「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)  (อ่าน 195733 ครั้ง)

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
     Wait for the kitchen scene. :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0



ตอนที่ 22







[Soul’s part]



พี่ซีนเปลี่ยนไป ไม่สิ...พี่ซีนแปลกไป



‘อดีตมันก็คืออดีต’



ใช่...พี่ซีนบอกแบบนั้น



แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่ซีนเป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นที่อยู่ๆ ก็เมินผมไปเสียอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไม่ได้ลวนลามตามใจอยากเลยสักนิด พี่ซีนบอกให้อาบน้ำ ผมก็อาบ บอกให้ดูทีวีรอ ผมก็ทำตาม ไม่ได้ขัดใจเลย



...อย่างนั้นก็มีอยู่เรื่องเดียวไม่ใช่หรือไง



“พี่ซีน”



“แป๊บนะ พี่โป้งครับ ตรงนี้ผมต้อง...” แล้วคนตัวบางก็เดินไปหาผู้กำกับทันที ฉากต่อไปไม่มีอะไรยากด้วยซ้ำ แต่เหมือนพี่ซีนปลีกตัวออกไปหาพี่โป้งอยู่ตลอดเวลา แล้วนี่ก็รอบที่ร้อยของวันแล้วมั้งที่ผมพยายามจะคุยด้วย



“พี่ซีน”



“อ้าว พี่บัว ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”



“พี่ซี—”



“น้องซีนคะ มาดูตรงนี้หน่อย” ไม่พี่โป้งก็พี่ปุ้ย แล้วยิ่งพอพี่บัวมาก็ไปขลุกอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ปกติพี่ซีนเองไม่ได้สนิทกับพี่บัวขนาดนั้น แต่เหมือนพยายามหลบเลี่ยงผมมากกว่า



ผมอยากให้เวลาเดินเร็วกว่านี้ อยากเคลียร์ให้รู้เรื่อง เมื่อวานหลังกินข้าวเสร็จมีใครส่งข้อความาหาเจ้าตัวก็ไม่รู้ แต่นั่นเป็นสาเหตุที่อีกคนนิ่งเงียบใส่ผม ถามก็บอกไม่มีอะไรแต่ท่าทางของเขามันไม่ใช่เลย



ผมไม่รู้ว่าพี่ซีนได้ยินอะไรมากจากพี่กิ๋งบ้าง ไม่รู้ว่าใครส่งข้อความมาหาและข้อความนั่นบอกว่าอะไร ถ้าให้ผมลองย้อนกลับไปมองตัวเองก่อนที่จะเจอพี่ซีนผมก็ยอมรับว่ามีเยอะอยู่เหมือนกัน สาวๆ ในมหา’ลัยสวยน้อยกันที่ไหน แล้วบางคนผมแทบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรด้วยซ้ำ ไม่มีพันธะอะไรจะเล่นด้วยหน่อยก็ไม่เสียหายใช่หรือเปล่า แต่ให้ผมสาบานเลยก็ได้ว่าตั้งแต่ชอบพี่ซีน ผมก็ไม่สนคนอื่นอีก ไม่ว่าจะน้องหน้าหมวยๆ นั่น หรือรุ่นพี่ในคณะที่คุยกันมาสักพัก



ไม่รู้เรียกว่าหึงได้หรือเปล่า...แต่คิดว่าไม่ อารมณ์หึงหวงนั่นเหมือนผมมีต่อเขาฝ่ายเดียว ผมว่าพี่ซีนน่าจะรับรู้ว่าผมมองเขาคนเดียว ใส่ใจเขาอยู่คนเดียวและค่อนข้างจะเปิดเผยให้คนอื่นเห็นด้วยซ้ำ อีกคนเลยไม่คิดมากกับเรื่องแบบนี้ ต่างกันกับพี่ซีน รายนี้ชอบใส่ใจความรู้สึกทุกคน ที่จริงผมนอยด์อยู่บ้างแต่ไม่อยากทำตัวงี่เง่าเกินไป ยกเว้นเวลาไอ้พระรองนั่นทำอะไรเกินขอบเขต นึกแล้วยังโมโหไม่หาย ผมอยากกระทืบมันให้มากกว่านี้ ไม่สนว่าใครจะมองยังไงทั้งนั้น ยิ่งเห็นพี่ซีนจะร้องไห้เพราะมันผมก็ยิ่งอยากซัดมันเข้าไปอีก



สงสารคนอื่นแต่ไม่สงสารผมบ้างเลย...พี่ซีนน่ะไม่เคยรู้หรอกว่าผมหวงเขาขนาดไหน



ไม่รู้ว่าความรู้สึกของพี่ซีนที่มีต่อผมมันมีมากเท่าไหร่ และทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยพูดคำคำนั้นออกมาเลยสักครั้ง แต่แค่พี่ซีนยังอยู่กับผม เท่านั้นก็พอแล้วหรือเปล่า...ผมพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้น



ทั้งที่อยากจะโลภให้ได้มากกว่านี้ แต่ผมก็เลือกที่จะให้เวลากับอีกคน



ผมไม่อยากไปยุ่มย่ามกับโทรศัพท์ของเขา แม้อยากรู้ใจจะขาดว่ารับรู้เรื่องอะไรมา อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่ท่าทีของพี่ซีนไม่เหมือนหึงผมสักนิด ตอนนี้เหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่างมากกว่า เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ผมเลยไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้พี่ซีนโกรธตอนไหน



“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”



“เลิกกองก่อนนะ”



“แต่...”



“โซล” อีกคนเม้มปากแน่น “ไม่ใช่ตอนนี้”



“ผมแค่อยากรู้ว่าพี่เป็นอะไร ทำไม...”



“อย่าเพิ่งถามได้ไหม”



“…”



“ทั้งหมดนั่นก็เพราะมึง..”



“แล้วผมทำอะไร บอกผมสิ ผมขอโทษ”



“..อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย”



...แต่ผมแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...



เวลาผมเข้าใกล้ อีกคนก็เก็บโทรศัพท์ลงอย่างกับมีความลับ ทั้งที่พี่ซีนไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนที่พี่ซีนคุยด้วยคือไอ้พระรองนั่น ผมไม่คิดว่าพี่ซีนจะชอบไอ้นั่นหรอก เพียงแต่เขาค่อนข้างขี้ใจอ่อนและยังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์นั้นอยู่ด้วย ไม่รู้ไอ้นั่นมันจะสำออยอะไรให้คนของผมเห็นใจ



ผมมองตามคนตัวบางที่เดินออกมาจากฉาก พี่ซีนไม่มองผมเลยด้วยซ้ำ พอเช็คมอนิเตอร์เสร็จก็หายไปกับพี่ปุ้ย รายนั้นก็แปลก ดูให้ความร่วมมือกับพี่ซีนแปลกๆ อาจเพราะเรื่องของไอ้พระรองนั่น มันต้องพักงานทั้งที่เพิ่งเข้าวงการ ถ้าเรื่องนี้ไม่โดนปิดเงียบ ความเสียหายไม่เกิดแค่ที่ตัวผมแต่รวมไปถึงซีรีส์เรื่องนี้ด้วย ผมยอมรับว่าคิดน้อยไปหน่อย ขอโทษไปแล้วและพี่ปุ้ยก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับกันพี่ซีนออกจากผมแทน นี่คือการลงโทษใช่ไหม...?



ผมพยายามนึกหาสาเหตุอีกครั้ง นึกย้อนไปว่าตัวเองทำอะไรลงไปมั่ง แต่ก็หาไม่เจอสักเหตุผล โทรศัพท์ผมไม่ได้เงียบ มีคนทักมาเรื่อยๆ และผมก็ปฏิเสธไปหมดเช่นกัน



พี่ซีนเดินกลับมา ถ้าไม่ได้เข้าฉากเขาไม่อยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมชักเริ่มหงุดหงิด มันร้อนใจไปหมด อีกคนจะรู้ไหมว่าการพยายามเมินผมมันทรมานผมขนาดไหน



ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจกันแน่...



เราอยู่ในฉากที่ถูกเซ็ทขึ้นเป็นห้องครัว พี่ซีนใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำ ผมเอาแต่จับจ้องคนที่ก้มหน้าก้มตาดูบทอย่างเดียว



“มึงหันหลังอยู่แบบนี้ ไอ้โซลมึงเท้าแขนไว้ตรงนี้”



คิ้วผมกระตุกอยู่หน่อยๆ เมื่อพี่โป้งสาธิตให้ดู ฉากอื่นน่ะได้แต่ฉากนี้มัน...



“ไอ้ซีนมึงหันมา” คนตัวบางค่อยๆ หันมาตามคำสั่ง “จ้องสักพัก แล้วมึงเอาแขนขึ้นมาโอบ”



พี่ซีนประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉากนี้คงจะเป็นฉากที่เขาไม่อยากแสดงมากที่สุด ตามปกติแค่ผมแตะนิดแตะหน่อย เจ้าตัวก็หน้าแดงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำนองนี้เลย



“โซลมึงทำแบบนี้...”



“เดี๋ยวพี่” ผมร้องห้ามตอนที่พี่โป้งก้มหน้าลงไปหาพี่ซีน



“ไม่ได้ทำจริง กูจะทำให้มึงดูเนี่ย”



ผมรู้ แต่มันใกล้ไปเว้ย



“แล้วเลื่อนลงมา...” พี่ซีนหลับตาแน่น ขณะที่ผมอยากจะเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน “ค่อยๆ นะ แบบนี้...”



“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”



สุดท้ายผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปแทรกระหว่างสองคนนี้ไม่ได้ ผมรู้ว่ามันเป็นงาน แต่อารมณ์ของผมตอนนี้เริ่มจะควบคุมยากขึ้นทุกที



พี่โป้งทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร แล้วบอกให้ผมทำให้ดู



ผมเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์ พี่ซีนสะดุ้งน้อยๆ ดูเกร็งกว่าที่พี่โป้งทำเสียอีก คนตัวบางค่อยๆ หันหน้ามา สบตาผมไม่ถึงวิก็หลบ



“อย่าเพิ่งซีน”



แต่คำสั่งของผู้กำกับทำให้เขาต้องหันกลับมาจ้องผมอีกครั้ง



ผมใช้ปลายจมูกแตะลงบนข้างแก้มของอีกคน ไล้เบาๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมา พี่ซีนตัวสั่น ทั้งหัวใจยังเต้นแรงจนผมสัมผัสได้



“เออ ประมาณนี้ เอาเลยนะ”



พี่ซีนผินหน้าหนีกลับไปทันที ในใจผมร้อนเป็นไฟ เขาจะรู้ตัวไหมว่ามีอิทธิพลต่อผมมากเท่าไหร่



“…แอคชั่น”



พี่ซีนเหมือนยังไม่พร้อม แต่ผมจะไม่รอแล้ว ในเมื่ออีกคนไม่คิดบอกเหตุผลที่เมินเฉย ผมก็จะลองใจร้ายกับคนตรงหน้าดูสักครั้ง



อีกฝ่ายห่อไหล่เข้าหากันขณะที่ผมจงใจพ่นลมหายใจใส่ ในตอนที่อีกคนหันมาแววตาวูบไหวไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อน แต่กลับยิ่งเพิ่มความสงสัยในสิ่งที่คนตรงหน้ารับรู้มา



ผมทำตามที่เราซักซ้อม แต่อย่างว่า...ผมมันพวกชอบนอกบทนี่ ผมไล้ปลายจมูกไปตามโครงหน้าของเขา ริมฝีปากผมเฉียดมุมปากเขาไปเพียงเล็กน้อย เท่านั้นก็พอให้อีกคนเกือบเบือนหน้าหนี



ใบหน้าผมเคลื่อนต่ำลงมา เปลี่ยนจากปลายจมูกเป็นริมฝีปากประทับไปตามลำคอขาวเนียน ผมทาบตัวแนบชิดกับเขามากขึ้น และสัมผัสก็หนักหน่วงมากขึ้นเช่นเดียวกัน



พี่ซีนตัวสั่นมากกว่าเดิม เขาเชิดหน้าขึ้นขณะที่มือจิกเสื้อผมแน่นและพยายามดันตัวผมออก



“อ..อ๊ะ!”



“..คัท…คัทโว้ย!”



ผมยอมผละออกมาจ้องใบหน้าของอีกคนที่แดงก่ำ ที่ลำคอของเขาขึ้นร่องรอยสีแดงช้ำ...และในตอนนั้นเองที่ผมใจอ่อนยวบ นัยน์ตาอีกคนสั่นไหวตื่นตกใจกับสิ่งที่ผมทำ ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่น



“ไอ้ซีนไปพักก่อน ไอ้โซลเตรียมเข้าฉากต่อไป”



“ผมขอตัวแป๊บ”



ไม่รอคำตอบรับจากพี่โป้ง ผมก็รีบเดินตามพี่ซีนไปทันที ไหล่บางตรงหน้าห่อเข้าหากัน ผมใช้อารมณ์กับเขาและพี่ซีนกำลังกลัว อยากดึงอีกคนเข้ามากอด แต่พอเมื่อผมทำตามใจอยากก็โดนผลักออกทันที



“พี่ซีน”



“อย่า...”



“ผม...ผมขอโทษ”



“ไปเตรียมตัวเถอะ”



“เราคุยกันก่อนไม่ได้เหรอ ผมไม่เข้าใจทำไมพี่เป็นแบบนี้ ถ้าผมทำอะไรผิด ผมขอโทษ แค่พี่บอกมา ผมขอโทษ...”



“มึงขอโทษเรื่องอะไร”



“ทุกเรื่องที่พี่ไม่พอใจ ผมไม่รู้แต่ผมขอโทษ ถ้าพี่ไม่ชอบผมจะไม่ทำอีก...ไม่ว่าเรื่องอะไร”



“ไปเถอะ อย่าให้ทีมงานรอ”



“ถ้าเรื่องไอ้พระรองนั่น ผมไปขอโทษมันก็ได้ ผมผิดเองที่คิดไม่รอบคอบ ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก”



“โซล”



“ผมขอ...”



“กูอยากอยู่คนเดียว”



...ความผิดของผม มันหนักหนาถึงขนาดที่พี่ไม่รับคำขอโทษของผมเลยเหรอ...



ผมไม่มีสมาธิเลยสักนิด จากที่เคยได้รับคำชมบ่อยๆ กลายเป็นคำตำหนิ การที่ไม่แยกความรู้สึกส่วนตัวออกจากงานพลอยทำให้คนอื่นเขาเหนื่อยเพิ่มไปด้วย พี่โป้งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะเข้าวันใหม่อยู่แล้ว ทุกคนเพลียเหมือนกันหมด แต่ยังมีผมเป็นตัวถ่วงอีก



“มึงอย่าวอกแว่กได้ไหม ตอนนี้มึงกำลังทำอะไรอยู่”



“..ขอโทษครับ”



“พักไหม”



“ไม่เป็นไรครับ”



“งั้นเอาใหม่ คราวนี้ดีๆ นะมึง”



ผมพยักหน้ารับคำเนือยๆ ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด ไม่มีกำลังใจจะทำอะไรสักนิด แต่เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของผู้กำกับผมก็ต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นทันที แล้วก็โดนพี่โป้งก็สั่งคัทอีกรอบ



“มึงทำอะไรของมึงวะโซล”



ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ยกมือขึ้นปิดใบหน้าที่เหนื่อยล้าเกินไปของตัวเอง วันนี้เหมือนผมทำอะไรก็ผิดไปหมด เมื่อกี้ผมเต็มที่แล้วนะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพักเพราะถ้าพี่ซีนยังเป็นอยู่อย่างนี้ ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น



แต่ในตอนที่ผมเงยหน้าขึ้น พี่ซีนกลับยืนอยู่ตรงหน้า...พร้อมกับเค้กก้อนโตในมือ



“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...”



เสียงพี่ปุ้ยดังขึ้นคนแรก ตามมาด้วยเสียงทีมงานทุกคน ผมนั่งนิ่งอึ้งท่ามกลางเสียงร้องเพลงวันเกิด



นี่มันอะไรกันวะครับ...



พี่ปุ้ยพุ่งเข้ามากอดกอดผมแล้วเขย่าไปมา ผมแทบจะทรุดลงกับพื้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ พี่ซีนเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ พอเพลงจบก็พยัดเพยิดให้ผมเป่าเทียน



“สุขสันต์วันเกิดค่ะน้องโซล โอ๋ ไม่ร้องน้า”



ยกมือขึ้นปิดหน้าอีกรอบ ไม่มีน้ำตาสักหยด พี่ปุ้ยยังกอดผมไม่ปล่อย ทีมงานรอบตัวกล่าวขอโทษที่หลอกผม พี่โป้งเองก็ด้วย



“คือ...พี่ปุ้ยวางแผนนะ กูไม่เกี่ยว”



“พี่วางแผน แต่ทุกคนแสดงดีเกินไป”



“เมื่อกี้ไม่ได้ถ่ายจริงนะ” ผู้กำกับว่าขึ้น “กูโคตรตลกหน้ามึง”



ผมพรูลมหายใจ ลูบหน้าตัวเองแรงๆ “พวกพี่ครับ ผมจะบ้าตาย” 



“ที่จริงจะเซอร์ไพรส์เที่ยงคืนเป๊ะ แต่คนแถวนี้ทนเห็นน้องโซลหงอยไม่ได้แล้วค่ะ นี่เร่งให้พี่เอาเค้กออกมาตั้งแต่สามทุ่ม”



คนถูกพูดถึงเฉไฉสายตาไปทางอื่น ผมหลุดยิ้มออกมา แค่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องล้อเล่นก็โล่งเหมือนความทุกข์ที่มีได้จางหายไปหมด พี่ซีนเดินเข้ามาขยี้หัวผม



“เครียดเลยดิ”



ยังจะมายิ้มอีกนะคนเรา...ผมคว้าเอวอีกคนเข้ามากอด พี่ซีนไม่ได้ขัดขืน และมือเขาก็ลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น



“ไม่ได้โกรธผมแน่นะ”



“ให้โกรธเรื่องอะไรเล่า”



“เมื่อวานอยู่ๆ พี่ก็ไม่คุยกับผม”



“พี่เป็นคนไลน์ไปหาเองค่ะ บอกให้ทำงอนน้องโซลเอาไว้ กลัวว่าเพิ่งมางอนเอาตอนนี้จะไม่เนียน”



แต่นี่เนียนไปหรือเปล่า...ผมเครียดหัวแทบแตก



“ขอโทษนะคะ เล่นพระเอกทั้งทีก็ต้องจัดหนักกันหน่อย”



“ไม่เป็นไรครับ” ผละออกจากอีกคน ยกมือไหว้ทีมงานรอบตัว “ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมาก เล่นซะผมไปไม่เป็นเลย”



คนต้นคิดหัวเราะถูกอกถูกใจ มีใครจะวางแผนได้ดีกว่านี้อีกไหม ให้พี่ซีนโกรธผมตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ผมลืมไปเลยว่าจะถึงวันเกิดตัวเอง ไม่ได้นึกถึงมันด้วยซ้ำ



“เล่นใหญ่นะครับ”



อีกคนยักไหล่ “เก่งปะละ”



...น่ามันเขี้ยวจริงๆ









“ยังไม่เลิกคิดอีกเหรอ”



“ผมเกือบจะเป็นบ้าก็เพราะพี่นะครับ”



หลอกกันมาทั้งวัน ผมเหมือนวิญญาณยังไม่เข้าร่าง จะดีใจก็ยังงงๆ อยู่



“สัญญาได้ไหมครับว่ามีอะไรจะบอกผมตรงๆ …แบบนั้นมันทรมานมากเลย”



“เฮ้ย เมื่อกี้แค่ล้อเล่น อย่าเครียดๆ”



“ผมรู้ แต่ถ้าวันไหนที่พี่ไม่พอใจอะไรผมจริงๆ บอกผมนะ”



“อืม มึงก็เหมือนกัน..” พี่ซีนอ้ำอึ้ง หูเขาแดงนิดๆ  “..กูไม่เคยคบใครมาก่อน ถ้า...ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ...บอกได้”



น่าแปลกที่ผมน้อยใจเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่พออีกคนพูดอย่างนี้กลับคิดว่าที่เป็นเขาแบบนี้มันดีมากอยู่แล้ว จะบอกให้เลิกทำตัวให้ผมหวงก็คงไม่ได้ เพราะเขาไม่ต้องทำอะไรผมก็หวงอยู่แล้ว



“อ้อ มึงคิดว่ากูคุยกับเฟิร์สล่ะสิ คุยกับไอ้ทิมต่างหาก มันถามเรื่องมึงนั่นแหละ” อีกคนย่นจมูก ก่อนบ่นพึมพำว่าเพื่อนถามอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด



“ส่วนเรื่องเฟิร์สน่ะ...กูผิดเอง กูจะระวังตัวมากกว่านี้”



“…”



“ขอโทษนะ”



...ใครจะทนแววตาหงอยๆ ของเขาได้กัน แค่เขานึกถึงผมบ้างเท่านั้นหัวใจก็พองโตขึ้นมา



“ผมต่างหากที่ทำให้พี่หนักใจ”



“ไม่หรอก...” เขาว่าพลางสั่นหัว พี่ซีนแค่เป็นห่วงผม ส่วนผมน่ะมันอารมณ์ร้อนเกินไป



“แต่มึงบอกว่าจะขอโทษเฟิร์ส”



“นั่นพี่หลอกผม ถือเป็นโมฆะ”



เขาอ้าปากเหมือนจะด่าแต่โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นก่อน “อ๊ะ เที่ยงคืนแล้ว…” แววตาสุกใสจ้องมองผม “สุขสันต์วันเกิด มีความสุขมากๆ นะ”



ผมมีหลากหลายคำพูดที่อยากจะพูดออกไป แต่ในตอนนั้นหัวใจผมอัดแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง อยากขอบคุณที่ตอบรับความรู้สึกของผม ที่อยู่ตรงนี้กับผม และเป็นความสุขของผม...แต่ผมกลับตอบออกไปได้เพียงประโยคสั้นๆ เท่านั้น...



“ขอบคุณครับ”



“ไม่มีของขวัญเลย จะซื้อเมื่อวานแต่มึงมาหาก่อน” เขามุ่ยหน้า ท่าทางน่ารักจนอยากจับฟัดมันตรงนี้ ตรงที่พวกผมอยู่เป็นมุมอับที่ไม่มีทีมงานเพ่นพ่านเสียด้วยสิ...



“อยากให้ของขวัญผมเหรอ” ผมถาม อีกคนเลิกคิ้วนิดๆ ผมเลยชี้ไปที่แก้มของตัวเอง เท่านั้นคนตรงหน้าก็ฟาดมือลงมาเลย “โอย รุนแรงตลอด”



เขาอมยิ้ม...น่ารักมากจริงๆ ไม่รู้ว่าสายตาที่ผมใช้มองอีกคนเป็นแบบไหนเขาถึงหลบตาผม ผมเขี่ยแก้มเขาเบาๆ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นร่อยรอยที่ผมทำ



“เจ็บหรือเปล่า” ลูบต้นคออีกฝ่ายเบาๆ ดีที่มันอยู่ในที่ที่ปกเสื้อปิดเอาไว้ได้



“เจ็บสิ...กัดมาได้” พี่ซีนแยกเขี้ยวทั้งที่หน้าขึ้นสี “คืนนี้นอนโซฟาไปเลย”



“ได้ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย “แต่แค่คืนเดียวนะ”



ผมคิดจะทำจริง เพราะการที่เขาน่ารักขึ้นทุกวันจะทำให้ผมอดใจไม่ไหว



“ที่จริงของขวัญน่ะ ไม่ต้องหรอกครับ”



“…”



“แค่พี่อยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”



เป็นของขวัญให้กับชีวิตผมแล้ว...ผมเป็นคนแรกของเขา แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้คือเขาก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกมากมายขนาดนี้ มีอิทธิพลต่อหัวใจมากเสียจนผมกลัว...



“อย่าทิ้งผมนะ”



“บอกตัวเองเถอะ” เขาจิ้มที่หน้าอกของผม “สาวเยอะนี่”



...ไหนใครบอกไม่สนใจอดีตกัน...ผมวางมือลงบนศีรษะเขา ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปลอยผมเบาๆ “ไม่มีวันนั้นครับ”



ผมจะทำให้เขาเห็นว่ามันไม่ใช่คำสัญญาลอยๆ คำว่าตลอดไปหน้าตาเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่กลับมั่นอกมั่นใจเหลือเกินกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ก็จะให้ทำยังไง...ในเมื่อหัวใจของผมมันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว



“ไม่มีวันนั้นเหมือนกัน...”



ความรู้สึกนับร้อยวิ่งวนกันให้วุ่น พี่ซีนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม ผมชอบทั้งเวลาที่เขาเขินอาย และเวลาที่เขาทำใจกล้าทั้งที่หน้าแดงอย่างนี้



“..ปากไม่แข็งแล้วแฮะ” มือผมเลื่อนลงมากุมใบหน้าของเขาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ แตะริมฝีปากเขาเบาๆ ใครๆ ก็ว่าประสบการณ์ผมโชกโชน แต่ใครเหล่านั้นจะรู้บ้างว่าแค่สัมผัสคนตรงหน้าเพียงเท่านี้ก็ทำเอาใจผมสั่นเหมือนสาวน้อยที่เพิ่งมีประสบการณ์ครั้งแรก ยิ่งครั้งแรกที่เราจูบกันผมแทบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ มันทั้งประหม่า ไม่กล้า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการมากกว่านั้น



เขาหอมหวาน น่าเชยชิมไปหมด และผมติดกับเต็มๆ



ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...คนตรงหน้ามีเวทย์มนตร์หรือไงกัน...





“อะแฮ่ม!”





พี่ซีนสะดุ้งเฮือก รีบร้อนผละออกจากผม ผมหันขวับไปทางต้นเสียง พี่โป้งยืนทำหน้าเอือมอยู่อีกมุมหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล



“เฮ้ย พี่มาตอนไหน”



“กูอยู่ตรงนี้นานแล้ว” พี่โป้งว่าฉุนๆ “ทำไมกูต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ด้วยวะ”



พี่ซีนกำเสื้อผมแน่น ก้มหน้างุดซบอยู่ที่อก ผมลูบหลังเขาเบาๆ ไม่รู้จะกล้าสู้หน้าผู้กำกับได้อีกหรือเปล่า เห็นคิสซีนไปเต็มๆ เสียด้วย



“กูคุยโทรศัพท์อยู่ ไอ้พวกนี้แม่งมาสวีทกันเฉย”



“งั้นพี่ก็ไปได้แล้ว”



“เออ!” ผู้กำกับกระแทกเสียง ก่อนเดินผ่านพวกผมเขาเหลือบมองพี่ซีนนิดนึง “ตอนแรกก็ว่าจะรอพวกมึงวิ้ดวิ้วกันเสร็จก่อน กลัวพวกมึงอาย แต่นี่แม่งไม่เสร็จสักที กลับไปต่อที่ห้องนู่น เดี๋ยวมีคนแอบถ่ายพวกมึงก็ซวยหรอก โว๊ะ!”



ต่อที่ห้องอะไรล่ะครับ...เจอแบบนี้พี่ซีนจะให้ผมเข้าใกล้หรือเปล่าก็ไม่รู้



น่าจะกลับไปเคลียร์ที่ห้องตั้งแต่แรก...เฮ้อ



 



---------------------------------------------

พระเอกเราถอนหายใจหนักมาก....

ติชมได้ค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆ นะคะ

เจอกันตอนหน้าน้า ^ ^

#โซลซีน #ข้างหลังฉาก


ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ฮาาาาา ขำก็ขำ สงสารก็สงสารน้องโซลผู้ถูกแกล้งแถมยังรู้ชะตากรรมตัวเองเป็นอย่างดี ฮาาาา

จริงๆ อ้อนๆพี่เขาหน่อย พี่เขาก็ใจอ่อนแล้วแหละ

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อู้ยยยยใจกหายใจคส่ำหมด คิดว่าจะได้ซดมาม่าซะแล้ววว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนอ่านก็งง เหมือนโซลเลย   :katai1:
นึกตามด้วยโซลทำอะไรให้ซีนโกรธนะ  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สงสารน้องโซล


5555555555555+

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โซลโดนแกล้ง555แต่คงหายงอนได้ง่ายนะค่ะได้จุ๊ฟซีนแล้วนิ

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
โซลโดนแกล้งแล้วสภาพน่าสงสารมากอะ
คิดว่าถ้าเป็นดราม่าจริงๆ โซลคงอาการหนักจริงๆแหละ
โอ๋ๆมากอดดดปลอบบบ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อื้อหือออ เซอรไพรส์ แบบ จัดหนักมาก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ทุกคนในกองเล่นใหญ่มากจริงๆ แอบใจเสียตามเลย 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ใจหายหมดดด เราก็หงอยตามโซล พี่ซีนแกล้งแรงอ่ะฮืออ

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
นะ.. นอกจากหลอกน้องโซล แล้ว ยังหลอกคนอ่านด้วยย...
ไรท์ททททท... 55+

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0

ตอนที่ 23







ฉากจูบถูกตัดออก...ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นการดี



เราถ่ายกันไปแล้วฉากหนึ่ง เหลืออีกสามแต่โดนตัดไปสอง วันนี้เหลืออยู่ไม่กี่ฉากก็เสร็จสิ้นระยะเวลาสามเดือนกับการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้แล้ว



จะว่าดีใจก็ดีใจแต่ก็แอบใจหายอยู่เหมือนกัน ทุกคนดูแลผมดีมากยิ่งพี่ปุ้ยด้วยแล้ว ผมเกือบใจอ่อนยอมเล่นซีรีส์ให้พี่แกอีกเรื่อง สมัยนี้ซีรีส์วายกำลังเป็นที่นิยม พี่ปุ้ยบอกว่าคาร์แรคเตอร์อย่างผมเหมาะกับหลายเรื่องเลย...ผมควรดีใจไหม



“ตัดออกอีกก็ได้นะผมว่า”



“เดี๋ยวกูโบกให้ ฉากนี้สำคัญมาก กูให้เวลามึงเตรียมตัว”



ผมย่นจมูก เห็นบอกสำคัญทุกฉากนั่นแหละ พี่โป้งเดินไปจัดแจงนู่นนี่ ผมมองบทในมือก็ต้องถอนหายใจ ไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลยให้ตายเถอะ



“ไอ้โซลมึงนั่งดีไหม ลองนั่งลงดิ๊” ไอ้พระเอกนั่งลงบนพนักโซฟา ขณะที่ผมยืน “แบบนี้ดีกว่าไหม เวลาไอ้ซีนเขย่งขึ้นไปจูบมึงจะได้ไม่ดูทุลักทุเล”



บอกให้มันนั่งเฉยๆ ก็พอแล้ว พี่แกจะขยายความเพื่อ…



“ผมห่างกับมันไม่เท่าไหร่เองเถอะ”



“มึงเขย่งจนจะบัลเล่ต์อยู่แล้วยังจะมาพูดดี”



ผมจะเถียงต่อแต่พี่โป้งก็ปัดๆ มือไม่รับฟังแล้ว อะไรวะ ซ้อมกันเมื่อกี้ไอ้โซลมันแกล้งผมต่างหาก!



“อ้อ ไอ้ซีน กูขออินเนอร์แบบวันนั้นน่ะ”



“พี่โป้ง!!!”



“เออ กูอยู่นี่ไง”



“พี่...ฮึ่ย!” ผมฮัดฮัด ทำอะไรไม่ได้ พี่โป้งมองมาตาใสเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่ร้ายแรง เรื่องวันนั้นทรมานผมแทบตาย วันต่อไปก็ต้องเจอพี่โป้ง ต้องพยายามทำงานในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดโดยมีคนเห็นเหตุการณ์ส่งสายตาล้อๆ มาให้ อยากหนีออกไปจากตรงนั้นจะแย่!



“อย่าพูดสิพี่ เดี๋ยวพี่ซีนงอนผม”



“เป็นสีสันไงมึง อย่าเอาแต่รักกันอย่างเดียว”



“ไม่เอาหรอก วันนั้นพี่น่าจะรออีกนิด พี่ซีนไม่ให้ผมเข้าใกล้เลย”



“ให้กูรอ กูก็ไม่ได้ทำการทำงานกันพอดี”



ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะ พยายามจะบอกให้เลิกพูดเรื่องพวกนี้กันได้แล้ว ผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะเว้ย



“แต่จะว่าไปมุมตอนนั้นมันดีมาก...”



“ผมว่าเราเริ่มถ่ายกันเลยดีกว่า!”



“ฟีลมาแล้วเหรอ เออๆ วันนี้มาแปลกว่ะ”



ผมส่งสายตาเคืองๆ ให้ผู้กำกับที่ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ได้ ปกติพี่โป้งไม่ค่อยล้อ แต่ตอนนี้ไม่รู้อะไรเข้าสิง เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายอาทิตย์แล้วยังเอามาล้ออยู่ได้!



“...แอคชั่น”



ผมมองไอ้คนที่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงหน้า มันใส่ชุดนักศึกษาที่ผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมอยู่ในชุดลำลอง เป็นฉากที่มันมาที่ห้องของผมเพื่อช่วยเก็บของ อยู่ๆ ผมก็นึกถึงวันแรกที่เจอไอ้โซลขึ้นมา มันเคยบอกว่าทุกครั้งที่ผมเจอมันไม่มีครั้งไหนที่เป็นเรื่องบังเอิญ...ในอกผมรู้สึกตื้นตันแปลกๆ ไม่รู้เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการถ่ายทำหรือเพราะนึกถึงช่วงเวลาที่มันเริ่มต้นเข้ามาในชีวิต...จะอะไรก็แล้วแต่



คำพูดที่ถูกท่องซ้ำไปซ้ำมากำลังจะถูกถ่ายทอดผสมผสานไปกับความรู้สึกเบื้องลึกของตัวผมเอง



“ไม่อยากจะเชื่อเลย...”



“…”



“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราจะ...”



“ได้กัน?”



“คบกัน!!”



ไอ้พระเอกในเรื่องนี่เป็นตัวทำลายความซึ้งที่แท้จริง



“ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า”



“…”



“แต่เป็นฝันที่โคตรดีเลย ดีจนไม่อยากตื่น”



“...”



“กูดีใจนะที่ได้รู้จักมึง”



“…”



“ถ้านี่เป็นฝันจริงๆ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วมึงหายไป...”



“ไม่มีวันนั้น”



‘ไม่มีวันนั้นครับ’



ไอ้โซลไม่รู้หรอกว่า...สายตาและน้ำเสียงของมันหนักแน่นขนาดไหน



“มึงช่วยเป็นคนแรกและคนเดียวของกูได้ไหม”



“นั่นหมายถึงคำว่าตลอดไปหรือเปล่า”



“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก...” ผมยิ้มบางเบา “แค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ”



ผมอินกับบทเหรอ...กำลังอินกับมันใช่ไหม...



ทำไมเหมือนตัวมันเบาแปลกๆ อย่างกับจะลอยขึ้นไปได้ ในตอนที่เห็นสายตาของไอ้โซลมองมา ตอนที่มันยกยิ้มขึ้นเล็กๆ และในตอนที่ผมแนบริมฝีปากลงไป…



“คัท! เยี่ยมมาก เสร็จแล้วโว้ย!”



ผมค่อยๆ ผละออกจากมัน ท่ามกลางเสียงเฮของทีมงานผมเหมือนถูกกล่องที่มองไม่เห็นครอบหัวเอาไว้ ภาพทุกอย่างดูช้าไปหมด เสียงจอกแจ่กจอแจเหมือนดังอยู่ไกลห่างออกไป



เรายิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น มันเป็นความดีใจที่เราร่วมทำสิ่งนี้กันมาจนสิ้นสุด เป็นความตื้นตันที่อธิบายไม่ถูก แต่รู้ตัวอีกทีผมก็เดินเข้าไปหาไอ้โซลที่อ้าแขนไว้รอแล้ว



สามเดือนเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หากแต่เชื่องช้าเมื่อนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ความทรงจำใหม่ๆ ที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก มองไปเห็นทีมงานรอบๆ ตัวยังนึกถึงวันที่มากองถ่ายวันแรกอยู่เลย วันนั้นตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด



ต่อไปคงกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง นี่ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่ให้ผมได้เรียนรู้โลกอีกใบหนึ่ง ไม่คิดว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ตามที่ม้าขอร้องจะทำให้ผมได้อะไรดีๆ กลับไปมากมาย ประสบการณ์ ผู้คน รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ด้วย...ไอ้โซล





สามเดือนที่จบลง...แต่เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง













งานเลี้ยงปิดกล้องจัดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมมาถึงในช่วงหัวค่ำพร้อมไอ้โซล ผมเดินเข้าไปทักทายทีมงานทุกคน แค่ช่วงเริ่มต้นทุกคนก็สนุกสนานกันแล้ว



ร้านไม่ใหญ่มาก พอมีทีมงานและนักแสดงอัดกันเข้ามาก็ดูเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นดี ผมเดินไปทั่วงานแต่ไม่ยักจะเห็นเฟิร์ส ไม่คิดว่าหมอนั่นจะไม่มานะ



หนิงแต่งตัวจัดเต็ม ทั้งที่คนอื่นใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่พอนั่งๆ กินอาหารไปก็เห็นเริ่มแกะแอกเซสซอรีออกทีละอย่าง บ่นว่าร้อนมั่ง คับมั่ง อีกนิดคงถอดเข็มขัดเพราะเห็นกินไม่หยุด สงสัยละเว้นการไดเอทไปแล้ว



และช่วงเวลาที่ผมไม่อยากให้มาถึง...ก็มาถึงจนได้



หลังจากหนิงขึ้นไปเปิดเวทีเป็นคนแรก ผมและไอ้โซลก็ถูกลากขึ้นไปร้องเพลง จะบ้าตาย ผมร้องเพลงเป็นที่ไหน



“เอาเพลงที่ผมเล่นกีตาร์ที่บ้านไอ้ต่ายดีไหม”



ผมรีบส่ายหน้า นึกถึงวันนั้นขึ้นมาทีไรก็หน้าร้อนขึ้นมาตลอด ทั้งที่ผมเมามากแต่กลับจำทุกคำพูด น้ำเสียง และสายตาของมันได้แม่นยำ



สุดท้ายก็เลือกเป็นเพลงที่ทั้งผมและมันรู้จัก ไม่ค่อยได้ยินเสียงผมหรอก ส่วนใหญ่ยืนโยกไปตามทำนองกับอ้าปากตามเนื้อไปอย่างนั้นเอง ระหว่างร้องไอ้พระเอกมันก็ขยับเข้ามาใกล้ ทำมาซบมั่ง เอามือมาโอบมั่ง พี่ๆ ข้างล่างวี๊ดว๊ายกันใหญ่ ที่จริงผมจะทำเล่นด้วยก็ได้แต่ติดตรงที่ว่ามีคนรู้ว่าเราคบกันจริงๆ อยู่ ผมเลยแค่หัวเราะแล้วผลักมันออกเบาๆ



เอาจริงทีมงานก็เหมือนรู้กันอยู่...ยิ่งวันที่เฟิร์สเล่นนอกบทและไอ้โซลก็โมโหมากขนาดนั้นด้วย



ไม่ปล่อยให้ไมค์ว่าง ผมกับไอ้โซลร้องไปสองสามเพลง แล้วก็มีนักแสดงคนอื่นขึ้นมาร้องด้วย แต่ละคนเต้นลืม ลืมไปเลยว่ามีกล้อง โดนถ่ายกันถ้วนหน้าแต่ไม่มีใครสน ไอ้ตัวโจ๊กเต้นผีเสื้อราตรีไปสองรอบ ไม่รู้สนุกอะไรขนาดนั้น บอกให้หนิงร้องอีกรอบอยู่นั่น



ผมลงมาจากเวที นั่งดูดน้ำแก้กระหาย ไม่ได้เต้นอะไรกับเขาเลยแต่หัวเราะจนเหนื่อย เหมือนการทำงานที่หนักหนาถูกนำมาปลดปล่อยเอาในวันนี้ สักพักเฟิร์สก็มา ผมมองตามหมอนั่นเดินไปทักทายทีมงานและขอโทษที่มาช้า เฟิร์สยังไม่ทันได้นั่งด้วยซ้ำก็ถูกไอ้แว่นดึงขึ้นไปบนเวทีแล้ว



เพลงสนุกสนานจบลง พระรองของเรื่องเลือกแต่เพลงช้า ความหมายของมันยังทำให้ผมแอบเศร้าใจ ผมหลุบตาลง ไม่อยากมองหน้าคนที่อยู่บนเวทีอีก ไอ้โซลกลับมาจากห้องน้ำตอนไหนไม่รู้ มันฉวยมือผมไปกุม ลูบหลังมือเบาๆ



สักพักนักแสดงและทีมงานคนอื่นก็ขึ้นไปร้องบ้าง บรรยากาศหม่นๆ กลับมาสนุกสนานอีกครั้ง เหมือนเมื่อสักครู่ทุกคนแค่พักเหนื่อยกันเฉยๆ พี่ปุ้ยจะจับผมขึ้นไปบนเวทีอีกผมเลยอ้างจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วปลีกตัวออกมาข้างนอกเสียเลย มองหาไอ้พระเอกก็เห็นเต้นอยู่กับทีมงานอีกโต๊ะ



ข้างๆ ร้านเป็นสวนถูกประดับด้วยไฟดวงเล็กๆ เต็มไปหมด ถ้าร้านเปิดปกติออกมากินข้างนอกต้องบรรยากาศดีมากแน่ๆ อากาศตอนกลางคืนท่ามกลางต้นไม้แบบนี้เย็นใช่เล่น ผมถูแขนตัวเองไปมา ตัดสินใจกลับเข้าไปข้างในดีกว่า แต่ในตอนที่หันหลังไปก็พบใครบางคนที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว



“..เฟิร์ส”



“อืม...หวัดดี”



“เรา...ออกมาสูดอากาศน่ะ อากาศดีเนอะ”



“เหมือนซีนจะหนาวนะ” อีกคนว่าขำๆ ใบหน้าของเฟิร์สไร้ร่องรอยในวันนั้น การที่เห็นรอยยิ้มของเขาในวันนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด



“วันนั้น...ขอโทษนะ”



เฟิร์สส่ายหน้าช้าๆ เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างผม



“ไม่หรอก อย่าขอโทษเลย เราผิดเอง”



แสงไฟสะท้อนสายตาเศร้าหมองของคนตรงหน้า ผมรู้ว่าผมควรรีบออกห่างจากเฟิร์ส มันไม่ใช่ว่าผมไม่ระวังตัว...แต่ความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่าเฟิร์สไม่ใช่คนอันตราย และใช่...ผมมันเป็นคนขี้ใจอ่อน ขี้สงสาร และยังเชื่อว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้...



“เราอยากเข้าหาซีนทีละนิดเพราะกลัวว่าจะลำบากใจ” เฟิร์สว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ มือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง หากคนมองเผินๆ ก็เหมือนเรากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป



“ตอนนั้นคิดแค่ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอซีนแล้ว ก็เลยอยากลองดู...”



“…”



“ลองทำแบบที่ไอ้โซลทำดูน่ะ เราเห็นซีนเขินมันหลายครั้งแล้ว”



ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง



“เราลองสู้ดู เผื่อว่าซีนจะหวั่นไหวกับเราสักนิดก็ยังดี แต่เราลืมนึกไปว่าซีนรู้สึกแบบนั้นแค่กับมัน”



“…”



“ซีนไม่ผิดหรอกที่ไม่บอกเรื่องความสัมพันธ์กับเด็กนั่น เราเองต่างหากที่ไม่ควรไปทำอย่างนั้น คงทำให้ซีนลำบากใจแย่ ขอโทษนะ”



“..ไม่เป็นไร” เสียงผมเบาหวิว สงสารคนตรงหน้าแต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง



“เราจะกลับแล้ว”



“ทำไมล่ะ”



แผลเรายังไม่หายดี ไว้หายดีเมื่อไหร่ เจอกันใหม่นะ”



ใบหน้าสะอาดสะอ้านนั้นยกยิ้มบาง แผลที่ว่าคงไม่ใช่ภายนอกร่างกายที่สายตาสามารถมองเห็นได้



“กลับเข้าไปเถอะ เด็กนั่นตามหาให้วุ่นแล้วมั้ง”



“ไม่เข้าไปด้วยกันจริงๆ เหรอ..”



“..เราจะตัดใจได้ยังไงเนี่ย..”



“อะไรนะ”



“เปล่า...” เฟิร์สหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ผมมองอย่างไม่เข้าใจ



“จะกลับก็กลับสิวะ ลีลาอยู่ได้” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง ไอ้โซลเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหาผม ขณะที่เฟิร์สยักไหล่ยิ้มๆ



“หึ ตายยากจริงๆ”



เด็กข้างตัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะ เอามือมาอังหน้าผม “เข้าไปข้างในสิครับ ดูสิ เสื้อผมก็ถอดออก”



“ก็ข้างในมันร้อนนี่” เสื้อกันหนาวมันถูกสวมลงบนตัวผมอีกครั้ง ตอนอยู่ในร้านผมถอดพาดไว้บนเก้าอี้ ขยับตัวมากๆ เหงื่อมันก็ออก ใส่เสื้อหนาๆ นี่เข้าไปผมจะเป็นลมเอา



“ดูแลเขาดีๆ แล้วกัน”



“ไม่ต้องบอกกูก็ทำอยู่แล้ว”



“อืม...ดีแล้ว” เฟิร์สว่า มองไปที่ไอ้โซล “หมัดหนักดีนะ”



“ทำไม อยากโดนอีก?”



“ครั้งนี้กูไม่ยอมหรอกนะ”



“กูไม่ต่อยคนแบบไม่มีเหตุผลหรอก”



ผมมองทั้งสองสลับกันไปมา...คำพูดคำจายังเหมือนเดิมแต่ผมไม่รู้สึกถึงรังสีทะมึนแปลกๆ จากทั้งสองคนแล้ว



ผมสะกิดไอ้โซล มันมองงงๆ แต่พอเห็นผมพยัดเพยิดไปทางเฟิร์สมันก็ชักสีหน้า



“เร็วเข้า”



“พี่ครับ”



“โซล..” ผมแสร้งตีหน้าเศร้า ที่จริงไอ้โซลจะไม่ทำก็ได้แต่ถ้าทำก็ดี มีมิตรไว้ดีกว่ามีศัตรูไม่ใช่เหรอ แล้วมันก็จำยอม แต่ก็ไม่วายส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ



“โทษ”



“ฮะ?”



“พี่ซีนบอกให้พูด แม่งอย่ามาหัวเราะนะเว้ย!”



ที่จริงผมก็แอบกลั้นขำ และถึงแม้ว่าคำขอโทษของมันจะไม่เต็มใจก็เถอะ แต่มันก็ดูอ่อนลงอยู่บ้างแล้ว...บางอย่างมันต้องใช้เวลา



เฟิร์สหยุดขำหากแต่มุมปากยังประดับรอยยิ้มบางๆ ไว้ “กูก็ขอโทษว่ะ”



ไม่ใช่แค่ไอ้โซลแต่ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน ยิ่งคนข้างๆ ผมทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่



“อือ ช่างมึงเหอะ” ไอ้โซลตอบปัดๆ เหมือนไม่อยากฟัง



“ไอ้โซลเป็นน้องเรา แต่เรียกเราว่ามึงอะซีน”



“นี่มึงฟ้องพี่ซีนต่อหน้ากูเลยเหรอ เชี่ยนี่” ไอ้โซลโวยวาย จะว่าไปแล้วเฟิร์สก็พูดถูกแฮะ...



“มองผมแบบนั้นทำไม ไม่ได้หรอก ผมเรียกมันแบบนั้นไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกเคารพด้วย”



ผมมุ่ยหน้า ยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำแต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเรียกพี่หรอก แค่มันยอมขอโทษก็ดีแค่ไหนแล้ว



“เข้าไปข้างในได้แล้วครับ” มันว่า รุนหลังผมให้เดินนำไป



“ส่วนมึงน่ะ...” ผมชะงัก คนด้านหลังก็หยุดเดิน “พี่ปุ้ยถามหา”



...ผมลอบยิ้ม...



หวังว่าสักวัน...เราคงมองหน้ากันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ







สุดท้ายเฟิร์สก็ตามเข้ามาในงานอีกครั้ง พี่ปุ้ยเห็นปั๊บก็ดึงเจ้าตัวให้ขึ้นไปบนเวทีทันที



“ไอ้เฟิร์สไม่เอาเพลงเศร้าแล้วนะ นี่นึกว่ากูนั่งอยู่ในร้านเหล้า” พี่โป้งตะโกนบอก ทุกคนหัวเราะลั่นเห็นด้วยกับประโยคของผู้กำกับ



หมอนั่นก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จัดเพลงโยกมันส์ๆ ไปหลายเพลง สักพักทั้งทีมงานและนักแสดงก็เต็มเวที ข้างล่างก็ไม่น้อยหน้า ลุกขึ้นเต้นกันบริเวณโต๊ะของตัวเอง



“เมื่อกี้ออกไปข้างนอกแล้วเจอเฟิร์สพอดี”



ไอ้โซลเอียงหน้าลงมาฟังสิ่งที่ผมบอก ไม่รู้ว่าตอนเห็นผมกับเฟิร์สยืนอยู่ด้วยกันวินาทีแรกมันทำหน้ายังไง แต่ไม่ได้โผงผางอย่างครั้งล่าสุดที่เจอกัน



ไอ้โซลพยักหน้า “ผมเห็นพี่ตั้งแต่เดินออกไปนอกร้านแล้ว”



มันหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของผม



“สบายใจแล้วใช่ไหมครับ”



เป็นผมเองที่เอื้อมไปกุมมือหนาเอาไว้ รู้สึกปั่นป่วนภายในอย่างประหลาดเลยเอาหัวโขกไหล่มันอยู่อย่างนั้น



...ขอบคุณที่เข้าใจ...



วกกลับมาที่เพลงช้า บวกกับไฟสลัวๆ ยิ่งทำให้ตาผมปรือปรอย สายตามัวไปหมด หัวเริ่มจะเอนไปซบไอ้คนข้างๆ ที่พาดแขนไว้บนพนักเก้าอี้ของผม ดนตรีเอื่อยๆ กับเสียงใสๆ ของหนิงกลายเป็นเหมือนเพลงกล่อม



“ไหวไหม”



“ง่วง”



“นอนเลยก็ได้”



“อยากอาบน้ำ”



“เดี๋ยวอาบให้”



ผมตื่นขึ้นมานิดนึง หมายถึงเหนียวตัวเว้ย...แต่เพราะกินไปเยอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฝืนหนังตาแทบจะไม่ไหว แต่คิดเอาไว้ว่าจะไม่ยอมหลับตอนขึ้นรถเด็ดขาด



ไอ้โซลพูดอะไรอีกก็ไม่รู้ ผมเพียงครางอืออาตอบ ตาจะปิดอยู่รอมร่อ สุดท้ายแล้วก็ทิ้งหัวลงบนไหล่มัน ก่อนที่สติจะดับไป สัมผัสเบาๆ ข้างขมับทำให้ริมฝีปากผมยกยิ้มขึ้นบางๆ



...สบายเหมือนกันแฮะ...







------------------

ทำไมมีความสุขกันขนาดนี้555555

เหมือนจะจบเลยแต่ยังค่ะ เรื่องนี้มี 30 ตอนนะคะ

เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ #ข้างหลังฉาก #โซลซีน


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่ซีนคนดีต่อใจมากๆๆๆๆๆๆ  :hao5:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านตอนก่อน ยอมรับว่างงไปเลย ซีนงอนอะไร มาม่าอะไรวะไม่รุ้
พอมาเบิร์ดเดย์เท่านั้นแหล่ะ แหมปล่อยอินี้กลุ้มยุ่นาน ขนาดไม่เกี่ยวอะไรกะเค้า
แล้วก็หวานกันได้อีกนะคู่นี้ อิจที่สุด

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โซล ซีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แล้วซีน ก็แสดงแบบอินกับเรื่องได้
เพราะหวนคิดแรกๆที่ได้เจอกับโซล
ที่ไม่เคยบังเอิญเลยสักครั้ง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เคลียร์กันแล้วนะพระเอก พระรองงง

หาคู่ให้พระรองที ฮ่า ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หมั่นไส้

ชิชิ

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ดีต่อใจมากกกอะตอนนี้

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อย่าเพิ่งจบนะดีแล้ว  :pig4:

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
โซลต้องอดใจแค่ไหนในการไม่ขย้ำพี่ซีนอ่ะ
ทำอะไรก็ดีต่อใจไปหมด  :hao5:

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
อยากแกล้งโซลเห็นมีความสุขละอยากแกล้ง555
รักค่าาา...รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0



ตอนที่ 24







“เลิกดูได้แล้ว”



ผมเดินวนไปวนมาอย่างนี้สิบรอบได้ ไอ้เจ้าของห้องก็ไม่ยอมเปลี่ยนช่อง เอาแต่ดูรายการที่ผมกับมันไปออกเพื่อโปรโมทซีรีส์อยู่ได้ อายนะเว้ย!



“ผมบอกว่าอย่าเขินต่อหน้าคนอื่นไงครับ”



มันขมวดคิ้ว ในโทรทัศน์มีผมที่ก้มหน้าน้อยๆ แก้มยังเห็นสีชัดไม่เท่าไหร่ แต่หูขึ้นสีแดงเข้มชัดเจนมาก เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่อยากดู!



“ก็ดูมึงพูดสิ!”



ว่าอยู่แล้วเชียว ไม่ใช่แค่รายการแรกที่พวกผมไปออก แต่แทบทุกรายการที่หลังจากถามเรื่องเกี่ยวกับซีรีส์ก็ชอบหันมาชงผมกับไอ้โซล มันก็เล่นด้วยตลอด แล้วพอผมเป็นอย่างนี้ก็มาทำไม่พอใจ จะเอายังไงวะ



“ผมผิดเหรอ...โอเค ผมผิดเอง”



มันยกมือยอมแพ้ ตบที่ว่างข้างๆ



“มานั่งนี่สิครับ ผมไม่ดูแล้ว” มันว่า ชูรีโมต์ขึ้นมากดช่องอื่น “เปลี่ยนช่องแล้ว”



ในจอโทรทัศน์เปลี่ยนเป็นรายการเพลงแทน ผมเลยเลิกเดินวนไปวนมารอบห้องแล้วนั่งลงข้างๆ



“จะไปบ้านพี่บ่ายนี้เลยหรือเปล่า”



“เย็นๆ ได้ไหม ขี้เกียจอาบน้ำอะ” ผมว่า ตั้งแต่ตื่นมาทำแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว พวกผมมีแค่ขนมปังตกถึงท้อง นี่ก็ว่าจะสั่งอะไรมากินกันเพราะผมขี้เกียจทำอาหาร



“ข้ออ้างอยากอยู่กับผมนานๆ ล่ะสิ”



“ไปเก็บของเลยดีกว่า”



“เฮ้ย ไม่เอาแบบนั้นสิครับ” จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นก็ถูกมันดึงให้นั่งลงอย่างเดิม มือที่กุมข้อมือผมเอาไว้เลื่อนมาโอบรอบเอวอย่างรวดเร็ว แถมยังแกะออกยากอีกด้วย



“มะรืนก็เปิดเทอมแล้วนะ”



“ก็เพราะแบบนั้นน่ะสิครับ”



“มึงลืมเหรอว่าเราอยู่มหา’ลัยเดียวกัน”



“เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ ตลอดสามเดือนพี่อยู่กับผมตลอดเวลาเลยนะ”



“จะให้ถ่ายซีรีส์อีกเรื่องหรือไง”



“ได้เล่นกับพี่ ผมก็ยอมเหนื่อย”



“ไม่เอาด้วยหรอก” ผมมุ่ยหน้า ตอนปิดกล้องรู้สึกใจหายนะแต่ถ้าให้เล่นอีกผมขอบาย



“อยู่กับผมอีกสักคืนนะครับ ขอเวลาผมหน่อย”



“อืม” ผมตบแปะๆ ที่หน้ามันเบาๆ ไอ้เด็กตัวโตทำเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ มันก็จริงที่เราตัวติดกันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ใช่ว่าผมต้องไปอยู่บ้านเหมือนเดิมแล้วจะขาดการติดต่อกันไปเสียหน่อย



งานเกี่ยวกับวงการบันเทิงจบลงเร็วกว่าที่ผมคาดเอาไว้ ที่จริงเรามีแฟนมีทที่จะจัดขึ้นด้วย แต่ปัญหาหลายอย่างทำให้มันต้องถูกยกเลิกไปทั้งที่กระแสซีรีส์เรื่องนี้ดีมากพอสมควร บวกกับการที่ทั้งผมและไอ้โซลไม่มีใครคิดรับงานอื่นอีก ทุกอย่างเลยกลับสู่ความปกติเพียงแค่ไม่กี่วัน...ยกเว้นในโซเชียลน่ะนะ แต่ไม่แน่ว่าถ้าซีรีส์จบพวกเขาอาจจะลืมพวกผมไปเลยก็ได้



“แล้วอยากกินอะไร ผมจะโทรสั่ง”



“เดี๋ยวกูทำเองดีกว่า ของยังเหลือ เอาไว้มึงก็ไม่ทำ” เพิ่งคิดได้ว่ามันไม่ทำอาหาร ที่ซื้อมายังเหลืออยู่เยอะเลย



“พูดให้ผมเศร้าอีกแล้ว”



“อย่าเว่อร์ได้ไหม”



ไอ้โซลโอดครวญไม่เลิก เกาะติดผมไปที่ครัวด้วย



“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก”



“ก็แค่ใช้ชีวิตแบบตอนที่เรายังไม่รู้จักกัน”



“พี่พูดแบบนั้นอีกผมจูบจริงๆ ด้วย”



ผมเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ ยังไม่ได้พูดอีกรอบเลยแต่แม่งจะทำจริง!



ที่จริงผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอก แค่หมายถึงแต่ก่อนมันก็อยู่คนเดียวได้ ไม่มีผมมันก็ไม่ตายสักหน่อย อีกอย่างผมว่ามันต้องหาทางมาเจอผมได้บ่อยแน่ ขนาดเลิกกองเหนื่อยๆ มันยังเคยไปส่งผมที่บ้านมาแล้วเลย เราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง ถึงจะคบกันก็ใช่ว่าต้องตัวติดกันตลอดเวลา



“แฟนคนอื่นมึงเป็นอย่างนี้ไหมเนี่ย”



“ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยต่างหาก” เสียงมันดังอยู่ข้างหู สองแขนโอบผมไว้หลวมๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่ของผม



“กูไปตึกสถาปัตย์ฯ ออกบ่อย” ไม่บ่อยขนาดนั้น แต่เหมือนจะได้ไปบ่อยเร็วๆ นี้ “อยู่แบบนี้กูทำกับข้าวไม่ได้นะ”



“…”



“มื้อสุดท้ายแล้วนะโซล”



“พี่ซีน!”



เด็กนั่นผละออก จ้องผมด้วยสายตาจริงจังติดจะไม่พอใจเล็กๆ ด้วย ผมกลั้นขำ ก็เห็นดราม่านักเลยช่วยบิวท์



“ว่างๆ จะมาทำให้กิน” คนตรงหน้าเหมือนเด็กที่ไม่ยอมห่างจากผู้ปกครอง ผมเอื้อมไปขยี้หัวมันจนยุ่ง “มึงจะว่างหรือเปล่าเถอะ”



“ว่างตลอด”



“กูจะรอดู”



“ใจผมมันรู้สึกโหวงๆ”



“เราอยู่ด้วยกันตลอด พอจะห่างมันเลยแปลกๆ เป็นธรรมดา เดี๋ยวมึงก็ชิน”



“พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ...”



ผมใช้กำปั้นเขกหัวมันเบาๆ “มึงมีโทรศัพท์เอาไว้ทำอะไร”



“เหมือนกันที่ไหน...”



“ไปตอกไข่ไป”



“ผมอยากขังพี่ไว้ที่นี่จริงๆ เลยให้ตาย...”









หกโมงเย็นผมวิ่งหาของไปทั่วห้องมัน หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็อาบน้ำแต่งตัว ดูหนังอยู่หน้าโซฟากับไอ้โซลแล้วก็หลับกันไปทั้งสองคน ตื่นมาก็ฟ้ามืดแล้ว



“เร็วโซล ป๊าม้ารอ”



ถึงผมจะยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิมแต่ตอนเย็นผมจะเข้าไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ครั้งนี้ไอ้โซลอิดออด เดินลากเท้าไปหยิบของทีละอย่าง แบบนี้กี่ทุ่มจะไปถึงบ้านผมวะเนี่ย



“กูหยิบกุญแจรถมาแล้ว”



ผมเดินไปลากแขนมัน พอจะถึงหน้าประตูอีกฝ่ายก็ยื๊อเอาไว้



“หืม?”



ไอ้โซลไม่พูดอะไร มันดูหงุดหงิดใจ กระตุกข้อมือผมให้เข้าไปหาแล้วกอดเอาไว้



“เป็นอะไร...” มันเริ่มทำให้ผมใจเสียไปด้วย ของของผมที่ห้องมันก็ยังไม่ได้เก็บ แล้วผมก็รับปากมันไปแล้วว่าอยู่ที่นี่อีกคืนหนึ่ง



“มีเรื่องอื่นอีกเหรอ”



“ผมมีแต่เรื่องของพี่นั่นแหละ” สองแขนกระชับรอบตัวผมแน่นขึ้น บางทีไอ้โซลก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า บางทีก็กลายเป็นเด็กที่ไม่สนใจเหตุผลอะไร แต่สภาพตอนนี้นี่มันเด็กโข่งชัดๆ



“มึงทำอย่างกับกูจะไปเรียนต่อต่างประเทศ”



“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก...” น้ำเสียงมันอู้อี้อยู่ที่ไหล่ ปลายจมูกมันไล่ขึ้นมาถึงกกหู ผมย่นคอเพราะจั๊กจี้ก่อนจะถูกมันกดจมูกลงบนแก้ม “เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”



ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่หน้าตาตอนนี้ของมันทำให้ผมยกมือขึ้นกอดมันตอบ



แม้แต่ตัวมันยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ตอนนี้ถึงพูดอะไรมันก็ไม่ฟัง ปล่อยมันงอแงไปแบบนี้แหละ เดี๋ยวพอเปิดเทอม พอไอ้โซลชินก็คงหายจากอาการนี้เอง













           

“ฮ...เฮียคัท!?”



“เออ”



“เฮีย!?”



“เออ ทำอย่างกับเห็นผี”



“แล้วเฮียมาได้ไง!? ตอนไหน!?”



ตรงหน้าผมคือพี่ชายสายเลือดเดียวกันที่กำลังนั่งพาดขายาวไปกับโซฟาตัวใหญ่ หน้าตาที่ไอ้จั๊มพ์เคยพูดลับหลังว่าหล่อแต่เหมือนยากูซ่าฉิบหายดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เฮียคัทจ้องผมสลับกับมองเลยไปด้านหลังเล็กน้อย



“นั่งเครื่องบินมา ถึงเมื่อคืน...แล้วก็เพิ่งรู้ว่าน้องตัวเองไม่ได้อยู่บ้าน”



“ทำไมไม่บอกผมอะ แล้ว...แล้วผมก็บอกไปแล้วไงว่าต้องค้างกับโซลน่ะ”



“ปิดกล้องแล้วไม่ใช่เหรอ”



“ก็...ก็ใช่”



“คืนนี้กลับมานอนบ้านแล้วใช่ไหม” เฮียคัทเลิกคิ้ว มันไม่ใช่ประโยคคำถามแต่น้ำเสียงเอื่อยๆ ที่เน้นทุกพยางค์มีความหมายว่าผมต้องกลับมาอยู่บ้านตัวเองนับจากวันนี้



ผมอึกอัก เพิ่งจะรับปากไอ้โซลไปเอง ไม่คิดว่ากลับบ้านมาจะเจอเฮียแบบนี้ คิดหาเหตุผลที่จะกลับไปนอนห้องไอ้โซลอีกคืนไม่ได้เลย



“เรื่องขับรถชนยังไม่เคลียร์นะซีน”



จบกัน...ผมยิ้มแหย เฮียคัทไม่ได้ดุแต่ก็ไม่ได้ใจดี บางเรื่องผมโดนตามใจแต่กลับบางเรื่องผมก็ขัดเฮียไม่ได้เลย



“ส่วนมหา’ลัยเดี๋ยวเฮียไปส่ง”



“เอ่อ...นี่โซล ที่เล่นซีรีส์ด้วยกันน่ะ” ผมหันไปแนะนำคนข้างหลังแทน ไอ้โซลยกมือไหว้ ขณะที่เฮียคัทแค่ปรายตามองเล็กน้อย แล้วผมจะตื่นเต้นทำไมวะเนี่ย



“มาบ้านเราบ่อยเหรอ”



“ก็มาบ้าง...” ผมตอบอ้อมแอ้ม ที่เฮียรู้เพราะเห็นว่าปิ๊กมี่เดินเข้ามาหาไอ้โซลหน้าตาเฉย นอกจากเพื่อนสนิทสามคนนั้นของผมแล้ว ปิ๊กมี่ก็ไม่เล่นกับใครอีกถ้าไม่ใช่คนที่มาบ้านผมบ่อยจริงๆ



“ม้าบอกว่ามึงคอยมารับมาส่งน้องกูเหรอ”



“ครับ”



“ขอบใจ” ว่าเสียงห้วน ปกติเฮียคัทไม่ใช่คนประเภทเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว แต่กับไอ้โซลไม่เห็นต้องทำหน้าไม่ชอบใจขนาดนั้นเลยนี่...หรือเฮียจะรู้เรื่องของผมกับมัน...



“เฮียไม่อยู่ไม่เท่าไหร่ มึงมีคนคอยบริการดีขนาดนี้เลยเหรอวะ”



“ก็...เด็กมันมีน้ำใจ” ผมว่า อยู่ๆ ก็ไม่กล้าสบตาพี่ชาย “หรือเฮียจะให้ผมขับเอง?”



“ก็ดีแล้วไง เฮียยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ทั้งที่หน้าบึ้งขนาดนั้นน่ะนะ...ผมก้าวมายืนบังไอ้โซลเอาไว้ อยากให้ป๊าม้าทำอาหารเสร็จเร็วๆ กลัวว่าเฮียจะสงสัยอะไรมากกว่านี้



“แล้วเฮียจะทำโหดทำไม”



“เฮียเปล่า” พี่ชายของผมตอบหน้าตาย สายตาเรียบนิ่งทำเอาผมเผลอกลืนน้ำลาย “มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกเฮียไหม”



“อ...อะไร”



“เฮียถามมึงนะ”



“เยอะ” หมายถึงเรื่องในกองถ่าย “ก็เฮียไม่ตอบแชทผมเอง”



“เฮียดูซีรีส์ที่มึงแสดง แล้วก็รายการที่มึงไปออก”



“ผมยังไม่เคยดูเลยนะ”



“แสดงดี” อีกฝ่ายว่าขณะตวัดสายตามองพวกผมที่ยืนอยู่ทางเข้าห้องนั่งเล่น “ไอ้รายการพวกนั้นก็แสดงใช่ไหม”



...ผมอยากจะหายไปจากตรงนี้จริงๆ



“..มันก็ต้องสร้างกระแสบ้าง” ผมตอบเสียงเบา ในใจโหวงชอบกล กังวลกับไอ้คนด้านหลังที่เอาแต่นิ่งเงียบ



ผมตั้งตัวไม่ทันตอนที่เข้าบ้านมาแล้วเห็นพี่ชายตัวเองกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น แล้วก็ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะบอกเรื่องระหว่างผมกับไอ้โซลยังไง...ไม่ได้อยากให้มันเป็นความลับ แต่แค่เห็นหน้าเฮียตอนนี้ผมก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงคอแล้ว



เงียบไปสองอึดใจ เจ้าของบ้านอีกคนก็ลุกขึ้นนั่งดีๆ พลางถอนหายใจ “แล้วจะยืนตรงนั้นอีกนานไหม”



ผมทำหน้างง แต่พอเห็นพี่ชายกระดิกมือเรียกก็เข้าใจ เดินเข้าไปกอดอย่างที่ทำเป็นประจำ



“ได้พักบ้างไหม ทำไมผอมลงแบบนี้วะ”



“เพิ่งปิดกล้องไปเอง”



“ม้านะม้า เอาลูกไปทรมาน เฮียบอกแล้วเห็นไหม...” บลาบลาบลา...ที่ไม่ตอบแชทผมเพราะรอมาบ่นต่อหน้าแบบนี้หรือเปล่าวะ “ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้วนะเว้ย เฮียไม่ยอมนะ”



“อย่างกับเฮียขัดม้าได้”



“นี่มึงก็อยากแสดงเหรอ”



“เปล่า อยากเถียงเฮียเฉยๆ”



ก็แหม ทำเป็นโหดแต่ก็สู้ม้าไม่ได้อยู่ดี เฮียคัทรัดตัวผมแน่นขึ้น กดจมูกลงบนแก้มผมเต็มฟอด



“โอ้ย เจ็บนะเฮีย หนวดก็ไม่โกน”



“ช่างมึง”



กว่าเฮียจะหยุดแก้มผมก็แดงเถือกเพราะตอหนวดของเฮียคัทนั่นแหละ ไม่ได้มีความขัดเขินอะไรสักนิด ผมไม่รู้ว่าบ้านอื่นเป็นยังไง พวกเราทำแบบนี้กันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เฮียคัทยังทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา



“แล้วจะกลับไปอีกวันไหน”



“เพิ่งมาถึงก็จะไล่เลยเหรอวะ”



“ผมถามเฉยๆ”



“เรื่องของเฮียเหอะน่า”



“อ้าว” พี่ใคร ทำไมเป็นงี้



“มาก็ไม่บอกผม”



“มึงรู้จักคำว่าเซอร์ไพรส์ไหม” ผมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ คำนี้ผมน่ะรู้จักแต่ไม่คิดว่าคนอย่างเฮียคัทจะทำอะไรแบบนี้กับเขาเป็นหรอก



“แต่เฮียไม่อยากเจอเรื่องเซอร์ไพรส์เลยว่ะ”



“ม...หมายความว่าไง”



ผมนั่งตัวแข็ง หน้าผมตอนนี้ต้องตื่นมากแน่ๆ



อีกฝ่ายไม่ตอบ มือที่ลูบหัวผมอยู่กดให้ผมซบลงกับอก แรงกอดที่แน่นกว่าเก่าทำให้ผมใจเต้นแรง...เฮียพูดเหมือนเฮียรู้...



“ไปกินข้าวเถอะ”















“ผมว่าแล้วเชียว ลางสังหรณ์แม่นฉิบ...”



ไอ้โซลพ่นลมหายใจฮึดฮัด บรรยากาศกินข้าวเย็นผ่านไปด้วยดี...มั้ง เฮียคัทไม่ได้พูดอะไรอีกแต่แสดงความไม่ชอบใจออกมาทางสีหน้าชัดเจน และแน่นอนว่าผมกลับไปกับไอ้โซลไม่ได้ ข้ออ้างร้อยแปดที่ผมคิดเอาไว้แต่ไม่กล้ายกขึ้นมาพูด กลัวว่าเฮียคัทจะสงสัยมากไปกว่านี้



“เราบอกไปเลยไม่ได้เหรอ...”



“มึงก็เห็นหน้าเฮียคัท แค่บอกว่าสร้างกระแสเฮียยังไม่พอใจเลย”



“…”



“เอาน่า ยังไงกูก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี นี่ก็เร็วกว่าเดิมวันนึง”



“ผมไม่ได้เตรียมใจด้วยซ้ำ”



เรายืนกันอยู่นอกบ้าน แค่ผมบอกจะออกมาส่งไอ้โซล เฮียก็มองด้วยสายตาแปลกๆ แล้ว เฮียคัทไม่เหมือนเฟิร์ส เพราะนี่คือพี่ชายผม ไอ้โซลอาจไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่ายอม



“หรือว่าผมควรจะเข้าไปคุย...”



“เฮียคัทอารมณ์ไม่ดีอยู่ อย่าเพิ่งทำอะไรนะเว้ย” ผมดันตัวมันเอาไว้ เฮียคัทโกรธใครก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน เท่าที่เฮียเคยดูแลผมมา เฮียไม่ค่อยให้ใครเข้ามายุ่งกับผมสักเท่าไหร่ ผมกลัวว่าเฮียจะทำอะไรไอ้โซลน่ะสิ…



“ยังไม่ใช่ตอนนี้โซล” ผมว่า พยายามให้มันใจเย็น “เดี๋ยวกูจะคุยกับเฮียเอง”



“แต่ผม...”



“กลับไปก่อนนะ” ผมส่งแววตาแกมขอร้องไปให้ “ไว้เจอกันที่มหา’ลัย”



“อีกตั้งวันหนึ่ง!?”



“ให้ทำยังไงเล่า”



เด็กตรงหน้าถอนหายใจอย่างปลงตก ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีถึงยอมก้าวขึ้นรถ



“ผมไปแล้วนะ”



“อืม ขับรถดีๆ”



“พี่ซีน...” อีกฝ่ายทำหน้าตาเคร่งเครียด เรียกให้ผมก้มลงไปหาก่อนมันจะกดริมฝีปากลงบนแก้มผมเต็มๆ 



“นี่หน้าบ้านนะ!”



“เข้าบ้านเถอะครับ เดี๋ยวผมโทรหานะ”



“รีบไปเลย” ผมกุมแก้มตัวเอง โบกมือไล่ มาบ้านผมครั้งที่แล้วมันก็เอาแต่ใจไปเยอะแล้วนะ เกรงใจป๊าม้าผมบ้างสิโว้ย



ไอ้คนขับเบนซ์หัวเราะ บอกให้ผมเดินเข้าไปในบ้านก่อนมันถึงออกรถไป















เออ...มันแปลกจริงๆ นั่นแหละ





‘มึงมีโทรศัพท์เอาไว้ทำอะไร’

‘เหมือนกันที่ไหน...’





ไอ้โซลพูดถูก...มันไม่เหมือนกันเลยสักนิด



แปลก...การที่ไม่มีไอ้โซลอยู่ตรงนี้น่ะ อาจเพราะช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ผมอยู่กับมันตลอดเวลา ไม่ว่าจะกลับบ้านไปเอาของ ไปกองถ่าย เลิกกองก็กลับห้องมัน เห็นหน้ามันตลอดเวลา ผมก็เลยอาจจะแค่...ยังไม่ชิน



...ใช่ไหม





(คิดถึงผมล่ะสิ)



“ฝันไปเหอะ”



(แต่ผมคิดถึงพี่นะ)



“จะเว่อร์ไปไหน เพิ่งห่างไม่กี่ชั่วโมง”



(ผมนอนไม่หลับจริงๆ นะเนี่ย)



น้ำเสียงโอดครวญทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ



“เพิ่งสองทุ่ม จะง่วงได้ไง”



(ผมอยากเห็นหน้าพี่)



“ไม่ให้เห็นเว้ย”



(คอยดูที่มหา’ลัยผมบุกไปถึงห้องแน่)



“ทำตัวน่ากลัวว่ะ”



เสียงหัวเราะดังมาตามสาย พรุ่งนี้ต่อให้ไอ้โซลชวนไปไหนผมคงไปไม่ได้ คงได้เจอกันที่มหา’ลัยอย่างเดียว



“นี่...ไม่ใช่ว่ากินแต่ข้าวกล่องนะ สั่งมากินไม่ก็ออกไปซื้อ เข้าใจไหม”



(ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น)



ไอ้บ้านี่... “งั้นก็อยู่อย่างนั้นไปนั่นแหละ”



(พี่ซีน...)



“ที่กูทำไว้ยังเหลือ เวฟเอาแล้วกัน”



(ทำไมพี่ทำเหมือนเราจะไม่ได้เจอกันนานแบบนี้ล่ะ)



“มึงนั่นแหละที่ทำก่อน” ผมก็บอกอยู่ว่าเดี๋ยวก็เจอ วุ๊ย นี่ผมก็เป็นบ้าตามมันไปแล้ว



(พี่ชายพี่โหดมากปะ)



“ไม่เอานะโซล ห้ามมีเรื่อง”



(จะต่อยพี่เขยได้ไงเล่า ไม่ยกน้องให้ก็ซวยดิ)



ผมย่นคอ พูดอะไรแบบนี้วะ จั๊กจี้เว้ย



(ที่จริง...ยอมให้พี่ชายพี่กระทืบยังดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้เลย…)



“…”



(ผมอยากเจอพี่)



น้ำเสียงหงอยๆ นั่นทำเอาผมใจยวบ



“อืม...กูก็...” ผมเม้มปาก “อยากเจอมึ...”



ปัง!



“ทำอะไร”



“เฮีย!!” ผมกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอนหน้าตื่น “ตกใจหมด!”



“คุยกับใคร”



“อ...ไอ้จั๊มพ์”



“ไอ้เชี่ยทิมมันเปลี่ยนเบอร์เหรอวะ เฮียโทรไม่ติด”



“เปลี่ยนได้หลายเดือนแล้ว เฮียจะโทรหามันทำไม”



“เอาเบอร์มาดิ๊” ผมกดตัดสายอีกคนอย่างรวดเร็ว เปิดหาเบอร์เพื่อนสนิทแล้วรีบกดลงในโทรศัพท์ให้พี่ชายที่ยืนทำหน้ายักษ์อยู่ปลายเตียง



“เฮียจะโทรหามันทำไม” ผมถามอีกครั้ง นี่มันก็ยังไม่ดึกมากแต่ธุระอะไรที่ต้องทำหน้าดำคร่ำเครียดขนาดนั้น



“โทรไปด่า”



“ฮะ!?”



“ด่าทำมะ...”



พี่ชายผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ส่งสายตาดุมาให้ “ตามเฮียมาที่ห้อง”



“ทำไม!?”



“ตะโกนเพื่อ” เฮียว่าเสียงฉุน เหมือนว่าไอ้ทิมจะไม่รับ เฮียคัทก็กดตัดสาย “วันนี้คำถามมึงเยอะนะ เฮียกลับมาจะมานอนกับเฮียไม่ได้เลยเหรอ”



“เปล่า ก็...ก็นึกว่ามีอะไร”



“แล้วนั่นคุยเสร็จแล้วเหรอ”



“เสร็จแล้ว”



“ตามมาเร็วๆ”



“รู้แล้วๆ”



ผมพรูลมหายใจออกมาตอนที่เฮียออกจากห้องไป รีบส่งข้อความไปหาไอ้โซลให้มันอย่าเพิ่งโทรมาอีกเพราะตั้งแต่วินาทีนี้จนกว่าผมจะได้ไปมหา’ลัยคงได้ตัวติดอยู่กับเฮียคัทตลอดเวลาแน่



ปัง!



“ยังไม่มาอีก”



“ผมกำลังจะไปนี่ไง!”



หัวใจจะวาย!



เฮียคัทยืนขำ ทำประตูห้องคนอื่นจะพังอยู่แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะอีก ผมเดินกระแทกเท้าผ่านหน้าเฮียไป ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อะไรแบบนี้…



อย่างกับคนทำความผิด!









-----------------------------------

#ข้างหลังฉาก #โซลซีน


ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :mew5: เฮียหรือร็อตไวเลอร์กันแน่ ดุชิบ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เหมือนโดนพี่คัทแกล้งเลยอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด