[จบ] SeniorTheSeries รุ่นพี่ที่รัก [Chapter Final : รุ่นพี่ที่รัก]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบ] SeniorTheSeries รุ่นพี่ที่รัก [Chapter Final : รุ่นพี่ที่รัก]  (อ่าน 39533 ครั้ง)

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
งานยากแล้วสิเนี่ย อย่าทะเลาะกันนะ

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
ตอนที่ 10 : คืนเหงา

 

“อ้าวศุภวิชน์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

ผมหันไปตามเสียงที่ดังอีกฝาก เห็นผู้หญิงอายุกลางคนเดินตรงมาทางเราสองคน ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นคนสำคัญของที่นี่ เพราะเต็งหนึ่งรีบยกมือไหว้ทันที

“สวัสดีครับคุณแม่” เต็งหนึ่งสวัสดีคนตรงหน้า

“สวัสดีจ๊ะเต็งหนึ่ง เป็นไงมาไงเนี่ยถึงได้แวะมาได้”

“เผอิญผมพาเพื่อนมาเที่ยวที่นี่นะครับ” เต็งหนึ่งตอบ “ต้นน้ำ คือนี่คุณแม่ปราณี”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้

“สวัสดีจ๊ะ” แม่ปราณียกมือรับไหว้ผม “เพื่อนเราหน้าตาดีนะเนี่ย”

“คุณแม่ชมคนอื่นไม่เห็นชมผมบ้างล่ะครับ”

“อะไรกันเรา แค่นี้ทำเป็นน้อยใจ” จากนั้นพวกเราก็พากันหัวเราะเป็นพิธี “ว่าแต่เราเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอหน้าเจอตามาตั้งนาน สบายดีไหมลูก”

“สบายดีครับ แล้วคุณแม่สบายดีไหมครับ”

“แม่ก็เรื่อยๆ นะ ช่วงนี้มีเด็กเข้าๆ ออกๆ บ่อยจนบางทีแม่ก็เหนื่อยเหมือนกัน” คุณแม่ปราณีพูดไปสายตาก็มองไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่ไม่ไกล ในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยที่มีแต่เด็กๆ ทุกคนจนผมเองอดปลื้มกับความรู้สึกนั้นไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

“นั่นสินะครับ” ผมกับเต็งหนึ่งเองก็มองไปทางสนามเหมือนกัน

“แล้วนี่เต็งหนึ่งกับเพื่อนกินอะไรมาหรือยัง แม่กำลังจะให้แม่ครัวหาอะไรให้กินกัน”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมก็ต้องกลับกันแล้ว” เต็งหนึ่งตอบ

“อย่างนั้นเหรอ” คุณแม่ปราณีทำสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

“ถ้างั้นพวกผมกลับก่อนนะครับ” เต็งหนึ่งเอ่ยลา

“สวัสดีครับ” เราสองคนเอ่ยพร้อมยกมือไหว้คนตรงหน้า

“ไว้โอกาสหน้าก็มาเยี่ยมได้อีกนะ”

“ได้ครับ”

 

หลังจากขึ้นรถเพื่อตรงกลับบ้าน เต็งหนึ่งก็เอาแต่งนั่งเงียบไม่พูดจาอะไรสักคำ จะมีก็แต่นั่งถอนหายใจไปบ้างจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคนข้างๆ เป็นอะไร

“มีอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามออกไป

“ก็แค่เรื่องเก่าๆ นะ” เต็งหนึ่งตอบมาแค่นั้น

“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็บอกกันได้นะ เรายินดีรับฟัง”

เต็งหนึ่งไม่พูดอะไร แต่กลับเอาหัวมาพิงลงบนไหล่ของผมแทน พอเห็นแบบนั้นผมเองก็ปล่อยให้เต็งหนึ่งได้อยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง อย่างน้อยแค่ได้อยู่ข้างๆ กันก็คงทำให้เต็งหนึ่งรู้สึกดี

ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็กลับมาถึงบ้าน แน่นอนว่าเต็งหนึ่งขอตัวเข้าบ้านทันทีโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ แม้ปกติจะแหย่ผมหรือหยอดมุกจีบบ้าง แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน

“กลับมาแล้วครับ” ผมร้องบอกสมาชิกภายในบ้าน

“อ้าวต้นน้ำกลับมาแล้วเหรอ หิวไหม เดี๋ยวน้าหาอะไรให้กิน” น้าพิมพ์ที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวร้องถามผม ซึ่งดูจากสภาพบนโต๊ะอาหารแล้วคิดว่าทุกคนเพิ่งจะกินข้าวกันเสร็จ จะเหลือก็เพียงแต่ผมคนเดียว

“นิดหน่อยนะครับ ถ้างั้นผมขอตัวเอาของไปเก็บแล้วจะออกมานะครับ”

ผมรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บข้าวของทุกอย่างแล้วออกมาด้านนอกที่ตอนนี้น้าพิมพ์จัดเตรียมข้าวเอาไว้บนโต๊ะให้ผมเรียบร้อย

“ขอบคุณมากครับน้าพิมพ์” ผมเอ่ยขอบคุณน้าพิมพ์ก่อนจะลงมือกินข้าว

“กินเยอะๆ ล่ะ”

“โห่แม่ ให้พี่ต้นน้ำกินเยอะๆ เดี๋ยวก็อ้วนพอดี แบบนี้กำลังน่ารักจะตาย” เสียงของโอ๊ตดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่เข้ามาในครัว แล้วนั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ

“อะไรของเราเนี่ย” ผมมองคนข้างๆ อย่างสงสัย

“ก็แค่หวงนะครับ ไม่อยากให้ใครมองพี่” โอ๊ตยิ้มนิดๆ จนผมชักไม่แน่ใจว่าโอ๊ตกำลังคิดอะไรอยู่

“ลูกก็ไปแซวพี่เขา แล้วนี่การบ้านเสร็จแล้วหรือยังเนี่ยถึงได้ออกมาคุยเล่นได้” พอเห็นลูกชายตัวเองออกมาด้านนอก น้าพิมพ์ก็เลยถามทันที เพราะปกติโอ๊ตจะเก็บตัวอยู่ในห้องกับการบ้านกองโตที่เจ้าตัวชอบบ่นทุกวันว่าอาจารย์จะสั่งมาทำไมเยอะแยะจนไม่มีเวลาได้ออกไปเที่ยวเล่น

“เสร็จหมดแล้วครับ ความจริงผมทำที่โรงเรียนไปบ้างแล้วก็เลยเหลือทำที่นี่นิดหน่อย” โอ๊ตอธิบาย

“ขยันนะเรา” ผมเอ่ยชม

“ไม่ขยันผมก็โดนแม่ผมด่าตายพอดี” คำนี้โอ๊ดกระซิบกับผมเพราะกลัวน้าพิมพ์จะได้ยิน แต่ก็คงไม่พ้นคู่สายตาจับพิรุธที่มองพวกเราอยู่

“แอบคุยอะไรกัน”น้าพิมพ์ถามเสียงดุ

“ไม่มีอะไรครับแม่ ก็แค่ถามพี่ต้นน้ำว่าอยากกินอะไรอีกไหมเดี๋ยวผมจัดการให้เท่านั้นเอง” โอ๊ตโกหกไปคำโต เพราะกลัวน้าพิมพ์จะด่า

“ต้นน้ำถ้ากินเสร็จแล้วเอามาวางตรงนี้เลยนะเดี๋ยวน้าล้างทีเดียว”

“ขอบคุณครับ” ผมยกจานไปวางรวมกับจานใบอื่นๆ

“พี่ต้นน้ำไปดูหนังกับผมไหม ผมเพิ่งซื้อมาใหม่เรื่องหนึ่งเลย” โอ๊ตรีบเอ่ยชวนผมทันทีเมื่อเห็นผมกินข้าวเสร็จ

“เอาไว้วันหลังนะ วันนี้พี่ไม่ว่างนะ”

“โห่ เซงเลย”พอโดนผมปฏิเสธคำชวน โอ๊ตก็เดินหน้างอกลับเข้าห้องไป

“น้าพิมพ์ครับ วันนี้ผมขอไปนอนเป็นเพื่อนเต็งหนึ่งนะครับ”

“ก็ดีเหมือนกันนะ วันนี้ป้าสาไปธุระที่ต่างจังหวัดพอดี เต็งหนึ่งคงอยู่บ้านคนเดียวแน่ๆ ไปนอนเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เหงา”

จากทีแรกที่ผมคิดจะไปนอนเป็นเพื่อนเต็งหนึ่งก็เพราะเห็นอาการแปลกๆ ของเต็งหนึ่งตั้งแต่ช่วงเย็น แต่พอน้าพิมพ์มาบอกเรื่องที่ป้าสาไม่อยู่บ้านด้วยผมก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม

“ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ”

ผมรีบเดินไปข้างบ้านทันที แน่นอนว่าภายในบ้านเงียบมาก ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แต่กลับมาห้องหนึ่งที่ยังเปิดไฟสว่างเอาไว้จนผมรู้ว่าคนในบ้านยังไม่ได้นอน

“เต็งหนึ่ง เปิดประตูหน่อย” ผมร้องเสียงคนด้านใน และรอไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก

“อ้าวต้นน้ำ มาทำอะไรเหรอ” คนตรงหน้ามองหน้าผมอย่างงงๆ

“คือว่า คืนนี้เราขอนอนกับนายได้เปล่า”

“นอนกับเราเหรอ” เต็งหนึ่งถาม “แล้วน้าพิมพ์เขา..”

“น้าพิมพ์บอกให้มานะ แต่ความจริงเป็นเราเองมากกว่าที่อยากมา” ผมบอกไปตามความจริง เพราะยังไงซะถ้าได้พูดกันตามตรงเต็งหนึ่งก็คงจะเข้าใจ

“อย่างงั้นเหรอ”

“เอ่อ ถ้าไม่สะดวกเรากลับก็ได้นะ”

พอเห็นสีหน้าลำบากใจของเต็งหนึ่งก็ทำเอาผมรู้สึกผิด บางทีเต็งหนึ่งอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัวก็ได้ แล้วยิ่งผมมาขอนอนด้วยแบบนี้ก็มีแต่จะสร้างความลำบากใจให้กันเปล่าๆ

“ใครบอก เข้ามาสิ”

เต็งหนึ่งอ้าประตูพร้อมหลีกทางให้ผมได้เข้าไปด้านในก่อนที่ตัวเองจะปิดประตูบ้านตามหลัง

ภายในบ้านเต็มไปด้วยความมืด อาจจะเพราะทั้งหลังมีเต็งหนึ่งอยู่คนเดียวก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดไฟให้สิ้นเปลือง จะมีก็เพียงแต่แสงไฟจากห้องนั่งเล่นที่เต็งหนึ่งเพิ่งจะเปิดตอนผมมา จากการสำรวจด้วยสายตาคร่าวๆ ภายในการดีไซต์ไม่ต่างจากบ้านของน้าพิมพ์ แต่สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจนก็คือบ้านนี้แทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเป็นพิเศษ จะมีก็แต่พวกของใช้ประจำบ้านเช่น ตู้เย็น โต๊ะกินข้าว นอกนั้นก็เป็นเพียงพื้นที่โล่งๆ เท่านั้น

“กินอะไรมาหรือยัง” เต็งหนึ่งถามผม โดยที่เขากำลังเปิดตู้เย็นยกน้ำขึ้นกิน

“เรียบร้อยแล้ว”

“นึกว่ายังจะได้กินพร้อมกัน” สิ่งที่อยู่ในมือคนตรงหน้าผมก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับผักหลากชนิด “ถ้างั้นขอเรากินก่อนนะ”

“กินแต่ของแบบนี้เหรอ”

ต้องยอมรับว่าอาหารตรงหน้าเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ อาจจะเพราะมันไม่ค่อยมีสารอาหารตามที่เราควรจะได้รับ แต่ก็น้อยครั้งที่ผมคิดจะกินมัน

“เอามานี่ดีกว่า เดี๋ยวเราทำให้” ไม่ต้องรอคำตอบจากเต็งหนึ่ง ผมก็เอาของในมือทั้งหมดแล้วเดินตรงไปหน้าเตาเพื่อต้มบะหมี่

“ให้เราทำเองเถอะ” คนตัวสูงพยายามแย่งคืน แต่ผมไม่ให้

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าวันนี้นายดูแย่แค่ไหน ฮึ เราเป็นห่วงนะ” ผมพูดปิดประเด็น “เราก็แค่อยากดูแลนาย ทำหน้าที่แฟนที่ดีเพื่อนายสักครั้ง แม้จะไม่ได้เลิศหรูอะไรมากมาย แต่เราก็อยากอยู่ข้างนายนะ”

“...”

เต็งหนึ่งไม่ตอบอะไร เอาแต่เพียงจ้องมองในแววตาผม และแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ผมมีต่อเขา แม้ไม่ต้องพูดออกมามันก็สื่อออกมาได้

“ไปนั่งรอก่อนเลย เดี๋ยวเสร็จแล้วเรายกไปให้”

“ขอบคุณนะ”

เต็งหนึ่งสวมกอดผมจากด้านหลัง มือหนาเลื่อนกอดช่วงเอวเอาไว้ แล้วใช้คางตัวเองเกยกับไหล่ข้างขวา

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”

“อืม”

แน่นอนว่าผมไม่ได้ว่าอะไรกับการกระทำนั้น ผมปล่อยให้เต็งหนึ่งได้อยู่แบบนั้นสักพัก จากนั้นเขาก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารเพื่อรอ

“มาแล้วๆ”

ผมยกหม้อบะหมี่ไปวาง

“น่ากินเหมือนกันนะเนี่ย”

“แน่นอนอยู่แล้ว ต้องดูก่อนว่าใครทำ” ได้ทีผมก็ยอตัวเองสักหน่อย

“เราไม่ได้หมายถึงบะหมี่”

“อ้าว แล้วอะไร”

“ก็นายไง”

เต็งหนึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์

“รู้ไหมว่าวันนี้น่ารักมากเป็นพิเศษ จนเรารู้สึกอยากชิมขึ้นมาแล้วสิ”

 

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เอิ่ม เท่าที่อ่านมาตั้งแต่แรก
รู้สึกเหมือนว่าหมอกไม่ได้ขอเลิกกับต้นน้ำเพราะหมดรักนะ
ติดใจตรงประโยคแรกที่คนเขียนบรรยายว่า หมอกมองต้นน้ำด้วยสายตาตัดพ้อ ตอนบอกเลิก ยิ่งพอมาอ่านตอนปัจจุบันแล้วก็ว่าหมอกยังรักต้นน้ำอยู่หรือเปล่า
แต่ก็แอบข้องใจว่ามาเหตุผลอะไรที่หมอกขอเลิกกับต้นน้ำ
ตอนแรกก็ว่าจะอยู่ทีมหมอก เพราะแลดูน่าสงสารอยู่ลึกๆ ย้ำว่าลึกๆ 555
แต่พอรู้ว่าหมอกตามตื๊อต้นน้ำ แถมยังขี้ตู่อีกต่างหากว่าตัวเองเป็นต้นน้ำ
ก็ยื่นใบลาออกทันที หันมายื่นใบสมัครอยู่ทีมเต็งหนึ่งดีกว่า เหอเหอ
บอกตรงๆ ณ ตอนนี้นะ โคตรรำคาญหมอกเลย - -"
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่าาา
มาต่อเร็วๆนะคะ :mew1: :bye2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
ตอนที่ 11 : ความสัมพันธ์

 

“เราว่านายกินเถอะ เส้นอืดหมดแล้ว” ผมยื่นหม้อบะหมี่ไปตรงหน้า

“ป้อนหน่อยสิ” ไม่พูดเปล่า เต็งหนึ่งอ้าปากรอให้ผมป้อน “นะครับ มีแฟนป้อนคงอร่อยกว่ากินเองนะ”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะคุณชาย ได้คืบจะเอาศอกเลยนะ”

“แล้วทำให้ได้เปล่าล่ะ”

“ได้ครับ”

ผมจำต้องยอมทำตามคำขอ อีกอย่างมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรกับแค่การป้อนบะหมี่ให้แฟนตัวเองกิน ผมก็แค่คีบเส้นขึ้นจากหม้อแล้ววางลงในช้อน เป่าพอเป็นพิธี แล้วยื่นใส่ปากคนตรงหน้า

“เป็นไง อร่อยไหม”

“หวาน”

“หวานเหรอ”

ผมรีบตักน้ำซุปในหม้อชิมทันที เพราะจำได้ว่าตัวเองไม่ได้ปรุงรสเพิ่มเลย นอกจากเครื่องปรุงที่มาพร้อมกับบะหมี่ ถ้าจืดก็พอเป็นไปได้ เพราะผมใส่น้ำไปเยอะ หรืออาจจะเพราะอย่างอื่น

“ก็ไม่หวานนะ” หลังจากชิมไปหลายคำผมก็แน่ใจว่าบะหมี่ตรงหน้าไม่ได้หวานเหมือนอย่างที่เต็งหนึ่งบอก

“หวานสิ” เต็งหนึ่งยังคงเน้นคำเดิม “เพราะมีนายอะไรๆ มันก็หวานไปหมดนั่นแหละ”

เจอคำนี้ไปเล่นเอาผมจุกเลย ไม่คิดว่าคนตัวสูงจะเล่นมุกแบบนี้

“เล่นมุกได้แบบนี้ได้ แสดงว่าโอเคแล้วใช่ป่ะเนี่ย”

“ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะ”

“ถ้าดีแล้วก็กินให้หมดเลย”

ผมยื่นหม้อบะหมี่คืนให้คนตรงหน้า เต็งหนึ่งเองก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากรับหม้อไปแล้วตักบะหมี่กินเองจนหมด แถมยังหันมามองผมเป็นระยะๆ พร้อมรอยยิ้มหวานๆ จนผมชักระแวง

“ยิ้มอะไร”

“ยิ้มให้แฟนไม่ได้เหรอ”

“พอเลย”

“หมดแหละ”

เต็งหนึ่งรวบช้อนเป็นการบอกว่าตอนนี้ตนกินอิ่มแล้ว

“อิ่ม อร่อย แถมมีความสุขที่สุด”

“อะไรจะขนาดนั้น แค่บะหมี่เอง”

“ถึงจะเป็นแค่บะหมี่ธรรมดาสำหรับนาย แต่สำหรับเรามันถือเป็นอาหารจานพิเศษเลยก็ว่าได้นะ เพราะการได้กินอะไรสักอย่างกับคนที่รัก ต่อให้รสชาติแย่แค่ไหนมันก็อร่อยไปทุกอย่างแหละ”

มันอาจจะฟังเป็นคำพูดธรรมดาที่ถ่ายทอดออกมา แต่สำหรับผมเราดูเหมือนมันจะสื่อออกมาจากใจจริงของเต็งหนึ่ง ในแววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความสุขที่เหมือนจะส่งผ่านมาให้ผมจนผมเองรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น

“พูดแบบนี้ ดีใจดีไหมเนี่ย” ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ

“ต้องดีใจสิ”

“ดีใจก็ดีใจ”

แม้ปากจะบอกไปแบบนั้นแต่ผมเองก็ยังไม่ค่อยมั่นในใจความรู้สึกของตัวเองมากนัก บอกตามตรงว่าผมกับเต็งหนึ่งเรารู้จักกันได้ไม่นาน อาจจะเพราะช่วงนั้นผมเพิ่งอกหักแล้วไปเจอกับเต็งหนึ่งก็เลยทำให้ผมรู้สึกอ่อนไหวไปกับคนที่เข้ามาใกล้ชิด จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วที่เราสองคนรู้จักกัน แต่ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ แม้เราจะเอ่ยปากคบกันเป็นแฟน แต่มันก็ยังคงสภาพเดิมเหมือนครั้งแรกที่เรารู้จักกัน

ผมเลิกสนใจความคิดนั้นแล้วยกหม้อบะหมี่ไปล้าง แล้วไล่ให้เต็งหนึ่งไปอาบน้ำ

“ไม่อาบด้วยกันเหรอ” เต็งหนึ่งตะโกนมาจากหน้าประตูห้องน้ำ

“เราอาบน้ำแล้ว” ผมตะโกนตอบกลับไป ในมือก็ยังคงล้างหม้อไปด้วย

“โธ่ นึกว่าจะอาบน้ำพร้อมกับเรา”

“รีบๆ อาบน้ำเลยไม่งั้นล้างจานเสร็จเราจะกลับบ้านแล้วนะ”

ผมพูดขู่ไป ซึ่งมันก็ได้ผล เต็งหนึ่งรีบผลุบเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตูทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงผิวปากพร้อมกับเสียงน้ำที่กระทบพื้นตามมา

“ให้ได้อย่างนี้สิ” ผมส่ายหน้าเล็กน้อย

 

กว่าเต็งหนึ่งจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เล่นเอาผมหาวเพราะง่วงนอนไปหลายครั้ง ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งอยู่บนเตียงแล้วมองคนตัวสูงเดินไปเดินมาพร้อมกับเครื่องสำอางที่ไม่รู้สรรหามาจากไหนเยอะแยะ นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นผู้ชาย(รึเปล่า) ผมคงนึกว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วไปแล้ว ขนาดผมเองยังมีเครื่องสำอางแค่ไม่กี่ชิ้นเอง

“ตกลงว่าจะนอนหรือจะออกไปเที่ยวเนี่ย” ผมเอ่ยแซวคนตรงหน้าอย่างขำๆ

“นอนสิ ถามทำไมเหรอ” คนถูกถามดูจะไม่สงสัยกับคำถามของผมเลย ตรงกันข้ามกลับยังทาครีมลงบนใบหน้าอย่างต่อเนื่อง

“ก็เห็นทาครีมซะปูซีเมนต์เรียกพี่แล้วเนี่ย”

“ก็ไม่ขนาดนั้นมั้ง คนเรามันก็ต้องบำรุงกันบ้าง จะหญิงหรือชายมันก็ต้องมีส่วนที่ต้องดูแลบ้างแหละ” คำพูดแต่ละคำเล่นเอาผมพูดไม่ออก ถึงมันจะจริงก็ตามถึงจะเป็นผู้ชายก็ควรดูแลผิวพรรณตัวเองบ้าง

“แต่ก็ไม่ขนาดนี้มั้ง”

“ขนาดนี้เนี่ยมันขนาดไหนเหรอ” มีหันมาถามผมอีก

“ไม่พูดดีกว่า เชิญตามสบายครับ”

ผมยอมแพ้คนตรงหน้า ก่อนจะล้มลงนอนโดยมีความนุ่มของที่นอนคอยรับเอาไว้พลางมองไปยังเพดานห้องที่ว่างเปล่าเพื่อคิดอะไรเพลินๆ

“ต้นน้ำ”

“หืม?” ผมหันไปตามเสียงเรียก “มีอะไรเหรอ”

“นอนแบบนี้ เขาเรียกว่าอ่อยรู้ป่ะ”

“อ่อย?”

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เต็งหนึ่งที่มาค่อมผมเอาไว้ มือหนาจับล็อคเข้าที่ข้อมือทั้งสองข้าง ทั้งสายตาคู่คมก็ยังมองมาที่ผมราวกับจะดูดกลืนผมไปทั้งตัว

“เอ่อ แล้วไม่ทาครีมต่อแล้วเหรอ” ผมถามไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ครีมทาเมื่อไหร่ก็ทาได้ แต่มีคนมานอนอ่อยบนที่นอนแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะสิ”

“คิดอะไรอยู่ป่ะเนี่ย” ในความคิดของผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่ปลอดภัย เพราะแววตานั้นมันเต็มไปด้วยความต้องการที่มองก็รู้แล้ว

“แล้วถ้าคิดล่ะ จะให้ป่ะ”

“ให้อะไร” ผมแกล้งถาม ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเต็งหนึ่งต้องการอะไร

“แล้วคนเป็นแฟนกันเขาให้อะไรกันล่ะ”

“....” ผมไม่ตอบอะไร แต่กลับเม้มปากตัวเองเอาไว้

“ไม่ตอบแบบนี้ ตกลงว่าให้ใช่ป่ะ”

“ใครบอก”

“เราไง” เต็งหนึ่งยกมือหนาขึ้นมาลูบแก้มผมเบาๆ

“แต่เราไม่เคยนะ”

ผมบอกความจริงบางอย่างออกไปจนคนด้านบนมองอย่างสงสัย ถึงแม้ผมจะเคยมีแฟนมาก่อน แต่เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ได้มีกันง่ายๆ

“จริงสิ”

“ไม่เชื่อก็ตามใจ”

ผมผลักเต็งหนึ่งออกแล้วลุกขึ้นนั่งตามเดิม พลางยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพื่อไล่ความรู้สึกแปลกๆ ที่เป็นอยู่ ยอมรับว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวไปหมด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันหายหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

“เราว่า เรากลับบ้านดีกว่า”

“เดี๋ยวสิ”

พอผมทำท่าจะลุกเต็งหนึ่งก็รั้งผมเอาไว้

“ไหนบอกจะนอนเป็นเพื่อนเราแล้วทำไมมากลับดื้อๆ แบบนี้ล่ะ”

“ก็...” นั่นสิ ทำไมผมถึงอยากกลับทั้งที่ตั้งใจมานอนที่นี่อยู่แล้ว

“หรือเพราะเรื่องเมื่อกี๋ โกรธเราเหรอ”

“ก็ไม่หรอก” ผมกลับมานั่งที่เดิม

“แล้วเป็นอะไรครับ” เต็งหนึ่งปรับน้ำเสียงให้ดูสุภาพ เหมือนรู้ว่าตัวเองผิดพลาดไป

“ช่างมันเถอะ เราง่วงแล้ว นอนเถอะ”

“นอนด้วยสิครับ”

พอเห็นผมยอมนอนด้วยเต็งหนึ่งก็รีบดึงผมเข้าไปกอดทันที

“ง่วงแล้วจริงเหรอ”

“อืม”

ผมตอบไปแบบนั้นทั้งที่ตอนนี้หัวใจกำลังเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ดีนะที่เต็งหนึ่งกอดผมจากทางด้านหลังไม่งั้นคงได้ยินเสียงหัวใจผมไปแล้ว

“ถ้างั้นเราปิดไฟนะ”

จากนั้นความมืดก็เข้ามาครอบคลุม ผมได้แต่มองไปในความมืด แม้จะพยายามข่มตาหลับแต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง จะมีก็คงข้างๆ ที่ยังขยับตัวไปมาบ่งบอกให้รู้ว่ายังไม่หลับเหมือนกับผม

“ต้นน้ำ ยังไม่หลับใช่ไหม”

เต็งหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เพราะเขาคิดว่าผมยังไม่หลับ

“ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ฟังเราอย่างเดียวก็ได้”

จากที่คิดจะตอบไปสั้นๆ กลับต้องนอนเงียบๆ

“เราขอบใจนายมากๆ เลยนะที่มาอยู่กับเราตอนที่เรารู้สึกแย่นะ ความจริงมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก แต่พอได้มีคนมาคอยอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจแล้วมันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษนะ จนเราเผลอรู้สึกอยากทำอะไรแบบนั้นกับนายไป เรามันแย่เนอะ”

“แล้วถ้าเราเต็มใจล่ะ” ผมพลิกตัวหันกลับไปอีกด้านพลางใช้สายตามองไปยังเต็งหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงเงามืดๆ ก็ตาม แต่ผมกลับรู้สึกว่าเต็งหนึ่งกำลังมองมาที่ผมเช่นกัน

“นายพูดจริงเหรอ”

“ครั้งแรกของเรา เราก็อยากให้กับคนพิเศษๆ อย่างนาย...”

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ ริมฝีปากบางของผมก็ถูกอีกฝ่ายเข้าจู่โจมจนผมรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมา จูบรสหวานที่ผมได้สัมผัสครั้งแรก และมันยากจะถอดถอน

“เราจะทำให้นายมีความสุขที่สุด เราสัญญา”

เต็งหนึ่งพูดเพียงสั้นๆ ก่อนจะทำให้ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความหอมที่มาจากความต้องการของสองเรา

 

 

 



ฝากติดตามกันเยอะๆ นะครับ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ยังไม่มั่นใจความรู้สึกตัวเองอีกเหรอ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nuttyboy2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao7: :hao7: :hao7:

ปูเสื่อรอเลย ตอนต่อไป

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
ตอนที่ 12 : ความสับสน

 

เสียงของนกยามเช้าต่างร้องแข่งขันกันบ่งบอกให้ผมได้รู้ว่าตอนนี้ได้ถึงวันใหม่แล้ว แม้ความจริงผมเพิ่งจะนอนไปไม่กี่ชั่วโมงก็ตามแต่ร่างกายก็บอกให้ผมต้องตื่นขึ้นมาจากเตียง

ข้างกายตอนนี้คือเต็งหนึ่งที่นอนหลับสนิทไม่ต่างไปจากเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับฝันหวาน แม้ผมจะเอามือไปลูบลงบนแก้มบางก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงจนผมลงไปนอนข้างๆ แล้วไล่มองไปตามเรียวหน้าที่ได้รูป ผมลองอยากสัมผัสดูสักครั้ง แม้จะจำได้ดีว่าเมื่อคืนหน้าของเราแนบชิดกันขนาดไหน แต่พอได้มองแบบนี้อีกก็พาลทำให้ผมเผลอหลงใหลใบหน้านี้เข้าจนได้

“จ้องแบบนี้เราเขินนะ” เต็งหนึ่งขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาจ้องมองผมพร้อมรอยยิ้มบาง

“เราทำให้ตื่นหรือเปล่าเนี่ย” ผมเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“ไม่หรอก ตื่นนานแล้วล่ะ ที่นอนต่อก็แค่พักสายตานิดหน่อยนะ”

“ถ้างั้นนอนต่อเถอะ เราไม่กวนแหละ”

พอเห็นเต็งหนึ่งต้องการพักผ่อนผมก็เตรียมจะลุกขึ้น แต่กลับถูกมือหนารั้งเอาไว้แล้วดึงเข้าไปกอดจนแน่น ทำเอาหัวใจผมเกือบเต้นผิดจังหวะเพราะความตื่นเต้น

“จะรีบไปไหนครับที่รัก นอนด้วยกันก่อนสิ”

“ใครเป็นที่รัก”

“อะไรกันแค่นี้จำไม่ได้เหรอ หรือว่าต้องให้ทบทวนเรื่องเมื่อคืนอีกครั้งดีถึงจะจำได้ว่าเมื่อคืนใครกันที่เรียกเราว่าที่รักไม่หยุดปากเลย แถมยังบอกอีกนะว่าอย่าหยุด...”

ผมรีบเอามือปิดปากคนข้างๆ ทันทีเพราะขืนปล่อยให้พูดต่อมีหวังได้มีแต่เรื่องน่าอายของผมได้หลุดออกมาอีกแน่ แต่ก็ยังไม่ทันคนเจ้าเล่ห์ที่ดึงผมไปหอมฟอดใหญ่

“พอเลย เมื่อคืนยังไม่พออีกไง”

“เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคืนสิ นี่เช้าแล้ว มันคนละส่วนกัน”

“ทะลึ่ง” ผมตีไหล่เต็งหนึ่งเบาๆแล้วรีบลุกอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบที่ช่วงล่าง “อ่าส์”

“ต้นน้ำ เป็นอะไร” เต็งหนึ่งรีบดีดตัวขึ้นมาแล้วมองผมอย่างเป็นห่วง

“เจ็บช่วงล่างนิดหน่อยนะ”

“ไหวไหม ไปหาหมอไหม เดี๋ยวเราพาไป”

“สงสัยเมื่อคืนหนักไปหน่อยมั้ง” ผมพูดพึมพำเบาๆ

“ว่าอะไรนะ”

“เปล่าๆ แค่บอกไหวนะ ถ้าไม่ขยับตัวแรงก็ไม่เจ็บเท่าไหร่”

“ถ้างั้นค่อยๆ นะ”

เต็งหนึ่งช่วยผมค่อยๆ ลุกจากเตียง จากนั้นก็รีบเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาให้ผมใส่ แม้มันจะใหญ่กว่าไซส์ที่ผมใส่อยู่ แต่มันก็ไม่ได้ดูใหญ่จนเกินไป

“เอาไว้จะซักมาคืนให้นะ”

ผมก้มลงเก็บเสื้อผ้าตัวเองที่กระจายอยู่รอบเตียง พาลนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่ไม่รู้ทำกันท่าไหนเสื้อผ้าถึงได้กระจายไปรอบๆ เตียงแบบนี้

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ไปนั่งเฉยๆ ดีกว่า เดี๋ยวเราเก็บเสื้อผ้าให้เอง”

เต็งหนึ่งไล่ผมไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ แล้วจากนั้นก็ไปเก็บเสื้อผ้าของเราสองคนแทนผมต่อ

“เสื้อผ้าพวกนี้เดี๋ยวเราซักให้เองนะไม่ต้องเอากลับไปหรอกนะ”

“แล้วแต่”

ผมปล่อยให้เต็งหนึ่งเก็บเสื้อผ้าต่อโดยตัวเองก็ได้แต่นั่งมองไปเรื่อยๆ อาจจะเพราะขยับตัวลำบากก็เลยทำให้ต้องมานั่งอยู่ในสภาพแบบนี้ หรือไม่ก็เพราะเต็งหนึ่งคงอยากดูแลผมให้มากๆ ก็อาจจะเป็นได้

“หิวไหม”

เต็งหนึ่งเอ่ยถามผมหลังจากที่เก็บผ้าไปใส่ในตะกร้าด้านในเรียบร้อย

“ก็นิดหน่อยนะ”

แม้ปากจะบอกไปแบบนั้นแต่ท้องก็เริ่มร้องประท้วงบ้างเล็กน้อย อาจจะเพราะปกติผมกินข้าวเช้าตรงเวลาตลอด พอมาไม่ได้กินแบบนี้ก็เริ่มรู้สึกแสบท้องนิดๆ

“เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวเราลงไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ”

“เอาสิ”

จากนั้นเราสองคนก็ลงมาที่ห้องครัว จากทีแรกที่ผมเสนอเป็นคนทำอาหารเช้าเองกลับโดนเต็งหนึ่งไล่ให้ไปนั่งดูทีวีฆ่าเวลาโดยที่เขาเป็นคนทำผมกิน ในฐานะที่ผมเป็นแขกแล้วเขาเป็นเจ้าของบ้าน

แม้เสียงทีวีจะดังเพื่อเรียกร้องให้ผมหันไปสนใจมันแต่ผมกลับหันไปมองยังคนตัวสูงที่ตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอยู่ไม่ไกลนัก ความจริงผมก็เคยได้กินฝีมือของเต็งหนึ่งมาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้กลับมากินอีกครั้ง

ติ๊งต่อง..ติ๊งต่อง

เสียงออดที่ดังมาจากทางหน้าบ้านทำให้ผมหันไปกลับมองอย่างสงสัย ไม่เว้นแม้กระทั่งเต็งหนึ่งเองที่หันมามองผมอย่างสงสัย

“ต้นน้ำรบกวนไปดูให้หน่อยได้ไหม เรากลัวมันไหม้นะ”

“ได้ๆ” ผมรับคำแล้วเดินไป

พอเปิดประตูบ้านผมก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง พอดูคร่าวๆ แล้วอายุเด็กคนนั้นคงพอๆ กับผม แถมยังหน้าตาดีอีกด้วย

“มาหาใครครับ” ผมถามไป

“เต็งหนึ่งอยู่ไหมครับ เผอิญผมแวะมาแถวนี้ก็เลยซื้อขนมมาฝาก”

“อยู่ด้านในนะ เข้ามาสิ” ผมเปิดประตูรั้วต้อนรับแขกผู้มาเยือน

“อืมๆ”

พอแขกของเต็งหนึ่งเดินเข้าไปด้านใน ผมก็รีบปิดประตูแล้วรีบตามเข้าไปด้านในทันที

“ทำไรอยู่นะเต็งหนึ่ง” น้ำเสียงของผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นคนละคนกับที่คุยกับผมเมื่อกี้มาก มันฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวลจนผมอดสงสัยไม่ได้

“อ้าว ท๊อป มาได้ไงเนี่ย”

พอได้เห็นแขกของตัวเองเข้ามาในบ้าน เต็งหนึ่งก็รีบเบาแก๊สแล้วเดินเข้าไปโผกอดคนตรงหน้าอย่างแนบแน่น โดยที่ผมได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสายตาของเต็งหนึ่งที่มองมายังท๊อปมันดูโหยหาผิดจากปกติ

“ไม่เจอกันตั้งนานสบายดีใช่ไหม”

“สบายดีสิ ว่าแต่นายเหอะ หุ่นเฟิร์มขึ้นเยอะเลยนะ เห็นแล้วแบบ...” ไม่พูดเปล่า ท๊อปใช้สายตาสำรวจเรือนร่างของเต็งหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียกได้ว่าทุกส่วนของร่างกายเลยก็ว่าได้

“เห็นแล้วทำไม” เต็งหนึ่งหัวเราะ

“ก็ไม่ทำไมหรอก”

“เออๆ จริงสิ ต้นน้ำนี่ท๊อปเป็นแฟนเก่าเรานะ” เต็งหนึ่งแนะนำคนข้างๆ ให้ผมรู้จัก “ท๊อบ ส่วนนี่คือต้นน้ำ เป็น...”

“ต้นน้ำครับ เป็นเพื่อนข้างบ้าน” ผมตอบแทน ซึ่งดูเต็งหนึ่งหน้าเสียไปนิด แต่มันก็คงไม่ต่างจากผมหรอกที่ตอนนี้หน้าชาไปหมดหลังจากที่รู้ว่าตัวเองพาแฟนเก่าของแฟนตัวเองเข้ามาในบ้าน แถมยังมาคิดเล็กคิดน้อยไร้สาระอีก

“ต้นน้ำ ทำไม...”

“ถ้าไงเรากลับก่อนนะ เผอิญมีธุระด่วน คุยกันตามสบายแล้วกัน”

ผมไม่ต้องรอให้เต็งหนึ่งอนุญาต ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าอยู่ต่อคงรู้สึกแย่กว่านี้เป็นแน่ เพราะแค่นี้มันก็ทำให้ผมเกือบน้ำตาไหลแล้ว แล้วถ้าอยู่ต่อผมคงไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนเวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน

“เดี๋ยวก่อนสิต้นน้ำ ยังไม่ได้กินข้าวเลย”

ผมรีบเดินออกจากบ้านเต็งหนึ่งแล้วตรงเข้าบ้านของตัวเองทันที

“กลับมาแล้วครับ” ผมร้องบอกน้าพิมพ์ที่กำลังตั้งโต๊ะอาหารอยู่พอดี

“กินอะไรมาหรือยังต้นน้ำ น้ากำลังตั้งโต๊ะพอดี”

“ผมไม่ค่อยหิวนะครับ ขอไปพักก่อนนะครับ” ผมพยายามฝืนยิ้มให้น้าพิมพ์ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเงียบๆ

“พี่ต้นน้ำเขาเป็นอะไรไปนะแม่ ผมเห็นสีหน้าพี่เขาแปลกๆ ไปนะ ดูไม่ค่อยสดใสเลย” โอ๊ตเอ่ยขึ้นหลังจากที่ผมเดินผ่านไปได้สักพัก แน่นอนว่าน้าพิมพ์เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“ปล่อยเขาเถอะ เราเองก็เลิกเล่นมือถือแล้วก็ไปตามพ่อมากินข้าวได้แล้ว”

“เข้าใจแล้วครับ”

 

ผมรีบเข้าห้องแล้วพร้อมล็อคประตู จากนั้นก็ล้มตัวนอนไปทันที

“ฟู่ ใจเย็นเข้าไว้ แค่แฟนเก่าเอง เราสิตัวจริง” ผมพยายามพูดปลอบตัวเองเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“พี่ต้นน้ำ ผมขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”

“โอ๊ตมีอะไรหรือเปล่า” ผมร้องถามกลับไป

“ก็นิดนึงนะครับ”

“แปบนะ เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้”

จากที่แรกที่ผมต้องการอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรเงียบๆ กลับกลายเป็นว่ามีสมาชิกเข้ามาในห้องเพิ่มอีกหนึ่งคน แถมยังมานั่งจ้องมองผมราวกับต้องการคำตอบว่าผมเป็นอะไรอยู่

“จ้องพี่แบบนี้หมายความว่าไงเหรอ”

“ผมก็แค่อยากดูให้แน่ใจว่าพี่โอเคไหมเท่านั้นเอง”

“พี่ก็โอเคดีนะ ถามทำไมเหรอ”

ผมชักสงสัยแล้วว่าทำไมโอ๊ตต้องมาถามผม ปกติโอ๊ตจะไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับผมสักเท่าไหร่ แม้จะมีบางครั้งที่ชวนผมดูหนัง หรือเล่นเกมส์บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดกับมานั่งจ้องผมแล้วถามคำถามแปลกๆ แบบนี้

“แต่ผมว่าพี่ไม่โอเคนะ พี่รู้หรือเปล่าว่าดวงตาพี่มันฟ้องว่าตอนนี้พี่ไม่โอเคเลย”

ผมอึ้งไปเลยกับคำพูดของคนตรงหน้า น้อยคนหนักที่จะใส่ใจรายละเอียดกับเรื่องของผม

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื้อนแต่มันก็คงช่วยปกปิดความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ “โดนจับได้แบบนี้ก็เซงเลยแฮะ”

“พี่มีอะไร ปรึกษาผมได้นะ ผมยินดีรับฟัง”

“แม่เราใช้ให้เรามาคุยกับพี่หรือเปล่าเนี่ย ถึงได้ทำหน้าจริงจังแบบนี้”

“ไม่ใช่หรอก ผมมาเอง ผมเห็นพี่มีเรื่องไม่สบายใจผมก็อยากช่วยแบ่งเบาความรู้สึกบ้างนะครับ” โอ๊ตอธิบาย “ว่าแต่ พี่ทะเลาะกับพี่เต็งหนึ่งมาใช่เปล่า”

“ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก” ผมตอบไปตามจริง

“แล้วทำไมพี่เป็นแบบนี้ล่ะ ผมเห็นพี่สองคนออกจะรักกันดี”

“เดี๋ยวๆ นี่เรารู้เรื่องพี่กับเต็งหนึ่งด้วยเหรอ ว่าแบบ...”

“รู้สิพี่ ผมไม่ได้โง่นะ” โอ๊ตหัวเราะ “แล้วมันเป็นยังไงเหรอ พี่ถึงได้เป็นแบบนี้เนี่ย”

“ก็แค่เสียเซลฟ์นิดๆ นะ อยู่ด้วยกันสองคนดีๆ แฟนเก่าเขาดันโผล่มา พี่รู้สึกอึดอัดก็เลยขอตัวกลับมา สุดท้ายมันก็มาแน่นอยู่กลางอกเนี่ยแหละ” ผมสารภาพออกไป

“อย่าคิดมากสิพี่ เขาก็แค่อาจแวะมาทักทายก็ได้”

“พี่ก็หวังว่างั้น”

“แล้วพี่ไม่คิดจะกลับไปเหรอ เผื่อแฟนเก่าเขาจะกลับไปแล้วก็ได้นะ”

“ช่างเถอะ พี่ขออยู่แบบนี้ดีกว่า” ผมล้มตัวนอนอีกครั้ง

“นอนแบบนี้มีแต่ทำให้คิดมาก ผมว่าเราไปเที่ยวกันดีกว่านะ เปิดสมองสักนิด เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น”

“เอางั้นเหรอ” ผมหันมองโอ๊ตที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

“ดีสิ แต่ตอนนี้ผมว่าพี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอเลย อีก 15 นาทีเจอกันหน้าบ้านนะครับ”

“เดี๋ยวสิ โอ๊ต...” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบตกลงอะไรออกไป โอ๊ตก็รีบออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้ผมต้องลุกจากเตียงแล้วลุกไปอาบน้ำตามที่น้องชายตัวแสบบ่งการ







ไม่เม้นต์มีงอนนนนนนนนนนน 55555




ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อ้าว!!!! ยังไงถ่านไฟเก่ายังร้อน รอวันรื้อฟื้นเหรอ :ling3: :ling3:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
แฟนเก่ามาเพื่อ

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ nuttyboy2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แฟนเก่ามันจะมาทำไมเนี่ย

ว่าแต่โอ๊ตรู้เรื่องต้นน้ำด้วยเหรอ

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 13 : เปิดใจ

 

“มาแล้วครับ” เสียงของโอ๊ตดังขึ้นมาจากอีกฝากพร้อมกับในมือที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มและขนม

ตอนนี้เราสองคนมาอยู่ที่หน้าโรงหนัง ซึ่งกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ก็เถียงกันอยู่พักใหญ่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี แต่สุดท้ายโอ๊ตก็เป็นฝ่ายสรุปว่าอยากดูหนัง ผมก็เลยจำยอมความต้องการของน้องไป ความจริงก็มันก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันเพราะผมเองก็ไม่ได้ดูหนังมาพักใหญ่แล้ว

“ตั๋วหนังพร้อม น้ำดื่มป๊อบคอนพร้อม แล้วพี่ล่ะพร้อมหรือยัง” โอ๊ตถามผมให้แน่ใจ

“พี่นะเหรอ พร้อมเสมออยู่แล้ว” ผมรีบแย่งแก้วน้ำมาดูด “ได้เวลาแล้วเข้าไปดูกันดีกว่า”

“เอาสิครับ”

เราสองคนเดินหาที่นั่งไม่นานก็เจอก่อนจะรีบนั่งลงเพราะใกล้เวลาฉายแล้ว แต่ผมกับต้องสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ของผมกำลังดังขึ้น

“พี่ต้นน้ำลืมปิดเสียงเหรอ” โอ๊ตกระซิบถามผมเบาๆ

“โทษทีๆ”

ผมรีบกดปิดเสียงก่อนจะมองไปยังรายชื่อหน้าจอที่กำลังแสดงอยู่

[เต็งหนึ่ง]

ชื่อที่ปรากฏมีเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะตลอดทางที่ผมมาที่นี่เต็งหนึ่งพยายามติดต่อผมหลายครั้งแต่ผมเลือกที่จะไม่รับสาย อาจจะเพราะผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่สามารถจะคุยอะไรได้ กลัวถ้าเผลอพูดแรงหรืออะไรผิดแปลกไปจะทำให้ต้องทะเลาะกันเปล่าๆ ดังนั้นการอยู่กับตัวเองสักพักแบบนี้คงจะทำให้ผมได้คิดอะไรได้บ้าง

“ผมว่าพี่ปิดเครื่องไปเลยดีกว่านะ ผมเห็นพี่ปิดเสียงหลายครั้งแล้วเนี่ย”

“พี่ก็ว่างั้น” ก่อนที่มือผมจะกดปุ่มพาวเวอร์ค้างแล้วโทรศัทพ์ในมือก็ดับวูบไป

“ขอทางหน่อยครับ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยปากเบาๆ เพื่อที่ตนเองจะได้เดินเข้าไปด้านใน

“ได้ครับ” ผมรีบหลบขาของตัวเองทันที

“ขอบคุณนะต้นน้ำ”

แม้ในโรงหนังจะมืด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมไม่เห็นว่าคนที่มานั่งดูหนังอยู่ข้างๆ ผมนั่นเป็นใคร แถมน้ำเสียงและแววตาเองก็ดูเศร้าหมองลงไปมากจนผมไม่แน่ใจว่าใช่คนที่ผมเคยรู้จักไหม

“หมอก” ผมเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ

“หนังเล่นแล้ว” หมอกชี้ไปยังจอเพื่อให้ผมหันไปสนใจตรงหน้าแทน “ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ผมจำยอมเงียบแล้วดูหนังไป แต่ความจริงผมกลับดูหนังไม่รู้เรื่องเลย หลายครั้งที่ผมหันไปมองคนข้างๆ อย่างสงสัย ความจริงเราสองคนก็เจอกันที่มหาลัยทั้งยังมากวนผมอยู่บ่อยๆ แต่ผมกลับไม่เคยสังเกตเลยว่าสีหน้าของเต็งหนึ่งนั้นดูไม่ค่อยดีนัก

“มองเรานานๆ แบบนี้เราเขินนะ” หมอกละสายตาจากหนังแล้วหันมากระซิบบอก

“โทษที” ผมหันกลับไปดูหนังต่อ

“ก็บอกแล้วไง ว่าเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

“อืมๆ”

เกือบสองชั่วโมงกับหนังที่ฉายไปอย่างเมามันส์แต่ผมกลับไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ส่วนคนที่ดูรู้เรื่องแถมยังอารมณ์ค้างจนออกจากโรงอย่างโอ๊ตก็เอาแต่เล่าฉากสำคัญๆ อย่างฉากรถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็ว หรือฉากที่พระเอกยิงปืนสู้กับตัวโกงนั้นก็ล้วนแต่เป็นฉากเด็ดของเรื่อง แต่ผมกลับเก็บรายละเอียดเหล่านั้นไม่ค่อยได้เท่าไหร่

“พี่ต้นน้ำ คอยดูนะ ถ้าแผ่นออกมาผมจะรีบไปอุดหนุนอีกรอบเลย หนังดีๆ แบบนี้ต้องเก็บเอาไว้สะสม” ผมรู้สึกขอบคุณแทนค่ายหนังจริงๆ ที่มีแฟนพันธุ์แท้แบบนี้ แถมยังอุดหนุนของแท้มีลิขสิทธิ์อีกด้วย

“ซื้อแล้วบอกพี่ด้วยนะ จะได้ดูด้วยคน” ผมเอ่ยไปตามความจริง เพราะผมเองก็อยากดูเรื่องนี้จริงจังสักครั้ง

“ได้เลยพี่ ของแบบนี้พลาดไม่ได้”

“ต้นน้ำ”

เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมกับโอ๊ตหันไปมอง และเสียงนั่นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

“หมอก”

“เพื่อนพี่เหรอ” โอ๊ตกระซิบถามผมเบาๆ

“ใช่” ผมพยักหน้าพลางตอบกลับ

“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

“ได้สิ”

“แล้ว...” หมอกมองไปยังคนข้างๆ ผม เพื่อขอคำตอบว่าคนๆ นี้คือใคร

“นี่โอ๊ต น้องชายเรา” ผมแนะนำคนข้างๆ ให้หมอกได้รู้จัก “โอ๊ต คนนี้เพื่อนพี่ ชื่อหมอกนะ”

“สวัสดีครับ” โอ๊ตยกมือไหว้ตามมารยาท

“ดีครับ” หมอกยกมือรับไหว้

“ผมว่าถ้าพวกพี่จะคุยกันก็ได้นะ เดี๋ยวผมไปเดินซื้อของแถวนี้ก่อนก็ได้ แล้วถ้าคุยเสร็จพี่ต้นน้ำโทรตามผมแล้วกันนะครับ” ดูเหมือนโอ๊ตจะรู้สถานการณ์ตรงนี้ดีเลยรีบเสนอให้ผมได้มีเวลาคุยกับหมอก

“ขอบใจนะ ถ้าพี่คุยเสร็จจะโทรหานะ”

“ไปล่ะ”

พอตรงนี้เหลือเพียงเราแค่สองคน ผมก็ได้ยืนนิ่งๆ เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากอะไรออกมาบ้าง แต่หมอกกลับยืนเงียบพลางใช้สายตาคู่สวยมองที่ผมอย่างไม่กระพริบตา

“สบายดีใช่ไหม” นั่นคือคำถามแรกที่หมอกเอ่ยออกมา มันทำให้ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย

“สบายดี” ผมตอบสั้นๆ

“แล้วหิวไหม”

“นิดหน่อย” ผมยังคงตอบแบบสั้นๆ เหมือนเดิม

“ถ้างั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ”

หมอกยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินนำผมไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากโรงหนังมากนัก ความจริงแล้วร้านอาหารที่นี่ก็มีมากกว่าสิบร้าน แต่หมอกกลับพาผมเข้าไปยังร้านที่ผมมักจะมากินประจำ และยังเลือกโต๊ะมุมประจำที่ผมชอบนั่งอีกด้วย

“คิดถึงวันเก่าๆ เนอะ”

หลังจากนั่งได้สักพักหมอกก็เอ่ยถึงความหลัง ทั้งที่ความจริงแล้วผมเองก็กำลังคิดถึงมันเหมือนกัน เพราะที่นี่มันเป็นสถานที่ที่เราสองคนมากันประจำ แถมยังสร้างความทรงจำกับที่นี่ไว้เยอะจนจำแทบไม่หมด

“รับอะไรดีค่ะ”

แต่ก่อนที่เราจะได้คุยกันต่อ บริกรของร้านก็มาเดินมารับออเดอร์ของพวกเรา ผมสั่งเมนูเดิมที่เคยกินประจำ โดยที่หมอกเองก็สั่งเมนูประจำของตัวเองเหมือนกัน

“รายการอาหารตามนี้นะคะ” หลังจากทวนรายการอาหารเสร็จ บริกรของร้านก็เดินไป

“ยังกินเหมือนเดิมเลยเหรอ” หมอกชวนคุย

“ก็คงงั้น”

“นี่ถ้าเราไม่บอกเลิกต้นน้ำวันนั้น ป่านนี้เราก็คงมีความสุขกว่านี้สินะ”

“....”

“ความจริงก็เหมือนพูดแก้ตัวเนอะ อยู่ดีๆ ก็มาทำเป็นคุยดีด้วย แต่อย่างน้อยเราก็อยากจะบอกเรื่องวันนั้นให้ต้นน้ำได้รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง”

ระหว่างคุย หมอกไม่ได้มองหน้าผมเลย เขาเอาแต่นิ้วเขี่ยไปมาบนโต๊ะเหมือนเด็กๆ ที่กำลังครุ่นคิดอะไรเพลิน

“อีกอย่างยังทำหมางเมินเหมือนคนไม่รู้จักกันด้วย”

“แล้วไง” ใช่! ในเมื่อผมเป็นคนบอกไปเองว่าต่อไปก็อย่าได้ทำเป็นคนรู้จักกัน

“คนเราก็มันก็ต้องมีเหตุผลดิต้นน้ำ”

“แต่วันนั้นนายก็บอกเรามาหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเรามันน่าเบื่อ งี่เง่า ไม่น่ารักไงล่ะ” ผมยังจำถึงคำพูดเหล่านั้นได้ดี เพราะทุกคนมันยังย้อนให้ผมกลับไปมองตัวเองบ่อยๆ ว่าผมเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า

“แต่ที่เราพูดไปวันนั้นมันไม่ใช่แบบนั้นนะ” หมอกพยายามแก้ตัว อาจจะเพราะเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดีนักก็เป็นได้

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ในเมื่อนายเป็นคนพูด”

“เราขอโทษ เราผิดไม่แล้ว วันนั้นที่เราพูดไปเพราะสถานการณ์มันบังคับให้เราต้องทำแบบนั้น”

หมอกพยายามอธิบาย

“พ่อเราจับได้ว่าเราคบกับผู้ชายก็เลยสั่งบังคับให้เราเลิก เพราะท่านมีผู้หญิงจะให้เราเป็นแฟนด้วย แถมขู่อีกว่าถ้าไม่เลิกกันก็จะตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย แล้วแบบนั้นจะให้เราทำยังไงล่ะ ต้องยอมโดนตัดพ่อลูก หรือยอมเสียนายไป แต่สุดท้ายเราก็ต้องเลือกครอบครัว ต้นน้ำเข้าใจเราหน่อยสิ”

“แล้วทำไมนายไม่บอกเราล่ะ อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ทำไมต้องทำร้ายจิตใจเราด้วย” ผมมองหน้าคนตรงหน้าเพื่อหวังว่าจะมีคำตอบดีๆ หลุดออกมาจากปากหมอกบ้าง

“พ่อเราสั่งไม่ให้เราติดต่อกับต้นน้ำอีกเลย” และนั่นเป็นคำตอบที่ทำเอาผมหัวใจไม่ทั่วท้อง “แม้แต่เป็นเพื่อนกันก็ตามที”

“แล้วทำไมตอนนี้...”

“พ่อเราเสียไปแล้วล่ะ”

เป็นอีกคำตอบที่ทำเอาผมรู้สึกจุกแน่นไปทั้งตัว ความรู้สึกต่างๆ มันตึงไปหมด ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดออกมาจากริมฝีปากบาง สายตาได้แต่มองตรงไปยังคนด้านหน้าที่นั่งนิ่งไม่ต่างไปจากผม

“เสียใจด้วยนะ” ผมพยายามพูดคำนั้นอย่างช้าๆ เพื่อหวังว่ามันจะถ่ายทอดความรู้สึกผิดของผมออกมาได้

“ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องมันผ่านมาแล้ว”

“....” ผมได้ก้มหน้านิ่ง

“อาหารมาแล้วค่า” บริกรสาวยกอาหารวางตรงหน้าพวกเราสองคน

“ต้นน้ำ รีบกินสิ เดี๋ยวเย็นหมดแล้วมันจะไม่อร่อยนะ“

หมอกเรียกสติผมให้กลับมา โดยที่เขาเองก็ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้าอย่างอร่อย ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จะมีก็เพียงแต่ผมที่ยังรู้สึกสับสนไปหมดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดูเลวร้ายไม่ต่างไปจากละครทีวี

“หมอก”

“หืม?” หมอกที่กำลังสนใจกับอาหารเงยหน้าขึ้นมามอง

“เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ใช่ไหม”

“แน่นอนสิ เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่” หมอกยิ้ม “แต่เสียดาย ช่วงที่เราหายไปดันมาคนมาจีบต้นน้ำแย่งจากเราไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ถ้าเขาทำให้ต้นน้ำเจ็บมาหาเราได้เสมอนะ เรายินดีให้ยืมอกอุ่นๆ นี้คลายความเหงาได้นะ”

“เสี่ยววะ”

“แล้วชอบป่ะละ”

“ไม่รู้ จะกินแล้ว หิว”

“โมโหแบบนี้ก็น่ารักดีนะเนี่ย”

“พอได้แล้ว”

 





 * ฝากติชมกันด้วยนะครับ *

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 14 : ถ่ายแบบ

 

ผมกับโอ๊ตกลับมาถึงบ้านในช่วงเย็นพร้อมกับของที่ซื้อติดมือกลับมาอีกเล็กน้อย จนไม่แน่ใจว่าไปเที่ยวพักสมองหรือตั้งใจไปช็อปปิ้งกันแน่ แต่ก่อนที่จะได้เข้าบ้านเต็งหนึ่งก็เดินมาขวางเอาไว้

“ไปไหนมา ทำไมไม่รับสายเรา” เต็งหนึ่งเดินเข้ามาหาผม พลางถามด้วยความเป็นห่วง

“ไปเที่ยว” ผมตอบ โดยที่ไม่หันไปมองคนข้างๆ

“หันมาคุยกันก่อนสิ ทำแบบนี้เรารู้สึกแย่นะ”

“โอ๊ต พี่ฝากของเข้าบ้านด้วยนะ เดี๋ยวพี่คุยธุระเสร็จแล้วจะเข้าตามไป”

ผมยื่นถุงของให้โอ๊ต โดยที่เจ้าตัวเองก็ได้แต่พยักหน้าเชิงเข้าใจแล้วรีบเข้าบ้านไป

“มีอะไร”

“โกรธเราเรื่องเมื่อเช้าใช่ไหม” เต็งหนึ่งเปิดประเด็น “เรื่องที่แฟนเก่าเรามาหานะ”

“เปล่า ไม่ได้โกรธ”

“ไม่ได้โกรธ แล้วทำไมต้องเดินหนีไปด้วยล่ะ เราโทรไปหาก็ไม่รับ แบบนี้ไม่เรียกว่าโกรธแล้วจะเรียกว่าอะไร”

เต็งหนึ่งรู้สึกสับสนไม่ต่างไปจากผม ขนาดตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำไปแบบนั้นเพราะอะไร ทั้งที่มันดูไร้เหตุผล และไร้สาระมาก แต่ก็หนีเอามาดื้อๆ แบบนั้น

“หึง พอใจป่ะ” ผมจำยอมรับความจริง

“หึง นายหึงเราเหรอ” เต็งหนึ่งเผยยิ้มออกมา

“ใช่ หึง”

“หึงเรากับแฟนเก่าเนี่ยนะ”

“แล้วไง หึงไม่ได้ไง แฟนตัวเองไปกอดกับแฟนเก่า แล้วจะให้แฟนใหม่อย่างเราทำไง ยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้อดีตคู่รักสวีตกันไปต่อหน้าต่อตาเหรอ เราทำไม่ได้”

“คิดมากจริงๆ เลย”

เต็งหนึ่งยกมือหนาขึ้นมาขยี้หัวผม

“เห้ยๆ ผมเสียทรงหมด”

“นิดเดียวเอง ยังไงก็หล่อเหมือนเดิม”

“ขยี้ซะแรงแบบนี้เนี่ยนะ”

“ยอมคุยกับเราดีแบบนี้ แสดงว่าหายแล้วใช่ป่ะ”

“ใครบอก” ใช่ ใครบอกว่าผมหายแล้ว

“ก็”

“ไปคิดหาวิธีง้อมาแล้วกันนะ ตอนนี้เราเหนื่อยมาก ขอตัวไปพักผ่อนก่อน เมื่อคืนก็นอนน้อยอยู่แล้วด้วย ตอนนี้คิดถึงที่นอนสุดๆ ไปเลย ไปล่ะ” พูดเสร็จผมก็เดินเข้าบ้านทันที ปล่อยให้เต็งหนึ่งยืนเหวออยู่พักใหญ่

“เดี๋ยวสิต้นน้ำ นอนบ้านเราก็ได้นะ” เต็งหนึ่งตะโกนตามหลังมา

“นอนที่นั่น มีหวังไม่ได้นอนอีกนะสิ”

“ใครบอก นอนเช้าต่างหากล่ะ”

“ทะลึ่ง”

ผมปล่อยให้เต็งหนึ่งยืนอมยิ้มอยู่หน้าบ้านต่อไป ส่วนตัวผมเองก็รีบเข้าไปนอนพักผ่อน ชดเชยในส่วนที่ยังไม่ได้นอนไป แต่ดูเหมือนพอหัวถึงหมอนปุ๊บผมก็เข้าสู่นิทราทันที

 

หลังจากที่ได้คุยอย่างเปิดอกกับหมอกไป ผมก็เริ่มมองเขาในแง่ดีมากขึ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะยังพูดกวนบาทาอยู่บ้าง แต่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นดีๆ สำหรับผมกับหมอก

อย่างเช่นวันนี้เราสองคนก็ใช้ชีวิตตามปกติ จะต่างก็คงที่เมื่อก่อนหมอกมักจะคอยเดินตาม ส่วนผมก็คอยมองอย่างไม่พอใจ แต่ตอนนี้เราสองคนกลับเดินเคียงข้างกันราวกับแฟนกันจริงๆ แต่มันคงเป็นแค่เรื่องในอดีตเพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้ผมเองมีแฟนใหม่ไปแล้ว และเขาก็เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งของผมเท่านั้น

“จริงสิต้นน้ำ พี่แอมไลน์มาบอกเรื่องวันถ่ายรูปลงเพจแล้วนะ” หมอกที่เหมือนเพิ่งจะนึกได้รีบบอกกับผมทันที ความจริงผมเองก็เพิ่งได้รับไลน์จากพี่แอมเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไป

“รู้แล้วล่ะ อาทิตย์หน้าใช่ป่ะ”

“ใช่ๆ” หมอกกดเปิดโปรแกรมแชตเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้ง

“แล้วแฟนนายโอเคป่าว เรื่องที่เราจะไปถ่ายกันเนี่ย”

พอถามแบบนี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ความจริงเต็งหนึ่งเองก็พอรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้นะสิ ผมกำลังรอให้เต็งหนึ่งมาง้ออยู่ช่วงนี้ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันเลย

“นั่นสิเนอะ เขาจะโอเคป่าว”

“อ้าว”

“ช่างเถอะ ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”

“เออๆ”

 

 

[ต้นน้ำ อยู่ไหนแล้ว]

“หน้ามอแล้ว กำลังเข้าไป” ผมรีบบอกปลายสายให้รู้

สาเหตุที่ผมต้องรีบขนาดนี้ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พี่แอมนัดผมกับหมอกมาถ่ายรูปนั่นเอง แถมผมดันมาตื่นสายซะอีก แต่ก็ยังดีที่โอ๊ตมาปลุกผมแถมยังช่วยออกมาส่งหน้าหมู่บ้านเพื่อที่ผมจะได้หารถมาที่นี่ได้ไวขึ้น สงสัยว่ากลับไปต้องซื้อขนมกลับไปฝากแน่ๆ

[รีบๆ เลยนะ พี่แอม รอนานแล้ว]

“เออๆ บอกพี่แอมด้วยอีกไม่กิน 10 นาทีไปถึงแน่”

จากนั้นผมก็รีบกดวางสายแล้วหันมองมอเตอร์ไซต์รับจ้าง แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไร้วี่แววของบรรดาพี่ๆ วินทั้งหลาย ซึ่งปกติจะนั่งกันเต็มวิน แต่ทำไมวันนี้กลับไม่มีสักคนให้ผมได้ใช้บริการเลย

“ให้ไปส่งไหม” ผมหันไปมองยังต้นเสียง เผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงนั่งคร่อมมอเตอร์ไซต์อยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก แถมยังใส่หมวกกันน็อตปิดหน้าตาจนผมไม่รู้ว่าคนๆ นั้นคือใคร

“อะไรนะครับ”

“เราถามว่า จะให้เราไปส่งไหม” หมวกกันน็อตถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของคนที่ผมรู้จักดีเป็นที่สุด

“เต็งหนึ่ง” ผมหน้าคนตรงหน้าอย่างงงๆ

“ว่าไง ไปไหม หรือว่าจะรอพี่วินดีล่ะ”

“เอ่อ...”

“มัวแต่เอ่อ เดี๋ยวก็สายหรอก” เต็งหนึ่งลงจากรถแล้วสวมหมวกใส่หัวผม ก่อนจะกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมบนรถ “ทำไมยืนนิ่งล่ะ หรือว่าจะต้องให้เราอุ้มขึ้นรถดี”

“ไม่ต้องๆ ขึ้นเองได้”

“ดีมาก แฟนใครเนี่ย น่ารักที่สุดเลย” เต็งหนึ่งหัวเราะชอบใจ ก่อนจะค่อยๆ ออกรถไป

และเพียงไม่ถึง 5 นาที พวกเราสองคนก็มาถึงห้องชมรมที่ดูเหมือนพี่แอมจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เหลือก็เพียงนายแบบอย่างผมที่กำลังวิ่งหน้าตั้งเข้าไปด้านใน พลางขอโทษทุกคนตรงหน้าที่มาผิดเวลา

“พี่แอม ผมขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรต้นน้ำ หมอกบอกพวกพี่แล้ว ตอนนี้รีบไปให้พวกพี่ตรงนู้นแต่งหน้าก่อนนะ แล้วค่อยมาเตรียมชุดอีกทีนะ”

พี่แอมรีบจัดแจงทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ส่วนผมเองก็รีบเดินไปให้พี่ๆ เขาแต่งหน้าทำผมทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา

“เหนื่อยไหมแอม” เต็งหนึ่งที่ดูเหมือนจะเดินตามเข้ามาเอ่ยทักพี่แอมอย่างสนิทสนม

“อ้าว เต็งหนึ่ง มาด้วยเหรอ”

“เผอิญมาส่งคนแถวนี้นะ” ไม่พูดเปล่า แต่สายตานั่นมองมายังผมเต็มๆ

“อ๋อ รู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย” พี่แอมมองผมสลับกับเต็มหนึ่งราวกับต้องการคำตอบว่าเราเป็นอะไรกัน และผมเองก็ลุ้นเหมือนกันว่าเต็งหนึ่งจะตอบอะไร

“รู้จักดีเลยล่ะ” เต็งหนึ่งอมยิ้ม

“ฮั่นแน่ พูดแบบนี้หมายความว่า...” พี่แอมแกล้งแหย่ แต่มันกลับทำให้เต็งหนึ่งหัวเราะออกมาเบาๆ

“น้องต้นน้ำ นั่งนิ่งๆ สิจ๊ะ พี่แต่งหน้าไม่ได้นะ”

“ขอโทษครับ” ผมหันกลับไปนั่งนิ่งๆ แต่หูก็ยังแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองคนนั้นต่อ

“แอม จะเป็นไรไหมถ้าเราจะขอถ่ายด้วยอีกคนนะ” เต็งหนึ่งเปิดประเด็น

“ถ่ายกับเด็กๆ นะเหรอ”

“เด็กขี้งอนนะครับ”

“เอ๋ มีเด็กแบบนั้นแถวนี้ด้วยเหรอ”

พี่แอมหัวเราะเบาๆ แต่ผมเนี่ยสิ ชักเริ่มหัวเราะไม่ออกแหละ เพราะไม่รู้ว่าเต็งหนึ่งกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือคำขอนั้นกำลังเป็นจริง

“ถ้างั้น เต็งหนึ่งก็เตรียมตัวให้เพื่อนเราแต่งหน้าทำผมรอได้เลย เอาไว้เราถ่ายเด็ก 2 คนนั้นเสร็จแล้ว ค่อยเรียกเต็งหนึ่งมาถ่ายต่อเลยนะ” พี่แอมแจงคิวที่ถูกเสริมมาให้เข้าใจง่ายๆ

“ขอบใจมากนะ เอาไว้จะตอบแทนทีหลังนะ”

“ไม่ต้องหรอกยะ แค่ถ่ายรูปสวยๆ ให้เรา แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว”

“เอางั้นก็ได้ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน”

จากนั้นเต็งหนึ่งก็มานั่งลงข้างๆ ผมเพื่อรอคิวแต่งหน้าต่อไป ส่วนผมเองพอหน้าตาและทรงผมเสร็จเรียบร้อย พี่ๆ ก็พาผมไปอีกห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยตรงนั้นหมอกที่กำลังเช็คตัวเองหน้ากระจกอยู่

“แต่งหน้าเสร็จแล้วเหรอ” หมอกหันมาถามผมแล้วหันกลับไปมองตัวเองในกระจกต่อ

“อืม เสร็จแล้ว” ผมตอบ “ว่าแต่นายเถอะ ส่องกระจกไม่เลิกจริงๆ เลยนะ”

“ทำไงได้ ก็คนมันหล่อ” คำตอบนี้บอกได้คำเดียวเงิบครับ ไม่ผมเคยไปชอบกับคนหลงแก่ตัวแบบนี้ได้ไงเนี่ย แค่คิดก็เพลียแหละ

“งั้นตามสบายครับพ่อคนหล่อ” ผมปล่อยให้หมอกชมตัวเองต่อไป ก่อนจะหันไปรับชุดที่พี่ๆ เขาเตรียมไว้แล้วเข้าไปเปลี่ยนด้านใน

ชุดที่ได้มานั้นเป็นชุดใส่สบายๆ อย่าง เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ซึ่งยอมรับว่าผมเองก็ชอบชุดนี้มาก เพราะมันเข้ากับลุคของผมมาก แถมยังทำให้ผมแลดูเป็นเด็กใสๆ อีกด้วย

“น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย” พี่แอมเอ่ยชมผม

“ขอบคุณครับ” ผมตอบพลางยิ้มแก้เขิน

“ถ้าเสร็จแล้ว เตรียมออกไปด้านนอกเลยนะ เราจะได้ถ่ายเซ็ตแรกกัน วันนี้คงเหนื่อยหน่อยนะต้นน้ำ พี่เตรียมเสื้อผ้าไว้ถ่ายหลายเซ็ตเลย คงไม่หนีพี่กลับก่อนนะ”

“ไม่หรอกครับ ชุดสวยๆ แบบนี้ ผมยินดีถ่ายให้ครับ”

“ถ้างั้นก็ไปด้านนอกกันเถอะ หมอกออกไปรอนานแล้ว”

“ครับ”

 


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nuttyboy2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
น่ารักกกกกก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 เดือนกว่าแล้ว

 :call: :call: :call:


ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 15 : คำขอโทษของผู้ชายคนหนึ่ง

 

หลายคนคงจะคิดว่าการมายืนอยู่หน้ากล้องเป็นอะไรที่รู้สึกพิเศษมาก เพราะจะทำให้เรารู้สึกโดดเด่นเป็นพิเศษ ราวกับเราเป็นบุคคลสำคัญที่มีคนคอยจับมอง แต่สำหรับผมตอนนี้มันไม่ใช่เลยครับ นอกจากจะต้องยืนโพสท่าให้ดูดีแล้ว สายตาก็ต้องมองไปยังเลนส์กล้องที่คอยจับจ้องทุกท้วงท่าของเราให้ออกมาดูดี ผิดกับคนข้างๆ ที่ดูเหมือนจะสนุกกับมันจนผมชักไม่แน่ใจว่าไปเก่งเรื่องการถ่ายแบบนี้มาจากไหน

“เกร็งเหรอ” หมอกหันมาถามผมหลังจากพี่ตากล้องของพัก

“ก็ประมาณนั้น” ผมยอมรับความจริง “ว่าแต่นายเถอะ ดูชิลๆ มากเลยนะ โพสท่าจะแต่ละทีอย่างกับนายแบบมายืนถ่ายรูปคู่กับเรานะ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นมั้ง”

“แล้วขนาดไหนล่ะ”

“ขนาดไหนนะเหรอ ก็เคยเห็นแล้วป่ะ” หมอกกระซิบข้างหู ทำเอาผมหน้าร้อนช่า “เป็นไรเนี่ย หน้าแดงเชียว คิดอะไรอยู่เนี่ย หึ”

“ก็...”

“ทะลึ่งวะ”

“เราหมายถึงโพสท่าถ่ายรูปเหอะ”

ผมพยายามพูดแก้ตัว แต่มันก็แสดงพิรุธออกมา เป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้นทั้งนั้นแหละ มาพูดสองแง่สองง่ามแบบนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่หน้ากล้องนะ คงได้เตะไอ้คนตรงหน้าสักทีไปแล้ว

“น้องๆ ครับ คราวนี้พี่จะจัดเต็มของจริงแล้วนะครับ” พี่ตากล้องตะโกนร้องบอก หลังจากที่เซ็ตอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมแล้ว

“แล้วที่ถ่ายเมื่อกี้คือยังไงครับ” ผมเริ่มงง

“อ่อ เมื่อกี้พี่แค่เทสกล้องนะ”

แค่คำตอบก็ผมเอาผมเครียดไปเลย นี่ขนาดแค่เทสกล้องเฉยๆ ผมยังรู้สึกเกร็งได้ขนาดนี้ แล้วต่อไปจะต้องถ่ายอย่างจริงจังแบบจัดเต็มอีกผมคงไม่แข็งเป็นขอนไม้แน่ๆ เลย

“ทำไมต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะต้นน้ำ” พี่แอมที่ยืนอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง

“ตื่นเต้นนะครับ”

“ไม่มีอะไรต้องตื่นเต้นหรอก ต้นน้ำแค่ทำตัวสบายๆ ชิวๆ เหมือนกับว่าตอนนี้ต้นน้ำอยู่กับหมอกแค่สองคน ทำกิจกรรมทั่วไป โดยไม่ต้องสนใจว่ากล้องจะจับภาพเราตอนไหน พี่ตากล้องเขาจะคอยถ่ายรูปให้เราเอง หรือบางทีก็อาจจะให้จัดท่าบ้างเล็กน้อย ดังนั้น ไม่ต้องไปกังวลกับมันมากนะ เชื่อพี่สิ” คำแนะนำเล็กๆ จากพี่แอมทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้บ้าง แต่มันก็ยังคงมีตื่นเต้นหลงเหลืออยู่

“ผมจะลองดูนะครับ”

“สู้ๆ นะ”

ผมยิ้มให้พี่แอมก่อนจะเดินกลับไปหาหมอกที่ดูเหมือนจะพร้อมกับการถ่ายครั้งนี้แล้ว

เสียงชัตเตอร์ที่ถูกกดรัวนั่นเป็นสัญญาณที่บอกให้ผมได้รู้ว่า ผมเริ่มชินกับมันแล้ว เพราะคำแนะนำของพี่แอมที่ผมได้มานั้นมันทำให้ผมสามารถยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง แถมคนที่ผมพร้อมถ่ายแบบด้วยเองก็ดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ เพราะไม่ว่าจะโพสท่าไหน เราสองคนก็โอมาดูดีจนพี่ตากล้องเอ่ยชมไปหลายครั้ง

“ต่อไปเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษานะ เดี๋ยวเราสองคนเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วอีกเดี๋ยวออกมาถ่ายต่อได้เลยนะ” พี่แอมชี้แจงก่อนจะส่งชุดต่อไปมาให้พวกเรา

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณพี่แอมสำหรับชุดที่นำมาให้

“เปลี่ยนเสร็จแล้วเจอกันด้านนอกนะ” พูดเสร็จพี่แอมก็เดินไปอีกด้านเพื่อเตรียมฉากต่อไป

“กินสิ จะได้มีแรง” เต็งหนึ่งยื่นแก้วน้ำมาตรงหน้า

“ขอบคุณนะ” ผมรับมาแล้วดูดทันที

“เป็นไง หายตื่นเต้นยัง”

“ก็หายมั้ง ไม่รู้สิ ก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่บ้างนะ แต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดแหละ รูปจะได้ออกมาดี อีกอย่างก็ไม่อยากให้พี่แอมจะต้องเสียเวลาฟรีๆ ด้วยนะ”

“คิดเยอะนะเรา”

“ก็นิดนึง” แม้ปากจะบอกนิดนึงแต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากเป็นพิเศษ “ว่าแต่เรา แล้วทำไมยังไม่กลับเนี่ย รอเราเหรอ”

“จะว่าใช่ก็ใช่ หรือจะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่”

“แล้วมันยังไง”

“ก็ได้ยินตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราจะถ่ายรูปกับเด็กขี้แงแถวนี้นะ”

“ว่าเราขี้แงเหรอ” ผมตีไหล่คนตรงหน้าไปหนึ่งทีข้อหาหมั่นไส้

“แล้วไม่จริงเหรอ งอนอะไรก็นานแท้ วันนี้ก็เลยจะหาวิธีง้อเลย”

“จะคอยดู”

ผมส่งแก้วน้ำคืนแล้วรีบเดินไปเปลี่ยนชุดทันทีโดยไม่หันไปมองคนตัวสูงที่ได้แต่ยินยิ้มอยู่ตรงนั้นคนเดียว

 

ใช้เวลาไม่นานผมกับหมอกก็กลับมายืนหน้ากล้องอีกครั้ง แต่คราวนี้สถานที่ถ่ายรูปกลับเป็นพื้นที่อาคารเรียนที่พวกเราเรียน โดยการถ่ายครั้งนี้เน้นความเป็นธรรมชาติของพวกเราสองคน เน้นย้ำชัดๆ ว่าเราสองคน ดังนั้นรูปที่เราจะถ่ายนั้นจะต้องเน้นความหวานเป็นพิเศษ ทั้งยืนจับมือกัน ยืนจ้องหน้ากัน หรือหนักสุดสำหรับผมก็คงเป็นนอนตักแล้วจ้องมองตากัน

“ทำแบบนี้แล้วนึกถึงเมื่อก่อนเนอะ” หมอกเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พลางใช้มือหนาเกลี่ยเส้นผมที่บังใบหน้า สายตาที่มองมานั้นไม่ต่างไปจากช่วงแรกๆ ที่เราสองคนเคยคบกัน เป็นแววตาที่มองกี่ครั้งๆ ก็ไม่รู้เบื่อ แถมมันยังทำให้หัวใจของผมเองรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“นั่นสิเนอะ เราชอบมานอนตักนาย ส่วนนายก็ลูบหัวเราไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็หลับ” แค่พูดถึงผมก็เหผอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“แถมปลุกก็ไม่ยอมตื่นอีกด้วย”

“คงงั้น” ผมได้แต่ฝืนยิ้ม

“แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวเหล่านั้นเป็นได้แค่เพียงความทรงจำที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกครั้ง” หมอกยิ้มตอบกลับ แต่ทำไมผมรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มนั้นมันกำลังร้องไห้

“หมอก...”

“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ก็ใช่ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันใช่ไหม ถึงจะไม่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่ไหม”

“อืม”

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วกุมมือคนข้างๆ เพื่อหวังว่าความรู้สึกดีๆ ที่ผมเคยมีให้เขานั้นมันยังคงไม่ต่างไปจากเดิม แม้ความสัมพันธ์ของเราจะลดลงเหลือแค่คำว่าเพื่อน แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อกัน

“ขอบคุณนะที่กลับมาอยู่ข้างๆ กันอีก”

“เพื่อนกันแบบนี้ดีสุดแล้วล่ะ” ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมาย แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของหมอกในตอนนี้

“ภาพสวยมากครับน้องๆ เดี๋ยวต่อไป เราจะไปถ่ายตรงทางเดินกันนะครับ” พี่ตากล้องบอก

“นี่น้ำจ๊ะเด็กๆ”

“ขอบคุณครับ” ผมและหมอกรับน้ำจากพี่แอมมาดื่มแก้กระหาย

“เดี๋ยวพอถ่ายตรงทางเดินเสร็จก็หมดแล้วล่ะ แต่ว่าต้นน้ำมีถ่ายต่อนะ”

“ต้นน้ำมีถ่ายอะไรเหรอพี่” หมอกถามอย่างสงสัย

“ความลับ”

แม้จะบอกความลับ แต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่าความลับที่ว่านั้นคืออะไร แต่ถึงยังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แถมผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนๆ นั้นจะหาวิธีไหนมาง้อผมกัน

สุดท้ายหมอกก็เก็บความสงสัยเอาไว้ แล้วไปถ่ายรูปต่อ

ตรงทางเดินไม่ได้ถูกเซ็ตอะไรเป็นพิเศษ นอกจากให้ผมกับหมอกเดินคู่กัน ต่อด้วยจับมือกันบ้างตามประสาคนรักกัน แต่ในความเป็นจริงมันคืออดีตก็ตาม ปิดท้ายด้วยผมขึ้นขี่หลังหมอก

“พร้อมนะ” หมอกหันมาถามผม

“พร้อมๆ”

จากนั้นผมก็ทิ้งน้ำหนักลงบนหลังหมอก ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ ทรงตัวแล้วยื่นขึ้นอย่างช้าๆ จนผมชักไม่แน่ใจว่าหมอกจะรับน้ำหนักผมไหวหรือเปล่า

“ไม่เจอกันแค่แปบเดียว หนักขึ้นนะเนี่ย”

“ให้มันน้อยๆ หน่อย เมื่อก่อนอุ้มเราได้สบายๆ เลยไม่ใช่เหรอ”

“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ อ้วนขึ้นป่ะเนี่ย” หมอกยังบ่นไม่เลิก

“ก็แค่ไม่กี่โลเอง ทำเป็นบ่น”

“เราไม่ได้บ่น เราแค่สงสัย”

“ก็แล้ว...”

“ต่อให้ต้นน้ำจะหนักถึงร้อยโล เราก็อุ้มไหว” หมอกพูดขึ้นเบาๆ

“ขอโทษนะ” ผมก้มลงกระซิบข้างหู “ขอโทษที่ทำให้ต้องกลับไปคิดถึงเรื่องในอดีตอีก ขอโทษที่เราทำให้นายต้องเจ็บกับเรื่องนั้นอีก”

“เลิกขอโทษได้แล้ว คนที่ผิดมันคือเรา ดังนั้นไม่ได้ขอโทษอะไรอีกแล้วเข้าใจไหม”

“....” ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่กอดหมอกให้แน่นอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าผมเองจะได้ทำแบบนี้อีกไหม

การถ่ายแบบสิ้นสุดลงด้วยดี แน่นอนว่าได้รับคำชมจากพี่แอมเยอะเป็นพิเศษ แถมยังได้ค่าขนมติดมือได้ เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้มซะอีก

“เดี๋ยวต้นน้ำไปเอาชุดด้านในไปเปลี่ยนแล้วไปเจอกันด้านบนนะ คนที่จะถ่ายรูปคู่กับเราเขารออยู่แล้วล่ะ” พี่แอมรีบชี้แจง

“ได้ครับ”

“ใครเหรอพี่แอม” หมอกยังคงถามต่อ

“ถ้าอยากรู้ ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามขึ้นไปด้านบนแล้วกันนะ” พี่แอมไม่ตอบแต่กลับให้หมอกไปดูเอง

“ก็ได้ครับ”

 

หลังจากที่รับเสื้อสูทสีน้ำเงินมาผมก็รีบใส่แล้วขึ้นไปยังชั้นสองตามที่พี่แอมบอก ตรงนั้นถูกจัดไปด้วยซุ่มดอกไม้จำนวนมาก ตลอดจนบนผนังเองก็มีเหล่าลูกโป่งน้อยใหญ่ประดับเอาไว้จนหนาตา และไม่ไกลจากตรงนั้นก็มีชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนเด่นสง่าจนผมแอบเผลอยิ้มให้โดยไม่รู้ตัว

“ต้นน้ำ” ร่างสูงนั้นเอ่ยเรียกชื่อผมเบาๆ

“ลงทุนเยอะนะเนี่ย” ผมเอ่ยแซว

“จะง้อแฟนทั้งทีมันก็ต้องลงทุนก็นิดหน่อยนะ อีกอย่าง...” นิ้วยาวชี้ไปอีกฝากที่มีพี่ตากล้องพร้อมเก็บภาพสวยๆ อยู่ไม่ไกลจากตรงที่เราอยู่ “...พี่ก็อยากแสดงความรักที่มีต่อต้นน้ำให้คนอื่นได้รู้บ้างก็เท่านั้น”

เต็งหนึ่งเดินหายเข้าไปด้านในก่อนจะกลับมาพร้อมกับช่อดอกกุหลาบสีแดงขนาดเล็ก แล้วเดินตรงมาที่ผมยื่นอยู่

“ขอโทษสำหรับทุกเรื่องนะ” ช่อดอกกุหลาบถูกยื่นมาตรงหน้าผม “ต่อไปเราสัญญาว่าจะทำหน้าที่แฟนที่ดี”

“สัญญาแล้วต้องทำให้ได้นะ“ แน่นอนว่าผมรับช่อดอกไม้นั้นมา

“ต้องทำได้สิ”

ผมก็โผกอดคนตรงหน้า

แต่ภาพนั้นกลับทำให้ใครคนหนึ่งที่ยืนแอบมองอยู่นั้นต้องรู้สึกเจ็บลึกไปถึงกลางใจ แล้วต้องยอมรับในความเป็นจริงที่เป็นอยู่

“มีความสุขมากๆ นะ ต้นน้ำ”

เสียงที่แผ่วเบาของหมอกล่องลอยไปกับสายลมโดยที่เจ้าของชื่อนั้นไม่ได้ยินมัน

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2017 15:57:03 โดย kenjangclub »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig2:

ในที่สุดก็กลับมา

 :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ kenjangclub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
    • ไอรัก / ซาคุ
Chapter 16 : คู่จิ้นตัวจริง

ต้องยอมรับเลยว่าหลังจากที่ภาพถ่ายของผมกับหมอกถูกปล่อยลงในเพจของคณะ กระแสตอบรับนั้นดีเกินคาดจนผมเองก็ยังแปลกใจไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่ผม เพราะหมอกเองก็ดูจะชอบใจกับผลงานนี้มาก แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของหมอกดูไร้ชีวิตชีวาราวกับไม่ใช่หมอกที่ผมเคยรู้จัก

“เป็นไรป่าวเนี่ย” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ ความจริงผมก็รู้สึกมาตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว

“เป็นไร ใครเป็นไร” แม้จะตอบปัดๆ แต่ผมก็ดูออกว่าหมอกมีเรื่องให้คิด

“ดูไม่ค่อยสดชื่นเลย ปกติไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่มีเรื่องให้คิดนะ อย่าห่วงเลย เดี๋ยวเราก็ดีขึ้นเองแหละ”

แม้ปากจะบอกแบบนั้น แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหมอกเป็นแบบนี้มาก่อน

ความจริงตั้งแต่วันที่พวกเราไปถ่ายแบบกัน ผมก็ไม่ได้เจอหมอกอีกเลย เพราะกว่าผมกับเต็งหนึ่งจะถ่ายเสร็จก็ใช้เวลาไปถึงช่วงเย็นเลย แล้วพอออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมกลับบ้านก็ไร้ซึ่งเงาของหมอกแล้ว ถามพี่แอมก็บอกแต่ว่าหมอกขอตัวกลับบ้านไปก่อน ซึ่งผมเองก็พอเข้าใจ แต่พอมาวันนี้ผมถึงได้รู้ว่าหมอกต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเป็นแน่

“มีอะไรก็บอกเราได้นะ”

“ขอบใจนะ”

“ถ้างั้นรีบไปกันเถอะ รุ่นพี่นัดเอาไว้ที่เดิม ถ้าไปสายอีกเดี๋ยวจะโดนพี่ก้องทำโทษอีก”

พอพูดถึงพี่ก้องผมก็นึกถึงบทลงโทษของพวกเราที่มันทำให้เราสองคนกลับมาสนิทกันอีกครั้ง แม้มันจะไม่เหมือนเดิมก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้มิตรภาพสำหรับเรากลับมา

ผมกับหมอกมาทันเวลาพอดี โดยที่ก้องยิ้มให้กับพวกเราเชิงประมาณว่าเกือบโดนแล้วนะ

“อาทิตย์หน้าคือวันเฉลยพี่รหัสของพวกน้องๆ พี่อยากรู้ว่าหลังจากที่น้องๆ ได้โค้ชลับไปแล้วน้องๆ ได้เจอพี่รหัสของตัวเองหรือยัง แต่พี่ก็ได้ยินข่าวมาว่าหลายคนเริ่มสืบหาพี่รหัสของตัวเองแล้ว บางคนก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย หรือบางคนก็เจอกันแล้วถือว่าเก่งใช้ได้ แต่อย่างที่บอกนะครับว่าถ้าใครหาพี่รหัสของตัวเองไม่เจอจนถึงวันนั้นเราจะมีบทลงโทษ เข้าใจไหมครับ”

“โห่” ไม่ใช่เสียงผมหรอกครับ แต่เป็นเสียงของทุกคนในภาคที่ร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ดังนั้นอย่าเพิ่งตัดใจกันนะ เข้าใจไหมครับ” คำหลังพี่ก้องตะโกนดังลั่นจนหลายๆ คนสะดุ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว

“เข้าใจครับ/ค่ะ” ทุกคนผสานเสียง

“ก่อนจะกลับ หมอกกับต้นน้ำมาหาพี่ด้วยนะ”

“ครับ” ผมกับหมอกตอบกลับแม้จะยังไม่เข้าใจก็ตาม

“สำหรับวันนี้แค่นี้ เจอกันอาทิตย์หน้านะครับ”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ”

เพื่อนในภาคเริ่มแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางจะเหลือก็เพียงพี่ก้องกับรุ่นพี่อีกไม่กี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเต็งหนึ่งอยู่ด้วย

“เป็นไงพวกนาย โอเคไหม” พี่ก้องเอ่ยสั้นหลังจากที่พวกเราเดินมาหา

“โอเคเรื่องอะไรครับ” หมอกถาม

“ก็พี่เห็นรูปพวกนายบนเพจ ไม่คิดว่าจะไปได้ไกลขนาดนั้น”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ อีกอย่างก็ไม่ได้ดูเสียหายอะไรด้วย ดีซะอีกมีคนรู้จักพวกเรามากขึ้น” ผมตอบไปตามความจริง “แถมยังได้ประสบการณ์ใหม่ๆ อีกด้วย”

“หมดกิจกรรมตรงนี้ก็ไม่ต้องเล่นบทคู่จิ้นแล้วนะ แต่ถ้าจะจิ้นกันต่อพี่ก็ไม่ว่านะ” พี่ก้องพูดติดตลกจนผมขำตาม แต่คนข้างๆ ผมเนี่ยสิไม่ยอมขำตาม

“คงไม่หรอกครับพี่ ต้นน้ำเขามีตัวจริงอยู่แล้วล่ะ แถมยังยืนอยู่แถวนี้ด้วย” หมอกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ใครเหรอ” พี่ก้องมองไปรอบๆ ก็พบกับสายตาคนๆ หนึ่งที่มองพวกเราไม่วางสายตา “อย่าบอกนะว่า...เต็งหนึ่ง”

“....” ผมไม่ตอบอะไร ส่วนหมอกเองก็เอาแต่ยืนนิ่งจนพี่ก้องคิดเองเออเองคนเดียว

“ถึงว่า วันนั้นที่พี่ให้พวกเราเป็นคู่จิ้นกันแล้วเต็งหนึ่งมาพูดเชิงไม่พอใจก็เพราะแบบนี้เองสินะ” พี่ก้องหัวเราะกับความตลกของตัวเอง “พี่ขอโทษเราด้วยนะที่ทำไปแบบนั้น”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกับหมอกเองก็ยินดี”

“รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้แฮะ”

“อย่าคิดมากไปเลยพี่”

“เป็นการไถ่โทษ พี่จะให้คำใบ้พวกเราเรื่องพี่รหัสแล้วกันนะ โอเคไหม”

“โอเคเลยพี่”

ผมตอบแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เพราะผมยังไม่เริ่มหาเลย ถ้าได้คำใบ้มาสักหน่อยคิดว่าน่าจะช่วยผมหาได้เร็วขึ้น อีกอย่างผมเองก็ไม่อยากโดนทำโทษรอบสองเหมือนกันและหมอกเองก็คงคิดเช่นเดียวกับผม

“พี่ชายขายาวงั้นเหรอ” พี่ก้องดูไม่แปลกใจกับมันเท่าไหร่ แถมยังยิ้มซะจนผมเริ่มแปลกใจ

“มันทำไมเหรอพี่” ไม่ใช่แค่ผมที่สงสัย หมอกเองก็สงสัยไม่แพ้กัน

“พี่บอกได้แค่ว่า ต้นน้ำเจอเขาบ่อยมากบ่อยกว่าพี่ด้วยซ้ำนะ” พี่ก้องอมยิ้ม“ส่วนของหมอก คนนี้หมอกก็เจอบ่อยพอๆ กับเจอพี่นั่นแหละ”

คำใบ้ที่ได้มา แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่มันก็พอจะทำให้ผมหาคนๆ นั้นได้ไม่ยาก

“ขอบคุณมากครับ”

“โชคดีนะ”

พี่ก้องเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะขอตัวไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่ดูเหมือนจะรอพี่ก้องเพื่อเตรียมตัวกลับกันอยู่แล้ว จะมีก็แต่เต็งหนึ่งที่ไม่ได้เดินไปสมทบกับพวกนั้น แต่เขากลับเดินมาหาผมแทน

“กลับกันเลยไหม”

“ก็ได้นะ” ผมตอบตกลง “นายจะกลับพร้อมกันเลยไหม”

“ตามสบายเลย” หมอกตอบแค่นั้นก่อนจะเดินไปอีกทาง

“มันโอเคไหมนะ ปกติเจอหน้ากับเราทีไรจ้องจะหาแต่เรื่อง แต่ทำไมวันนี้มันดูเงียบๆ แปลก”

ไม่ใช่แค่เต็งหนึ่งที่รู้สึกอย่างเดียว ผมเองก็รู้สึก แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้เจ้าตัวเป็นคนพูดเอง

เราสองคนกลับมาถึงบ้านก็พอดีกับที่น้าพิมพ์กำลังตั้งโต๊ะพอดี ตอนนั้นเต็งหนึ่งก็เลยต้องมาร่วมโต๊ะกับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้

“อิ่มมาก แถมอร่อยด้วย” นั่นคือเสียงของเต็งหนึ่งที่ตอนนี้นอนตีพุงอยู่บนเตียงนอนของผม

“โชคดีนะเนี่ย ถ้ามาไม่ทันก็คงกลับไปกินมาม่าอีกใช่ไหมเนี่ย”

“พูดอีกก็ถูกอีก” เต็งหนึ่งหัวเราะแห้งๆ “ป้าสาก็ไปธุระบ่อยๆ จนไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ก็ต้องทำใจแหละ อีกอย่างเราเองจะทำกินก็ได้นะแต่ขี้เกียจ”

“ให้มันได้อย่างนี้สิ”

“ก็รอว่าคนแถวนี้จะไปทำให้กินมากกว่านะ”

“ขอกันแบบนี้เลยเหรอ”

ผมล้มตัวนอนลงข้างๆ

“ก็ต้องแบบนี้แหละ ไม่งั้นก็อดกินฝีมือแฟนตัวเองสิ” บทจะหวานก็มาเป็นชุดจนผมอดยิ้มไม่ได้พลางหันมองคนที่นอนข้างๆ “แอบมองเหรอ”

“ไม่ได้แอบมอง แต่มองตรงๆ เลย”

“คืนนี้นอนห้องเราไหม”

เต็งหนึ่งเองก็หันมาสบตากับผม

“อยากนอนกอดแฟนตัวเองจัง”

ไม่พูดเปล่า แต่เต็งหนึ่งดึงผมเข้าไปกอดทันที

“ทำอะไรเนี่ย ปล่อยเลย เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น”

“ใครจะมาเห็น เราอยู่กันในห้องนะ”

แต่ไม่ทันขาดคำ ประตูห้องผมก็เปิดออก พร้อมกับโอ๊ตที่ยืนมองพวกเราอย่างตกใจ เป็นผมก็คงตกใจที่เปิดมาเจอผู้ชายสองคนนอนกอดกันแบบนี้

“ขอโทษครับ ผมลืมเคาะประตู” โอ๊ตเอ่ยขอโทษแล้วรีบไปหลบหลังประตู

“มีอะไรเหรอโอ๊ต” ผมที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระร้องถาม

“แม่ผมให้ตามพี่ต้นน้ำไปหานะครับ”

“เดี๋ยวพี่ตามไปนะ” ผมบอก “เดี๋ยวมานะ นอนเล่นไปก่อนแล้วกัน”

“แล้วรีบมานะ คิดถึง”

“รู้แล้วน่า”

ผมออกมาหาน้าพิมพ์ตามที่โอ๊ตไปตาม แต่พอมาหาจริงๆ กลับไม่ได้มีอะไรพิเศษ นอกจากเรียกผมออกมากินขนม กับถามเรื่องการเรียนของผมว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งผมก็บอกไปตามความจริง

จะเว้นก็แต่โอ๊ตที่นั่งกินขนมไปแอบมองผมไปจนผมชักไม่แน่ใจว่าโอ๊ตต้องการอะไร

“เต็งหนึ่งกลับบ้านไปหรือยังล่ะต้นน้ำ ทำไมไม่ชวนออกมากินขนมด้วยกันละลูก” แต่ไม่ทันขาดคำ เต็งหนึ่งก็เดินออกจากห้องมาสภาพผมฟู พลางมองพวกเราอย่างงงๆ

“มีอะไรเหรอครับ”

“เต็งหนึ่งมากินขนมด้วยกันสิ” น้าพิมพ์เอ่ยเรียก

“ขอบคุณครับ” เต็งหนึ่งนั่งลงข้างๆ ผมพลางหยิบขนมใส่ปาก

“อยู่บ้านคนเดียวถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกน้าได้นะ หรือไม่ก็ฝากมากับต้นน้ำก็ได้ ป้าสาไปธุระบ่อยมากเลยช่วงนี้ น้าสงสารว่าเราจะกินข้าวไม่ครบทุกมื้อนะ” น้าพิมพ์บอกด้วยความเป็นห่วง ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย

“ได้ครับ”

“แล้วถ้านอนคนเดียวไม่ได้ ก็มานอนบ้านนี้ก็ได้ หรือจะให้ต้นน้ำไปนอนเป็นเพื่อนเราเหมือนคราวก่อนก็ได้นะ น้าอนุญาต” น้าพิมพ์ตัดสินใจให้เสร็จโดยไม่หันมาถามผมสักคำว่าผมโอเคไหม แต่หน้าเต็งหนึ่งเนี่ยสิยิ้มให้ผมราวกับต้องการสื่ออะไร

“เรื่องนั้นผมก็คิดอยู่เหมือนกันครับว่าคืนนี้ผมจะให้ต้นน้ำไปนอนด้วย”

“จริงดิ” ผมหันมองคนข้างๆ

“ก็จริงนะสิ ต้นน้ำไม่รู้เหรอว่าเรานอนคนเดียวมันเหงาจะตาย ไม่เหมือนมีคนมานอนข้างๆ หรอก”

ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งถูกใจน้าพิมพ์เข้าไปอีก แถมส่งเสริมเต็งหนึ่งแบบจัดเต็มจนผมปฏิเสธไม่ได้ ถ้าน้าพิมพ์รู้ว่าผมไปนอนที่นั่นแล้วมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเนี่ยน้าพิมพ์จะรับได้ไหมเนี่ย แค่คิดก็ปวดหมองแล้ว แต่ทุกความคิดของผมดูเหมือนว่าจะไม่พ้นสายตาของโอ๊ตที่คอยมองอย่างจับผิดอยู่ตลอด

“ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ” เต็งหนึ่งเอ่ยลาน้าพิมพ์ แล้วหันมากระซิบผม “รีบอาบน้ำแต่งตัวมาให้หอมๆ เลยนะครับที่รัก”

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ว่าอะไรตอบกลับ เต็งหนึ่งก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป

“พี่ต้นน้ำครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่นะครับ”


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ nuttyboy2017

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao6: :hao6:

รอตอนต่อไปเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด