที่ตอนนี้เงยหน้าผมด้วยสีหน้างงๆ ผมยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กระชับกระเป๋าเป้ให้แน่น ก่อนจะบอกลาคนตรงหน้า

“เราไปก่อนนะเต็งหนึ่ง ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ตลอดที่ 3 วันมานี่”

“จะไปแล้วเหรอ” เต็งหนึ่งทำเสียงอ่อยลงไปทันที

“เราต้องกลับแล้วล่ะ เอาไว้ถ้ามีโอกาสเราคงได้มาเที่ยวที่นี่อีก แต่ครั้งหน้าต้องพาเราเที่ยวให้ทั่วเกาะนะ”

“ได้สิ” เต็งหนึ่งกลับมายิ้มอีกครั้ง “จะมาเมื่อไหร่ก็บอกเราด้วยนะ เพราะเดี๋ยวเปิดเทอมเราก็ต้องกลับไปมหา’ลัยเพื่อไปเรียนนะ คงจะไม่ได้เจอกันง่ายๆ หรอก”

“ก็ไม่แน่นะ บางทีโลกมันอาจจะกลมก็ได้ ใครจะรู้”

“ก่อนไป ขอกอดหน่อยได้ป่ะ” เต็งหนึ่งลุกขึ้นยืนพร้อมกางแขนออกเล็กน้อย

“ขอกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรอ” ผมนึกขำกับท่าทีคนตรงหน้า

“อย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเราไง”

“ก็ได้”

ผมยอมกอดตามคำขอ มันทำให้ผมนึกไปถึงครั้งแรกที่ผมที่กอดกันริมทะเล ความอบอุ่นที่อยากจะอธิบายนั้นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยจนไม่อยากคลายมันออกมา แต่สุดท้ายผมก็ต้องจากมันพร้อมกับยิ้มให้คนตัวสูงที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มให้กับผมเช่นกัน

“อย่าลืมนะ” ผมกำชับแล้วชี้ไปที่เศษกระดาษแผ่นนั้น ก่อนจะเดินตรงไปยังท่าเรือ

“ต้นน้ำ ไว้เราจะโทรหานายนะ” เต็งหนึ่งตะโกนตามหลังมาหลังจากรู้ว่ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไร

“...” ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่โบกมือลาก่อนจะหันไปขึ้นเรือเพื่อกลับไปสู่โลกแห่งความจริงที่ควรจะดำเนินต่อไป

 





ออฟไลน์ nuttyboy2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

รอตอนต่อไปอยู่นะ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไปเจอกันที่มหาลัยแน่เลย

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 5 : เพราะโลกมันกลม

 

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

เสียงร้องลั่นดังมาจากมือถือข้างๆ เตียง ผมรีบเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาแล้วกดปิดเสียงร้องเตือนที่ผมตั้งเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวให้ลุกขึ้นบิดตัวไปมา

“ต้นน้ำ ตื่นรึยังลูก” คราวนี้เป็นอีกเสียงที่ดังลอดช่องประตูห้องนอนเข้ามา

“ตื่นแล้วครับแม่” ผมตอบเสียงนั้นไป

“ถ้างั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัว แล้วลงมากินข้าวนะลูก”

“ได้ครับ” ผมขานรับแล้วค่อยๆ เดินเข้าห้องน้ำทันที

หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว เสริมหล่อเสร็จ ผมก็เช็คความพร้อมสำหรับตัวเอง ไม่ว่าเป็นหน้าตา และเสื้อผ้า รวมไปถึงกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่ผมเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ใช่แล้วครับ หลังจากที่ผมกลับมาจากเกาะล้านวันนั้นนี่ก็ผ่านมา 1 อาทิตย์แล้ว ผมกลับมาอยู่ที่บ้านของตัวเอง ส่วนที่ผมต้องเตรียมกระเป๋านั้นก็เพราะว่า อีกไม่กี่วันนี้ผมจะต้องไปเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง จากเดือนก่อนที่ผมยังเป็นแค่เด็กมอปลายกางเกงขาสั้น แต่ต่อไปนี้ผมจะเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว จึงไม่แปลกถ้าผมจะเรียกมันว่าเริ่มชีวิตใหม่

“ลูกชายใครเนี่ย น่ารักเชียว” เสียงของหญิงวัยกลางคนร้องทักหลังจากที่ผมเดินเข้ามา แต่ไม่พูดป่าว ท่านเอามือมาหยิกแก้มผมเบาๆ ราวกับผมเป็นเด็กๆ

“แม่ ผมโตแล้วนะ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้า “อีกอย่างผมก็หล่อนะ ไม่ใช่น่ารัก”

“อะไรกันลูกคนนี้ ก็แม่ว่าน่ารักนะ”

“ก็ได้ครับ น่ารักก็น่ารัก”

ผมจำต้องยอมคนตรงหน้า เพราะไม่ว่าจะพูดยังไง ในสายตาของท่านผมก็น่ารักสำหรับท่านเสมอ อาจจะเพราะผมหน้าหวานไปนิดผิดกับผู้ชายปกติไปหน่อยก็เถอะ

“ว่าแต่วันนี้มีอะไรให้กินบ้างเนี่ย ผมหิวแล้ว”

“แม่เตรียมเอาไว้ให้เราเยอะเลย ถือซะว่าเป็นเลี้ยงส่งเราไง” พูดเสร็จคุณแม่ก็แสดงสีหน้าเศร้าลงไปนิด แต่มันก็ไม่พ้นสายตาของผมได้

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมแค่ไปเรียนเองนะ”

“ก็มันใจหายนะ”

“ดูพูดเข้า มามะ กอดหน่อยๆ” ผมดึงคนตรงหน้ามากอด “เอาไว้ผมจะกลับมาบ้านบ่อยๆ นะครับ หรือไม่ก็โทรหาแม่บ่อยๆ ด้วย”

“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าจะอยู่กับผู้ชายคนลืมแม่นะสิ” เจอประโยคนี้เข้าไปเล่นเอาผมพูดไม่ออกไปเลย ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แทน เอาเข้าจริงผมก็กลัวจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน “ว่าแต่พักนี้แม่ไม่เห็นหน้าหมอกเลยเนี่ย”

“อย่าพูดถึงเขาเลยครับ” ผมปรับน้ำเสียงให้ดูปกติ เพราะไม่อยากเอ่ยถึงคนนี้เท่าไหร่

“พูดแบบนี้ แสดงว่าเลิกกันแล้ว” แม่ผมนี้รู้ทันไปหมดจริงๆ เลย

“ก็...ประมาณนั้น” ผมยอมรับ ก่อนจะหย่อนก้นลงที่โต๊ะกินข้าว

“ให้ได้อย่างนี้สิ” แม่ผมส่ายหน้าหน่ายๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะตักข้าวให้ลูกรักอย่างผม

“ขอบคุณครับ”

“กินเยอะๆ นะลูก ต่อไปคงหากินลำบากนิดนึง ยังไงก็อย่าอดนะ ไปอยู่กับน้าที่กรุงเทพก็ทำตัวดีๆ ด้วยล่ะ เข้าใจไหม อย่าให้แม่รู้นะว่าแอบหนีเที่ยวกับผู้ชายนะ”

“โธ่แม่ เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” ผมทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งลูกชายตัวเอง แต่สุดท้ายผมก็หัวเราะไปพร้อมๆ กับท่าน

“ก็พักนี้แม่เห็นเราคุยโทรศัพท์ทุกวันเลย บางทีก็นั่งยิ้มหน้าโทรศัพท์อีก แล้วแบบนี้แม่พูดตรงไหนผิดเนี่ย” พอแม่พูดออกมาแบบนี้ ก็ได้ยิ้มอีกตามเคย ผมปฏิเสธมันไม่ได้เลย

“ก็แค่เพื่อนนะแม่”

“แน่ใจนะว่าเพื่อน”

“เพื่อนครับ”

“แต่ถ้าเป็นแฟนเมื่อไหร่อย่าลืมมาแนะนำให้แม่รู้จักนะ แม่อยากเห็นหน้าลูกเขย” เอาเข้าไปแม่ผม แซวไม่เลิก

หลายคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมแม่ผมถึงพูดเรื่องนี้ได้สบายๆ ความจริงก็คือท่านจับได้ตอนที่ผมกำลังจูบกับหมอกในห้องนอน แต่ท่านกลับแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่พอหมอกกลับบ้านท่านก็เอาแต่แซวผมไม่เลิก ว่าลูกชายตัวเองเสน่ห์แรง แถมยังมาพูดติดตลกปิดท้ายด้วยว่าถ้ามีอะไรกันอย่าลืมใส่ถุงยางอีกด้วย เล่นเอาผมหน้าชาไปเลย และท่านยังบอกอีกว่าสังคมสมัยนี้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว อีกอย่างเรื่องรักในเพศเดียวกันถือเป็นเรื่องปกติ ดีเสียอีกที่จะท่านจะได้มีลูกเขย

“อิ่มแล้วครับ” ผมรวบช้อนเข้าด้วยกัน

“กินแค่นี้เองเหรอลูก น่ากินอีกหน่อยนะ”

“แค่นี้ก็อิ่มแล้วครับ ขืนกินเยอะๆ กลัวจะลงพุงแล้วไม่หล่อนะ” ไม่พูดเปล่า ทำหน้าเก๊กหล่อไปด้วย

“ตลกจริงๆ ลูกคนนี้” คุณแม่ยิ้มตาหยี “ถ้างั้นก็รีบขึ้นไปเตรียมตัวเถอะ น้าใกล้จะมารับแล้วด้วย”

“ได้ครับ”

พอยกกระเป๋าลงมารอด้านล่างไม่นาน รถเก๋งสีดำก็มาจอดเทียบหน้าบ้าน

“อ้าวนั้นน้าพิมพ์มาแล้วลูก” คุณแม่เรียกผมที่ตอนนี้กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่

“สวัสดีครับน้าพิมพ์” ผมยกมือไหว้น้าพิมพ์ทันที

น้าพิมพ์ คือน้องคนเล็กที่ไปได้แฟนแล้วแต่งงานอยู่ในกรุงเทพ นานๆ ถึงจะได้กลับมาที อย่างเช่นตอนนี้ก็กลับมารับผมไปอยู่ด้วย เหตุก็เพราะว่าบ้านของน้าพิมพ์นั้นอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ผมจะไปเรียน จะได้ประหยัดเรื่องของค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง และประเด็นสำคัญก็คือจะได้อยู่ในสายตาด้วย

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานโตขึ้นเยอะเลยนะเรา น่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ” น้าพิมพ์เอ่ยขึ้น ไอ้คำแรกก็ฟังดูลื่นหูอยู่หรอกนะ แต่มาเจอคำหลังเนี่ยพูดไม่ต่างจากแม่ผมเลย

“น่ารักอีกแล้วเหรอ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มกลบเกลื่อน “น้าพิมพ์จะให้ผมเอากระเป๋าขึ้นรถเลยไหมครับ”

“เอาขึ้นเลยจ้า เดี๋ยวน้าคุยกับแม่เราอีกพักนึงก็จะไปแล้ว”

“อ๋อครับ”

ผมรีบยกสัมภาระทั้งหมดขึ้นรถ ความจริงมันก็เหมือนกับย้ายบ้านนั้นแหละ เพราะผมขนไปหมดทั้งเสื้อผ้า รองเท้า โน้ตบุ๊ก หนังสือและอื่นๆ อีกพอสมควรจนน้าพิมพ์รีบยกออกแล้วบอกว่าที่นู้นน้าพิมพ์เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วผมจึงยอมเอามาเก็บที่

“ถ้าพร้อมแล้วเราก็ไปกันเถอะ” น้าพิมพ์ขึ้นรถทันที

“เดินทางดีๆ นะลูก” แม่ดึงผมเข้าไปกอด

“ไว้ถึงที่นู้นแล้วผมจะโทรหาอีกทีนะครับ”

“จ๊ะ”

 

การเดินทางเข้ากรุงเทพดูเหมือนมันช่างยาวนานที่สุด เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่เหล่าบรรดารถที่วิ่งไปมาเต็มไปหมด ทั้งเสียงรถ ควันรถ ก็เล่นเอาผมแทบจะเวียนหัว

“ใกล้ถึงหรือยังครับน้า” ผมเอ่ยถามหลังจากที่ตอนนี้รถของเราติดไฟแดงอีกรอบ

“ใกล้แล้วล่ะ วิ่งไปอีก 3 ไฟแดงก็ถึงแล้วล่ะ” น้าพิมพ์พูดอย่างสบายๆ เพราะเจอเรื่องนี้เป็นประจำ ต่างกับผมสิที่เริ่มรู้สึกเซงนิดๆ จนต้องหยิบมือถือขึ้นมากดเล่น

จะว่าไปวันนี้ผมเองก็ยังไม่ได้คุยกับเต็งหนึ่งเลยทั้งที่เมื่อวานนี้สัญญากับผมเอาไว้ว่าจะโทรมาหาอีกที แต่ป่านนี้ก็ยังเงียบกริบ แต่สายตาก็ไปสะดุดกับแอพฯสีเชียวที่มีการแจ้งเตือนเอาไว้

 

เต็งหนึ่ง > ตื่นนอนหรือยังคนดี

เต็งหนึ่ง > ตอนนี้เรากำลังเดินทางมากรุงเทพแล้วนะ

เต็งหนึ่ง > เอาไว้ถ้าถึงแล้วเราจะโทรหานะครับ

เต็งหนึ่ง > (สติ๊กเกอร์รูปหมีส่งจูบ)

 

ผมอ่านข้อความเหล่านั้นถึงเข้าใจได้ว่าทำไมเต็งหนึ่งถึงหายไป แถมข้อความพวกนั้นก็เพิ่งส่งมาเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้วเอง ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากผมเองที่ตอนนี้ก็กำลังเข้ากรุงเทพ

“ต้นน้ำถึงแล้ว” น้าพิมพ์พูดเสร็จก็ขับรถเข้าที่จอดรถของบ้านทันที

ผมรีบเปิดประตูรถยกสัมภาระทุกอย่างลง โดยมีน้าพิมพ์คอยช่วยอีกแรง

“น้าอาร์มไปไหนล่ะครับ” ผมถามหา

“อ๋อ รายนั้นนะเหรอ สงสัยออกไปซื้อของนะ เพราะเมื่อเช้าเห็นบอกน้าว่าของกินเล่นหมด” น้าพิมพ์พูดไปขำไป เพราะสามีของน้าเป็นคนชอบกินขนมมาก ขนาดครั้งก่อนที่ผมมาค้างที่นี่ตอนมาสัมภาษณ์เรียนผมยังตกใจที่เห็นขนมจัดวางเอาไว้เต็มชั้นไปหมด

“แล้วโอ๊ตล่ะครับ” คราวนี้ผมถามหาลูกชายของน้าพิมพ์ แต่ไม่ทันได้คำตอบจากน้าพิมพ์เจ้าตัวก็โผล่ออกมาจากบ้านทันที

“พี่ต้นน้ำมาแล้วเหรอ คิดถึงจังเลย” ไม่พูดเปล่า โอ๊ตวิ่งเข้ามากอดผมเป็นการใหญ่ แถมแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ อาจจะเพราะโอ๊ตเป็นนักกีฬาของโรงเรียนก็เลยทำให้ดูตัวใหญ่กว่าผม เรื่องกำลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง พูดง่ายๆ คือผมแพ้ราบคาบแน่ และไม่น่าเชื่อว่าเด็กอายุ 16 จะตัวใหญ่ได้ขนาดนี้

“กอดแรงไปแล้วมั้ง กระดูกพี่จะหักเอานะ” ผมไอแค่กๆ พลังจากพยายามพูด

“โทษทีพี่ เผลอดีใจมากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรๆ” ผมรีบนวดแขนตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด

“ว่าแต่มีอะไรให้ผมช่วยบ้างพี่” โอ๊ตมองไปรอบๆ

“ถ้างั้นช่วยพี่ยกกระเป๋าขึ้นห้องไปก่อนนะ เดี๋ยวที่เหลือพี่ยกไปเอง” ผมชี้ไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่มีน้ำหนักพอๆ กับตัวผม แถมยังไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่ายัดอะไรมาได้ขนาดนั้น

“ได้เลยพี่ สบายมาก” พูดเสร็จ โอ๊ตก็ยกเข้าไปด้านในทันที

ผมได้แต่หัวเราะตามหลังเบาๆ ก่อนจะเตรียมยกของตรงหน้าต่อ แต่โทรศัพท์ในกระเป๋ากับดังขึ้นเสียงก่อน

“ว่าไง” ผมกรอกเสียงไปทันที

[เราถึงกรุงเทพแล้วนะ ตอนนี้กำลังจะเดินเข้าบ้านแล้ว]

“เราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันเนี่ย กำลังยกของเข้าบ้านเลย”

[จริงเหรอ] มีเสียงเปิดประตูเล็ดเข้ามาในโทรศัพท์จนผมต้องแนบหูให้ใกล้ๆ เพราะเสียงประตูข้างบ้านดังแทรกเข้ามาพอดี [แปบนะ ประตูมันเปิดยากนะ]

“อืม” เป็นจังหวะเดียวที่ผมหันไปมองบ้านข้างๆ พอดี “นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย”

[ต้นน้ำว่าอะไรนะ เราได้ยินไม่ชัดนะ]

ผมพยายามมองให้ชัดว่าคนที่กำลังเปิดประตูรั้วหน้าบ้านใช่คนเดียวกับที่ผมกำลังคุยสายอยู่หรือป่าว แต่ไม่ว่าจะมองยังไงรายละเอียดต่างๆ ก็ตรงกันหมด หน้าตา ทรงผม เหมือนกับเต็งหนึ่งไม่ผิด แถมคนๆ นั้นก็กำลังคุยโทรศัพท์เหมือนกันด้วย

“เดี๋ยวเราไปหา”

[อะไรนะ]

ไม่รอให้คนปลายสายต้องงงนาน ผมรีบเดินไปยังข้างบ้านแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตามากนัก

“เต็งหนึ่ง” ผมเรียกคนตรงหน้าเบาๆ

และแน่นอนคนๆ นั้นหันมา และเป็นคนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด

“ต้นน้ำ”

 





 * 1 Comment 1 Like 1 Favorite = กำลังใจนักเขียนนะครับ *

 

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:
อื้ม ติดตาม ^^

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 6 : เพื่อนบ้าน

 

“ต้นน้ำ”

คนตัวสูงยิ้มกว้างก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด โดยไม่คิดจะถามสักคำเลยว่าผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง หรือขออนุญาตผมก่อนไหมที่ดึงเข้าไปกอดเนี่ย

จะว่าไป รู้สึกว่าวันนี้จะมีแต่คนกอดผมแฮะ

“นี่มันความจริงป่ะเนี่ย” คนตัวสูงยังคงกอดเอาไว้แน่น หรือจะเรียกว่ารัดก็ได้เพราะมันเล่นเอาผมแทบจะหายใจไม่ออก

“ปล่อยก่อนได้ป่ะ หายใจไม่ออก” รู้สึกใกล้จะตายเพราะขาดออกซิเจนซะแล้วเรา

“โทษทีๆ คิดถึงหนักไปหน่อย”

“น่าจะหนักจริงๆ แหละ กอดรัดเราจนแดงเลย” ผมก้มสำรวจแขนตัวเองว่ามีส่วนไหนหักไปบ้าง แต่ก็พบเพียงรอยแดงจางๆ ตรงต้นแขน

“เป็นไงมาไงเนี่ย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“เรามาพักกับน้านะ บ้านข้างๆ เนี่ยแหละ” ผมอธิบาย

“บ้านน้าพิมพ์เนี่ยนะเหรอ” คนตัวสูงถามให้แน่ใจ

“ใช่ ทำไมเหรอ”

“แบบนี้ก็ดีเลยสิ”

คนตัวสูงยิ้มร่า แต่ผมสิยืนงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย ไม่รู้ว่าไอ้คนตรงหน้ามันดีใจอะไร

“ต่อไปเราก็จะเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ถ้างั้นเราฝากเนื้อฝากตัวและหัวใจดวงน้อยๆ ดวงนี้ด้วยนะครับ”

“เยอะนะเรา” ผมหัวเราะคนตรงหน้า

“อ้าวทำไมอ่ะ”

“ฝากเนื้อฝากตัวนะรับได้ แต่หัวใจเนี่ยสิ ไปให้สาวๆ เหอะ”

“ไม่เอาอ่ะ อยากฝากต้นน้ำเป็นคนดูแล” เต็งหนึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์ “ได้ป่ะครับ”

“พอเลยๆ เข้าบ้านไปเลย ไม่อยากคุยด้วยแหละ”

“อะไรกัน เจอหน้ากันยังไม่ถึง 10 นาทีไล่กันซะแล้วเนี่ย” คนตัวสูงทำหน้าน้อยใจ เหมือนกับตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ แต่ในสายตาผมมันขัดหูขัดตามาก ผู้ใหญ่มาทำแบบนี้วอนโดนถีบมากกว่า

“เราจะเข้าไปจัดของนะ เอาไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน โอเค?”

“ก็ได้ครับ ถ้าที่รักต้องการ” เอาเข้าไป ยังหยอดไม่เลิกอีก

“ไปแล้ว” พูดเสร็จผมก็รีบเข้าบ้านไปทันที ปล่อยให้อีกคนยืนยิ้มอยู่คนเดียวต่อไป นี่ถ้ามีคนมาเห็นคงจะได้คิดว่าไอ้คนนี้เป็นบ้าแน่ๆ

พอขึ้นมาบนห้อง ของทุกอย่างถูกขนเข้ามาในห้องนอนจนหมดโดยฝีมือของโอ๊ต แม้ผมจะไม่เอ่ยปากขอ แต่โอ๊ตกลับช่วยผมทุกอย่างจนกระทั่งของใช้ทุกอย่างเข้าที่จนหมด

“ขอบใจมากนะ ช่วยพี่ได้เยอะเลย” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งลงปาดเหงื่อ แม้มันจะไม่เยอะแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเหนียวตัวสุดๆ

“ผมเต็มใจช่วยนะครับ” โอ๊ตนั่งลงข้างๆ “ว่าแต่หิวไหมพี่ เดี๋ยวผมไปหาอะไรมาให้กิน”

“ก็นิดหน่อยนะ แต่ยังก่อนดีกว่า อยากอาบน้ำมากกว่านะ”

“งั้นผมขอตัวเลยแล้วกันพี่จะได้อาบน้ำ แล้วเจอกันตอนมื้อเย็นนะครับ”

“อืม”

 

มื้อเย็นของบ้านกำลังจะเริ่มขึ้น ถ้าสายตาของผมไม่หันไปสะดุดกับใครบางคนที่มานั่งร่วมโต๊ะด้วย แถมยังมานั่งข้างๆ ผม สายตาก็เอาแต่มองผมราวกับจะกินผมแทนข้าว

“มาได้ไง” ผมถามคนข้างๆ ที่มองผมไม่วางตา

“เดินมา” คนตัวสูงตอบเรียบๆ

“เราหมายถึงว่ามากินข้าวที่นี่ได้ไงเนี่ย”

แต่ก่อนที่ผมจะได้คำตอบจากคนข้างๆ กลับเป็นน้าพิมพ์ที่หันมาตอบแทน

“น้าไปชวนเต็งหนึ่งมากินข้าวนะ แต่ไม่นึกว่าเราสองคนจะรู้จักกันด้วย” น้าพิมพ์อธิบาย “เต็งหนึ่งกินเยอะๆ นะ ไม่ต้องเกรงใจน้า ป้าสาบอกน้าไว้แล้วล่ะว่าวันนี้เต็งหนึ่งจะมาก็เลยฝากให้น้าดูแลแทนไปก่อน เห็นบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้นะใช่ป่ะ”

“ใช่ครับ ป้าสาบอกเอาไว้คร่าวๆ แล้ว”

“ต้นน้ำก็กินเยอะๆ ด้วยนะ เดี๋ยวแม่เรามาหาว่าน้าเลี้ยงต้นน้ำไม่ดีอีก ปล่อยให้ลูกเค้ามาอดอยาก” น้าพิมพ์พูดติดตลกจนคนข้างๆ ผมหัวเราะชอบใจใหญ่

ผมได้แต่ถอนหายใจเบาๆ โดยไม่ให้คนอื่นสังเกต จากนั้นก็เริ่มตักกับข้าวกินทันที ดูทุกคนบนโต๊ะจะมีความสุขกับการกินเป็นอย่างมาก น้าพิมพ์กับน้าอาร์มที่ดูจะหวานกันเป็นพิเศษ เพราะทั้งตักกับข้าวให้ พูดหยอกล้อกัน นี่ถ้าไม่มีเจ้าโอ๊ตนั่งอยู่ด้วยผมคงคิดว่าเป็นคู่ใหม่ปลามัน แต่ตอนนี้สิมีลูกโตแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังหวานไม่เลิก ถัดไปก็คือโอ๊ตที่กินไปกดมือถือไปตามประสาวัยรุ่น ซึ่งผมเองก็เข้าใจดี

แต่ที่รำคาญสุดๆ ก็คงจะเป็นคนข้างๆ ผมเนี่ยแหละ เพราะไม่รู้ไปมีความสุขอะไรมาจากไหน เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กินข้าวอย่างมีความสุข หรือบางทีก็ตักกับข้าวมาให้จานให้ผมแล้วบอกให้ผมกิน กว่ามื้อเย็นจะจบลงก็เล่นเอาผมแน่นท้องไปเลย

“พวกเด็กๆ ไปพักผ่อนกันได้เลยนะ เดี๋ยวตรงนี้น้าจัดการเอง” น้าพิมพ์พูดเสร็จก็ยกจานเข้าครัวทันที โดยที่ผมเองก็คอยช่วยยกไปด้วย เพราะไม่อยากยกภาระทั้งหมดให้น้าพิมพ์คนเดียว “ขอบใจมากนะ ไปพักผ่อนได้แล้ว”

“ได้ครับ”

ผมเตรียมท่าจะกลับเข้าห้องนอนแต่ก็ดันมาคนเดิมตามมาติดๆ

“จะทำอะไรนะ”

ผมที่กำลังจะง้างประตูปิดดันมีคนมายืนขวางเสียก่อน แถมไม่ใช่ใครอื่นนอกไปจากเต็งหนึ่ง คนที่จะควรจะกลับบ้านตัวเองไปได้แล้ว แต่กลับมายืนอยู่ตรงนี้ได้

“จะเข้าห้องไง”

“นี่มันห้องนอนเรา”

“ใช่ ห้องนอนต้นน้ำ ทำไมเหรอ”

“ก็มันห้องนอนเรา”

“ให้เราเข้าไปเถอะนะ เรามีเรื่องจะคุยด้วย”

“เรื่องอะไร คุยตรงนี้ก็ได้”

“ไม่เอา จะคุยข้างใน”

ไม่พูดเปล่า เต็งหนึ่งดันผมเข้าไปด้านในแล้วรีบปิดประตูทันที แถมล็อคซะอย่างดีกลัวผมหนี ส่วนผมจะเหรอจะทำไรได้ นอกจากนั่งลงบนเตียงอย่างเซงๆ แล้วมองคนตัวสูงว่าจะทำอะไรต่อ แต่ก็ต้องอึ่งไปพักใหญ่เมื่อคนตรงหน้าโน้มตัวลงมาแล้วหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่

“คิดถึงนะครับ” เต็งหนึ่งพูด “ได้แต่โทรคุยกัน ไลน์หากันมันไม่เหมือนกับเจอเลยนะ ว่าแต่คิดถึงเราป่าว”

“อืม” ผมตอบสั้นๆ

“อืมนี่เนี่ยคือไร คิดถึง หรือไม่คิดถึง”

“ก็อืมไง”

“ไม่เอา ตอบดีๆ คิดถึง หรือไม่คิดถึง”

“คิดถึง” แต่เสียงที่ผมตอบไปนั้นเบาแบบสุดๆ

“อะไรนะ พูดไม่ได้ยินเลย”

“คิดถึงไง พอใจยัง” สุดท้ายผมก็ตะโกนลั่นห้องไป จนคนข้างๆ ยิ้มอย่างพอใจ

“กว่าจะพูดได้นะ แค่คำว่าคิดถึงพูดยากเหรอ แบบนี้ต้องโดนทำโทษนะ”

“อะไร”

ผมเริ่มชักจะไม่ไว้ใจคนข้างๆ แล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน อีกอย่างเราก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เรื่องนิสัยใจคอก็รู้จักกันแค่ผ่านๆ กลัวจะโดนทำมิดีมิร้ายซะด้วยสิ

“ก็แค่” เต็งหนึ่งจับผมกดลงไปบนที่นอนแล้วใช้มือกดข้อมือผมไว้กันดิ้น “อยาก....”

“อยากไร”

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เป็นใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะ อยู่ดีๆ ก็มากดกันแบบนี้ แถมยังมาคร่อมร่างผมเอาไว้อีก สายตาก็มองไปทั่วร่างราวกับจะกินผม

“อยาก...นอนกอดนายนะ”

เหมือนยกภูเขาก้อนใหญ่ๆ ออกจากอก เพราะนึกว่าจะเสียตัวซะแล้ว

แต่ไม่รู้ผมจะคิดไปเองคนเดียวรึป่าวเนี่ย

“คิดว่าเราจะทำแบบนั้นเหรอ” เต็งหนึ่งล้มตัวนอนแล้วดึงผมเข้าอ้อมกอด “เราไม่ทำแบบนั้นหรอก ถ้านายไม่ยินยอมเราก็ไม่ทำหรอก สู้สมยอมกันทั้งสองฝ่ายดีกว่าเยอะ”

“คิดไกลขนาดนั้นเลย”

“ก็ใช่นะ การได้อะไรมาง่ายๆ มันไม่ใช่เรานะ อีกอย่างเราให้เกียรติต้นน้ำนะ เรารู้ว่าเราสองคนเพิ่งจะเริ่มคุยกันได้ไม่นาน ดังนั้นเรื่องแบบนั้นสำหรับเราตัดทิ้งไปได้เลย”

เต็งหนึ่งปล่อยผมแล้วเขยิบตัวไปนอนข้างๆ แถมเอาแต่มองเพดานห้องเหมือกนกับกำลังคิดอะไรอยู่

“ต้นน้ำ เราดีใจนะที่ให้นายเปิดใจให้เรานะ”

เต็งหนึ่งหันมามองผม โดยที่สายตาของเราห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นต์ ซึ่งยอมรับเลยว่าผมรู้สึกเขินมาก มันเหมือนกับว่าดวงตาคู่นั้นจะมองลึกเข้าไปในความรู้สึกของผมแล้วรับรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ไม่คิดว่ามันจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ได้

“ขอจูบได้ไหม”

เต็งหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ว่าอะไรนะ” ผมถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“เราขอจูบได้ไหม”

“เอ่อ”

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ริมฝีปากบางก็ก้มลงมาสัมผัสกับรีฝีปากผมอย่างรวดเร็ว มันไม่ต่างจากการขโมยจูบ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกดีกับมันก็ไม่รู้

“ขอโทษทีอดใจไม่ไหวนะ” เต็งหนึ่งหัวเราะเบาๆ แต่ผมนี่สิหน้าร้อนฉ่าไปเป็นที่เรียบร้อย

“คราวหน้าคงไม่ต้องขอแล้วมั้ง” ผมหัวเราะแก้เขินบ้าง

“พูดจริงดิ”

“ตลกแหละ” ผมชกไหล่คนข้างๆ ไปทีนึง “กลับบ้านไปเลย เราอยากพักผ่อนแล้ว”

“ไล่กันอีกแล้วนะ” เต็งหนึ่งทำหน้าน้อยใจที่โดนผมไล่ แต่ทำไมกลับรู้สึกตลกกับท่าทางนั้น

“เต็งหนึ่ง...”

“ก็ได้ครับ เอาไว้เรามาหาใหม่นะ หรือจะไปหาเราดี ใกล้ๆ แค่นี้”

“ไม่รู้ รู้แต่ว่า ไปได้แล้ว”

“รู้แล้วครับ”

สุดท้ายเต็งหนึ่งก็ยอมถอยทัพแล้วกลับบ้านตัวเองไป แต่ไม่ถึง 5 นาทีก็ส่งไลน์มาหาอีกเป็นชุด แถมแต่ละข้อความก็ทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้

 


อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นต์ให้กำลังใจกันบ้างนะ ไม่เม้นต์ระวัง จู๊ดๆ นะ 555

 

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เต็งหนึ่ง ต้นน้ำ  :mew1: :mew1: :mew1:
ต้นน้ำ อย่าได้แคร์หมอก ตัดใจจากคนที่ไม่แคร์เราซะ
คบเต็งหนึ่งเลย รักคนที่เขารักเราดีกว่า
ถ้าหมอกย้อนมาก็อย่าได้สนใจ เชิดหน้ามีความสุขไปเลย  :hao3: :hao3: :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
จีบกันไวมากกกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 7 : แฟนเก่า

 

ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปไวมาก เพราะเผลอแป๊บเดียวผมก็จะต้องไปกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีก ซึ่งก็คือการเรียน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมตรงที่ผมจะได้เป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย และพร้อมจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่พอได้คิดไปคิดมา รู้สึกว่าผมจะลืมใครบางคนไป

“หมอก” ใช่ ผู้ชายคนนี้

ผมเผลอเอ่ยชื่อนี้ออกมาเบาๆ คนนี้คือคนที่ผมจะต้องกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง ทั้งที่เอ่ยปากไปว่าต่อไปนี้จะเป็นคนแปลกตากัน ทำไมผมถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ

“นั่งทำอะไรอยู่เหรอ” ผมที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่หน้าบ้านเป็นอันต้องสะดุดแล้วหันไปมองยังต้นเสียง

เต็งหนึ่งรีบปิดประตูบ้านแล้วเดินตรงมาหา

“นั่งด้วยได้ป่ะ” แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบเจ้าตัวก็นั่งทันที แล้วจะถามทำไมเนี่ย

“นั่งแล้วแบบนี้ไม่ต้องขอแล้วมั้ง”

“นั่งตรงนี้คงไม่ต้องขอหรอก แต่ถ้าไปนั่งในหัวใจต้นน้ำเนี่ยเราต้องขอสิ”

ผมรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวเพราะคำพูดของคนข้างๆ ยอมรับว่าพักนี้คนตัวสูงชอบพูดจาหวานเลี่ยน แต่ไม่คิดว่าจะมาหยอดใส่ทุกวันแบบนี้ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เต็งหนึ่งก็เข้าออกบ้านนี้เหมือนบ้านตัวเอง แต่ไม่หนักเท่ากับเข้าห้องนอนของผมด้วย

“เลิกพูดเลย แต่ละคำฟังไม่ได้”

“ทำไมล่ะ เขินเหรอ”

“เขินกับผีสิ เราผู้ชายนะเว้ย”

“ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันนะเหรอ”

“เออ พอใจยัง” ผมเผลอใส่ความหงุดหงิดลงไปในน้ำเสียงด้วย จนคนข้างๆ มองด้วยสายตาแปลกๆ

“โกรธเราเหรอ”

“.....”

ผมไม่พูดอะไร ได้แต่มองไปด้านหน้า

“ขอโทษด้วยแล้วกันนะถ้าทำให้รู้สึกไม่สบายใจ”

เต็งหนึ่งยืนขึ้นแล้วตบบ่าผมเบาๆ

“ถ้างั้นเราไปก่อนนะ มีธุระพอดี ทีแรกว่าจะชวนไปด้วยแต่ดูอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ไม่ชวนดีกว่า”

พูดเสร็จคนตัวสูงก็หันหลังแล้วเดินจากไป

ผมได้แต่มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับไป

นี่ผมทำเรื่องแย่ๆ ลงไปแล้วสินะ

 

รุ่งเช้าวันใหม่มาถึง แน่นอนวันนี้ผมเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลังจากแต่งตัวเสร็จก็รีบออกมากินข้าวกับสมาชิกในบ้าน ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกันหมดแล้ว

“แต่งชุดนักศึกษาแล้วดูน่ารักนะเรา” น้าพิมพ์ทักผมทันทีหลังจากที่เดินเข้ามา

“จริงด้วย วันนี้พี่ต้นน้ำของผมน่ารักเป็นพิเศษ” โอ๊ตเองก็ร่วมกับเค้าด้วย

“พี่หล่อบ้างเหอะ” ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ยอมรับกับคำพูดของคนอื่น เพราะไม่ว่าจะพูดแก้ต่างยังไง สุดท้ายผมก็น่ารักในสายตาของทุกคนอยู่ดี

“ดูทำหน้าเขา” น้าพิมพ์เอ่ยแซวหลังจากยกจานอาหารสุดท้ายมาวางบนโต๊ะ

“ก็มันน่าน้อยใจนะครับ ชมแต่น่ารักอย่างเดียว”

“เอาน่าๆ น้าว่าเรารีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะไปเรียนสายนะ วันนี้เปิดเทอมวันแรกด้วยไม่ใช่เหรอ”

น้าพิมพ์เตือนผม ซึ่งผมเองก็คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น จึงรีบตักข้าวทันที แต่ก็คงไม่ทันโอ๊ตที่ตอนนี้กินข้าวพร่องไปครึ่งจานแล้ว ไม่รู้จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น เพราะรีบตักใส่ปากตลอดแทบจะไม่ได้เคี้ยวด้วยซ้ำไป

“มองอะไรเหรอพี่ ไม่เคยเห็นคนหล่อเหรอ” ดูมันพูดเข้า ไม่อายปากบ้างเลย

“มองคนตะกละนะ กินแบบนี้ระวังติดคอนะ” ไม่ขาดคำ โอ๊ตก็ไอแค่กๆ แล้วรีบคว้าแก้วน้ำมาดื่มทันทีเพราะดันกินข้าวคำใหญ่ไป

“พี่แช่งผมเหรอเนี่ย ดูสิ เกือบไม่รอด”

“ป่าวสักหน่อย” ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วหันมาสนใจข้าวตรงหน้าแทน

“ผมอิ่มแล้วครับ ถ้างั้นผมไปเรียนก่อนนะ” โอ๊ตบอกลาทุกคนแล้วรีบออกจากบ้านไปทันที

“แล้วเราล่ะจะไปมหา’ลัยยังไงเนี่ย” น้าพิมพ์เอ่ยถาม

“ก็ว่าจะไปรถเมล์เอานะครับ ประหยัดดี”

“เอางั้นเหรอ”

“ครับ”

“ตามใจแล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรให้น้าช่วยก็บอกนะ”

“แค่นี้ก็รบกวนเยอะแล้วครับ แต่ถ้าต้องการจริงๆ ผมจะบอกครับ”

“ความจริงน้าก็ว่าจะถามเราเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปพร้อมกับเต็งหนึ่ง ในเมื่อเราสองคนเรียนอยู่ที่เดียวกัน เต็งหนึ่งน่าจะช่วยเราได้บ้างเรื่องเส้นทางไปกลับนะ”

พอน้าพิมพ์พูดเรื่องนี้ ผมก็ถึงกับจุกไปเลย ผมไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเต็งหนึ่งเลย เอาเข้าจริงๆ มีแต่เต็งหนึ่งคนที่เดียวที่รู้เรื่องของผมเยอะกว่าผมซะอีก แต่ทำไมผมถึงไม่คิดจะรู้เรื่องของเขาเลย

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมลองโทรถามดูนะครับ”

พูดเสร็จผมก็รีบกดโทรออกไปทันที และไม่นานปลายสายก็รับ

[ว่าไงครับที่รัก]

“แต่เช้าเลยนะ”

[นิดนึง]

“อยู่ไหนเหรอ”

[กำลังไปมอนะ นี่ก็ใกล้จะถึงแหละ]

“อ้าว ไปแล้วเหรอ”

[อืม ทำไมเหรอ]

“ป่าวๆ ไม่มีอะไร งั้นแค่นี้แหละกัน”

[ได้ครับ แล้วเจอกันนะครับ ที่รัก]

ผมรีบกดวางทันทีเพราะไม่อยากฟังคำพูดเลี่ยนๆ

“ว่าไงบ้าง” น้าพิมพ์หันมาถามหลังจากที่ผมคุยโทรศัพท์เสร็จ

“จะถึงแล้วครับ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมไปเองได้ ครั้งก่อนผมยังไปได้ ครั้งนี้ก็คงไม่ยากเท่าไหร่”

“ถ้าไงก็เดินทางดีๆ นะ” น้าพิมพ์พูดด้วยความเป็นห่วง

ผมยิ้มตอบเล็กน้อยแล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นสะพาย เตรียมพร้อมผจญภัย

 

จะว่าไปการเดินทางแค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับผม เพราะแค่เดินออกจากซอย ขึ้นรถเมล์ หรือไม่ก็รถไฟฟ้า ไม่กี่ป้ายก็มาถึงมหา’ลัยแล้ว แต่มันจะยุ่งยากก็ตรงที่ว่าผมจะหาตึกเรียนเจอหรือป่าว

แน่นอนว่าสำหรับผมก็ต้องมีถามนักศึกษาคนอื่นๆ เอาบ้าง ใครจะหาว่าผมบ้านนอกก็ยอมแหละ ยังดีกว่าที่ตัวเองจะเข้าห้องเรียนช้า แล้วโดนเช็คสายด้วย แบบนั้นผมคงไม่เอาด้วยหรอก ยิ่งคาบแรกแบบนี้ด้วย คงไม่อยากให้มีประวัติแย่ๆ ตั้งแต่ต้นเทอม

พอมาถึงห้องเรียนสิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือหาที่นั่ง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเก้าอี้ส่วนใหญ่ถูกจับจองไปหมดแล้ว อาจจะเพราะเด็กคณะบริหารมีจำนวนมาก ทำให้นักศึกษาที่เข้าเรียนดูจะเยอะเป็นพิเศษ แถมนักศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญไปกว่าการหาที่นั่งสำหรับผม หลังจากมองหาอยู่สักพักผมก็เจอเพียงที่เดียว แถมที่นั้นคนนั่งข้างๆ ดันเป็นคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้

“ไง” หมอกยกมือทักทายผม

“อืม” ผมตอบไปสั้นๆ แล้วนั่งลง

“ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ ฮึ”

“คิดว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ที่จะต้องทักทายอะไรให้มันมากมาย” ผมตอบ ซึ่งหมอกเองก็ได้แต่ยักไหล่เชิงเข้าใจ ก่อนจะหันไปสนใจหน้าห้อง เพราะตอนนี้อาจารย์เข้ามาสอนแล้ว

ดูเหมือนคาบแรกจะไม่ค่อยมีอะไรมาก นอกจากไปอาจารย์จะเล่านู้นนี่ให้ฟังก่อนเข้าบทเรียนซึ่งมันก็ไม่ถือกับยากสำหรับผม แต่ก็จะมีงงเล็กน้อยเพราะตอนนี้ผมยังไม่มีหนังสือเรียน ได้แต่จดตามที่อาจารย์สอนและจดบนกระดาน

“จดทันไหม” ระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาจดก็มีอันต้องสะดุดเพราะคนข้างๆ

“ทำไม” แม้จะไม่อยากคุยสักเท่าไหร่ แต่ก็จำต้องเอ่ยออกไปเบาๆ

“เราจดไม่ทันนะ”

“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร แล้วเริ่มจดที่อาจารย์สอนต่อ

กว่าจะหมดคาบก็เล่นเอาเมื่อยมือแบบสุดๆ อาจจะเพราะไม่ได้จับปากกานานก็เลยทำให้รู้สึกแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่คาบนี้อาจารย์สอนไม่เยอะ ไม่งั้นผมคงได้มือระบมเป็นแน่ แต่อาจารย์ก็แนะนำให้ไปหาซื้อหนังสือ หรือถ้าอยากประหยัดก็ขอยืมหนังสือจากรุ่นพี่เอา

“เมื่อยชะมัด”

ผมรีบวางปากกาแล้วนวดมือตัวเองเบาๆ แต่กลับมีมือหนามาคว้ามือผมไปนวดแทน

“ทำไร”

“ก็นวดไง” หมอกตอบแล้วนวดต่อ

“มือเรา เรานวดเองได้”

“อะไรกัน เมื่อก่อนเรานวดให้ออกจะบ่อย ทำไมตอนนี้ไม่ให้นวดซะแล้วล่ะ”

หมอกพยายามพูดเหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิม แต่สำหรับผมเจ็บแล้วจำ ในเมื่อผมเป็นฝ่ายโดนทิ้ง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะดีด้วย

“แต่ตอนนี้ไม่ได้”

ผมชักมือกลับทันที

“เพื่อนๆ ทุกคนฟังทางนี้หน่อย” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าห้องเรียกความสนใจจากทุกคนไป “ช่วงบ่ายเป็นที่รู้กันว่าพวกเราทุกคนไม่มีเรียน รุ่นพี่เลยให้พวกเราไปรวมตัวกันที่หน้าคณะ ขอให้ไปตรงต่อเวลาด้วยนะครับ”

เกิดเสียงโฮ่ร้องไม่พอใจกันไปหลายคน รวมถึงผมเองด้วย

“ถ้างั้นเราไปกินข้าวกันนะ จะได้รีบไปรวมตัวกับเขา” หมอกสะกิดผมเป็นการใหญ่

“...” ผมมองด้วยหางตา แต่ไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นก็รีบเก็บข้างของทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องทันที โดยไม่สนใจเลยว่าจะมีคนเดินตามมาหรือป่าว

“รอเราด้วยสิ”

 

 



* อย่าลืมคอมเม้นต์ ติชม และให้กำลังใจกันบ้างนะครับ *






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
หมอกอยากรีเทิร์นเหรอ :hao4: :hao4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :เฮ้อ:

กลับมาทำไมมมมมม

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 8 : รับน้อง

 

“ซวยแล้วไง”

ผมบ่นกับตัวเองที่ตอนนี้กำลังวิ่งไปยังหน้าคณะ แล้วตอนนี้มันก็เหลืออีกแค่ 5 นาทีก็จะถึงเวลาที่รุ่นพี่นัด แล้วถ้าผมไปสายตั้งแต่ครั้งแรกไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง

“รอเราด้วยสิต้นน้ำ” หมอกตะโกนตามหลังผมมา แต่ใครจะไปรอล่ะในเมื่อตัวเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน

“รอก็บ้าแล้ว” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วเร่งความเร็วของตัวเองต่อ

แต่ดูเหมือนว่า 5 นาทีสำหรับผมมันคงจะไม่พอ เพราะตอนนี้รุ่นพี่ที่หน้าคณะกำลังเริ่มทำกิจกรรม แถมยังกำลังเช็คชื่ออยู่ด้วย

“อ้าวน้อง 2 คนที่เพิ่งมานะ มายืนตรงนี้เลย” รุ่นพี่คนหนึ่งเรียกพวกเราไปทันทีที่เรามาถึง

“ครับ”

ผมจำต้องเดินไปยืนด้านหน้าตามที่รุ่นพี่บอก พอมองไปรอบๆ ก็เจอแต่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่มองมา ราวกับผมไปทำอะไรผิดร้ายแรงมา

“พี่นัดพวกน้องกี่โมง”

“บ่ายโมงครับ” ผมตอบเสียงดัง

“แล้วตอนนี้มันกี่โมง”

“บ่ายโมงสามนาทีครับ” ผมตอบไปตามที่ตัวเลขในนาฬิกาบอกเป๊ะๆ

“เกินมา 3 นาที ถูกไหม” รุ่นพี่ยังพูดเสียงดังเหมือนเดิม ไม่รู้จะว่าไปเก็บกดมาจากไหน

“ครับ”

“3 นาทีสำหรับน้องอาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่สำหรับพี่พวกมันสำคัญมาก”

รุ่นพี่ตะโกนเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน โดยเฉพาะผมเองที่ตอนนี้รู้สึกว่าขี้หูจะเริ่มเต้นระบำได้แหละ ไม่รู้ว่าจะมาตะโกนข้างๆ ทำไมก็ไม่รู้

“สำหรับน้องที่มาสายวันนี้ พี่จะมีบทลงโทษน้องนะครับ แต่ตอนนี้ไปนั่งรวมกับเพื่อนๆ ก่อน เสร็จกิจกรรมสำหรับวันนี้ค่อยมาหาพวกพี่อีกที เข้าใจไหมครับ”

“ครับ” ผมกับหมอกแยกกันไปหาที่นั่ง

“ก่อนอื่นพี่ขอแนะนำตัวก่อนนะ พี่ชื่อก้อง พี่จะเป็นคนดูแลกิจกรรมการรับน้องนี้ตลอดเดือนนี้ และพี่คนอื่นๆ อีกหลายคน เดี๋ยวนี้จะให้แต่ละคนมาแนะนำตัวอีกที” พี่ก้องเรียกเพื่อนคนอื่นๆ ออกมา

“สวัสดีครับทุกคน พี่ชื่อข้าวโอ๊ตนะครับ” คนตัวสูงกับผิวขาวๆ ออกมาแนะนำตัว

“พี่ชื่อพี่น้ำฝนนะคะ เรียกพี่ฝนก็ได้” คราวนี้เป็นพี่ผู้หญิงผมยาวน่ารัก

“พี่ชื่อฟ้าจ๊ะ” พี่คนนี้ดูออกแนวเปรี้ยวนิดๆ

“พี่ชื่อเต็งหนึ่งครับ”

พอหมดพี่ผู้หญิงออกมาแนะนำตัวผมก็เลิกสนใจด้านหน้า แต่ก็ต้องสะดุดกับน้ำเสียงของที่พูด แถมยังชื่อที่ผมรู้สึกคุ้นเป็นพิเศษ และพอเงยหน้ามามองก็เป็นอันต้องสบตากันพอดี

“ฝากเนื้อ ฝากตัว แล้วก็...” เต็งหนึ่งเล็งมาทางผม “...ฝากหัวใจด้วยนะครับ”

สิ้นคำลงท้าย ก็เกิดเสียงโห่ลั่นจากรุ่นพี่

“น้อยๆ หน่อยมึง หยอดรุ่นน้องเลยเหรอวะ”

พี่ก้องตบหัวเต็งหนึ่งไปหนึ่งทีข้อหาหมั่นไส้ แต่ถ้าผมเป็นพี่ก้องคงไม่ตบแค่ทีเดียวหรอก แถมยังหันมายักคิ้วกับผมอีกเล่นเอาผมเหวอไปเล็กน้อย ทำไมเต็งหนึ่งถึงไม่เคยบอกผมว่าเรียนคณะเดียวกัน แต่จะโทษเต็งหนึ่งก็ไม่ได้ เป็นผมเองต่างหากที่ไม่เคยถามเลย

จากนั้นพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ก็ผลัดกันออกมาแนะนำตัวต่อ ผมเองก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะจุดสนใจของผมตอนนี้คือคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล แถมยังหันมายิ้มให้ผมเป็นระยะๆ อีกด้วย

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็แนะนำตัวกันหมดแล้ว ต่อไปก็ถึงตาน้องๆ กันบ้าง เริ่มจากด้านหลังก่อนเลยครับ”

พี่ก้องพูดจบ ผมก็ลุกขึ้นยืนทันที นั่นก็เพราะตอนนี้ผมอยู่ด้านหลังสุด

“สวัสดีครับพี่ๆ และเพื่อนๆ ทุกคน ผม วรินทร์  วรเวชพาณิชย์ ชื่อเล่น ต้นน้ำ ผมมาจากจังหวัดนครนายกครับ” ผมแนะนำตัวอย่างเสียงดังฟังชัด พี่ก้องเองก็พยักหน้าเชิงพอใจ

“ผมมีคำถามเพิ่มสำหรับคุณนะ”

“ครับ?”

“ตอนนี้น้องโสด หรือว่ามีแฟนแล้วครับ”

ผมไม่รู้ว่าพี่ก้องต้องการอะไรจากคำถามนี้ แต่พอมองไปยังเต็งหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล กลับยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเหมือนกับให้ผมบอกไปตามตรง แต่พอหันไปมองด้านข้างกลับเจอกับหมอกที่กำลังรอลุ้นคำตอบจากผมอยู่เช่นกัน

“ว่าไงครับ”

“มีแฟนแล้วครับ”

“ต่อไปน้องคนข้างๆ” หมอกลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ผม ภาคิน เนตรวารี ชื่อเล่น หมอก มาจากนครนายกเหมือนกันครับ” หมอกแนะนำตัว

“น้อง 2 คนมาจากที่เดียวกันสินะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าพี่คิดบทลงโทษสำหรับน้อง 2 คนเอาไว้แล้วล่ะ” พี่ก้องยิ้มที่มุมปาก “พี่จะให้น้อง 2 คน เป็นคู่จิ้นกันตลอดช่วงรับน้องนี้”

“ห๊ะ คู่จิ้น” ผมมองหน้าพี่ก้องอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งไม่ต่างจากเต็งหนึ่งที่เหมือนจะไม่พอใจเช่นกัน

“ได้ครับ ผมยินดี” หมอกตอบกลับเสียงดังจนเพื่อนๆ พากันเฮลั่น

“เอาเป็นว่าตามนั้น พวกน้องนั่งลงได้”

“มันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ” เต็งหนึ่งเดินมาถามพี่ก้อง แม้จะพูดกันเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน “ทำไมไปแกล้งน้องแบบนั้นล่ะ น้องเค้ามีแฟนแล้วนะ”

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ทำไมต้องเดือดร้อนแทนด้วยเนี่ย หรือว่าเป็นแฟนกับน้องมันวะ”

“เอ่อ...” ดูเหมือนเต็งหนึ่งจะไม่ได้พูดไรต่อ แล้วเดินกลับไปยืนจุดเดิม แล้วมองผมด้วยสายตาผิดหวัง

“เอาล่ะ น้องคนต่อไปแนะนำตัวเลยครับ”

พี่ก้องดำเนินกิจกรรมต่อ แต่ผมกลับนั่งจมอยู่กับความคิด ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับผมอีก แล้วอีกอย่างนี่มันบทลงโทษประเภทไหนกัน ให้เรามาเป็นคู่จิ้นกัน ปกติเคยเห็นแต่โดนล่ามให้ไปไหนด้วยกัน หรืออาจจะเป็นเขียนป้ายตัวใหญ่ๆ หนักสุดก็คงเป็นเบ้รุ่นพี่

พอคนสุดท้ายแนะนำตัวเสร็จก็ถึงเวลาจับสลากพี่รหัสน้องรหัสกัน โดยเริ่มทยอยลุกไปจับทีละคน จนกระทั่งถึงผม แน่นอนว่าใบที่ผมจับมาได้นั้นมันเป็นแค่เพียงโค้ชลับ ที่เราจะต้องออกตามหาจนกว่าจะเจอภายใจระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าถึงเวลาแล้วเรายังหาไม่เจอก็ต้องโดนทำโทษ

‘พี่ชายขายาว’

ผมยืนงงกับคำใบ้ตรงหน้า ยอมรับตามตรงว่าคิดไม่ออกจริงๆ แต่มันก็ดีตรงที่บอกว่าเป็นผู้ชาย เพราะอย่างน้อยๆ ก็หาได้ไม่ยาก เนื่องจากรุ่นพี่มีผู้ชาย 5 คน แถมแต่ละคนก็ดูไม่สูงมากนัก เว้นแต่คนหนึ่งที่ผมรู้จักดีซึ่งก็อยู่ในเกณฑ์คำใบ้นี้พอดี

พอเสร็จกิจกรรมทุกอย่างรุ่นพี่ก็ปล่อยพวกเราให้กลับบ้านกัน ผมที่คิดว่าจะไม่ไปไหนต่อก็หันหลังเตรียมจะเดินไปด้านนอกเพื่อกลับบ้าน แต่กับโดนมือหนารั้งเอาไว้ก่อน

“คุยด้วยกันหน่อยสิ” เต็งหนึ่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีจนผมชักไม่แน่ใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ได้”

เต็งหนึ่งพาผมไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนบริเวณใกล้ๆ กับอาคารเรียน แถมบรรยากาศตรงนี้ก็ช่างเป็นเย็นสบายเหมาะสำหรับการงีบนอนจริงๆ

“ว่าแต่มีเรื่องอะไรเหรอ” หลังจากนั่งลงเสร็จผมก็เอ่ยปากถามไปทันที

“คือ..”

“หืม?”

“เราขอโทษนะที่ไม่ได้บอกนายที่เราเรียนที่เดียวกันนะ” เต็งหนึ่งอ่ำอึ่งอยู่พักใหญ่กว่าจะพูดออกมาได้ “แล้วก็ขอโทษแทนไอ้ก้องมันด้วยที่ลงโทษนายแบบนั้นนะ”

“ช่างมันเถอะ เราผิดเองแหละที่เข้าสายเอง” ผมหัวเราะแห้งๆ แก้เก้อ ทั้งที่ความจริงก็ไม่ค่อยโอเคกับมันเท่าไหร่หนัก

“แล้วนี่จะกลับบ้านเลยใช่ป่ะ”

“อืม” ผมพยักหน้าเล็กน้อย

“กลับพร้อมกันไหม”

“แล้ว?” ผมชี้ไปอีกด้านที่ตอนนี้บรรดารุ่นพี่ต่างกำลังคุยงานกันอยู่ เต็งหนึ่งทำหน้าลังเลอยู่พักใหญ่

“เดี๋ยวเรามา”

ว่าเสร็จ เต็งหนึ่งก็เดินไปทางนั้น ยืนคุยได้สักพักเต็งหนึ่งก็เดินกลับมา

“เรียบร้อย กลับได้”

“สบายดีแท้นะคุณรุ่นพี่”

ผมหัวเราะเบาๆ แต่เต็งหนึ่งกลับทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินนำผมไปทันที ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร แต่อยู่ๆ เต็งหนึ่งก็ดึงมือผมไปแล้วกระชับมันจนแน่น

“ทำไร” ผมพยายามชักมือกลับ

“ก็แค่อยากทำแบบที่คนรักทั่วไปเขาทำกันนะ” เต็งหนึ่งยิ้มให้เล็กน้อย

ผมไม่พูดอะไรต่อ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ๆ กัน

“ต้นน้ำ” ผมหันไปตามเสียงเรียก จนเผลอปล่อยมือออกจากกัน

“ว่า?” พอได้เห็นคนที่เรียกผมเอาไว้ ผมก็เลยเลือกที่เอ่ยคำสั้นๆ ออกไป

“จะกลับบ้านแล้วเหรอ” หมอกถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่คนข้างๆ ผมเนี่ยสิ มองผมตาขวางเลย

“ใช่” ผมพยักหน้าเบาๆ

“เรากลับด้วยคนสิ”

“ไม่” คำตอบนี้เป็นเต็งหนึ่งเองที่ตอบแทน

“ผมถามต้นน้ำครับ ไม่ได้ถามรุ่นพี่” หมอกขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อโดนคนที่ไม่รู้จักมาขัดแบบนี้ “อีกอย่างผมกับต้นน้ำก็เป็นแฟนกันน่าทำให้เข้าใจอะไรง่ายขึ้นนะครับ”

เต็งหนึ่งยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ

“คุณมันก็แค่แฟนเก่า อย่าใช้คำว่าแฟนกับคนที่คุณทิ้งเขาไป ส่วนแฟนของต้นน้ำตอนนี้...” เต็งหนึ่งดึงผมเข้าไปใกล้ๆ “...ก็คือผมเอง เข้าใจนะครับ”

“ต้นน้ำ” หมอกทำหน้าไม่เข้าใจ และหวังว่าผมจะให้คำตอบ

“ขอโทษนะ”

“ต้นน้ำ มันไม่จริงใช่ไหม”

“...”

ผมไม่มีอะไรจะพูดต่อ นอกจากเดินไปจากจุดนั้น เต็งหนึ่งเองก็เหมือนจะโกรธกับเรื่องเมื่อกี๋อยู่นิดหน่อย แต่พอหันมามองผมก็แกล้งทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน

“ยิ้มอะไร”

“ป่าว”

“แล้วเมี่อกี๋เป็นอะไร หึงเหรอ” ผมแกล้งถามไป แต่ไม่คิดว่าคำตอบที่ได้มาจะทำเอาผมหน้าร้อนช่า

“ถ้าตอบว่าใช่ จะให้จูบป่ะ”

“ตลกแหละ”

“ไม่ตลกนะ เราพูดจริง”

“พอเลย”

 

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่ก้องเล่นไม่รู้เรื่องเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
ตอนที่ 9 : คู่จิ้น

 

ตลอดอาทิตย์ผมต้องเข้ากิจกรรมรับน้องตลอด โดยจะโดนพี่ก้องคุมเข้มเป็นพิเศษ แต่จะหนักสุดก็ต้องที่ผมกับหมอกต้องโดนทำโทษอะไรแปลกๆ ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ยืนสาธิตทำอะไรร่วมกัน หรือทำอะไรพร้อมๆ กัน ให้สาววายในคณะได้จิ้นกัน ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีสำหรับผมแต่บางทีผมก็รู้สึกอึดอัดบ้างเพราะเต็งหนึ่งคอยมองอยู่ตลอดเวลา

“พวกน้องทำดีมากนะ รู้ไหมมีคนชอบน้องๆ กันเยอะเลย”

พี่ก้องเดินมากระซิบบอกพร้อมกับโชว์หน้าจอมือถือ ในนั้นเป็นรูปผมกับหมอกที่กำลังทำท่าป้อนขนมให้กัน แต่เป็นการป้อนแบบปากต่อปาก แถมรูปดังกล่าวยังถูกอัพขึ้นเพจของคณะ หนักสุดก็คงจะเป็นยอดไลท์กับคอมเม้นต์ที่เยอะหลายพันข้อความ จนผมเองยังอดอึ้งไม่ได้

“ถึงว่าพักนี้มีแต่คนมอง” หมอกเอ่ยขึ้นเบาๆแม้ความจริงผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันแต่ไม่ค่อยได้สนใจกับมันเท่าไหร่นัก

“ความจริงพี่ก็ว่าจะไม่ทำโทษพวกเราแล้วล่ะ แต่เห็นกระแสยังดีอยู่ ก็ทนทำอีกหน่อยแล้วกันถือว่าช่วยๆ กันนะ” พี่ก้องตบบ่าผมเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับพี่ แค่นี้สบายมาก”ผมยิ้มให้พี่ก้อง

พอมาดูๆ แล้วพี่ก้องเองก็ไม่ใช่คนหน้ากลัวอะไรเหมือนอย่างที่คิด ต่อหน้าทุกคนก็อาจจะต้องเข้มงวดไปตามระเบียบเพื่อคุมให้รุ่นน้องได้ทำตามกฎตามระเบียบกัน แต่พอมาได้สัมผัสกับตัวจริงกลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจรุ่นน้อง บางทีก็ยังเผยมุมน่ารักๆ มาให้ได้เห็นบ้าง ถึงไม่มากก็ตาม แต่ผมก็เข้าใจเพราะมันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง

“วันนี้พวกน้องๆ กลับบ้านกันได้นะครับ พรุ่งนี้เจอกันที่นี่เวลาเดิมนะครับ เข้าใจไหม” พี่ก้องเน้นคำสุดท้ายจนหลายๆ คนเผลอสะดุ้งกันไปตามๆ กัน สงสัยจะยังไม่ชินกับน้ำเสียงพี่ก้อง

“เข้าใจครับ/ค่ะ” ทุกคนรีบตอบกลับเป็นเสียงเดียว

“ดีมากครับ ถ้างั้นเชิญครับ”

จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกัน ผมเองก็เดินแยกไปอีกทาง โดยมีคนเดินตามมาติดๆ

“จะตามเราไปถึงไหนเนี่ย” ผมจำต้องหันไปเผชิญหน้ากับหมอกแบบตรงๆ เพราะหลังจากวันนั้นหมอกเองก็รู้ว่าตอนนี้ผมมีแฟนใหม่แล้ว แต่ทำไมยังทำตัวแบบเดิม

“ต้นน้ำ เราขอโทษ” หมอกพยายามรั้งผมเอาไว้ ทั้งที่มันรู้ไร้ประโยชน์

“พอเถอะ เราเหนื่อยแล้วนะ” ผมสะบัดมือนั้นออกไปจากแขน

“แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอ”

“เพื่อนงั้นเหรอ…”

ผมได้แต่มองหน้ามองเพื่อหาคำตอบ แต่มันก็คงเป็นได้ยาก

“...แต่ขอโทษนะ เราไม่เคยรู้จักกัน”

สิ้นคำผมก็เดินหนีหมอกไปทันที และไม่จำเป็นที่จะต้องหันไปมองด้วยว่าหมอกจะตามมาอีกไหม แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้ยินเสียงเดินตามมา

 

ผ่านไปไม่กี่วัน กระแสคู่จิ้นระหว่างผมกับหมอกดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ชื่นชอบของบรรดาสาววายทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายหลายคนเองก็ชอบเหมือนกัน เพราะเวลาที่ผมเดินอยู่ภายในคณะ หรือแม้แต่โรงอาหารกับเพื่อนๆ ก็มักจะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วย หรือถามหาหมอกจากผม

“น้องต้นน้ำใช่ไหม น่ารักกว่าในรูปอีกนะเนี่ย” เสียงของพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม

“ครับ” ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร

“พี่ชื่อแอมนะ พี่เป็นแอดมินเพจของคณะเราเอง คือจะว่าอะไรไหมถ้าพี่จะขอให้ต้นน้ำกับหมอกมาถ่ายรูปลงเพจให้หน่อยนะ” พี่แอมแนะนำตัวพร้อมบอกถึงวัตถุประสงค์ที่เข้ามาหาผมทันที

“เอ่อ..คือว่า” ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี

“ได้ครับ พวกผมยินดีครับ” เป็นหมอกที่เดินมาจากด้านหลังแล้วตอบตกลงไป

“หมอก”

“พี่จะให้ผมทำยังไงบ้างครับ” หมอกเดินเข้ามากอดคอผมราวกับเราสนิทกับเป็นพิเศษแต่ทั้งที่จริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย

“เห็นแบบนี้แล้วดูท่าจะคบกันจริงนะเนี่ย”

พี่แอมยิ้มอย่างมีความสุข แต่ผมสิยิ้มไม่ออกเลยสักนิด ถึงแม้เราสองคนจะเคยเป็นแฟนกันมาก่อนก็ตาม แต่ตอนนี้สถานะของเราสองคนเป็นเพียงแค่คนรู้จักกันเท่านั้น

“เอาเป็นว่าพี่ขอไลน์น้องๆ หน่อยแล้วกัน แล้วเดี๋ยวพี่จะนัดวันกับเวลาอีกทีนะ”

หมอกยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้พี่แอม โดยไม่ลืมที่จะให้ของผมไปด้วย ทั้งที่ผมได้แต่ยืนเฉยๆ ให้หมอกเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง

“ขอบใจมากนะ เอาไว้พี่จะติดต่อมานะ ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะ” พี่แอมโบกมือลา

“ครับ” หมอกโบกมือลาตาม

“ทำอะไรลงไปนะ” ผมดันแขนของหมอกออก

“ก็แค่ทำตามที่พี่เค้าต้องการไง ไม่ดีเหรอ” หมอกตอบหน้านิ่งๆ “อีกอย่างมันก็ดูน่าสนุกจะตาย”

“แต่เราไม่สนุกด้วยนะ”

“แล้วไง ตอนนี้ก็ตอบตกลงพี่เค้าไปแล้ว ก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น” แม้หมอกจะพูดความจริง แต่ผมรู้สึกอึดอัดกับมันอยู่ไม่น้อย “เอาไว้เจอกันนะ”

“มีอะไรกันเหรอ” เต็งหนึ่งเดินเข้ามาหาหลังจากที่หมอกเดินจากไป

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่รุ่นพี่อยากให้ไปถ่ายรูปคู่นะ”

“แบบนี้เขาไม่เรียกว่าไม่มีอะไรได้ไง หึงนะเนี่ย รู้ป่าว” เต็งหนึ่งทำแก้มป่องเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเด็ก จนผมก็คิดว่าบางทีเต็งหนึ่งเองก็ดูติ๊งต๊องเหมือนกัน

“ดูทำเข้าสิ เป็นแด็กไง” ผมเอานิ้วจิ้มแก้มเล่น แต่ไม่ไวเท่าเต็งหนึ่งที่จับมือผมเอาไว้แน่น

“เป็นเด็กแบบนี้ไม่ชอบเหรอ”

ผมพยายามดึงมือออก แต่ดูเหมือนยิ่งดึงมือออกเท่าไหร่เต็งหนึ่งก็ดึงผมเข้าหาตัวเท่านั้น แถมหน้าของเราตอนนี้ก็อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ สายตาของคนรอบข้างตอนนี้ก็เริ่มมองมาที่พวกเรา แถมบางคนยังกระซิบกระซาบพลางชี้มายังจุดที่เรายืนด้วยความสนใจ แต่เต็งหนึ่งกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย

“เป็นอะไร อายเหรอ”รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนในหน้าของเต็งหนึ่ง

“ใครบอกอาย” ผมกัดฟันตอบ

“นึกว่าอาย”

“แล้วจะปล่อยได้หรือยังเนี่ย คนมองกันเยอะแล้วนะ” ตอนนี้คนเริ่มมองพวกเราเยอะขึ้น บางคนก็ถึงกับยกกล้องขึ้นมาถ่าย เล่นเอาผมเหงื่อตกไปเลย แต่กับคนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

“ปล่อยก็ได้ครับ” เต็งหนึ่งยอมปล่อยอย่างว่าง่าย “แต่วันนี้ 4 โมงเย็น มาเจอกันที่หน้าตึกนะ ถ้าไม่มาคราวหน้าไม่ปล่อยแบบนี้แน่ เข้าใจไหมครับที่รัก”

พูดเสร็จเต็งหนึ่งก็เดินผิวปากอย่างคนอารมณ์ดีแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนงงต่อไป แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วผมเองก็เลิกเรียน 4 โมงเย็นพอดี หรือบางทีเต็งหนึ่งจะมีเรื่องสำคัญจะคุยกับผมเป็นแน่

 

 

ออดคาบสุดท้ายดังขึ้น ผมรีบเก็บหนังสือและอุปกรณ์ลงกระเป๋าด้วยความรีบเร่ง แม้เพื่อนๆ ในห้องหลายคนจะพยายามชวนผมไปหาอะไรกินกันต่อ แต่ผมก็ต้องรีบปฏิเสธไปทันที

“ต้นน้ำคราวหน้าต้องไปกับพวกเราแล้วนะ นายเบี้ยวหลายรอบแล้วนะเนี่ย” โจ๊กเพื่อนร่วมคลาสบ่นผมชุดใหญ่ ทั้งที่ตอนเช้าผมบอกว่าจะไป แต่พอตกบ่ายผมบอกว่าไปไม่ได้ ทำเอาโจ๊กเซงไปตามระเบียบ

“เราขอโทษจริงๆ นะ เผอิญมีธุระด่วนจริงๆ” ผมรีบบีบหัวไหล่โจ๊กเบาๆ เป็นการขอโทษ แม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็อยากให้รู้ว่าผมเองก็อยากไปเหมือนกัน “เอาไว้โอกาสหน้านะ”

“เออๆ ถ้าคราวหน้าผิดนัดอีกโดนแน่ๆ” พูดเสร็จโจ๊กก็ยกมือขึ้นทำท่าปาดคอตัวเองให้ผมดู ส่วนผมเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ

“ถ้างั้นไม่ก่อนนะ”

ผมรีบสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกทันที เพราะขืนอยู่นานกว่านี้คงได้โดนโจ๊กฆ่าหมกในห้องเป็นแน่ ผมเองก็รู้หรอกครับว่าโจ๊กแค่แหย่เล่นแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกผิดกับเพื่อนๆ อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“ดูรีบจังเลยนะ” หมอกที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกเอ่ยทักผม แต่ผมกลับทำเป็นมองไม่เห็นแล้วรีบเดินไปจากจุดนั้น

ผมรีบกดลิฟต์แล้วลงไปชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็เร่งฝีเท้าไปที่หน้าตึกทันที โดยที่มีคนมายืนรอผมอยู่แล้ว

“รอนานไหม” ผมเอ่ยถามหลังจากพยายามสูบอากาศเข้าปอด

“มาช้าไป 15 นาที” เต็งหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนผมเดาอารมณ์คนตรงหน้าไม่ถูก

“โกรธเหรอเนี่ย”

“ป่าว” ไม่พูดเปล่า แต่เต็งหนึ่งกอดอกไว้แน่น แถมเวลาพูดก็ยังไม่ยอมมองมาที่ผมอีก

“เราขอโทษนะ นะ นะ” ผมพยายามง้อสุดชีวิต ทั้งที่ปกติก็ทำไม่เป็น

“ทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ” เต็งหนึ่งหัวเราะตาหยี

“อ้าว” ผมงงกับอารมณ์คนตรงหน้าจริงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชักจะตามไม่ถูกแล้วนะ

“เลิกอ้าวแล้วก็ไปกันเถอะ มีที่หนึ่งอยากให้ไปด้วยกันนะ”

“ที่ไหนเหรอ”

“เถอะน่า ไปถึงก็รู้เอง”

หลังจาก นั่งรถ ลงเรือ ขึ้นเขา ข้ามทะเล อุ้ยไม่ใช่แหละอันนั้นก็เว่อร์ไป แค่นั่งรถก็พอ เราสองคนก็มาถึงบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่บรรยากาศดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะมีบรรดาเด็กน้อยใหญ่วิ่งไปมากันหลายคน แถมแต่ละคนก็ดูมีความสุขกันทุกคน

“มาทำอะไรที่นี่เหรอ” ผมถามเต็งหนึ่งอย่างสงสัย

“เถอะน่า เข้าไปข้างในเถอะ”

ผมเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเดินตามเต็งหนึ่งเข้าไปด้านใน ซึ่งพอเด็กๆ เริ่มเห็นพวกเราก็ร้องเฮด้วยความดีใจ จะพิเศษก็ต้องที่เด็กๆ ต่างวิ่งเข้าไปหาเต็งหนึ่งราวกับสนิทกัน ผมสังเกตเห็นเด็กโตยกมือไหว้เต็งหนึ่ง ส่วนเด็กเล็กก็กอดเต็งหนึ่งลวกๆ ดูแล้วเด็กๆ พวกนี้คงจะรักเต็งหนึ่งไม่น้อยเลยทีเดียว

“เด็กๆ ครับ วันนี้พี่พาเพื่อนมาด้วย ชื่อพี่ต้นน้ำ สวัสดีพี่เขาสิครับ” เต็งหนึ่งแนะนำผมให้กับเด็กๆ

“สวัสดีครับ/ค่ะ พี่ต้นน้ำ” ทุกคนยกมือไหว้พร้อมสวัสดีกันเสียงดัง

“สวัสดีครับทุกคน” ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อกลายมาเป็นเป้าสายตาแทน

“ต้นน้ำ เอาขนมมานี้สิ” เต็งหนึ่งขอถุงขนมขนาดใหญ่ที่แวะซื้อมาจากร้านขายส่งจากตลาดแล้วยื่นแจกเด็กๆ คนละซองจนครบ โดยที่เด็กๆ เองก็ยกมือไหว้เป็นการขอบคุณอีกรอบ

 


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด