ตอนที่ 22
[Soul’s part]
พี่ซีนเปลี่ยนไป ไม่สิ...พี่ซีนแปลกไป
‘อดีตมันก็คืออดีต’
ใช่...พี่ซีนบอกแบบนั้น
แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่ซีนเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นที่อยู่ๆ ก็เมินผมไปเสียอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไม่ได้ลวนลามตามใจอยากเลยสักนิด พี่ซีนบอกให้อาบน้ำ ผมก็อาบ บอกให้ดูทีวีรอ ผมก็ทำตาม ไม่ได้ขัดใจเลย
...อย่างนั้นก็มีอยู่เรื่องเดียวไม่ใช่หรือไง
“พี่ซีน”
“แป๊บนะ พี่โป้งครับ ตรงนี้ผมต้อง...” แล้วคนตัวบางก็เดินไปหาผู้กำกับทันที ฉากต่อไปไม่มีอะไรยากด้วยซ้ำ แต่เหมือนพี่ซีนปลีกตัวออกไปหาพี่โป้งอยู่ตลอดเวลา แล้วนี่ก็รอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งที่ผมพยายามจะคุยด้วย
“พี่ซีน”
“อ้าว พี่บัว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
“พี่ซี—”
“น้องซีนคะ มาดูตรงนี้หน่อย” ไม่พี่โป้งก็พี่ปุ้ย แล้วยิ่งพอพี่บัวมาก็ไปขลุกอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ปกติพี่ซีนเองไม่ได้สนิทกับพี่บัวขนาดนั้น แต่เหมือนพยายามหลบเลี่ยงผมมากกว่า
ผมอยากให้เวลาเดินเร็วกว่านี้ อยากเคลียร์ให้รู้เรื่อง เมื่อวานหลังกินข้าวเสร็จมีใครส่งข้อความาหาเจ้าตัวก็ไม่รู้ แต่นั่นเป็นสาเหตุที่อีกคนนิ่งเงียบใส่ผม ถามก็บอกไม่มีอะไรแต่ท่าทางของเขามันไม่ใช่เลย
ผมไม่รู้ว่าพี่ซีนได้ยินอะไรมากจากพี่กิ๋งบ้าง ไม่รู้ว่าใครส่งข้อความมาหาและข้อความนั่นบอกว่าอะไร ถ้าให้ผมลองย้อนกลับไปมองตัวเองก่อนที่จะเจอพี่ซีนผมก็ยอมรับว่ามีเยอะอยู่เหมือนกัน สาวๆ ในมหา’ลัยสวยน้อยกันที่ไหน แล้วบางคนผมแทบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรด้วยซ้ำ ไม่มีพันธะอะไรจะเล่นด้วยหน่อยก็ไม่เสียหายใช่หรือเปล่า แต่ให้ผมสาบานเลยก็ได้ว่าตั้งแต่ชอบพี่ซีน ผมก็ไม่สนคนอื่นอีก ไม่ว่าจะน้องหน้าหมวยๆ นั่น หรือรุ่นพี่ในคณะที่คุยกันมาสักพัก
ไม่รู้เรียกว่าหึงได้หรือเปล่า...แต่คิดว่าไม่ อารมณ์หึงหวงนั่นเหมือนผมมีต่อเขาฝ่ายเดียว ผมว่าพี่ซีนน่าจะรับรู้ว่าผมมองเขาคนเดียว ใส่ใจเขาอยู่คนเดียวและค่อนข้างจะเปิดเผยให้คนอื่นเห็นด้วยซ้ำ อีกคนเลยไม่คิดมากกับเรื่องแบบนี้ ต่างกันกับพี่ซีน รายนี้ชอบใส่ใจความรู้สึกทุกคน ที่จริงผมนอยด์อยู่บ้างแต่ไม่อยากทำตัวงี่เง่าเกินไป ยกเว้นเวลาไอ้พระรองนั่นทำอะไรเกินขอบเขต นึกแล้วยังโมโหไม่หาย ผมอยากกระทืบมันให้มากกว่านี้ ไม่สนว่าใครจะมองยังไงทั้งนั้น ยิ่งเห็นพี่ซีนจะร้องไห้เพราะมันผมก็ยิ่งอยากซัดมันเข้าไปอีก
สงสารคนอื่นแต่ไม่สงสารผมบ้างเลย...พี่ซีนน่ะไม่เคยรู้หรอกว่าผมหวงเขาขนาดไหน
ไม่รู้ว่าความรู้สึกของพี่ซีนที่มีต่อผมมันมีมากเท่าไหร่ และทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยพูดคำคำนั้นออกมาเลยสักครั้ง แต่แค่พี่ซีนยังอยู่กับผม เท่านั้นก็พอแล้วหรือเปล่า...ผมพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้น
ทั้งที่อยากจะโลภให้ได้มากกว่านี้ แต่ผมก็เลือกที่จะให้เวลากับอีกคน
ผมไม่อยากไปยุ่มย่ามกับโทรศัพท์ของเขา แม้อยากรู้ใจจะขาดว่ารับรู้เรื่องอะไรมา อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่ท่าทีของพี่ซีนไม่เหมือนหึงผมสักนิด ตอนนี้เหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่างมากกว่า เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ผมเลยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้พี่ซีนโกรธตอนไหน
“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”
“เลิกกองก่อนนะ”
“แต่...”
“โซล” อีกคนเม้มปากแน่น “ไม่ใช่ตอนนี้”
“ผมแค่อยากรู้ว่าพี่เป็นอะไร ทำไม...”
“อย่าเพิ่งถามได้ไหม”
“…”
“ทั้งหมดนั่นก็เพราะมึง..”
“แล้วผมทำอะไร บอกผมสิ ผมขอโทษ”
“..อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย”
...แต่ผมแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...
เวลาผมเข้าใกล้ อีกคนก็เก็บโทรศัพท์ลงอย่างกับมีความลับ ทั้งที่พี่ซีนไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนที่พี่ซีนคุยด้วยคือไอ้พระรองนั่น ผมไม่คิดว่าพี่ซีนจะชอบไอ้นั่นหรอก เพียงแต่เขาค่อนข้างขี้ใจอ่อนและยังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้นอยู่ด้วย ไม่รู้ไอ้นั่นมันจะสำออยอะไรให้คนของผมเห็นใจ
ผมมองตามคนตัวบางที่เดินออกมาจากฉาก พี่ซีนไม่มองผมเลยด้วยซ้ำ พอเช็คมอนิเตอร์เสร็จก็หายไปกับพี่ปุ้ย รายนั้นก็แปลก ดูให้ความร่วมมือกับพี่ซีนแปลกๆ อาจเพราะเรื่องของไอ้พระรองนั่น มันต้องพักงานทั้งที่เพิ่งเข้าวงการ ถ้าเรื่องนี้ไม่โดนปิดเงียบ ความเสียหายไม่เกิดแค่ที่ตัวผมแต่รวมไปถึงซีรีส์เรื่องนี้ด้วย ผมยอมรับว่าคิดน้อยไปหน่อย ขอโทษไปแล้วและพี่ปุ้ยก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับกันพี่ซีนออกจากผมแทน นี่คือการลงโทษใช่ไหม...?
ผมพยายามนึกหาสาเหตุอีกครั้ง นึกย้อนไปว่าตัวเองทำอะไรลงไปมั่ง แต่ก็หาไม่เจอสักเหตุผล โทรศัพท์ผมไม่ได้เงียบ มีคนทักมาเรื่อยๆ และผมก็ปฏิเสธไปหมดเช่นกัน
พี่ซีนเดินกลับมา ถ้าไม่ได้เข้าฉากเขาไม่อยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมชักเริ่มหงุดหงิด มันร้อนใจไปหมด อีกคนจะรู้ไหมว่าการพยายามเมินผมมันทรมานผมขนาดไหน
ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจกันแน่...
เราอยู่ในฉากที่ถูกเซ็ทขึ้นเป็นห้องครัว พี่ซีนใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำ ผมเอาแต่จับจ้องคนที่ก้มหน้าก้มตาดูบทอย่างเดียว
“มึงหันหลังอยู่แบบนี้ ไอ้โซลมึงเท้าแขนไว้ตรงนี้”
คิ้วผมกระตุกอยู่หน่อยๆ เมื่อพี่โป้งสาธิตให้ดู ฉากอื่นน่ะได้แต่ฉากนี้มัน...
“ไอ้ซีนมึงหันมา” คนตัวบางค่อยๆ หันมาตามคำสั่ง “จ้องสักพัก แล้วมึงเอาแขนขึ้นมาโอบ”
พี่ซีนประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉากนี้คงจะเป็นฉากที่เขาไม่อยากแสดงมากที่สุด ตามปกติแค่ผมแตะนิดแตะหน่อย เจ้าตัวก็หน้าแดงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำนองนี้เลย
“โซลมึงทำแบบนี้...”
“เดี๋ยวพี่” ผมร้องห้ามตอนที่พี่โป้งก้มหน้าลงไปหาพี่ซีน
“ไม่ได้ทำจริง กูจะทำให้มึงดูเนี่ย”
ผมรู้ แต่มันใกล้ไปเว้ย
“แล้วเลื่อนลงมา...” พี่ซีนหลับตาแน่น ขณะที่ผมอยากจะเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน “ค่อยๆ นะ แบบนี้...”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
สุดท้ายผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปแทรกระหว่างสองคนนี้ไม่ได้ ผมรู้ว่ามันเป็นงาน แต่อารมณ์ของผมตอนนี้เริ่มจะควบคุมยากขึ้นทุกที
พี่โป้งทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร แล้วบอกให้ผมทำให้ดู
ผมเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์ พี่ซีนสะดุ้งน้อยๆ ดูเกร็งกว่าที่พี่โป้งทำเสียอีก คนตัวบางค่อยๆ หันหน้ามา สบตาผมไม่ถึงวิก็หลบ
“อย่าเพิ่งซีน”
แต่คำสั่งของผู้กำกับทำให้เขาต้องหันกลับมาจ้องผมอีกครั้ง
ผมใช้ปลายจมูกแตะลงบนข้างแก้มของอีกคน ไล้เบาๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมา พี่ซีนตัวสั่น ทั้งหัวใจยังเต้นแรงจนผมสัมผัสได้
“เออ ประมาณนี้ เอาเลยนะ”
พี่ซีนผินหน้าหนีกลับไปทันที ในใจผมร้อนเป็นไฟ เขาจะรู้ตัวไหมว่ามีอิทธิพลต่อผมมากเท่าไหร่
“…แอคชั่น”
พี่ซีนเหมือนยังไม่พร้อม แต่ผมจะไม่รอแล้ว ในเมื่ออีกคนไม่คิดบอกเหตุผลที่เมินเฉย ผมก็จะลองใจร้ายกับคนตรงหน้าดูสักครั้ง
อีกฝ่ายห่อไหล่เข้าหากันขณะที่ผมจงใจพ่นลมหายใจใส่ ในตอนที่อีกคนหันมาแววตาวูบไหวไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อน แต่กลับยิ่งเพิ่มความสงสัยในสิ่งที่คนตรงหน้ารับรู้มา
ผมทำตามที่เราซักซ้อม แต่อย่างว่า...ผมมันพวกชอบนอกบทนี่ ผมไล้ปลายจมูกไปตามโครงหน้าของเขา ริมฝีปากผมเฉียดมุมปากเขาไปเพียงเล็กน้อย เท่านั้นก็พอให้อีกคนเกือบเบือนหน้าหนี
ใบหน้าผมเคลื่อนต่ำลงมา เปลี่ยนจากปลายจมูกเป็นริมฝีปากประทับไปตามลำคอขาวเนียน ผมทาบตัวแนบชิดกับเขามากขึ้น และสัมผัสก็หนักหน่วงมากขึ้นเช่นเดียวกัน
พี่ซีนตัวสั่นมากกว่าเดิม เขาเชิดหน้าขึ้นขณะที่มือจิกเสื้อผมแน่นและพยายามดันตัวผมออก
“อ..อ๊ะ!”
“..คัท…คัทโว้ย!”
ผมยอมผละออกมาจ้องใบหน้าของอีกคนที่แดงก่ำ ที่ลำคอของเขาขึ้นร่องรอยสีแดงช้ำ...และในตอนนั้นเองที่ผมใจอ่อนยวบ นัยน์ตาอีกคนสั่นไหวตื่นตกใจกับสิ่งที่ผมทำ ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่น
“ไอ้ซีนไปพักก่อน ไอ้โซลเตรียมเข้าฉากต่อไป”
“ผมขอตัวแป๊บ”
ไม่รอคำตอบรับจากพี่โป้ง ผมก็รีบเดินตามพี่ซีนไปทันที ไหล่บางตรงหน้าห่อเข้าหากัน ผมใช้อารมณ์กับเขาและพี่ซีนกำลังกลัว อยากดึงอีกคนเข้ามากอด แต่พอเมื่อผมทำตามใจอยากก็โดนผลักออกทันที
“พี่ซีน”
“อย่า...”
“ผม...ผมขอโทษ”
“ไปเตรียมตัวเถอะ”
“เราคุยกันก่อนไม่ได้เหรอ ผมไม่เข้าใจทำไมพี่เป็นแบบนี้ ถ้าผมทำอะไรผิด ผมขอโทษ แค่พี่บอกมา ผมขอโทษ...”
“มึงขอโทษเรื่องอะไร”
“ทุกเรื่องที่พี่ไม่พอใจ ผมไม่รู้แต่ผมขอโทษ ถ้าพี่ไม่ชอบผมจะไม่ทำอีก...ไม่ว่าเรื่องอะไร”
“ไปเถอะ อย่าให้ทีมงานรอ”
“ถ้าเรื่องไอ้พระรองนั่น ผมไปขอโทษมันก็ได้ ผมผิดเองที่คิดไม่รอบคอบ ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
“โซล”
“ผมขอ...”
“กูอยากอยู่คนเดียว”
...ความผิดของผม มันหนักหนาถึงขนาดที่พี่ไม่รับคำขอโทษของผมเลยเหรอ...
ผมไม่มีสมาธิเลยสักนิด จากที่เคยได้รับคำชมบ่อยๆ กลายเป็นคำตำหนิ การที่ไม่แยกความรู้สึกส่วนตัวออกจากงานพลอยทำให้คนอื่นเขาเหนื่อยเพิ่มไปด้วย พี่โป้งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะเข้าวันใหม่อยู่แล้ว ทุกคนเพลียเหมือนกันหมด แต่ยังมีผมเป็นตัวถ่วงอีก
“มึงอย่าวอกแว่กได้ไหม ตอนนี้มึงกำลังทำอะไรอยู่”
“..ขอโทษครับ”
“พักไหม”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเอาใหม่ คราวนี้ดีๆ นะมึง”
ผมพยักหน้ารับคำเนือยๆ ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรสักนิด แต่เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของผู้กำกับผมก็ต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นทันที แล้วก็โดนพี่โป้งก็สั่งคัทอีกรอบ
“มึงทำอะไรของมึงวะโซล”
ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ยกมือขึ้นปิดใบหน้าที่เหนื่อยล้าเกินไปของตัวเอง วันนี้เหมือนผมทำอะไรก็ผิดไปหมด เมื่อกี้ผมเต็มที่แล้วนะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพักเพราะถ้าพี่ซีนยังเป็นอยู่อย่างนี้ ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น
แต่ในตอนที่ผมเงยหน้าขึ้น พี่ซีนกลับยืนอยู่ตรงหน้า...พร้อมกับเค้กก้อนโตในมือ
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...”
เสียงพี่ปุ้ยดังขึ้นคนแรก ตามมาด้วยเสียงทีมงานทุกคน ผมนั่งนิ่งอึ้งท่ามกลางเสียงร้องเพลงวันเกิด
นี่มันอะไรกันวะครับ...
พี่ปุ้ยพุ่งเข้ามากอดกอดผมแล้วเขย่าไปมา ผมแทบจะทรุดลงกับพื้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ พี่ซีนเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ พอเพลงจบก็พยัดเพยิดให้ผมเป่าเทียน
“สุขสันต์วันเกิดค่ะน้องโซล โอ๋ ไม่ร้องน้า”
ยกมือขึ้นปิดหน้าอีกรอบ ไม่มีน้ำตาสักหยด พี่ปุ้ยยังกอดผมไม่ปล่อย ทีมงานรอบตัวกล่าวขอโทษที่หลอกผม พี่โป้งเองก็ด้วย
“คือ...พี่ปุ้ยวางแผนนะ กูไม่เกี่ยว”
“พี่วางแผน แต่ทุกคนแสดงดีเกินไป”
“เมื่อกี้ไม่ได้ถ่ายจริงนะ” ผู้กำกับว่าขึ้น “กูโคตรตลกหน้ามึง”
ผมพรูลมหายใจ ลูบหน้าตัวเองแรงๆ “พวกพี่ครับ ผมจะบ้าตาย”
“ที่จริงจะเซอร์ไพรส์เที่ยงคืนเป๊ะ แต่คนแถวนี้ทนเห็นน้องโซลหงอยไม่ได้แล้วค่ะ นี่เร่งให้พี่เอาเค้กออกมาตั้งแต่สามทุ่ม”
คนถูกพูดถึงเฉไฉสายตาไปทางอื่น ผมหลุดยิ้มออกมา แค่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องล้อเล่นก็โล่งเหมือนความทุกข์ที่มีได้จางหายไปหมด พี่ซีนเดินเข้ามาขยี้หัวผม
“เครียดเลยดิ”
ยังจะมายิ้มอีกนะคนเรา...ผมคว้าเอวอีกคนเข้ามากอด พี่ซีนไม่ได้ขัดขืน และมือเขาก็ลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น
“ไม่ได้โกรธผมแน่นะ”
“ให้โกรธเรื่องอะไรเล่า”
“เมื่อวานอยู่ๆ พี่ก็ไม่คุยกับผม”
“พี่เป็นคนไลน์ไปหาเองค่ะ บอกให้ทำงอนน้องโซลเอาไว้ กลัวว่าเพิ่งมางอนเอาตอนนี้จะไม่เนียน”
แต่นี่เนียนไปหรือเปล่า...ผมเครียดหัวแทบแตก
“ขอโทษนะคะ เล่นพระเอกทั้งทีก็ต้องจัดหนักกันหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ” ผละออกจากอีกคน ยกมือไหว้ทีมงานรอบตัว “ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมาก เล่นซะผมไปไม่เป็นเลย”
คนต้นคิดหัวเราะถูกอกถูกใจ มีใครจะวางแผนได้ดีกว่านี้อีกไหม ให้พี่ซีนโกรธผมตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ผมลืมไปเลยว่าจะถึงวันเกิดตัวเอง ไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำ
“เล่นใหญ่นะครับ”
อีกคนยักไหล่ “เก่งปะละ”
...น่ามันเขี้ยวจริงๆ
“ยังไม่เลิกคิดอีกเหรอ”
“ผมเกือบจะเป็นบ้าก็เพราะพี่นะครับ”
หลอกกันมาทั้งวัน ผมเหมือนวิญญาณยังไม่เข้าร่าง จะดีใจก็ยังงงๆ อยู่
“สัญญาได้ไหมครับว่ามีอะไรจะบอกผมตรงๆ …แบบนั้นมันทรมานมากเลย”
“เฮ้ย เมื่อกี้แค่ล้อเล่น อย่าเครียดๆ”
“ผมรู้ แต่ถ้าวันไหนที่พี่ไม่พอใจอะไรผมจริงๆ บอกผมนะ”
“อืม มึงก็เหมือนกัน..” พี่ซีนอ้ำอึ้ง หูเขาแดงนิดๆ “..กูไม่เคยคบใครมาก่อน ถ้า...ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ...บอกได้”
น่าแปลกที่ผมน้อยใจเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่พออีกคนพูดอย่างนี้กลับคิดว่าที่เป็นเขาแบบนี้มันดีมากอยู่แล้ว จะบอกให้เลิกทำตัวให้ผมหวงก็คงไม่ได้ เพราะเขาไม่ต้องทำอะไรผมก็หวงอยู่แล้ว
“อ้อ มึงคิดว่ากูคุยกับเฟิร์สล่ะสิ คุยกับไอ้ทิมต่างหาก มันถามเรื่องมึงนั่นแหละ” อีกคนย่นจมูก ก่อนบ่นพึมพำว่าเพื่อนถามอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด
“ส่วนเรื่องเฟิร์สน่ะ...กูผิดเอง กูจะระวังตัวมากกว่านี้”
“…”
“ขอโทษนะ”
...ใครจะทนแววตาหงอยๆ ของเขาได้กัน แค่เขานึกถึงผมบ้างเท่านั้นหัวใจก็พองโตขึ้นมา
“ผมต่างหากที่ทำให้พี่หนักใจ”
“ไม่หรอก...” เขาว่าพลางสั่นหัว พี่ซีนแค่เป็นห่วงผม ส่วนผมน่ะมันอารมณ์ร้อนเกินไป
“แต่มึงบอกว่าจะขอโทษเฟิร์ส”
“นั่นพี่หลอกผม ถือเป็นโมฆะ”
เขาอ้าปากเหมือนจะด่าแต่โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นก่อน “อ๊ะ เที่ยงคืนแล้ว…” แววตาสุกใสจ้องมองผม “สุขสันต์วันเกิด มีความสุขมากๆ นะ”
ผมมีหลากหลายคำพูดที่อยากจะพูดออกไป แต่ในตอนนั้นหัวใจผมอัดแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง อยากขอบคุณที่ตอบรับความรู้สึกของผม ที่อยู่ตรงนี้กับผม และเป็นความสุขของผม...แต่ผมกลับตอบออกไปได้เพียงประโยคสั้นๆ เท่านั้น...
“ขอบคุณครับ”
“ไม่มีของขวัญเลย จะซื้อเมื่อวานแต่มึงมาหาก่อน” เขามุ่ยหน้า ท่าทางน่ารักจนอยากจับฟัดมันตรงนี้ ตรงที่พวกผมอยู่เป็นมุมอับที่ไม่มีทีมงานเพ่นพ่านเสียด้วยสิ...
“อยากให้ของขวัญผมเหรอ” ผมถาม อีกคนเลิกคิ้วนิดๆ ผมเลยชี้ไปที่แก้มของตัวเอง เท่านั้นคนตรงหน้าก็ฟาดมือลงมาเลย “โอย รุนแรงตลอด”
เขาอมยิ้ม...น่ารักมากจริงๆ ไม่รู้ว่าสายตาที่ผมใช้มองอีกคนเป็นแบบไหนเขาถึงหลบตาผม ผมเขี่ยแก้มเขาเบาๆ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นร่อยรอยที่ผมทำ
“เจ็บหรือเปล่า” ลูบต้นคออีกฝ่ายเบาๆ ดีที่มันอยู่ในที่ที่ปกเสื้อปิดเอาไว้ได้
“เจ็บสิ...กัดมาได้” พี่ซีนแยกเขี้ยวทั้งที่หน้าขึ้นสี “คืนนี้นอนโซฟาไปเลย”
“ได้ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย “แต่แค่คืนเดียวนะ”
ผมคิดจะทำจริง เพราะการที่เขาน่ารักขึ้นทุกวันจะทำให้ผมอดใจไม่ไหว
“ที่จริงของขวัญน่ะ ไม่ต้องหรอกครับ”
“…”
“แค่พี่อยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
เป็นของขวัญให้กับชีวิตผมแล้ว...ผมเป็นคนแรกของเขา แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้คือเขาก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกมากมายขนาดนี้ มีอิทธิพลต่อหัวใจมากเสียจนผมกลัว...
“อย่าทิ้งผมนะ”
“บอกตัวเองเถอะ” เขาจิ้มที่หน้าอกของผม “สาวเยอะนี่”
...ไหนใครบอกไม่สนใจอดีตกัน...ผมวางมือลงบนศีรษะเขา ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปลอยผมเบาๆ “ไม่มีวันนั้นครับ”
ผมจะทำให้เขาเห็นว่ามันไม่ใช่คำสัญญาลอยๆ คำว่าตลอดไปหน้าตาเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่กลับมั่นอกมั่นใจเหลือเกินกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ก็จะให้ทำยังไง...ในเมื่อหัวใจของผมมันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว
“ไม่มีวันนั้นเหมือนกัน...”
ความรู้สึกนับร้อยวิ่งวนกันให้วุ่น พี่ซีนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม ผมชอบทั้งเวลาที่เขาเขินอาย และเวลาที่เขาทำใจกล้าทั้งที่หน้าแดงอย่างนี้
“..ปากไม่แข็งแล้วแฮะ” มือผมเลื่อนลงมากุมใบหน้าของเขาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ แตะริมฝีปากเขาเบาๆ ใครๆ ก็ว่าประสบการณ์ผมโชกโชน แต่ใครเหล่านั้นจะรู้บ้างว่าแค่สัมผัสคนตรงหน้าเพียงเท่านี้ก็ทำเอาใจผมสั่นเหมือนสาวน้อยที่เพิ่งมีประสบการณ์ครั้งแรก ยิ่งครั้งแรกที่เราจูบกันผมแทบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ มันทั้งประหม่า ไม่กล้า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการมากกว่านั้น
เขาหอมหวาน น่าเชยชิมไปหมด และผมติดกับเต็มๆ
ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...คนตรงหน้ามีเวทย์มนตร์หรือไงกัน...
“อะแฮ่ม!”
พี่ซีนสะดุ้งเฮือก รีบร้อนผละออกจากผม ผมหันขวับไปทางต้นเสียง พี่โป้งยืนทำหน้าเอือมอยู่อีกมุมหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล
“เฮ้ย พี่มาตอนไหน”
“กูอยู่ตรงนี้นานแล้ว” พี่โป้งว่าฉุนๆ “ทำไมกูต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ด้วยวะ”
พี่ซีนกำเสื้อผมแน่น ก้มหน้างุดซบอยู่ที่อก ผมลูบหลังเขาเบาๆ ไม่รู้จะกล้าสู้หน้าผู้กำกับได้อีกหรือเปล่า เห็นคิสซีนไปเต็มๆ เสียด้วย
“กูคุยโทรศัพท์อยู่ ไอ้พวกนี้แม่งมาสวีทกันเฉย”
“งั้นพี่ก็ไปได้แล้ว”
“เออ!” ผู้กำกับกระแทกเสียง ก่อนเดินผ่านพวกผมเขาเหลือบมองพี่ซีนนิดนึง “ตอนแรกก็ว่าจะรอพวกมึงวิ้ดวิ้วกันเสร็จก่อน กลัวพวกมึงอาย แต่นี่แม่งไม่เสร็จสักที กลับไปต่อที่ห้องนู่น เดี๋ยวมีคนแอบถ่ายพวกมึงก็ซวยหรอก โว๊ะ!”
ต่อที่ห้องอะไรล่ะครับ...เจอแบบนี้พี่ซีนจะให้ผมเข้าใกล้หรือเปล่าก็ไม่รู้
น่าจะกลับไปเคลียร์ที่ห้องตั้งแต่แรก...เฮ้อ
---------------------------------------------
พระเอกเราถอนหายใจหนักมาก....
ติชมได้ค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆ นะคะ
เจอกันตอนหน้าน้า ^ ^
#โซลซีน #ข้างหลังฉาก