❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17  (อ่าน 31069 ครั้ง)

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


เป็นนักอ่านสิงบอร์ดมานาน คราวนี้เอานิยายเขียนเองมาลงบ้างค่ะ แนะนำติชมได้นะคะ

ฝากเพจด้วยค่า Magdaren/Nanami

✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


แขกหนึ่งคน พบเพียงหนึ่งครั้ง


คือกำแพงสูงชันที่ อาคาเนะ สร้างเอาไว้รอบตัว เขาไม่เคยใส่ใจแม้แต่จะจำชื่อแขก เพราะเมื่อพบกันแล้ว จะไม่มีครั้งหน้าอีก


ยกเว้นเพียง... โทชิฮิโระ

 
ชายที่เอาตัวเข้ามาพัวพันกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยรอยยิ้มและความเจ้าเล่ห์อย่างที่อาคาเนะไม่เคยรู้จักมาก่อน ซ้ำยังทำลายกฎของเขาลงอย่างง่ายดายด้วยใบหน้าสุดระรื่น


“ไม่ยากหรอกก็แค่เรียกชื่อ ยิ่งเห็นเจ้าปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายข้ายิ่งอยากได้ยินรู้ไหม”


อาคาเนะแทบอยากเหวี่ยงขวดกระเบื้องสวยๆ ฟาดใส่กลับไปแทบใจจะขาด!




✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿

ใครว่าปีศาจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เราขอเสนอพระเอกที่ร้ายกาจยิ่งกว่า แล้วทุกคนจะเห็นว่าจิ้งจอกจะน่ารักขึ้นมาทันใด


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2017 21:39:33 โดย Magdaren »

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
--บทนำ--


ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์เว้าแหว่งเหลือเพียงเศษเสี้ยว สายลมต้นฤดูหนาวหอบเอาความเย็นผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เข้ามาจนแสงของเปลวเทียนวูบไหว ทว่าคนในห้องกำลังต่อสู้กับความร้อนรุ่มจนเหงื่อไหลลงที่ข้างขมับ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนไหวระริกและพยายามปิดตาลงเพื่อไม่ให้รับรู้ถึงใครอีกคน


“ดื้อพอดูเลยนะเจ้า” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเจ้าเล่ห์ทำให้คนที่กำลังอดทนต้องกอดตัวเองแน่นขึ้น แขนขาวขยำกิโมโนสีแดงสดของตนแน่น ขบฟันกลั้นความต้องการที่กำลังจะล้นทะลัก ลมหายใจหอบหนักจนน่ารำคาญ แว่วเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันจนเผลอลืมตาขึ้นมอง


“มานี่มาเด็กน้อยของข้า” น้ำเสียงนั้นราวกับเสียงล่อหลอกของปีศาจ แต่แผ่นอกตึงแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจคลายสายคาดเอวออกแล้วรั้งกิโมโนของตนลงเพื่อเปิดเผยมันทำเอาคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


“ไม่! บอกแล้วไงว่าไม่เอา!” สิ่งที่เพียรพยายามบังคับตัวเองมาตลอดก็เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นวันนี้ แต่เพราะพลั้งเผลอไปนิดเดียวถึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด


“อาคาเนะ” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียก และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมือใหญ่เชยคางของเขาให้แหงนเงยขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำเงินลึกล้ำดุจมหาสมุทร ทั้งที่ปกติจะเห็นเป็นสีดำเหมือนดวงตาของ ‘มนุษย์’ แต่แสงจากเปลวเทียนทำให้สีที่แท้จริงเผยออกมา


การต่อสู้กับความอยากโดยสัญชาตญาณทำให้อาคาเนะรู้สึกทรมานจนตัวสั่น ดวงตาคู่โตวาววับด้วยน้ำตาที่ใกล้จะรินไหลเต็มทน


“กลัวการผูกพันขนาดนั้นเชียวหรือ” เห็นท่าทีดื้อรั้นอดทนกับความทรมานของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วเขาไม่เข้าใจ ในชีวิตของทุกคนย่อมต้องมีพบและแยกจากเป็นเรื่องปกติ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับเลือกจะปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ตั้งกฎไว้เพื่อกันไม่ให้ใครได้เข้าใกล้ พอเขาดึงดันจะฝืนเข้ามาอาคาเนะเลยมีสภาพเช่นนี้


ถึงใจหนึ่งจะสงสาร แต่การเห็นคนที่เคยหยิ่งผยองตัวสั่นเป็นลูกนกตกจากรังเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน


“ข้าไม่ทิ้งเจ้าไว้เหมือนคนอื่นหรอก เชื่อข้าสิ แค่เจ้ายอมเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า” ดวงตาคนฟังเบิกกว้าง น้ำตาที่เอ่อคลอมานานเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนมือเรียวจะตบเข้าที่ใบหน้าคนพูดด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่


“เจ้ามันปีศาจ!” อาคาเนะตวาดลั่น อยากจะหนีไปจากตรงนี้แต่เขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว


“เรียกโทชิฮิโระสิ” คนถูกตบไม่มีท่าทีโกรธเคืองตรงข้ามกลับดูพึงพอใจมากยิ่งขึ้น เห็นอาคาเนะมองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อด้วยลมหายใจหอบถี่ดูแล้วช่างน่าเอ็นดู


“เรามันพวกเดียวกันไม่ใช่หรือ ทรมานจนหูกับหางโผล่แล้วนะ” ใบหน้าของอาคาเนะแดงวาบรีบยกสองมือตะครุบเหนือศีรษะของตนแต่ไม่พบอะไร คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกเลยถลึงตาใส่


“ข้าล้อเล่น” โทชิฮิโระเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม เขากำลังจับตาดูว่าหน้าขาวๆ แสนน่ารักนั้นจะแดงขึ้นได้อีกสักแค่ไหน


“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกดื้อรับรองว่ามันได้โผล่ออกมาแน่ จะให้รอจนเจ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อนหรอกนะ ดีเสียอีกเจ้าอาจจะเชื่องกว่านี้” อาคาเนะกัดฟันกรอดก่อนกระโจนเข้าใส่คนตรงหน้า น้ำหนักที่โถมลงมาทำเอาโทชิฮิโระหงายลงไปนอนกับพื้นแต่สองมือยังไวพอจะรวบตัวอาคาเนะเอาไว้


“ทำไม...” ร่างข้างบนทิ้งน้ำหนักลงพร้อมกับก้มลงซุกหน้ากับบ่ากว้าง เลิกดิ้นรนขัดขืนแล้วปล่อยให้มือใหญ่คอยลูบหลังให้


“สนุกนักหรือที่ได้แกล้งข้า” ไม่มีคำตอบกลับมานอกจากเสียงหัวเราะในลำคอของโทชิฮิโระ อาคาเนะหยัดตัวขึ้นหรี่ตามองคนที่อยู่ๆ ก็พาตัวเข้ามาวุ่นวายในชีวิตอันราบเรียบของเขา ผู้ชายอวดดีที่คิดจะสยบเขาไว้แทบเท้า


“จิ้งจอกน่ะ ไม่เคยเชื่องหรอกนะ” ร่างของอาคาเนะลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงทว่ากลับไม่มีความร้อนใดๆ ส่งมาถึงโทชิฮิโระที่ยังคงกอดเอวของเด็กหนุ่มเอาไว้หลวมๆ เส้นผมสีน้ำตาลกลับกลายเป็นสีแดงเช่นเดียวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ เหนือศีรษะปรากฏหูแหลมสองข้างรูปร่างเหมือนหูของของจิ้งจอก พวงหางฟูนุ่มแกว่งเบาๆ เมื่อเปลวไฟทั้งหมดดับลง


อาคาเนะก้มตัวลงไปหาโทชิฮิโระ อ้าปากเผยเขี้ยวคมที่ถูกซ่อนเอาไว้เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ สายเลือดปีศาจครึ่งหนึ่งในตัวเขามีความต้องการเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ มันเป็นความหิวกระหายไม่ต่างกับที่มนุษย์ต้องการอาหาร แต่หาได้ยากกว่ากันมาก อาคาเนะจึงได้ตั้งกฎไว้กับตัวเองว่าจะไม่ดื่มเลือดมนุษย์คนไหนซ้ำเป็นครั้งที่สอง ทั้งเพื่อความปลอดภัยของตัวเองจากการติดรสเลือดของใคร และเพื่อไม่ให้เผลอเข้าไปใกล้ชิดกับใครเกินความจำเป็นด้วย


แต่ชายคนนี้กำลังทำให้อาคาเนะต้องทำลายกฎนั้น


มือใหญ่ยกขึ้นปิดปากอาคาเนะก่อนที่จะได้ฝังเขี้ยวลงบนแผ่นอกตรงหน้าเพียงแค่คืบ คิ้วของอาคาเนะขมวดแน่นเหลือบตามองโทชิฮิโระด้วยสายตาขัดใจ ทั้งที่เขาอุตส่าห์ยอมอ่อนข้อให้แล้วแท้ๆ


“เมื่อครู่เจ้าตบข้า เด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษก่อน” จบคำร่างสูงใหญ่ก็จับคนด้านบนกอดไว้แนบอกแล้วพลิกตัวเองขึ้นไปเป็นฝ่ายคร่อมร่างของอาคาเนะเอาไว้แทน หูจิ้งจอกทั้งสองข้างพับลงแสดงถึงความตื่นกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มือทั้งสองข้างของเขาถูกโทชิฮิโระรวบขึ้นไปไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว


“จะทำอะไร” ดวงตาของคนถามหลุกหลิกด้วยความระแวง แต่เมื่อกลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะจมูกร่างกายเขาจึงกลับมาตื่นตัวเพราะความกระหายอีกครั้ง อาคาเนะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเมื่อเห็นแล้วว่าต้นตอของกลิ่นเลือดแสนหอมหวนมาจากไหน


“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร อาคาเนะของข้า” โทชิฮิโระกระตุกยิ้มที่มุมปากที่มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาแล้วค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหาเด็กหนุ่มที่มองเขาตาเยิ้ม ต่อให้ดื้อรั้นเพียงใดสัญชาตญาณก็ยังอยู่เหนือทุกสิ่ง อาคาเนะที่ห่างจากการดื่มเลือดมาหลายวันย่อมไม่มีทางปฏิเสธกลิ่นที่เชิญชวนนี้ได้


ระยะห่างแค่ฝ่ามือกั้นที่โทชิฮิโระจงใจเว้นไว้ทำให้ร่างข้างใต้ต้องยืดตัวขึ้นมาด้วยสายตาเคืองขุ่น แตะปากและไล้เลียริมฝีปากเขาของเบาๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาของอาคาเนะทอประกายขึ้นเมื่อได้ดื่มเลือดอย่างที่ต้องการ ปริมาณน้อยนิดนั้นทำให้ความต้องการยิ่งเพิ่มพูนจนกลายเป็นฝ่ายรุกล้ำไล่จูบโทชิฮิโระราวกับคนขาดน้ำ เรียกเสียงพึงพอใจจากลำคอของคนด้านบน ลืมตัวแม้กระทั่งยามขบฟันคมลงบนปากของโทชิฮิโระสร้างบาดแผลเพิ่มเพื่อให้ได้รสเลือดมากกว่าเดิม


“เด็กดี” เสียงเอ่ยชมเรียกสติของอาคาเนะให้กลับคืนมา รับรู้ถึงมือที่กำลังไล้ข้างแก้มและสายตาทรงอำนาจจ้องมองมา กับร่างกายที่ก่ายกอดกันอยู่ พลันใบหน้าเกิดร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง


เทพเจ้า... ทำไมท่านต้องส่งปีศาจร้ายตนนี้มาหาข้าด้วย





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
--บทที่ 1--

การเริ่มต้น





ในโลกนี้สิ่งที่มนุษย์ต้องการพูดกันตามตรงคงมีอยู่สองสิ่ง หนึ่งคือเงินทองซึ่งเอาไว้ใช้ซื้อหาสิ่งจำเป็นรวมถึงของใช้สุรุ่ยสุร่ายตามแต่ใครจะชอบ และสองคือความสุข บางคนบอกว่าเงินไม่สามารถซื้อความสุขได้ จึงยังคงถูกแยกเอาไว้เป็นอีกข้อ แต่ในสายตาของอาคาเนะซึ่งอยู่ในฐานะ ‘สินค้า’ แล้ว เงินสามารถใช้ซื้อความสุขได้อย่างแน่นอน เงินจึงเป็นทุกอย่างสำหรับเขา


“ไม่ ท่านก็รู้ว่าค่าตัวข้ามากกว่านี้ตั้งสองเท่า” เด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยปฏิเสธเสียงแข็งก่อนหมุนตัวกลับเข้าห้อง แต่ก่อนที่เขาจะปิดประตูกลับมีมือของอีกคนสอดมาจับบานประตูเอาไว้เสียก่อน ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองคนเกะกะแล้วพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด


ตัวโตอย่างกับยักษ์แล้วยังมายืนขวางประตูห้องคนอื่นเขาอีก


“อาคาเนะ ยอมๆ ไปเถอะ ไหนๆ คืนนี้ก็ยังไม่มีใครจองตัวเจ้าอยู่แล้ว” เจ้าของชื่อเบ้ปากแสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้งพร้อมยกสองมือขึ้นกอดอก


“โคคิ เผื่อท่านจะลืม ข้าไม่เคยรับแขกคนเดิมซ้ำสอง ถ้าท่านยอมขายข้าด้วยเงินเท่านี้ เกิดคนอื่นเอาไปทำตาม แล้ววันหนึ่งลูกค้าหมด ท่านเองจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนนะ” ฟังคนตัวเล็กบ่นยาวเป็นชุดแล้วโคคิทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป ยอมรับเลยว่าเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าคนนี้เหมาะจะเป็นเจ้าของร้านมากกว่าเขาเสียอีก ถึงจะเป็นคนที่มีกฎแปลกๆ ไปหน่อยก็ตาม


อาคาเนะต่างจากคนอื่นเสมอตั้งแต่เข้าร้านมา ที่นี่คือร้านขายบริการคาเงมะ พูดง่ายๆ คือร้านที่ขายผู้ชายให้กับผู้ชายด้วยกัน อาจไม่ได้รับความนิยมเท่าร้านที่ขายผู้หญิงแต่ยังมีลูกค้าอยู่มากพอสมควร


อาคาเนะเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาในร้านด้วยตัวเอง ตอนนั้นอาคาเนะยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหก อยู่ในวัยที่ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่บวกกับหน้าตาน่ารักคล้ายเด็กผู้หญิงจึงผ่านเกณฑ์การคัดเลือกคนเข้าร้านได้อย่างง่ายดาย เจ้าตัวบอกว่าต้องการเงินจำนวนหนึ่งอย่างเร่งด่วน มันเป็นเงินจำนวนมากเกินกว่าที่เด็กอายุสิบหกจะหาได้จากการทำงานทั่วไปเขาจึงเลือกขายตัวเองให้กับร้านนี้


สีหน้าไม่ยินดียินร้ายทำให้โคคิหวั่นใจว่าอาคาเนะจะสามารถรับแขกได้หรือไม่ แต่เวลาสามปีพิสูจน์แล้วว่าอาคาเนะมีความสามารถมากพอ เพราะนอกจากจะเรียกแขกมาได้มากกว่าคนอื่นแล้วยังสามารถเรียกค่าตัวได้สูงลิ่ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกฎที่ว่าจะไม่รับแขกคนเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สองของเจ้าตัว


ของยิ่งหาซื้อยากราคายิ่งสูง การแย่งชิงกันคือสิ่งผลักดันให้อาคาเนะเป็นที่นิยมมากขึ้น ลูกค้าหลายคนพยายามกลับมาเพื่อทุ่มเงินซื้อโอกาสครั้งที่สองแต่อาคาเนะไม่เคยยอมอ่อนข้อ พอนานไปจึงมีบางช่วงที่ขาดลูกค้าไปเหมือนกัน


“โคคิ” ชายผอมสูงอีกคนก้าวเร็วๆ เข้ามาหา ช่วยหยุดการถกเถียงกันของสองหนุ่มลงได้ เขาคือคนทำบัญชีค่าใช้จ่ายภายในร้านและเป็นคนตรวจดูการจองรวมถึงการติดต่อลูกค้าไปในตัวด้วย


“เรายังคุยกันไม่จบ มีอะไรซาโตรุ” เจ้าของร้านชี้นิ้วใส่อาคาเนะ ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องเอนตัวพิงผนังรอให้โคคิคุยกับซาโตรุให้เสร็จเสียก่อน โคคินั้นเป็นผู้ชายที่ให้อารมณ์หมีป่า ตัวทั้งใหญ่ทั้งหนาด้วยกล้ามเนื้อแล้วยังไว้หนวดไว้เครารกๆ อีก ออกไปเดินตามถนนรับรองว่าไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านคาเงมะ


ผิดกับซาโตรุที่ดูสะอาดสะอ้านและผอมบางกว่าเกือบครึ่ง แต่นับว่าเป็นคนสูงคนหนึ่งแพ้โคคิไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ได้ยินว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก พอโคคิสืบทอดกิจการของครอบครัวเลยชวนซาโตรุมาทำงานด้วย


ราวห้านาทีที่ทั้งสองคนคุยกัน อาคาเนะยืนแกว่งเท้าไปมา เขาไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว เรื่องปิดหูปิดตาตัวเองเป็นของถนัด บางครั้งแขกบางคนชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังแต่อาคาเนะไม่เคยใส่ใจจะจำ เพราะสุดท้ายก็เป็นเพียงคนที่พบหน้ากันคืนเดียวอยู่แล้ว


“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวข้าตามไป” ซาโตรุหันมายิ้มให้อาคาเนะก่อนเดินจากไปเด็กหนุ่มจึงพยักหน้าตอบแล้วหันมาเลิกคิ้วมองหน้าเจ้านายของตัวเอง


“ว่าอย่างไรขอรับนายท่าน” เห็นคนเด็กกว่าเกือบสิบปีลอยหน้าลอยตาใส่แล้วโคคิอยากเคาะกะโหลกสักทีสองที แต่ร่างกายของอาคาเนะเป็นของมีราคาไปแตะสุ่มสี่สุ่มห้าคงไม่ได้


“มีลูกค้าอีกคนติดต่อเข้ามาแล้ว จ่ายตามปกติ รอดไปนะอาคาเนะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยแววตาพราวระยับ คำว่าเงินฟังกี่ครั้งก็ยังลื่นหู เรื่องอะไรยอมเขาจะยอมรับแขกเพิ่มเป็นสองคนทั้งที่สามารถรีดเงินจำนวนเท่ากันได้จากแขกเพียงคนเดียว







เวลาทำงานของอาคาเนะเริ่มต้นหลังตะวันตกดินเสมอ กลางคืนคือช่วงเวลาที่มนุษย์แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไม่ต้องใส่ใจสายตาจากคนรอบข้าง มองเพียงความสุขตรงหน้าเท่านั้น


“เจ้าช่างงดงามสมกับคำร่ำลือจริงๆ” แขกในวันนี้ค่อนข้างมีอายุกว่าแขกทั่วไป เส้นผมสีเทาบ่งบอกว่าเขาผ่านเลยวัยหนุ่มมานานพอควรแล้ว แต่จะแก่จะหนุ่มแค่ไหนแขกก็ยังคงเป็นแขกอยู่ดี อาคาเนะเบียดตัวเข้าไปนั่งใกล้ๆ คอยดูให้แน่ใจว่าจอกเหล้าของแขกจะไม่ว่างลงอย่างเด็ดขาด


“ลือในทางไม่ดีเปล่านายท่าน” อาคาเนะไม่เคยถามชื่อลูกข้าเพราะคร้านจะเสียเวลาจำ ขอแค่ทำเสียงอ้อนๆ นิดหน่อยแล้วเรียกว่า ‘นายท่าน’ ก็เพียงพอสำหรับทุกคน


“ดีสิดี เขาพูดกันว่าเป็นผู้ชายที่งามไม่แพ้ผู้หญิง ซ้ำยังเข้าหาได้ยากกว่าเจ้าหญิงในปราสาทเสียอีก” คนพูดหัวเราะลงคออย่างมีความสุขกับคำกระเซ้าของตัวเอง ฤทธิ์สุราทำให้เขาอารมณ์ดีกว่าปกติหลายเท่า


อาคาเนะยิ้มรับโดยไม่ปฏิเสธอะไร เขาเห็นหน้าตัวเองทุกวันย่อมรู้ดี คงเพราะปีศาจต้องคอยล่อลวงมนุษย์ สายเลือดครึ่งหนึ่งนั้นเลยทำให้เขามีรูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดได้ทั้งชายและหญิงเช่นนี้ จะใส่ใจไปทำไมในเมื่อมันสะดวกต่องานของเขาดี


“ท่านคงเมาแล้ว เปลี่ยนมาดื่มชาสักถ้วยนะขอรับ” ขวดเหล้าสาเกถูกวางลง อาคาเนะหันไปหยิบกาน้ำชาขึ้นมาแทน นี่เป็นน้ำชาสูตรเฉพาะของเขาที่รับรองว่าทั่วทั้งแคว้นไม่มีใครเหมือน


“ระวังร้อนด้วยนายท่าน” ดวงตาสีน้ำตาลคอยมองจนแขกกระดกน้ำชาลงคอจนหมด เหลือบมองฟูกที่ปูไว้อีกฟากห้องก่อนทำเป็นชวนแขกไปนอนพักสักครู่ แน่นอนว่าไม่เคยมีใครปฏิเสธคำชวนนั้น พอเห็นอีกฝ่ายล้มตัวลงนอนรอยยิ้มก็เริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของอาคาเนะทันที


“สาม สอง หนึ่ง” เสียงนับถอยหลังจบลงพร้อมเสียงกรนเบาๆ ออกจากปากคนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนไปเมื่อครู่ ด้วยส่วนผสมพิเศษที่เขาเติมลงในชา แขกของเขาจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และหลงไปกับความสุขจอมปลอมในความฝันของตัวเองไปตลอดคืน


อาคาเนะคลานเข้าไปหาแขกของตน คลายมนต์ที่ใช้สะกดร่างจิ้งจอกเอาไว้เผยให้เห็นใบหูที่ขยับเล็กน้อยเมื่อรับฟังเสียงรอบข้าง และพวงหางที่แกว่งไกวด้วยความพึงพอใจที่คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขาหาได้ทั้งเงินและอาหารด้วย


“เห็นแก่อายุท่านข้าจะดื่มแค่นิดเดียวพอ” มือเรียวคว้ามือของคนหลับขึ้นมาจรดกับปากก่อนจะงับลงไปที่ข้อมือเบาๆ เลือดสีเข้มไหลย้อนขึ้นจากรอยแผลที่เขี้ยวของอาคาเนะฝังลงไป หากเป็นปีศาจทั่วไปอาจกินคนได้ทั้งตัว แต่อาคาเนะรู้สึกขยะแขยงเกินกว่าจะทำเช่นนั้น สำหรับเขาแค่เลือดถือว่าเพียงพอแล้ว เมื่อถึงยามเช้าบาดแผลจะจางหายไปเอง แม้จะไม่แน่ใจเรื่องเหตุผลแต่เป็นเช่นนี้เรื่อยมา


ดวงตาคู่หนึ่งลอบมองอาคาเนะจากบนหลังคาของร้านฝั่งตรงข้าม นกฮูกสีขาวจ้องร่างของครึ่งมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกด้วยดวงตาสีเหลืองคู่โตก่อนจะสยายปีกแล้วโผบินจากไปในความมืด แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาลอยปะปนอยู่ในสายลม





...ต่อด้านล่างค่า...

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0



แม้จะล่วงเข้าช่วงต้นของฤดูหนาวแต่ปีนี้อากาศยังคงอุ่นจนเกือบร้อนโดยเฉพาะเมื่อดวงอาทิตย์ยังคงแผดแสงอย่างแรงกล้า ไร้เมฆสักก้อนมาช่วยบดบัง อาคาเนะนั่งเอนตัวพาดไว้กับขอบของหน้าต่างห้อง ยืดแขนวางพาดออกไปด้านนอกเพื่อรับลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่าน เหม่อมองผู้คนที่กำลังเดินสวนกันไปมาบนท้องถนน


“อาคาเนะ” ใครบางคนส่งเสียงเรียกจากหน้าประตู อาคาเนะลากเสียงในลำคอยาวๆ แทนการตอบรับ คนเรียกจึงเปิดประตูเข้ามา


“มีอะไรหรือพี่ซาโตรุ” ช่องว่างระหว่างวัยและความใจดีของอีกฝ่ายทำให้อาคาเนะเต็มใจจะเรียกซาโตรุว่าพี่ ผิดกับโคคิที่อายุไล่เลี่ยกับซาโตรุแต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่เท่า อาคาเนะเลยไม่เคยเรียกโคคิว่าพี่สักครั้ง


“อยากคุยกับเจ้าเรื่องวันพรุ่งนี้หน่อย” คนฟังกะพริบตาปริบๆ กลอกตาขึ้นมองเพดานพลางนับนิ้วไปด้วย


“อ้อ วันหยุดข้า” ในหนึ่งปีจะมีเพียงหนึ่งวันที่อาคาเนะขออนุญาตโคคิเอาไว้ว่าจะไม่รับแขกคนใดเด็ดขาด และเป็นวันเดียวในรอบปีที่อาคาเนะจะออกจากร้านไปตามลำพังด้วย ตอนตกลงกันครั้งแรกโคคิดูไม่พอใจนักเพราะกลัวว่าอาคาเนะจะใช้โอกาสนั้นหนีหายไป ในปีแรกอาคาเนะจึงยอมให้โคคิออกไปกับตนด้วย ปีถัดมาเขาถึงได้รับอนุญาตให้ไปตามลำพัง


“มีอะไรหรือขอรับ”


“พรุ่งนี้มีคนติดต่อเข้ามา” ซาโตรุเว้นช่วงเมื่อเห็นคิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากันแน่น แต่เมื่ออาคาเนะยังไม่โวยวายเขาเลยพูดต่อไป


“ข้ายังไม่ได้รับปากลูกค้า แต่โคคิอยากให้เจ้าตกลง” ชื่อของเจ้าของร้านทำให้อาคาเนะคิ้วกระตุก เมื่อวานเพิ่งบอกให้เขาลดค่าตัว วันนี้ยังมายุ่มย่ามกับวันหยุดของเขาอีก นี่คงรู้ตัวว่ารับมือเขาไม่ได้ถึงได้ส่งซาโตรุมารับหน้า


“ข้าไม่...“


“ลูกค้าจะจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า” จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวทำให้อาคาเนะกลืนคำปฏิเสธกลับลงคอ คงต้องโทษชีวิตวัยเด็กอันแสนยากจนที่ทำให้เขาเป็นคนเห็นแก่เงินขนาดนี้


“ข้าไม่บังคับเจ้านะอาคาเนะ ถ้าอยากปฏิเสธข้าจะพูดกับโคคิให้เอง” ซาโตรุเอื้อมมือไปลูบหัวคนเด็กกว่าเบาๆ เขาเห็นอาคาเนะมาตั้งแต่วันแรกที่เข้าร้าน อาคาเนะเป็นคนประเภทพยายามยืนด้วยตัวเองอย่างสุดกำลังและไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร นั่นทำให้เขาค่อนข้างเอ็นดูและเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้มากพอสมควร


“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านติดต่อลูกค้ากลับไปได้เลย ข้าจะกลับมาให้ทันเวลาเปิดร้าน”


“แน่ใจใช่ไหม”


“แน่ใจ ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอพบลูกค้าท่านนี้เลยขอรับ” ขนาดลูกค้าระดับเศรษฐีของเมืองยังไม่เคยมีใครให้ราคาค่าตัวของอาคาเนะมากเท่านี้มาก่อน มีหรือที่เขาจะไม่อยากพบหน้าบ่อเงินบ่อทองของตัวเอง





วันรุ่งขึ้นของอาคาเนะเริ่มต้นขึ้นเร็วกว่าวันอื่นๆ ปกติเด็กหนุ่มมักตื่นสายเพราะต้องทำงานช่วงกลางคืน แต่วันนี้เขาตื่นพร้อมพระอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าที่ยังเป็นสีส้มแดงด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นภาพที่สวยงามไม่น้อย


อาคาเนะเหลือบมองแขกของเมื่อคืนที่ยังคงหลบสนิทบนฟูกก่อนลุกไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเสียใหม่ วันนี้เขาเลือกกิโมโนสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงฮากามะสีเทามาสวมแทนเสื้อผ้ารุ่มร่ามตามปกติ รวบผมยาวของตนขึ้นแล้วผูกไว้เป็นหางม้า ช่วยเปลี่ยนเด็กหนุ่มหน้าสวยให้ดูสมชายขึ้นมาอีกนิด


ก่อนออกจากร้านอาคาเนะต้องแวะบอกโคคิให้ช่วยส่งแขกให้ด้วย เจ้าของร้านโผล่หน้าออกมาหาเขาในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น หัวกระเซิงจนอาคาเนะต้องถือวิสาสะเอื้อมมือไปปัดผมที่ปรกหน้าออกให้


“กลับมาให้ทันด้วยนะ”


“รู้แล้วๆ เดินกลับไปให้ถึงฟูกให้ถูกก่อนเถอะไป” โคคิพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินเอียงๆ กลับไปยังฟูกของตน ปล่อยให้อาคาเนะเป็นคนปิดประตูห้องนอนให้ เด็กหนุ่มหน้าส่ายหน้าเบาๆ ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขากับโคคิใครดูแลใครกันแน่







ทางเดินดินแคบๆ ทอดตัวคดเคี้ยวเลาะเลี้ยวตามแนวรั้วไม้เตี้ยๆ ของบ้านแถบชานเมือง ร่มเงาจากต้นไม้สองข้างทางช่วยให้อากาศเย็นสบาย ต่างจากท้องถนนในเมืองใหญ่ ที่นี่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวชอุ่มสบายตา
อาคาเนะหยุดเท้าเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง มันเก่าและผุพังเกินกว่าจะมีคนมาอยู่อาศัย รั้วเก่าๆ ล้มเอียงจนอาคาเนะต้องยกขาก้าวข้ามมันเข้าไปแทนที่จะเปิดมัน เขาเดินผ่านตัวบ้านไปยังพื้นที่ว่างด้านหลัง ครั้งหนึ่งมันเคยถูกใช้เป็นแปลงผัก แต่ตอนนี้เป็นที่ฝังร่างของชายคนหนึ่ง


“ข้าเองขอรับ ท่านพ่อ” อาคาเนะคุกเข่าลงต่อหน้าแผ่นหินไร้ชื่อในสวนหลังบ้านของเขา บ้านที่เขาอยู่นับตั้งแต่จำความได้ มือเรียวค่อยๆ ปัดเศษฝุ่นและใบไม้ออกจากแผ่นหินด้วยรอยยิ้มจางๆ พ่อคือญาติเพียงคนเดียวที่เขามี เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ตายจากไปด้วยโรคร้ายเมื่อสามปีก่อน เป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่เงินไม่สามารถซื้อคืนกลับมาได้


พ่อเลี้ยงเขามาตามลำพังในบ้านเก่าหลังนี้ ชีวิตมันยากเพราะตอนยังเด็กอาคาเนะยังควบคุมสายเลือดปีศาจตัวเองไม่ได้ แรกเริ่มเขาต้องใช้ชีวิตเหมือนคนถูกขัง ออกไปไหนไม่ได้เพราะยังไม่รู้วิธีซ่อนหูกับหางของตน มีแค่พ่อที่ต้องออกไปทำงานอย่างหนักทุกวัน กว่าจะเรียนรู้และปรับตัวได้พ่อก็เริ่มป่วย เงินที่มีเริ่มไม่พอกับการใช้จ่าย การรักษาเป็นเรื่องต้องใช้เงินค่อนข้างมากอาคาเนะจึงเลือกไปหาโคคิ เงินที่ได้มาช่วยยื้อชีวิตของพ่อได้แค่ครึ่งปีแต่อาคาเนะยังคงทำงานที่ร้านต่อมา เพราะเขารู้แล้วว่าชีวิตที่ไม่มีเงินลำบากเพียงใดและจะไม่คิดกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก


ทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของพ่อ อาคาเนะจะกลับมายังบ้านหลังนี้เพื่อบอกต่อหน้าหลุมศพของพ่อว่าเขายังสบายดี แล้วใช้เวลาที่เหลือไปกับการเดินขึ้นเขาไปสำรวจป่าที่เคยเป็นที่เล่นของตัวเอง อาคาเนะไม่เคยมีเพื่อนเพราะพ่อสอนเสมอว่ามนุษย์มักกลัวสิ่งที่แตกต่างจากตัวเอง และในบางครั้งความกลัวนั้นจะกลายเป็นอาวุธร้ายที่ทำให้พวกเขาทำร้ายคนอื่นอย่างง่ายดาย


เส้นทางเดินในป่าไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือโขดหินตรงมุมไหนอาคาเนะจำมันได้ทั้งหมด ต่อให้หลับตาเดินเขายังไม่มีทางหลงทางในป่านี้ด้วยซ้ำ แว่วเสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบแห้ง ฤดูหนาวทำให้ต้นไม้พวกนี้ทิ้งใบลงจากต้น อาคาเนะรีบซ่อนตัวหลังต้นสนที่อยู่ใกล้ ลอบมองเจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาไม่ไกล


ร่างกายสูงใหญ่ในชุดกิโมโนสีดำสนิทดูโดดเด่นอย่างน่าประหลาด คงเพราะเสี้ยวหน้าที่มองเห็นนั้นดูช่างประกอบกันได้อย่างเหมาะเจาะและสมบูรณ์แบบเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป ขนาดคนรวยๆ ที่อาคาเนะได้เจอบ่อยๆ ยังไม่หน้าตาดีเท่าชายคนนี้ บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบจนอาคาเนะเผลอก้าวขาออกจากที่ซ่อน


“เดี๋ยว! ทางนั้นมัน...” ร้องเตือนออกไปได้ยังไม่ทันจบร่างที่เห็นอยู่เมื่อครู่ก็ผลุบหายไปเสียแล้ว อาคาเนะยกมือขึ้นกุมขมับพึมพำต่อเสียงค่อย


“...ร่องน้ำเก่า” เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ ไปหาชายที่เดินตกลงไปในร่องน้ำแห้งผาก พื้นดินตรงหน้าเป็นร่องลึกสูงเกือบเท่าตัวคน พอก้มลงไปก็ได้เห็นชายคนนั้นนั่งแปะอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาปริบๆ


“เป็นอะไรไหม” มองจากรอยดินไถลลงไปเป็นทางแล้วคิดว่าชายคนนี้คงไม่ได้กระแทกอะไรมากนัก คนถูกถามส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นปัดเศษดินกับเศษใบไม้ออกจากตัว


“ขอบคุณที่เตือน” ชายแปลกหน้าเอ่ยยิ้มๆ เป็นคำขอบคุณที่อาคาเนะไม่คิดว่าจะได้รับ เพราะเขาเตือนไม่ทันด้วยซ้ำ คนที่รับคำขอบคุณมาล่วงหน้าเลยจำต้องยื่นมือลงไปหา


“ยื่นมือมา ข้าจะช่วยดึงขึ้น” มือของอาคาเนะถูกจับเอาไว้โดยคนที่เพิ่งเคยพบหน้า อาคาเนะอยากรีบช่วยเขาขึ้นมาจะได้ต่างคนต่างแยกย้ายกันเสียที ทว่าในจังหวะที่อีกฝ่ายออกแรงดึงตัวขึ้นโดยใช้อาคาเนะเป็นหลักยึด มืออีกข้างที่อาคาเนะใช้ค้ำยันตัวเองเกิดลื่นขึ้นมากะทันหัน ผลคือคนตั้งใจช่วยถูกคนที่ตัวเองจะช่วยกระตุกแขนจนลื่นตกลงมาด้วยอีกคน เด็กหนุ่มร้องลั่นหลับตาแน่นก่อนที่ตัวเขาจะกระแทกกับอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างนุ่มและอุ่นกว่าพื้นดินอย่างชัดเจน


“เจ็บตรงไหนไหม” คำถามคล้ายๆ ที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยออกไปเรียกให้อาคาเนะลืมตาขึ้นเพื่อพบว่าตัวเขากำลังนอนกองอยู่บนร่างของคนอื่น เด็กหนุ่มรีบพลิกตัวลงจากร่างนั้นราวต้องของร้อนและยิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่อดวงตาสีดำคู่คมจ้องเขาไม่วางตา


“เราเดินไปหาทางอื่นขึ้นน่าจะดีกว่า” ชายแปลกหน้าเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนก่อนและคราวนี้เขาเป็นฝ่ายยื่นมือมาให้อาคาเนะจับแทน อาคาเนะมองมือนั้นด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคว้ามันแล้วดึงตัวลุกขึ้นตาม


“ข้าโทชิฮิโระ เรียกโทชิก็ได้”


“ขอโทษด้วยแต่ข้าไม่ชอบแนะนำตัว” อาคาเนะปฏิเสธการทำความรู้จักอย่างเรียบๆ เขาไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น และการรู้จักชื่อกันก็ถูกรวมอยู่ในความไม่จำเป็นนั้นด้วย เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายออกเดินนำด้วยความเคยชินเขารู้ดีว่าต้องไปทางไหนถึงจะหาทางปีนกลับขึ้นไปได้


“เจ้าใจดีมากกว่าที่แสดงออกนะ” โทชิฮิโระที่เดินตามมาทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาลง อาคาเนะหันกลับไปมองคนพูดตาขวาง


“ท่านไม่ได้รู้จักข้าสักนิด” เขาเกลียดพวกชอบทำเหมือนสามารถมองทะลุจิตใจของคนอื่น ทั้งที่ความจริงไม่ได้รู้อะไรเลย ดูท่าชายคนนี้คงเป็นประเภทนั้น


“อย่างน้อยก็รู้ว่าเจ้าอยากช่วย แม้ว่าจะหงุดหงิดกับสิ่งที่ตัวเองทำก็ตาม” สีหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจมาตลอดทาง ทั้งอย่างนั้นก็ยังช่วยนำทางเขามาโดยไม่บ่นสักคำ ยังไม่นับรวมคำเตือนที่ช้าไปสักนิด กับมือที่ตั้งใจจะช่วยฉุดเขาขึ้นด้วย


“แค่ไม่อยากปล่อยใครให้หลงป่าตาย เพิ่งเคยเดินป่าหรือไงถึงเดินไปไหนมาไหนไม่มองทางแบบนี้” อาคาเนะบ่นกระปอดกระแปดให้คนข้างหลังได้ยิน คนปกติเวลาเดินป่าต้องก้มหน้ามองเท้าตลอดเวลา เพราะไม่รู้หรอกว่าจะก้าวพลาดหรือไปเหยียบอะไรเข้าตอนไหน แต่ชายคนนี้กลับเดินเหม่อจนไม่รู้ว่าขาที่ก้าวออกไปไม่ได้เหยียบลงบนพื้นด้วยซ้ำ


“เป็นห่วงคนอื่นอย่างนี้เสมอหรือ” อาคาเนะทำสีหน้าสยดสยองเมื่อได้ฟังคำถามนั้น ต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดีระดับไหนกันถึงฟังสิ่งที่เขาพูดเป็นความเป็นห่วงไปได้


“ข้ากำลังว่าท่านอยู่ เอาอะไรมาคิดว่าเป็นห่วง”


“พ่อแม่ดุลูกเสมอเมื่อพวกเขาทำให้เป็นห่วง ถ้าไม่ได้ห่วงเจ้าคงเมินเฉยต่อข้าไปแล้ว”


“ตรงนี้ปีนขึ้นไปได้” แทนที่จะสนใจคนพูดไม่รู้เรื่องอาคาเนะแกล้งทำเป็นสนใจสิ่งอื่นแทน เขาชี้มือไปยังทางลาดที่น่าจะเกิดจากการเดินข้ามร่องน้ำนับครั้งไม่ถ้วนของสัตว์ป่า ทั้งสองคนปีนขึ้นมาได้ในเวลาไล่เลี่ยกันและอาคาเนะยินดีมากที่จะได้ไปให้พ้นจากชายคนนี้เสียที


“จากตรงนี้กรุณาเดินมองทางด้วย ลาก่อน”


“แล้วพบกันใหม่” โทชิฮิโระยิ้มบางๆ แม้จะถูกอาคาเนะมองค้อนใส่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว







อาคาเนะกลับมาถึงร้านก่อนตะวันจะตกดิน เด็กหนุ่มเดินหน้าบึ้งตรงขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัวของตัวเองบนชั้นสองสวนทางกับซาโตรุที่เดินลงมาพอดี


“อาคาเนะ ทำไมมอมแมมอย่างนี้” หากเป็นโคคิคงเดินผ่านเขาไปโดยไม่ทันสังเกต แต่กับซาโตรุแล้วการทำบัญชีดูจะทำให้สายตาค่อนข้างเฉียบคมมากทีเดียว


“ลงไปคลุกฝุ่นเพราะคนบ้ามาขอรับ อย่าใส่ใจเลย” ซาโตรุมองสภาพคลุกฝุ่นของอาคาเนะตั้งแต่หัวจรดเท้า ฟังแล้วคำตอบดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยไม่ได้คาดคั้นอะไร แค่กำชับให้อาคาเนะไปล้างเนื้อล้างตัวและแต่งตัวเสียใหม่ก่อนแขกของวันนี้จะมาถึง


ภาพสะท้อนของตัวเองบนบานกระจกทำให้อาคาเนะยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่ ผมของเขายุ่งเหยิงแล้วยังมีรอยเปื้อนดินเป็นด่างดวงบนเสื้อผ้า ยิ่งคิดยิ่งโมโหเจ้าคนอารมณ์ดีคนนั้นนัก ท่าทีไม่เดือดร้อนต่ออะไรของชายคนนั้นทำให้อาคาเนะคิดว่าไม่น่าเข้าไปช่วยเอาไว้เลย


“เป็นห่วงคนอื่นอย่างนี้เสมอหรือ”


ทำเป็นอวดดี อาคาเนะคนนี้ไม่มีใครให้เป็นห่วงมาหลายปีแล้ว สิ่งเดียวที่เขาห่วงมีแค่จำนวนเงินในกล่องสมบัติของตัวเองเท่านั้น







เมื่อฟ้ามืดลงร้านค้ายามค่ำคืนได้ทยอยนำโคมไฟขึ้นไปแขวนที่หน้าร้าน เป็นสัญญาณว่าวันนี้พวกเขาพร้อมต้อนรับลูกค้าทุกคนแล้ว โคคิออกมายืนคุมคนงานของเขาให้ปีนบันไดขึ้นไปแขวนโคมไฟเพื่อดูให้แน่ใจว่าจะไม่ตกลงมาแข้งขาหักไปเสียก่อน


“ร้านเปิดแล้วใช่ไหม” ใครบางคนเอ่ยถามจากข้างหลัง โคคิรีบตอบออกไปว่าเปิดแล้วก่อนจะหันกลับมามองคนถามเสียอีก แต่เมื่อเขาหมุนตัวกลับมาที่ตรงนั้นกลับไม่มีใครยืนอยู่อีกแล้ว


“อาคาเนะ” ซาโตรุเป็นคนขึ้นมาเรียกอาคาเนะด้วยตัวเอง แขกที่จองตัวเด็กหนุ่มเอาไว้มาถึงทันทีที่ร้านเปิด และเขาไม่แน่ใจนักว่าอาคาเนะจะเตรียมตัวเสร็จหรือยัง


“มาแล้วๆ” แว่วเสียงขานตอบมาจากด้านในพร้อมกับประตูที่ถูกเลื่อนเปิดออก อาคาเนะก้าวออกมาหาซาโตรุด้วยรอยยิ้ม หมุนตัวให้ดูหนึ่งรอบว่าเขาได้สลัดคราบสกปรกออกไปจากตัวจนหมดแล้ว


“ลูกค้ารออยู่” ซาโตรุยีหัวอาคาเนะเบาๆ แล้วออกเดินนำเด็กหนุ่มลงมายังห้องรับรองที่เตรียมไว้ อาคาเนะยังคงยกแขนกิโมโนของตัวเองขึ้นมาดมระหว่างทางเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกลิ่นดินติดอยู่อีก จมูกของเขาดีกว่ามนุษย์ทั่วไปเลยไม่ชอบใช้พวกเครื่องหอมเพราะมันทำให้แสบจมูกเกินจะทนไหว


“อาคาเนะมาแล้วขอรับ” เสียงของซาโตรุเรียกสติอาคาเนะให้กลับมาอยู่ตรงหน้า เขาแอบยืดตัวมองข้ามไหล่ของซาโตรุเพื่อจะดูหน้าแขกที่ยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อเวลาวันหยุดของเขา ถึงอาคาเนะจะไม่จำชื่อของแขก แต่การลอบสังเกตคนเหล่านั้นนับเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ดูจะต่างออกไป


“เจ้า!” อาคาเนะหลุดโพล่งออกไปเสียงดังจนต้องรีบตะครุบปากตัวเองไว้เมื่อถูกซาโตรุหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นยะเยือก
“อาคาเนะ ห้ามเสียมารยาทกับแขก” ถึงปากจะยิ้มแย้มตามประสาคนค้าขาย แต่สายตาของซาโตรุไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย เขาใช้สองมือดันหลังอาคาเนะเดินไปหาแขกที่กำลังนั่งเท้าคางและใช้หลังมือซ่อนรอยยิ้มอยู่


“ขอให้มีความสุขกับค่ำคืนนี้” ซาโตรุค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมแล้วค่อยๆ เดินถอยหลังกลับออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้ด้วย เมื่อแน่ใจว่าซาโตรุเดินห่างออกไปแล้วอาคาเนะถึงยอมเอามือที่ปิดปากตัวเองลง


“เจอกันอีกแล้วนะอาคาเนะ” คนบ้าที่พาอาคาเนะไปคลุกฝุ่นด้วยกำลังนั่งยิ้มร่าอยู่ต่อหน้าเขา อาคาเนะกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาดวงซวยได้ขนาดนี้


“นั่งสิ เจ้าคงไม่ยืนรับแขกใช่ไหม” อาคาเนะก่นด่าคนตรงหน้าอยู่ในใจ แต่จำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ตามหน้าที่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มงอง้ำอย่างไม่ปกปิด


“คราวนี้จะจำชื่อข้าได้หรือยัง” โทชิฮิโระเอี้ยวตัวไปกระซิบข้างหูคนที่กำลังหยิบขวดเหล้าขึ้นมา ทำเอาอาคาเนะแทบอยากเหวี่ยงขวดกระเบื้องสวยๆ ฟาดใส่กลับไปแทบใจจะขาด


“กับลูกค้าข้าก็ไม่ถามชื่อเช่นกัน พวกเราจะพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” อาคาเนะเชิดหน้าขึ้นขณะที่มือบรรจงรินเหล้าลงจอกใบเล็กแล้วยื่นให้ โทชิฮิโระรับมาแล้วเทมันลงคอรวดเดียวก่อนส่งคืนให้


“แต่ข้าพบเจ้าเป็นครั้งที่สองแล้วไม่ใช่หรือ” มือที่กำลังจะรับจอกเหล้าชะงักค้างกลางอากาศ อ้าปากอยากจะด่าแต่คำว่า ‘ลูกค้า’ มันค้ำคอเลยต้องปิดปากลงแล้วส่งสายตาขุ่นๆ ไปให้แทน


“ไม่ยากหรอกก็แค่เรียกชื่อ ยิ่งเห็นเจ้าปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายข้ายิ่งอยากได้ยินรู้ไหม” เด็กหนุ่มหน้าสวยที่กำลังนั่งหลังตรงเชิดหน้าอย่างดื้อรั้นอยู่ข้างกายเขาคนนี้ทำให้โทชิฮิโระนึกอยากจะเอาชนะให้ได้ขึ้นมา และเขาค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ด้วย


 “ข้าคิดว่าท่านกำลังทำให้เงินที่เสียไปสูญไปเปล่าๆ กับเวลาที่ท่านใช้อยู่ตอนนี้” ที่ผ่านมาไม่มีแขกคนไหนเอาเวลาที่จ่ายเงินซื้อมาเพื่อมาใช้ยั่วโมโหอาคาเนะมาก่อน พวกเขามาเพื่อเชยชมและดื่มกินซึ่งอาคาเนะสนองความต้องการนั้นให้ด้วยน้ำชาสูตรพิเศษของเขาและคำพูดหวานๆ อย่างเต็มที่ทุกคน แต่กับโทชิฮิโระแล้วเขาอยากข้ามขั้นไปจับกรอกชาเข้าปากไปเลย


“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจอยู่แล้ว” โทชิฮิโระไหวไหล่เขาไม่ใช่ตาแก่ที่เพียงแค่อยากมาหาเด็กหนุ่มรูปงามเพราะหวังเรื่องตัณหา แต่มาเพราะสนใจในตัวเด็กหนุ่มที่ชื่ออาคาเนะคนนี้


“กฎคือกฎ ข้าไม่เปลี่ยนมันเพื่อใครทั้งนั้น” เรื่องอะไรเขาจะยอมทำตามที่โทชิฮิโระต้องการ แม้สมองจะดันจำชื่อได้ไปแล้ว แต่เขาจะไม่เรียกอย่างเด็ดขาด


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องตามใจข้าอย่างหนึ่ง คงไม่ปฏิเสธคำขอของลูกค้าใช่ไหม” อาคาเนะหลุบตาลงพลางใช้ความคิด ในขณะที่โทชิฮิโระเพียงเท้าคางมองเขาด้วยท่าทีสบายๆ


“ได้ นอกเหนือกฎของข้า ข้าจะตามใจท่าน” ต่อให้โทชิฮิโระจะนึกอยากได้ตัวเขาขึ้นมาจริงๆ อาคาเนะก็ยังมีวิธีอีกมากให้เอาตัวรอด ถึงจะยุ่งยากกว่าแขกคนอื่นบ้างแต่คงไม่ยากเกินจะรับมือไหว


“รับปากแล้วนะ” โทชิฮิโระถามย้ำ อาคาเนะเลยตอบรับอย่างหนักแน่นซ้ำอีกครั้งเช่นกัน และเมื่อเขาพูดจบโทชิฮิโระก็ลุกขึ้นยืนพร้อมคว้ามือของอาคาเนะออกแรงกระตุกจนร่างบางเซถลามาข้างหน้า ก่อนมือใหญ่จะคว้าเขาที่ต้นแขนของอาคาเนะทั้งสองข้างแล้วยกให้ต้องลุกยืนขึ้นตามมา


“ทำอะไรของท่าน” อาคาเนะบ่นเสียงขุ่น เมื่อครู่เขาเกือบหน้าคะมำลงไปกับพื้นอยู่แล้ว


“เราจะออกไปข้างนอกกัน” แววตาของโทชิฮิโระเปล่งประกายพราวระยับโดยเฉพาะเมื่อเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตกใจ


“หา?!”




ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
 :z13:
จิ้มค่ะจิ้ม เดี๋ยวมาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 2

จอมเจ้าเล่ห์






บนถนนใต้แสงจันทร์กลางย่านเริงรมย์ในยามนี้ยังมีผู้คนเดินผ่านให้เห็นอยู่บางตา โดยหนึ่งในนั้นกำลังคิดหาทางหนีจากคนข้างกายอย่างสุดชีวิต พอก้มมองมือตัวเองที่ถูกจับเอาไว้อยู่ยิ่งร้อนรนจนแทบบ้า


“ปล่อยมือข้าเสียที อายคนบ้างได้ไหม” อาคาเนะเอ่ยเสียงค่อย เขาเคยลองพยายามโวยวายและดิ้นรนมาแล้วแต่ผลคือพวกเขาตกเป็นเป้าสายตายิ่งกว่าเดิม แล้วโทชิฮิโระยังเปลี่ยนจากจับที่ข้อมือมาเป็นประสานนิ้วยึดเอาไว้ทั้งฝ่ามือแทนอีกด้วย


“อายทำไม เจ้าพูดเองว่าข้าเสียเงินไปตั้งมากเพื่อซื้อเวลาที่ได้อยู่กับเจ้า ข้าก็กำลังใช้มันให้คุ้มค่าอยู่นี่” นอกจากจะจำชื่อได้แล้วอาคาเนะยังจะขอจำเอาไว้อีกด้วยว่าโทชิฮิโระเป็นผู้ชายหน้าด้านหน้าทน กล้าเดินจูงมือผู้ชายด้วยกันไปตามถนนโดยไม่สนใจคนรอบข้าง


"อย่าสนใจสายตาคนอื่นอาคาเนะ มองแค่ข้า” มือใหญ่บีบเบาๆ บนมือข้างที่กุมเอาไว้อยู่ มืออีกข้างของอาคาเนะที่เป็นอิสระยกขึ้นมาแตะอกซ้ายของตัวเองเบาๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนน่ารำคาญ


ก็แค่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่หรือ แค่ไม่คุ้นกับไออุ่นจากร่างกายของคนอื่นเช่นนี้


อาคาเนะได้แต่ปลอบตัวเองในใจ นึกถึงช่วงก่อนถูกลากออกจากร้านมาแล้วยังเคืองโคคิไม่หาย เจ้าของร้านตัวโตนอกจะไม่ห้ามแล้วยังยอมให้โทชิฮิโระพาเขาออกมาได้ตามใจอีก ช่างไม่ห่วงความปลอดภัยของสินค้าตัวเองเอาเสียเลย


“มาถึงแล้ว” คนที่เอาแต่ก้มหน้าเดินตามหลังมาเกือบจะชนกับแผ่นหลังของโทชิฮิโระเข้า เพราะคนนำทางเกิดจะหยุดเท้าขึ้นมาเฉยๆ อาคาเนะหันไปมองกำแพงหินและซุ้มประตูไม้สูงใหญ่ตรงหน้าก่อนหันกลับมามองโทชิฮิโระด้วยความงุนงง


“บ้านข้าเอง” คำเฉลยแสนสั้นและไร้ที่มาที่ไปทำเอาคนฟังเบิกตากว้าง


“เอ๊ะ?! เดี๋ยว!” เด็กหนุ่มขืนตัวสุดฤทธิ์เมื่อโทชิฮิโระทำท่าจะลากเขาก้าวผ่านประตูบานใหญ่นี่เข้าไป ถึงจะมองไม่เห็นแต่อาคาเนะมั่นใจเลยว่าหลังประตูบานนี้จะต้องมีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ และมันไม่ใช่ที่ที่คาเงมะอย่างเขาควรเข้าไปเลยสักนิด


“จะบ้ารึไง พาข้ามาบ้านทำไม” อาคาเนะพยายามแกะมือของโทชิฮิโระออกแต่มันยากเสียจนเขาอยากจะกางกรงเล็บออกมาข่วนมือข้างนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด


“ทำความรู้จักกันต้องรู้จักชื่อ รู้จักบ้านกันไว้ไม่ใช่หรือ ถึงเจ้าจะยังไม่เรียกชื่อข้าแต่คงจำได้แล้วนี่” เหตุผลสุดแสนเอาแต่ใจทำเอาอาคาเนะหาเส้นเสียงตัวเองไม่เจอได้แต่ส่ายหน้ายืนยันว่าจะไม่ยอมเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้เป็นแน่


“ไม่มีใครอยู่หรอก ไม่ต้องกลัว” โทชิฮิโระก้มลงฉวยจูบหน้าผากของเด็กหนุ่มเบาๆ หนึ่งครั้งเพื่อปลอบ แต่นั่นทำให้อาคาเนะตอบสนองด้วยการตวัดมือข้างที่ว่างขึ้นมาตบถูกหน้าโทชิฮิโระจนเป็นรอยแดง


“ขะ...ขอโทษ” แม้แต่อาคาเนะเองก็ไม่คิดว่าตัวเขาจะเผลอตบลูกค้าไปแบบนั้น ทั้งหมดแค่เพราะเขาไม่ชินกับการที่มีใครมาสัมผัสใกล้ชิด ถึงจะดูเหมือนผ่านมือใครต่อใครมามากมาย แต่ความจริงแล้วอาคาเนะแทบไม่เคยถูกใครแตะต้องด้วยซ้ำ และยิ่งไม่เคยถูกใครทำให้จิตใจปั่นป่วนได้มากขนาดนี้


โทชิฮิโระเลิกคิ้วพลางลูบปลายคางของตัวเองที่ถูกตบ ปฏิกิริยาตอบสนองของอาคาเนะรุนแรงกว่าที่เขาคาดไว้ มองแววตาสั่นไหวของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วต้องรีบซ่อนรอยยิ้ม


“ไม่เป็นไร ข้าคงบังคับเจ้ามากไป” เด็กหนุ่มคนนี้ต่อให้ทำตัวกร้าวแกร่งมากเท่าใด เมื่อถูกพาออกมาจากสถานที่อันคุ้นเคยย่อมต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่โทชิฮิโระต้องการ เขาต้องการเป็นมากกว่าแขกที่รู้จักกันเพียงคืนเดียวของอาคาเนะและจะทำให้ได้


“จะกลับไหม ถ้าอยากกลับข้าจะไปส่ง แต่เวลาอีกครึ่งคืนที่ขาดไปเจ้าต้องใช้คืนให้ข้าวันหลัง หรือจะยอมเข้าไปกับข้า” โทชิฮิโระต้อนอาคาเนะให้ต้องถอยหลังไปพิงกำแพงหินข้างประตู พลางก้มลงกระซิบข้างหูเพื่อยื่นข้อเสนอที่จะเปิดโอกาสให้เขาได้พบอาคาเนะอีกครั้ง


“...กลับ”


“ว่าอะไรนะ”


“ข้าจะกลับ!” อาคาเนะตอบเสียงห้วน ใจอยากผลักไสโทชิฮิโระออกไปให้ห่างแต่ร่างกายไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย


“เด็กดี อยู่กับข้าเป็นตัวของตัวเองเข้าไว้ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นให้มาก” โทชิฮิโระลูบหัวให้อาคาเนะเบาๆ โดยไม่กลัวว่าจะถูกตบซ้ำสอง เขาเห็นเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กกว่าหลุบตาลงซ่อนความประหม่าเอาไว้







อาคาเนะสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าของร้านและผู้ช่วยด้วยการบอกว่าอีกสองวันเขาจะรับแขกคนเดิมอีกครั้ง สายตาสองคู่หันมองแขกคนที่ว่าพร้อมกัน โทชิฮิโระพาอาคาเนะกลับมาส่งตามที่ตกลงและอยู่รอให้อาคาเนะรักษาคำพูดของตัวเองด้วย


“อีกสองวันเจอกันใหม่” โทชิฮิโระกล่าวลาสั้นๆ ทิ้งบรรยากาศหนักอึ้งเอาไว้ให้กับคนที่เหลืออยู่


“อาคาเนะ เขาทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า” ซาโตรุเดินเข้าไปโอบไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วหันกลับมาถลึงตาใส่โคคิเป็นสัญญาณบอกให้มาช่วยกัน


อาคาเนะไม่เคยทำผิดกฎของตัวเองมาก่อน แต่ภายในวันเดียวเขาทั้งต้องรับแขกในวันหยุดของตัวเอง แล้วยังต้องรับแขกคนนี้อีกครั้งด้วย ทุกอย่างดูไม่ปกติเอาเสียเลย


“เพราะท่าน!” อาคาเนะหันไปตวาดใส่หน้าโคคิที่เพิ่งเดินเข้ามาหา


“ข้า? ข้าเกี่ยวอะไรด้วย”


“เพราะเจ้าปล่อยให้แขกคนนั้นพาอาคาเนะออกไปไม่ใช่หรือโคคิ” กลับเป็นซาโตรุที่ตำหนิโคคิต่อแทน ตอนได้ยินว่าโคคิยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเขาเองก็โกรธเหมือนกัน ใครจะรู้ว่าพอถูกพาออกไปแล้วอาคาเนะจะถูกทำอะไรบ้าง


“อย่ามารุมข้า เขาจ่ายเงินแล้ว เขามีสิทธิ์ในตัวอาคาเนะทุกอย่าง” คนที่ตกเป็นจำเลยแก้ตัวเสียงเข้ม ธุรกิจอย่างนี้การเอาใจลูกค้าสำคัญที่สุด


“ช่างเถอะพี่ซาโตรุ แค่เจอเขาอีกครั้งเดียวข้าทำได้” เห็นพี่ชายสองคนทำท่าจะทะเลาะกันเพราะตัวเขา ทำให้อาคาเนะเลือกจะยอมถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว


“คืนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอไปนอนก่อน” อาคาเนะบีบลงบนมือที่โอบไหล่เขาอยู่ก่อนบิดตัวออกห่างจากซาโตรุ ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อลาทั้งสองคนแล้วกลับขึ้นห้องไป


เมื่ออยู่เพียงลำพังอาคาเนะได้คลายอาคมสำหรับพรางร่างจิ้งจอกออกไป เขาถูมือซ้ำๆ อยู่หลายครั้งเพราะกลิ่นของโทชิฮิโระยังคงติดฝังแน่น ผู้ชายโง่ๆ ที่เดินไม่ดูทางคนนั้นดูเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อเจอกันอีกครั้ง


ยิ่งคิดถึงสัมผัสจากมืออุ่นๆ ความคิดยิ่งสับสนฟุ้งซ่านจนเผลอกัดลงไปบนหลังมือของตัวเองด้วยความหงุดหงิด รสเลือดที่ปลายลิ้นทำให้อาคาเนะเพิ่งนึกได้ว่าคืนนี้นอกจากจะถูกแกล้งเสียมากมายเขายังไม่ได้ดื่มเลือดโทชิฮิโระอีกด้วย พวงหางฟูสะบัดฟาดลงกับพื้นห้องเสียงดังก่อนเด็กหนุ่มจะทิ้งตัวลงนอนแล้วคว้าหางตัวเองมากอดไว้


“โทชิฮิโระ...คราวหน้าจะกัดให้จมเขี้ยวเลยคอยดู”







คฤหาสน์หลังใหญ่ค่อนข้างเงียบมากในยามกลางดึก ไม่มีแสงสว่างจากเปลวไฟใดๆ ถูกจุดขึ้นแม้แต่เทียนสักเล่ม แว่วเสียงไม้ลั่นเบาๆ ตามจังหวะก้าวเท้าของใครบางคนที่เดินผ่านจนกระทั่งชายคนนั้นหยุดเท้าลงเมื่อสังเกตเห็นละอองเย็นชื้นสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอยู่กลางทางเดิน


“คาสุมิ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าโปรยหิมะกลางทางเดินมันอันตราย” คำตำหนิอย่างไม่จริงจังนักเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากอากาศที่ว่างเปล่า หิมะที่กำลังตกใต้ชายคาบ้านตกหนักขึ้นและหมุนวนราวกับพายุแล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง


“ไม่เอาน่าโทชิฮิโระ แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง” ดวงตาสีฟ้าพราวระยับด้วยความขี้เล่น เส้นผมสีดำยาวของนางพลิ้วไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน ใบหน้างดงามทว่าซีดขาวกรีดยิ้มหวานระหว่างเดินเข้าไปใกล้ชายที่มองนางด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ


“ไหนบอกว่าคืนนี้จะพาจิ้งจอกน้อยมาหา ข้าไม่เห็นเขายอมก้าวเข้าประตูบ้านด้วยซ้ำ” ปีศาจหิมะแสร้งตัดพ้อต่อว่า ทั้งที่ดวงตาของนางดูสนุกเสียยิ่งกว่าอะไร นางคอยดูอยู่ตลอดเมื่อโทชิฮิโระพาลูกครึ่งจิ้งจอกมาได้ถึงหน้าบ้าน และเห็นกระทั่งตอนโทชิฮิโระถูกตบหน้าด้วยซ้ำ


“เพราะเจ้าทำให้เขาลื่นในป่าบนเขาไม่ใช่หรือ อาคาเนะถึงพยายามอยู่ให้ห่างข้า” คนถูกจับได้ทำตาโตเหมือนตกใจเสียเต็มประดา อุบัติเหตุเล็กที่ทำให้อาคาเนะลื่นหล่นลงสู่อ้อมอกโทชิฮิโระเกิดขึ้นจากความช่วยเหลือของหิมะฝีมือคาสุมิเพียงเล็กน้อย แน่นอนว่ามันละลายหายไปก่อนใครจะทันสังเกตเห็น เว้นแค่โทชิฮิโระที่เจอฤทธิ์ของคาสุมิมาจนชิน


“ความเชื่อใจมันต้องค่อยๆ สร้าง เกือบพังกันหมดเพราะความขี้เล่นของเจ้า” หลังจับตาดูอาคาเนะมาระยะหนึ่งทำให้โทชิฮิโระรู้ว่า เด็กหนุ่มคนนั้นค่อนข้างปิดกั้นตัวเองจากคนแปลกหน้า ทั้งตั้งกฎที่ทำให้ไม่ต้องคุ้นเคยกับลูกค้าคนไหน แล้วยังแทบไม่ออกไปข้างนอก


จะว่าไปก็เหมือนจิ้งจอกที่ไม่คุ้นกับมนุษย์ ถ้าโยนอาหารให้ก็จะกระโจนเข้ามาคว้า ยอมให้ได้แตะนิดจับหน่อยแล้วหนีหายกลับเข้าป่าไป เขาถึงต้องพยายามสร้างความคุ้นเคยให้กับอาคาเนะก่อนเป็นอย่างแรก


การพบกันในป่าโดยไม่ใช่การพบกันในฐานะคาเงมะกับแขกคือก้าวแรก และเมื่อพบกันอีกครั้งในฐานะลูกค้าเขาถึงสามารถสั่นคลอนกฎของอาคาเนะได้อย่างง่ายดาย บางคนไม่รู้หรอกว่าตัวเองได้ทำอะไรซ้ำเดิมจนเป็นความเคยชินจนเมื่อสิ่งนั้นแปรเปลี่ยนไป


เขาสร้างรอยแตกร้าวบนกำแพงที่อาคาเนะสร้างไว้ด้วยการเจอกันในช่วงค่ำเป็นครั้งที่สอง พาอาคาเนะออกจากร้านเพื่อให้หลุดออกจากเกราะที่เคยปกป้อง และนั่นทำให้เปลือกนอกที่อาคาเนะสวมอยู่ค่อยๆ หลุดออกไป


“ดูพออกพอใจเชียวนะ คงไม่หลงเสน่ห์จิ้งจอกใช่หรือเปล่า ได้ยินว่าพวกจิ้งจอกถนัดการล่อลวงมนุษย์อยู่แล้วด้วย”


“ข้าไม่อยากถูกผู้หญิงที่หลอกผู้ชายไปกินมาวิจารณ์หรอกนะคาสุมิ” คาสุมิเป็นปีศาจโดยกำเนิด เกิดมาพร้อมกับความคิดที่ว่ามนุษย์คืออาหาร


“หยาบคาย! กินอะไร เขาเรียกการแลกเปลี่ยน ข้ากินแค่วิญญาณด้วย ไม่ได้เขมือบเข้าไปทั้งตัวเสียหน่อย” สาวสวยทำแก้มพองลมอย่างขัดเคืองแล้วฟาดฝ่ามือใส่แขนของโทชิฮิโระ


“อย่าแกล้งอาคาเนะอีกแล้วกัน ถ้าเขาหนีเตลิดไปก่อน เจ้าคงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” คนถูกว่าเบ้ปากแต่ไม่เถียงอะไรก่อนจะหายตัวไปพร้อมสายลมเย็นยะเยือก โทชิฮิโระปัดเศษหิมะออกจากต้นแขนตัวเองตรงที่ถูกคาสุมิตีเมื่อครู่


นางเป็นปีศาจหิมะ ทุกสิ่งที่นางสัมผัสจึงกลายเป็นน้ำแข็งเสมอ บางครั้งคาสุมิก็ชอบเอาความสามารถนั้นมาแกล้งคนอื่นเพื่อความสนุกของตัวเอง


สัมผัสเย็นเฉียบช่างแตกต่างจากผิวเนื้อของจิ้งจอกตัวน้อย คิดถึงท่าทางสั่นกลัวแล้วนึกอยากเห็นอาคาเนะตกอยู่ในสภาพนั้นในร่างจิ้งจอกบ้างคงน่าเอ็นดูไม่น้อย




ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สารภาพว่าเราใจร้อน แอบไปอ่านจากอีกที่หนึ่งจนจบแล้ว
ขอบคุณคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ QueenPedGabGab

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 311
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
สนุกมากค่ะ สู้ๆจิ้งจอกน้อย

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 3

คืนที่ 2






คืนนี้นับเป็นครั้งแรกที่อาคาเนะรู้สึกกระวนกระวายก่อนถึงเวลารับรองแขก เขาเดินวนไปรอบห้องกอดอกและแตะนิ้วกับปลายคางตัวเองแทบตลอดเวลา


เวลาสองวันที่เขาตกลงกับโทชิฮิโระเอาไว้มาถึงแล้ว คืนนี้เขาจะต้องพบชายคนนั้นเป็นครั้งที่สาม จำนวนที่มากกว่าแขกคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดทำให้อาคาเนะกังวล


ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองกาน้ำชาที่เตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ คอยมองว่ามันจะไม่หายไปไหน ปกติอาคาเนะไม่ลงมารอแขกคนไหนในห้องก่อนแขกจะมา แต่กับโทชิฮิโระเขาไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด


ก่อนหน้านี้ซาโตรุถามเขาแล้วว่าอยากยกเลิกนัดคืนนี้ไหม แต่ถ้าทำพวกเขาจะต้องคืนเงินครึ่งหนึ่งให้โทชิฮิโระไป ซึ่งโคคิโวยวายทันที พอเห็นสองคนเริ่มแยกเขี้ยวใส่กันอีกอาคาเนะจึงรีบปฏิเสธ เขารู้ว่าซาโตรุเป็นห่วง แต่เมื่อเขาเป็นคนก่อปัญหานี้ขึ้นมาย่อมต้องแก้ด้วยเอง


“ห้องนี้ขอรับ” เสียงของซาโตรุที่ดังผ่านประตูเข้ามาบ่งบอกว่าโทชิฮิโระมาถึงแล้ว อาคาเนะสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตบแก้มตัวเองเบาๆ แล้วพยายามฉีกยิ้ม


“ขอให้มีความสุขกับค่ำคืนนี้” ซาโตรุเอ่ยลาด้วยประโยคเดิมที่ใช้พูดกับแขกทุกคน สายตาเป็นห่วงทอดมองมายังเด็กหนุ่มในห้อง อาคาเนะขยับยิ้มและกดหน้าลงเล็กน้อยเพื่อบอกว่าเขาจะไม่เป็นไร ซาโตรุจึงเดินจากไปในที่สุด


“หืม วันนี้ลงมารอข้าหรือ” แค่ประโยคแรกของโทชิฮิโระก็ทำเอาอาคาเนะทำหน้าไม่ถูก วันก่อนเขาเป็นฝ่ายปล่อยให้โทชิฮิโระรอ แต่วันนี้กลับเอาตัวเองมานั่งรอก่อน มองจากสายตาคนนอกแล้วกลับกลายเป็นเช่นนั้นไปเสียได้


“แค่ไม่อยากเสียมารยาทกับท่านอีกก็เท่านั้น” สายตาที่มักมองมาด้วยรอยยิ้มจางๆ ทำให้อาคาเนะรู้สึกแปลกๆ ในอก โทชิฮิโระคือคนแรกในหลายเรื่องสำหรับเขา มากเสียจนยากที่จะรักษาความสงบเอาไว้ได้


“วันนี้ข้าจะตามใจเจ้าบ้าง ทำตัวเหมือนที่ทำกับแขกทุกคนสิ” คราวก่อนเขาดึงดันพาอาคาเนะออกไปข้างนอกจนอีกฝ่ายสติกระเจิดกระเจิงไปก่อน วันนี้เลยจะยอมอ่อนข้อให้สักนิด ให้อาคาเนะได้ทำในสิ่งที่คุ้นเคย


ประโยคนั้นทำให้อาคาเนะรู้สึกเบาใจขึ้น เขาเชิญโทชิฮิโระให้นั่งลงหน้าสำรับสุราอาหารที่ถูกเตรียมไว้ให้ แล้วนั่งลงข้างๆ กัน แต่ยังไม่ทันได้แตะขวดเหล้าเพื่อรินให้ มือใหญ่ก็คว้าเข้าที่เอวเสียก่อน


“วันนี้ก็จะไม่เรียกชื่อข้าหรือ” น้ำเสียงของคนถามทอดยาวฟังดูเหมือนกำลังอ้อนอยู่ในที แต่ไม่ได้ทำให้อาคาเนะยอมใจอ่อนให้ ชื่อของโทชิฮิโระไม่เคยหลุดออกจากปากของอาคาเนะแม้สักครั้ง ถ้าต้องการเรียกเด็กหนุ่มคนนี้จะเรียกเขาเพียง ‘นายท่าน’ เท่านั้น


“หลังคืนนี้เราคงไม่ต้องพบกันอีกแล้ว ท่านอย่าพยายามนักเลย” ไม่รู้ทำไมโทชิฮิโระถึงกัดเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย เรียกชื่อกันแล้วทำไม ไม่เรียกชื่อกันแล้วทำไม สุดท้ายเมื่อผ่านพ้นคืนนี้พวกเขาก็จะเป็นเพียงคนเคยพบกัน


“ใจร้ายจริง” ปากตัดพ้อแต่มือรวบเอวบางเข้ามาหามากขึ้นจนอาคาเนะแทบนั่งเกยขึ้นไปบนตัก ใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นสีน้อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าสร้างความพึงพอใจให้โทชิฮิโระได้เป็นอย่างดี


“ปล่อย มันอึดอัด” อาคาเนะพยายามบิดตัวออกจากวงแขนของโทชิฮิโระ แต่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะโทชิฮิโระไม่ยอมลดมือลงเลยสักนิดเดียว


“ปกติไม่ทำอย่างนี้กับคนอื่นหรือ”


“ไม่”


“ดี ข้าชอบเป็นคนแรกของเจ้า ในหลายๆ ความหมาย” ดวงตาคนฟังเบิกกว้างขึ้น รู้สึกเห่อร้อนที่สองข้างแก้มจนต้องเบือนหน้าหนี ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าเขาต้องกำลังแดงอยู่แน่ๆ


“นั่งนิ่งๆ แล้วข้าจะกอดให้หลวมกว่านี้” โทชิฮิโระหันไปกระซิบข้างหูอาคาเนะ สัมผัสชิดใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่กำลังรินรดใบหน้าทำให้อาคาเนะยอมปิดปากและนั่งนิ่งตามคำสั่ง


“เด็กดี” คำชมตามมาด้วยมือที่ยอมผ่อนแรงลงช่วยให้อาคาเนะมีช่องว่างพอจะเอี้ยวตัวไปทำหน้างอใส่อีกคนได้


“ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย ถ้าเห็นข้าเป็นเด็กก็อย่ามารุ่มร่ามกับข้าสิ” ทุกครั้งที่ชมโทชิฮิโระมักชมเขาว่าเด็กดีเสมอ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่นักหรือ ทั้งขี้แกล้ง ทั้งเอาแต่ใจ หน้าตาก็ไม่เหมือนคนอายุมาก แว่วเสียงหัวเราะจากคนถูกต่อว่า อาคาเนะเลยกำหมัดชกใส่ต้นแขนโทชิฮิโระไปเบาๆ


“ตลกอะไร” อาคาเนะถามเสียงขุ่นนึกอยากจับโทชิฮิโระกรอกยาสลบเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“คนที่โตแล้วเขาไม่โกรธกันเพราะเรื่องนี้หรอกอาคาเนะ” หงุดหงิดจนพาลใส่เพราะถูกหาว่าเป็นเด็กก็คงมีแต่เด็กเท่านั้นที่จะโกรธ โทชิฮิโระยักคิ้วใส่คนที่อ้าปากค้างเหมือนอยากจะสบถออกไปแต่จำต้องกลั้นเสียงของตัวเองไว้


สุดท้ายเลยหันไปทำเสียงฮึดฮัดอีกด้านแทน


“ท่านนี่มันบ้าของแท้” อาคาเนะบ่นในขณะที่มือคอยเติมเหล้าใส่จอกให้โทชิฮิโระไปด้วย แขกที่เอาแต่พูดจายียวนกวนประสาทเท่านี้ชาตินี้ไม่รู้จะมีมาอีกไหม แต่คิดว่าคงหาได้ยาก


“ข้าชอบเห็นเจ้าเป็นตัวของตัวเองมากกว่าสวมหน้ากากยิ้มแย้มรับแขกอย่างทุกวัน”


“พูดอย่างกับท่านเคยเห็น” อาคาเนะทำเสียงขึ้นจมูก น่าเจ็บใจที่โทชิฮิโระพูดถูก ที่ผ่านมาเขารับแขกทุกคนโดยการสวมหน้ากากเดิมทุกครั้ง


แขกแต่ละคนอาจมาจากสถานที่ต่างกัน แต่พวกเขาล้วนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน มันจึงง่ายมากที่จะแสร้งทำเป็นรับฟังเรื่องที่พวกเขาอยากจะเล่า แล้วเพียงแค่ตอบรับโดยไม่ต้องใส่ใจฟัง คอยยิ้มให้กว้างและอย่าปล่อยให้จอกเหล้าว่างเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


“แค่ข้าได้เห็นเจ้าอย่างที่ทุกคนไม่เคยเห็นก็พอ” คำพูดอย่างตรงไปตรงมาทำให้เสี้ยวหนึ่งในใจอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด ถึงจะชอบพูดอะไรให้ขัดหู แต่การเข้าหาอย่างตรงไปตรงมาของโทชิฮิโระทำให้อาคาเนะเผลอแสดงตัวตนออกมามากทีเดียว


“ดื่มกับข้าสิอาคาเนะ ดื่มคนเดียวจะไปสนุกอะไร” จอกเหล้าที่เพิ่งส่งไปถูกดันกลับใส่มือของอาคาเนะอีกครั้งโดยมีสายตาของโทชิฮิโระคอยมองตามเหมือนเป็นการบังคับกลายๆ อาคาเนะถอนหายใจพลางวางจอกในมือลง แล้วลุกไปหยิบถ้วยชาใบหนึ่งมาถือแทน


“จอกของท่านข้าคืนให้ ข้าดื่มจากถ้วยนี้ได้” มือเรียวยกขวดเหล้ามารินลงถ้วยชาแล้วยกขึ้นเทลงคอรวดเดียวหมดก่อนหันมายักคิ้วให้โทชิฮิโระ


“คิดว่าข้าจะดื่มไม่เก่งหรือ ท่านคิดผิดแล้ว” ถึงจะไม่ชอบดื่มแต่ไม่ใช่ว่าดื่มไม่ได้ ถ้าวัดกันเรื่องใครคอแข็ง เขามั่นใจว่าชนะทุกคนในร้านด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะความได้เปรียบทางสภาพร่างกายด้วย


“เชิญเลยข้าเลี้ยงเอง” โทชิฮิโระยกจอกของตัวเองไปทางอาคาเนะเช่นเดียวกับที่เพื่อนดื่มเหล้ามักทำกัน หลังจากนั้นบรรยากาศระหว่างพวกเขาจึงเริ่มผ่อนคลายขึ้น


“เจ้าคารมขนาดท่านทำไมไม่ไปเกี้ยวพวกสาวงามเมือง หรือลูกขุนนางสักคน พวกนางต้องยอมสยบแทบเท้าท่านแน่ มายุ่งกับข้าทำไม” ถ้าหากโทชิฮิโระเอาถ้อยคำทั้งหมดที่พูดกับเขาไปพูดให้พวกผู้หญิงฟัง อาคาเนะมั่นใจเลยว่าพวกนางคงหลงชายคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น


“เพราะคนที่ข้าสนใจคือเจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ” หลังผลัดกันดื่มเหล้าจนต้องสั่งเพิ่มมาสองครั้ง โทชิฮิโระยังคงดูมีสติครบถ้วนมีเพียงใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น


อาคาเนะไม่ได้ตั้งใจฟังนักเพราะกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้โทชิฮิโระยอมดื่มชาที่เตรียมไว้ดี ขืนยังดวลเหล้ากันอยู่อย่างนี้จนสว่างก็คงยังไม่หลับ


“อาคาเนะ” คนเรียกมองตามสายตาอาคาเนะไปแล้วลอบยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะซ่อนรอยยิ้มนั้นเมื่ออาคาเนะหันมามอง


“ข้าว่าเราดื่มมากไปแล้ว คืนนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อดื่มอย่างเดียว รินชามาให้ข้าที” โทชิฮิโระยกมือขึ้นนวดขมับเพื่อไม่ให้อาคาเนะเห็นว่าเขามองอยู่ แววตาของอาคาเนะเป็นประกายขึ้นมาแต่ยังคงเก็บสีหน้าเอาไว้ได้ระหว่างลุกไปยกกาน้ำชามาให้


“รินใส่จอกของท่านได้ไหม ข้าใช้ถ้วยชาไปแล้ว” จอกเหล้าถูกยื่นให้แทนคำตอบ อาคาเนะรินน้ำชาลงไปจนเต็มแล้วนั่งมองโทชิฮิโระดื่มมันลงไปจนหมด


“เติมอีกไหม” มันฟังดูเหมือนคำถามด้วยความหวังดี แต่อาคาเนะแค่อยากจะแน่ใจว่ายาของเขาจะได้ผล โทชิฮิโระไม่ได้ปฏิเสธเขาจึงรินชาใส่ลงไปเพิ่มจนแทบล้นถ้วย


“ข้าให้คนมายกสำรับออกไปนะขอรับ ท่านไปรอข้างในก่อนก็ได้” ห้องที่อาคาเนะเลือกใช้ในคืนนี้แบ่งออกไปสองห้องเล็กๆ กั้นด้วยฉากกั้นซึ่งวาดลวดลายดอกซาะกุระและกระแสน้ำเอาไว้ แยกส่วนที่ใช้นั่งดื่มกินและส่วนห้องนอนไว้อย่างชัดเจน


อาคาเนะยืนมองคนทำความสะอาดเข้ามายกสำรับออกไปตามหน้าที่ แต่พอหมุนตัวกลับมากลับพบกับร่างสูงใหญ่ที่เข้ามายืนใกล้เสียจนจมูกเขาแทบชนกับคางของโทชิฮิโระเข้า ยังไม่ทันออกปากบ่นร่างของอาคาเนะก็ถูกช้อนขึ้นเสียจนตัวลอย


“ทำอะไรของท่าน!” คนถูกอุ้มแหวเสียงเขียว แต่มือดันตวัดขึ้นโอบรอคอคนอุ้มตามสัญชาตญาณไปก่อนแล้ว


“ขี้เกียจรอเจ้าเดินไปหา ตัวเบากว่าที่คิดอีกนะ”


“โกหก แค่ชุดนี่ก็หนักจะแย่” กิโมโนราคาแพงพวกนี้ไม่รู้ว่าคิดราคาตามน้ำหนักไหม เพราะทั้งหนาแล้วก็หนักจนขยับตัวไม่สะดวก แล้วเขาเองก็เป็นผู้ชายย่อมไม่ทีทางตัวเบาเหมือนพวกผู้หญิงอยู่แล้ว


“พูดมากจริง เก็บปากเจ้าไว้ทำอย่างอื่นดีกว่าไหม” คนถูกว่าหุบปากฉับปล่อยให้โทชิฮิโระอุ้มไปวางลงบนฟูกที่ปูเตรียมไว้หลังฉากกั้นอย่างว่าง่าย แต่แทนที่วางลงแล้วจะถอยห่างออกไปโทชิฮิโระกลับเลื่อนตัวขึ้นมาคร่อมร่างของอาคาเนะเอาไว้แทน


มือใหญ่ลูบไล้ตั้งแต่ฐานคอเรียบเนียนผ่านไหล่จนมาถึงต้นแขน รับรู้ได้ว่าร่างของอาคาเนะกำลังสั่นน้อยๆ ยิ่งพอเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยิ่งเห็นว่ามันกำลังวูบไหวอย่างรุนแรง


“ยังไม่ชินกับสัมผัสของผู้ชายอีกหรือ” ไม่ชิน ไม่ชินเลยสักนิด อาคาเนะอยากตะโกนออกไปใจแทบขาดแต่ทำไม่ได้ มือของเขาเริ่มเย็นด้วยความกังวลที่ไม่เห็นโทชิฮิโระหมดสติไปเสียที


หรือว่ายาไม่ได้ผล?!


อาคาเนะแทบกลั้นหายใจเมื่อโทชิฮิโระแทรกเข่าเข้ามาระหว่างขาของเขาพร้อมทั้งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเข้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเขาพร้อมกระซิบเสียงนุ่ม


“ข้าจะจูบ อย่าตบข้าอีกเข้าใจไหม” ใบหน้าคนฟังขึ้นสีวาบด้วยความอายที่พุ่งสูง ยังจำได้ดีถึงจูบครั้งก่อนที่ถึงจะจูบแค่หน้าผาก เขาก็ยังตกใจเสียจนเผลอตบหน้าโทชิฮิโระเข้า คราวนี้ยังมาบอกล่วงหน้าอย่างชัดเจน หัวใจในอกซ้ายเลยทรยศด้วยการเต้นแรงไม่ยอมหยุด


อาคาเนะหลับตาแน่นไม่กล้าสบตาโทชิฮิโระ ร่างกายอ่อนแรงจนลืมที่จะดิ้นรนออกจากใต้ร่างนี้ สัมผัสแรกแตะลงแผ่วเบาตรงกลางหน้าผากทำให้อาคาเนะเผลอลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องรีบปิดตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นริมฝีปากของโทชิฮิโระใกล้เข้ามา คราวนี้มันแตะลงบนเปลือกตาข้างซ้ายก่อนย้ายมายังเปลือกตาข้างขวา


สัมผัสอ่อนโยนและทะนุถนอมราวกับของมีค่าช่วยให้อาคาเนะรู้สึกผ่อนคลายลง เขาปรือตาขึ้นมองและได้เห็นว่าโทชิฮิโระกำลังยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น


“เด็กดี อาคาเนะของข้า” คำชมที่เคยฟังขัดหูตอนนี้ฟังดูลื่นหูขึ้นกว่าเดิมสามเท่า อาคาเนะปิดตาลงอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่รินรดใบหน้า สัมผัสอุ่นนุ่มแนบลงกับริมฝีกปาก แตะผะแผ่วซ้ำๆ สลับกับแรงเม้มน้อยๆ ทำให้มือของอาคาเนะค่อยๆ เลื่อนไปคล้องรอบคอของโทชิฮิโระอย่างช้าๆ จูบแรกระหว่างพวกเขาไม่มีการรุกล้ำใดๆ จนเมื่ออาคาเนะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมามากขึ้นบนร่างเขาจึงลืมตาขึ้น


“นายท่าน” ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ซบหน้าลงกับบ่าของเขา อาคาเนะถอนหายใจยืดยาวเมื่อแน่ใจว่าคนที่นอนทับเขาอยู่ได้หลับด้วยฤทธิ์ยาไปแล้ว


สองมือค่อยๆ ดันตัวโทชิฮิโระให้พลิกลงไปนอนหงายที่ด้านข้าง อาคาเนะลุกขึ้นนั่งชันเข่า วางแขนพาดเข่าข้างนั้นแล้วเกยคางลงไป สายตาทอดมองไปยังคนหลับสนิท มองดูแผ่นอกนั้นขยับขึ้นลงด้วยสายตาว่างเปล่า


ร่างกายยังคงร้อนด้วยความอบอุ่นที่โทชิฮิโระมอบให้ อาคาเนะไม่เคยจูบกับใครมาก่อน เขาไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะทำให้รู้สึกดีได้มากเท่านี้ไหม แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้น


“ข้าไม่น่ามาเจอท่านเลย” ความอบอุ่นเป็นสิ่งที่อาคาเนะลืมเลือนมันมาหลายปีแล้ว ถึงจะมีซาโตรุหรือโคคิคอยเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยยอมให้สองคนนั้นได้เข้าใกล้เขามากเท่าที่โทชิฮิโระทำ อาคาเนะคิดว่าตัวเองเคยชินกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่โทชิฮิโระกำลังทำให้เขาไม่แน่ใจ


อาคาเนะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คว้าผ้าห่มที่พับไว้ออกมาคลี่แล้วห่มให้กับโทชิฮิโระก่อนจะหมุนตัวกลับหลังเพื่อออกไปจากห้อง แต่ชะงักเท้าเพียงชั่วครู่


“ลาก่อน ท่านโทชิฮิโระ” คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่อาคาเนะจะไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์ เขาไม่ได้ดื่มมันเพื่ออยู่รอดแต่ใช้เพียงดับความกระหายของสายเลือดปีศาจเท่านั้น เพื่อไม่ให้ขาดสติจนออกไปทำร้ายใครเข้า ทำให้อาคาเนะพอจะอดมันได้ราวสามถึงสี่วัน เอาไว้เขาจะดื่มให้มากขึ้นจากแขกคนต่อไป แต่เขาจะไม่เข้าใกล้โทชิฮิโระมากกว่านี้อีกแล้ว


เมื่อรอจนเสียงฝีเท้าของอาคาเนะห่างออกไปแล้วโทชิฮิโระจึงลืมตาขึ้น รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้า เขาแค่แกล้งหลับตามที่อาคาเนะต้องการเพื่อรอดูท่าที ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยอมออกไปโดยไม่แตะเลือดเขาสักหยด ทั้งที่ออกจะอยากให้ชินกับรสเลือดของเขาแท้ๆ


“ครั้งหน้าข้าจะฟังเจ้าเรียกชื่อข้าต่อหน้าให้เอง”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


จริงๆ แล้วพระเอกเราเป็นเจ้าของไร่อ้อยค่ะ เรื่องอ่อยขอให้บอก กำลังพยายามก่อคดีล่อลวงเด็กอยู่  :laugh:

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มาเม้นค่ะ ขอฝากจิ้งจอกตัวน้อยๆ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกท่านด้วย :pig4:


ขอตอบเม้นไว้ในนี้เลยนะคะ

สนุกมากค่ะ สู้ๆจิ้งจอกน้อย

ขอบคุณค่า จิ้งจอกน้อยโดนแกล้งบ่อยมากๆ ค่ะ แต่ไม่รักไม่แกล้งเนอะ  :hao3:



:z13:
จิ้มค่ะจิ้ม เดี๋ยวมาอ่านนะคะ

 :กอด1: คว้าคนจิ้มมากอด อ่านแล้วเป็นยังไงบอกได้นะคะ



สารภาพว่าเราใจร้อน แอบไปอ่านจากอีกที่หนึ่งจนจบแล้ว
ขอบคุณคนเขียนค่ะ


 :a5: คืนเดียวจบเลยหรอคะ คาราวะหนึ่งจอก สนุกมั้ยคะ ขอบคุณที่มาอ่านเช่นกันค่า  :L2:




จะมาลงให้เรื่อยๆ นะคะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่าทุกคน  :bye2:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 4 [23/12/16]
«ตอบ #10 เมื่อ23-12-2016 16:04:06 »

บทที่ 4

คิดถึง?






เช้าวันรุ่งขึ้นอาคาเนะไม่ได้โผล่หน้าไปส่งโทชิฮิโระตามมารยาท เขาขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่แม้แต่จะขานรับเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงของซาโตรุ เมื่อคืนอาคาเนะนอนไม่หลับไม่ว่าจะพยายามข่มตาสักเท่าไร จูบของโทชิฮิโระยังคงหลงเหลือสัมผัสอยู่จนตอนนี้


“เข้าไปสิ!” แว่วเสียงของซาโตรุดุใครสักคนอยู่หน้าห้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนคนนั้นต้องเป็นโคคิแน่ๆ


ถึงเจ้าของร้านตามที่ทุกคนรู้จะเป็นโคคิ แต่บางครั้งอาคาเนะก็อดคิดไม่ได้ว่าซาโตรุต่างหากที่เป็นเจ้าของร้านตัวจริง เพราะนอกจากจะดูแลเรื่องการเงินของร้านแล้วยังต้องดูแลตัวเจ้าของร้านไปด้วย


“ถ้าอาคาเนะไม่พร้อมรับแขก เจ้าก็เดือดร้อนเองนะ”


“เออ รู้แล้วน่า” คราวนี้มีเสียงโคคิดังแทรกขึ้นมาบ้างพร้อมกับประตูที่เปิดออก อาคาเนะเหลียวมองชายสองคนที่เดินเข้ามาด้วยกัน เห็นซาโตรุกระทุ้งศอกใส่เอวโคคิไปเต็มแรงและนั่นน่าจะเจ็บ


“เรามาดูว่าเจ้าเป็นอะไรไหม ซาโตรุบอกว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวเช้า”


“เมื่อคืนข้าดื่มเยอะไปหน่อยเลยยังไม่อยากกินอะไร” อาคาเนะแก้ตัวง่ายๆ แล้วยิ้มให้เป็นการเสริมคำพูด เมื่อคืนเขาเองก็ดื่มไปมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้เมาสักนิด


“เห็นไหมบอกแล้วว่าเจ้าหนูนี่ไม่เป็นอะไร” โคคิหันไปพูดใส่หน้าซาโตรุเลยโดนหยิกเอวเข้าให้อีกที ซาโตรุหยิกด้วยรอยยิ้มเลยด้วย


“มันเจ็บนะ!” โคคิเด้งตัวออกห่างจากเพื่อนสนิทพลางถูสีข้างตัวเองไปด้วย


“พวกท่านกัดกันอย่างกับคู่สามีภรรยา” อาคาเนะเอ่ยกลั้วหัวเราะ ถ้าเปรียบร้านนี้เป็นครอบครัว โคคิต้องเป็นพ่อที่ถูกแม่อย่างซาโตรุข่มอยู่ทุกวันเป็นแน่


ไม่ใช่สักหน่อย!” กลับกลายเป็นสองคนที่ยังกัดกัดอยู่เมื่อครู่หันมาประสานเสียงกันปฏิเสธจนอาคาเนะหัวเราะค้าง จนกระทั่งโคคิทำเป็นไอออกมา


“ถ้าหายแล้วเกิดหิวก็ไปที่ครัวนะอาคาเนะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ ซาโตรุคอยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ไม่เหมือนโคคิ รายนั้นออกแนวลูกผู้ชายสุดกู่ เอะอะโวยวายไร้ความอ่อนโยน แต่ถึงเวลาก็พึ่งพาได้ไม่แพ้กัน เพราะถึงอย่างไรคนแรกที่ยื่นมือมาช่วยเขาก็คือโคคิอยู่ดี


“เจ้าก็อย่าทำตัวเหมือนคนอกหักให้มาก พอซาโตรุเป็นห่วงแล้วมันเดือดร้อนมาถึงข้า” โคคิบ่นอย่างไม่จริงจังนักแต่มันสะกิดใจอาคาเนะจนต้องย้อนถาม


“อกหัก? ข้าหรือ”


“ยังจะถามอีก ทั้งเหม่อทั้งซึม ข้าวก็ไม่กินอีก ใครเขาก็คิดว่าอกหักกันทั้งนั้น โอ๊ย!” โคคิร้องลั่นเพราะถูกซาโตรุแทงศอกใส่เข้าให้อีกรอบ


“ข้า...แค่กำลังคิด” อาคาเนะรู้ตัวว่าเป็นตามที่โคคิพูด แต่เขาไม่รู้จักการอกหักเพราะไม่เคยหลงรักใครมาก่อน


“จะไปรู้หรือ เห็นเจ้ายอมเจอหน้าแขกคนเมื่อคืนตั้งสองครั้งนึกว่าถูกใจกัน ข้ายังสงสัยอยู่ว่าจะมีครั้งที่สามไหม”


“หุบปากเสียทีโคคิ ออกไปเลยไป” ซาโตรุออกปากไล่เสียงแข็งจนโคคิได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ชี้หน้าเหมือนจะต่อว่า แต่พอซาโตรุถลึงตาใส่ก็จำต้องย้ายตัวเองออกจากห้องไป


“อาคาเนะ ข้าถามเจ้าตรงๆ นะ กับแขกคนนั้นมีเรื่องอะไรไหม” ซาโตรุเดินมานั่งใกล้ๆ ถามเสียงอ่อน เขาเอ็นดูอาคาเนะมากกว่าคนอื่นในร้านเขายอมรับ เพราะอาคาเนะเป็นเด็กที่ไม่รู้จักร้องขอความรักจากใคร


คนอื่นๆ หากว่าเหงาหรือเศร้าก็มักเลือกจะออดอ้อนขอความเอาอกเอาใจจากแขกประจำของตน แต่อาคาเนะไม่มีคนแบบนั้น ไม่มีใครไว้เป็นที่พึ่งสักคน


“ข้า...” อาคาเนะลำบากใจที่จะเล่าเพราะเขาไม่สามารถบอกซาโตรุได้ว่าที่ผ่านมาเขาทำอะไรกับแขกคนอื่น


“เขาสำคัญมากกว่าแขกคนอื่นหรือเปล่า” คำถามต่อมาทำให้อาคาเนะยิ่งจนคำพูดมากกว่าเดิม เขารู้ว่าแค่ว่าโทชิฮิโระได้สอนให้เขารู้จักความอุ่นที่ไม่เหมือนใคร มันต่างจากความห่วงใยที่โคคิและซาโตรุมีให้


“ข้าจะไม่พบเขาอีกแล้ว”


“ทำไม เพราะกฎของเจ้าหรือ” เด็กหนุ่มเม้มปากก่อนจะพยักหน้า กฎของเขาไม่เคยมีข้อยกเว้น แค่เจอกันอีกครั้งก็มากเกินไปแล้ว


“อาคาเนะ มันไม่ผิดหรอกนะถ้าเจ้าจะสนิทสนมหรือชอบพอใครสักคน ไม่เห็นหรือว่าพวกพี่ๆ เจ้าต่างก็มีแขกประจำที่พบกันบ่อยๆ”


“แต่พวกเขาก็เพียงเจอกันแล้วจากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น ข้าไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วพี่ซาโตรุ” อุณหภูมิร่างกายเย็นชืดของพ่อเขายังจำได้ดี เมื่อถึงวันหนึ่งสุดท้ายทุกคนก็ต้องจากกัน ความปวดร้าวทรมานอย่างนั้นเขาไม่อยากทนรับมันอีก


“แล้วตอนนี้เจ้าสบายดีหรือ” เป็นคำถามที่ให้อาคาเนะต้องยกมือขึ้นจับหน้าอกของตัวเอง ตอนนี้มันอึดอัดและรู้สึกหน่วงๆ แต่ไม่ได้ทรมานจนทนไม่ได้ อาคาเนะจึงส่ายหน้าตอบกลับไป คนโตกว่าเลยถอนหายใจออกมาเบาๆ


“ไม่เป็นอะไรก็ดี แต่ถ้ามีอะไรอยากปรึกษามาหาข้าได้รู้ไหม” ซาโตรุตบบ่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคล้ายปลอบใจก่อนลุกขึ้น อาคาเนะพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินตามไปส่งซาโตรุที่หน้าประตู เมื่อประตูถูกปิดลงอาคาเนะได้เอนตัวพิงประตูแล้วค่อยๆ ทิ้งตัวลง


ตอนที่พ่ออาการทรุดลงเรื่อยๆ เขาเคยดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อจะรั้งชีวิตท่านเอาไว้ แต่แล้วความเป็นจริงก็สอนให้เขารู้ว่า ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด มนุษย์ก็ต้องตายอยู่ดี ช่องว่างระหว่างสายเลือดมนุษย์และปีศาจ คืออายุขัยที่ยากจะอยู่ร่วมกันได้ วันหนึ่งโคคิกับซาโตรุก็ต้องตายจากไป จะมีประโยชน์อะไรที่จะผูกพันกับมนุษย์เหล่านั้น


มือขวาเลื่อนขึ้นกุมแน่นบนอกข้างซ้าย ความปั่นป่วนที่กำลังอาละวาดในอกนี้เขาอยากจะกำจัดมันออกไปในเร็ววัน







...ทำไม่ได้...


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงด้วยความขุ่นมัวในใจ สามวันแล้วนับจากวันที่เจอโทชิฮิโระครั้งสุดท้าย เดิมทีอาคาเนะคิดว่าการกลับมาใช้ชีวิตตามรูปแบบปกติและการรับแขกคนอื่นจะทำให้เขาลืมสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับโทชิฮิโระได้


แต่มันไม่ใกล้เคียงเลย ยิ่งนานวันเขายิ่งคิดถึงมันมากขึ้นด้วยซ้ำ


เสียงพูดเจื้อยแจ้วของแขกที่กำลังเมาได้ที่ไม่ได้เข้าหูเขาสักนิด เมาขนาดนี้ต่อให้ไม่วางยาก็คงหลับเป็นตายในไม่ช้า ไม่นานนักอาคาเนะก็ได้ยินเสียงร่างที่ทั้งหนาและหนักล้มตึงไปนอนหลับสนิทพร้อมส่งเสียงกรนในลำคอ


เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางลุกขึ้น ตัดสินใจทิ้งแขกขี้เมาเอาไว้แล้วกลับขึ้นห้องของตัวเอง


กิโมโนชั้นนอกถูกปลดออกแล้วปล่อยให้ลงไปกองอยู่กับพื้น อาคาเนะเลือกหยิบกิโมโนสีดำที่บางและเบากว่าเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก นอกจากเบาตัวแล้วยังช่วยให้กลืนไปกับความมืดได้ด้วย


อาคมถูกคลายออกพร้อมร่างครึ่งจิ้งจอกที่เผยออกมา คืนนี้ถ้าไม่ออกไปรับลมข้างนอกบ้างอาคาเนะคงไม่สามรถสงบใจลงได้
เมื่ออยู่ในร่างนี้ร่างกายของอาคาเนะจะเบาขึ้นทำให้เขาสามารถกระโจนไปบนหลังคาได้โดยแทบไร้เสียง สายลมที่พัดผ่านไปช่วยให้ใจค่อยผ่อนคลาย คืนนี้อากาศไม่หนาวมาก เย็นสบายกำลังดี


อาคาเนะหยุดมองลงไปยังถนนด้านล่างเป็นระยะ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเดินไปบนทางของตัวเอง เขาเองก็เคยเป็นแบบนั้นจนเมื่อมีใครบางคนก้าวเข้ามาในชีวิต


เส้นทางราบเรียบที่เคยขีดไว้เป็นเส้นตรงเกิดมีชายคนหนึ่งเข้ามายืนขวาง เดือนร้อนเขาต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหาทางที่จะเดินต่อไป นึกแล้วขัดใจที่ไม่ได้กัดให้จมเขี้ยวอย่างที่ตั้งใจไว้ อย่างน้อยได้ฝากรอยแผลไว้ให้โทชิฮิโระบ้างเขาอาจจะสบายใจมากกว่านี้


โดยไม่รู้ตัวอาคาเนะได้ออกห่างจากร้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดบนหลังคากระท่อมเล็กๆ แต่พอมองออกไปอีกด้านกลับพบกับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แยกตัวออกห่างจากตัวเมืองชั้นใน เป็นคฤหาสน์ที่คุ้นตาเสียจนเผลอกำมือทั้งสองข้างแน่น


ทั้งที่ตั้งใจจะลืมแต่จิตใต้สำนึกกลับพาเขามาถึงที่นี่จนได้


คิดถึง?


อาคาเนะสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อสลัดความคิดชวนขนลุกให้ออกไปจากสมอง หันหลังให้กับคฤหาสน์ที่เขาเคยปฏิเสธจะเข้าไป ทว่าสายลมกลับหอบเอากลิ่นคาวเลือดลอยมาหาจากทิศทางที่คฤหาสน์ตั้งอยู่ กลิ่นนั้นทำให้อาคาเนะรีบกระโจนออกไปก่อนสมองจะทันคิด


รั้วล้อมรอบคฤหาสน์ไม่เป็นอุปสรรคต่ออาคาเนะสักนิด เขากระโดดข้ามมันไปได้อย่างสบายๆ แล้ววิ่งตรงไปยังต้นตอของกลิ่นคาวเลือดนั้น ภาพร่างของใครคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ในสภาพเลือดนองพื้นทำให้ร่างกายของอาคาเนะเย็นวาบไปทั้งตัว

 
“โทชิ!” อาคาเนะรีบเข้าไปพลิกตัวโทชิฮิโระขึ้นมา ใจชื้นขึ้นเล็กน้อยที่ยังได้ยินเสียงลมหายใจของโทชิฮิโระอยู่ สีหน้าของอาคาเนะเหยเกเมื่อมองเห็นแผลถูกแทงที่ไหล่ซ้ายของคนเจ็บ เขาไม่เคยเห็นแผลสดกับเลือดมากขนาดนี้มาก่อน


อาคาเนะยกแขนข้างที่ไม่เจ็บของโทชิฮิโระขึ้นพาดบ่า ขอบคุณเลือดปีศาจที่ทำให้เขามีแรงมาพอจะพยุงผู้ชายตัวโตกว่าเขาเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุดได้


ใจหนึ่งอาคาเนะอยากจะไปตามหมอ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยโทชิฮิโระไว้ตามลำพัง ไม่รู้ด้วยว่าคนร้ายอยู่ที่ไหนกลัวว่าถ้าออกไปแล้วมันจะย้อนกลับมา


“บ้าเอ๊ย!” เด็กหนุ่มสบถแล้วหันไปรื้อตู้เก็บของภายในห้องเพื่อหาผ้าสะอาด โยนทุกอย่างที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ออกมา โชคดีที่มีฟูกกับผ้าห่มอัดรวมอยู่ด้วย


“น้ำ โอ๊ย! นี่น้ำอยู่ไหน” อาคาเนะยีหัวตัวเองจนยุ่ง กลิ่นเลือดตลบอบอวลจนสติเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลายวันนี้เขาดื่มเลือดบ้าง ไม่ได้ดื่มบ้างตามแต่อารมณ์ทำให้มีปฏิกิริยากับเลือดมากกว่าปกติ


“บ่อน้ำ” ถึงจะเห็นผ่านตาแค่แวบเดียวแต่อาคาเนะจำได้ว่าในคฤหาสน์หลังนี้มีบ่อน้ำอยู่ เขาวิ่งออกไปตักน้ำอย่างรวดเร็วโดยหิ้วกลับมาทั้งถังที่ตั้งอยู่ข้างบ่อเพราะขี้เกียจเสียเวลาไปหาภาชนะมาใส่น้ำเพิ่มอีก

 
มือสองข้างที่ใช้มันมาตลอดชีวิตดูจะเงอะงะเมื่อต้องมาใช้มันเพื่อทำแผล หูของอาคาเนะลู่ลงเพราะความกังวล สีหน้าของโทชิฮิโระเวลานี้ซีดจนแทบไร้สีเลือด มือเรียวค่อยๆ แหวกกิโมโนเปื้อนเลือดออกแต่ติดตรงสายคาดเอวที่ผูกเอาไว้


อาคาเนะส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจแล้วหันไปใช้กรงเล็บตัดมันจนขาดออกจากกัน


“ไว้ท่านฟื้นแล้วข้าจะซื้อมาคืนให้” ผ้าสะอาดถูกจุ่มลงถังน้ำแล้วยกขึ้นมาบิด ใบหน้าคนมองบิดเบี้ยวยามจ้องมองแผลลึกน่ากลัวบนไหล่ของโทชิฮิโระ โชคดีที่เลือดยอมหยุดไหลแล้ว


อาคาเนะค่อยๆ ทำความสะอาดรอบๆ ปากแผล ทำไปก็ต้องปิดจมูกตัวเองไปเพราะกลิ่นเลือดกำลังกระตุ้นความกระหายของเขาให้ตื่นขึ้น พลันในสมองเกิดนึกไปถึงเรื่องตอนเขากัดแขกคนอื่นเพื่อดื่มเลือด เขี้ยวของเขาไม่ได้เล็กขนาดจะไม่ทิ้งรอยแผลเมื่อกัดลงไป แต่พอเช้าบาดแผลพวกนั้นกลับหายไปทุกครั้งราวกับว่ารักษาตัวเองได้


เพราะเรา?


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงเสมองไปยังปากแผลของโทชิฮิโระ ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรจะลองทดสอบดูหรือไม่ ขณะที่ร่างกายค่อยๆ เลื่อนตัวไปนั่งอยู่ข้างไหล่ของโทชิฮิโระ


“มันคงไม่เจ็บมากไปกว่านี้แล้ว” อาคาเนะแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนตัดสินใจฝังเขี้ยวลงไปตรงปากแผลของคนเจ็บ รสเลือดแผ่ซ่านภายในปาก เป็นรสที่คุ้นลิ้นแต่แตกต่างอยู่นิดหน่อย


เลือดของมนุษย์แต่ละคนมีรสชาติต่างกันในบางรายละเอียด อาหารที่กินหรือแม้แต่รูปแบบการใช้ชีวิตล้วนส่งผลทั้งนั้น นอกจากกัดและลิ้มเลียเลือด อาคาเนะยังเลียไปตามรอยแผลด้วย ได้ยินว่าพวกสัตว์มักเลียแผลของตัวเองเวลาบาดเจ็บ หวังว่ามันคงจะได้ผล


อาคาเนะถอยออกมาเมื่อรู้สึกว่าเขาดื่มเลือดเข้าไปมากจนเกินพอ ลองแตะหลังมือลงข้างแก้มคนเจ็บก็พบว่ามันมีไอร้อนแผ่ออกมาจางๆ อย่างที่คิด ดูท่าคืนนี้เขาคงต้องอดนอนคอยเช็ดตัวให้โทชิฮิโระเสียแล้ว




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

รุ่นนี้ไม่ใช่ว่าปากไม่ตรงกับใจ แต่ใจตัวเองรู้สึกอะไรยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ฝากทุกท่านดูแลจิ้งจอกน้อยด้วยนะคะ  :mew1:


ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 4 [23/12/16]
«ตอบ #11 เมื่อ24-12-2016 08:53:11 »

 :hao6:

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 5

คนเจ็บ







ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ฟ้าเริ่มสว่าง หรือเมื่อใดที่อาคาเนะได้หลับตาลง เขานั่งเฝ้าคอยเปลี่ยนผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้ววางลงบนหน้าผากของคนเจ็บทุกครั้งที่เริ่มอุ่นขึ้น

กว่าจะได้วางมือแล้วล้มตัวลงนอนบ้างก็ตอนที่เสียงนกร้องเริ่มดังขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้อาคาเนะกำลังรู้สึกรำคาญอะไรบางอย่างที่มาแตะโดนอยู่แถวใบหน้า


“อย่ายุ่ง” คนที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นส่งเสียงประท้วงอู้อี้ มือไม้ปัดป่ายไปในอากาศหวังจะฟาดแมลงน่ารำคาญให้กระเด็นหายไป แต่กลับต้องสะดุ้งเพราะถูกใครบางคนคว้าข้อมือเอาไว้


“จะตบข้าอีกแล้วหรือ” เสียงทุ้มแฝงแววยั่วเย้าทำเอาอาคาเนะตื่นเต็มตาและพบว่าตัวเขากำลังถูกโทชิฮิโระกอดไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถูกจับไว้กลางอากาศ


“โทชิ!” อาคาเนะเรียกชื่อคนตรงหน้าออกไปด้วยความลืมตัว ในหัวเขามีเพียงความเป็นห่วงที่มีต่อชายคนนี้เท่านั้น โทชิฮิโระดึงมือที่กุมไว้มาจูบลงที่หลังมือเบาๆ ส่งเสียงขานรับในคอพร้อมส่งยิ้มให้


“ได้ยินแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินชื่อของข้าจากปากเจ้าเสียที” ใบหน้าอาคาเนะแดงซ่านขึ้นทันตา เพิ่งจะสำนึกได้ว่าเขาได้แหกฎของตัวเองเพราะโทชิฮิโระอีกแล้ว


“ปล่อยได้แล้ว” อาคาเนะอยากออกไปจากที่นี่ เขาอยากหายตัวไปจากตรงนี้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี สองมือพยายามดันตัวเองให้หลุดออกจากวงแขนกว้างจนโทชิฮิโระร้องออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


“ขะ...ขอโทษ เจ็บหรือ ข้าขอโทษ” อาคาเนะชักมือของตัวเองกลับมาจนชิดอก กลัวว่าจะไปแตะโดนแผลของโทชิฮิโระเข้าอีก ใบหน้าน่ารักหมองลงด้วยความเสียใจจนโทชิฮิโระต้องรีบส่ายหน้า


“ไม่เจ็บแล้ว เพราะได้อาคาเนะช่วยไว้” คนที่นอนจมกองเลือดอยู่เมื่อคืนเช้านี้กลับดูหน้าตาสดใส โทชิฮิโระปล่อยมือจากอาคาเนะและขยับตัวลุกขึ้น กัดฟันนิดหน่อยเพราะความเจ็บที่แล่นมาจากไหล่ซ้าย


“โกหก” อาคาเนะทำปากยื่น ดูสีหน้าโทชิฮิโระตอนขยับตัวก็รู้แล้วว่าแผลยังเจ็บอยู่


“เดี๋ยวก็หายแล้ว มีคนดูแลขนาดนี้” มือใหญ่เอื้อมไปลูบหัวให้อาคาเนะอย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มไม่ได้สะบัดหนี เขายินยอมที่จะรับสัมผัสนั้น เมื่อคืนมือของโทชิฮิโระเย็นจนน่ากลัว กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้รับไออุ่นนี้อีกแล้ว


“ร้องไห้หรือ” โทชิฮิโระเอียงคอถามเพราะเห็นสังเกตเห็นว่าดวงตาของอาคาเนะดูแดงขึ้น


“เปล่า!” อาคาเนะรีบปัดมือของโทชิฮิโระออกจากหัวแล้วถลึงตาใส่ คนเขาเป็นห่วงอยู่แท้ๆ ยังจะมาคอยแกล้งกันอยู่อีก


“นี่ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ใครทำร้ายท่าน” การถูกทำร้ายถึงในบ้านเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะไม่รู้ว่าคนร้ายต้องการชีวิตไหม ถ้าเกิดมุ่งหมายเอาชีวิตกันก็หมายความว่าโทชิฮิโระจะต้องตกอยู่ในอันตรายอีก


“คงเป็นพวกโจรธรรมดาที่คิดว่าบ้านนี้จะมีของมีค่า เสียดายที่มันไม่มี” คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ไร้คนเฝ้ายามย่อมตกเป็นเป้าหมายของบรรดาโจรอยู่แล้ว แต่อาคาเนะเห็นคร่าวๆ จากการวิ่งวุ่นไปทั่วเมื่อคืนแล้วว่าที่นี่แทบไม่มีของมีค่าเหลืออยู่สักชิ้น


“นี่ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวจริงๆ หรือ”


“ก็อย่างที่เห็น” สีหน้าโทชิฮิโระนิ่งเรียบเสียจนอาคาเนะไม่กล้าจะซักไซ้ต่อ อยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่กว้างจนเดินหากันยังแทบไม่เจอแบบนี้ไม่รู้ว่าจะทำให้ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวสักแค่ไหน

อาคาเนะเคยคิดว่าตัวเองค่อนข้างโดดเดี่ยวเพราะเขาไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีโคคิกับซาโตรุคอยดูแล และได้อยู่ในร้านที่มีผู้คนคึกคักอยู่เสมอ


“อย่าทำหน้าอย่างนั้น ข้าชอบมองเจ้ายิ้ม” นิ้วของโทชิฮิโระจิ้มเข้าที่มุมปากของอาคาเนะแล้วดันมันขึ้นจนดูเหมือนอาคาเนะกำลังยกยิ้มด้วยปากข้างเดียว


“สมองกระทบกระเทือนหรือ” อาคาเนะดันมือโทชิฮิโระออก สายตามองไปยังผ้าพันแผลหนาๆ ที่เขาเป็นคนพันเอาไว้


“ท่านต้องไปหาหมอ ข้าทำแผลไม่เป็นเดี๋ยวจะแย่เอา” ไม่รู้ว่าวิธีของเขาจะช่วยให้แผลของโทชิฮิโระหายเร็วขึ้นบ้างไหม เพราะหลังจากดื่มเลือดเสร็จอาคาเนะก็จัดการเอาผ้ามาพันแผลเสียจนมิด จนเช้านี้ยังไม่มีโอกาสเปิดดู


“ถ้าแผลนี้ทำให้ได้เจออาคาเนะอีก ข้าว่ามันคุ้มนะ” โทชิฮิโระเอ่ยยิ้มๆ กลับเป็นคนฟังที่นึกฉุนขึ้นมาแทน


“บ้า! ไม่เห็นจะคุ้มเลย ตายไปจะทำอย่างไร”


“ไม่อยากให้ข้าตายหรือ” คำถามที่ย้อนมาทำเอาอาคาเนะสะอึกรีบหลุบตาลงหลบสายตาของโทชิฮิโระ


“ถ้าอยากคงปล่อยท่านนอนจมกองเลือดตายไปแล้ว” อาคาเนะตอบเสียงค่อย มันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้แล้วว่าโทชิฮิโระได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ถ้าเป็นแขกคนอื่นที่เจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว อาคาเนะคงไม่ใส่ใจสักนิดหากใครคนนั้นตายจากไป


หัวใจของอาคาเนะกำลังสับสนเพราะเขาไม่เคยปล่อยให้การมีตัวตนของใครมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขามากขนาดนี้ โทชิฮิโระเป็นคนประหลาด เข้าหาเขาด้วยวิธีที่แตกต่างจากคนอื่น และไม่ได้หวังแค่เพียงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน


“แล้ว...ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อไปเจออาคาเนะอีก” ครั้งสุดท้ายที่เจอกันอาคาเนะหนีหน้าหายไปโดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะให้เอ่ยคำลา ราวกับว่าตั้งใจจะตัดขาดกันเสียให้ได้

แต่แล้ววันนี้เด็กหนุ่มจอมหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนคนนั้นกลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา ฟุบหลับราวกับคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ปลอดภัยอย่างบ้านของตัวเอง


อาคาเนะเม้มปากแน่นกลอกตาหลุกหลิก จะให้บอกได้อย่างไรว่าเพราะหลายวันนี้เขาคิดแต่เรื่องโทชิฮิโระจนฟุ้งซ่านเลยต้องหนีออกจากร้านมาพักผ่อนสมอง แต่ก็ดันเหม่อจนมาถึงบ้านของโทชิฮิโระอีก ขืนบอกให้เจ้าตัวรับรู้อาคาเนะคงอายจนไม่กล้าสู้หน้าโทชิฮิโระอีก


“คิดถึงข้าใช่ไหม” คำถามสวนตรงกลางปล้องทำให้อาคาเนะหน้าร้อนจนแทบไหม้ รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน


“หลงตัวเอง! ทำไมข้าจะต้องคิดถึงท่านด้วย”


“ที่นี่อยู่เกือบนอกเมือง ไกลจากร้านของเจ้าด้วย เจ้าคงไม่มาไกลถึงแถวนี้ถ้าไม่มีเหตุผล”


“ข้า...ข้า...” อาคาเนะหาเหตุผลมาแก้ตัวไม่เจอ เขาไม่เคยมาแถวนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแถวนี้มีร้านค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้พอยกมาเป็นข้ออ้างได้บ้าง


“อาคาเนะ” พอถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนแบบนั้นแล้วอาคาเนะหมดแรงที่จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ปล่อยให้โทชิฮิโระคว้ามือไปวางไว้บนตัก


“ข้าไม่ได้เป็นแค่แขกคนหนึ่งสำหรับเจ้าแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ข้าไปหาเจ้าอีกได้ใช่หรือเปล่า”


“มันใช่เวลาจะถามไหม ไม่พิกลพิการไปก็ดีเท่าไรแล้ว” ใบหน้าของเด็กหนุ่มงอง้ำ คนเจ็บที่แผลยังไม่หายดียังจะมีอารมณ์มาเซ้าซี้ไล่ถามเขาอยู่ได้


“ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เป้าหมายข้ายังไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ยอมเป็นอะไรไปเด็ดขาด” ราวกับมีประกายแสงลุกวาบในแววตาของโทชิฮิโระเมื่อเขาพูดมันออกมา นั่นคงเป็นความปรารถนาและเป้าหมายในชีวิตที่อาคาเนะไม่เคยมี อาคาเนะไม่เคยไขว่คว้าหาสิ่งอื่น เพียงแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบตลอดไปเท่านั้น


“ยังไม่ได้ตอบข้าเลย”


“ก็ได้ๆ ข้ายอมแพ้ท่านแล้ว อยากเจอข้าก็แวะไปที่ร้าน...“ อยู่ๆ อาคาเนะก็หยุดพูดแล้วทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้


“ร้าน! แย่แล้ว! ข้าแอบออกมา สายแล้วด้วย” ถึงการทิ้งแขกที่เมามายจนไม่ได้สติไว้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับอาคาเนะ แต่ถึงอย่างไรพอวันรุ่งขึ้นหลังออกไปช่วยส่งแขกให้แล้วซาโตรุก็มักจะขึ้นมาหาเขาอยู่ดี ยิ่งเมื่อวานซาโตรุกำลังเป็นห่วงอยู่ด้วย


“ใจเย็นอาคาเนะ”


“เย็นได้ที่ไหน ท่านไม่เคยเห็นพี่ซาโตรุโกรธไม่เข้าใจหรอก” คนอย่างซาโตรุปกติอาจเป็นพี่ชายแสนดี แต่ลองถ้าโกรธขึ้นมาแล้วต่อให้หมียักษ์อย่างโคคิก็ยังเอาไม่อยู่ แค่คิดก็สยองจนต้องรีบพรวดพราดวิ่งออกไป หลังอาคาเนะวิ่งออกไปสองสามนาทีโทชิฮิโระก็ได้เสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังย้อนกลับมาใหม่


“ไปหาหมอด้วย ห้ามดื้อ!” หลังจากออกคำสั่งจบเด็กหนุ่มก็เผ่นแผล็วหนีหายไปอีกครั้ง ทิ้งให้คนถูกสั่งนั่งกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาจนตัวงอ


“สั่งข้าหรือ เจ้านี่มันร้ายเสียจริง” โทชิฮิโระหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล ตลอดชีวิตของโทชิฮิโระคงไม่มีใครที่จะดูมีชีวิตชีวาได้มากเท่ากับอาคาเนะอีกแล้ว


อาคาเนะเปรียบเหมือนผืนผ้าสีขาวที่รอให้คนสักแต่งแต้มสีสันลงไป พอถูกยั่วก็โกรธเสียมากมาย พอถูกอ้อนใส่ก็อายจนหน้าแดงน่าเอ็นดู เขาอยากเฝ้าดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอาคาเนะให้มากขึ้นเรื่อยๆ







“ได้คนดูแลดีนี่อารมณ์ดีเชียวนะ” เสียงหวานดังขึ้นข้างหูพร้อมสองแขนเรียวที่เอื้อมมาโอบรอบคอจากด้านหลัง ไอเย็นแผ่ซ่านผ่านลมหายใจของสตรีที่เพิ่งปรากฏตัวทำให้รอยยิ้มของโทชิฮิโระหายวับไปทันที


มือใหญ่คว้าเข้าที่แขนของคาสุมิก่อนออกแรงกระชากให้ร่างบางเซถลาลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับใช้มืออีกค้างบีบเข้าที่คอระหงจนเห็นข้อนิ้วซีดขาว


“อย่ามาทำเป็นพูดดี เจ้าเกือบจะฆ่าข้าไปแล้ว!” ดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิทวาวโรจน์ขึ้นด้วยโทสะจนดูราวกับแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจากข้างใน


คำตวาดไม่ได้ทำให้สีหน้าของคาสุมิลดความรื่นรมย์ลงสักนิด นางยังคงเหยียดยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มคนที่กำลังบีบคอของนางอยู่


“แต่ก็ไม่ตายไม่ใช่หรือ ไม่ได้แทงโดนหัวใจสักหน่อย” คาสุมิลากมือจากแก้มผ่านลำคอเรื่อยมาจนถึงแผ่นอกแล้วหยุดตรงตำแหน่งหัวใจของโทชิฮิโระ ก้อนเนื้อข้างในยังคงเต้นจนนางรู้สึกได้


ไม่มีโจรหรือคนร้ายที่ไหน คนที่แทงโทชิฮิโระจนบาดเจ็บเกือบตายคือคาสุมิเอง และคนที่สั่งก็คือคนถูกแทงเองเสียด้วย ทั้งหมดเพื่อที่จะล่อจิ้งจอกน้อยให้เข้ามาติดกับ


“รู้ใช่ไหมว่าไอ้ร่างมนุษย์นี่มันตายง่าย ต่อให้ไม่แทงหัวใจก็ตายได้” โทชิฮิโระเค้นเสียงต่ำยังคงไม่ลดแรงบีบที่มือลง แว่วเสียงหัวเราะชอบใจจากปีศาจหิมะ


“ถ้าอาการไม่หนักจิ้งจอกน้อยของเจ้าจะยอมเปลืองตัวช่วยเจ้าหรือ แบกขึ้นหลังไปหาหมอก็จบแล้ว อย่ามาทำเป็นขี้ขลาดน่าโทชิฮิโระ เจ้าคงไม่อยากแทงตัวเองทุกครั้งที่อยากเจออาคาเนะหรอก”


ยอมเจ็บหนักสักครั้งเพื่อซื้อใจอาคาเนะให้ได้อย่างวันนี้จะช่วยให้อะไรๆ ง่ายขึ้นหลายเท่า เห็นท่าทางกระวนกระวายของจิ้งจอกน้อยเมื่อคืนก็รู้แล้วว่าเห็นโทชิฮิโระเป็นคนสำคัญ


“คราวหน้าถ้าทำเกินจำเป็นอีกข้าฆ่าเจ้าแน่” โทชิฮิโระเอ่ยเสียงเข้ม ระหว่างเขากับคาสุมิเป็นเพียงความสัมพันธ์ของผู้มีประโยชน์ร่วมกัน เขารู้ว่าปีศาจหิมะตนนี้ไว้ใจไม่ได้และพร้อมจะแทงหลังเขาเสมอ หากว่ามีโอกาส


“ไว้ให้งานสำเร็จก่อนข้าอาจจะลองคิดใหม่” คาสุมิพลิกตัวลุกขึ้นเมื่อโทชิฮิโระยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ


“อย่าตกหลุมที่ตัวเป็นคนวางไว้เสียก่อนแล้วกัน” ริมฝีปากของปีศาจหิมะหยักยิ้มอย่างเป็นต่อ ในสนามรบอาจมีเพียงการเป็นฝ่ายฆ่าหรือถูกฆ่าเท่านั้น แต่กับสิ่งที่โทชิฮิโระกำลังทำ การเดิมพันกันด้วยความรู้สึก นอกจากแพ้และชนะแล้วยังมีจุดจบอื่นอีกมากมาย


คาสุมิจากไปแล้วพร้อมกับทิ้งละอองหิมะเอาไว้ให้ โทชิฮิโระมองดูเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นค่อยๆ ละลายกลับเป็นน้ำพลางถามตัวเองในใจ จะมีวันไหนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะมีผลกับจิตใจเขาได้อย่างนั้นหรือ


ไม่มีทาง


ทั้งหมดมันก็แค่ความสนุกเท่านั้นเอง



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง จะหลอกเต๊าะจิ้งจอกต้องยอมเจ็บตัวเลยทีเดียว ผู้ชายแสนดีไม่มีอยู่จริง มันต้องร้ายนิดๆ ถึงจะแซ่บ  :impress2:


ตอนหน้ามาเติมน้ำตาลกันต่อนะคะ


:hao6:

 :กอด1: ขอบคุณที่เม้นให้ค่า


Merry christmas ค่าทุกคน ขอให้ได้ของขวัญที่อยากได้กันนะคะ  :L1:




ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 6

ของเยี่ยม





ถังไม้ถูกยกมาตั้งไว้บนทางเดินก่อนที่ผ้าสีเทาเก่าๆ ผืนหนึ่งจะถูกโยนลงไป สองมือช่วยกันจับผ้าแกว่งในน้ำแล้วขยำจากนั้นถึงยกขึ้นมาบิดไล่น้ำส่วนเกินออกไปแล้วจบลงด้วยการวางมันลงพื้นทางเดินที่ยาวจากหน้าร้านจนถึงหลังร้าน อาคาเนะพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วเริ่มการไถ่โทษของตัวเอง


เมื่อเขากลับมาถึงก็พบซาโตรุยืนกอดอกหน้าตึงรออยู่ก่อนแล้ว ถึงจะพยายามส่งยิ้มไปให้แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงมีเพียงแววตาเชือดเฉือนตามมาด้วยเสียงบ่นยาวเหยียดจากเจ้าของร้านอันดับสอง ส่วนโคคิเพียงแค่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ แล้วคอยพยักหน้าเวลาซาโตรุเหลือบตาไปมองเท่านั้น


อาคาเนะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดออกไป เขาเพียงแค่บอกว่าเบื่อเลยหลบออกไปเดินเล่นตอนเช้าตรู่ก่อนทุกคนจะตื่น และเดินเพลินจนลืมเวลาทำให้กลับมาสายจนถูกจับได้


เขารู้ว่าซาโตรุตำหนิเพราะเป็นห่วง เคยมีเหมือนกันที่พวกหนุ่มๆ ในร้านออกไปเดินเตร็ดเตร่คนเดียวแล้วถูกดักทำร้ายเอา อาชีพแบบนี้ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าแขกคนไหนจะมีลูกมีเมียอยู่แล้วบ้าง หรืออาจเป็นตัวแขกเองที่ผิดใจกันขึ้นมา เรียกได้ว่ารายได้ดีแต่ต้องเสี่ยงชีวิตพอสมควร


หลังบ่นจนพอใจ ซาโตรุลงโทษอาคาเนะด้วยการให้ถูทางเดินทั้งหมดภายในร้าน แน่นอนว่าอาคาเนะไม่มีสิทธิ์โอดครวญ เขาเลยต้องมาเริ่มต้นวันโดยมีน้ำหนึ่งถังกับผ้าขี้ริ้วเป็นเพื่อน


เด็กหนุ่มถูไปหาวไป เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะเฝ้าไข้โทชิฮิโระ แต่พอหลับก็หลับไปแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน ถูกรวบตัวไปกอดตั้งแต่ตอนไหนก็สุดจะรู้ได้


“น่าจับมาช่วยถูนัก” อาคาเนะบ่นพึมพำกับผ้าเก่าๆ ในมือ ถ้าไม่ใช่เพราะโทชิฮิโระเขาคงกลับมาถึงร้านโดยยังไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาหายไปด้วยซ้ำ


มานึกๆ ดูแล้วตั้งแต่รู้จักโทชิฮิโระมาชีวิตเขามีแต่ความสับสนวุ่นวาย นี่ขนาดเพิ่งเจอกันสี่ครั้ง ขืนเจอมากกว่านี้ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง


“ข้าไม่ได้เป็นแค่แขกคนหนึ่งสำหรับเจ้าแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ข้าไปหาเจ้าอีกได้ใช่หรือเปล่า”


คิดถึงคำถามของโทชิฮิโระแล้วได้แต่ถอนหายใจ เพิ่งรอดตายมาได้ดันเอาแต่ถามเขาเรื่องไร้สาระ แล้วจะให้ปฏิเสธออกไปได้อย่างไร


เคยแต่เป็นฝ่ายใช้คำพูดอ้อนคนอื่น พอมาโดนเข้าเองแล้วถึงเข้าใจว่าอาการหัวใจเต้นแรงมันน่ากลัวเพียงใด ต่อต้านแทบไม่ได้สักนิด


“อาคาเนะ” เด็กหนุ่มขานรับโดยไม่ได้หันกลับมามองเพราะรู้ว่าคนเรียกคือโคคิ แต่เมื่อขานแล้วอีกฝ่ายยังเงียบอาคาเนะเลยโยนผ้าขี้ริ้วกลับลงถังแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมา


“เขาบอกว่ามีธุระกับเจ้า” ด้านหลังของโคคิมีชายอีกคนยืนอยู่ เจ้าของรอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนที่อาคาเนะเพิ่งบ่นถึงเมื่อครู่ได้มายืนอยู่ในสภาพมีผ้าผืนใหญ่คล้องแขนซ้ายเอาไว้


“มาทำไมเนี่ย” สีหน้าคนพูดบึ้งตึงขึ้นมาทันตา มองโทชิฮิโระตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถลึงตาใส่ คนเจ็บที่ไหนออกมาเดินเพ่นพ่านตั้งแต่วันแรกอย่างนี้


“ออกมาหาหมอตามคำสั่งเลยแวะมาดู” แขนข้างที่เจ็บถูกยกขึ้นให้ดูเป็นหลักฐาน โคคิมองสองหนุ่มสลับไปมาเริ่มนึกถึงคำพูดซาโตรุขึ้นมาบ้าง แขกคนนี้ฝ่ากำแพงของอาคาเนะเข้ามาได้แล้วจริงๆ


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปพักสิ มาหาข้าไม่ได้ทำให้แผลท่านหายเร็วขึ้น”


“เชิญคุยกันตามสบายนะ” คนที่รู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินพยายามหาทางเอาตัวเองหลบออกไป แต่ฝ่ายแขกกลับเอาตัวมาขวางทางเขาเอาไว้ก่อน


“ข้าแวะมาดูอาคาเนะ แต่มีเรื่องจะพูดกับท่าน”


“ข้า?” โคคิชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง เขาไม่เคยพูดคุยกับชายคนนี้ด้วยซ้ำไป คนที่คอยจัดการเรื่องแขกให้พวกเด็กในร้านคือซาโตรุทั้งนั้น


“ข้ามาขอโทษเรื่องที่อาคาเนะออกจากร้านไปโดยพลการ เมื่อคืนอาคาเนะอยู่กับข้าเอง” คนฟังสองคนมีท่าทีตื่นตกใจไม่แพ้กัน โคคิอ้าปากค้างส่วนอาคาเนะทำตาโตจนแทบถลนออกจากเบ้า


“เดี๋ยว ไหนเจ้าบอกว่าออกไปเดินเล่น” เจ้าของร้านผู้กำลังสับสนกับข้อมูลใหม่หันกลับมาถามคนของตัวเองเป็นอย่างแรก คนที่โกหกคำโตไปเมื่อเช้าทำได้แค่เม้มปากแน่น


“เขาออกไปเดินเล่น แต่เราเจอกันโดยบังเอิญ ข้าถูกคนทำร้ายโชคดีได้อาคาเนะช่วยไว้” โทชิฮิโระบอกความจริงผสมเรื่องแต่งพอให้ฟังดูสมเหตุสมผล แต่อาคาเนะยังคงลูบหน้าตัวเองด้วยความหนักใจอยู่ดี


“แล้ว?” สมองของโคคิหยุดทำงานไปแล้ว เขาไม่ใช้พวกชอบใช้ความคิดมากมายเหมือนอย่างซาโตรุ แต่ฟังดูเหมือนโทชิฮิโระจะอยากแก้ตัวให้อาคาเนะที่ไม่ยอมบอกอะไร


“เมื่อเช้าอาคาเนะรีบร้อนกลับมาเพราะกลัวท่านจะโกรธ” โทชิฮิโระไม่ได้เอ่ยชื่อซาโตรุออกไปเพราะถึงอย่างไรคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านก็คือโคคิ คนที่มีสิทธ์ขาดในการตัดสินก็คือโคคิเช่นกัน


“ข้าไม่คิดว่าท่านจะใช้เด็กๆ มาทำความสะอาดร้านเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันคือการลงโทษ ข้ายินดีจะชดใช้ให้เอง จะเรียกเงินค่าเสียเวลาของอาคาเนะก็ไม่ว่า” สายตาของโทชิฮิโระมองตรงไปยังถังน้ำใกล้ๆ เท้าของเด็กหนุ่มก่อนหันกลับมามองโคคิด้วยรอยยิ้มจางๆ


“อ้อ ก็ใช่ แต่ข้าไม่ใช่คนสั่งหรอกนะ ซาโตรุนู่นต่างหาก” โคคิไหวไหล่ ถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นซาโตรุแทนเขา รับรองเลยว่านักบัญชีคนนั้นจะต้องเรียกเงินจากโทชิฮิโระอย่างคุ้มค่าทุกเม็ดทุกหน่วยเป็นแน่ แต่สำหรับโคคิแล้วเขาค่อนข้างนับถือน้ำใจคนที่ทำอะไรเปิดเผยเช่นนี้


“เอาเป็นว่าข้ารับคำขอโทษก็พอ อาคาเนะคราวหลังก็เล่าให้มันหมดๆ ช่วยคนเป็นเรื่องดีไม่เห็นจะต้องปิด เอาถังไปเก็บแล้วพอได้แล้ว”


คนที่อยู่ๆ ก็พ้นผิดแอบก่นด่าโทชิฮิโระอยู่ในใจ ที่อาคาเนะไม่เล่าเป็นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ แต่คู่กรณีดันโผล่หน้ามาถึงร้าน มาบอกเล่าความเท็จหน้าซื่อตาใสเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” โทชิฮิโระเอ่ยลาสั้นๆ ทิ้งให้อีกสองหนุ่มยืนอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวขึ้นกะทันหัน


“สงสัยซาโตรุจะมีขาประจำรายใหม่ให้ขูดรีดแล้ว” โคคิเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาอาคาเนะสะดุ้ง ใบหน้าน่ารักแดงขึ้นเป็นแถบเพราะความหมายที่โคคิตั้งใจจะสื่อ


ขาประจำเป็นคำเรียกลูกค้าที่ทำตัวเสมือนเป็นคู่รักกับคาเงมะที่ตัวเองพอใจ พวกเขาคือแหล่งรายได้หลักเพราะแวะมาบ่อย และบางคนก็พร้อมจ่ายเงินแพงขึ้นถ้าต้องการแย่งชิงคู่ของตัวเองจากลูกค้าคนอื่น


“ไม่ใช่สักหน่อย!”


“หน้าแดงอยู่นะอาคาเนะ” คนถูกแซวรีบยกมือขึ้นจับแก้มทำตาโต


“ไม่คุยด้วยแล้ว!” เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจ้ำหนีให้ห่างจากโคคิทันที


“บอกให้เอาถังน้ำไปเก็บด้วย”


“ไว้ค่อยมาเก็บ!” นานๆ จะได้เห็นอาคาเนะเขินจนแทบม้วนเป็นก้อนกลมได้เสียทีมีหรือโคคิจะไม่อยากแกล้ง มองถังน้ำที่อาคาเนะทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแล้วเผลอหลุดยิ้มออกมา เอาไปเล่าให้ซาโตรุฟังเสียหน่อยน่าจะดี







เย็นวันนั้นอาคาเนะถูกซาโตรุเรียกไปหาและถูกซักฟอกจนเกือบสะอาดเรื่องโทชิฮิโระ เขาต้องยอมรับออกไปว่าไปถึงบ้านของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจและไปพบโทชิฮิโระกำลังบาดเจ็บเข้าพอดี สิ่งเดียวที่อาคาเนะยังคงปิดไว้คือสายเลือดครึ่งปีศาจของตัวเอง


ซาโตรุไม่ได้ตำหนิอะไรเรื่องที่อาคาเนะปกปิดความจริง เพียงแค่ถามว่าต่อจากนี้อาคาเนะจะพบโทชิฮิโระในฐานะแขกอีกไหม ต้องรวบรวมสติอยู่พักใหญ่กว่าอาคาเนะจะตัดสินใจพยักหน้า เขารับปากโทชิฮิโระไปแล้วแม้จะลำบากใจเป็นอย่างมากก็ตามและจะไม่ผิดคำพูด


จนเมื่อถึงวันถัดมาอาคาเนะถึงได้รับรู้ว่าเขาคิดผิดอย่างมหันต์ที่ตอบซาโตรุไปเช่นนั้น อาหารรสเลิศทั้งปลา หอย ปู และผักถูกจัดลงกล่องสองชั้นสีดำเรียบหรู ห่ออีกชั้นด้วยผ้าสีเขียวเข้มอย่างแน่นหน้าแล้วจับยัดใส่มืออาคาเนะในตอนที่เขาเพิ่งตื่นลงมา สมองที่ยังไม่ตื่นเต็มตากับน้ำหนักที่มากพอดูทำให้อาคาเนะแทบจะเซถอยหลังเมื่อต้องถือมันไว้


“อะไรหรือพี่ซาโตรุ”


“ของเยี่ยม ท่านโทชิฮิโระบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ อยู่คนเดียวด้วยคงทำอาหารลำบาก” ถึงจะฟังไม่ค่อยทันแต่อาคาเนะยังพอจับใจความได้ เขาก้มมองของในมือแล้วเงยขึ้นมองซาโตรุด้วยสีหน้างุนงง


“แล้วเอาให้ข้าทำไม”


“เพราะเจ้าต้องเป็นคนเอาไปให้ นี่ตื่นหรือยังอาคาเนะ” โคคิที่เดินมาจากด้านหลังผลักหัวอาคาเนะเข้าให้หนึ่งทีจนเจ้าตัวโวยวายหันไปจ้องโคคิตาขวาง


“อย่างที่โคคิว่า เจ้าต้องไปเยี่ยมท่านโทชิฮิโระ อยู่ดูแลเขาก็ได้ขอแค่กลับมาก่อนเปิดร้านเป็นพอ”


“เดี๋ยวสิ ท่านจะให้ข้าไปดูแลเขา...แบบไม่คิดค่าตัว?” ปกติซาโตรุเห็นเวลาของเด็กในร้านเป็นเงินเป็นทองจะตาย ไม่ว่าวันไหน เวลาไหน ถ้าแขกอยากพาใครออกไปก็ต้องจ่ายเงินให้ด้วย แล้วนี่อะไร ทั้งอาหารแล้วยังรวมตัวเขาส่งไปให้ง่ายๆ อีก


“อยู่ร้านมาสามปีเจ้ายังไม่รู้จักวิธีล่อหลอกลูกค้าของซาโตรุอีกหรือ” โคคิลอยหน้าลอยตาเดินไปยืนข้างซาโตรุแต่ยังไหวตัวหลบทันเมื่อคนข้างตัวขยับจะฟาดมือใส่


“ล่อหลอก?”


“มันเป็นการลงทุนเพื่อหวังกำไร เรียกว่าซื้อใจลูกค้า” เจ้าของร้านที่มักดูไม่ค่อยมีหัวการค้ามาวันนี้กลับทำเป็นพูดเจื้อยแจ้วจนซาโตรุเผลอชักสีหน้าใส่


“บอกไปเถอะน่า อาคาเนะมันบื้อเรื่องมัดใจแขกจะตาย” คนถูกพาดพิงเหยียดขาไปเตะหน้าแข้งคนพูดด้วยความหมั่นไส้โดยมีซาโตรุคอยพยักหน้าสนับสนุน


“เดี๋ยวเถอะพวกเจ้า!” โคคิชี้หน้าคนร้ายและผู้ร่วมมือเรียงตัว มือก็ลูบหน้าแข้งตัวเองไปด้วย


“สรุปว่าจงไปซื้อหัวใจโทชิฮิโระของเจ้ามา เอาให้ถึงขั้นหลงได้ยิ่งดี แล้วหลังจากนี้เดี๋ยวเราก็จะได้เงินคืนมามากกว่าค่าอาหารที่เสียไปทั้งหมดวันนี้เสียอีก”


อาคาเนะถูกรุนหลังให้ออกจากร้านทันทีที่โคคิกล่าวคำบัญชาของตนเสร็จ เขายังแอบเห็นว่าโคคิถูกซาโตรุดึงหูลากกลับเข้าข้างในพร้อมโอดครวญไปตามทาง







น้ำหนักของกล่องไม้ในมือทำให้อาคาเนะต้องถอนหายใจเสียยืดยาว ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นหลังจากเพิ่งกลับออกมาเมื่อวาน


“หลงหรือ” จนตอนนี้อาคาเนะเองก็ยังไม่แน่ใจว่าระหว่างเขากับโทชิฮิโระ คือความรู้สึกที่เรียกว่าอะไรกันแน่


ระหว่างทางเดินมาว่าทำใจยากแล้ว การจะก้าวเข้าไปมันทำใจยากยิ่งกว่า เมื่อคืนวานอาคาเนะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปโดยไม่ได้คิดอะไรนอกจากคิดถึงความปลอดภัยของโทชิฮิโระ แต่เมื่อต้องมายืนอยู่หน้าประตูในตอนกลางวันเช่นนี้เขากลับลังเลจนไม่กล้าก้าวขาต่อไป


นอกจากนี้เขายังมีเหตุการณ์อันไม่น่าจดจำกับความทรงจำครั้งแรกของการมาที่นี่ด้วย


ตอนเห็นรอยแดงที่เกิดจากมือเขาบนหน้าโทชิฮิโระในใจมั่นสั่นไม่หยุดเพราะเขาไม่เคยถูกแขกคนไหนจูบมาก่อน ไม่ว่าจะบนส่วนไหนของร่างกายก็ตาม ยิ่งคิดถึงโทชิฮิโระยิ่งพบว่ามีแต่ความน่าอาย ไหนจะจูบครั้งถัดมาที่เขายอมปล่อยให้โทชิฮิโระทำตามใจเพราะคิดว่าจะเป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายนั่นอีก


อาคาเนะกอดห่อผ้าในมือแน่นขึ้นแล้วหมุนตัวหันกลับหลัง เขายังไม่พร้อมจะพบโทชิฮิโระตอนนี้ และคงไม่พร้อมไปจนกว่าจะสามารถเรียกตัวเองก่อนจะเจอโทชิฮิโระกลับมาได้


แต่ว่าจะทำอย่างไร


“อาคาเนะ?” เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือก ผู้อาศัยเพียงคนเดียวของคฤหาสน์เปิดประตูออกมาแล้วเดินเข้าไปหาอาคาเนะช้าๆ


“มาหาข้าหรือ” รอยยิ้มของโทชิฮิโระทำให้อาคาเนะแทบอยากหายตัวไป ทั้งที่เขาแค่มาเพราะถูกซาโตรุใช้ให้มาแท้ๆ แต่พอถูกโทชิฮิโระถามกลับเขินราวกับว่าเป็นอย่างที่โทชิฮิโระพูด ไม่รู้ทำไมจนป่านนี้ถึงยังไม่ชินกับการรับมือกับผู้ชายคนนี้สักนิดเลย


“พี่ซาโตรุให้เอาของมาเยี่ยม” ยิ่งเห็นอาคาเนะหลบตา โทชิฮิโระยิ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อยากจะแกล้งคนขี้อายให้จนตรอกดูเสียที ตอนคาสุมิบอกว่าอาคาเนะมายืนอยู่หน้าคฤหาสน์เขาไม่เชื่อนางด้วยซ้ำ


อาคาเนะหยิ่งเกินกว่าจะยอมบอกกับเขาว่าคิดถึงทั้งที่สีหน้าและจิตใต้สำนึกแสดงออกอย่างซื่อตรงยิ่งกว่า โทชิฮิโระเลยไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่อาคาเนะจะเดินมาหาเขาเหมือนคนทั่วไป


“เข้ามาสิ”


คฤหาสน์ของโทชิฮิโระยังคงดูกว้างจนรู้สึกเงียบเหงาเหมือนอย่างเคย หากเปรียบเทียบระหว่างที่ร้านกับคฤหาสน์หลังนี้อาจมีพื้นที่ใช้สอยต่างกันไม่มาก


แต่ที่ร้านมีแต่เสียงของความวุ่นวายอยู่เสมอ จึงไม่เคยทำให้อาคาเนะรู้สึกถึงความเหงาเลย ผิดกับเวลานี้ที่พอเขาเงียบ โทชิฮิโระเงียบ ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็ดูวังเวงขึ้นมาทันที


“จะไม่กินหน่อยหรือ” สุดท้ายคนที่ทนความเงียบนั้นไม่ได้ก็คืออาคาเนะ หลังจากแกะห่อผ้าและเปิดดูของในกล่องที่เขาถือมา โทชิฮิโระเพียงแค่วางมันไว้ข้างๆ แล้วนั่งจ้องหน้าเขาเท่านั้น


“ตอนนี้ยังไม่หิว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”


“ทำสิ ข้ากลับก่อนก็ได้” อาคาเนะลุกหนีอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบเสียงหัวใจตัวเองเวลาอยู่กับโทชิฮิโระสองต่อสอง มันดังจนหนวกหูและเขาไม่สามารถหยุดมันได้


แทนที่จะได้ก้าวออกไปเอวของอาคาเนะเกิดถูกมือดีคว้าเอาไว้เสียก่อน แม้จะใช้แขนได้เพียงข้างเดียวแต่โทชิฮิโระยังไวพอที่จะคว้าตัวจิ้งจอกขี้อายไว้ทันก่อนจะหนีไปได้


“อย่างอื่นที่ว่ามันหมายถึงเจ้า” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูทำเอาคนฟังหน้าแดงจนไม่กล้าหันกลับไปสบตาคนพูด


“ปล่อย แขนท่านเจ็บอยู่นะ” อาคาเนะประท้วงเสียงค่อย อยากจะบิดตัวออกแต่กลัวจะโดนแผลคนเจ็บ


“เจ็บที่ไหล่ แขนไม่ได้เป็นอะไร จะให้กอดเจ้าให้ดูไหม” นอกจากจะไม่ร่วมมือโทชิฮิโระยังขยับมืออีกข้างมาจับไว้ที่เอวของอาคาเนะด้วย


“ไม่ต้อง!” อาคาเนะปฏิเสธเสียงแข็ง จังหวะเดียวกับที่โทชิฮิโระเกยคางลงบนไหล่ของเขาพอดี


“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามา ถึงจะมาเพราะซาโตรุก็ตาม” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลับลงพร้อมความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ มันคล้ายจะเปี่ยมล้นด้วยความสุข แต่พอคิดว่าคำพูดเหล่านี้จะอาจจะจางหายไปเมื่อไรก็ได้หัวใจกลับรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมา


“เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไรหรือ” บางครั้งอาคาเนะก็อดคิดไม่ได้ว่าโทชิฮิโระมีความสามารถในการอ่านใจคนหรือเปล่า ร่างของอาคาเนะถูกจับให้หมุนตัวกลับมาหาโดยมีมือใหญ่ช่วยเชยคางเขาให้เงยขึ้นสบตาของอีกฝ่าย


“อาคาเนะ”


“ทำไมถึงต้องเป็นข้า” มันไม่มีเหตุผล โทชิฮิโระอาจอยู่ตามลำพังแต่เขายังคงมีบ้านหลังใหญ่ มีเงินมากถึงขนาดเอาไว้โยนทิ้งกับร้านค้าบริการผู้ชาย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกที่จะทำแบบนี้แทนที่จะมองหาผู้หญิงดีๆ แต่งงานสร้างครอบครัว


คาเงมะมักถูกทอดทิ้งเสมอ เวลาสามปีอาคาเนะได้เห็นรุ่นพี่ในร้านหลายคนหัวใจแหลกสลายเพราะถูกคนที่ไว้ใจทอดทิ้งไปในที่สุด อาคาเนะไม่อยากมีชีวิตแบบนั้นถึงไม่เคยยอมใกล้ชิดกับใครตลอดมา


“ไม่รู้สิ” คำตอบที่ได้ทำให้แววตาของอาคาเนะวูบไหว ไม่รู้อย่างนั้นหรือ เป็นคำตอบที่จะว่าชัดเจนก็ชัดเจนดี ดีกว่าโกหกกันด้วยคำหวานสวยหรูแต่จอมปลอม


“ขอโทษ ข้าไม่ควรถาม” อาคาเนะดันมือของโทชิฮิโระออกจากปลายคาง รู้สึกร้อนขึ้นมาที่หัวตาจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่สนใจแม้ว่าโทชิฮิโระจะพยายามคว้ามือของเขาเอาไว้


“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ”


“ไว้เราค่อยคุยกันเถอะ ถ้าท่านจ่ายเงินข้าก็ต้องคุยกับท่านอยู่แล้ว พี่ซาโตรุรอต้อนรับท่านอยู่แล้วด้วย” น้ำเสียงอาคาเนะแฝงความเย้ยหยันอยู่ลึกๆ ตัวของเขา เวลาของเขา ซื้อได้ด้วยเงินอยู่แล้ว คงง่ายกว่าถ้าจะทำใจยอมรับว่าโทชิฮิโระก็ไม่ต่างจากแขกเหล่านั้น


“อย่าประชดกับข้า” โทชิฮิโระขึ้นเสียงดุ นั่นทำให้อาคาเนะยอมเลิกสะบัดมือออกจากมือของโทชิฮิโระเสียที


“ทำไมต้องถามหาเหตุผลกับข้า เจ้าคาดหวังคำตอบอะไรอยู่”


“เปล่า”


“โกหก คนเราถามคำถามด้วยเหตุผลสองอย่าง หนึ่งคือยากรู้ และสองคืออยากฟังสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน ถ้าเจ้าแค่อยากรู้ก็ควรพอใจในสิ่งที่ข้าตอบ แต่เจ้าไม่”


คำพูดของโทชิฮิโระตรงเสียจนอาคาเนะต้องสะบัดหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง


“อยากให้ข้าบอกว่าข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น หลงใหลใฝ่ฝันอยากอยากได้เจ้ามาครอบครองหรือ”


“เปล่า!” อาคาเนะปฏิเสธเสียงดังกว่าเดิม คำพูดพวกนั้นฟังดูก็รู้ว่าโกหก เพราะเขาฟังมันมานับครั้งไม่ถ้วนจากแขกแทบทุกคนอยู่แล้ว


“เจ้าถามว่าทำไมต้องเป็นเจ้า ข้าไม่รู้อาคาเนะ ไม่รู้ว่าทำไมสายตาถึงคอยมองหาเจ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบเวลาได้เห็นสีหน้าที่ไม่ใช่เพียงหน้ากากการค้าของเจ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงดีใจที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเจ้าได้”


ทุกคำพูดโทชิฮิโระเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และยืนยันด้วยสายตาที่จ้องตรงมา ความเคืองขุ่นในใจคนฟังจางหายราวกับหมอกยามต้องแสงตะวัน มีเพียงความเขินอายที่พุ่งขึ้นมาแทนที่


“เอาไว้เราค่อยหาเหตุผลกันได้ไหม...นะ” คำว่า ‘นะ’ ประกอบกับสายตาคล้ายจะอ้อน ทรงพลังยิ่งกว่าประโยคยืดยาวที่โทชิฮิโระพร่ำพูด อาคาเนะหลุบตาหนีสายตาเว้าวอนจากคนที่กำลังรวบตัวเขาเข้าสู่อ้อมกอดเป็นพัลวัน


“ถ้าจูบเจ้าตอนนี้ ข้าจะโดนตบหรือเปล่า” รอยยิ้มเจิดจ้าอยู่ห่างเท่าลมหายใจรินรดกัน อาคาเนะทุบไหล่กว้างไปสองสามครั้งเป็นการแก้เขิน ในขณะที่คนแกล้งหัวเราะร่วน


“เลิกล้อข้าเสียที เป็นบ้าอะไรของท่าน” ไม่รู้ว่าเขาจะต้องถูกโทชิฮิโระถามคำถามนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทุกครั้งที่พวกเขาจูบกันหรือ มันน่าอายจะตายเวลาถูกถามก่อนที่จะทำ


“ได้ๆ ต่อไปจะไม่ถามแล้ว” ประโยคง่ายๆ อย่างคำว่า ต่อไป ทำให้หัวใจของอาคาเนะพองโต ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองอนาคตข้างหน้าว่าจะต้องมีใครอยู่บ้าง แต่การพูดกับใครสักคนว่าต่อไปจะทำอะไรด้วยกัน นั่นคือการเริ่มต้นมองไปยังอนาคตใช่ไหม


มือของโทชิฮิโระค่อยๆ เลื่อนขึ้นจากเอวบางลากผ่านแผ่นหลังขึ้นมาถึงแนวสันคอ กดเบาๆ ที่ท้ายท้อยเพื่อให้อาคาเนะแหงนหน้าขึ้นมาหา พวกเขาสบตากันก่อนที่อาคาเนะจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆ โน้มเข้าหากันก่อนที่เสียงจากอะไรบางอย่างจะทำให้บรรยากาศหวานๆ สะดุดลงกลางอากาศ


โทชิฮิโระหัวเราะออกมาดังลั่น ในขณะที่ต้นต้อของเสียงประหลาดหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย สองมือยกขึ้นกุมท้องตัวเองที่ดันส่งเสียงร้องประท้วงออกมาได้พอดิบพอดี


“เพราะท่านนั่นแหละ!” อาคาเนะโวยวาย ฟาดมือใส่โทชิฮิโระซ้ำๆ จนคนถูกทุบต้องพยายามกลั้นหัวเราะ


“ข้าหรือ ข้าทำอะไร” โทชิฮิโระทำตาโต คนเราจะหิวจะอิ่มใครจะไปห้ามได้นอกจากตัวเอง


“เพราะพี่ซาโตรุใช้ข้าให้มาหาท่าน ตื่นมายังไม่ทันกินอะไรสักคำ” ใบหน้าน่ารักงอง้ำ ทั้งโกรธทั้งอายจนปรับสีหน้าไม่ถูก ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดตอนโทชิฮิโระลูบหัวให้


“ไปกินข้าวกัน เรามีอาหารแล้วนี่” โทชิฮิโระหงายมือส่งไปให้อาคาเนะ เด็กหนุ่มเบ้ปากแต่ก็ยอมวางมือของตัวเองลงบนมือนั้นแล้วเดินตามหลังโทชิฮิโระไปโดยพยายามจะไม่หลุดยิ้มออกมา




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


ไม่มีของขวัญอะไรจะเอามาให้ทุกท่าน นอกจากเอานิยายตอนต่อไปมาฝาก ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ คุยกันได้นะเราฉีดยาแล้ว  :hao7:

ว่าแต่ต่อไปเวลาจะจูบ ขอก่อนหรือไม่ต้องขอดีคะ  :-[



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2016 17:44:16 โดย Magdaren »

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 7

วิธีง้อ






ยามเช้าของอาคาเนะมักเริ่มต้นขึ้นสายกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่าเพราะเขาใช้ชีวิตในช่วงกลางคืนมากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน ดังนั้นอาคาเนะได้สิทธิ์ที่จะนอนตื่นสายได้อย่างเต็มที่ ขอเพียงไม่ข้ามเที่ยงวันเป็นพอ


ทว่าช่วงระยะเวลาตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้ อาคาเนะถูกปลุกตั้งแต่แสงแดดยังไม่แผดแสงแรงกล้าแทบจะเรียกได้ว่าวันเว้นวัน ทำให้ขีดความอดทนของเด็กหนุ่มค่อยๆ ลดลง สวนทางกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมากขึ้น เพียงเพราะคนเพียงคนเดียว


“ข้าต้องไปอีกแล้ว?!” มองดูห่อผ้าอันคุ้นตาแล้วอาคาเนะถึงกับหันไปกอดเสาข้างตัวและเคาะหน้าผากกับมันเบาๆ


เขาเกลียดห่อผ้าสีเขียวเข้มห่อนี้ เพราะรู้ดีว่าข้างในมีอะไร และต้องถูกนำไปส่งให้กับใครด้วย


“ข้าก็ขี้เกียจถือมาให้เจ้าแล้วเหมือนกัน เอ้า รับไปเสียที” เจ้าของร้านหน้าเข้มยื่นของที่เขารับฝากจากเพื่อนสนิทที่นานวันโคคิยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาจ้างอีกฝ่ายมาเป็นคนทำบัญชี หรือมาเป็นเจ้านายเขากันแน่


“มันไม่บ่อยไปหน่อยหรือ เมื่อสองวันก่อนข้าก็เพิ่งไปมา พวกท่านจะเอาใจเขามากเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ถูกสั่งให้เอาของเยี่ยมไปให้โทชิฮิโระวันนั้น อาคาเนะยังคงถูกสั่งให้ทำอย่างเดิมเรื่อยๆ ทั้งที่โทชิฮิโระยังไม่เคยมาที่ร้านอีกเลย


เงินก็ไม่ได้ แล้วยังต้องลากสังขารตัวเองไปถึงบ้านลูกค้า ดูไม่สมกับเป็นความคิดของคนหัวการค้าอย่างซาโตรุสักนิด


“ถ้าไม่อยากไป เจ้าก็รีบอัญเชิญยอดรักของเจ้ามาที่ร้านเสียสิ ซาโตรุจะได้ไม่ต้องมาเปลืองเหยื่อล่ออยู่แบบนี้”


“โทชิไม่ใช่ยอดรักของข้า!” อาคาเนะรีบปฏิเสธทันควัน จำใจต้องละมือจากต้นเสา ไปคว้าห่อผ้ามากอดไว้พร้อมกับกระทืบเท้าลงไปหมายให้ถูกหลังเท้าเจ้านายตัวดี แต่โคคิรู้ตัวรีบชักเท้าหลบทัน


“เรียกชื่อกันติดปากแล้วนี่ คนอย่างเจ้า ปกติไม่จำชื่อแขกด้วยซ้ำ” โคคิยังไม่เลิกระรานสินค้าอันดับหนึ่งคนตน ช่วยไม่ได้ ปกติอาคาเนะไม่ใช่คนยั่วง่าย แต่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับโทชิฮิโระกลับโวยวายทุกที เห็นแล้วน่าแกล้งนัก


“ถามจริงๆ นะอาคาเนะ เจ้าเข้าออกบ้านเขาขนาดนี้ เจ้าโทชิฮิโระนั่นยังไม่ทำอะไรเจ้าอีกหรือ”


“ทำอะไร” อาคาเนะถามกลับเสียงขุ่น นอกจากจะนอนไม่พอแล้ว ทำไมเขายังต้องมารับมือกับความกวนประสาทของโคคิอีก


“ทำเรื่องที่แขกคนอื่นเขาทำกัน”


“ใช่เรื่องที่ท่านต้องถามไหม”


“ต้องสิ เรื่องนั้นถ้าทำต้องจ่ายเงิน แต่ดูจากสภาพเจ้าตอนกลับมาแล้วข้าว่าไม่น่าได้ทำใช่ไหม” ถ้าต่อยปากเจ้าของร้านได้อาคาเนะคงเหวี่ยงหมัดออกไปแล้ว ถึงจะตัวโตกว่าแต่อาคาเนะค่อนข้างมั่นใจในกำลังของตัวเองพอดู เสียแต่ทำไม่ได้เลยได้แค่พ่นลมหายใจใส่


“เอาเรื่องลามกออกจากหัวท่านบ้างเถอะ นั่นคนบาดเจ็บนะ ไม่ใช่หมีป่าอย่างท่าน โอ๊ย!” นอกจากจะไม่ได้เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายโคคิแล้ว อาคาเนะยังถูกดีดหน้าผากเสียเองด้วย


“มันเจ็บนะ!”


“เหยื่อล่ออย่างเจ้าอย่าปากดีให้มาก ที่ให้ไปไม่ใช่แค่ไปเยี่ยมเขาเฉยๆ เสน่ห์ที่ยังมีใช้เสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเมื่อไรปลาจะกินเหยื่อ อยากเทียวไปเทียวมาไปจนกว่าเขาจะหายหรือ”


“เรื่องชั่วๆ นี่คิดไวจริง” เด็กหนุ่มเบ้ปากบ่นพึมพำกับตัวเอง


“ได้ยิน” สันมือฟาดลงกลางหน้าผากอาคาเนะเข้าอีกหน คราวนี้อาคาเนะหน้างอง้ำรีบเดินกอดห่อผ้าออกจากร้านไป ทิ้งให้โคคิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“ขอให้มันคุ้มนะซาโตรุ”







คฤหาสน์หลังใหญ่เงียบสงบไร้ผู้คน จะว่าไปอาคาเนะก็ชอบบรรยากาศที่นี่อยู่ไม่น้อย รู้สึกได้มีพื้นที่เป็นส่วนตัวกว่าที่ร้าน ทั้งยังสบายหูเพราะมีเพียงเสียงลมและใบไม้ไหวแสนผ่อนคลาย


การมาที่นี่แต่ละครั้ง อาคาเนะมักต้องสอดส่ายสายตามองหาโทชิฮิโระอยู่เสมอ คฤหาสน์หลังนี้มีห้องอยู่มากมาย และแต่ละวันที่มาโทชิฮิโระมักเปลี่ยนห้องที่อยู่ไปเรื่อย เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากจะทิ้งให้ห้องใดห้องหนึ่งต้องร้างไป


“นายท่าน” ถึงอาคาเนะจะเคยเรียกชื่อโทชิฮิโระไปแล้ว แต่เขายังคงชินปากกับการเรียกนายท่านมากกว่าอยู่ดี อาคาเนะทิ้งห่อผ้าไว้ที่ห้องโถงใหญ่สุดแล้วเริ่มเดินสำรวจไปทีละห้อง


โทชิฮิโระบอกว่าทุกสิบวัน เขาจะจ้างคนทำสวนและทำความสะอาดมาเพื่อทำความสะอาดและตกแต่งสวนเสียครั้งหนึ่ง การอยู่คนเดียวทำให้โทชิฮิโระคิดว่าการจ้างคนรับใช้ไว้ประจำเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป และเขาสะดวกใจที่ไม่ต้องมีคนแปลกหน้าในบ้านมากกว่า


สำหรับอาคาเนะแล้ว ยังมีปริศนามากมายในตัวโทชิฮิโระที่เขายังไม่รู้ แต่ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองสมควรที่จะถามมัน


“นายท่าน”


“บอกให้เรียกโทชิไม่ใช่หรือ” ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพผมเปียกปอน หยดน้ำหยดลงบนกิโมโนสีน้ำตาลเข้มเป็นด่างดวง คงเพิ่งอาบน้ำเสร็จไม่นาน ถึงวาจาจะคล้ายตำหนิ แต่บนหน้าของโทชิฮิโระกลับมีเพียงรอยยิ้มส่งมาให้เท่านั้น


“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ชิน อย่าบังคับข้าเลย”


“ยิ่งไม่ชินยิ่งต้องเรียกรู้ไหม ถ้าไม่ฝืนเสียบ้าง เจ้าคงเรียกข้าว่านายท่านไปตลอดชีวิต” คำว่า ‘ตลอดชีวิต’ มักออกจากปากโทชิฮิโระอย่างง่ายดายเสมอ บางครั้งอาคาเนะนึกอยากทวงถามว่าโทชิฮิโระว่ารู้บ้างไหมว่าพูดอะไรออกมา


ในชีวิตของพวกคาเงมะ คำว่าตลอดชีวิตจากปากแขกแทบไม่เคยเป็นจริง ไม่มีใครอยู่กับความสุขที่ซื้อหาด้วยเงินทองไปตลอดชีวิตได้


“ไม่ดีหรือ ฟังดูมีอำนาจดีออก” อาคาเนะเฉไฉไปเรื่องอื่น เอื้อมมือไปคว้าผ้าผืนเล็กออกจากมือโทชิฮิโระแล้วกดไหล่เขาให้นั่งลง โทชิฮิโระเหลือบตาขึ้นมองคนที่เพิ่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา อาคาเนะไม่ได้นั่งลงเพียงแค่ยืนด้วยเข่าเท่านั้น


“อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากให้นิ้วข้าทิ่มเข้าไปในลูกตาท่าน” ผ้าที่ถูกยึดไปถูกโยนลงมาคลุมหน้าแล้วลากขึ้นไปเช็ดไม่เบานักบนหัว โทชิฮิโระหัวเราะออกมาทั้งที่ถูกเช็ดผมจนหัวสั่นหัวคลอน


“ข้าควรจะกลัวเจ้าจะดึงผมข้าหลุดไปทั้งหัวก่อนไหม”


“จงดีใจเถอะ ข้าไม่เคยทำอย่างนี้ให้ใครนะ” คนที่กำลังเช็ดผมให้ทำเสียงขึ้นจมูก เขาไม่เคยใส่ใจดูแลใคร และสำหรับตอนนี้แค่คิดว่าปิดหน้าปิดตาโทชิฮิโระไว้เสียบ้างก็คงดี


ไม่มีคำทักท้วงใดออกจากปากเจ้าของคฤหาสน์อีก พวกเขาต่างฝ่ายต่างเงียบลงแม้ว่าอาคาเนะจะเลื่อนผ้าออกจากหัวของโทชิฮิโระแล้วขยับตัวไปด้านข้างหันไปใส่ใจกับการเช็ดปลายผมแทน


หลังพอใจในผลงานของตนอาคาเนะจึงยอมเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะได้รู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขาอยู่ จากที่ผ่อนคลายอยู่เมื่อครู่กลับรู้สึกเกร็งขึ้นมา แววตาคมกริบจ้องมองเขาโดยไร้แววหยอกล้ออย่างเคย จนเหมือนกำลังมองลึกลงไปกว่าที่เป็นอยู่


“อะ..เอาคืนไป ข้าใช้เสร็จแล้ว” ผ้าชื้นๆ ถูกยื่นใส่หน้า รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นบนมุมปากของโทชิฮิโระ ถึงจะพยายามทำหน้านิ่งเพียงใด เขาก็ยังสังเกตเห็นรอยแดงที่ข้างแก้มอาคาเนะอยู่ดี


เด็กหนุ่มคนนี้บ้างครั้งชอบอวดเก่ง วางตัวอวดดี แต่บางเวลากลับแสดงความห่วงใยออกมาอย่างซื่อตรงโดยที่แม้แต่ตัวเองก็คงไม่รู้ตัว ซ้ำยังเขินอายเมื่อถูกจับจ้องง่ายๆ เสียด้วย


“ปกติต้องเสียเงินเท่าไร ถึงจะได้ความห่วงใยจากเจ้าเช่นนี้”


“แค่ไม่อยากเห็นท่านป่วยไปอีกเพราะมัวแต่เดินไปเดินมาในสภาพเปียกปอนก็เท่านั้น” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเกินความจำเป็นรีบแก้ตัวอย่างร้อนรน ทว่ายิ่งแก้กลับยิ่งทำให้ปมขมวดแน่นขึ้น


“นั่นก็แปลว่าห่วงไม่ใช่หรือ”


“เปล่า!”


“หน้าเจ้าแดงหมดแล้ว”


“ถะ...ถ้าท่านป่วยอีก เมื่อใดจะได้ไปที่ร้าน”


“อยากให้ข้าเป็นฝ่ายไปหา?”


“ไม่ใช่! เอ๊ย! ใช่ ไม่...คือ...”


“ใจเย็นไว้”


“ท่านไม่เข้าใจ ถ้าท่านยังไม่หายดีก็ไม่ได้ไปทีร้าน แล้วข้าก็ต้องมาหาท่านอยู่เรื่อย!”


 “เจ้าเสียทั้งแรงและเวลาซ้ำยังไม่ได้เงินด้วยใช่ไหม”


“ใช่...!” เพราะความกดดันจากทั้งตัวเองและการกลั่นแกล้งของโทชิฮิโระ ทำให้อาคาเนะหลุดปากตอบรับออกมาโดยไม่ทันคิด ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างและรีบตะครุบปากตัวเองไว้ทันควัน แม้จะรู้ดีว่ามันออกจะช้าไปสักหน่อย


“ไม่เป็นไร มันคืองานของเจ้า ข้าเองก็ควรตอบแทนน้ำใจของซาโตรุด้วย” รอยยิ้มของโทชิฮิโระจางหายไปและมันให้อาคาเนะรู้สึกเสียใจกับนิสัยปากไม่ตรงกับใจของตน


จริงอยู่ว่าซาโตรุส่งเขามาเพราะหวังให้โทชิฮิโระกลับไปเป็นลูกค้า แต่สิ่งที่เขาทำไม่ได้ทำไปเพื่อเหตุผลพวกนั้น


คนตรงหน้าขยับตัวลุกขึ้นโดยไม่เอ่ยปากอะไร อาคาเนะจึงรีบลุกตาม เขาก้มหน้ามองเพียงเท้าของคนที่เดินนำ รู้สึกอึดอัดในอกทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วย


“แผลข้าใกล้หายสนิทแล้ว จากนี้เจ้าไม่ต้องมาแล้ว หายดีเมื่อไรข้าจะติดต่อไปทางซาโตรุเอง” น้ำเสียงเรียบนิ่งแตกต่างจากน้ำเสียงของโทชิฮิโระที่คุ้นเคย


จากประสบการณ์พบเจอผู้คนที่ผ่านมา อาคาเนะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธอยู่ แต่เขาไม่เคยง้อใคร ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร


“วันนี้ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า ดูสีหน้าเจ้าเหมือนนอนไม่ค่อยพอ กลับไปพักเสีย” พวกเขาเดินมาถึงห้องที่อาคาเนะทิ้งห่อผ้าเอาไว้ อีกไม่กี่ก้าวโทชิฮิโระก็จะหยิบมันขึ้นมาได้และคงส่งคืนให้


อาคาเนะกำมือแน่นก่อนตัดสินใจก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อคว้าด้านหลังของกิโมโนโทชิฮิโระเอาไว้


“โทชิ” ชื่อของเขาถูกเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว โทชิฮิโระยืนนิ่งปล่อยให้อาคาเนะขยำกิโมโนตรงข้างเอวเขา รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มซุกหน้าลงมากับแผ่นหลัง


“ขอโทษ”


“เรื่องอะไร”


“ที่พูดว่าใช่”


“ถ้ามันเป็นความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ” มือของอาคาเนะกำแน่นขึ้น เขาไม่ชอบน้ำเสียงนี้ของโทชิฮิโระเลย


“นั่นเป็นความคิดพี่ซาโตรุไม่ใช่ข้า ข้าแค่อยากให้ท่านหายดี แค่นั้นจริงๆ” มือใหญ่วางลงบนมือของอาคาเนะแล้วพยายามดึงออก ด้วยสัญชาตญาณอาคาเนะฝืนเอาไว้


เขากลัว กลัวการถูกโทชิฮิโระปฏิเสธ


“ปล่อยก่อนอาคาเนะ” น้ำเสียงของโทชิฮิโระอ่อนลง แต่ยังไม่สามารถลบความหม่นหมองในใจของอาคาเนะได้


“ไม่ จนกว่าท่านจะหายโกรธข้า”


“ถ้าอยากขอโทษก็จงมองหน้าข้า ไม่ใช่หลบอยู่ข้างหลัง” ไม่บ่อยนักที่โทชิฮิโระจะใช้โทนเสียงดุกับอาคาเนะ แต่มันได้ผลทุกครั้ง เด็กหนุ่มยอมปล่อยมือทิ้งลงไปกำแน่นไว้ข้างลำตัวพร้อมทั้งก้มหน้าลงในตอนที่โทชิฮิโระหมุนตัวกลับมา


“เงยหน้า” ไม่มีคำตอบหรือการเคลื่อนไหวใดจากคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา โทชิฮิโระถอนหายใจเบาๆ แล้วสอดมือไปใต้คางของอาคาเนะเพื่อดันให้เงยขึ้น ดวงตาที่เคยมองเขาอย่างดื้อดึงยามนี้สั่นไหวและเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบตา


...แกล้งมากกว่านี้คงไม่ดี


คนสูงกว่าโน้มตัวลง แนบริมฝีปากตัวเองกับปากที่เม้มแน่น เรียกให้ดวงตาที่เบือนหลบหันกลับมามองเขาพร้อมเบิกกว้างก่อนจะปิดลงเมื่อถูกรุกล้ำมากขึ้น ไม่นานมือที่กำแน่นก็เปลี่ยนมาเป็นพยายามยันตัวเขาออก แต่คงเพราะยังสำนึกผิดอยู่บ้างเลยเป็นเพียงแค่การทุบเบาๆ เพื่อประท้วงเท่านั้น


“คราวหลังถ้าอยากจะให้ข้าหายโกรธต้องทำเช่นนี้ เข้าใจไหม” แววตาพราวระยับและน้ำเสียงหยอกเย้าหวนกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่คนขอโทษนั้นหน้าร้อนจนแทบสุกได้แต่หุบปากสนิท และคงไม่กล้าเปิดปากไปอีกพักใหญ่




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


อยากมีคนมาง้อวิธีนี้บ้าง  :hao6:



ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 8

คำโกหก





คนเราเชื่อใจกันเพราะอะไร ไว้ใจกันเพราะสิ่งใด อาคาเนะไม่เคยตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองมาก่อน เขารู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักโกหกกันอยู่เสมอ


โกหกทั้งที่ใบหน้ากำลังยิ้ม โกหกทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อจนหมดใจ และคนที่สอนให้เขารู้คือ ‘พ่อ’ ของเขาเอง


“ไม่เป็นไร แค่ไข้หวัดธรรมดา”


รอยยิ้มจากริมฝีปากแห้งผากนั่นหรือ ที่เรียกว่าไม่เป็นไร


“รู้แล้ว จะรีบหายไวๆ แล้วพาเจ้าออกไปเที่ยวอีกดีไหม”


มือที่ลูบคอยหัวให้กำลังซีดเซียวลงเรื่องๆ ร่างกายผ่ายผอมจนแม้แต่ยืนยังไม่ไหว แล้วยังบอกว่าจะออกไปข้างนอกได้อีก


อาคาเนะรู้ดีว่าพ่อกำลังโกหก แต่เหตุผลที่โกหกเขาก็รู้เช่นกันดังนั้นจึงต้องฝืนยิ้ม ทำตัวร่าเริงแม้ในวันที่พ่อหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก


ตั้งแต่นั้นอาคาเนะจึงได้เริ่มสวมหน้ากาก หน้ากากของความสุขและการยิ้มแย้มอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ใครได้เข้าใกล้ตัวตนที่เก็บซ่อนเอาไว้อีก


แต่แล้วทำไม หน้ากากของเขากลับถูกถอดออกง่ายแสนง่าย ด้วยมือของชายที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ถูกแกล้ง ถูกหยอก ถูกทำให้หัวปั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังมาสอนเรื่องแปลกๆ ให้กับเขาอีก


“คราวหลังถ้าอยากจะให้ข้าหายโกรธต้องทำเช่นนี้ เข้าใจไหม”


หินก้อนเล็กในมือถูกบีบแน่นก่อนขว้างลงบ่อน้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นเพียงเครื่องประดับสวน แต่เพียงแค่นั้นไม่อาจบรรเทาความขุ่นเคืองในใจของอาคาเนะได้ เขาก้มลงเก็บหินขึ้นมาอีกเต็มกำมือ แล้วขว้างมันลงบ่อน้ำตรงหน้าจนน้ำกระเซ็นไม่หยุดหย่อน


“ไอ้คนอวดดี!” หินสามก้อนสุดท้ายในมือถูกขว้างลงไปพร้อมกับถ้อยคำก่นด่าถึงตัวต้นเหตุ ห้าวันแล้วนับจากเกิดเรื่องนั้น และเป็นเวลาห้าวันแล้วเช่นกันที่เขาไม่ได้เจอโทชิฮิโระ เพราะฝ่ายนั้นออกปากว่าคราวหน้าจะเป็นฝ่ายมาหาเอง แต่กลับหายเงียบไปแบบนี้


ที่ผ่านมาอาคาเนะไม่เคยต้องตามใจแขกคนไหนมากเท่าโทชิฮิโระ คนอื่นต่างพยายามเอาอกเอาใจเขาทั้งนั้น เรื่องเล็กใหญ่แทบไม่เคยมีให้ขัดใจ ตรงข้ามกับโทชิฮิโระที่ทำอะไรเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง บางเวลาก็อ่อนโยนเสียจนวางตัวไม่ถูก บางเวลาก็ดุเขาราวกับเป็นเด็กน้อย แล้วยังมาหลอกให้รออีก


...!!


อาคาเนะสะดุ้งกับความคิดตัวเองจนต้องกุมขมับ นี่เขากำลังคาดหวังที่จะเจอโทชิฮิโระอยู่ใช่ไหม ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ ทำตัวเป็นสาวน้อยไปได้


“อาคาเนะ” เสียงเรียกดังมาจากอีกด้านของสวน อาคาเนะหันไปตามต้นเสียงและเห็นซาโตรุกำลังกวักมือเรียกอยู่ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะฉีกยิ้มแล้วเดินไปหา


“มีอะไรกับข้าหรือพี่ซาโตรุ”


“เห็นเจ้าพยายามถมบ่อน้ำของร้านอยู่พักหนึ่งแล้ว เลยอยากคุยด้วย” อาคาเนะยิ้มค้างแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ เขาคงจมกับความคิดตัวเองมากไปหน่อย ถึงไม่รู้ตัวเลยว่าซาโตรุคอยมองอยู่ด้วย


“มีอะไรจะเล่าให้ฟังไหม” คนอายุมากกว่าถามเสียงนุ่ม เป็นเรื่องปกติที่ใครสักคนจะมีเรื่องกังวลใจ แต่น้อยครั้งที่คนคนนั้นจะเป็นอาคาเนะ


“ข้า...”


“ให้เดาคงเป็นท่านโทชิฮิโระ” ซาโตรุจะถือว่าการที่อาคาเนะหน้าแดงแปลว่าเขาเดาถูก มันเดาไม่ยากอะไรในเมื่อระยะนี้มีแขกเพียงคนเดียวที่ส่งผลต่ออารมณ์ของอาคาเนะได้ และการดูแลอาคาเนะให้พร้อมรับแขกถือเป็นหน้าที่ของเขาเช่นกัน


“ทำไม เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าท่านโทชิฮิโระอาการดีขึ้นแล้ว”


“ขอรับ” วัดเอาจากเรี่ยวแรงที่ใช้ ‘สอน’ วิธีทำให้หายโกรธแล้ว โทชิฮิโระคงไม่ใช่แค่หายดี แต่ยังแข็งแรงดีแล้วด้วย
“ไม่ได้ไปบ้านนั้นกี่วันแล้ว”


“ห้าวันขอรับ” อาคาเนะก้มหน้าตอบเสียงขุ่น แค่ห้าวันเขากลับหงุดหงิดจนเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้ เจอคราวหน้าจะเอาคืนให้ดู


“อยากเจอเขาหรือ ข้าจัดของเยี่ยมให้ไหม”


“ไม่ขอรับ ท่านโทชิฮิโระบอกเองว่าไม่ต้องไปเยี่ยมแล้ว ถ้าเขาอยากมาคงรู้จักมาเอง” อาคาเนะยกสองมือขึ้นกอดอกทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะยอมให้โทชิฮิโระมากเกินไป ถ้าโผล่หน้าไปคงไม่ต่างกับการตะโกนบอกโทชิฮิโระว่าอยากเจอเสียมากมาย


ซาโตรุแอบซ่อนรอยยิ้มขำ เด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังพยายามดื้อกับใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่พอเจอหน้าเมื่อไร เห็นโอนอ่อนตามคำพูดฝ่ายนั้นทุกครั้ง ถ้ามีโอกาสเขาคงต้องถามเอาจากโทชิฮิโระบ้างว่ามีวิธีจัดการกับอาคาเนะอย่างไร


“แล้วถ้าเขามาไม่ได้” ดวงตาคู่โตเหลือบขึ้นมองด้วยสีหน้าสงสัย


“เจ้าบอกว่าเขาอยู่คนเดียวใช่ไหม ร่างกายเพิ่งฟื้นด้วย อาจจะไม่สะดวกหลายๆ อย่าง” ซาโตรุคอยสังเกตสีหน้าของอาคาเนะอยู่ตลอดเวลา และมันกำลังลดความขุ่นเคืองลง


สุมไฟเข้าไปอีกหน่อยคงจะดี


“ข้าเองไม่ได้พบเขาอย่างเจ้า คงบอกไม่ได้ว่าเขาหายสนิทแล้วหรือไม่ เขาอาจทำเป็นดีขึ้นเพื่อให้เจ้าสบายใจ แต่ยังต้องการพักฟื้นอีกสักหน่อย อย่าได้โกรธเคืองไปเลย”


ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของอาคาเนะ เด็กหนุ่มดูนิ่งไปจนซาโตรุแปลกใจ เขาก้มตัวลงเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย และได้เห็นว่าดวงตาของอาคาเนะกำลังเบิกกว้างและสั่นไหว


“อาคาเนะ” ซาโตรุแตะไหล่เจ้าของชื่อเบาๆ แต่อาคาเนะกลับสะดุ้งเฮือก


“เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน” ใบหน้าของอาคาเนะซีดเผือด เด็กหนุ่มคว้าแขนของซาโตรุเอาไว้แล้วบีบแน่น


“ข้าขออนุญาตออกไปข้างนอก” บอกเพียงแค่นั้นอาคาเนะก็ผลุนผลันวิ่งออกไป แม้แต่ซาโตรุยังตั้งตัวไม่ทันได้แต่ร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง


“ข้าจะกลับมาก่อนค่ำ!” มีเพียงเสียงตะโกนตอบกลับมาจากคนที่วิ่งหายลับไปอย่างรวดเร็ว ซาโตรุส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ดูท่าเขาคงจะสุมไฟแรงเกินไปเสียแล้ว



ทั้งที่รู้ดี รู้ว่ามนุษย์นั้นชอบโกหก โทชิฮิโระอาจจะโกหกว่าจะมาหา อาจจะแค่ไม่อยากเสียเงิน หรืออาจจะแค่เบื่อจะเล่นด้วยแล้ว
แต่ถ้าหากสิ่งที่โทชิฮิโระโกหกคือการบอกว่าหายดีแล้วจะเป็นอย่างไร


“แผลข้าใกล้หายสนิทแล้ว”


อยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ ถ้าหากเจ็บป่วยขึ้นมาจะเรียกหาใครได้ แล้วถ้าหากมีคนร้ายบุกเข้าไปอีก...


ภาพร่างที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดของโทชิฮิโระปรากฏขึ้นในความทรงจำ แค่นึกถึงหัวใจก็เต้นแรงขึ้นทั้งที่รู้สึกเย็นตรงปลายมือ อาคาเนะก้าวขาให้เร็วขึ้น ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นเวลากลางวันที่คนเดินไปเดินมาเต็มถนน เขาคงกระโดดขึ้นหลังคาไปแล้ว


ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อทับซ้อนขึ้นมา ทำไมเขาถึงถูกหลอกด้วยคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ อยู่เรื่อย


ตอนนี้จะถูกโทชิฮิโระมองอย่างไรก็ช่าง ถ้าไปถึงแล้วเห็นว่าสบายดี เขาจะชิงโวยวายใส่เอง โทษฐานที่หลอกให้เขารอเหมือนคนบ้า







ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ทั้งที่ปกติโทชิฮิโระจะปิดสนิททุกครั้งทำให้อาคาเนะเริ่มหวั่นใจ เขาผลักมันเปิดออกแล้วก้าวเข้าไปโดยไม่กล้าส่งเสียงเรียก


กลัว...กลัวว่าจะไม่มีเสียงใครตอบกลับมา


อาคาเนะจดจำคฤหาสน์หลังนี้ได้แทบจะทุกซอกทุกมุม และห้องแรกที่เขามุ่งหน้าไปคือห้องนอนของโทชิฮิโระ การเดินทุกก้าวอาคาเนะคอยสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของคฤหาสน์ นึกอยากให้โทชิฮิโระโผล่ออกมาเรียกเขาเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่จนสุดทางเดินก็ยังไม่เห็นใคร


อาคาเนะหยุดยืนอยู่หน้าประตูเลื่อน ยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วค่อยๆ เอื้อมไปจับประตู เฝ้าพร่ำบอกตัวเองว่าเปิดไปคงได้เห็นโทชิฮิโระนอนหลับอยู่ ทว่าก่อนที่เขาจะได้เปิดมัน ประตูบานนั้นกลับเลื่อนเปิดจากด้านในเสียก่อน


“อ้าว หนุ่มน้อยน่ารักนี่ใครกัน” เจ้าของเสียงสดใสนั้นไม่ใช่คนที่อาคาเนะคิดว่าจะได้เจอ หญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีดำยาวสลวยตัดกับผิวขาวกระจ่างกำลังแย้มยิ้มให้เขาอยู่ แต่อาคาเนะไม่สามารถยิ้มตอบกลับไปได้


“อาคาเนะ” น้ำเสียงที่คุ้ยเคยช่วยให้อาคาเนะหาเสียงของตัวเองเจอ โทชิฮิโระเองก็อยู่ในห้องกับผู้หญิงคนนั้น ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคนป่วยแม้แต่น้อย


“ข้าคงมารบกวน ขอตัวก่อน” อาคาเนะหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว รู้สึกราวกับบางอย่างในอกกำลังแตกสลาย แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้แค่ว่าต้องออกไปจากที่นี่


“หยุด!” คำสั่งเฉียบขาดมาจากเจ้าของคฤหาสน์ ขาของอาคาเนะหยุดก้าวและทำเพียงยืนนิ่ง น่าสมเพชที่ในเวลาแบบนี้ร่างกายก็ยังเชื่อฟังโทชิฮิโระอยู่ดี


“ออกไป” ถ้อยคำแข็งกระด้างทำให้อาคาเนะเผลอกลั้นหายใจ น้ำเสียงแบบนั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน จนเมื่อมีเสียงของอีกคนดังขึ้น


“ไม่ไล่ก็ไปอยู่แล้ว มารยาทแย่จริง” หญิงสาวที่อาคาเนะไม่เคยพบมาก่อนกำลังทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่โทชิฮิโระอยู่ นางเดินผ่านเขาไป แต่แล้วก็เดินย้อนกลับมาหา ยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู


“อย่าไปหลงเชื่อโทชิฮิโระให้มาก เขามันใจดำรู้ไหม”


“คาสุมิ!” โทชิฮิโระตวาดลั่น แต่คาสุมิไม่ได้หวั่นเกรง นางหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างคนสองคน
อาคาเนะยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่แม้แต่จะหันมามองโทชิฮิโระ


ตอนมาเขามาด้วยความเป็นห่วง แต่พอได้มาเห็นโทชิฮิโระสบายดีและอยู่กับคนอื่นกลับเริ่มไม่อยากจะเห็นหน้า


แว่วเสียงถอนหายใจจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ใกล้จนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกคน


“มาหาข้าไม่ใช่หรือ ทำไมไม่หันกลับมา” ถึงจะไม่ได้คาดเอาไว้ว่าอาคาเนะจะมา แต่คาสุมิรู้ตัวแต่แรกแล้วว่าจิ้งจอกน้อยได้เข้ามาในคฤหาสน์ แล้วปีศาจหิมะนั่นก็เลือกที่จะปรากฏตัวต่อหน้าอาคาเนะแทนที่จะหายตัวไปอย่างที่ควรทำ


จงใจหาเรื่องมาให้เขาชัดๆ


“แค่เห็นท่านหายไป เลยมาดูว่าตายไปหรือยัง” คำว่า ‘ตาย’ ฟังดูใส่น้ำหนักมากกว่าคำอื่น ดูอาการคงจะโกรธมากพอดู เอาไว้คงต้องคิดบัญชีกับคาสุมิย้อนหลัง


“ปากเจ้านี่นะ”


“ข้าคงไม่ปากหวานเท่าสตรีอยู่แล้ว กลับได้หรือยัง”


“อย่าเอาคาสุมิมาเกี่ยว” ถ้อยคำคล้ายจะปกป้องนั้นทำให้อาคาเนะโกรธยิ่งขึ้น แต่แทนที่จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ กลับรู้สึกอัดอั้นจนตีรวนอยู่ในอก และความรู้สึกเหล่านั้นกำลังกลั่นออกมาทีละน้อย

 
“ไปกันใหญ่แล้ว มานี่มา” ร่างของอาคาเนะถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนนั้นทำลายทำนบที่กั้นน้ำตาของอาคาเนะลงอย่างง่ายดาย


“ขอโทษ ครั้งนี้ข้าผิดเองที่ไม่ส่งข่าวไป แต่อย่าไปเก็บเรื่องผู้หญิงคนนั้นมาคิด นางไม่ได้สำคัญกับข้าสักนิด”


“โกหก” อาคาเนะหันกลับมากล่าวโทษโทชิฮิโระทั้งที่ดวงตายังวาววับด้วยหยาดน้ำตา วงแขนใหญ่คล้องรอบเอวของอาคาเนะเอาไว้หลวมๆ เพื่อกันไม่ให้จิ้งจอกขี้แยหลุดหนีไปไหน


“ข้าไม่มีอะไรให้พิสูจน์ได้ มีแค่คำพูดที่จะพูดให้เจ้าฟังจนกว่าจะพอใจ ว่าไม่มีใครสำคัญไปกว่าเจ้า”


“ไม่เห็นมีอะไรต้องพิสูจน์ ท่านจะมีใครอีกหรือไม่ ข้าไม่มีสิทธิ์ว่าท่านอยู่แล้ว” พวกเขาไม่ใช่คนรักกัน เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ซื้อขายด้วยเงิน ย่อมไม่มีสิทธิ์คิดเป็นเจ้าของกันและกันอยู่แล้ว


“แค่เจ้าคนเดียวก็แย่แล้ว นี่ยังไม่รู้ว่ากว่าจะชนะใจเจ้าได้ จะยังมีเงินเหลือพอไถ่ตัวเจ้าหรือเปล่าเลย” ริมฝีปากอุ่นจูบลงกลางหน้าผากคนในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แต่ก็จำต้องผละออกเพราะอาคาเนะพยายามขืนตัวออกห่าง


“ท่าน...ว่าอะไรนะ”


“ไม่ถูกหรือ ถ้าไม่อยากให้เจ้าไปรับแขกคนอื่นอีก ก็ต้องซื้อเจ้ามาเป็นของข้าเป็นคนเดียวให้ได้ เสียแต่ต้องให้เจ้าเห็นด้วยใช่ไหม”


อาคาเนะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ คงเพราะอารมณ์แปรปรวนเกินไปหน่อย เขาถึงเข้าใจสิ่งที่โทชิฮิโระพูดได้ช้ากว่าปกติ และระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นริมฝีปากก็ยังมาถูกขโมยจูบไปจากคนที่กำลังกอดเอวเขาอยู่อีก


“นี่ท่าน!”


“หืม”


“ไม่ต้องมา ‘หืม’ อยู่ๆ ทำอะไรของท่าน!” คนกำลังสับสนอยู่แท้ๆ กลับมาขโมยจูบกันเสียได้ บ่นได้ไม่ทันขาดคำ คนร้ายกลับลงมือทำผิดซ้ำอีก คราวนี้อาคาเนะยกมือปิดปากตัวเองไว้แน่นแล้วถลึงตาใส่


“ข้าสอนแล้วนี่ว่าจะทำให้หายโกรธต้องทำอย่างไร แล้วเจ้าหายโกรธหรือยัง” เป็นเหตุผลที่อาคาเนะอยากมุดดินหนีไปเป็นที่สุด


คนอะไรหาเรื่องให้ตัวเองได้กำไรตลอดเวลา!




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

สาดน้ำตาลใส่ทีเป็นกระปุก สงสัยต้องซื้อตุนอีกสักหนึ่งคันรถ เอ...หรือหันไปซื้อมาม่าดีหนอ  o18



ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
เหยย น่ารักอ่ะ เราอ่านเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงตอนล่าสุดละ รอนะคะ

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 9

เทศกาล






สายลมเย็นสบายพัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาภายในห้องอันมืดสนิท ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาทำให้อากาศเย็นลงทีละน้อย แต่สำหรับคนที่ซุกตัวใต้ผ้าห่มพร้อมด้วยการมีแขนหนักๆ อีกข้างวางพาดอยู่บนอกกลับรู้สึกอุ่นจนเกินพอดีด้วยซ้ำ


เสียงจากร้านด้านล่างเงียบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว แปลว่าเวลาได้ล่วงเลยเกินค่อนคืน และเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการพักผ่อนเพื่อเตรียมเรี่ยวแรงไว้ต้อนรับวันใหม่ ยกเว้นเพียงอาคาเนะที่เพิ่งลืมตาขึ้น หลังรอจนแน่ใจแล้วว่าคนที่นอนร่วมฟูกด้วยกันได้หลับสนิทไปแล้ว


แขนของโทชิฮิโระถูกยกขึ้นระหว่างที่อาคาเนะค่อยๆ เลื่อนตัวออกห่าง แล้วค่อยๆ วางแขนของโทชิฮิโระลงที่เดิม


ความจริงแล้วอาคาเนะไม่จำเป็นต้องระวังขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรโทชิฮิโระก็คงหลับลึกด้วยฤทธิ์ของยาที่ผสมอยู่ในน้ำชาอยู่ดี แต่เพราะสำหรับอาคาเนะ โทชิฮิโระพิเศษกว่าคนอื่น เขาถึงได้รับการปฏิบัติต่างจากคนอื่นด้วย


เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเว้นระยะห่างจากคนที่ยังหลับใหล อาคมสะกดเลือดปีศาจถูกปลดออกไป เผยร่างจริงของอาคาเนะออกมา หูจิ้งจอกทั้งสองข้างพับลู่ไปด้านหลังยามเมื่ออาคาเนะย่อตัวลงคุกเข่าข้างโทชิฮิโระ ดวงตาสีเพลิงหรี่ลงจ้องมองไปยังแขนของโทชิฮิโระ


มันไม่ยากเลยแค่ก้มลงแล้วฝังเขี้ยวลงเช่นเดียวกับที่ทำกับแขกทุกคนเสมอมา แต่คืนนี้มันยากเพราะนี่คือคืนที่สามแล้วที่โทชิฮิโระซื้อตัวอาคาเนะติดต่อกัน คืนแรกอาคาเนะดื่มเลือดโทชิฮิโระอย่างไม่ลังเล และดื่มอีกในคืนที่สอง แม้จะลังเลนิดหน่อย แต่สำหรับคืนที่สามมันต่างกัน


“ถ้าไม่อยากให้เจ้าไปรับแขกคนอื่นอีก ก็ต้องซื้อเจ้ามาเป็นของข้าเป็นคนเดียวให้ได้”


อาจเป็นเพราะคำพูดนั้นที่ทำให้โทชิฮิโระยอมเสียเงินซื้อเวลาของอาคาเนะคืนแล้วคืนเล่า ถ้าเป็นคาเงมะคนอื่นคงยิ่งเทใจให้แขกเช่นนี้

แต่กับอาคาเนะ การต้องดื่มเลือดจากคนคนเดิมติดต่อกันไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้านับรวมเมื่อครั้งช่วยโทชิฮิโระเอาไว้ เท่ากับว่าอาคาเนะดื่มเลือดจากชายคนนี้มาสามครั้งแล้ว มันมากพอจนจำได้แม้กระทั่งกลิ่นเลือดของโทชิฮิโระด้วยซ้ำ


อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากแขกคนอื่นคือโทชิฮิโระไม่ได้พยายามทำอะไรอาคาเนะมากไปกว่าการจูบ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่อาคาเนะวางยาแขกทุกคนคงไม่เป็นความลับอีกแล้ว ทุกคืนโทชิฮิโระเพียงมานั่งคุยและดื่มกินด้วยกัน แล้วจบลงด้วยการกอดอาคาเนะเอาไว้เท่านั้น


“ทำไมอยากให้ทำหรือ”


พอลองถามออกไปก็โดยสวนกลับมาด้วยคำถามที่เจ็บแสบยิ่งกว่า เลยได้แต่โบ้ยไปให้ท่านเจ้าของร้านว่าทางนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายสอดรู้สอดเห็น


ไม่ใช่ว่าอาคาเนะโกหก แค่โคคิถามเมื่อหลายวันก่อนเท่านั้นเอง


“ ‘เพราะถ้าทำลงไป เจ้าคงมองข้าไม่ต่างจากแขกทุกคน’ เข้าใจพูดเสียจริง” อาคาเนะเท้าศอกลงบนหน้าขาแล้วเกยคางไว้กับฝ่ามือของตัวเอง อย่างน้อยเขาคงต้องขอบคุณความคิดแปลกๆ ของโทชิฮิโระที่ทำให้ระหว่างพวกเขายังคงไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนไป


“อา...ช่างเถอะ คืนนี้ไม่ดื่มก็ได้ ลองดูว่าระหว่างความอดทนของข้ากับเงินของท่านอะไรจะหมดก่อนกัน” อาคาเนะถอนหายใจเบาๆ แล้วร่ายอาคมเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งก่อนจะจัดแจงพาตัวเองกลับเข้าไปนอนอยู่ใต้แขนหนักๆ ของโทชิฮิโระเช่นเดิม


แม้ใจหนึ่งจะกังวลเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่เพียงมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นครึ่งปีศาจที่ต้องการดื่มเลือด อาคาเนะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตร่วมกับใครอย่างคนปกติได้ งานของเขา และกฎของเขาช่วยให้การหาเลือดเป็นเรื่องง่าย แต่หากตอบรับโทชิฮิโระออกไป อะไรๆ คงไม่ง่ายดายอย่างที่เคย


แต่ลึกๆ อีกด้านของหัวใจ อาคาเนะดีใจที่ได้ยินคำพูดนั้น ได้รับรู้ว่ายังมีใครอีกคนที่ต้องการเขา ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นการอยู่เคียงข้างกันอย่างแท้จริง


ก่อนจะหลับตาลงอาคาเนะตัดสินใจพลิกตัวไปอีกด้าน หันหน้าเข้าคนที่กำลังหลับพร้อมกับเลื่อนตัวเข้าไปใกล้โทชิฮิโระมากขึ้น เพื่อจะได้ซุกตัวอยู่ในวงแขนอันแสนอบอุ่นที่คืนนี้ เวลานี้มันเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว







ช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาของความคึกคักสำหรับเมืองนี้ เพราะเป็นช่วงที่ศาลเจ้าใหญ่ประจำเมืองจัดงานเทศกาลประจำปี ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ จนกลายเป็นว่างานเทศกาลและการออกร้านค้าต่างๆ จะกินเวลาถึงห้าวันติดต่อกัน มีเพียงการแสดงเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเท่านั้นที่จัดเฉพาะในวันสุดท้าย


เวลานี้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่กับครอบครัวทำให้กิจการในย่านเริงรมย์เงียบเหงาลงพอสมควร หลายคนจึงได้ถือเอาช่วงนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนไปด้วย อาคาเนะก็เช่นกัน


วันนี้อาคาเนะไม่จำเป็นต้องสวมกิโมโนที่ทั้งหนาและหนักเพื่อเตรียมรับแขก จึงเพียงเลือกหยิบกิโมโนสีน้ำเงินเข้มเรียบๆ มาสวมแทน


“จะใส่ชุดนั้นออกไปกับท่านโทชิฮิโระจริงหรืออาคาเนะ” คนที่ยืนรออยู่หน้าประตูถามด้วยรอยยิ้ม ถึงวันนี้อาคาเนะจะไม่ได้รับงานแต่ใช่ว่าไม่มีนัด แขกประจำท่านนั้นยังคงไม่ยอมปล่อยให้อาคาเนะมีเวลาว่างไปพบคนอื่น


ตอนแรกโทชิฮิโระบอกว่ายินดีจะจ่ายเงินให้ตามปกติ แต่กลับถูกอาคาเนะอุดปากเอาเสียก่อน เจ้าตัวดียิ้มประจบและขอให้เขาช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อ้างว่าแค่ต่างฝ่ายต่างออกไปสนุกกับงานเทศกาล ไม่ใช่การให้บริการกันอย่างทุกครั้ง


ซาโตรุเลยต้องเลือกระหว่างบทคนทำบัญชีจอมเข้มงวดกับพี่ชายสำหรับอาคาเนะ แน่นอนว่าเขาเลือกอย่างหลัง ให้อาคาเนะได้ออกไปสนุกอย่างเด็กหนุ่มทั่วไปบ้างถือเป็นรางวัลสำหรับการทำงานอย่างตั้งใจจากพี่ชายคนนี้


“ไม่อยากถูกใครมอง ยิ่งเรียบยิ่งดีขอรับ” อาคาเนะหันมาฉีกยิ้มให้ระหว่างกำลังรวบผมขึ้น แม้ความสวยงามจะลดลง แต่อาคาเนะในตอนนี้กลับดูสดใสยิ่งกว่าวันไหนๆ


“เอ้า เสร็จแล้วก็ลงไปเสียที มีคนเขารออยู่” แรกเริ่มซาโตรุมีความรู้สึกไม่ดีกับโทชิฮิโระอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนกับรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นเก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่ รอยยิ้มของโทชิฮิโระดูราวกับไม่ได้ส่งออกมาจากหัวใจ


แต่พอเวลาผ่านไปและได้เห็นแววตาที่โทชิฮิโระมองตามอาคาเนะ มันไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเมื่อก่อน และบางครั้งยังลอบยิ้มโดยที่อาคาเนะไม่เห็น ถึงจะยังห่วงอยู่บ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ทำให้อาคาเนะยิ้มได้กว้างกว่าใคร







หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ทั่วทั้งเมืองก็เริ่มสว่างไสวด้วยโคมไฟซึ่งแขวนเรียงไว้เป็นแถวยาวตลอดทางเดินไปยังศาลเจ้า ร้านค้าชั่วคราวถูกตั้งขึ้นด้วยงานช่างไม้แบบง่ายๆ แต่แข็งแรง กลิ่นหอมหวนจากอาหารคาวหวานหลากหลายชนิดดึงดูดทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปหา รวมไปถึงอาคาเนะด้วย


“ยังไม่อิ่มอีกหรือเจ้าเด็กกินจุ” เสียงถามดังขึ้นหลังจากอาคาเนะเพิ่งรับดังโงะเสียบไม้ย่างอุ่นๆ มาถือไว้มือละไม้ ไม้หนึ่งถูกยื่นให้กับโทชิฮิโระที่รับไปอย่างว่าง่าย แล้วใช้อีกมือที่ว่างยีหัวอาคาเนะเบาๆ


“ยัง ท่านกินเป็นเพื่อนข้าไม่ไหวแล้วหรือ” อาคาเนะยักคิ้วใส่อย่างท้าทาย ตั้งแต่มาถึงเขาก็แวะร้านอาหารมาตลอดทางโดยไม่ต้องเสียเงินส่วนตัวเพราะมีคนหน้าใหญ่คอยจ่ายให้ ดังนั้นเวลาสั่งอะไรอาคาเนะจะสั่งเป็นสองที่เสมอ เพื่อแบ่งให้กับโทชิฮิโระด้วย


“ไหว แต่กินแทบทุกร้านที่เดินผ่านขนาดนี้กลับไปคงเป็นหมูพอดี”


“แค่นี้ไม่กระทบกระเทือนข้าหรอก” มือขวาตบหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ส่วนมือซ้ายส่งขนมเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย โทชิฮิโระไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้น


เด็กหนุ่มผู้เติบโตมาในโลกที่ต่างจากเด็กทั่วไป มาวันนี้กลับดูร่าเริงราวกับเด็กน้อยเพิ่งเคยออกเที่ยว ทั้งหมดอาจเป็นเพราะการมีคนอีกคนเดินอยู่ข้างๆ เสมอ


โทชิฮิโระไม่ได้จับมือถือแขนอาคาเนะเหมือนครั้งวันแรกที่เจอกัน เขาปล่อยให้อาคาเนะได้ก้าวเดินไปด้วยตัวเอง วิ่งหายไปในหมู่คนบ้าง แต่สุดท้ายก็จะเห็นแขนขาวๆ ยกขึ้นโบกจนสุดแขนเพื่อเรียกเขาไปหา ไม่ต้องกังวลว่าจิ้งจอกตัวน้อยจะแอบหนี นับเป็นคืนที่โทชิฮิโระได้ผ่อนคลายตัวเองลงเช่นกัน


นอกจากร้านขายของเล่นและร้านอาหารที่สามารถดึงดูดอาคาเนะได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มดูจะสนใจ คือคณะแสดงละครที่เดินทางมาเปิดการแสดงเล็กๆ ในคืนนี้พอดี


ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่ เวทีการแสดงจึงไม่ใหญ่นัก เพียงแค่ยกพื้นให้สูงขึ้นเล็กน้อย แล้วขึงผ้าไว้เพื่อเป็นฉาก โดยหันหน้าออกสู่ถนน การแสดงคงดำเนินมาได้ระยะหนึ่งจึงมีผู้คนยืนมุงดูอยู่จำนวนมาก คนมาทีหลังอย่างอาคาเนะเลยต้องชะเง้อคอเพื่อจะได้มองเห็นนักแสดง


“เราไปที่อื่นกัน” หลังชะเง้อคอได้ไม่นานอาคาเนะก็ถอดใจ เขาไม่ได้ชอบการยืนอยู่ในหมู่ผู้คนจำนวนมากอยู่แล้วด้วย เด็กหนุ่มคว้ามือโทชิฮิโระแล้วลากให้เดินตามออกมาแต่กลับถูกคนตัวโตกว่าขืนแรงเอาไว้


“อยากดูไม่ใช่หรือ”


“ไม่เอา เมื่อยคอ เมื่อยขาด้วย” อาคาเนะกระตุกมืออีกครั้งแต่โทชิฮิโระยังคงขืนเอาไว้เช่นเดิม พออ้าปากจะบ่น ปรากฏว่าร่างสูงตรงหน้ากลับหมุนตัวหันหลังให้แล้วย่อตัวลงคว้าแขนอาคาเนะพาดบ่ามาด้านหน้าก่อนจะยืดตัวขึ้นจนคนข้างหลังตัวลอยตามขึ้นมา


อาคาเนะอ้าปากโวยวายโดยไร้เสียง และแสดงความตกใจด้วยการทุบลงไปบ่นบ่าของคนที่เขาถูกบังคับให้ขี่หลังสุดแรง


“ทำอะไรของท่าน วางข้าลง!” จะทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว และถึงจะบอกอาคาเนะก็ไม่ได้อยากดูการแสดงถึงกับต้องขี่หลังใครดูด้วย


“ถ้าเสียงดัง เดี๋ยวคนก็หันมาดูเจ้าแทนหรอก”


“วางข้าลงสิ” อาคาเนะยอมลดเสียงลง แต่ยังเค้นเสียงดุ คนถูกสั่งไม่มีท่าทีจะทำตาม ซ้ำยังขยับท่าทางให้ถนัดขึ้นโดยจับขาของอาคาเนะเอาไว้มั่น ถ้าปล่อยมือตอนนี้อาคาเนะคิดว่าตัวคงได้หงายหลังลงไปฟาดพื้น เลยจำต้องเลื่อนมือไปกอดรอบคอของโทชิฮิโระเพื่อพยุงตัวเองไว้


“ท่านนี่บ้าจริงๆ”


“ดูไปเถอะ อีกไม่นานคงจบแล้ว” ต้องขอบคุณนักแสดงที่แสดงได้ดีจนดึงดูดสายตาผู้คนไปทางเวทีทั้งหมด จนไม่มีใครคิดจะหันกลับมามองด้านหลังสุด ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องดิ้นลงไปกองกับพื้นอาคาเนะก็คงไม่กล้าขี่หลังโทชิฮิโระไว้อย่างนี้


แผ่นหลังนี้ทั้งกว้างและอบอุ่น ถ้าหากวันหนึ่งโทชิฮิโระรู้ว่าเขาเป็นอะไร จะยังดีกับเขาเช่นนี้ไหม คำถามนั้นทำให้อาคาเนะเลือกที่จะกอดโทชิฮิโระเอาไว้ให้แน่นขึ้น







ศาลเจ้ายามค่ำคืน หากเป็นช่วงเวลาปกติคงเงียบสงัดและวังเวงน่ากลัว แต่สำหรับช่วงเทศกาลนี้ แม้แต่โดยรอบศาลเจ้าก็ถูกประดับไว้ด้วยโคมไฟจนสว่างไสวเช่นกัน


บันไดหินซึ่งทอดตัวยาวขึ้นมาจากส่วนร้านค้าด้านล่างเวลานี้ไม่มีใครนอกจากโทชิฮิโระและอาคาเนะที่หลบออกจากคนหมู่มากมาเพื่อนั่งพัก ทั้งคู่นั่งลงบนบันไดขั้นเดียวกันและทอดสายตามองไปยังร้านรวงด้านล่างที่ผู้คนเริ่มบางตาลงหลังผ่านมาเกือบครึ่งคืน


“เมื่อยหรือเปล่า” ถึงจะไม่นานมากแต่โทชิฮิโระก็แบกเขาอยู่นานพอสมควร ปากอาจจะไม่บ่น แต่อาคาเนะแอบเห็นว่าโทชิฮิโระจับแถวไหล่ของตัวเองหลังวางเขาลง


“ถ้าเมื่อยจะนวดให้ไหม” โทชิฮิโระเอียงคอถาม สิ่งที่ได้คือคำปฏิเสธทันควันจากอาคาเนะ


“ทำตัวเอง วันหลังจะได้ไม่ทำอีก” ให้พรุ่งนี้ปวดแขนไปเลยยิ่งดี จะได้ไม่ทำอะไรราวกับเขาเป็นเด็กอีก


“เริ่มคิดเรื่องวันข้างหน้ากับข้าเสียทีนะ” คราวนี้อาคาเนะหันขวับมาทำตาโตใส่ ก่อนจะค่อยๆ หน้าแดงขึ้นเมื่อคิดได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป


“ไม่คิดจะมาอยู่ด้วยกันจริงๆ หรืออาคาเนะ” แม้จะถามโดยไม่ได้หันมามองหน้า แต่มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้อาคาเนะวางตัวไม่ถูก จะปฏิเสธก็กลัวว่าโทชิฮิโระจะโกรธ จะตอบรับก็ติดปัญหาที่ไม่สามารถอธิบายออกไปได้

 
โทชิฮิโระลอบมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของอาคาเนะด้วยหางตา เขารู้ว่าตัวเองมีความสำคัญกับอาคาเนะในระดับไหน รู้ด้วยว่าเพราะเหตุใดอาคาเนะถึงตอบรับไม่ได้ คงต้องหาทางเปิดเผยเรื่องเลือดปีศาจของอาคาเนะเสียก่อนถึงจะคุยเรื่องนี้กันได้


“ไม่เป็นไร ถือว่าข้าไม่ได้ถาม” ไหล่บางถูกรั้งไปโอบกอดเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง มือใหญ่ลูบต้นแขนให้อาคาเนะเบาๆ คล้ายจะปลอบใจ แต่มันทำให้อาคาเนะบีบมือของตัวเองแน่นขึ้น


“เป็นข้าจะดีหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากเบาเสียจนอาคาเนะคิดว่าโทชิฮิโระอาจจะไม่ได้ยิน แต่เขายังคงตอบกลับมา


“ข้าเลือกแล้วอาคาเนะ เลือกมาตั้งแต่ต้น”


“ท่านไม่ได้รู้จักข้าทั้งหมด” อาคาเนะเอียงตัวออกห่างจากโทชิฮิโระก่อนจะลุกขึ้น การบอกความจริงกับโทชิฮิโระไม่ใช่แค่ต้องเผื่อใจถ้าหากอีกฝ่ายจะรับไม่ได้ แต่ยังต้องคิดด้วยว่าหากโทชิฮิโระรับรู้แล้วไปบอกคนอื่นจะเป็นเช่นไร


ความลับที่ปิดไว้มาชั่วชีวิต อาจพังชีวิตเขาไม่ก็โทชิฮิโระคนใดคนหนึ่งได้


“ขอเวลาข้าอีกหน่อยได้ไหม แล้วข้าจะบอกท่านทุกอย่าง” สีหน้าและแววตาของอาคาเนะหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนก้าวลงบันไดไปหนึ่งขั้นแล้วเดินมายืนตรงหน้าโทชิฮิโระ


“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าบอกได้ตอนนี้ คือข้าดีใจที่ได้พบท่าน” แววตาหม่นเศร้ากับรอยยิ้มที่ราวกับจะร้องไห้ทำให้โทชิฮิโระพูดอะไรไม่ออกเป็นครั้งแรก แม้ในตอนที่อาคาเนะบอกลาและขอกลับไปเพียงลำพัง เขาก็ไม่อาจรั้งไว้


สัญญา...เพื่อการแลกเปลี่ยน


โลกใบนี้ โลกอันโหดร้ายนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะได้มา โดยไม่ต้องเสียสิ่งอื่นเพื่อตอบแทนไป เพื่อได้เข้าใกล้อาคาเนะ เขาเสียเงินทองไปมาก แต่แน่นอนว่าหากได้ตัวอาคาเนะมา เขาจะได้อีกสิ่งตอบแทนเช่นกัน มันควรจะเป็นเรื่องแค่นั้น...


“ลังเลอยู่หรือท่านโทชิฮิโระ” น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมกับสัมผัสเย็นเฉียบของโลหะที่แตะโดนลำคอเรียกให้โทชิฮิโระเหลือบตามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเบือนสายตากลับไปทางเดิมอย่างไม่ใส่ใจ


“ทำไมไม่ใช้มันแทนที่จะเอามาทาบคอข้าไว้เฉยๆ” คมดาบวาววับในมือของคาสุมิไม่ได้สร้างความกลัวให้กับโทชิฮิโระสักนิด ปีศาจหิมะเบ้ปากแล้วเก็บดาบกับเข้าฝัก นางปรากฏตัวขึ้นบนบันไดขั้นถัดไปพร้อมกับดาบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


“แกล้งเจ้านี่ไม่สนุกเอาเสียเลย” คาสุมิโยนดาบให้กับโทชิฮิโระ เขารับมันไว้ตามสัญชาตญาณ แม้จะไม่เข้าใจว่านางมอบมันให้เพื่ออะไร


“ใช้ดาบเป็นหรือเปล่าโทชิฮิโระ” ปีศาจหิมะยิ้มเจ้าเล่ห์ ถึงจะทำให้โทชิฮิโระกลัวไม่ได้ แต่ได้เห็นสีหน้างุนงงของชายคนนี้ก็นับว่าไม่เลวนัก คาสุมิก้าวเข้าไปใกล้โทชิฮิโระพลางยกมือขวาขึ้นวางทาบลงกลางอกของคนตรงหน้า


“ข้าขอถาม ท่านผู้สูญสิ้นอำนาจที่เคยถือครอง ยามนี้หากต้องรับมือกับมนุษย์ ท่าน...จะต้องใช้สิ่งใด” ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้ดวงตาของโทชิฮิโระเบิกกว้าง มือที่ว่างกระชากคาสุมิเข้าหาตัวอย่างแรง


“เจ้าทำอะไร!” แม้จะถูกตะคอกใส่แต่คาสุมิยังคงเหยียดยิ้มและเชิดหน้าขึ้นท้าทาย


“ช่วยให้งานของเจ้าง่ายขึ้น จะอยู่เล่นกับข้าก็ได้ ข้าไม่รีบอยู่แล้ว แค่หวังว่าจิ้งจอกน้อยคงอดทนได้นานพอ” คาสุมิถูกผลักออกจนเกือบล้มหงายหลัง ขณะที่โทชิฮิโระสบถด่าออกมาก่อนจะวิ่งลงบันไดไปพร้อมกับดาบในมือ


รอยยิ้มของปีศาจหิมะค่อยๆ จางหายไป ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง สายลมปะปนด้วยละอองหิมะโปรยปรายรอบตัวนางอย่างเงียบเชียบ


“โซ่ตรวนที่มองไม่เห็น สายใยที่ตัดไม่ขาด เจ้าจะสร้างมันขึ้น ‘อีกครั้ง’ หรือไม่ ข้าจะรอดูอย่างตั้งใจ”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

หวานมากไปเดี๋ยวคนอ่านเลี่ยน ปรับอารมณ์กันสักหน่อยดีกว่าเนอะ  :hao3:



ตอบเม้นต์ๆ

เหยย น่ารักอ่ะ เราอ่านเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงตอนล่าสุดละ รอนะคะ


ขอบคุณค่า อันนี้เป็นฉบับรีไรท์ จะมาลงให้เรื่อยๆ ทุกวันค่ะ

 


ปล. ตอนนี้ที่เพจมีกิจกรรมนะคะ ไปร่วมสนุกกันได้ Magdaren/Nanami  :katai5:

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 10
 
เลือดปีศาจ






คืนนี้ท้องฟ้าใสกระจ่าง ทั้งดวงดาวและดวงจันทร์ต่างแย่งกันเปล่งแสง ต่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงเพียงใด เมื่อเวลาเดินไปจนถึงดึกดื่น บรรดาร้านค้าต่างก็ทยอยปิดตัวลง

 
ไกลออกมาจากถนนใหญ่และผู้คน อาคาเนะกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อตรงกลับไปยังร้าน ร่างกายนี้ไม่เคยเหน็บหนาวแม้ในวันที่หิมะตกหนัก ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกหนาวจากภายในจนอยากจะกลับไปให้ถึงห้องนอนของตัวเองเสียที


เส้นทางผ่านตรอกแคบๆ คือทางลัดที่สั้นที่สุดสู่ปลายทางนั้น อาคาเนะก้าวเข้าไปอย่างคุ้นชิน เวลาแอบออกมาเที่ยว เขาเคยใช้ทางนี้เป็นประจำ เป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนใช้นัก


ช่องทางคับแคบทำให้เสียงต่างๆ ดังสะท้อนก้องไปมา จึงไม่ยากเลยที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าจากคนอีกสองคนตามหลังมาไม่ไกล
เด็กหนุ่มก้าวขาเร็วขึ้น เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางลับอะไร มันไม่แปลกหากจะมีคนเลือกใช้ แต่ยิ่งอาคาเนะก้าวเร็วเท่าไร เสียงฝีเท้าที่ตามมาก็ยิ่งเร่งเร็วขึ้นด้วย


ทางออกมองเห็นอยู่ไม่ไกล อาคาเนะจึงเปลี่ยนเป็นออกวิ่งพลางเหลียวหลังกลับไปมอง ชายสองคนที่ไม่เคยเห็นหน้าแสยะยิ้มตอบกลับมาจากด้านหลัง อีกเพียงไม่ถึงสามก้าวก็จะผ่านออกสู่ถนนใหญ่ ตอนนั้นเองที่เงาดำบดบังภาพด้านหน้าชั่วขณะที่อาคาเนะหันกลับมาจนหมดสิ้น


มือหยาบกระด้างคว้าเข้าที่กรามของอาคาเนะพร้อมออกแรงบีบจนร้องไม่ออก ทั้งร่างถูกยกลอยขึ้นจากพื้นด้วยแรงจากชายร่างยักษ์ซึ่งโผล่มาดักทางออกเอาไว้ ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ เขาแทบจะถูกโยนใส่ให้กับชายอีกสองคนที่ไล่ตามมา


“ปล่อยข้า!” อาคาเนะดิ้นสุดแรงตอนที่แขนของเขากำลังถูกชายสองคนนั้นช่วยกันตรึงเอาไว้ แต่แล้วก็ถูกเจ้ายักษ์คนที่สามตามมาจับคางเอาไว้อีกครั้ง ใบหน้าถูกดึงให้แหงนเงยขึ้นสบตากับชายที่ดูราวกับพวกโจรป่า ทั้งหนวดเครารกครึ้มและลอยแผลเป็นบนใบหน้าน่ากลัว


“ได้ยินชื่อเสียงมานานว่าเมืองนี้มีหนุ่มน้อยรูปงามค่าตัวสูงนัก ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เชยชม” ต่อให้วาจาจะนุ่มนวลสักเพียงใด แต่การกระทำกลับตรงข้าม อาคาเนะยกขาหมายจะถีบให้สุดแรง แต่โดนลูกน้องสองคนกระชากถอยหลังจนเซเกือบล้มลง


“ฤทธิ์มากจริง อยู่นิ่งๆ!” เสียงแหบแห้งดังมาจากคนที่ผอมที่สุดในกลุ่ม


“ต้องการอะไร” อาคาเนะถามเสียงเรียบ เลิกใส่ใจที่จะดิ้นให้หลุดจากคนพวกนี้ ต่อให้เขารวดเร็วเพียงใด แต่พวกมันมีมากถึงสามคน คงยากที่จะหลบพ้นมือพวกนั้นได้ทั้งหมด


ชายทั้งสามต่างพร้อมใจกันหัวเราะร่วนหลังได้ฟังคำถามจากเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ผู้กำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม


“คาเงมะอย่างเจ้า ยังต้องถามอีกหรือ ว่าผู้ชายมาหาเพราะต้องการอะไร”


“อ้อ คงเป็นพวกมีกำลังแต่ไร้เงิน ถึงได้ต้องมาดักใช้กำลังเช่นนี้” เสียงหัวเราะเงียบลงไป พร้อมกับชายร่างยักษ์สาวเท้าเข้ามาหาอาคาเนะ


“ปากดีนัก ระวังหน้าสวยๆ นั่นจะได้แผล”


“แล้วจะทำอย่างไร อยากให้ข้าบริการให้ ได้ แต่แค่ทีละคนเท่านั้น” ท่าทีไม่หวั่นเกรงของอาคาเนะทำให้ชายทั้งสามรู้สึกประหลาดใจ พวกมันมองหน้ากันเหมือนจะถามว่าเอาอย่างไรดี


“เริ่มจากเจ้าก่อนไหม เป็นหัวหน้าใช่หรือเปล่า” คนแรกที่อาคาเนะเลือกคือชายร่างยักษ์ จะมนุษย์หรือสัตว์ก็ไม่ต่างกัน พวกที่ตัวใหญ่กว่ามักชอบวางอำนาจเหนือคนอื่นเสมอ


“บอกลูกน้องเจ้าให้ปล่อยข้าสิ” ชายคนนั้นเหลือบมองลูกน้องทั้งสองคน พวกนั้นยอมปล่อยแขนอาคาเนะแล้วถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว


“แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อ” เมื่อเหยื่ออยากเล่นสนุกเขาก็จะเล่นด้วย จะรอดูว่าเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนี้คิดจะเอาตัวรอดอย่างไร


“ก้มลงมาสิ ไม่ได้อยากสัมผัสข้าหรอกหรือ” ร่างกายสูงใหญ่นั้นทำให้อาคาเนะดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ตัวอย่างกับป้อมขนาดนี้ ต่อให้เตะต่อยไปก็คงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร มองหาจุดอื่นคงจะดีกว่า


“ว่าง่ายๆ แบบนี้ก็ดี” รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากของคนที่คิดว่าตนอยู่เหนือกว่า โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าหากอาคาเนะคิดสู้จริงจังขึ้นมา มนุษย์ธรรมดาคงยากจะรับมือได้ แต่เป็นเพียงเพราะอาคาเนะไม่อยากเปิดเผยร่างปีศาจออกไปแล้วต้องฆ่าใครปิดปาก ถึงได้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้


กลิ่นกายและลมหายใจของชายตรงหน้าช่างน่ารังเกียจนักสำหรับอาคาเนะ คนเดียวที่เขายอมจูบด้วยความเต็มใจมีเพียงโทชิฮิโระ ไม่นึกเลยว่าคืนนี้จะต้องมาจูบกับคนอื่นเพื่อเอาตัวรอด


เขาค่อยๆ ก้าวขาอย่างช้าๆ หลอกล่อให้ชายคนนั้นต้องเคลื่อนไหว ตำแหน่งที่ยืนถูกสลับกันทีละน้อย ระหว่างที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกรานด้วยการจูบอย่างจาบจ้วง


หางตาอาคาเนะมองเห็นทางออกที่ตอนนี้ไม่มีใครขวางอีก เขาเปิดปากให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาก่อนจะกัดลงไปเต็มแรง รสเลือดคาวคลุ้งในโพรงปาก เสียงร้องโหยหวนดังสะท้อนในตรอกแคบๆ อาคาเนะถูกผลักออก ในขณะที่ชายร่างยักษ์กำลังปิดปากร้องออกมาด้วยความเจ็บ เลือดสีเข้มไหลทะลักผ่านร่องนิ้วที่พยายามปิดเอาไว้


อาคาเนะถ่มเลือดที่อยู่ในปากทิ้งไป มันน่าขยะแขยงเกินจะกลืนลงคอไปได้ สองขารีบออกวิ่งทว่าวิ่งไปได้เพียงสองก้าวก็ถูกใครบางคนกระชากผมจากด้านหลังจนหน้าหงาย


เด็กหนุ่มเสียหลักล้มลง พร้อมกับมีอีกร่างหนึ่งมาคร่อมทับ ใบหน้าถูกตบอย่างแรงจนชาไปซีกหนึ่ง แต่อาคาเนะยังคงไม่หยุดดิ้น ร่างใหญ่โตด้านบนคำรามออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะชักมีดสั้นที่พกไว้ออกมาแล้วเงื้อขึ้นจนสุดแขน


แสงจันทร์สะท้อนคมมีดคมกริบ แว่วเสียงลูกสมุนทั้งสองร้องห้าม แต่ไม่อาจหยุดโทสะหัวหน้าได้ มีดสั้นปักลงถากลำคออาคาเนะไปเพียงนิด แต่มันมากพอให้อาคาเนะรู้สึกแสบตรงข้างคอ รับรู้ได้ถึงเลือดอุ่นๆ ไหลซึมออกมาตามปากแผล


“ซวยแล้ว” ใครสักคนร้องขึ้นมา แต่อาคาเนะรู้สึกเหมือนหูของเขากำลังอื้อ คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังกดสติรับรู้ให้หายไป ร่างกายอุ่นขึ้นจนร้อนไปทั่วร่าง ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทุกคนได้ถอยห่างออกจากตัวเขาไปแล้ว


“ปะ...ปีศาจ!” คำเรียกนั้นเรียกสติทั้งหมดของอาคาเนะกลับคืนมา เด็กหนุ่มยกมือของตัวเองขึ้นมามอง มันไม่เพียงเปื้อนเลือดของเขาแต่ยังประดับไว้ด้วยกรงเล็บแหลมคมของร่างปีศาจ ความรู้สึกของหูและหางยามเมื่อมันขยับบอกให้รู้ว่าอาคมถูกปลดออกเสียแล้ว


“หนีเร็ว!” ชายทั้งสามที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับปีศาจต่างมีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ จากที่วางอำนาจกลับพยายามวิ่งหนีจนชนกันล้มลุกคลุกคลานไปตามถนน


ต้องหยุดไว้


สัญชาตญาณสั่งอาคาเนะจากภายใน เขาไม่สามารถปล่อยให้ใครที่ล่วงรู้ความลับหนีรอดไปได้ แต่ร่างกายยังคงสั่นเทาด้วยความกลัวเกินกว่าจะขยับ ทำได้เพียงนั่งอยู่กับพื้นแล้วมองทั้งสามคนวิ่งหนีไป


แต่ไม่นานนักเสียงร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง!


“ยะ...อย่า...!” เสียงร้องขออันสั่นเครือหยุดลงพร้อมกับที่ร่างนั้นทรุดลงบนพื้น เสียงคมดาบวาดผ่านอากาศแล้วฟันโดนเนื้อหนังดังชัดเจนนักสำหรับอาคาเนะ


เพราะคืนสภาพร่างจิ้งจอก ทั้งเสียงร้องระหว่างตะเกียกตะกายจนขาดใจ และกลิ่นคาวเลือดจำนานมากจากร่างที่นอนแน่นิ่งของชายสามคนจึงส่งผ่านมาถึงเขาด้วย


ที่ปลายทางออกเหลือเพียงชายคนเดียวที่ยังยืนอยู่ และกำลังเดินตรงเข้ามาหา ดวงตาของอาคาเนะจับจ้องไปยังดาบซึ่งยังคงมีเลือดไหลลงพื้น ก่อนจะไล่เรื่อยมายังกิโมโนที่คุ้นตา แม้ว่ายามนี้มันจะถูกย้อมเป็นสีแดงเข้มด้วยเลือด แต่เขาก็จำได้ว่าใครเป็นผู้สวมมัน


“อาคาเนะ” ร่างของเด็กหนุ่มสะท้านเฮือกเมื่อโทชิฮิโระเอื้อมมือมาแตะโดนแผลที่ลำคอ อาคาเนะช้อนตาขึ้นมองโทชิฮิโระด้วยความสับสน ภาพโทชิฮิโระที่ลงดาบใส่คนเหล่านั้นอย่างไม่ปราณีทำให้เลือดในกายอาคาเนะเย็นเฉียบ


“อย่าแตะข้า” มือที่สัมผัสอยู่ถูกปัดออก อาคาเนะยันตัวลุกขึ้นอย่างซวนเซ โทชิฮิโระทำท่าจะเข้ามาประคองแต่กลับถูกตวัดกรงเล็บใส่เพื่อข่มขู่


“ท่าน...เป็นใครกันแน่” ดวงตาอาคาเนะเบิกกว้างและสั่นระริก ชายคนนี้ไม่เพียงฆ่าคนอย่างเลือดเย็น แต่ยังไม่ตกใจสักนิดเมื่อได้เห็นร่างจริงของเขา ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะนิ่งสงบได้อย่างโทชิฮิโระ


“ให้ข้าดูแผลเจ้าหน่อย” โทชิฮิโระเลือกที่จะไม่ตอบ เขามาที่นี่เพียงเพราะเป็นห่วงอาคาเนะ โดยไม่ได้คิดเลยว่าอาคาเนะจะถูกทำร้ายจนเปิดเผยร่างปีศาจออกมา ทุกอย่างรวดเร็วเกินจะควบคุม สิ่งแรกที่ต้องทำคือกำจัดคนอื่นที่รู้เห็น


อาคาเนะถอยเท้าหนีห่างจากโทชิฮิโระด้วยความหวาดระแวง ทั้งที่ไม่นานก่อนหน้านี้ เขาทุกข์ใจแทบตายที่ต้องนึกว่าจะบอกความจริงกับโทชิฮิโระอย่างไรโดยไม่ต้องเสียผู้ชายคนนี้ไป แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโทชิฮิโระน่าจะรู้ความลับนี้มาตลอด และคำถามที่ว่าโทชิฮิโระรู้ได้อย่างไร รู้อะไรบ้าง คือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า


ทุกอย่างถาโถมเข้ามาเกินกว่าอาคาเนะรับมือได้ มือของโทชิฮิโระไม่น่าไว้ใจอีกต่อไปแล้ว อาคาเนะกระโจนขึ้นหลังคาแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้โทชิฮิโระยืนอยู่ลำพังกับศพสามศพ


ดาบในมือถูกเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่ใยดี มันกระทบกำแพงก่อนจะตกลงพื้น ส่วนผู้ใช้มันเดินไปเอนหลังพิงกับผนังอันเย็นชืดแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


สิ่งที่วางแผนมา เวลาที่เสียไป ทุกอย่างสูญหายไปในพริบตาเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขาตัวเอง


แค่เพียงความรู้สึกว่า ‘ห่วง’ มันบังตาเท่านั้น


ทั้งที่คิดว่าหัวใจนี้ควรด้านชาไปนานแล้วจึงได้กล้ารับปากต่อคำสัญญานั่น ไม่นึกเลยว่าวันนี้เขาจะเสียแผนเพราะจิ้งจอกน้อยไร้เดียงสาตัวหนึ่ง จิ้งจอกผู้มีหัวใจที่ซื่อตรงจนไม่อยากให้ใครมาทำให้แปดเปื้อน


ช่างน่าขันนัก


“จะตามมาหัวเราะเยอะข้าหรือ” โทชิฮิโระส่งเสียงถามออกไปก่อนที่คาสุมิจะก้าวออกมาจากความมืด ข้างหลังนางยังมีปีศาจรูปร่างอ้วนกลมแต่มีปากขนาดใหญ่มากอีกสองตัวตามมา


“มาเก็บกวาด” คาสุมิหันไปพยักหน้าให้ปีศาจอีกสองตัว พวกมันเดินต้วมเตี้ยมไปยังซากศพที่นอนกองรวมกันอยู่และจัดการคว้าใส่เข้าปากของตัวเองกัดเคี้ยวจนได้ยินเสียงกระดูกแตกเล็ดรอดมา


“นึกว่าจะโกรธข้าเสียอีก” คาสุมิเดินไปหาโทชิฮิโระแล้วหันหลังพิงกำแพงใกล้ๆ กัน


“ถ้าโกรธเจ้าคงยิ่งดีใจ”


“โดนรู้ทันเสียแล้ว” ปีศาจหิมะคลี่ยิ้ม ไม่ว่าเวลาใดชายคนนี้มักรู้ทันนางเสมอ คงมีแต่อาคาเนะเท่านั้นที่จะใช้เล่นงานโทชิฮิโระได้


“แล้วจะทำอย่างไรต่อ” คาสุมิถามออกมาระหว่างเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวนับพันบนท้องฟ้า นานมากแล้วที่ไม่เคยแหงนมองจุดเล็กๆ เหล่านั้น


“เจ้าทำให้อาคาเนะไม่ไว้ใจข้า” แววตาของอาคาเนะก่อนจะหนีไปเต็มไปด้วยความหวาดระแวง คงต้องหาทางเปิดใจอาคาเนะใหม่อีกครั้ง


“ข้าทำเพื่อให้เจ้ารู้สึกตัวนะโทชิฮิโระ” ประโยคนั้นทำให้คนฟังกำมือแน่นขึ้นแต่ยังคงเงียบ คาสุมิจึงพูดต่อไป


“คงยังไม่ลืมว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไรใช่ไหม เจ้ามีสิ่งที่ต้องทำ หรือเจ้าลืมแล้วว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง”


“ข้าไม่ลืม” น้ำเสียงของโทชิฮิโระห้วนกระด้าง ต่อให้เขาอาจจะใจอ่อนให้อาคาเนะไปบ้าง แต่ไม่มีทางลืมเรื่องของตัวเองเด็ดขาด


“ไม่มีทางลืม จะลืมได้อย่างไรว่าทำไมตัวข้าถึงต้องมาติดอยู่ในร่างมนุษย์เช่นนี้” มือขวาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดถูกยกขึ้นมามอง ร่างกายนี้ไร้พลัง แม้แต่กับมนุษย์ธรรมดายังต้องพึ่งพาอาวุธเพื่อเอาชนะ ทั้งที่เขาเคยทรงพลังกว่านี้หลายร้อยเท่า


“ขอบคุณที่เป็นห่วง” คำขอบคุณแสนเรียบง่ายจากโทชิฮิโระทำให้คาสุมิทำหน้าสยดสยองใส่ นางยกมือขึ้นกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น


“คำพูดหลงตัวเองแบบนั้น เก็บไว้ใช้กับอาคาเนะเถอะ” คาสุมิเบ้ปาก รู้สึกขนลุกแปลกๆ ด้วยซ้ำที่โทชิฮิโระพูดดีๆ ด้วย


“แค่ครั้งนี้เท่านั้น ต่อไปคงไม่มีอีก” บางทีเขาควรเลิกเล่นบทคนดีเสียที


ถึงเวลาต้องบีบอาคาเนะให้ยอมรับในตัวตนของเขาได้แล้ว



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


ต้มมาม่ากันเถอะที่รัก  :z2:





:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

คว้าตัวมากอด  :กอด1:


เริ่มมีคนหยุดปีใหม่กันแล้ว ใครเดินทางขอให้เดินทางปลอดภัย หลุดพ้นจากมหกรรมรถติดนะคะ ส่วนมนุษย์หน้าคอมอย่างเราจะมาอัพนิยายต่อทุกวันค่า  :katai4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เพิ่งอ่านไป2ตอน ชอบมาเลย เดียวจะรีบอ่านให้ทันน้า :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
กลัวใจจัง คงไม่ดราม่ามากใช่มั้ยคะ

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 11

สิ่งที่ต้องเผชิญ






กลางดึกสงัด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมาตามทางเดิน คนที่กำลังหลับขยับตัวลุกขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้ ซาโตรุควานมือไปหากล่องไม้ที่วางไว้บนหัวนอนเสมอ มีดสั้นถูกหยิบออกมาก่อนที่เขาจะลุกขึ้น


ร้านนี้มีคนแปลกหน้าเข้าออกทุกคืน ซาโตรุจึงมักระวังตัวด้วยการพกอาวุธเล็กๆ นี้ไว้ใกล้ตัวตอนนอนเสมอ แม้ไม่เคยต้องใช้มัน แต่คงดีกว่าหากเกิดเรื่องแล้วไม่มีให้ใช้


เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่อีกฟากประตู ซาโตรุกระชับมีดสั้นในมือแน่นก่อนจะส่งเสียงถามออกไปว่าใครกันที่มาเสียดึกดื่น


“ข้าเองพี่ซาโตรุ”


“อาคาเนะ?” เสียงนั้นเขารู้จักดี ซาโตรุจึงรีบวางมีดลงบนพื้นติดผนังห้องแล้วเปิดประตูออก แสงจันทร์สลัวทำให้เขามองอาคาเนะได้ไม่ชัดนัก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เด็กหนุ่มตรงหน้าก็โถมตัวเข้ามากอดเอวซาโตรุเอาไว้แน่น


“เกิดอะไรขึ้น” ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา นอกจากแรงสะท้านจากร่างคนที่กอดเขาอยู่ อาคาเนะกำลังร้องไห้ ร้องไห้โดยไร้เสียงแล้วกอดซาโตรุราวกับกำลังร้องเรียกหาที่พึ่ง







คืนนั้นมีอีกคนที่ถูกปลุกขึ้น แม้จะลุกมาอย่างหัวเสียแต่เพียงได้เห็นสภาพอาคาเนะ โดยเฉพาะแผลที่ข้างคอ โคคิก็รีบสั่งคนไปตามหมอมาทันที กว่าความวุ่นวายในร้านจะสงบลงได้เวลาก็ผ่านไปจนเกือบรุ่งสาง


“ส่งท่านหมอให้ถึงบ้าน” โคคิส่งเงินให้กับลูกน้องก่อนปิดประตูลงแล้วเดินกลับเข้ามาภายในห้อง เห็นอาคาเนะกำลังนั่งพิงไหล่ของซาโตรุในสภาพเหม่อลอย ผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบคอของเด็กหนุ่มทำให้โคคิขบกรามแน่น


“พวกชั่วนั่น กล้าแตะต้องคนของข้า!” เจ้าของร้านทิ้งตัวลงนั่งด้วยความโมโห กล้าดีอย่างไรมาทำให้สินค้าราคาแพงต้องมีรอยแผลเช่นนี้ อย่าคิดว่าจะรอดมือเขาไปได้


“อย่าเสียงดัง อาคาเนะตกใจอยู่นะ” ซาโตรุสั่งเสียงเรียบ โคคิเลยได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด นอกจากเรื่องที่ว่าอาคาเนะถูกคนดักทำร้ายระหว่างทาง พวกเขาก็ไม่ได้รู้เลยอะไรอีกเลย ทั้งพวกที่ทำร้ายนั่นเป็นใคร หรืออาคาเนะหนีมาได้อย่างไร แต่นับว่าโชคดีแล้วที่รอดมาได้


หมอบอกว่าถ้ามีดแทงขยับเข้าใกล้อีกเพียงนิด อาคาเนะคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว โชคดีว่าเป็นเพียงแค่แผลถากๆ รักษาไม่นานก็จะหาย


“เจ้าโทชิฮิโระก็เหมือนกัน คิดบ้าอะไรถึงปล่อยอาคาเนะกลับมาคนเดียว” ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงทำให้อาคาเนะสะดุ้งจนซาโตรุรู้สึกได้ ภาพตอนโทชิฮิโระฆ่าคนเหล่านั้นยังติดแน่นในความทรงจำ สีหน้าแข็งกระด้างที่ราวกับมองคนเหล่านั้นเป็นสิ่งไร้ค่า นั่นเป็นโทชิฮิโระที่อาคาเนะไม่เคยรู้จัก


“พักผ่อนเถอะนะ เอาไว้ให้อาคาเนะดีขึ้น เราค่อยมาคุยกันดีไหม” ซาโตรุลูบแขนให้อาคาเนะเพื่อปลอบขวัญ ตั้งแต่กลับมาอาคาเนะพูดเพียงไม่กี่ประโยค เขาไม่เคยเห็นอาคาเนะดูหวาดกลัวมากขนาดนี้มาก่อน คงต้องให้เวลาสักพักกว่าจะคุยกันรู้เรื่องได้


“ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนไหมอาคาเนะ” หัวที่พิงอยู่กับไหล่ส่ายไปมาช้าๆ แทนคำปฏิเสธ ซาโตรุหันไปพยักพเยิดบอกโคคิให้ออกไปก่อน เมื่อเจ้าของร้านออกไปแล้วซาโตรุถึงค่อยๆ ดันตัวอาคาเนะให้นั่งด้วยตัวเอง


“หลับเสียอาคาเนะ ถ้ามีอะไรให้ไปเรียกข้าได้ทุกเวลาเข้าใจไหม” คนฟังพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ซาโตรุเลยได้แต่ลูบหัวอาคาเนะอีกครั้งก่อนจะลุกออกไปอีกคน


เมื่อไม่มีใครอยู่อาคาเนะจึงเลื่อนตัวลงนอนตะแคง ตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอ แผลของเขาไม่เจ็บอีกแล้ว ร่างกายนี้ฟื้นตัวได้เร็วเสมอ แต่รอยแหว่งที่เกิดขึ้นในหัวใจราวกับบางสิ่งถูกดึงออกไปยังไม่จางหาย อาคาเนะไม่รู้แล้วว่าที่ผ่านมาคนที่เคยอยู่เคียงข้างคนนั้นแท้จริงคือใคร







ด้วยอาการบาดเจ็บของอาคาเนะทำให้ซาโตรุตัดสินใจยกเลิกนัดหมายกับแขกทั้งหมด พร้อมทั้งส่งของขวัญเล็กน้อยไปให้แทนคำขอโทษ หลังจากคืนนั้นอาคาเนะดูเซื่องซึมลงไปมาก แต่ละวันพูดจาแทบนับคำได้ แต่ยังคงส่งยิ้มกลับมาให้เมื่อซาโตรุแวะเวียนไปเยี่ยมเสมอ


อีกคนที่อารมณ์ขุ่นมัวแทบทุกวันคงเป็นโคคิ เพราะไม่ว่าจะสืบหาตัวคนร้ายเท่าไรก็ไม่พบเบาะแส ไม่นับรวมการที่แขกประจำของอาคาเนะเพียรพยายามมาขอพบอยู่ทุกวัน แต่ต้องกลับไปเพราะถูกหมีตัวโตแยกเขี้ยวขวางเอาไว้


“เจ้านั่นมันตื๊อเป็นบ้า มาอยู่ได้ทุกวัน” วันนี้ก็ไม่ต่างกัน โคคิเดินเข้ามาพร้อมบ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงแขกประจำที่มารอพบอาคาเนะเป็นวันที่สามแล้ว


“อย่าไปเรียกแขกแบบนั้น นั่นแหล่งรายได้ของเจ้า”


“เออ ลองไม่ใช่สิ ข้าจะจับโยนออกไปตั้งแต่เห็นหน้า”


“โคคิ” ซาโตรุเรียกชื่อเพื่อนสนิทเพื่อปราม


“ถ้าเจ้านั่นไม่ปล่อยอาคาเนะกลับมาคนเดียว เด็กนั่นคงไม่เอาแต่นั่งซึมไร้วิญญาณอยู่แบบนี้”


“เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่อง” ซาโตรุเอ่ยขัดอีกครั้ง เขารู้ว่าโคคิหัวเสีย ถึงจะชอบบ่น และพูดถึงแต่เรื่องรายได้ แต่โคคิก็ห่วงอาคาเนะไม่แพ้ใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตัวเป็นหมีขี้หงุดหงิดอยู่แบบนี้


“ปกป้องมันทำไม!” โคคิขึ้นเสียงอย่างลืมตัว พอถูกมองด้วยสายตาดุๆ ก็จำต้องปิดปาก


“ขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้ว ไปดูอาคาเนะดีกว่า” หมีบ้าอย่าเสียเวลาไปสั่งสอน ซาโตรุยึดถือคตินี้มาตั้งแต่รู้จักกับโคคิ ปล่อยให้อาละวาดคนเดียวไปสักพักเดี๋ยวก็สงบลงเอง







นิ้วเรียวลากยาวตามข้างลำคอ ตรงที่เคยมีแผลเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้มันหายสนิท ไม่หลงเหลือร่องรอยให้เห็นสักนิด แต่เพราะมันเร็วเกินไปสำหรับคนธรรมดา อาคาเนะจึงค่อยๆ พันผ้าทับลงไปอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเชื่อว่าเขายังบาดเจ็บอยู่


ภาพเงาตัวเองที่สะท้อนในกระจกคือตัวตนในร่างมนุษย์ที่ใช้เพื่อหลอกสายตาคนอื่น ภาพสีหน้าตื่นกลัวของชายสามคนที่ได้เห็นร่างปีศาจของเขาปรากฏขึ้นหลังเปลือกตา นั่นคือสิ่งที่เขาจำต้องแบกรับเพราะสายเลือดที่ไหลเวียนในร่าง


“อาคาเนะ” ดวงตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ลืมขึ้น ขยับมุมปากทั้งสองข้างให้ยกขึ้นก่อนจะขานรับตอบกลับไป หลายวันนี้เขาทำให้ทุกคนเป็นห่วงและเดือดร้อนกันไปทั่ว คงถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับความจริงเสียที


“ทำแผลเสร็จแล้วหรือ บอกแล้วข้าจะช่วย” นอกจากคืนแรกอาคาเนะก็ไม่ยอมให้ใครแตะต้องแผลที่คออีกแม้แต่ซาโตรุ บางทีบาดแผลนั้นอาจฝังลึกเกินกว่าที่สายตาจะมองเห็น


“เขามาอีกใช่ไหมขอรับ ข้าได้ยินเสียงโคคิโวยวาย” ถึงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่อาคาเนะรู้ว่าโทชิฮิโระมาขอพบเขาทุกวัน เพียงแค่เขายังไม่พร้อมที่จะเจอเท่านั้น


“ไม่ต้องกังวล เจ้าไม่จำเป็นต้องรับแขกคนไหนจนกว่าจะหาย”


“พรุ่งนี้ข้าจะพบเขา” ยื้อเวลาไปก็เท่านั้น เวลาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ สักวันเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับโทชิฮิโระอยู่ดี พบกันยิ่งเร็วอาจจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนกับความทรมานในอกอย่างตอนนี้


“แน่ใจนะ” ถึงปากจะยิ้ม แต่สายตาของอาคาเนะไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย ใจหนึ่งซาโตรุนึกห่วง คล้ายกับว่าสิ่งที่อาคาเนะกลัวไม่ได้มีแค่คนร้ายสามคนนั้น แต่อีกใจ โทชิฮิโระอาจเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเรียกความสุขของอาคาเนะกลับคืนมาได้


“พรุ่งนี้จะจัดการให้ แต่ถ้าไม่ไหวจะยกเลิกเมื่อไรก็ได้ตกลงไหม”


“ขอรับ”







กิโมโนสีแดงสดใส คือชุดที่อาคาเนะสวมมันยามเมื่อต้องการกำลังใจเสมอ มันคือความหมายของชื่อเขา สีแดงที่ไม่มีสิ่งใดทำให้มัวหมอง


ภายในห้องรับรองที่เตรียมไว้ ครั้งนี้ไม่มีสุราอาหารใดๆ เพราะอาคาเนะบอกกับซาโตรุว่าแค่อยากจะพูดคุยกับโทชิฮิโระเท่านั้น แขกที่นัดไว้มาถึงตรงตามเวลา อาคาเนะสูดหายใจเข้าก่อนก้มตัวลงคำนับเมื่อบานประตูถูกเปิดออก


“ถ้าท่านทำให้อาคาเนะไม่สบายใจ ข้าจะให้โคคิมาลากท่านออกไป” ซาโตรุไม่ได้อวยพรอย่างทุกครั้ง เขากระซิบบอกโทชิฮิโระเบาๆ พอให้ได้ยิน เมื่อซาโตรุออกไป ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ


“แผลเจ้าหายดีหรือยัง” คนที่เอ่ยปากออกมาก่อนคือโทชิฮิโระ ต่อให้อาคาเนะจะแต่งตัวมากมายเพียงใดก็ไม่อาจปกปิดผ้าพันแผลสีขาวบนลำคอได้


“หายดีแล้วขอรับ” ใบหน้าของอาคาเนะเรียบนิ่ง ราวกับย้อนไปยังวันแรกที่พบกัน วันที่อาคาเนะมองโทชิฮิโระเป็นเพียงแค่แขกคนหนึ่ง


“เจ้าเชิญข้ามาเพราะมีเรื่องจะถามไม่ใช่หรือ” โทชิฮิโระเดินมานั่งลงตรงหน้าอาคาเนะโดยเว้นระยะห่างไว้เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันอาคาเนะมากเกินไป ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องมองมายังเขาด้วยสายตาคลางแคลงอย่างไม่ปกปิด


“ข้าไม่มั่นใจว่าจะเชื่อคำตอบของท่านได้” ชายคนนี้โกหกหน้าตายมาตลอด เป็นคนที่อาคาเนะไม่สามารถแยกแยะได้อีกแล้วว่าสิ่งใดคือความจริง และสิ่งใดคือการโกหก


“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร เล่นบทแขกกับเจ้าต่อหรือ” โทชิฮิโระแค่นหัวเราะ ส่วนหัวใจคนฟังรู้สึกเจ็บแปลบยามได้ยินประโยคนั้น
“แสดงว่าที่ผ่านมาท่านเพียงหลอกข้า” ทั้งคำหวาน ทั้งสัมผัสอ่อนโยน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก


“ทำไปทำไม ต้องการอะไรจากครึ่งปีศาจอย่างข้า” มือข้างหนึ่งทุบลงบนอกตัวเองอย่างอัดอั้น เขาเปิดใจให้ผู้ชายคนนี้ เชื่อจากใจจริงว่าโทชิฮิโระแตกต่างจากคนอื่น แต่มันคงแตกต่างในความหมายที่ต่างออกไปจากที่หวัง


“เพราะคนที่ข้าสนใจคือเจ้า บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ” โทชิฮิโระตอบเสียงเรียบ แต่มันกลับทำให้อาคาเนะโกรธยิ่งขึ้น


“เลิกเล่นละครเสียที!” อาคาเนะตวาดลั่น โชคดีที่ชั้นล่างกำลังสนุกสนานกับด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยจึงไม่มีใครใส่ใจเสียงของอาคาเนะ


“ไม่มีมนุษย์คนไหนจะสนใจปีศาจอย่างข้า” ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยการปิดบังตัวตนอีกด้าน ต้องคอยหวาดระแวงอยู่เสมอว่าความลับจะแตกเมื่อไร


“แล้วถ้าข้าไม่ใช่มนุษย์ เจ้า...จะสบายใจขึ้นไหม” ประโยคที่สวนกลับมาทำให้อาคาเนะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าออกมา
“โกหก ท่านเป็นมนุษย์แน่ๆ”


“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจ เพราะเจ้าเคยดื่มเลือดข้าหรือ” ดวงตาของคนฟังเบิกกว้าง นอกจากจะรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งปีศาจ ยังรู้อีกด้วยว่าเขาแอบดื่มเลือด


“ท่านเคยพูดความจริงกับข้าบ้างไหม” หน้ากากที่ตั้งใจสวมเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โทชิฮิโระรู้ว่าตัวเขากำลังอ่อนแอ ค่อยๆ แตกออกทีละน้อย อาคาเนะเหยียดยิ้มเศร้า แท้จริงแล้วเขาช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโทชิฮิโระเลยสักนิด


“สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าเป็นความจริงทุกอย่างอาคาเนะ เพียงแค่ข้าไม่เคยบอกเจ้าว่าข้าเป็นอะไร”


“ข้าแยกแยะมนุษย์กับปีศาจได้ เลือดของท่านบอกว่าท่านคือมนุษย์ไม่ผิดแน่” รสเลือดที่คุ้นลิ้น จนตอนนี้ก็ยังจำกลิ่นของมันได้ ไม่มีทางที่อาคาเนะจะไม่รู้หากว่าโทชิฮิโระเป็นปีศาจ


“แค่เพียงเปลือกนอก ข้าก็ไม่ได้ชอบใจนักที่ต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์” แววตาของโทชิฮิโระวูบไหวเพียงชั่วครู่ก่อนเขาจะมองตรงไปยังอาคาเนะพร้อมกับหยิบมีดสั้นเล่มเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ


“จะทำอะไร!” อาคาเนะขยับตัวถอยหนี แต่โทชิฮิโระเพียงแค่ยิ้มพร้อมกับแหวกกิโมโนของตนออกเผยให้ผิวเนื้อของแผ่นอกที่อยู่ด้านใน


“ไม่ได้ดื่มเลือดมากี่วันแล้วอาคาเนะ เดาว่าคงตั้งแต่คืนนั้น อยากได้แค่ไหนข้าจะกรีดให้” ปลายมีดในมือโทชิฮิโระจรดลงบนอกของตัวเอง เพียงแค่ลากไปเพียงนิด เลือดสีสดก็เริ่มซึมออกมา


กลิ่นคาวเลือดช่างหอมหวนนักสำหรับอาคาเนะที่ไม่ได้ดื่มเลือดมาหลายวัน ด้วยความตื่นตกใจ อาคาเนะรีบกระโจนเข้าไปฉวยมีดแล้วรีบหนีห่างออกมา


“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจให้เจ้าดื่มมันอยู่แล้ว” ร่างกายอาคาเนะกำลังร้อนขึ้น หัวใจเต้นถี่เพราะกลิ่นเลือดที่คอยกระตุ้นความกระหาย หลายวันนี้เขามัวแต่จมอยู่กับตัวเองจนลืมเรื่องการดื่มเลือดไปเลยด้วยซ้ำ


“อย่าฝืนเลย มันจะช่วยให้เจ้าสบายขึ้น” ตัวของอาคาเนะสั่นราวกับลูกนกพลัดตกจากรัง แต่พอโทชิฮิโระขยับเข้าใกล้กลับถูกจิ้งจอกน้อยขู่ฟ่อใส่


“อย่าเข้ามาใกล้ข้า!”


“ข้ามีเวลารอเจ้าทั้งคืนอาคาเนะ พร้อมเมื่อใดเราค่อยมาคุยกันต่อ”


“จงใจให้ข้าเป็นเช่นนี้ใช่ไหม” แววตาของอาคาเนะเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ โทชิฮิโระเข้าใกล้เขา สร้างความเคยชินกับการชิดใกล้ แม้แต่หลอกล่อให้ตัวเขาคุ้นชินกับกลิ่นและรสของเลือดจนแทบควบคุมสติไม่ได้


“ข้าไม่ได้อยากให้มันลงเอยอย่างนี้อาคาเนะ ตอนนี้ข้าอาจเสียหัวใจเจ้า แต่ร่างกายเจ้าเชื่อฟังข้าแล้ว” มองดูอาคาเนะพยายามกัดฟันข่มสัญชาตญาณตัวเองก็รู้แล้วว่าทำได้ยาก


“กลับมาหาข้าเสียเด็กดี อย่าทรมานตัวเองอีกเลย” โทชิฮิโระยื่นมือให้กับเด็กหนุ่มผู้กำลังกอดตัวเองแน่น ต่อให้ทุกอย่างจะคลาดเคลื่อนไปจากแผนที่วางไว้ แต่มันยังไม่จบลง


หากวันนี้เขาคว้าหัวใจอาคาเนะเอาไว้ไม่ได้ เขาก็จะยื้อร่างกายของจิ้งจอกตัวนี้เอาไว้ข้างกาย ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม


เพราะทุกอย่างมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับคืนได้นานแล้ว



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

และนี่คือที่มาของบทนำค่ะ วนกลับมาถึงแล้ว  :katai2-1:

ตอนต่อไปจะเป็นเหตุการณ์ถัดจากบทนำเลยนะคะ  :L2:




เพิ่งอ่านไป2ตอน ชอบมาเลย เดียวจะรีบอ่านให้ทันน้า :katai5: :katai5:

วันนี้มาอัพเพิ่มให้อีกด้วยค่ะ แล้วพรุ่งนี้ก็จะมา มาต่อคิวรอไว้ให้เรื่อยๆ  :-[




กลัวใจจัง คงไม่ดราม่ามากใช่มั้ยคะ

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:


ไม่มากค่า พอให้กระชุ่มกระชวย แล้วเดี๋ยวกลับมาเติมน้ำตาลให้ต่อนะคะ  :impress2:





พรุ่งนี้ก็จะวันสุดท้ายของปีแล้ว ใครไม่มีแพลนเที่ยวไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอานิยายมาลงให้ต่อนะคะ แอบกระซิบว่า ตอนหน้าความมุ้งมิ้งจะกลับมา เราจะไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องดราม่ากันข้ามปีแน่นอน  :laugh:



ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
ใครเป็นคนทำให้โทชิฮิโระต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์ ใช่อาคาเนะรึ
ป่าวคงต้องดูตอนต่อไป

สิ้นปีนี้ยังไม่แพลนไปไหนเลยค่ะ   :m15:

รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 12

คืนดี






กำแพงที่เคยพังทลายลงแล้วครั้งหนึ่ง ยิ่งเร่งร้อนสร้างมันขึ้นใหม่เท่าไร มีแต่จะยิ่งถูกทำลายได้ง่ายกว่าครั้งก่อน และตอนนี้อาคาเนะกำลังรู้ซึ้งถึงสิ่งนั้น


ลมหายใจที่รินรดกัน รวมทั้งสัมผัสร้อนจากฝ่ามือที่ลูบไล้อยู่ข้างเอวคอยกระตุ้นอาคาเนะให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร หัวใจเขาสงบลงแต่ยังคงรู้สึกราวกับมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่ เพราะไออุ่นจากคนที่ถูกเขาคร่อมไว้ คนที่เคยเชื่อว่าจะอยู่เคียงข้างกัน

 
รสจูบปนกลิ่นคาวเลือดยามนี้หวานล้ำกว่าครั้งไหน แต่ในเศษเสี้ยวของสติที่เหลืออยู่ มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม ค่อยๆ กำรอบคอของโทชิฮิโระไว้ และเมื่อการแลกจูบกันหยุดลง อาคาเนะก็บีบมันแน่นขึ้น


โทชิฮิโระไม่ได้ต่อต้าน เขาเพียงแค่ประคองตัวอาคาเนะเอาไว้ แล้วสบตากับเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มจางๆ


“ทำสิ ด้วยร่างกายนี้ข้าสู้กำลังเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว” โทชิฮิโระเหยียดยิ้มในขณะที่ใบหน้าของอาคาเนะบิดเบี้ยว หูทั้งสองข้างพับลู่ลง เช่นเดียวกับหางที่ห้อยลงลากพื้น แม้แต่มือสองข้างยังสั่นเทาจนไม่อาจลงมือได้


แค่ออกแรงอีกนิดเดียว


แค่...ออกแรงบีบให้สุดแรง


กระดูกคอในมือนี้คงแตก แล้วลมหายใจของชายคนนี้ก็จะหยุดลง


“ทำไม...” หยดน้ำใสค่อยๆ ล้นเอ่อจากดวงตาสีแดงสวยทีละหยด รู้ทั้งรู้ว่าควรมองโทชิฮิโระเป็นศัตรู เป็นคนที่ควรกำจัดทิ้ง แต่ก็ยังเสียใจเพราะชายคนนี้อยู่อีก


“คนอย่างท่าน...น่าจะฆ่าเสีย” เพื่อปลดปล่อยตัวเอง เพื่อรักษาความลับไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เขาก็ควรฆ่าโทชิฮิโระ ฆ่าจอมโกหกหลอกลวงคนนี้ เมื่อมีโอกาส แต่หัวใจกลับเจ็บปวดราวกับถูกมีดเฉือนทุกครั้งที่ขยับนิ้ว


“อย่าร้อง” มือที่จับอยู่บนเอวอาคาเนะเลื่อนขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้ โทชิฮิโระถอนหายใจออกมาเบาๆ ยามเมื่อวางมือแนบแก้มของจิ้งจอกขี้แยเอาไว้


“จะโกรธแค่ไหน ข้ายอมให้เจ้าระบาย จะทุบ จะต่อย จะสร้างแผลเท่าไรก็ได้” มืออีกข้างของโทชิฮิโระเลื่อนไปกุมมือของอาคาเนะบนลำคอเขาเอาไว้แล้วบีบเบาๆ


“แต่อย่างร้องไห้ไปเลย อย่าเสียน้ำตาให้กับคนอย่างข้า มันไม่คุ้มสักนิด” ถ้อยคำราวกับดูถูกตัวเองนั้นทำให้อาคาเนะร้องไห้หนักกว่าเก่า สองมือค่อยๆ ละออกจากคอของโทชิฮิโระพลางถอยตัวกลับไปนั่งคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง ปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบใบหน้า


ทำไม่ได้


ต่อให้คิดว่าถูกหลอก ก็ยังเกลียดชายคนนี้ไม่ลงอยู่ดี


ช่างโง่นัก


ร่างกายค่อยๆ ถูกดึงเข้าไปกอดช้าๆ โดยที่อาคาเนะไม่คิดจะขัดขืน วงแขนที่เคยมอบความอบอุ่น อ้อมกอดที่เคยพักพิง ยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากในความทรงจำ แค่เพียงยอมปิดตา ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


อาคาเนะทิ้งน้ำหนัก ปล่อยตัวเองจมลงสู่อ้อมกอดของโทชิฮิโระโดยยังปิดตาเอาไว้ เขารู้ว่ามีมือข้างหนึ่งคอยลูบไหล่ให้ มีริมฝีปากแตะบนข้างขมับ และมีคางวางเกยลงมาบนหัวของตน


“เห็นเจ้าร้องไห้แล้วใจไม่ดี ตอนเจอกันออกจะหยิ่งแท้ๆ” แม้จะหลับตาแต่อาคาเนะยังฟาดฝ่ามือลงบนแขนโทชิฮิโระจนมือตัวเองยังเจ็บจนชา เดาว่าแขนข้างนั้นคงต้องแดงแน่ ตัวเขาในร่างจิ้งจอกยิ่งแรงเยอะอยู่ด้วย


“ข้าโง่มากใช่ไหม ที่ยังเชื่อฟังท่านอีก” จิ้งจอกแสนโง่เขลา แม้จะถูกหลอกแต่ยังคงลดการป้องกันตัวเองลง เพียงเพื่อให้ได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนนี้


“เจ้าแค่เป็นเด็กดีของข้า” โทชิฮิโระจูบเบาๆ บนใบหูที่อยู่ใกล้เขา มันพับหนีอย่างรวดเร็วระหว่างที่มีเสียงหัวเราะหลุดมาให้ได้ยินจากอาคาเนะ


“มันจั๊กจี้” คนถูกกอดบอกเสียงอู้อี้อยู่กับอก ทำเอาโทชิฮิโระหลุดหัวเราะออกมา


“ขำอะไรของท่าน!” จิ้งจอกน้อยพองขนขู่อีกครั้ง โทชิฮิโระจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น


“เดี๋ยวก็ร้องไห้เหมือนหัวใจสลาย เดี๋ยวก็หัวเราะออกมา น่ารักเสียจริง เด็กน้อยของข้า” ใบหน้าของอาคาเนะแดงซ่าน ดวงตาคู่โตเหลือบขึ้นจ้องมองโทฮิโระด้วยสายตาเคืองขุ่น คนถูกมองเลยก้มลงมอบจูบเบาๆ ให้อีกครั้ง


“ยังโกรธข้าอยู่หรือ ให้จูบอีกไหม” วิธีง้อที่เขาเป็นคนสอนให้กับอาคาเนะเอง เอามาใช้ตอนนี้คงจะได้ผล สายตาเจ้าเล่ห์ทำให้อาคาเนะนึกเข่นเขี้ยวจนต้องอ้าปากงับลงไปบนแขนคนพูดเบาๆ พอให้รู้สึกเจ็บ


“ดุเหลือเกินนะ” คนถูกกัดหันไปไล่งับหูอาคาเนะบ้าง ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งโวยวายดิ้นหนี ทั้งหัวเราะไปด้วยจนเริ่มเหนื่อย สองมือกางออกโถมตัวสวมกอดโทชิฮิโระไว้แน่นเป็นสัญญาณพักยก


“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” โทชิฮิโระลูบเบาๆ บนเส้นผมสีแดงสวย ตอนแรกเขาคิดว่าคงต้องทั้งง้อทั้งกำราบกันนานกว่าจะจบลงได้ แต่ดูท่าตอนนี้อาคาเนะคงจะยอมให้แล้ว


“ท่านมันขี้โกง รู้จักข้าไปหมด รู้ว่าข้าโกรธท่าน แต่ก็เกลียดท่านไม่ลงใช่ไหม” อาคาเนะเลิกกอดโทชิฮิโระแล้วถอยไปนั่งทำแก้มพองลมอยู่ใกล้ๆ พวงหางสะบัดฟาดพื้นเบาๆ แสดงออกถึงความขัดเคือง


“เพราะข้าดีกับเจ้ามากไม่ใช่หรือ”


“หลงตัวเอง เอาแต่ใจ ชอบเอาเปรียบ นั่นต่างหากที่ท่านเป็น” อาคาเนะทำเสียงขึ้นจมูก คนอะไรเวลาแบบนี้ยังมัวแต่หลงตัวเองอยู่ได้


“จะบอกข้าได้หรือยังว่าท่านเป็นใครกันแน่ แล้วต้องการอะไรจากข้า” ถึงจะยกโทษให้ แต่ใช่ว่าจะปล่อยผ่าน อะไรที่โทชิฮิโระปิดบังอยู่ อาคาเนะต้องรู้ให้ได้


“ร้องไห้จนหน้าย่นไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่าไม่ได้หรือ เจ้าควรนอนได้แล้ว หน้าตาเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวัน” เด็กหนุ่มที่เคยสดใส วันนี้ดูซีดเซียวราวกับคนป่วยขี้โรค


“เพราะท่านคนเดียว! ดังนั้นอย่าเฉไฉ ข้าไม่ยอมให้ท่านหลอกง่ายๆ อีกแล้ว” อาคาเนะชี้หน้าคาดโทษเสียงแข็ง หากไม่ใช่เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องโทชิฮิโระ มีหรือที่เขาจะโทรมลงขนาดนี้


“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว” สองมือจำเลยยกขึ้นเสมอไหล่เป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ แต่ยังไม่วายกวักมือเรียกอาคาเนะให้เข้ามาหาตัว
“อะไร” คิ้วของอาคาเนะขมวดยุ่งมองดูมือที่เรียกหาเขาสลับกับใบหน้าเจ้าของมือ


“ถ้าอยากฟังก็มาอยู่ใกล้ๆ ให้ข้ากอดเจ้าหน่อยคิดถึงจะแย่” โทชิฮิโระยังคงเป็นโทชิฮิโระอยู่วันยังค่ำ เรื่องทำให้สองแก้มของอาคาเนะร้อนผ่าวคืองานถนัด แม้สีหน้าจะไม่เต็มใจนักแค่อาคาเนะก็คลานเข้าไปหาโทชิฮิโระอย่างว่าง่าย มองคนที่อ้าแขนรอแล้วได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะมุดตัวเข้าไปให้ถูกโอบไว้อยู่ดี


“อยากให้เริ่มจากคำถามไหนก่อน” เพียงแหย่เล่น จิ้งจอกที่ว่าง่ายเมื่อครู่ก็ตวัดสายตาขึ้นมองเขาตาขวาง โทชิฮิโระเลยหัวเราะ พลางเอียงคอทิ้งน้ำหนักตัวเองลงใส่อาคาเนะ


“ข้าไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเทพ หรือไม่ก็ปีศาจ”


“อาจจะ?”


“โลกนี้ไม่ได้มีเพียงมนุษย์และปีศาจอาคาเนะ แต่ยังมีภูตผี และเทพด้วย ปีศาจบางตนถูกมนุษย์กราบไหว้บูชาและถูกเรียกขานว่าเป็นเทพ ข้าเป็นหนึ่งในนั้น”


พวกมนุษย์มีความเชื่อแปลกประหลาด บางครั้งมุ่งหมายกับการกำจัดปีศาจ แต่บางครั้งกลับยอมก้มหัวบูชาปีศาจเหล่านั้นไม่ต่างกับเทพเจ้า


“เคยมีมนุษย์ยอมสยบต่อข้า มอบบรรณาการมากมายเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองและชีวิตอันสงบสุข ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไร พวกเราต่างคนต่างอยู่ พวกนั้นใช้ตัวตนข้าเพื่อข่มขวัญศัตรู ส่วนข้าเพียงแค่ดูแลอาณาเขตจากปีศาจอื่น ใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นนานหลายสิบปีจนวันหนึ่งพวกมันก็เปลี่ยนใจ”


การหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจนับเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ บ้างหลีกหนี บ้างยอมศิโรราบ แต่พอนานวัน เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้กำลังรวมตัวกันมากขึ้น ความคิดที่จะกำจัดสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวออกไปจึงเริ่มเกิดขึ้นมา


“พวกเขาทำอะไรท่าน” อาคาเนะถามออกมาเมื่อเห็นว่าโทชิฮิโระนิ่งไป ดวงตาที่มักแฝงความเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ ยามนี้เรียบนิ่งราวกับกำลังจมลงสู่อดีต


“ไม่ใช่เรื่องชวนให้นึกถึงเท่าไร เอาเป็นว่าข้าพลาดท่า และต้องจ่ายค่าตอบแทนความโง่เขลานั้นด้วยการต้องมาใช้ชีวิตในร่างมนุษย์นี้ ไม่แปลกที่เจ้าจะแยกแยะไม่ออก”

แม้จะอยากรู้รายละเอียดให้มากขึ้น แต่อาคาเนะกลับถามไม่ออก คนเชื่อมั่นในตัวเองอย่างโทชิฮิโระ คงไม่อยากเอ่ยถึงข้อผิดพลาดของตนนัก


“ข้าชิงชังมนุษย์ แต่กลับต้องมาอยู่ในร่างมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตรอด น่าขำนัก” ริมฝีปากโทชิฮิโระเหยียดยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองในอดีต


“แล้วร่างแท้จริงของท่านอยู่ไหน” หากร่างนี้เป็นเพียงภาชนะของวิญญาณ แปลว่าร่างจริงของโทชิฮิโระคงอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั่น


“จมอยู่ก้นทะเลสาบกับพิษร้ายของปีศาจที่ไม่อาจชำระล้างออกไปได้” ราวกับทุกอย่างเงียบสงัดลงเมื่อจบประโยคนั้น ไม่ได้ยินแม้เสียงอึกทึกจากร้านด้านล่าง อาคาเนะใช้หางโอบรอบเอวโทชิฮิโระเอาไว้คล้ายอยากจะปลอบ


“ในตอนที่คิดว่าคงต้องตายไปทั้งอย่างนั้น เทพผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้า”


“เทพ?” คนฟังกะพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าสิ่งที่เรียกว่าเทพนั้นจะมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ด้วย


“ตัวจริงหรือ”


“สำหรับข้าแล้วใช่” ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตาย โทชิฮิโระเชื่ออย่างสนิทใจ ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเทพเจ้าตามที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา








“จะยอมตายไปทั้งอย่างนี้หรือ” เสียงนั้นก้องกังวานผ่านเข้ามาในสมองอันชาหนึบ ร่างกายร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาไปทั่ว เขากำลังจะตาย ด้วยน้ำมือของมนุษย์ตัวเล็กจ้อย


“ไม่!” โทชิฮิโระเค้นเสียงตอบ ทุกการหายใจช่างเจ็บปวดดั่งมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่ในปอด รสเลือดเค็มปร่าไหลย้อนออกมาจากลำคอจนสำลัก เขาถูกทรยศหักหลัง เรื่องอะไรจะมายอมตายในสภาพน่าทุเรศเช่นนี้


“ช่างน่าสงสาร ร่างกายนี้คงทนได้อีกไม่นานนัก” สายตาเริ่มพร่าเลือนลงทีละน้อย รับรู้เพียงว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าสวมกิโมโนสีดำสนิท และมีเส้นผมที่ดำมืดยิ่งกว่า


“ข้ารักษาชีวิตเจ้าไว้ให้ได้ แต่ต้องย้ายวิญญาณออกจากร่างนี้ไป จะยอมตกลงไหม” คำถามนั้นคือเชือกเพียงเส้นเดียวที่ถูกส่งมาให้เขาในตอนที่ลมหายใจกำลังจะหยุดลง ไม่มีทางเลือกใดนอกจากคว้ามันเอาไว้ ไม่ว่าอีกด้านของปลายเชือกเส้นนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม


“ถ้าเช่นนั้นจงรับปากข้าอีกข้อ แล้วข้าหาทางชำระล้างพิษออกจากกายเจ้า เมื่อสัญญาของเราสิ้นสุด” ในห้วงสติสุดท้ายที่เหลืออยู่ โทชิฮิโระรับปากออกไป







“พอลืมตาอีกครั้ง ข้าก็มาอยู่ในร่างนี้ ไร้พลังใดๆ ไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง”


ระยะแรกเขาต้องทนอยู่กับความเกลียดชังต่อตัวเอง และต่อมนุษย์รอบกาย ด้วยสภาพร่างกายนี้โทชิฮิโระจึงจำต้องใช้ชีวิตในโลกของมนุษย์ตามไปด้วย แต่พอเวลาผ่านไปโทชิฮิโระได้บอกกับตัวเองว่าอย่าได้ใส่ใจ รอวันใดที่เขาได้พลังกลับคืนมา ค่อยแก้แค้นยังไม่สาย


“แล้วทำไมท่านถึงมาหาข้า” อดีตของโทชิฮิโระอาจจะเจ็บปวด แต่อาคาเนะยังคงมองไม่เห็นว่าตัวเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้บังเอิญพบเจอกัน


“ข้าเลือกแล้วอาคาเนะ เลือกมาตั้งแต่ต้น”


โทชิฮิโระเป็นคนพูดไว้เอง และอาคาเนะเชื่อว่าคำพูดนั้นมีความนัยแฝงอยู่


“ท่านผู้นั้นเป็นคนบอกเรื่องเจ้ากับข้า”


“เทพที่ช่วยท่าน?” โทชิฮิโระพยักหน้าลงแทนคำตอบ แต่มันทำให้อาคาเนะสับสนยิ่งกว่าเดิม รู้อยู่แล้วว่าโทชิฮิโระเข้าหาเขาเพราะมีจุดประสงค์ แต่พอได้ฟังตรงๆ กลับรู้สึกราวกับคนขาดอากาศ


“ข้าไม่เข้าใจ ตัวข้ามีอะไร พวกท่านถึงต้องมาวุ่นวายด้วย” อาคาเนะพยายามขืนตัวออกห่าง แต่โทชิฮิโระยังคงเหนี่ยวรั้งตัวเขาเอาไว้


ทั้งที่จะผลักให้กระเด็นเลยก็ยังได้


ด้วยร่างปีศาจอาคาเนะย่อมมีกำลังมากกว่าโทชิฮิโระ น่าเสียดายที่เขาปล่อยให้ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลต่อตัวเองมากเกินไปจึงยอมโอนอ่อนต่อสัมผัสจากโทชิฮิโระอยู่เรื่อย


“ชู่ว ใจเย็นๆ ข้าไม่รู้ว่าเขาสนใจอะไร เขาอาจเป็นคนสั่งให้ข้ามา แต่คนที่ทำให้ข้าอยากจะทำดีด้วยคือเจ้า” โทชิฮิโระรั้งตัวอาคาเนะมากอดไว้แนบอก คืนนี้อาจเป็นคืนที่เขาพูดความจริงกับอาคาเนะมากที่สุดแล้วก็เป็นได้


ใช่ เขามาพบเด็กหนุ่มคนนี้เพราะคำพูดของคนอื่น แต่เพราะความทะนงในวันแรกที่เจอทำให้เขานึกอยากกำราบลงให้ได้ เพราะความซื่อตรงที่อาคาเนะแสดงออก ไม่ว่ายามหัวเราะหรือร้องไห้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้โทชิฮิโระยอมรับผิดอยู่ต่อหน้าอาคาเนะในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะคำสั่งใดๆ เลย


“จริงนะ” จิ้งจอกน้อยเงยมองคนที่กอดตัวเองอยู่ตาใส หูแหลมตั้งตรงราวกับกำลังรอคอยคำตอบ อาคาเนะคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองในสภาพนี้น่ารักขนาดไหน


“ใครจะหลอกจิ้งจอกน้อยได้ลง น่ารักขนาดนี้”


“อย่าเรียกข้าแบบนั้นนะ!” มือของอาคาเนะทุบใส่อกโทชิฮิโระจนแทบจุก

 
“มือหนักนะเจ้า”


“สมน้ำหน้า ยังไม่ได้คิดบัญชีที่เรียกข้าว่าสัตว์เลี้ยงด้วย” อาคาเนะหน้าหงิก นึกแล้วยังเคืองไม่หาย มาหาว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงได้อย่างไร สุนัขจิ้งจอกใช่สัตว์เลี้ยงที่ไหนกัน


“แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไร ที่รักดีไหม”


“ท่าน!” เพียงเท่านั้นอาคาเนะก็กระโจนเข้าใส่โทชิฮิโระจนหงายหลังลงไปด้วยกัน เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากคนที่ต้องคอยคว้าข้อมืออาคาเนะเอาไว้กันเล็บคมๆ มาตวัดโดนหน้า ยิ่งโทชิฮิโระหัวเราะ คนข้างบนยิ่งโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ


ให้ค่ำคืนนี้ได้จบลงด้วยเสียงหนวกหูของทั้งสอง แทนความเศร้าอันเงียบเชียบที่ปกคลุมอยู่หลายคืน




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


มาแล้วค่าาา คว่ำชามมาม่าชามที่หนึ่ง (หืมมม)

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่า เจอกันใหม่ปีหน้า

ว่าแต่...เรียก 'ที่รัก' ได้ไหม  :mew3:




ใครเป็นคนทำให้โทชิฮิโระต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์ ใช่อาคาเนะรึ
ป่าวคงต้องดูตอนต่อไป

สิ้นปีนี้ยังไม่แพลนไปไหนเลยค่ะ   :m15:

รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4:

มาเสิร์ฟแล้วนะคะ จะว่าเฉลยแล้วก็ยังเฉลยไม่สุด แต่เค้าดีกันแล้วแหละ  :-[



ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
อ้าววววว ดีกันเฉยเลย นึกว่า ดราม่า SM ซะอีกกกกก 5555555555

แต่ว่านะคะ "คนที่ไว้ใจร้ายที่สุดเลย" งื่อออออออออ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย สารภาพว่าอ่านจนจบแล้วเหมือนกัน 5555 นิยายน่ารักค่ะ

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

บทที่ 13

ดอกไม้สีขาว






กลิ่นหอมละมุนของดอกสึซึรันมักจะห้อมล้อมอยู่รอบตัว ‘นาง’ เสมอ ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์ดูแล้วบอบบางจนเขาไม่คิดอยากจะเข้าใกล้


เพราะหากแตะต้องแรงเกินไป อาจจะแตกสลายไปเสียก่อน


“ท่านหญิง! ช้าหน่อยเจ้าค่ะ ช้าลงหน่อย” เสียงอ้อนวอนโหยหวนขนาดนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ปกติผู้หญิงคนนั้นออกจะเจียมเนื้อเจียมตัวและสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีบางสิ่งแปลกไปจนเขาต้องออกมาดู


“โอ๊ย ลมจะใส่ ถ้าเกิดนายท่านรู้เข้า ต้องเป็นเรื่องแน่ๆ” สตรีร่วงท้วมกำลังยืนปาดเหงื่อด้วยท่าทางเหนื่อยหนักจนไม่รู้สึกตัวสักนิดว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลัง


“เอะอะอะไรกัน”


“ว้าย! นะ...นายท่าน” ด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ สองขาคนร้องทรุดลงนั่งคุกเข่าราวกับไม่มีกระดูก หมอบตัวคุดคู้อยู่กับพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้น


“ข้าถามว่ามีอะไร”


“คือ...คือ...ท่านหญิง...”


“จับได้แล้ว” ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ คนที่น่าจะเป็นตัวต้นเรื่องก็เดินย้อนกลับมาในสภาพเปื้อนฝุ่น หญิงสาวเบิกตากว้าง รีบกระหวัดแขนเสื้อขึ้นคลุมบางสิ่งในอ้อมแขนเมื่อเห็นว่านอกจากผู้ติดตามของนางแล้วยังมีชายอีกคนยืนอยู่ด้วย


“ท่านโทชิฮิโระ” ดวงตาของนางหลุบต่ำ เป็นสัญญาณของการทำผิด


“อะไรอยู่ในมือเจ้า” น้ำเสียงราบเรียบทำให้นางก้มหน้าลงมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้ติดตามของนางอีกคนที่ทำท่าราวกับอยากจะมุดลงไปใต้พื้นเสียให้ได้


“สึซึรัน” น้อยครั้งนักที่เขาจะเอ่ยชื่อนี้ ด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าจะต่างคนต่างอยู่ แต่ใช่ว่านางมีสิทธิ์จะทำทุกสิ่งได้ตามใจไปเสียหมด
เจ้าของชื่อเม้มปากด้วยความลังเล ก่อนจะค่อยๆ ยื่นสิ่งที่กอดเอาไว้ออกมาให้ดู


สิ่งมีชีวิตขนฟูสีขาวหม่นมอมแมมไปด้วยฝุ่นไม่ต่างจากคนที่อุ้มมัน ดวงตาสีเหลืองใสหรี่ลงจนเป็นเส้นเมื่อต้องแสง


“แมว” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดยุ่ง ทั่วปราสาทของเขาอึกทึกวุ่นวาย เป็นเพราะแมวตัวหนึ่ง?


“ข้าคิดว่ามันคงหลงเข้ามา” หญิงสาวเอ่ยเสียงค่อย เสมองไปทางอื่นด้วยไม่กล้าสู้หน้าเจ้าของปราสาท


“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า” ถึงจะไม่ได้มีภูติรับใช้มากนัก แต่แค่จับแมวออกไปปล่อย ดูไม่ใช่สิ่งที่สึซึรันต้องทำสักนิด


“ข้า...แค่อยากจะเล่นด้วย” มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ เมื่ออ่อนแอจึงชอบที่จะอยู่รวมกันเป็นหมู่มาก นานแล้วที่นางแยกจากครอบครัว คงไม่แปลกหากนางจะอยากได้สัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อน


“ถ้าอยากจะเลี้ยงมันก็ตามใจ อย่าให้มันมายุ่งกับข้าก็พอ” โทชิฮิโระตัดบท เขาไม่ชอบเข้าใกล้นาง ไม่อยากยุ่งให้มาก แต่เพียงเท่านั้นสีหน้าหม่นเศร้าก็กลับกลายเป็นยิ้มกว้างอย่างสดใส อารมณ์ของมนุษย์ช่างเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ถึงไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย


“ดีจังเลยนะคุโระ”


“คุโระ? มันไม่ได้สีดำสักหน่อย” โทชิฮิโระลืมตัวถามออกไปก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ สึซึรันมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ สักพักก็ยิ้มราวกับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเพิ่งเกิดขึ้น


“หางของมันเป็นสีดำเจ้าค่ะ” หางเรียวยาวของเจ้าแมวถูกดึงออกมาเพื่อยืนยันคำพูด มันสะบัดออกคล้ายไม่พอใจ แต่ยังยอมถูกอุ้มเอาไว้


“ข้าไม่อยากเรียกมันเหมือนกับที่ทุกๆ คนจะเรียก เมื่อเห็นมันด้วย” นิ้วเรียวเกาคางให้เจ้าแมวที่หลับตาพริ้มอย่างพึงพอใจ โทชิฮิโระไม่เอ่ยอะไร เขาเพียงหันหลังให้แล้วเดินจากมา







กริ๊ง...


เสียงกระพรวนกังวานใสดังแว่วท่ามกลางความเงียบ ช่วยปลุกคนที่กำลังหลับให้ตื่นขึ้นจากความฝัน ความฝันที่สะท้อนภาพจากอดีตอันห่างไกล


มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบผ่านใบหน้า กดย้ำเบาๆ บนดวงตาก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น ทุกอย่างรอบกายยังอยู่ในความมืด แขนอีกข้างถูกใครบางคนยึดไว้อยู่ พอเอื้อมไปแตะแก้ม หูแหลมก็เริ่มกระดิกพร้อมกับดวงตาสีแดงใสที่หรี่ขึ้นมองเขาเพียงข้างเดียวในสภาพพร้อมจะหลับต่อ


“ไม่มีอะไร หลับไปเถอะ” เสียงทุ้มกระซิบบอก อาคาเนะทำตามอย่างว่าง่าย ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเก็บความลับกับโทชิฮิโระอีกต่อไป เด็กหนุ่มเลยปล่อยตัวให้ได้หลับสบายในร่างจิ้งจอก


ผู้หญิงคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว


เป็นเพียงเศษซากความทรงจำที่ควรถูกกลบฝังไปกับกาลเวลา


โทชิฮิโระออกแรงดันตัวอาคาเนะให้เข้ามาใกล้มากขึ้น ด้วยความง่วงสะสมทำให้อาคาเนะยอมร่วมมือโดยไม่แม้แต่จะลืมตา คนที่ยังตื่นเป็นฝ่ายพลิกตัวเข้าหา โอบกอดคนหลับเอาไว้ด้วยสองแขน


หากความฝันคือตะกอนของความทรงจำ


คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะล้างตะกอนพวกนั้นออกไปเสียที







ยิ่งใกล้ฤดูหนาวมากเท่าไร เหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ต่างยิ่งพากันผลัดใบลงมามากเท่านั้น สวนที่เคยเขียวชอุ่มด้วยต้นหญ้าจึงถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้สีน้ำตาลแห้งเมื่อถึงตอนเช้าเสมอ


เสียงไม้กวาดลากผ่านใบไม้แห้งดังเคล้าไปเสียงฮัมทำนองเพลงในลำคอของคนตื่นแต่เช้า เป็นเพราะโทชิฮิโระบอกว่าจะกลับเร็ว อาคาเนะเลยต้องตื่นเช้าตามไปด้วย ถึงจะถูกบอกให้กลับไปนอนต่อ แต่เดาว่าเมื่อคืนเขาคงหลับสนิทจนอาการเพลียหายไป เลยไม่อยากกลับไปนอนต่ออีกแล้ว


“ถึงจะทำเป็นขยันไป ข้าก็ไม่จ่ายให้เจ้าเพิ่มหรอกนะ”เจ้าของร้านเดินโงนเงนมาหาพลางยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด พอเห็นโคคิยืดแขนบิดขี้เกียจอยู่ใกล้ๆ อาคาเนะเลยแกล้งกวาดใบไม้ไปใส่ขา


 “เฮ้ยๆ ทำอะไรของเจ้า”


“อ้าว ขออภัยข้านึกว่าขยะ”


“อาคาเนะ” โคคิกดเสียงต่ำ ไม่รู้ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ถึงชอบปากดีใส่เขาอยู่เรื่อย กับซาโตรุเห็นออกจะเชื่อฟัง เรียกพี่ไม่เคยขาดปาก


“ต่อล้อต่อเถียงได้นี่แสดงว่าหายซึมแล้วใช่ไหม”


“สายตาท่านดูไม่ออกหรือ” อาคาเนะยักคิ้วให้ ทำเอาโคคิแทบอยากยกขาเตะเข้าให้สักที


“เจ้านี่เลี้ยงง่ายดีนะ มีอะไรจับโยนให้โทชิฮิโระเป็นอันใช้ได้ โอ๊ย!” ด้ามไม้กวาดฟาดใส่หน้าแข้งโคคิจนเจ้าตัวร้องลั่น ข้อได้เปรียบของอาคาเนะคืออายุที่น้อยกว่าทำให้ไม่ต้องมัวมาห่วงว่าใครจะมองอย่างไร ถ้าเจ้านายทำตัวน่าตีก็แค่ตีไปเลย


“เจ้าเด็กนี่!”


“เสียงพวกเจ้านี่ปลุกคนได้ดีจริง” การมาถึงของซาโตรุช่วยให้หมีที่กำลังเริ่มแยกเขี้ยวยอมถอยห่างจากอาคาเนะ แต่ยังไม่วายชี้นิ้วคาดโทษเอาไว้ ส่วนอาคาเนะไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ ซ้ำยังแอบแลบลิ้นใส่โคคิระหว่างที่ซาโตรุมองไม่เห็นด้วย


“ท่านโทชิฮิโระกลับไปแล้วหรืออาคาเนะ”


“ขอรับ กลับไปแต่เช้าตรู่ เห็นว่าจะไปธุระสักสองสามวัน” ปกติเวลาโทชิฮิโระจะหายไป มักหายไปเงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าว คราวนี้ยอมออกปากล่วงหน้าคงเป็นธุระที่สำคัญพอดู


“ข้าว่าเจ้าควรเริ่มคิดเรื่องค่าไถ่ตัวอาคาเนะได้แล้วโคคิ”


“พี่ซาโตรุ!” อาคาเนะร้องเสียงหลง ไม่คิดเลยว่าวันนี้พี่ชายแสนดีจะหันไปรวมหัวกันแหย่เขาร่วมกับโคคิ


“ถูกของเจ้า อาการหนักขนาดนี้ต้องรีบเรียกเงินก่อนคนของเราจะหนีตามเขาไปเอง” พอเห็นอาคาเนะเอาแต่อ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก โคคิเลยยิ่งได้ใจทำเป็นตามน้ำไปกับซาโตรุ


“ข้าไม่หนีตามใครทั้งนั้น!”


“หืม แค่ตอนนี้หรือเปล่า ชอบเขาก็บอกเขาไป ผู้ใหญ่จะได้คุยกันเข้าใจไหมอาคาเนะ”


“เงียบไปเลยโคคิ!” อาคาเนะแทบจะขว้างไม้กวาดในมือใส่เจ้าของร้านผู้ลอยหน้าลอยตายั่วเย้าเขาอยู่หลังซาโตรุ ถ้าไม่กลัวว่าโคคิจะหลบทันรับรองว่าเขาขว้างไปแน่


ระหว่างที่จิ้งจอกและหมีกำลังกัดกันโดยมีซาโตรุยืนมอง ได้มีเสียงไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบลง แล้วก้มลงมองที่มาของเสียงนั้น


ไม่ไกลจากเท้าของอาคาเนะมีแมวตัวหนึ่งนั่งเอียงคอมองพวกเขาอยู่ มันอ้าปากร้องด้วยเสียงเดิมอีกครั้ง แทนการยืนยันว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่คือมันเอง เส้นขนบนลำตัวของมันแทบทั้งหมดเป็นสีขาวกระจ่าง ยกเว้นเพียงหางที่เป็นสีดำสนิท รอบคอมีเชือกคล้องกระพรวนผูกไว้อยู่


อาคาเนะชักเท้าหนี รู้สึกแปลกประหลาดกับแมวตัวนี้ มันแหงนคอขึ้นมองสบตาเขา ราวกับว่าดวงตาสีอำพันคู่นั้นสื่อสารบางอย่าง แต่พอทำท่าจะเอื้อมมือไปจับ มันกลับพองขนขู่ก่อนกระโจนขึ้นต้นไม้ แล้วกระโดดข้ามกำแพงหายไปอย่างรวดเร็ว


“แมวของใครกัน” เจ้าของร้านถามพลางเลิกคิ้ว


“ไม่รู้ ไม่เคยเห็น แต่คล้องกระพรวนคงมีใครสักคนเลี้ยงไว้”


“ข้าไม่ชอบแมว อ่านความคิดพวกมันไม่ออก” โคคิทำสีหน้าเบื่อหน่าย แมวแทบทุกตัวที่เขาเคยเจอมาล้วนเอาแต่ใจ เคยคิดว่ามนุษย์เป็นเจ้านายตัวเองบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้


“อาคาเนะ เป็นอะไรหรือเปล่า” พอเห็นว่ายังมีอีกคนเอาแต่ยืนเหม่อ ซาโตรุเลยเข้าไปแตะไหล่ อาคาเนะหันกลับมามองมือข้างนั้นก่อนส่ายหน้า


“เปล่าขอรับ ไม่ได้เป็นอะไร”


“เอาไว้ค่อยมากวาดต่อ ไปกินข้าวเช้าได้แล้ว เจ้าด้วยโคคิ” ซาโตรุฉวยไม้กวาดในมืออาคาเนะไปวางพิงไว้กับต้นไม้ พลางโบกมือไล่ให้ทั้งสองคนกลับเข้าข้างใน


อาคาเนะเพียงเหลือบตามองย้อนกลับไป บางสิ่งในตัวเขาบอกว่าแมวตัวนั้นมีอะไรสักอย่างต่างจากปกติ เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าคืออะไร







เมื่อไม่เหลือใครอยู่ในสวน เสียงกระพรวนได้ดังขึ้นอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนกระโดดลงมาจากกำแพง เส้นผมสีขาวโพลนพลิ้วไหวยามต้องสายลมอ่อน นิ้วทั้งห้าที่มีเล็บยาวแหลบคมค่อยๆ เอื้อมไปหยิบไม้กวาดมาถือเอาไว้ ดวงตาสีเหลืองทองหรี่มองมันก่อนหันมองไปตามทางที่ทั้งสามคนเดินจากไป



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


Happy new year 2017 ค่ะ  :mc4: :mc4:

วันนี้วันเริ่มต้นปีใหม่ เลยมีรอบเช้าเพิ่มพิเศษ เพราะตั้งใจจะมาทักทายทุกคนก่อน เดี๋ยวค่ำๆ จะมาลงอีกตอนตามปกติค่า


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและมาเม้นต์คุยกันนะคะ ขอฝากตัวต่อไปนะคะ  :L2: :L2: :L2:




อ้าววววว ดีกันเฉยเลย นึกว่า ดราม่า SM ซะอีกกกกก 5555555555

แต่ว่านะคะ "คนที่ไว้ใจร้ายที่สุดเลย" งื่อออออออออ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:

S..M... ฝีมือยังไม่ถึงค่ะ ถึงพระเอกจะพอมีความ S บ้างก็ตาม  :z1:




อย่าว่าแต่คนอื่นเลย สารภาพว่าอ่านจนจบแล้วเหมือนกัน 5555 นิยายน่ารักค่ะ

 :pig4: ขอบคุณค่าาา มีคนชอบด้วย  :katai2-1: ขอภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ ถ้าอ่านฉบับจบแล้วก่อนแก้ คงมีจุดผิดเยอะมากกก

ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 14

ความไว้ใจ






รสเลือดที่ไหลลงคอขมปร่ากว่าที่เคยรู้สึก ท่อนแขนที่คว้ามาเพื่อขอแบ่งเลือดถูกโยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจนัก อาคาเนะใช้หลังมือเช็ดมุมปากพลางขมวดคิ้ว


รสเลือดของมนุษย์คนอื่นแย่ลงสำหรับเขา ต้องโทษโทชิฮิโระที่สร้างความเคยชินแปลกๆ ให้ ไม่ต่างกับมนุษย์ที่พอชื่นชอบอาหารรสมือใครสักคนแล้วมักจะมองว่าคนอื่นทำไม่อร่อย มันหมายถึงเขากำลังติดรสเลือดของโทชิฮิโระ


แม้อีกฝ่ายจะบอกว่ายินดีมอบให้แต่อาคาเนะไม่ชอบใจ เขาไม่ต้องการผูกติดทุกสิ่งไว้กับโทชิฮิโระ หากต้องรอคนเพียงคนเดียวมาคอยให้อาหาร เขาคงต้องกลายเป็นแค่สัตว์เลี้ยงในสักวันแน่


ใครจะยอม


หูข้างหนึ่งของอาคาเนะกระดิกเพราะรับรู้ได้ถึงเสียงกังวานใสจากที่ไกลๆ เด็กหนุ่มพาตัวเองไปยังริมหน้าต่าง เพ่งสายตามองออกไป ขอบคุณแสงไฟจากย่านราตรีที่ช่วยให้ข้างนอกยังมีแสงสว่างเพียงพอให้มองรอบด้านได้


บนหลังคาซุ้มประตูหลังของร้านมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมา แม้เพิ่งเห็นเพียงครั้งเดียวแต่อาคาเนะจำได้ นั่นคือแมวตัวที่เจอเมื่อกลางวัน มันเดินวนเป็นวงกลมโดยไม่ยอมละสายตาจากเขา ราวกับกำลังเรียกให้ไปหา


อาคาเนะเหลือบมองแขกของคืนนี้ที่กำลังนอนหลับสบายอุราอยู่บนฟูกก่อนหันไปมองแมวตัวนั้นอีกครั้ง เมื่ออยู่ในร่างนี้อาคาเนะรับรู้ได้กลิ่นว่าแมวที่กำลังจ้องมองเขาไม่ใช่เพียงสัตว์ตัวหนึ่ง คงดีกว่าหากมันจะไปให้ไกลจากร้านนี้


“แค่กลับก่อนตะวันขึ้นคงพอ” ยาของเขาจะทำให้แขกผู้นี้หลับฝันดีไปจนฟ้าสาง ระหว่างนี้ต้องรีบจัดการเรื่องยุ่งให้เสร็จ ก่อนที่จะมีใครรู้ว่าเขาหายไป


วูบหนึ่งในความคิด ภาพวันที่อาคาเนะไปเฝ้าอาการโทชิฮิโระจนกลับมาสายปรากฏขึ้นมา มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่อาคาเนะแอบออกไปข้างนอกแล้วกลับมาไม่ทันตะวันขึ้น เด็กหนุ่มสะบัดหน้าเบาๆ เพื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกไป คราวนี้ถ้าเขาถูกจับได้ คงไม่มีใครมาแก้ตัวให้อีก


ทันทีที่อาคาเนะก้าวขาขึ้นขอบหน้าต่าง เจ้าแมวขาวก็กระโดดลงจากหลังคา ทำให้อาคาเนะต้องรีบเร่งไล่ตามไป แม้จะตัวเล็กและกระโดดได้สั้นกว่าอาคาเนะ แต่นับว่ามันว่องไวมาก ไม่นานพวกเขาก็ออกห่างจากย่านราตรีสู่ถนนกว้างอันเงียบสงบ


ช่วงกลางวันถนนเส้นนี้คือทางสายตรงออกสู่นอกเมืองจึงมักมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ แต่กลางดึกเช่นนี้กลับเงียบสงัด เงียบจนได้ยินแม้เสียงลมพัดใบไม้ไหว


เจ้าแมวขาวหยุดลงตรงกลางถนน มันหันกลับมาหาอาคาเนะแล้วยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นโดยมีควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินรอบตัว ร่างของมันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป สองขาหลังกลายเป็นเท้า อุ้งเท้ากลายเป็นมือ และมีใบหน้าไม่ต่างจากสตรีชาวมนุษย์ ทั้งยังมีความงดงามทว่าเรียบนิ่ง เส้นผมสีขาวยาวเหยียดตรงโดดเด่นในความมืด


“มีธุระอะไรกับข้า” อาคาเนะลองถามเพื่อหยั่งเชิง เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่แมวธรรมดา และคงเรียกออกมาเพื่อพูดบางสิ่ง หญิงสาวกำลังเริ่มขยับปาก


ทว่าตอนนั้นเองที่มีแท่งน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่นางดุจคมหอกจนต้องกระโดดถอยหลังเพื่อหลบแล้วกลับคืนสู่ร่างแมวทันที


“ขออภัย พอดีมีคนไหว้วานข้าเอาไว้ว่าให้ช่วยดูแลเด็กคนนี้จนกว่าเขาจะกลับ” สายลมเย็นยะเยือกพัดมาจากด้านหลังจนอาคาเนะเผลอห่อไหล่ เมื่อหันกลับไปจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร


“ท่าน...” อาคาเนะนึกชื่อของนางไม่ออก จำได้เพียงว่านางคือผู้หญิงที่เคยเจอในห้องกับโทชิฮิโระมาก่อน


“ข้าชื่อคาสุมิ แต่เดี๋ยวเราค่อยคุยกันน่าจะดีกว่า” คาสุมิก้าวผ่านอาคาเนะไปด้านหน้า หรี่ตามองแมวตัวจ้อยที่กำลังตั้งท่าราวกับเสือที่พร้อมตะปบเหยื่อ


“จงไปเสีย ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้า” คำว่า ‘ฆ่า’ ที่ออกจากปากคาสุมิช่างเย็นเยียบไม่ต่างจากบรรยากาศรอบตัวนาง ผู้หญิงคนนี้ดูต่างไปจากครั้งแรกที่อาคาเนะได้เจอราวกับคนละคน


ไอเย็นทำให้ผิวดินถูกน้ำแข็งเกาะกระจายเป็นวงกว้างขึ้นทีละน้อยและค่อยๆ ลามไปทางที่แมวสีขาวยืนอยู่ มันมองตรงไปยังอาคาเนะครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจถอยเท้าหนีแล้ววิ่งหายไปในความมืด


“หนาวหรืออาคาเนะ” คาสุมิถามด้วยรอยยิ้มเมื่อหันกลับมาเห็นว่าอาคาเนะกำลังถูมือกับต้นแขนของตัวเองอยู่


“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้”


“เราย้ายที่คุยกันไหม” ปีศาจหิมะปัดคำถามของอาคาเนะด้วยคำถามใหม่ เกิดมีใครมาเจอปีศาจสองตนยืนคุยกันกลางถนนคงไม่ดีนัก อาคาเนะหลุบตาลงแล้วจึงพยักหน้า







สถานที่ที่คาสุมิเชื้อเชิญมาคือคฤหาสน์ที่อาคาเนะรู้จักดี พอเห็นคาสุมิเปิดประตูเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของแล้วชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างน่าประหลาด โทชิฮิโระยังคงมีปริศนาอีกมากมายนัก รวมถึงเรื่องสหายคนนี้ด้วย


“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถูกไหว้วานให้ดูแลเจ้า” เห็นจิ้งจอกน้อยระแวงทุกย่างก้าวที่นางขยับแล้วคาสุมิรู้สึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ช่างเป็นจิ้งจอกที่เชื่องกับเฉพาะบางคนเสียจริง


“โทชิฮิโระไหว้วานท่านหรือ”


“นอกจากเขาจะมีใคร อ้อ...” ปีศาจหิมะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเดินเข้าไปหาอาคาเนะ ไล้ปลายนิ้วไปบนไหล่ของเด็กหนุ่มจากด้านซ้ายไปขวาพลางกระซิบ


“ยังหึงหวงโทชิฮิโระกับข้าอยู่หรือหนุ่มน้อย”


“เปล่า” อาคาเนะดึงมือของคาสุมิออกด้วยสีหน้าบึ้งตึง จะหึงหรือไม่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน ไม่เกี่ยวกับคาสุมิ ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเพียงคำยั่วยุ


“อย่าอารมณ์เสียไป ข้าอยู่ข้างพวกเจ้านะ” ถึงจะคบหาเพื่อผลประโยชน์ แต่ตราบเท่าที่มีประโยชน์ต่อกันย่อมนับว่าเป็นพวกเดียวกันได้ คาสุมิย่อตัวลงนั่งพลางตบมือลงบนพื้นเสื่อเพื่อเรียกให้อาคาเนะนั่งตาม แม้จะไม่เต็มใจแต่อาคาเนะก็นั่งลงโดยที่คิ้วยังขมวดแน่น


“พวกท่านตั้งใจทำอะไรกันแน่ แล้วแมวตัวนั้นใคร” ตั้งแต่โทชิฮิโระก้าวเข้ามาในชีวิต หลายสิ่งรอบตัวอาคาเนะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น ไหนจะเทพผู้ติดอยู่ในร่างมนุษย์ ไหนจะปีศาจหิมะ แล้วยังปีศาจแมวอีก ดูท่าอาคาเนะคงเสียชีวิตอันสงบสุขไปแล้ว


“คำถามแรกข้าไม่ใช่คนที่ควรตอบ เพราะเป้าหมายของข้าและโทชิฮิโระแตกต่างกัน เราเพียงพึ่งพากันบ้าง ข้าว่าโทชิฮิโระไม่อยากจะนับข้าเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ”


คาสุมิไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ นางไม่สนใจอยู่แล้วว่าโทชิฮิโระและอาคาเนะจะมองนางอย่างไร ขอเพียงไม่ขัดขวางเส้นทางกันเป็นพอ


“แต่ปีศาจแมวตนนั้น จงอยู่ให้ห่างมันไว้”


“ทำไม”


“เวลาผู้ใหญ่เตือนเจ้าควรฟังนะอาคาเนะ” คาสุมิยังแย้มยิ้ม ทว่าดวงตาของนางกลับแข็งกร้าวขึ้น อาคาเนะจึงเม้มปากแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น


“โทชิฮิโระเล่าเรื่องที่ต้องย้ายวิญญาณให้ฟังแล้วใช่ไหม” หูของอาคาเนะตั้งตรงขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนั้น อดีตที่โทชิฮิโระแทบไม่อยากเอ่ยถึง คาสุมิกลับรู้เรื่องด้วย


“นายของข้าคือคนที่ช่วยชีวิตโทชิฮิโระเอาไว้ แน่นอนว่าข้าต้องรู้เรื่องด้วย” เมื่อถูกมองด้วยสายตารู้ทันอาคาเนะจึงแสร้งทำเป็นกระแอมกระไอ ท่องไว้ในใจว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างกับนิสัยคิดมากของตัวเอง โชคดีที่โทชิฮิโระไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกล้อเลียนแน่


“เขาบอกว่าถูกมนุษย์ทรยศ...”


“บอกหรือเปล่าว่าโดยใคร” อาคาเนะยังไม่ทันได้พูดจบ คาสุมิก็ขัดขึ้นเสียก่อน คำถามนั้นก่อให้เกิดความเงียบอันหนักอึ้ง โทชิฮิโระไม่ได้บอก ซ้ำยังทำราวกับว่าเป็นอดีตที่ไม่อยากจะพูดถึง อาคาเนะจึงทำได้เพียงส่ายหน้า


“ในโลกนี้ ไม่ว่ากับเทพ มนุษย์ หรือปีศาจ อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดคือความเชื่อใจ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ทรงอำนาจสักแค่ไหน หากเผลอไว้ใจคนผิด ย่อมต้องจ่ายค่าความผิดพลาดนั้นด้วยราคาแพงเสมอ”


ดวงตาของคาสุมิหรี่ลงยามนางเบือนหน้ามองออกไปด้านนอกพลางลูบข้อมือตัวเอง อาคาเนะคิดว่าเห็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนหลังมือนั้น รอยยิ้มของปีศาจหิมะจางหายไป ราวกับว่านางกำลังพูดเรื่องราวของตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย


“ข้ารู้” ความรู้สึกยามคิดว่าถูกคนที่ไว้ใจที่สุดทรยศ อาคาเนะเคยรับรู้มาแล้ว มันทั้งเจ็บปวดและขมขื่น จะโกรธก็ไม่สามารถโกรธจนถึงขั้นเกลียดกันได้ จะยกโทษก็เหมือนมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่ในอก


“โทชิฮิโระ ชายผู้นั้นเคยเป็นถึงหนึ่งในปีศาจไม่กี่พวกที่ถูกยกให้เป็นเทพเจ้า สัตว์เทพที่บินไปบนฟ้าและควบคุมน้ำได้ดั่งใจ” คาสุมิแบมือขวาออกมาตรงหน้า


ละอองหิมะสีขาวหมุนวนเหนือฝ่ามือนางแล้วค่อยๆ จับตัวเป็นรูปร่างของมังกรขนาดจิ๋ว มังกรหิมะตัวยาวเคลื่อนตัวเลื้อยไปในห้วงอากาศสะกดสายตาอาคาเนะให้จับจ้องไปที่มัน


แม้จะรู้อยู่แล้วว่าโทชิฮิโระเคยมีคนเคารพมาก่อน แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นมังกร สัตว์เทพชั้นสูงเช่นนั้นไม่แปลกเลยที่จะรังเกียจตัวเองเมื่อต้องกลายเป็นมนุษย์


“แต่แล้ววันหนึ่ง เหล่ามนุษย์ก็ได้มอบบรรณนาการที่คาดไม่ถึงมาให้” มือซ้ายของคาสุมิสร้างรูปหิมะของสตรีผู้หนึ่งขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ นำทั้งสองมือเข้าใกล้กัน


“มนุษย์เชื่อว่าเทพจะพึงพอใจหากมีหญิงสาวบริสุทธิ์ไว้รับใช้ สตรีสูงศักดิ์อย่างบุตรสาวเจ้าเมืองจึงถูกส่งมา ทว่าเทพมังกรกลับไม่เคยใส่ใจนาง เพียงปล่อยให้อาศัยอยู่ใต้ชายคาปราสาทร่วมกันโดยไม่แตะต้อง แม้จะห่างเหินแต่แค่การยอมเก็บมนุษย์ไว้ใกล้ตัวก็นับว่ามากพอแล้ว และเมื่อถึงวันหนึ่ง ความไว้ใจนั้นก็มาก...จนเกินไป”


รูปปั้นหิมะของหญิงสาวแตกสลายไป เหลือเพียงมังกรหิมะที่กำลังดิ้นเร่า บิดลำตัวด้วยท่าทางสุดแสนทรมาน


“อาหารมื้อแรกที่เทพมังกรตัดสินใจยอมรับจากฝีมือของหญิงสาวผู้นั้น หลังเห็นนางอดทนเตรียมมันไว้ทุกวันนานหลายเดือน กลับกลายเป็นมื้อสุดท้าย แท้จริงแล้วนางอดทนรอเพื่อจะได้กำจัดผู้เดียวที่เป็นใหญ่เหนือบิดาของนางออกไป เราไม่รู้ว่านางหาพิษร้ายขนาดนั้นมาจากไหน แต่การเตรียมการไม่ใช่จะทำได้ในวันสองวัน กว่าจะรู้ว่าไว้ใจคนผิดก็ไม่มีทางให้แก้ไขเหลือแล้วสำหรับโทชิฮิโระ”

คาสุมิกำมือเข้าบีบร่างมังกรหิมะแตกกระจายร่วงหล่นลงบนพื้น


“ท่านบอกว่านางเป็นมนุษย์ แต่ผู้หญิงเมื่อครู่นางเป็นปีศาจ”


“เจ้าได้เห็นมังกรในร่างมนุษย์มาแล้ว ยังมีอะไรเป็นไปไม่ได้อีกหรือ” ปีศาจหิมะคลี่ยิ้มบาง อาคาเนะยังเด็กนักสำหรับโลกปีศาจ

 
“ไม่ว่านางจะใช่คนเดียวกับผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ หรือเป็นเพียงปีศาจที่บังเอิญหน้าตาคล้ายกัน แต่เจ้าควรจะจำไว้ให้ดีอาคาเนะ จำไว้ว่านั่นคือใบหน้าของคนที่เกือบฆ่าโทชิฮิโระสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง”


อาคาเนะหลับตาลง ภาพคืนที่โทชิฮิโระนอนหายใจรวยรินท่ามกลางกองเลือดฉายชัดในความทรงจำ


“เข้าใจแล้ว ต่อไปข้าจะระวัง” ใช่ว่าอาคาเนะจะไร้เขี้ยวเล็บเสียเมื่อไหร่ หากอีกฝ่ายมาร้ายเขาย่อมพร้อมที่จะตอบโต้


“เจ้าคงต้องกลับแล้ว ฟ้าใกล้จะสางเต็มที” คาสุมิลุกขึ้นไปเลื่อนบานประตูให้เปิดออก ที่เส้นขอบฟ้าแสงเรืองรองเริ่มทอแสงออกมา อีกไม่นานท้องฟ้าอันดำมืดจะถูกขับไล่ และแทนที่ด้วยผืนฟ้าอันสดใส


“ขอบคุณที่เตือนขอรับ” อาคาเนะเดินมาก้มตัวลงคำนับให้กับคาสุมิ แม้นางจะดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่ก็ถือว่าได้ช่วยเหลือกันเอาไว้ ควรจะกล่าวคำขอบคุณ


“ถ้าโทชิฮิโระรู้จักขอบคุณข้าบ้างคงดี ไปเถิด” คาสุมิก้าวถอยหลังเพื่อเปิดทาง แล้วผายมือไปยังทางออก เฝ้ามองอาคาเนะกระโดดข้ามรั้วหายลับไปแล้วจึงถอนหายใจออกมา


“เด็กดีเช่นเจ้า ขออย่าได้ต้องลงเอยเช่นข้าเลย” สายลมอันหนาวเหน็บพัดวนรอบร่างของปีศาจหิมะ แต่ไม่อาจบดบังแววตาหม่นเศร้าได้ และเมื่อลมสงบลงร่างของคาสุมิก็หายไป เหลือไว้เพียงเกล็ดหิมะที่ค่อยๆ ละลายเป็นหยดน้ำ





•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


มาแล้วตามที่บอก วันนี้มารวดสองตอน เป็นของขวัญเล็กๆ สำหรับปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ค่า   :mew1:



ออฟไลน์ Magdaren

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 15

เทพมังกร






เสียงฝีเท้าม้ายามควบเต็มกำลัง สั่นสะเทือนผืนดินจนเศษก้อนหินพากันกระเด็นกระดอน อาชาสีน้ำตาลแดงควบทะยานสุดแรงเท่าที่มันจะทำได้ ทางดินแห้งแล้งทอดยาวรายล้อมด้วยต้นสนเรียงเป็นแถว จนกระทั่งเมื่อลอดผ่านเสาไม้ที่ตั้งตระหง่านคร่อมถนน เจ้าม้าจึงได้ชะลอฝีเท้าลงตามแรงที่รั้งสายบังเหียนของมัน


เกือกม้าส่งเสียงกุบกับเป็นจังหวะเมื่อมันเหยาะย่าง ระหว่างที่ชายบนหลังม้ากวาดสายตาไปโดยรอบ บ้านเรือนหลายหลังบ้างผุพัง บ้างปิดตาย ราวกับเมืองร้างก็ไม่ปาน


แม้ฤดูหนาวจะทำให้หลายชีวิตแห่งเหี่ยว แต่ในความทรงจำ ต่อให้เป็นวันที่หิมะปกคลุมหนา เมืองแห่งนี้ก็ยังเคยมีชีวิตชีวากว่านี้หลายเท่านัก


โทชิฮิโระลงจากหลังม้าแล้วจูงมันเดินไปช้าๆ รับรู้ได้ว่ามีสายตาหลายคู่ลอบมองมาจากหลังกองไม้เก่า รวมทั้งหน้าต่างบ้านที่เปิดแง้มอยู่


“หลงทางมาหรือพ่อหนุ่ม” หญิงชราผู้หนึ่งส่งเสียงถามมาจากบนสะพานที่โทชิฮิโระกำลังเดินผ่าน เมื่อเห็นเขาหยุดเดินนางจึงเดินเข้ามาหาพลางแย้มยิ้ม


“ถ้าไม่รีบไปไหน ช่วยไปส่งคนแก่กลับบ้านหน่อยได้หรือเปล่า” โทชิฮิโระมองหญิงชราสลับกับม้าของตน วัดจากสายตาแล้วคิดว่านางคงขี่ม้าไม่ไหว ให้ขี่หลังเขาไปน่าจะเหมาะกว่า


“ข้าฝากท่านยายถือสายบังเหียนได้ไหม”







บ้านไม้หลังเล็กตั้งอยู่เกือบสุดขอบเมือง โทชิฮิโระประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่หญิงชราคนนี้สามารถเดินไปได้ไกลถึงกลางเมืองได้ นางขอบคุณด้วยรอยยิ้มและตอบแทนด้วยน้ำชาซึ่งเจือจางจนรสชาติแทบไม่ต่างจากน้ำเปล่า


“ท่านอยู่คนเดียวหรือ” บ้านนี้ค่อนข้างเล็กและแทบไม่มีอะไร แต่ยังดูสมบูรณ์กว่าบ้านใหญ่ๆ หลายหลังจากที่เห็นระหว่างทาง


“มีลูกชาย แต่ออกไปล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อวาน เย็นๆ คงกลับ” กาน้ำชาถูกยื่นให้ แต่โทชิฮิโระเพียงส่ายหน้าแล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ


“แล้วคนเมืองอย่างเจ้ามาทำอะไรบ้านนอกคอกนาอย่างนี้” ไม่ว่าการแต่งตัว เสื้อผ้าสวมใส่ หรือแม้แต่ม้าที่ใช้ล้วนเป็นของมีราคา ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับเมืองเล็กๆ ที่กำลังจะตายแห่งนี้


“ข้าเคยมาเมืองนี้มาก่อน มีโอกาสผ่านมาเลยอยากแวะมาเยี่ยมเพื่อน ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้” โทชิฮิโระโกหกบางส่วน นี่คือเมืองที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาหลายสิบปี แม้ไม่รุ่งเรืองเช่นเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้แร้นแค้นเช่นนี้ ทั้งที่เขาจากไปไม่ถึงสองปีดีด้วยซ้ำ


“งูที่ถูกตัดหัว ต่อให้ร่างกายยังบิดเร่า แต่ไม่นานมันก็ต้องตาย ไม่ต่างอะไรกับเมืองนี้ ถ้าโชคดีเพื่อนของเจ้าคงย้ายไปแล้ว” หญิงชรายิ้มเศร้า เมืองแห่งนี้กำลังตายลงอย่างช้าๆ อีกไม่นานคงไม่มีใครเหลืออยู่อีก


“ท่านหมายความว่าเกิดเรื่องกับเจ้าเมืองหรือ” โทชิฮิโระเพิ่งเอะใจว่าตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาเขายังไม่เห็นแม้เงาของทหารสักคน บรรดาชาวเมืองต่างก็เอาแต่หลบซ่อนด้วย


“กรรมสนอง สมควรแล้วกับเรื่องที่ทำ” น้ำเสียงของหญิงชราแฝงความเหยียดหยัน นางย่นจมูกพร้อมส่ายหน้าไปมา


“ท่านยาย เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ท่านเล่าให้ข้าฟังได้ไหม”


“แลกกับอยู่เป็นเพื่อนคนแก่คนนี้สักพักได้หรือเปล่า” มืออันเหี่ยวย่นตบลงบนหลังมือของโทชิฮิโระเบาๆ ไม่ยากเลยที่เขาจะตอบรับคำขอนั้น







เมืองเล็กๆ ท่ามกลางภูมิประเทศห้อมล้อมด้วยขุนเขา แทบถูกตัดขาดจากเมืองรอบข้าง แต่ด้วยปราการธรรมชาติเหล่านี้เองที่ทำให้เมืองสุขสงบเรื่อยมา แม้กระทั่งในยุคแห่งสงครามก็ยังไม่มีใครคิดว่าที่นี่ควรแค่แก่การเดินทัพมารุกราน


ปัญหาจากมนุษย์หมดไป แต่ปัญหาของเหล่าภูตผีปีศาจยังคงอยู่ ยิ่งห่างไกลความเจริญ ยิ่งถูกครอบงำจากความมืดได้ง่าย ทว่าสวรรค์ก็ยังเป็นใจ ประทานเทพพิทักษ์มาให้กับเมือง


เทพมังกรผู้ครอบครองขุนเขา ขับไล่เหล่าปีศาจออกจากดินแดนของตน การกระทำนั้นกลายเป็นการกำจัดภัยร้ายให้กับชาวเมืองไปในคราวเดียวกัน


ด้วยความตระหนักและซาบซึ้งในบุญคุณนั้น เหล่าผู้คนต่างกราบไว้บูชาเทพมังกร แม้กระทั่งเจ้าเมืองยังคอยถวายเครื่องบรรณาการอยู่เป็นนิจ สืบทอดรุ่นต่อรุ่นเรื่อยมาจนถึงเจ้าเมืองรุ่นสุดท้าย...


ผู้บังอาจคิดร้ายต่อเทพเจ้า


วันนั้นท้องฟ้าแปรปรวน พายุพัดโหมกระหน่ำ เสียงสายลมและเสียงฝนปะปนกับเสียงคำรามอันกึกก้อง ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัวด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนเมื่อทุกอย่างสงบลง ทางการจึงได้มีประกาศลงมา


คำกล่าวของเจ้าเมือง คือการกล่าวหาเทพมังกรว่าเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งที่วางอำนาจปกครองผู้คน เพื่อล้มล้างอำนาจและปลดปล่อยชาวเมืองจึงได้สังหารเทพจอมปลอมไปเสีย


เวลานั้นทุกคนต่างเสียขวัญ แต่ไม่อาจเปิดปากพูดสิ่งใดได้ จำต้องก้มหน้าก้มตาดำเนินชีวิตของตนกันต่อไป ทว่าสวรรค์ย่อมรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เพียงไม่นานหลังจากสิ้นเทพมังกร ปราสาทของเจ้าเมืองได้ถูกปีศาจบุกทำลาย ทุกอย่างวอดวายในชั่วข้ามคืน


เหล่าทหาร ข้ารับใช้ต่างพากันหนีเอาตัวรอด บางคนถึงกับเสียสติร่ำร้องว่าปีศาจจะมาเอาชีวิตทุกคน เจ้าเมืองสิ้นชีพ การปกครองล่มสลาย คนที่มีกำลังพอเริ่มย้ายออกจากเมืองทีละน้อย พวกที่เหลืออยู่ต่างอยู่ด้วยความหวาดระแวง ซ้ำร้ายพอไร้กองทหารปกป้องเมือง พวกโจรป่าก็เริ่มเข้ามาบุกปล้น เวลานี้จึงเหลือเพียงชาวบ้านผู้แสนยากจนที่ต่อให้อยากหนีก็ไม่รู้จะหนีไปที่ใด







มือของคนฟังกำถ้วยชาในมือแน่นจนมันเริ่มสั่น หญิงชราเอื้อมมือไปแตะมันเบาๆ เพื่อเรียกสติของโทชิฮิโระกลับมา นางแกะมือเขาออกแล้วนำถ้วยชาวางลงพลางยิ้มให้


“บ้านข้าแทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว อย่าทำลายถ้วยชาของข้าเลย”


“ข้า...ขอโทษ” โทชิฮิโระเอ่ยเสียงค่อย นี่ไม่ใช่คำขอโทษต่อเรื่องถ้วยชา แต่เป็นคำขอโทษสำหรับการที่เขามัวแต่หน้ามืดตามัวอยู่กับความแค้นของตัวเองจนหลงลืมไปว่าเคยมีชีวิตอีกนับร้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาของเขา


เจ้าเมืองผู้นั้นตายไปเขาควรสะใจ แต่ชาวเมืองคนอื่นเล่า เหล่าผู้คนที่ไม่ได้ล่วงรู้สิ่งใดกับแผนการของเจ้าเมือง ควรแล้วหรือที่พวกเขาจะต้องมาชดใช้ด้วย


“ไม่ต้องขอโทษ เรื่องมันเศร้าข้ารู้ แต่ข้าก็ชินเสียแล้ว” รอยยิ้มของหญิงชรา ยิ่งทำให้โทชิฮิโระไม่กล้าสบตานาง เมื่อครั้งเขายังเป็นมังกร เขาไม่เคยก้มลงมองมาข้างล่าง ไม่เคยรู้ว่าชาวเมืองใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่อย่างน้อยเมืองที่เห็นจากหางตาก็ไม่ได้น่าหดหู่ถึงเพียงนี้


“ท่านยายไม่โกรธแค้นบ้างหรือ กับการที่ท่านต้องมาลำบากถึงเพียงนี้”


“แค้น? แล้วเจ้าจะให้ข้าไปแค้นใคร” คำถามนั้นโทชิฮิโระไม่สามารถตอบได้ เขาเพียงก้มหน้าลงแล้วเบือนสายตาไปทางอื่น


“ท่านเทพมังกร ท่านเจ้าเมืองล้วนตายไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะชดใช้ได้อีก หรือเจ้าอยากให้ข้าโทษฟ้าโทษสวรรค์ที่ทำลายเมืองนี้ลง”


เพราะเทพมังกรถูกสังหารปีศาจจึงบุกเข้ามาได้ เวลานั้นทุกคนคงนึกโทษการกระทำสิ้นคิดของเจ้าเมือง แต่ในคืนนั้นเจ้าเมืองเองก็สิ้นชีพลงเช่นกันจึงไม่มีใครสามารถกล่าวโทษต่อท่านได้ ต่อจากนั้นเป็นเพียงผลที่ตามมา ยากเกินกว่าใครจะควบคุมได้


“ข้าเชื่อว่าการกระทำของทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ผิดถูกคนนอกอาจตัดสิน แต่ในใจพวกเขา สิ่งที่ตัวเองเลือกทำย่อมถูกเสมอ ด้วยเหตุผลที่พวกเขาบอกกับตัวเองว่ามันถูกต้อง แต่เมื่อทำลงไปแล้วย่อมต้องกล้ายืดอกรับผลของมัน”


ในใจของเจ้าเมืองการฆ่าเทพมังกรไม่ใช่สิ่งผิด ทว่าผลของมันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะรับไหว จึงต้องสูญเสียแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองไป


“ข้าเองเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ ทั้งที่จะกระเสือกกระสนหนีไปก็คงพอได้ แต่ข้าไม่อยากเสี่ยงกับโลกภายนอก สู้ใช้ชีวิตอย่างสงบต่อไปในเมืองนี้ดีกว่า”


“ถ้าหากมีโจรบุกมาอีก”


“บ้านข้าไม่เหลือของมีค่าใดอีกแล้ว เมืองนี้ก็เช่นกัน พวกมันคงไม่มาอีก” หินก้อนใหญ่ถ่วงหนักอยู่ในอก ด้วยสภาพตอนนี้โทชิฮิโระไร้อำนาจใดๆ ไม่อาจช่วยได้แม้แต่หญิงชราตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ


“สายป่านนี้แล้วหรือ พ่อหนุ่ม ข้าว่าเจ้ารีบออกไปจากเมืองนี้จะดีกว่า อย่างน้อยจะได้ไปถึงเมืองอื่นก่อนค่ำ ที่นี่ไม่มีที่พักให้เจ้าหรอก” หญิงชราลุกขึ้นเดินไปคว้าแขนโทชิฮิโระแล้วพาเดินออกมาส่งด้านนอก


“ไหนท่านว่าจะให้ข้าอยู่เป็นเพื่อน”


“ได้คุยกับเจ้าเท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้ว ได้เห็นคนนอกผ่านมาบ้าง สักวันเมืองอาจฟื้นตัวกลับมาได้” ขอเพียงยังไม่ถูกลบออกจากแผนที่ไป โอกาสที่เมืองนี้จะยังคงอยู่ถือว่ายังไม่ริบหรี่นัก


“ข้าขอถามอีกเรื่องได้ไหม” ระหว่างที่มือกำลังแก้เชือกผูกม้า โทชิฮิโระยังมีอีกเรื่องค้างคาอยู่ในใจ


“มีอะไร ถามมาได้เลย ข้าจะตอบให้ถ้าข้ารู้”


“เกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวท่านเจ้าเมือง ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่านางถูกมอบให้กับเทพมังกร” คำถามนั้นทำให้หญิงชราเบิกตากว้าง


“เจ้ารู้จักกับท่านหญิงหรือ”


“แค่เคยรู้จัก” นางเป็นคนที่เขาคิดว่า ‘เคย’ รู้จักดี แต่หลังจากคืนนั้น โทชิฮิโระกลับคิดว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้รู้จักนางเลยแม้แต่น้อย


“ท่านหญิงช่างน่าสงสารนัก ได้ยินว่าวันที่เทพมังกรถูกฆ่านางรอดมาได้ แต่ต้องพิการไม่สามารถเดินได้อีก สุดท้ายก็ต้องมาตายไปพร้อมกับบิดาของนางเมื่อวันที่ปีศาจบุกมา”


แววตาขอโทชิฮิโระวูบไหวแต่ไม่แสดงออกสิ่งใดผ่านสีหน้า เขาคือผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น หลังโดนพิษ สายตาเขามืดมัว โทสะพลุ่งพล่านจนอาละวาดทำลายทุกสิ่งรอบกาย และคิดว่าสึซึรันคงถูกกลบฝังไว้ใต้ซากปรักหักพังของปราสาทที่เขาทำลายลงไปด้วย ไม่นึกว่านางจะดวงแข็งรอดมาได้ จนต้องมาตายด้วยฝีมือปีศาจ


สาสมแล้วหรือไม่


กับการหลอกลวง กับสิ่งที่นางทำ เขาเดินทางมาครั้งนี้ก็เพียงเพื่อมาดูหลุมศพนางให้เห็นกับตา คิดว่าอย่างน้อยบิดาของนางคงช่วยฝังให้ แต่จากสิ่งที่ได้ฟัง แม้แต่หลุมฝังศพก็คงไม่มี


“ท่านยาย ขอบคุณที่ช่วยดูแลข้า” โทชิฮิโระเหวี่ยงตัวขึ้นม้าก่อนโค้งคำนับให้กับหญิงชราที่มอบไมตรีให้


“หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมท่านอีก” เมื่อทุกอย่างจบลง เมื่อได้ร่างเดิมคืนมา โทชิฮิโระคิดว่าเขาอาจจะหวนกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ทั้งสองกล่าวลาต่อกันสั้นๆ ก่อนโทชิฮิโระจะควบม้าจากมา


หากเพียงโทชิฮิโระยังมีโอกาส คงถึงเวลาที่เขาจะหันกลับมาเหลียวแลเหล่าผู้คนที่เคยเคารพเทพมังกรอย่างแท้จริงบ้าง ส่วนความแค้นควรจบลงไปพร้อมกับความตายของผู้ที่ก่อมันขึ้นมา




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

เป็นการเป็นงาน... ตอนหน้ากลับไปหาจิ้งจอกน้อยกันต่อดีกว่า  :hao3:

แล้วพบกันใหม่ค่า  :bye2:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด