NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170381 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
นั่งผวาแขนขาสั่นทุกตอน

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0

หมายเหตุ :  เนื้อหาตอนนี้มีบางส่วนเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่ตอนที่ 13 เพื่ออรรถรสในการอ่าน สามารถย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าได้ครับ

ตอนที่14

9วัด

 

ตึก  ตึก  ตึก…


“มาแล้วสินะ…”



เสียงเดินลงส้นเท้าของบุรุษร่างหนาคนหนึ่งกำลังค่อยๆไล่ระดับเสียงให้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจากบันไดชั้นล่างจนมาถึงหน้าห้องนอนชั้นสอง  การก้าวเดินของผู้ชายคนนั้นกำลังกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในตัวบุรุษอีกคน ที่ก่อนหน้าได้ขอแยกกันออกมาเพื่อสานต่อหน้าที่และบทบาทที่แต่ละคนได้รับให้สมบูรณ์ 

ไอ้ภพกำลังสร้างความคาดหวังและความตื่นเต้นให้ผม

คำแนะนำที่ได้รับมาเมื่อตอนเย็น เป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงที่ยังคงไหลผ่านจิตใจของพวกเราให้ชุ่มชื้นเอาไว้ วิธีที่ถูกแนะนำมาได้ถูกถ่ายทอดไปบ้างแล้วจากการเล่นบทบาทสมมติของไอ้ภพ การขอขมาเจ้าที่เจ้าทางคือทางออกเดียวที่เราทั้งคู่ต้องทำ เพื่อลดโอกาสการเห็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความแค้น แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันใดๆได้เลยว่าเกมส์คืนนี้ผมจะไม่เห็นผี เสียงเดินขึ้นบันไดที่ได้ยินจึงกล่อมความคิดในใจผม ให้คาดหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นด้วยแรงกายของไอ้ภพไม่ใช่สิ่งอวตารจากวิญญาณตนอื่น

อย่างน้อย…วิธีที่เหลือ เราทั้งคู่ก็ไม่อยากจะใช้มัน

แกร๊ก

แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงบานประตูที่กำลังเลื่อนออก ค่อยๆดันความคิดและความรู้สึกในใจผมให้ฟุ้งกระจายออกมาในรูปของอาการสั่นน้อยๆ มือเท้าของผมต่างก็กำลังเกร็งจนไม่สามารถปล่อยให้ทิ้งตัวเป็นอิสระได้จึงต้องนำมือมากอบกุมกันเองและปล่อยให้การสั่นขาคลายความกดดันที่มีออกไป

ผมนั่งหันหลังให้การเคลื่อนไหวนั่นด้วยความวิตก เราทั้งคู่ตกลงกันไว้ว่าผมต้องนั่งหันหลังให้กับการเข้ามาของไอ้ภพ สร้างละครฉากใหญ่ที่ผู้ตายต้องไม่เห็นการเข้ามาของฆาตกร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องฝืนความต้องการของตนเอง  ผมไม่สามารถที่จะหันหลังกลับไปหาความเป็นจริงได้ ร่างกายจึงต้องแสดงออกด้วยอาการแบบนี้เพื่อลดฮอร์โมนในตัวผมลง แม้ลึกๆจะเริ่มรู้แล้วว่าเสียงนั่นเป็นของไอ้ภพแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าผมหันกลับไปจะเห็นแค่ไอ้ภพคนเดียว

“อย่า…ขยับ”

เสียงทุ้มนุ่มลึกพร้อมเชือดเฉือนใจคนฟัง มาพร้อมกับความแหลมคมของอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ควรมาอยู่บนมือไอ้ภพในขณะนี้  ไอ้ภพกำลังใช้มีดปลายแหลมสักอันกดเบาๆมายังบริเวณท้ายทอยของผม ผิวหนังส่วนนั้นหลายคนคงคุ้นชินกับอาการที่ไวต่อความรู้สึก มันจึงสามารถปลุกขนในกายผมให้ลุกชันขึ้นมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลัง  อีกทั้งน้ำเสียงนั่นยังเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอย่างที่ผมคิดไม่ถึง  ถ้านี่เป็นละครฟอร์มยักษ์  ไอ้ภพคงกำลังอยากได้รางวัลตุ๊กตาทองอยู่เป็นแน่ ไม่เช่นนั้น มันคงไม่พยายามแสดงออกให้สมบทบาทถึงขั้นใช้น้ำเสียงของตัวละครแบบนี้

…น้ำเสียงที่คงมีเพียง ฆาตกร เท่านั้นที่ใช้กัน…

หมับ

“ไอ้ภพ!! มึง…เล่นอะไร?” ผมขยับตัวออกห่างจากไอ้ภพ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาจับมีดให้ห่างออกไป และถามไอ้ภพเสียงเครียดเพื่อค้นหาสาเหตุของการกระทำ

“ก็แค่เล่นตามบท  มึงมีอะไร?”

“บทมันให้มึงถือมีดมาด้วยรึไง  อย่ามาเล่นแบบนี้ไอ้ภพ เดี๋ยวผีผลัก”

“มันไม่มีอะไรหรอก กูถือมาสร้างอารมณ์ให้มึงเฉยๆ อีกอย่างกูก็ขอขมาแล้ว  ไม่มีอะไรหรอก”

“ภพ…นี่มึงคือภพจริงๆใช่มั้ย?  ทำไมมึงถึง…”

“กูจะเป็นคนอื่นไปได้ไง มึงคิดมากแล้วไอ้มิว”

“คิดมาก?  มันสมควรเล่นแบบนี้รึไงไอ้ภพ  มันอันตราย แค่นี้มึงคิดไม่ได้หรอ อีกอย่างนี่มันก็แค่เกมส์ มึงไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่จะต้องพกมีด หรือ ใช้น้ำเสียงข่มขู่กูแบบนั้น กูคือมิวนะ ไม่ใช่คนตาย”

“แล้วมึงไม่ได้เล่นบทคนตายอยู่รึไง ถ้ากูไม่เอามีดมาด้วย มึงจะกลัวกูจริงๆหรอ”

“ไอ้ภพ นี่เราแค่เล่นตามเกมส์ห่านี่ ไม่ใช่เล่นเพื่อแสดงหนังจริงๆ  อีกอย่างแค่บรรยากาศเกมส์เหี้ยๆนี่ กูก็กลัวจะตายแล้ว มึงจะมากดดันอะไรกูอีก”

“สิ่งที่มึงกลัว…มันคงไม่เท่าคนตายหรอกไอ้มิว”

“อ…ไอ้ภพ มึ…”

“พอ เล่นกันสักทีเถอะ เดี๋ยวมึงไม่ตายตอนตีหนึ่งขึ้นมา รายการจะองค์ลงอีก” ไอ้ภพพูดแทรกผมขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังอึ้งค้างไปกับคำพูดของมัน

ดวงตาของผมมองไปที่ไอ้ภพด้วยความสั่นไหว ความหมายในนั้นมันกำลังสื่อถึงการตัดพ้อและไม่เข้าใจผู้ชายตรงหน้านัก เหตุใดไอ้ภพที่เคยทะนุถนอมผมมากที่สุด ถึงได้ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนหลังจากกลับขึ้นมาจากการขอขมานั่น แววตาของมันดูว่างเปล่าและติดจะรำคาญกับการกระทำที่ผมแสดงออก ไม่ต่างไปจากวันแรกที่ผมต้องร่วมเกมส์กับมัน

มันมองหน้ากดดันผมให้หันหลังกลับไปตรงบริเวณหน้าประตู ทำตามแผนที่เราได้วางกันไว้  ผมมองไปที่มันอีกทีเพื่อย้ำความแน่ใจและพิสูจน์ว่ามันกำลังแกล้งผมอยู่หรือเปล่า แต่ความจริงก็คือความจริง เมื่อไม่มีการล้อเล่นในแววตาไอ้ภพ มิหนำซ้ำ ท่าทีเมินเฉยที่แสดงออก ยังทำให้ผมรู้สึกปวดในอกราวกับว่าถ้านี่เป็นฝัน ผมก็อยากวอนขอ ให้ผมตื่นขึ้นมาเสียที

ผมยกมือเรียวขึ้นมาปาดน้ำใสๆที่ขอบตา แล้วหันหลังออกมารับความจริงที่ว่า เวลาแห่งการฆาตกรรมใกล้จะมาถึงเต็มทน  อีกทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไปของไอ้ภพยังก่อให้เกิดการระแวงในตัวมันมากขึ้น ทั้งที่เคยคิดมาเสมอว่าในเกมส์นี้คงมีไอ้ภพเพียงคนเดียวที่ผมจะไว้ใจได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับดูไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างรอบตัวผมดูเปลี่ยนแปลงไปหมดไม่เว้นแม้แต่คนตรงหน้า บรรยากาศรอบกาย ไม่ต่างไปกับบทบรรยายในหนังสือฆาตกรรมหลายๆเรื่องที่ผมเคยอ่าน

ดูเหมือนว่าคืนนี้…คนตายคงจะกำลังเล่นเกมส์อะไรสักอย่าง

เพื่อสร้างให้บ้านหลังนี้มี  คนตาย เพิ่มอีกคน

“กูต้องทำไงอ่ะ ไอ้….เฮ้ย โอ๊ย!!!” ผมเดินมายังจุดที่คิดว่ากล้องตัวที่อยู่ข้างนอกจะถ่ายทำได้ ก่อนจะเตรียมหันหลังเพื่อมาถามเรื่องราวที่ควรดำเนินต่อจากไอ้ภพ  แต่สิ่งที่ผมไม่ทันได้คิดและคาดฝันมาก่อนก็เกิดขึ้นเมื่อไอ้ภพ วิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วพร้อมถือมีดพุ่งเข้ามาก่อนจะผลักผมล้มลงเต็มแรง

“ป…ปล่อยไอ้ภพ กูเจ็บ มึงจะผลักกูทำไมวะ” ผมว่าขึ้นพร้อมกับค่อยๆใช้มือตัวเองปัดป่ายมือและมีดของไอ้ภพ ท่าทีของมันคราวนี้ดูเปลี่ยนไปจนชัดเจนขึ้น มันพยายามที่จะล็อกมือและแขนผมให้อยู่กับที่  ทำตัวเองให้เหมือนคนร้ายเสียจนผมรู้สึกกลัว

“กูจะปล่อยมึงได้ยังไง ในเมื่อ…มึงกำลังจะตาย” น้ำเสียเยาะเย้ยถากถางถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างเลือดเย็น พร้อมกับแววตาที่แข็งกร้าวของไอ้ภพ

“ด…เดี๋ยวนะ ไอ้ภพ กูคือมิว กูไม่ได้จะตาย”

“ใครว่าละ ตอนนี้มึงคือคนตายไม่ใช่หรือไง ส่วนกู…ก็คือฆาตกร”

“ไม่ใช่ไอ้ภพ  ปล่อยกู!!!  มึงปล่อย!!  อย่าเล่นแบบนี้ ฮึก กูกลัวแล้วนะ”

“สมบทบาทดีนี่  ร้องอีกสิ  คนที่กำลังจะตาย เขาไม่ร้องเสียงแค่นี้หรอกนะ”  ไอ้ภพสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่โหดขึ้นกว่าเดิม  มือของผมต้องคอยปัดมือของไอ้ภพตลอดเวลา เรี่ยวแรงที่เคยมีก็ดูเหมือนจะสู้ไอ้ภพไม่ได้ ร่างกายมันใหญ่กว่าผมมาก มีดปลายแหลมที่มันถือก็ค่อยๆเคลื่อนเฉียดลำคอผมไปมา อย่างที่เดาไม่ได้ว่าหากผมหยุดสู้ มันจะถูกปักลงมาหรือเปล่า

“ฮึก ไอ้ภพ ปล่อยกู ไอ้สัส กูไม่เล่นแล้ว”

“เล่น? ใครเล่นกับมึงหรอ นี่กูกำลังจริงจังแล้วนะ”

“ภพ มึงอย่าเป็นแบบนี้ มีสติดิวะ!!!  มันแค่เกมส์นะไอ้เหี้ย”

“นิ่ง!!  หยุดดิ้นสักที!! เมื่อไรมึงจะตายฮะ”

“ไม่!!!  กูไม่ได้จะตาย  มึงก็หยุดสักที   เป็นบ้าไปแล้วรึไง ฮะ!!!  โอ๊ย!”


แอ๊ดดดดดดดดดดดดดด


ช่วงจังหวะที่ผมพลาดท่าเสียหลักจนไอ้ภพมันจับกดคอผมลงได้  ประตูที่เปิดอ้าเอาไว้ ก็ถูกดันให้กว้างขึ้นพร้อมกับการมาของเสียงก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สลับกับเสียงดังของกระดูกที่หักจนเกิดการเสียดสีไปมาของชายคนหนึ่ง  ข้อเท้าของผู้ชายคนนั้นถูกฉาบไปด้วยเลือดและสิ่งสกปรกจนมันขึ้นดำ กลิ่นคาวและกลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง  ช่วงเวลานั้น ราวกับทุกอย่างค่อยๆหยุดนิ่งและสะกดให้สายตาของผมให้มองไปยังการก้าวย่างที่ค่อยๆเคลื่อนตรงมาทางผม ก่อนที่เหมือนโลกทั้งใบจะพังลง เพียงเพราะร่างนั้นค่อยๆนั่งย่อลงมาตรงหน้าและแสดงถึงหน้าตาเจ้าของข้อเท้านั้น

ผู้ชายตรงหน้า มีร่างกายที่บอบช้ำจนมันขึ้นเขียว กระดูกช่วงขาหักงอจนเห็นความผิดปกติ

เสื้อผ้าที่สวมใส่ ชุ่มไปด้วยสีแดงฉานของเลือดสดที่เกิดจากช่วงลำคอที่แหว่งจนเกือบขาดเนื่องจากคมมีด

ที่สำคัญ…มันกำลังนั่งเอียงหน้ามองผมด้วยตาดำที่ไม่เห็นแวว พร้อมกับแสยะยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงๆที่เอ่อล้นไปด้วยเลือดท่วมภายในปาก


….ผมรู้แล้ว ว่าไอ้ภพเปลี่ยนไปเพราะอะไร….

“ภ..ภพ ทิ้งมีด ทิ้งมีดเดี๋ยวนี้ มีสตินะ ไอ้ภพ” ผมเค้นเสียงที่มีออกจากคอด้วยความยากลำบาก คำพูดสั่นเครือไปพร้อมกับ น้ำตาจำนวนมากที่ค่อยๆไหลผ่านแก้มผมไป โดยปราศจากเสียงสะอื้น  ความกลัวที่ผมมีกำลังหาทางออกให้ผมโดยการสั่งให้มนุษย์ตรงหน้าทิ้งอาวุธที่จะปลิดชีวิตตัวเองลง

“ทิ้ง? ทิ้งทำไม มึงยังไม่ทันตายเลย”

หึ นั่นสิ มึงยังไม่ทันตายเลย

กลัวกูหรอ?  อย่ากลัวเลย ไม่ทันเจ็บนักหรอก 5555

เห็นคอกูไหม…เห็นเลือดกูไหม ความเจ็บมันทำอะไรกูไม่ได้แล้ว ดมเสียสิ ได้กลิ่นหอมๆของเลือดกูใช่ไหม?

หึหึ คิดจะท้าทายสวมบทของกู มึงต้องมากกว่านี้!!!! ต้องกลัวมากกว่านี้!!! ต้องตายทรมานกว่านี้!!! 55555


น้ำเสียงที่ไอ้ภพสวนกลับมาว่าเชือดเฉือนใจผมมากแล้ว  น้ำเสียงที่เกิดจากวิญญาณคนตายกลับเชือดผมให้ตายได้มากกว่า ร่างนั้น มันค่อยๆก้มตัวลงมาประชิดหน้าผมมากขึ้น  ศีรษะของมันถูกจับโยกซ้ำไปมาจนน่าเวียนหัว กลิ่นเหม็นสาบยามที่มันพูดค่อยๆทำลายเยื่อจมูกของผม ความอาฆาตของมันแรงพอที่จะฆ่าผมให้ตาย  ไม่เช่นนั้น มันคงไม่ยื่นนิ้วมือที่เปื้อนเลือดของมัน มาลูบคอผม พร้อมกับใช้เล็บกรีดไล่ไปตั้งแต่คอด้านซ้ายจนจบที่ด้านขวา

“ไอ้ภพ!!! ทิ้งมีด ฮึก กูกลัวแล้ว กูยอมแล้วภพ  ทิ้งมีด” ผมตะโกนสุดแรงคอด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่น

“ไอ้ภพ!!! ทิ้งมีดดิวะ!!”

“ไอ้ภพ กูบอกให้…เหี้ย!!!”

หมับ

เมื่อแรงที่จับคอผมเริ่มคลายลง ผมจึงรีบอาศัยช่วงเวลานี้ขยับใบหน้าตัวเองให้หันกลับมา เพื่อจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักไอ้ภพออกไป แต่เมื่อหัน ภาพตรงหน้าก็ทำผมแทบช็อก  ใบมีดที่พุ่งสวนมาอย่างเร็ว กำลังมีทิศทางมรณะมายังจุดที่เป็นดวงตาของผม  ซึ่งถ้าผมไม่ยั้งมือมันไว้ทัน ป่านนี้มีดเล่มนั้นคงปักเข้าสู่แกนกลางสมองของผมจนตายตามมันไปแล้ว

มัน…ที่เป็นต้นเหตุของมีดเล่มนั้น และกำลังค่อยๆขึ้นขี่คอไอ้ภพอยู่

5555 ตายสิ ตาย ตาย ตาย!!!

“5555  ตายสิ  ตาย ตาย ตาย!!!” คำพูดประโยคเดียวกันกับผีร้ายนั่น ถูกใช้อีกครั้งโดยไอ้ภพ มันพยายามจะจ้วงมีดลงมาซ้ำๆแม้ว่ามือของมันจะถูกตรึงด้วยมือของผมอยู่  ดวงตาของไอ้ภพ แข็งกร้าวและดูมาดร้ายชนิดที่ว่า ผมไม่เคยได้เห็นดวงตานี้เลยแม้จะเป็นตอนที่มันโกรธอะไรสักอย่างมากที่สุด ไม่รู้จะถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ที่บัดนี้ ผมมีโอกาสได้เห็นแต่สายตานั่นมันกำลังถูกใช้มองผมอยู่

“โถ่เว้ย !!! ฮึก ภพ อย่าเป็นนี้ กลับมาสักที กูจะไม่ไหวแล้วนะ”

ดี  5555 ไม่ไหวแล้วหรอ ไม่ไหวแล้วใช่ไหม ดี หึหึ

ตายตามกูมาเลยแล้วกัน…


เมื่อมันพูดจบ ใบหน้าของมันก็ค่อยๆถูกปล่อยลงมาให้คลอเคลียอยู่ข้างใบหน้าไอ้ภพ  พฤติกรรมเช่นนี้ในคนปกติคงทำได้ยากถ้าไม่หามุมที่เหมาะสม แต่สำหรับวิญญาณตนนี้ มันไม่ใช่ปัญหา เมื่อลำคอที่เกือบขาดของมันช่วยส่งให้ส่วนหัวตกลงมาใกล้หน้าผมมากขึ้น   มันค่อยๆแลบลิ้นออกมาเลียบางส่วนของหน้าไอ้ภพ จนเลือดที่อยู่ภายในปากเริ่มไหลหยดลงมาบนหน้าผม กลิ่นเน่าเหม็นแรงมาก แต่ไอ้ภพกลับไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งสิ้น มือของมันค่อยๆเคลื่อนมาบีบมือของผมให้คลายออก พร้อมกับใช้มืออีกข้าง ง้างมือไอ้ภพให้สูงขึ้น พร้อมแทงลงมาให้ตรงคอผม

“ฮึก ไอ้ภพ…อย่าเป็นแบบนี้ กูกลัวแล้ว กลัวแล้วจริงๆ” น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ากำลังจะเปิดแสดงความตายให้ผม

“5555 ใกล้ตีหนึ่งแล้วมิว ตายได้แล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” น้ำตาของผมไม่เป็นผลใดๆกับไอ้ผม หนำซ้ำ มันยังดูสะใจมากที่เห็นความหวาดกลัวของผมปรากฏขึ้น

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………

บทนี้ใช่ไหมที่เรียกกูมา?

จำเอาไว้!! ต่อจากนี้ มันอาจถูกใช้…เรียกมึง

เฮือก

ตาของผมเบิกโตขึ้น พร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหล ความรู้สึกที่ว่าเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องเป็นอย่างไรกลับมาอีกครั้ง ลมหายใจที่ผมมีสะดุดไปตั้งแต่ที่วิญญาณนั่น เริ่มกล่าวบทสวดอัญเชิญวิญญาณของตนเองมาตั้งแต่เริ่มบทจนจบ บรรยากาศที่เคยสังเกตว่าแปลก คราวนี้มันกลับเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเดิม อากาศที่เย็นลงจนผมหนาว มาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างของมันยามจ้องมองมาที่ผมและเอ่ยประโยคเพชฌฆาตนั่นออกมา

“ฮึก ฮือ ฮือออ  พ่อ แม่ ไอ้ภพ กลับมาหากูที กูไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว!!!!”

“ลาก่อน ไอ้มิว55555”

“ฮึก ไอ้เหี้ยภพ กูขอโทษ”

ผลักกกกก

แรงจำนวนไม่น้อยของผม ถูกใช้ออกไปในรูปของหมัด ซัดไอ้ภพจนล้มกองลงไป  แม้ในใจผมตอนนี้จะอยากวิ่งเข้าไปดูไอ้ภพมากแค่ไหน แต่สัญชาตญาณที่มี มันก็สั่งให้ผมวิ่งออกจากห้องและบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด ตอนนี้ มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าปลอดภัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมจะปลิดชีวิตผมทันทีหากผมพลาด และยิ่งเมื่อลุกขึ้นมาพร้อมกวาดสายตาไปทั่วตัวห้องแล้วไม่เจอวิญญาณนั่น ผมยิ่งต้องหนีออกไปให้ไวกว่าเดิม

ปั้ง!

ผมวิ่งออกมาจากห้องพร้อมดึงประตูเอาไว้ หางตาสุดท้ายก่อนออก ผมเห็นไอ้ภพรีบลุกคว้ามีดทำท่าเหมือนจะตามผมมา ยิ่งตอนนี้ เสียงเคาะประตูเริ่มดังออกมาสลับกับเสียงโวยวายอย่างบ้าคลั่งของไอ้ภพ ยิ่งทำให้ใจผมระส่ำระส่าย และร้อนรนไปกับสถานการณ์ที่ผมคุมเอาไว้ไม่ได้

ผมทรุดนั่งลงพร้อมกับดึงประตูเอาไว้สุดแรง ปล่อยให้เสียงสะอื้นและน้ำตาไหลกลบความรู้สึกปวดร้าวในอก ผมกำลังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำหากต้องปล่อยมือออกจากประตูบานนี้ สิ่งที่ตนเองควรทำคืออะไร จะต้องหนีไปอย่างไร  หากผมตัดสินใจวิ่งออกไปข้างนอก ส่งสัญญาณยอมแพ้ แน่นอนว่าทีมงานจะส่งคนมาอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับไอ้ภพ สิ่งที่เคยทำไว้กับไอ้ภพ มันจะจบลงทันทีและผมอาจต้องสูญเสียมันไป…ตลอดกาล

ตึก  ตึก  ตึก…

555 นั่นสินะ ตามจริงมึงไม่สมควรตายบนห้องนอน

มึงจะต้องวิ่งลงมาด้วยความกลัว มองหาทางรอดของชีวิต และสุดท้ายทางรอดเดียวที่มึงได้รับ…มันก็คือความตาย

เอาเลยยยย  วิ่งอีกสิ 555  วิ่งอีก หนีอีก กูมาแล้วนี่ไง กูมาแล้ว วิ่งอีก วิ่ง!!!


เสียงลงส้นเท้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมาจากมุมมืดของห้องน้ำ กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวออกมากระทบแสงของดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง  ร่างหนาของผู้ชายคนเดิม ค่อยๆเดินกระเผกออกมาอย่างยากลำบาก  ช่วงคอยังคงเอียงเอาไว้แบบเดิมพร้อมกับที่มีเลือดจำนวนมากค่อยๆไหลล้นออกมาด้วย  ริมฝีปากของมันฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขัดกับดวงตาของมันที่เริ่มมีเลือดเอ่อล้นออกมาคล้ายกับน้ำตาของผมตอนนี้

ก่อนที่การเคลื่อนที่นั้นจะเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างรวดเร็ว….มันกำลังใช้แรงที่มีวิ่งมาหาผมหลังจบคำสั่งนั่น

“ไอ้ภพ !!!!” ผมปล่อยมือออกจากประตูบานนั้น  พร้อมกับตะโกนชื่อไอ้ภพออกมาสุดเสียงอย่างที่เคยทำประจำเมื่อผมกำลังกลัวกับการเห็นผีอย่างสุดขีด

ช่วงที่วิ่งลงบันได ผมต้องมองหันหลังกลับไปดูว่าผีนั่นมันตามผมมาหรือไม่ พลางในหัวก็คิดถึงวิธีเอาตัวรอด  ผีนั่นมันไม่ได้ตามผมมาอย่างที่ผมคิด มันยังคงยืนจ้องมองผมอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุดพร้อมกับแผดเสียงหัวเราะเย็นๆออกมา แต่กลับเป็นบานประตูที่กำลังถูกเปิดออก  ที่กระตุ้นให้การเคลื่อนที่ของผมเร็วขึ้นอย่างไม่กลัวตกบันไดตาย

วูบหนึ่งของความรู้สึกสั่งให้ผมวิ่งออกไปนอกบ้านและส่งสัญญาณยอมแพ้ออกมา แต่กระนั้น มันก็มีบางอย่างที่หยุดการกระทำของผมเอาไว้ได้

ตู้หนังสือนั่น….ดึงคำพูดของลุงคำและสติให้กลับสู่ตัวผมอีกครั้ง

ถ้าขณะเล่นพวกเอ็งเจอผีหรืออะไร ให้มีสตินะ แล้วเลือกเอา หนึ่งคนเผาหนังสือ อีกหนึ่ง ฝืนกฎของเกมส์มาจุดธูปซะ

ทิศทางการเคลื่อนที่ของผมจึงถูกเปลี่ยนไปที่ตู้หนังสือและรีบหาหนังสือเล่มที่ 6 ด้วยความร้อนรน  มือของผมสั่นมากจนทำให้การควานหาหนังสือเป็นไปอย่างยากลำบาก ยิ่งจังหวะการเคลื่อนเท้าของไอ้ภพ กำลังค่อยๆลงบันไดมาอย่างใจเย็น มันยิ่งทำให้ใจของผมร้อนขึ้นจนอยู่ไม่สุข  เทียนเล่มสุดท้ายที่ยังคงทำหน้าที่ของมัน เป็นเสมือนความหวังอันริบหรี่ของผมที่จะช่วยเพิ่มหนทางจัดการเผาหนังสือนี่ และจบเกมส์นี้ให้เร็วขึ้น

ผมคว้าหนังสือเล่มที่แปลกที่สุดออกมาได้ ก็วิ่งตรงเข้าสู่แสงเทียนเพื่อใช้ให้ความร้อนของมันเผาผลาญความอัปยศของเกมส์และวิญญาณนรกนั่น  น้ำตาของผมยังคงไหลเป็นสายอย่างต่อเนื่อง เสียงสะอึกสะอื้นจำนวนมากมายต้องถูกดึงกลับเข้าไปด้วยวิธีกัดริมฝีปากจนรสชาติของคาวเลือดซึมติดปลายลิ้นลงสู่คอและยิ่งตอนนี้ มีกลิ่นเหม็นเน่าลอยฟุ้งอยู่ทั่วบ้าน  เลือดตัวเองที่ผมได้ลิ้มลองจึงทำให้รสชาติของความสะอิดสะเอียนตีสวนกลับขึ้นมาจนแทบห้ามไม่ทัน

“นั่นมึงจะทำอะไร ไอ้มิว!!”

ตุ้บ

“โอ๊ย! ฮึก ไอ้ภพ ปล่อยกู” เสียงตะโกนลั่นของไอ้ภพ นำมาซึ่งการเข้าสู่ตัวผมอย่างรวดเร็ว  มันวิ่งเข้ามาล็อกคอผมจนหายใจไม่ได้ น้ำเสียงที่ผมปล่อยออกไปพร้อมกับการร้องไห้จึงแทบไม่ได้เข้าหูของใครแม้กระทั่งตัวผมเอง ซ้ำร้าย หนังสือที่เป็นความหวังเดียวของผมยังร่วงหลุดมือไปไกลกว่าจะเขี่ยเข้ามา

“มึงจะทำร้ายข้าวของของเกมส์หรอวะ จะให้มันกลับมาลากคอมึงอีกรึไง” เสียงของไอ้ภพดูเหี้ยมมากกว่าเดิม และยิ่งไปกว่านั้นแรงรัดที่ต้นคอผมก็มากขึ้นไปด้วย

“ปล่อย!! ไอ้ภพ มึงไม่ต้องมากระแดะ ปกติมึงไม่เคยสนใจเรื่องนี้”

“หึหึ ขอโทษที…แต่คราวนี้กูสน” คำพูดไร้สติถูกกระซิบที่ข้างหูผมอย่างเลือดเย็น  ใจของผม ตัวของผม สั่นจนแทบสำลักอาการกลัว แต่นั่นก็ดูเหมือนตัวกระตุ้นเสียมากกว่าการทำให้หยุด  ไอ้ภพในตอนนี้ไม่เหลือสติและการควบคุมใดๆแล้ว

“ภพ ปล่อยกูเถอะนะ  ฮึก กูไหว้แล้ว ปล่อยกูได้มั้ยภพ”

“กูจะปล่อยมึงได้ยังไงมิว  ในเมื่อกูเป็นฆาตกร แล้วมึงก็ยังไม่ได้ตาย”

.

.

.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“ฮึก ไม่ใช่ไอ้ภพ กูคือมิว มึงคือภพ ตอนนี้ไม่มีฆาตกรหรือคนตายแล้ว ฮึก ปล่อยกูนะ”

“กูจะปล่อยก็ต่อเมื่อ…มึงตายไปแล้ว”

“ฮึก ภพ มึงไปอยู่ไหน กลับมาหากูสักที กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะอยู่ไม่ไหวแล้วนะ”

“หึ กูก็อยู่ที่เดิม คนที่ต้องหายไปมันควรเป็นมึง”

มาอยู่กับกูสิ มาอยู่กับกู ตายตามมาสิ  ตายตามมา  5555…

“เขาบอกให้มึงตายได้แล้ว  เกินเวลาแล้วนะมิว 555”

“ว…ว่าไงนะไอ้ภพ มึงได้ยินด้วยรึไง ฮึก มึงไม่เห็นผีไอ้ภพ มึงไม่เห็น!!!”

“ได้ยิน? ทำไมกูต้องแค่ได้ยินหละ ในเมื่อ…กูเห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรก” สิ้นเสียงกระซิบนั่น มีดเล่มบางก็พุ่งตรงเข้ามาหาผมทันที  ผมรีบรั้งแขนไอ้ภพไว้สุดแรง  ภาวนาให้ทีมงานสังเกตความผิดปกติตรงนี้ ผมร้องไห้จนร่างกายผมเหนื่อยล้า แทบจะอ่อนแรง  สัญชาตญาณการเอาตัวรอดดูเหมือนจะไม่ทำงานไปเสียดื้อๆ  ทุกๆอย่างกำลังจะพรากเอาสติและชีวิตของผมไป ยิ่งตลอดการโต้เถียงระหว่างผมกับไอ้ภพ มีแขกผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาเดินหัวห้อยวนเวียนอยู่รอบตัว ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูมืดบอดไปหมด

“ภพอย่า ฮึก อย่าเป็นแบบนี้  ไหนสัญญาว่าจะดูกูไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“ไหนสัญญาว่าต่อจากนี้มึงจะเดินนำกูไง ทำไมถึงต้องมาไล่ตามกูแบบนี้ ฮึก”

“ฮึก ไหนสัญญากับกูแล้วไง ว่าสุดท้าย เราจะชนะมันไปด้วยกัน ทำไมมึงถึงมาแพ้ง่ายๆแบบนี้ กูเจอผีก่อนมึงมากี่เกมส์ ทำไมกูถึงยังอยู่รอด ฮึก ไอ้ภพ”

“พี่ภพ…มิวเหนื่อยแล้วนะ มิวไม่ไหวแล้ว ฮึก”

“กลับมา…สักที”

ไม่ว่าจะพูดไปด้วยประโยคที่หวานหูแค่ไหน  ท่าทางของไอ้ภพก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาจ้วงมีดลงมาหาผมอย่างไม่ลดละ  แบตเตอรี่กายที่ผมมีก็เหมือนจะค่อยๆหมดไปตามแบตเตอรี่ใจที่ดับไปตั้งแต่คำพูดถากถางของไอ้ภพ  และสุดท้าย ในเมื่อผมหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ วิธีการดั้นด้นลุยเข้าไปจึงถูกหยิบนำมาใช้อย่างคนที่ถูกกระทำจนไม่ต่างไปจากหมาจนตรอก

“มึงเลือกเองนะไอ้ภพ ในเมื่อมึงไม่กลับมา กูนี่แหละจะพามึงกลับมาเอง”

“โอ๊ย!! ไอ้มิว มึง…”

ผลักกกก

ผมพูดออกไปทั้งน้ำตา และรอเวลาที่มือของไอ้ภพ เข้ามาใกล้ปากผมมากที่สุดก่อนจะกัดลงไปเต็มแรงจนมันต้องปล่อยออก หลังจากนั้น ผมก็หันไปชกเข้าที่หน้ามันจนมันเซออก และเดินเข้าไปต่อยย้ำๆอย่างไม่รอให้มันได้จังหวะจนมันล้มลง  ช่วงที่ผมต่อยหน้ามัน  สิ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นมาในอก  น้ำตาผมไหลออกมามากกว่าความกลัวที่ผมเจอ  ยิ่งชก ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีมากขึ้น  มือด้านขวาปวดหนึบและด้านชาไปพร้อมกับใจผม ปากผมสั่นเกินกว่าจะทนเก็บไว้ได้แล้ว

“ฮึก มึงกลับมารึยังภพ ฮึก กลับมาสักทีดิวะ!!” ผมนั่งค่อมตัวมันและกระชากคอเสื้อของมันมาเขย่าเต็มแรง เรียกสติที่ดับวูบของมันให้ฟื้นคืน  มองดูใบหน้ามันที่เต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำจากฝีมือผม ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างกายมันและปล่อยโฮออกมาอย่างไร้สติ

“ฮึก  ไอ้ภพ ฮึก กลับมาช่วยกูที!! กูสู้คนเดียวไม่ไหวแล้ว”

“ฮึก กลับมา ช่ว…”

ตุ้บ  ตุ้บ  ตุ้บ…

ช่วยด้วย!!!  ใครก็ได้ช่วยกูด้วย  ช่วยกูที 

โทรศัพท์ กุญแจ อยู่ตรงไหน??

ช่วยกูที  ช่วยกูที  ฮึก  โอ๊ย!!

รอดสิ  กูต้องรอด  กูต้องไม่ตาย  ฮึก

กุญแจ  กุญแจ  กูต้องหากุญแจสินะ

อยู่ไหน  มันอยู่ตรงไหน

อยู่  เฮ้ย!!  อั๊กกกกกกกกกกก


ภาพจำลองฉายชัดของวิญญาณที่เคยมาปรากฏตัวเมื่อครู่  ถูกซ้ำรอยการตายให้ผมดูอีกครั้ง สะกดเสียงร้องไห้โวยวายให้เงียบลง และมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า   เสียงวิ่งลงบันไดมาอย่างเร็วของผู้ชายคนนั้นที่ยามนี้ดูเป็นคนปกติ เต็มไปด้วยความร้อนรน และหวาดกลัว  ปากของมันเอาแต่เพรียกหาคนหรือสิ่งของที่จะยื้อชีวิตมันได้  จนเมื่อเกือบจะถึงพื้นชั้นล่าง มันก็ลื่นล้มกลิ้งตกลงมาจนกระดูกหักไปอย่างเห็นได้ชัดและไม่คิดว่ามันจะลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้  ลำตัวและใบหน้ามีร่องรอยของการต่อสู้เอาชีวิตรอด  มันวิ่งไปทำท่าควานหาสิ่งของบางอย่างอยู่นาน ปากก็ร้องเรียกชื่อสิ่งนั้นๆราวกับว่ามันจะวิ่งมาหาเองได้ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิต  มันเหมือนถูกจับให้หันมาและโดนมีดฟันฉับเข้าที่ลำคอล้มลงไปทันที ผมที่มองเห็นความตายตรงหน้าจึงต้องรีบยกมือขึ้นมาป้องปากกันเสียงของความกลัวที่อาจเล็ดลอดออกไป

ผมมองไปยังภาพร่างกายนั่น  ตอนนี้มันกำลังกระตุกเหมือนกับการชักเบาๆของคนที่ตายอย่างในทันที ก่อนที่มันจะนิ่งเงียบไป  มือของผมค่อยๆเลื่อนควานหาหนังสือเล่มนั้นที่คลับคล้ายคลับคลาว่ามันตกอยู่แถวนี้ เพื่อที่จะรีบนำไปเผาลบภาพหลอนและความวุ่นวายตรงหน้า เมื่อเลื่อนมือไปเรื่อยๆ ผมก็ไปสัมผัสกับวัตถุทรงหนารูปร่างเหมือนหนังสือ ก่อนที่จะรีบคว้าขึ้นมาดูและตัดสินใจวิ่งไปที่แสงเทียนใกล้ดับอย่างรวดเร็ว

หึหึ  หึหึ  หึหึ

เสียงหัวเราะแปลกๆดังขึ้นจากร่างกายของศพนั่น ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งไปเผาหนังสือ ร่างกายของศพที่ผมเคยเห็นว่านอนแน่นิ่งไปแล้ว ตอนนี้มันกลับมากระตุกอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยเสียงเย็นๆออกมาเป็นระลอก  บาดแผลและความฟกช้ำของศพเริ่มเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิมจนเท่ากับวิญญาณที่ผมเห็นในตอนแรก  การเคลื่อนที่แปลกๆนั่นเริ่มทำให้ใจคอของผมไม่สู้ดีนัก  ร่างกายนั้นกำลังกระตุกและค่อยๆหันพลิกตัวกลับมาพร้อมกับเสียงและใบหน้าที่หลอกหลอนหัวใจผมตามเดิม

55555  555555

เห็นแล้วใช่ไหม? ว่ากูตายอย่างไร

คิดว่ากูกลัวมากไหม?  คิดว่ากูทรมานมากไหม?

ดูคอของกู!!! เห็นรึยัง ว่ามันโดนฟันจนเกือบจะขาด

กูถูกฆาตกรรม  มึงได้ยินไหม? กูถูกฆาตกรรม!!!  ไอ้ฆาตกรมันยังลอยนวลอยู่  กูตายโดยที่กูไม่ได้ทำอะไรผิด หึ

มึงอยากรู้ใช่ไหม ว่ากูหาอะไร กูตายอย่างไร  มึงได้เห็นแล้วววว  5555  ทีนี้ ก็ตายตามกูมาได้แล้ว  มาอยู่กับกูได้แล้ว

มาตามหาและฆ่าฆาตกร…ไปพร้อมกับกู หึหึ


หลังจากที่ร่างนั้นพลิกตัวกลับมาหาผม  มันก็ค่อยพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก อย่างที่ผมเคยบอกร่างกายของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  มันจึงลุกขึ้นมาในท่าทางที่ปกติอย่างมนุษย์คนอื่นไม่ได้ มันค่อยๆพยุงร่างของมันเดินเข้ามาหาผม พร้อมกับการแผดเสียงข่มขู่และอาฆาต สลับกับการหัวเราะที่น้ำเสียงเจือไปด้วยความโหดเหี้ยม แต่พฤติกรรมทั้งหมดกลับขัดแย้งกับดวงตาของมัน ที่เอ่อล้นไปด้วยเลือดแดงๆไหลออกมาคล้ายน้ำตาจากความทรมานอย่างที่ผมเคยเห็นตอนอยู่บนชั้นสอง

จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง  นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….

จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง  นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….

จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง  นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….


ช่วงการก้าวเท้าของวิญญาณ ปากของมันก็เริ่มทำหน้าที่โดยการพึมพำบทสวดบางอย่างออกมา  ผมเบิกตากว้างไปด้วยความกลัวที่มากกว่าเดิม  เนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างหนัก  คาถาที่ผมได้ยิน ผมไม่รู้ว่ามันคือคาถาของอะไร แต่เสียงท่องคาถานั่นมันกำลังค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ  เปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวผมให้สาหัสหนักกว่าเดิม  ลมพายุลูกหนึ่งโหมกระหน่ำพัดเข้าสู่ตัวบ้านจนได้ยินการสั่นไหวของสิ่งของ หรือจะเป็นการเสียดสีระหว่างลมกับต้นไม้ใบหญ้า สะกดทุกความรู้สึกผมให้นิ่งงันและมองมันทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่ผมเองก็แก้ไขไม่ได้

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง!!

เสียงการทุบประตู  ทุบหน้าต่าง ดังขึ้นรอบตัวบ้าน เรียกความสนใจของผมให้หันไปมองแหล่งกำเนิดเสียงที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ด้วยแววตาที่สั่นกลัว  วิญญาณตนนั้น  มันกำลังก้าวเดินมาหาผมอย่างช้าๆ แต่หนักแน่นไปด้วยแรงพยาบาท ปากของมันยังคงสานต่อบทสวดที่คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สามารถเข้าใจในภาษาบาลีหรือพระสงฆ์  สิ่งที่จะสามารถคล้อยตามบทอุบาทนี่ได้คงมีแค่ สัมภเวสี

ไม่ทันหมดห้วงความคิด บานหน้าต่างที่เคยแสดงวิสัยทัศน์หน้าบ้านกลับต้องมีอันเปลี่ยนไป  หน้าคนน้อยใหญ่จำนวนมากกำลังแย่งกันแนบหน้าเข้ามามองภายใน  ใบหน้าและการกระทำของผมถูกจับจ้องไปด้วยดวงตาไร้แววนับยี่สิบคู่ มันกำลังจ้องมองมาอย่างกับเป็นเรื่องสนุกสนาน  บทสวดนี่ถ้าให้ผมเดา มันคือบทเชิญวิญญาณอีกบทที่ผมไม่เคยได้ยิน  ก่อนตายวิญญาณนี่มันต้องมีอะไรผูกพันกับคาถาเหล่านี้  มันจึงสามารถท่องออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ

“ภ….ภพ  ไอ้ภพ!!  ฮึก  ไอ้ภพ  ช่วยกูด้วย  กูกลัวแล้วภพ  ช่วยกูด้วย” ผมร้องไห้จนน้ำตาแทบหมดตัว  ปากของผมเอาแต่ร้องเรียกหาความช่วยเหลือหนึ่งเดียวตรงนี้  ขาของผมแข็งจนไม่สามารถก้าวผ่านอะไรไปได้อีก  เกมส์คืนนี้กำลังทำให้ร่างกายผมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  มันมากกว่าเกมส์อื่นๆที่ผมเคยเล่น  ผมปิดตาปล่อยให้น้ำตาและความรู้สึกไหลไปกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างยอมแพ้  แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ถ้าหากผมหยุด นั่นอาจหมายถึงผมกำลังเปิดรับความตายสู่ตัวเอง

“ภพ…ภพ  กูไม่ไหวแล้วนะ  ฮึก  มึงอยู่ที่ไหน  กูไม่ไหวแล้ว”

“กูทนต่อไปไม่ได้แล้วภพ  ฮึก ภพ อ๊ะ” ช่วงระหว่างที่ผมยืนรอความตายและฟังบทสวดเชิญวิญญาณนั่นซ้ำๆ  มือใหญ่ที่ผมคุ้นเคยก็ยื่นมาดันให้ผมเข้าหาตัวพร้อมกับปิดตาผมไว้  ความรู้สึกกลัวและหวาดระแวง ดันผมให้พยายามหนีออกจากตัวไอ้ภพ ถ้าไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนบางอย่างที่แผดเผาสิ่งของบนมือจนผมต้องปล่อยหนังสือนั่นทิ้ง และหยุดรอความเปลี่ยนแปลงของบ้านให้กลับมาแบบเดิม

แค่พริบตาเดียวโลกที่เคยอึดอัดก็จางหายไปแทบสิ้น  ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพได้สติกลับมาตอนไหน แต่ช่วงที่ผมยังคงหวาดกลัวกับการเข้าหาของวิญญาณที่ถูกฆาตกรรม  เป็นช่วงที่ไอ้ภพวิ่งไปคว้าธูปและทำการจุดเทียนอีกเล่ม เพื่อนำมายัดใส่มือผม ก่อนที่มันจะเดินเปิดประตูออกไป เพื่อปักธูปขอขมาอีกครั้งบริเวณหน้าบ้าน ในตำแหน่งที่กล้องยังคงมองเห็น

“หนึ่งคนเผา อีกหนึ่งจุดธูปขอขมา” ไอ้ภพเดินเข้ามาพูดกับผม หลังจากที่มันเดินกลับเข้าบ้าน จัดการเปิดไฟทุกอย่างเรียบร้อย แต่ยังคงเห็นท่าทีหวาดกลัวและหวาดระแวงของผม

“ภพ  ฮึก ไอ้ภพ มึงจริงๆใช่ไหม” ผมถอยห่างออกมาและกลั้นใจถามมันด้วยความรู้สึกที่ยังคงกลัว  ความรู้สึกที่ว่าแม้จะอยากกระโจนเข้าไปหา แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ยังคงรั้งทุกอย่างเอาไว้ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในใจไปมากกว่าเดิม

“ภพ มึงหายไปไหนมา  มึงไปอยู่ไหน ฮึก  กูกลัวรู้มั้ย ไอ้ภพ”

“ฮึก มึงคือภพจริงๆใช่ไหม  ไม่หลอกกูแล้วนะ ไม่เอาแล้วนะ กูไม่ไหวแล้ว”

“อืม กูเอง…กลับมาแล้วนะ” ไอ้ภพเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ แม้ผมจะค่อยๆเดินออก จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความรู้สึกผมไม่อยากจะหนีผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว จึงปล่อยให้ไอ้ภพสาวเท้าเข้ามาหาและดึงผมไปกอดปลอบเอาไว้  กลิ่นตัวและความอบอุ่นที่นึกถึง เรียกน้ำตาผมให้ไหลออกมามากกว่าเดิม 

ผมรู้สึกทึ่งในความสามารถของบ่อน้ำตาคนมาก  มันจุน้ำตามนุษย์ไว้ได้มากขนาดไหน เหตุใดถึงไหลออกมาราวกับไม่มีวันหมด  นับตั้งแต่เกิดเรื่อง ยังไม่มีแม้แต่วินาทีที่ผมจะหยุดร้อง แม้ตอนนี้ไอ้ภพจะกลับมา  ผมก็ยังคงร้อง แต่มันไม่ใช่เพราะความกลัว ทุกอย่างมันเกิดเพราะความโหยหา

เพราะความคิดถึง….

“ฮึกไอ้ภพ  กูขอโทษ มึงเจ็บมากใช่ไหม กูขอโทษ” ผมพร่ำขอโทษขอโพยไอ้ภพ เพราะเมื่อต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน  ร่องรอยความช้ำและเลือดสดยังคงมีอยู่  ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยรอยชกของผมจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแทน  พรุ่งนี้มันคงช้ำและระบมหนักมาก

“กูจะไม่โกหกนะ  ก็เจ็บมากๆนั่นแหละ”

“ฮึก ไอ้ภพ กูขอโทษ กูขอโทษ มึงต่อยกูคืนเลยไอ้ภพ “

“เดี๋ยวดิ ฟังให้จบก่อน มันเจ็บก็จริงนะ  แต่ถ้ามันจะทำให้กูได้รับรู้บ้างว่าสิ่งที่มึงต้องแบบรับมันเจ็บปวดแค่ไหน  รู้มั้ยไอ้มิว  อย่างที่เคยบอก….กูยินดีเจ็บ

“ฮึกไอ้ภพ มึงไม่ต้องมาพูดดี เจ็บก็บอกเจ็บดิ”

“ชู่ว์…ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องเจ็บเดี๋ยวกูกินยามันก็หาย ตอนนี้เรารีบขึ้นไปนอนกันเถอะ คืนนี้มันมากพอแล้ว”

“ฮึก  อืม”

“มิว…ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มึงไม่หนีกูไปไหน  ขอบคุณที่ยังทนรอกู  ขอบคุณที่เลือกเชื่อใจกู ขอบคุณที่พากูกลับมา”

“ขอบคุณ…ที่มึงกลับมา” ผมตอบกลับไอ้ภพไปด้วยอารมณ์ที่เบาลง  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ไอ้ภพเลือกที่จะพูดขึ้นมาแบบนั้น  สีหน้า  แววตา ทุกๆอย่างมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมเลือกจะบอกมันไปแค่นั้น แต่ทุกอย่างมันก็ชัดเจนในตัวมัน ผมต้องการแค่นั้นจริงๆ ต้องการแค่ให้มันกลับมา

“อืม ขอสัญญาอีกครั้งได้ไหม ทั้งหมดที่มึงทำ กูสัญญา กูจะตอบแทนทุกอย่าง…ด้วยหัวใจของกูเอง”

“อืม”

.

.

.

ผมลื่มตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมื่อยล้าทางกายและใจ  วันนี้พวกผมตื่นนอนกันสายมาก อันที่จริง ตั้งแต่พวกเราเล่นเกมส์กันมาก็แทบนับวันที่เราสองคนตื่นเช้าได้เลย  ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก  ความรู้สึกเจ็บปวดและสงสารวิ่งแล่นขึ้นมาอย่างคนรู้สึกผิด รอยช้ำนั่น ผมรู้เลยว่าหากไอ้ภพตื่นขึ้นมาเมื่อไร มันคงต้องแบกรับความทรมานไปอีกสามสี่วันเลยทีเดียว แม้ก่อนนอนผมจะทายาและบังคับให้มันกินยาไปแล้วก็ตาม

หลังจากคำสัญญาสุดท้ายของวัน  พวกผมก็ตัดสินใจพากันขึ้นห้องนอน  เก็บกวาดซากหนังสือที่ยังเผาไม่หมดแต่ก็พังยับไม่เหลือชิ้นดีให้เข้าที่  สาเหตุที่ผมไม่อาจจะปล่อยให้มันเผาหมดได้  เกิดเพราะผมยังไม่อยากจะต้องมานั่งชดใช้อะไรให้มากความหากเกิดไฟไหม้บ้านหลังนี้

ผมนั่งมองหน้าไอ้ภพอยู่ไม่นาน  ไอ้ภพก็ขยับตัวตื่นขึ้นมาตามบ้าง  เสียงสูดลมเข้าปากเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินจากไอ้ภพ มันเป็นการกระทำที่บอกผมว่า มันกำลังเจอกับความเจ็บปวดขนาดไหนแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา  พวกเราพยักหน้าทักทายกันแค่นั้น ก่อนจะลุกแยกย้ายกันไปชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลจากเมื่อคืน  ระหว่างการอาบน้ำ ผมก็ยังเลือกที่จะไม่มองกระจก อาจเพราะยังกลัวด้วยส่วนหนึ่ง  แต่อีกส่วนเป็นเพราะผมรับไม่ได้ที่หน้าตาของผมหมองคล้ำ อีกทั้งตาก็ยังดูบวมโตจนน่าเกลียด

ช่วงที่ผมรอไอ้ภพที่อาบน้ำ  มือของผมก็เตรียมยากินและยาทาออกมารอไอ้ภพไว้  สิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่จะชดเชยความรู้สึกไม่ดีในใจผมได้ เมื่อมันเข้ามาในห้อง  ตาของมันดูแดงขึ้นเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะต้องล้างหน้าเลยทำให้มือไปกระทบอาการช้ำนั้น น้ำตาของมันเลยต้องไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้  และเมื่อพวกเราทำทุกอย่างบนห้องเสร็จเรียบร้อย  ผมกับไอ้ภพ ก็ค่อยๆพากันเดินลงมาข้างล่างแบบที่ต่างคนต่างเงียบแทบไม่คุยกัน  ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดหรืออะไร  แต่ตอนนี้มันคงไม่ดีนัก หากผมต้องชวนไอ้ภพพูดและทำให้มันเจ็บหนักกว่าเดิม

“สวัสดีครับ คุณภพ คุณมิว ตื่นสายเชียวนะครับ” เสียงของทีมงานคนหนึ่งดังขึ้นดักทางพวกผม เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็ลงมาด้านล่างและเตรียมไปทำอาหารกินกันตามปกติ

“สวัสดีครับ  ก็นิดหน่อยครับ  ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรหรอครับ?”

“อ๋อ วันนี้มีสองเรื่องที่จะมาชี้แจงและบอกเพิ่มเติมให้คุณมิวและคุณภพทราบครับ”

“สองเรื่อง?  เรื่องอะไรครับ”

“งั้นเริ่มเลยแล้วกันนะครับ  เรื่องแรก ผมขอแจ้งให้คุณมิวและคุณภพทราบว่า  ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเผาหนังสือหรือการออกไปข้างนอกนะครับ  ทุกสิ่งทุกอย่างผมจะถือว่ามันถูกระบุเอาไว้ในหนังสืออยู่แล้ว สบายใจได้ครับ”

“อ่อ  ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องนั้นพวกผมไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว ขอบคุณมากนะครับ”

“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี  เกมส์เมื่อคืนดูเหมือนจะผิดปกติไปเยอะเลยนะครับ”

“ก็นะ  เกมส์มันค่อนข้างแรงหนิครับ จะให้พวกผมนิ่งเฉยกันก็คงไม่ไหวครับ”

“ครับ แต่ก็ต้องระวังด้วย ถึงจะไม่มีกฎห้ามทำร้ายกันในเกมส์ แต่ก็อยากให้คิดกันไว้นะครับ เกมส์นี้มันมีคนดูอยู่”

“ไม่ต้องห่วงนะครับ คราวหน้าผมจะระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก”

“โอเคครับ…คุณภพอยากได้ยาหรือที่ปิดหน้าเพิ่มไหมครับ?”

“ผมขอตอบแทนเลยแล้วกัน ผมขอยาเพิ่มหน่อยนะครับ ไอ้ภพคงต้องใช้อีกเยอะ ส่วนผ้าปิดหน้าอะไรคงไม่ต้องหรอกครับ เราอยู่
แต่ในบ้าน เปิดไว้มันจะแห้งไวกว่าครับ”

“จะดีหรอครับ?”

“ดีสิครับ  หรือว่ามีอะไรอย่างนั้นหรอครับ?”

“ครับ เอาเป็นว่าเรื่องที่สองที่ผมจะบอก คือพวกคุณ ต้องออกไปทำกิจกรรมในตอนกลางวันกับโปรเจคใหม่ของรายการที่จะนำเสนอพวกคุณในแง่ใหม่ๆมากกว่าการอยู่ในบ้านครับ”

“แล้ว…ผมต้องทำอะไรครับ?” ผมนิ่งจนพูดแทบไม่ออก หันไปสบตากับไอ้ภพที่ก็ขมวดคิ้วลงด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน  ความไม่พอใจในตัวรายการตีรวนในหัวอีกครั้ง  เกมส์ปีนี้มันผิดไปจากปีก่อนๆ รายการกำลังเปลี่ยนรูปแบบเกมส์กะทันหัน

“ไม่ยากอะไรหรอกครับ…สิ่งที่คุณต้องทำ มีเพียงการออกไปหาบางอย่างตามคำสั่งของเกมส์  ในวัดที่เกมส์กำหนดเอาไว้ โดย 8 วัดแรก พวกคุณจะมีโอกาสหาสิ่งของพวกนั้นในตอนกลางวัน  ส่วนอีก1 วัดที่เหลือพวกคุณต้องทำตอนกลางคืน”

“ป…ไปวัดหรอครับ?” ผมตื่นตะลึงไปกับคำตอบที่ได้ยิน การไปวัดมันย่อมได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ยามกลางวัน วัดคือสถานที่ที่ทำให้ใจของมนุษย์สงบสุขที่สุด  แต่ในตอนกลางคืนนั้น ความสงบที่มีอาจถูกโอนถ่ายไปเป็นของคนตาย ดังนั้น วัดสุดท้ายที่ผมต้องไปจึงสร้างความหวาดผวากับตัวผมได้มากที่สุด


“ใช่แล้วครับ โปรเจคใหม่ของรายการนี้ มีชื่อเรียกสั้นๆว่า 9วัด ครับ”






***********************************************TBC******************************************
เอาตอนที่ 14 มาส่งแล้วนะครับบบบบบบ  ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เท่าที่แต่งมาตอนนี้แต่งยากที่สุดเลย  เนื่องจากมีฉากน่ากลัวอยู่หลายฉากจนผมแต่งต่อไม่ไหว  พอจะกลับมาเขียนใหม่อารมณ์ที่มีมันอาจได้ไม่เท่าเดิม  ถ้ามีอะไรที่ขัดใจคนอ่านหรือรู้สึกว่าเรื่องมันฟุ้งเกินไป ผมขอโทษด้วยนะครับ คราวหน้าจะระวังกว่าเดิม :pig4:

หวังว่าจะมีความสุขและสนุกไปกับการอ่านเหมือนเดิมนะครับผม :mew1:  ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคอมเมนต์นะครับ
ฝากติดตาม ฝากแชร์ ฝากคอมเมนต์กันเยอะๆเน้อ  ยินดีต้อนรับนักอ่านหน้าใหม่เสมอ   :katai2-1:
มีคำผิดหรือประโยคไหนที่ไม่ลื่นไหลบอกได้เลยนะครับ

เจอกันตอนหน้าครับ 
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2017 02:08:22 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ติดตาม :กอด1:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
รายการมันจะเอาไรอีกว้าา
แค่นี้มิวก็ช้ำไปหมดแล้วววววววว ฮ้วยยยย!!  :z6:

ลุ้นให้ภพกลับมามากก อ่านไปคือจะช็อคแทน ฮือ5555
 :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
คนคิดเกมนี่กะให้ไม่มีใครได้เงินเลยสินะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ้ยยยย อ่านแล้วเครียดเลย  :ling3:
หลอนด้วย ไม่รู้จะบรรยายยังไง :ling2:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนนี้ภพน่ากลัว :katai1:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
รายการทำผิดกติกา ออกนอกสถานที่ได้ไง
มิวเก่งมากสติดีสุดๆที่เรียกสติภพกลับมากได้

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่กล้าอ่านตอนกลางคืนเลยทีเเดียว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ minibusez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เห็นชื่อตอน 9 วัด นึกว่าสบโอกาสไปขอน้ำมนต์ละ ฮรือออ ความจริงที่กำลังจะมาถึงช่างโหดร้าย
 :ling3:  กลัวแล้ว กลัวแล้ว  :ling3:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 944
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ถึงนักอ่านทุกคนนะครับ

ในอาทิตย์นี้ผมขออนุญาตไม่ลงนิยายตอนที่15นะครับ. ขอโทษทุกคนที่รอตอนต่อไปดัวยนะครับ

เนื่องจากผมมีสอบทั้งอาทิตย์เลยขอให้จบการสอบก่อนนะครับ ฝากติดตามกันต่อๆไปด้วยเน้อ :sad4:

P-Rawit

ออฟไลน์ AkaneSama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ภพใจเย็นก่อนลูก  :katai1: :hao5:

ออฟไลน์ AkaneSama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้ๆนะ ภพมิว  :m15:

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่ากลัววววว สนุก ระทึก หวาน ทุกตอนเลย :pig4:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่15

ผีเสื้อ



“ถึงแล้วครับ คุณภพ คุณมิว”


น้ำเสียงร้องเรียกของทีมงานคนหนึ่งได้ปลุกผมกับไอ้ภพให้ออกจากโลกของความฝัน  หลังจากที่พวกเราต่างก็เลือกใช้ช่วงเวลาระหว่างเดินทางมายังสถานที่ถ่ายทำที่ใหม่ ซึ่งก็คือวัดสักแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านหลังนั้น นอนพักเอาแรง เพิ่มพลังและกำลังกายที่แทบจะสูญสิ้นไปกับเรื่องราวในหลายๆวันที่ผ่านมาให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากคำบอกเล่าของทีมงานดำเนินไปอย่างรวดเร็ว  ผมกับไอ้ภพถูกสั่งให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีขึ้นและเหมาะสมที่จะไปวัดมากกว่าชุดเดิม เนื่องจากทีมงานบอกกับพวกเราว่ากำหนดการที่จะเดินทางในวันนี้ล่าช้าไปมากเพราะการนอนตื่นสายของพวกเรา  ผมกับไอ้ภพจึงต้องรีบจัดแจงตัวเองตาแทบปลิ้นเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเวลาไปมากกว่าตอนนี้

พวกเราเดินทางไปวัดด้วยรถตู้ของรายการ บนรถคันนี้มีเพียงพวกผม คนขับรถ และทีมงานอีกสองคนเท่านั้นที่นั่งไปด้วยกัน  บทสนทนาเรื่องภายในเกมส์จึงถูกเอ่ยถามขึ้นมาเป็นระยะเพื่อไม่ให้รถเงียบเกินไป และเมื่อได้ลองคุยกับทีมงานเรื่องข้อสงสัยถึงสาเหตุที่ทีมงานไม่ขึ้นไปปลุกพวกผมให้ตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมนี้ ก็ได้คำตอบกลับมาว่า เมื่อคืนทีมงานคนนี้คือคนที่ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิด เขาเห็นตลอดว่าพวกเรากำลังเล่นเกมส์อะไรหรือระหว่างการเล่นเกิดความผิดปกติอะไรไปบ้าง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะให้พวกเราพักกันให้เต็มที่ ไม่ก้าวก่ายและรบกวนการนอนหลับของพวกเราแม้ว่าเขาจะต้องนั่งรอการตื่นนอนร่วมชั่วโมง

“ถึงแล้วหรอครับ เร็วมากเลย” ผมหาววอดใหญ่ ก่อนจะหันไปตอบทีมงานด้วยน้ำเสียงที่ยังติดการง่วงซึมอยู่

“ครับ ถึงแล้ว”

ผมลงจากรถพร้อมกับไอ้ภพด้วยอาการที่ยังคงต้องการการนอนหลับมากกว่านี้ ก่อนที่จะตื่นเต็มตาไปกับภาพของวัดที่อยู่ตรงหน้าของผม  วัดแห่งนี้เป็นวัดตามรูปแบบของวัดต่างจังหวัด ไม่ได้มีโบสถ์หรือศาลาสวยๆอย่างที่ผมเคยเห็น พื้นที่จำนวนมากมายประกอบไปด้วยดินแดงเกือบทั้งนั้น  อีกทั้งวัดยังดูเก่าแต่ไม่ได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อย่างกับว่าวัดแห่งนี้ถูกรักษาโดยประชาชนแถบนี้อยู่ตลอด

ผมค่อยๆเดินออกจากตัวรถมาเล็กน้อยเพื่อมองดูวัดที่ค่อนข้างแปลกตาสำหรับผม  ศาลาการเปรียญเล็กๆตั้งเด่นชัดอยู่ตรงกลางวัด  ข้างๆกันนั้น คือหอระฆังที่กำลังสร้างใหม่แทนอันเดิมที่คาดว่าอาจจะพังหรือไม่ก็ทรุดโทรมตามธรรมชาติ  เมื่อมองถัดไปอีกหน่อย จะเป็นที่ตั้งของกุฏิพระ และที่ดึงดูดพวกผมให้สนใจมากที่สุด คงเป็นทางขึ้นเขาชี้ให้เห็นถึงเส้นทางไปสักการะพระพุทธรูปประจำวัดแห่งนี้

“สวยใช่ไหมครับ?  คุณมิว”

“ครับ?  อ่อ สวยมากเลยครับ วัดลักษณะแบบนี้ผมพึ่งจะเคยเห็น ดูเงียบสงบแล้วก็ไม่วุ่นวายดีครับ”

“ครับ แต่เรามีเวลาให้คุณชื่นชมได้ไม่มาก  ขอโทษด้วยครับ…ขอเชิญคุณมิวคุณภพมาตรงนี้หน่อยครับ” ทีมงานเอ่ยขอโทษผมเรียบๆ ก่อนที่จะเรียกให้พวกผมก้าวขากลับไปยังใกล้ตัวรถ ทำท่าทางเหมือนกับว่าจะบอกอะไรสำคัญกับพวกเรา

“อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วนะครับว่าพวกคุณต้องหาสิ่งของบางอย่างภายในวัด ผมจะบอกแค่ครั้งเดียว ได้โปรดจำกันไว้หน่อยนะครับ”

“ได้ครับ…แล้วผมต้องหาอะไร”

“น้ำครับ”

“น้ำ? น้ำมนตร์หรอครับ” ไอ้ภพถามขึ้นมาบ้าง หลังจากที่มันเงียบฟังทีมงานคุยกับผมมานาน อันที่จริงตั้งแต่อยู่ที่บ้านจนถึงตรงนี้
ไอ้ภพยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยสักประโยคเดียว

“ไม่ใช่ครับคุณภพ  น้ำที่ทางรายการอยากให้พวกคุณไปหา คือน้ำที่ผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการกรอง การปลุกเสก หรือการไหลผ่านจากก๊อก  เข้าใจกันใช่ไหมครับ?”

“เดี๋ยวนะครับ น้ำที่ผุดขึ้นมาเอง??  อย่างที่เป็นข่าวหรอครับ  ท่อส้วมแตกแล้วน้ำผุดขึ้นมา รายการจะเอาน้ำแบบนั้นไปทำไมครับ?” ผมรีบถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ  น้ำตามแบบที่ทีมงานว่า ก็ดูเหมือนจะมีเพียงน้ำแบบนั้นอย่างเดียวที่ผมคิดได้ รายการจะต้องการมันไปทำอะไร และที่สำคัญมันคือน้ำจากท่อส้วม แค่คิดกลิ่นก็ลอยจางๆมาแล้ว

“5555 ไม่ใช่หรอกครับคุณมิว  ถามจริงจังใช่ไหมครับเนี่ย…น้ำแบบที่ผมบอกก็อย่างเช่น น้ำใต้ดิน น้ำฝน หรือน้ำอะไรก็ได้ที่เกิดจากธรรมชาติสร้างครับ  ผมใบ้ให้หน่อยก็ได้ ไม่ทราบว่าจะเคยเห็นกันหรือเปล่า แต่น้ำแบบนั้นมันจะอยู่ในบ่อลึกๆครับ ที่เวลาคนต้องการใช้น้ำจะใช้การชักรอกดึกเอาถังตักน้ำข้างล่างขึ้นมา”  ทีมงานปล่อยเสียงหัวเราะลั่นขึ้นมาหลังผมจบคำถาม  ก่อนที่จะเฉลยว่านอกจากน้ำในความคิดผม ยังเหลือน้ำอะไรบ้างที่ทางรายการอยากได้

“โอเคครับ  เดี๋ยวผมจะลองหาดู ถึงจะยังนึกภาพไม่ค่อยออก แต่ลักษณะแบบนั้นมันคงมีไม่มากใช่ไหมครับ?”

“ก็ครับ อย่างที่บอกมันมีไม่มาก ดังนั้นวัดแห่งนี้มันอาจจะไม่มีเลยก็ได้นะครับ ค่อยๆลองหาหรือไม่ก็ถามจากคนหรือพระในวัด
ก็ได้ครับ…ส่วนนี่กล้องวีดีโอครับ ระหว่างการมองหา ช่วยอัดวีดีโอของพวกคุณไว้ด้วยนะครับ ไม่จำเป็นต้องบันทึกตลอดเวลา แต่ช่วยเก็บภาพมาให้ทางเราด้วยครับ แล้วเดี๋ยวพวกเราจะรอที่รถตรงนี้นะครับ”

“ได้ครับ…ยังไงก็ขอบคุณแล้วก็ขอโทษที่ต้องให้รอเมื่อเช้าด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงมันก็หน้าที่ผมอยู่แล้ว หาให้เจอกันนะครับ”

เมื่อบอกลากับทางทีมงาน พวกเราสองคนก็ค่อยๆเดินแยกออกมาทางกลางวัด เพื่อมองหาน้ำลักษณะแบบนั้น  สภาพแวดล้อมโดยรอบในยามนี้ค่อนข้างที่จะเงียบสงบจนเรียกว่าร้างไปเลยก็ได้ คำแนะนำที่ถูกบอกให้ไปถามคนหรือพระในวัดก็ดูจะไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อผมลองกวาดสายตาไปทั่วก็ไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต  มีเพียงเศษหินเศษปูนของการก่อสร้างและผ้าจีวรของพระสงฆ์ที่ตากไว้เท่านั้นที่ยังยืนยันได้ว่า ก่อนหน้าที่พวกผมจะมา วัดแห่งนี้ยังมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น

“สวัสดีครับ ชาว Nightmaregamer ทั้งหลาย วันนี้หลายคนคงจะรู้สึกแปลกใจกันใช่ไหมครับ ที่อยู่ๆพวกเราก็มาโผล่กันที่นี่  ที่วัดแห่งนี้ครับ…ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวและขอบคุณทุกการติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกผมนะครับ  ผมมิวเจ้าเก่าเจ้าเดิมครับ  ส่วนผู้ชายหน้าบวมๆข้างๆผมนี่ก็ไอ้ภพครับ คงไม่ต้องให้บอกนะครับว่ามันบวมเพราะอะไร หลายคนคงรู้กัน  ส่วนวันนี้พวกเรามาทำอะไร  ผมคงบอกได้แค่ว่าเราถูกสั่งให้มาหาน้ำบางอย่าง  ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ารายการจะเอาไปทำอะไร  แต่ก็คงไม่เอาไปเผื่อเล่นสงกรานต์แน่นอนใช่ไหม? 555  ตอนนี้ผมอัดไว้แค่นี้ก่อนนะครับ  ถ้ามีอะไรคืบหน้า เดี๋ยวจะอัดให้ทุกคนตามไปพร้อมๆกันเลยครับ” ผมเริ่มอัดวีดีโอตามคำสั่งของรายการ  อาจจะเพราะผมมีประสบการณ์หน้ากล้องมาบ่อย นี่จึงเหมือนเป็นการขุดเอาความเสแสร้งเดิมๆขึ้นมาใช้อีกครั้งพร้อมกับโชว์สถานที่ให้ผู้ชมเห็น ที่บอกว่าเพราะความเสแสร้ง ผมหมายถึงการที่ผมต้องยิ้มสู้กล้องทำตัวร่าเริงทั้งที่ใจมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด น้ำนี่สำคัญอย่างไร  ทำไมรายการถึงจงใจให้พวกผมมาหามากขนาดนี้

“เชี่ยวเชียวนะมึง” เสียงไอ้ภพค่อนขอดขึ้นมาหลังจากที่มันเงียบเป็นเป่าสากมาได้พักใหญ่

“อะไรอีกฮะ  ก็กูเคยบอกแล้วไง กูเคยเล่นเกมส์พวกนี้บ่อย เรื่องพวกนี้ไม่ระคายอะไรกูหรอก”

“เออๆ แล้วนี่จะเริ่มกันยังไงวะ ให้ถามคนถามพระ  หมาในวัดสักตัวกูยังไม่เจอเลย”

“ใจเย็นๆไอ้ภพ  กูรู้ว่ามึงเจ็บ แต่ตอนนี้ต้องค่อยๆหาไปหวะ คิดซะว่าออกมาเจออะไรดีๆบ้างแล้วกัน”

“แล้วเอาไง จะเริ่มตรงไหนก่อน เมื่อกี้กูมองๆไปวัดกว้างอยู่นะ ด้านหลังศาลาไปนี่ก็ดูท่าว่าจะเป็นที่โล่ง แล้วมึงดูตรงไกลๆนั่น…กูคิดว่าเป็นเมรุของวัดนี้  ตรงนั้นอาจมีพระอยู่ก็ได้ จะลองไปหาจากตรงนั้นก่อนไหม?” ไอ้ภพพูดออกมาเป็นประโยคยาวๆอย่างลืมความเจ็บปวด  แต่นั่นก็ถือว่าช่วยผมได้มาก เมื่อผมมองตามนิ้วที่มันชี้ไปก็พบว่ามีเมรุอยู่จริงๆ  สาเหตุที่วัดแห่งนี้เงียบกะทันหันอาจเป็นเพราะพระท่านอาจไปรวมกันอยู่ตรงนั้นก็ได้

“หาแถวๆนี้ไปก่อนแล้วกัน บ่อน้ำหรือน้ำแบบนั้น สมัยก่อนคงต้องใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ  มันคงไม่ไปตั้งอยู่ไกลกุฏิหรอก” ไอ้ภพพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเดินนำไปมองหาบริเวณรอบๆศาลาแห่งนี้

การหาน้ำนั่น เริ่มกินเวลาจาก 5 นาที เป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมง เริ่มเป็นชั่วโมง โดยที่เราต่างก็ไม่ได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย แม้จะหาจนแทบจะพลิกกุฏิพระแล้วก็ตาม  อีกทั้งแสงแดดอ่อนๆก็เริ่มหอบเอาความร้อนมาสัมผัสผิวกายของผมกับไอ้ภพ  แม้จะมีลมเอื่อยๆพัดโชยเอาความร้อนออกไปบ้างแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยพวกเราสักเท่าไร  ด้วยความที่ก่อนหน้าเนื้อตัวของพวกเราเต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลออกมา  ร่างกายจึงชุ่มไปด้วยหยาดน้ำของความร้อน  เมื่อลมพัดมา มันจึงหอบเอาเศษฝุ่น เศษดินแดงลอยขึ้นมาติดและตีจมูกจนรู้สึกแสบคัดไปทั่ว

“ภพ มึงไหวไหม?” ผมหันไปถามไอ้ภพด้วยความสงสาร  เมื่อตอนนี้พวกเราเลือกที่จะนั่งพักกันใต้ร่มไม้ แล้วเห็นไอ้ภพ ดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดความสกปรกบนหน้านั่น  รอยขบกรามเพราะความเจ็บปวดเกิดอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการออกไป

“กูไม่ไหวได้หรือไง”

“ได้สิ ไม่ไหวก็ให้บอกกู  เดี๋ยวที่เหลือกูทำเอง กะอีแค่หาน้ำเนี่ยกูทำได้สบายๆ”

“อวดเก่ง ไอ้อาการหอบจนตัวโยนขนาดนี้ยังจะบอกว่าไหวอีกหรอ กูไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็หาย”

“เฮ้อ ไหนๆก็อยู่ในวัดแล้ว คุณพระคุณเจ้าได้โปรดคุ้มครองพวกผมด้วยเถิด สาบานจากใจเลยจริงๆนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะต่อยไอ้ภพแต่อย่างใด  ตอนนี้ผมก็รู้สึกผิดมาก อย่าได้ถือโทษถือกรรมผมเลยนะครับ สาธุ”

“555 เพ้อเจ้อแล้วนะไอ้มิว กูรู้แล้ว กูไม่ได้โกรธมึงด้วย มึงทำก็เพราะจะปกป้องตัวเอง ดีซะอีก กูจะได้ไม่รู้สึกผิดกับมึงด้วย”
“รู้สึกผิดอะไร ไอ้ที่มึงบอกให้กูต่อยมึงนั่นหรอ?”

“อืมนั่นแหละ  กูรู้สึกแย่นะที่เหมือนมึงเจอผีอยู่ฝ่ายเดียว อีกอย่างก็เป็นกูที่เคยหลอกใช้มึง ให้มึงต่อยกูคืนบ้างก็ไม่เสียอะไร แต่ว่านะ ถึงจะบอกให้ต่อยได้  มึงจำเป็นต้องซัดกูมาแรงขนาดนี้เลยหรอ”

“อ้าว ไอ้สั…”

“หยุด!! นี่ในวัด ไปหาต่อได้แล้ว  เหลือที่เมรุนั่นแล้วแหละ เราคงเจออะไรบ้าง”

“นี่มึงเจ็บหน้าเจ็บปากอยู่จริงๆใช่ไหม  ทำไมถึงได้พูดมากขนาดนี้”

“ลองสักหมัดไหม จะได้รู้ว่ากูเจ็บอยู่หรือเปล่า”

“นี่ในวัดครับ ศีลห้าอ่ะรู้จักไหม”

“ที่ว่าอย่ารังแกสัตว์ใช่ไหม  กูท่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เมื่อกี้กูคงลืมหวะ….ขอ โทษ ที”

“อ ไอ้ภพ ไอ้…”ผมกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอด้วยอารมณ์ฉุนเล็กๆ  เมื่อการขอโทษหน้าตายของไอ้ภพสร้างความหงุดหงิดภายในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เตะมันก็จะกลืนน้ำลายตัวเองเสียเปล่าๆ เมื่อกี้พึ่งจะด่ามันไป หรือจะให้ด่ามันด้วยคำหยาบแบบที่ใช้กันประจำก็ทำไม่ได้ ไม่เหมาะสมไปอีก  ชีวิตของผมตอนนี้เลยดูบัดซบไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ผมสาวเท้าก้าวขาตามไอ้ภพไปอย่างเร่งรีบ เมื่อมันเดินนำหน้าไปมากโข ไม่คิดจะหยุดรอผมแม้แต่น้อย  แต่ก็อย่างว่าเป็นผมผมก็คงไม่รอ เพราะลานกว้างที่คั่นระหว่างจุดที่ผมอยู่กับเมรุคือเป็นแค่ลานโล่งๆไม่มีต้นไม้ใดๆ แสงแดดเลยส่องกระทบได้อย่างเต็มที่  ไอความร้อนจำนวนมหาศาลจึงสั่งให้ผมก้าวผ่านตรงนี้ให้พ้นไวที่สุด

แกรก  แกรก  แกรก…

เสียงไม้กวาดทางมะพร้าวที่ครูดกับพื้นดินแดงดังขึ้นมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของใครสักคน  หลังจากที่ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณเมรุด้านหลัง ก่อนสายตาจะพลันเหลือบไปเห็น พระสงฆ์ 2 รูป พร้อมกับลูกวัดจำนวนหนึ่ง กำลังกวาดเศษใบไม้ที่ตกพื้นให้เป็นระเบียบ ก่อนจะนำไปสุมกองกันเพื่อรอการเผาไฟ

“นมัสการครับหลวงพ่อ” เป็นไอ้ภพ ที่เดินเข้าไปหาและก้มนั่งกราบบนพื้นก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งภาพนั้นก็เรียกให้ผมรีบเข้าไปทำตามเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาทกับพระกับเจ้า

“อ้าว โยม มาช้ากันจังเลยนะ อาตมาก็กวาดพื้นรอมาตั้งนาน”

“ครับ? หลวงพ่อรู้ด้วยเหรอครับว่าพวกเราจะมา”

“5555 ว่าแต่โยมเถอะ จะมาทำอะไรกัน สิ่งที่หาอยู่ ตรงนี้ไม่มีหรอกนะ”

“ครับ?? หลวงพ่อรู้ด้วยเหรอครับ ว่าพวกเราหาอะไร”

“คนทุกวันนี้เข้าวัดมาก็หาอยู่ไม่กี่อย่างหรอกนะ  ไม่มาหาความสุข ก็มาหาความตาย  แต่กรณีของโยมอาตมาก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าโยมมาหาอะไร ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นตามการกระทำของโยมเอง  โยมต้องเป็นคนตัดสิน”

“ผมแค่มาหาน้ำครับหลวงพ่อ พวกเราโดนรายการสั่งให้มาหาน้ำภายในวัดแห่งนี้ครับ”

“ถ้าแค่น้ำธรรมดา โยมเปิดก๊อกแถวกุฏิอาตมาก็ได้ถูกไหม รายการไม่มีทางรู้หรอกว่าน้ำมาจากไหน แต่ที่โยมยังดั้นด้นหา มันเป็นเพราะภายในใจของโยมยังคงสั่งให้ตามหา คำถามมากมายในใจโยมตอนนี้ยังไม่มีทางแก้ไข  เอาเป็นว่า อาตมารู้ว่าโยมอยากได้น้ำอะไร  อาตมาจะพาไปเอาเอง”พูดจบ หลวงพ่อก็ยื่นไม้กวาดทางมะพร้าว ให้กับลูกวัดที่ยืนมองมาทางนี้ตั้งแต่แรก ก่อนจะเดินนำพวกผมไปอีกทาง ซึ่งเมื่อเพ่งเล็งไปดีๆ ก็พบว่า ทางที่หลวงพ่อพาไป คือทางขึ้นไปบนเขานั่นเอง

“สวัสดีครับท่านผู้ชมทุกคน ตอนนี้เราได้เบาะแสแล้วนะครับ ผมกับไอ้ภพกำลังจะเดินตามหลวงพ่อท่านขึ้นไปหาน้ำตามที่เกมส์สั่งมา ทายกันสิว่าผมจะไปกันที่ไหน  บนเขา!! นั่นเองครับ ทุกคนคงจะยังไม่รู้ว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปอยู่บนเขาด้วยนะครับ ให้คนขึ้นไปสักการะข้างบน  เป็นแนวคิดที่แปลกและชวนให้มาเห็นจริงๆครับ เอาเป็นว่าผมอัดให้ดูแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  เกรงว่าจะไม่เหมาะสมครับ  อยู่กับพระ อยู่ในวัด  ทุกคนต้องสำรวมนะครับ อย่าลืมความเป็นจริงข้อนี้กันนะ”

ผมเริ่มอัดวีดีโอขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ตื่นเต้นหนักกว่าเดิมโดยที่จับภาพไปยังด้านหน้าอย่างเดียว  ผมคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะหันกล้องเข้ามาถ่ายหน้าตนเองในขณะที่คิ้วยังคงขมวดและสายตายังคงจับจ้องไปที่หลวงพ่อด้วยความมึนงงในหลายๆเรื่อง จึงทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาขัดกับรูปลักษณ์ในความเป็นจริงของผม

“ไอ้ภพ  มึงว่าหลวงพ่อท่านรู้เรื่องพวกเราได้อย่างไร?” ผมเดินเข้าไปขนาบข้างไอ้ภพ และเอ่ยถามมันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คิดไปเองว่าเบาที่สุด

“กูจะรู้ไหมละ ก็เดินมาพร้อมกับมึง แต่ถ้าให้กูเดานะ รายการคงมาบอกล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว ในวัดแบบนี้หลวงพ่อคงไม่อยากให้ใครผลีผลามกันเข้ามาทำลายความสงบสุขหรอก”

“นั่นก็ถูกของมึง แต่ว่านะอะไรบางอย่างมันบอกกูหวะ ทางรายการต้องไม่ได้บอกอะไรหลวงพ่อท่านแน่ๆอ่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านก็ต้องออกมารอเราสิ  ทำไมถึงปล่อยให้เราหาเองตั้งนาน ดูท่าท่านก็อยากช่วยเราอยู่”

“ท่านช่วยก็ดีแล้วไง  เก็บความสงสัยมึงไปก่อน นั่นพระสงฆ์นะไอ้มิว เดี๋ยวนรกก็เล่นกบาลมึงหรอก”

“ไอ้นี่หนิ กูก็แค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้จะว่าร้ายอะไรท่านเลยนะ”

“เรื่องของมึงเถอะ  พื้นดินสูบมึงลงไปขึ้นมากูจะขำให้”

“โว๊ะ มึงนี่ก็จริงจังไปได้ทุกเรื่องนะ  แก่เร็วขึ้นมาหาเมียไม่ได้ ต้องมาง้อกูเร็วๆนะ”

“มึงว่าอะไรนะ??”

“ฮะ อะไรใครว่าอะไรอ่ะ กูบอกหาเมียไม่ได้ไม่ต้องมาง้อกูเลย….ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัย เดินไปเงียบๆ เดี๋ยวพื้นดินสูบมึงขึ้นมากูจะขำให้”

ผมย้อนมันกลับด้วยคำแช่งเดิม ใครจะกล้าบอกมันกันว่าผมกำลังหยอดมันอยู่ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อของตัวเองอยู่หนึ่งอย่างคือการได้พูดหรือขออะไรในวัด ผมเชื่อว่ามันจะเป็นจริงเสมอ  มันจึงทำให้ผมกล้าที่จะพูดความรู้สึกตัวเองออกมาให้ไอ้ภพรับรู้ชัดขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ในวัดนี้ เทวดาทั้งหลายก็ต้องเห็นใจผมไม่มากก็น้อย

ผมกับไอ้ภพเดินตามหลวงพ่อขึ้นเขาไปเงียบๆโดยที่ไม่มีปริปากบ่นอะไร เพราะระยะทางที่ขึ้นมานั้นค่อนข้างชัน อีกทั้งอากาศตอนนี้ก็เริ่มร้อนแรงจนอดจะยกมือมาพัดคลายร้อนให้ตนเองไม่ได้ และที่สำคัญ หลวงพ่อท่านยังเดินนำขึ้นไปเหมือนกับว่านี่คือทางเดินเรียบๆ ที่ไม่มีแม้แต่เศษหิน เศษดิน อีกทั้งท่าทางของท่านยังเหมือนเดินอยู่ในที่ที่ลมโกรกตลอดเวลา ท่านถึงไม่ได้ดูร้อนมากเท่าที่ผมรู้สึก

“หลวงพ่อครับ ต้องเดินไปอีกไกลไหมครับ?”

“อะไรกันโยม ยังหนุ่มยังแน่น มาบ่นออดๆแอดๆเป็นคนแก่ไปแล้วรึ”

“ก็นิดหน่อยครับหลวงพ่อ  ช่วงที่ผ่านมาผมเล่นแต่เกมส์อยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกกำลังกายเลยครับ”

“เอาเถอะๆ  ถึงแล้วหละ ข้างหน้านั่นไง” พูดเสร็จหลวงพ่อก็ชี้ให้ดูถึงลักษณะของบ่อน้ำตามที่ทางรายการได้บอกมา เพียงแต่ว่า
นี่คงเก่ามากเกินไป เลยผิดไปจากความรู้สึกผมเล็กน้อย

เมื่อเห็นดังนั้น ผมกับไอ้ภพเลยรีบจ้ำอ้าวไปยังเป้าหมายทันที รีบก้มมองไปยังก้นบ่อ ก็พบว่าบ่อนี้ลึกมากชนิดที่ว่ามองไปก็เห็นแต่ความมืด สิ่งที่ทำได้จึงเป็นเพียงการค่อยๆดึงรอกขึ้นมาแล้วลุ้นเอาว่าจะยังคงมีน้ำอยู่ภายในบ่อนี่หรือไม่

“ไอ้ภพ  กูลืมเลย เราจะเอาอะไรใส่น้ำนี่กลับลงไปวะ?”

“เออหวะ กูก็ไม่มีอะไรเตรียมมาด้วย  งั้นเดี๋ยวกูวิ่งลงไปเอาที่รถตู้อีกรอบแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกโยม นี่…ใช้ถุงนี่สิ อาตมาเตรียมไว้ให้” เสียงห้ามปรามของหลวงพ่อหยุดฝีเท้าของไอ้ภพที่เตรียมจะวิ่งลงไป พร้อมกับยื่นสิ่งที่ทำให้ขนในกายพวกเราลุกชันขึ้นมา  คำว่าเตรียมไว้ให้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ หลวงพ่อแสดงออกเหมือนกับรู้ทุกอย่างว่า เหตุการณ์จะเกิดขึ้นแบบใด

“ข…ขอบคุณครับ หลวงพ่อ”

และเมื่อได้วัตถุใส่น้ำไปที่เรียบร้อย ผมจึงหันมาใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่อีกครั้งและถือว่าเป็นเดชะบุญของพวกผมมากที่เมื่อดึงรอกขึ้นมาแล้วยังพบว่ามีน้ำอยู่  น้ำนั้นดูใสสะอาดไม่เหมือนกับน้ำที่ถูกทิ้งไว้ในที่แบบนี้  แม้รอบข้างจะดูไม่ได้รก  แต่มันก็แปลกเหลือเกินที่ว่าไม่มีแม้แต่เศษใบไม้ลอยติดขึ้นมาด้วย

“ได้ของครบแล้วใช่ไหมโยม”

“ไม่มีอะไรแล้วครับหลวงพ่อ  ขอบคุณมากนะครับ” ไอ้ภพก้มลงไปกราบอีกครั้งอย่างนอบน้อม รวมถึงผมด้วย

“ไม่เป็นอะไรหรอกโยม เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่าง…”

“มีอะไรหรอครับหลวงพ่อ” ไอ้ภพถามขึ้นมาเมื่อหลวงพ่อทิ้งท้ายประโยคไว้จนน่าติดตาม

“โยมทั้งสองคน อาตมาขอบอกอะไรแล้วกันนะ  ระวังตัวกันไว้ให้มาก รักษาตัวกันให้ดี พวกโยมได้ยื่นขาสองข้างของตัวเองให้เข้าไปหาสิ่งที่ไม่ควร มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่โยมเลือกที่จะฝืนกฎธรรมชาติและพาตัวเองเข้าสู่อีกโลก  โดยเฉพาะโยมคนนี้”

“ผม? ผมทำไมหรอครับหลวงพ่อ”

“อะไรที่เป็นของโยมหนะ  โยมเลือกได้นะว่าจะให้มันเป็นแบบใด ดวงตาของโยมก็เหมือนกัน ถ้าโยมมองว่าสิ่งที่ได้มามันคือวิธีการที่จะช่วยให้โยมได้ช่วยตนอื่น อาตมาก็อยากให้โยมทำ  แต่ถ้ามันทำร้ายตัวโยมมากกว่า ก็ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย ร่างกายของโยม ใครจะทำอะไรโยมได้ถ้าโยมไม่อนุญาต จริงไหม? ส่วนเรื่องน้ำนี่ ถ้าเป็นไปได้ อย่าได้หยิบมาใช้เด็ดขาด  ในยามปกติมันก็คือน้ำดีๆนี่แหละ แต่เมื่อมันต้องเข้าไปเกี่ยวกับเกมส์ที่โยมกระทำ มันย่อมไม่ใช่เรื่องดี  อาตมาเตือนโยมได้แค่นี้นะ  มันผิดกฎของสงฆ์ไปมากแล้ว”

“แค่เท่านี้ก็ดีแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับหลวงพ่อ  ขออนุญาตกราบลาแล้วครับ”

“เจริญพรนะโยม กลับกันดีๆ อย่าลืมคำเตือนของอาตมา…โยมกำลังเล่นกับสิ่งที่ไม่ควร”

“ครับ หลวงพ่อ”

หลังจากนั้นผมกับไอ้ภพก็เดินลงเขามาพร้อมกับหลวงพ่ออีกครั้ง ก่อนจะเดินแยกกันไป โดยที่หลวงพ่อท่านเดินกลับไปทางเดิม ส่วนผมก็เดินแยกมาทางรถตู้ที่จอดเอาไว้ทางหน้าวัด ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้  เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่กำลังล้อผมเล่น วัดแห่งนี้คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงสัย หลวงพ่อท่านเอ่ยเรื่องราวบนเขาราวกับล่วงรู้ทุกการกระทำของผมกับไอ้ภพ  ผมไม่อาจเดาได้ว่ารายการมาจัดการเรื่องให้มากน้อยแค่ไหน  รู้แต่ว่า สิ่งที่หลวงพ่อเตือนคงไม่ได้มาจากรายการเป็นแน่

“กลับกันมาเร็ว ดีนะครับ แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเอง ได้อัดวีดีโอไว้บ้างไหมครับ?” เสียงทีมงานเอ่ยเสียงดังเมื่อผมกับไอ้ภพเดินเข้ามาใกล้ตัวรถ

“เร็วหรอครับผมนึกว่าช้าเสียอีก ส่วนเรื่องวีดีโอ ผมอัดไว้บ้างแล้วครับ เหลือแค่ตอนหาน้ำได้นี่แหละครับ ที่ยังไม่ได้อัด พอดีหลวงพ่อพาผมไปครับเลยคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไร”

“ไม่เป็นอะไรครับ เดี๋ยวไปอัดตอนหาเจอที่วัดต่อไปเลยก็ได้”

“ฮะ!! หมายความว่ายังไงครับ”

“ตามนั้นแหละครับ พวกคุณต้องทำกิจกรรมวันละสองวัด  วัดแรกพวกคุณเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ เลยทำให้กำหนดการกลับมาตรงเวลาเดิมพอดี ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่ทันแล้วเสียอีก”

“แต่…พวกผมยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ  ไอ้ภพก็ยังไม่ได้กินยา ตอนไปหาเมื่อครู่มันก็เจ็บแผลมันนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราเตรียมข้าวเตรียมยาไว้ให้หมดแล้ว เดี๋ยวพวกคุณขึ้นไปนั่งกินบนรถระหว่างเดินทางไปนะครับ  พอกินเสร็จจะนอนพักไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมปลุกเหมือนเดิมครับ”

.

.

.

(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“ตามนั้นเลยก็ได้ครับ” ผมยอมรับทีมงานไปอย่างช่วยไม่ได้  เมื่อใจจริงๆแล้วอยากจะกลับไปพักผ่อนมากกว่าเดินทางไปวัดในเวลาที่ใจฟุ้งซ่านไปแบบนี้  หันไปมองไอ้ภพ มันก็แค่พยักหน้ารับและรีบรุนหลังผมให้ขึ้นรถไปนั่งตำแหน่งเดิมกับเมื่อเช้าเพื่อรีบจัดแจงตัวเองก่อนที่จะไปทำกิจกรรมต่อไป

คราวนี้รถพาผมออกนอกเส้นทางไปไกลกว่าเดิม คำนวณระยะห่างจากบ้านหลังนั้นมาก็มากนับหลายกิโลเมตรแล้ว  ตอนนี้ผมคงกำลังเพ้อเจ้ออย่างที่ไอ้ภพบอก  เรื่องราวมากมายถูกย้อนกลับมาเป็นคำถามให้ผมได้เสมอ  ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนั้นผมกลายเป็นเจ้าหนูจำไมไปอย่างไม่ตั้งตัว  นู่นผมก็สงสัย นี่ผมก็ขัดตา ทุกอย่างดูแปลกไปจนไม่คิดว่าบ้านหลังเดียว  รายการแค่รายการเดียว จะผูกปมปริศนาไว้หลายเรื่อง จนผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเวลาหนึ่งเดือนจะแก้ได้หมดตามที่ไอ้ภพเคยบอกไว้ไหม

ตลอดการเดินทางบนรถไม่ได้มีเรื่องพูดคุยกันอย่างขามา  ทีมงานปล่อยให้พวกผมพักผ่อนและมีโอกาสได้ทบทวนเรื่องราวของตนเอง  บนรถตอนนี้จึงมีเพียงไอ้ภพที่นั่งหลังตรงหลับตานอนอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน  ลึกๆแล้วภายในใจของมันเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้เลยสักคน มันเป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  มีอะไรไม่ค่อยจะพูด  บทจะพูดขึ้นมาก็เล่นทำเอาผมไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน เวลามันโกรธหรือกำลังโมโหอะไรสุดขีด นั่นคงเป็นช่วงเวลาเดียวที่มันจะบอกอะไรทุกอย่างออกมา แต่ก็อย่างว่า ช่วงเวลานั้นผมไม่ปรารถนาจะเห็นอีกต่อไป

ผมถอนหายใจพลางข่มตาหลับนอนพิงไหล่มันอย่างหาโอกาส  ช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำที่แม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้างนิดเดียว ย้ำว่านิดเดียวจริงๆ ผมก็รู้สึกผิดพร้อมกับกลัวไปหมด  ความรู้สึกผิดมันเกิดจากการที่ผมไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่มันที่เจ็บ ผมก็เจ็บไปด้วยเหมือนกัน  ส่วนความรู้สึกที่ว่ากลัว มันก็เกิดจากทุกครั้งที่มองเห็นรอย มันจะมีภาพซ้อนทับที่เป็นที่มาของรอยพวกนี้  ใบหน้าไอ้ภพยามไม่มีสติจากผีตนนั้น ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเกมส์นี้ทั้งเกมส์รวมกัน

ความรู้สึกที่ว่ารถวิ่งมาได้นานเท่าไร กินระยะทางไปเท่าไร ผมไม่อาจทราบได้ แต่หลังจากการที่รถเริ่มชะลอตัวและตบไฟเลี้ยวเข้าสู่ตัววัด นั่นก็เริ่มเรียกความรู้สึกตัวของผมให้หันมาสนใจกับภาพภายในวัดแห่งนี้  ใช้ความตาไวของตนเองที่มีสอดส่องหาทิศทางที่จะนำไปสู่สิ่งที่ต้องตามหา เพื่อลดเวลาที่พวกเราต้องคล้อยตามเกมส์และเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนภายในที่สงบแบบนี้

“อ่า วานคุณมิวปลุกคุณภพให้ผมทีนะครับ ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มค้นหาอีกครั้งแล้ว”

ผมพยักหน้าตอบรับกับทางทีมงานพร้อมกับที่มือก็สะกิดผู้ชายที่นอนหลับอยู่ข้างๆตัวให้ตื่นขึ้นมารับฟังทีมงานอีกครั้ง  เป็นจังหวะเดียวกับที่รถตู้ของทางรายการเคลื่อนตัวมาทางด้านหลังวัดและจอดลงตรงหน้าศาลาพักศพที่อยู่ด้านหลังใกล้กับโบสถ์เก่าๆของวัด

ตรงบริเวณนี้ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนวัดแรก  เพราะศาลาตั้งศพที่อยู่ข้างรถตอนนี้ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ล้วนแล้วแต่ก็ใส่ชุดดำเดินเข้าออกศาลากันให้วุ่น  หน้าตาของแต่ละคนคลาคล้ำไปด้วยความโศกเศร้าตามประสาบรรยากาศในงานศพทั่วๆไป ผมกับไอ้ภพที่ลงมาหยุดยืนมองภาพนั้น ก็ได้แต่ทำหน้าปลงและอนิจจังไปกับสังขารของผู้วายชนม์ในโลงศพข้างในศาลา 

คนขับรถตู้ของทางรายการ เคลื่อนตัวรถไปจอดให้ห่างจากรถของบรรดาญาติๆของผู้ตาย ทิ้งให้พวกผมและทางทีมงานยืนเด่นเป็นเป้าสายตาอยู่ตรงนั้น ในเมื่อชุดที่ทุกคนใส่มาแตกต่างไปจากคนหมู่มากอย่างชัดเจน  บางคนมองมาด้วยความสงสัย แต่กลับอีกหลายๆคน มองมาด้วยความไม่พอใจ เมื่อสีสันบนเสื้อผ้าของเราไปตัดอารมณ์อาลัยภายในศาลานั่น

“เอ่อ…ผมว่าเราไปยืนที่อื่นกันไหมครับ” ผมเสนอความคิดให้ทีมงานที่ก็ยังคงยืนแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“อ่อ ได้ครับคุณมิว  คงจะอึดอัดกับสายตาใช่ไหมครับ?”

“ครับ ตามนั้นเลย”

“เอาเป็นว่า  เราเดินไปคุยไปกันก็ได้นะครับ  เวลาไม่ได้จำกัดมาก ผมเลยไม่อยากรีบสักเท่าไร  ให้พวกคุณได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง ดีไหมครับ?”

“ก็ดีนะครับ  แต่จะดีกว่านี้ถ้าพาผมไปสูดอากาศที่สวนสาธารณะหรือห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่ในวัดครับ”

“555 อยากพาไปนะครับ แต่คงจะผิดกฎ….วัดแห่งนี้ก็อย่างที่เห็นนะครับว่าพื้นที่กว้างกว่าวัดแรก  ดังนั้น ผมจะจำกัดเขตให้แล้วกันนะครับ  น้ำที่พวกคุณต้องการหา  อยู่บริเวณนี้แหละครับ  ไม่ได้หายากเท่าวัดเดิมแน่นอน แต่ถ้าคุณหาไม่เจอหรืออะไร ก็เหมือนเดิมครับ  ถามใครก็ได้ แต่อย่าลืมที่จะอัดวีดีโอไว้ด้วยนะครับ”

“ถ้าผมหาเสร็จแล้ว ขอไปไหว้พระในโบสถ์นั่นได้ไหมครับ?”

“ตามสะดวกเลยครับคุณมิว  ผมไม่ว่าอะไร  เดี๋ยวผมจะนั่งรอในรถตู้ของทางรายการแล้วกันนะครับ ถ้าคิดว่าทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ให้รีบกลับมานะครับ  อย่าลืมว่าคืนนี้พวกคุณยังต้องเล่นเกมส์ต่อ”

“ได้ครับ  ผมจะรีบกลับมาแล้วกันนะครับ”

ผมเดินแยกกับทีมงานออกมาแบบเดิม  ก่อนจะพุ่งตรงไปยังด้านหลังของศาลาทันที เนื่องด้วยพวกผมไม่มีใครที่จะกล้าเดินเข้าไปถามหาตำแหน่งบ่อน้ำแบบนั้นกับชาวบ้านในศาลา เลยเดินสุ่มหากันเองคาดว่าจะง่ายกว่า  อีกทั้งเท่าที่ผมคาดคะเนพื้นที่ทั้งหมด  ถ้าบริเวณนี้มีบ่อน้ำลักษณะนั้นจริงๆ  ก็คงจะหาง่าย เพราะหลังจากศาลาไป มันก็มีแค่บึงน้ำเล็กๆ กับพื้นที่โล่งเตียนทั่วไป คงไม่ยากนักหากผมจะเจอะเจอกับสิ่งที่สะดุดตา

ผมกับไอ้ภพ เดินแยกกันไปหาแต่ละฝั่ง โดยถ้าลองนึกภาพตามผม ฝั่งที่ไอ้ภพไปจะเป็นบริเวณด้านซ้ายของศาลาที่ซึ่งมีบึงน้ำขนาดไม่ใหญ่อยู่ไปจนสุดโบสถ์เก่าๆที่ตั้งแยกออกไปจากศาลาไม่ห่างกันมาก  ส่วนฝั่งด้านขวาจะเป็นพื้นที่โล่งๆสลับกับมีต้นไม้ขึ้นแซมให้พอมีร่มเงาไปจนสุดกำแพงวัดด้านนอก  และมีศาลาตั้งศพอยู่ตรงกลางคั่นระหว่างผมกับไอ้ภพ

“สวัสดีครับผู้ชมทุกคน  กลับมาพบกับมิวอีกแล้วนะครับ  ไม่รู้จะแปลกใจกันไหมที่ไม่เห็นไอ้ภพข้างตัวผม จะบอกว่าไม่ต้องแปลกใจไปนะครับ เราแยกกันหาน้ำที่ทางรายการสั่งให้หาหนะครับ  จากเมื่อช่วงเที่ยงๆผมมีข่าวมาอัพเดทนะครับว่าผมหาน้ำแบบนั้นที่วัดแรกเจอแล้ว แต่ที่ไม่ได้อัดเอาไว้เป็นเพราะ  หลวงพ่อของวัดนั้นเป็นคนพาไปครับ  มันคงไม่ดีเท่าไร  ส่วนวัดนี้  ผมจะแสดงให้เห็นทั้งหมดของวัดก่อนนะครับ….เห็นไหม  ว่าตรงนี้ของวัดไม่ได้กว้างเลย ผมกับมันแยกหากันได้สบายๆครับ  ลองสังเกตฝั่งนู้นดูดีๆจะเห็นหลังไอ้ภพไวไวอยู่นะครับ มันจริงจังมาก เพราะฝั่งของมันมีบึงน้ำเลยต้องตั้งใจหาเป็นพิเศษ  ส่วนฝั่งผมเป็นพื้นโล่งๆสบายๆครับ  เดินหาเรื่อยๆได้  ไม่ต้องถามกันนะครับว่าเห็นบึงน้ำแล้วทำไมไม่เอาน้ำ  ถึงที่นี่จะเป็นในวัด แต่บึงน้ำก็ไม่ได้สะอาดขนาดนั้นนะครับ  เกิดรายการสั่งให้ผมเอาไปล้างหน้า  ผมจะทำอย่างไรละครับ555  เอาเป็นว่าผมอัดไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยเจอกันใหม่”

ผมเดินอัดวีดีโอไปตามทางที่ผมต้องค้นหาบ่อน้ำนั่นด้วยความไม่รีบร้อนนัก จะเรียกว่าเดินลอยชายเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่ผมเคยได้บอกไป พื้นที่ตรงนี้มันโล่งมากๆ แค่มองทะลุไปก็เห็นกำแพงวัดแล้ว  ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะละเลยขนาดนั้น ทุกช่วงที่ผมอัด สายตาของผมจะแทบไม่ได้มองกล้องเลย เอาแต่จับจ้องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่อาจจะปิดบังสิ่งที่ต้องการหาอยู่ก็ได้

จวบจนเดินวนไปมาระหว่างศาลาและกำแพงวัดหลายรอบ  ผมก็มั่นใจแล้วว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่มีสิ่งที่ผมต้องการหาอย่างแน่นอน  ช่วงเดินกลับจากกำแพงวัดผมเลยหยิบกล้องวีดีโอขึ้นมาเปิดดูคลิปที่ผมอัดถ่ายกันไว้  ตรวจสอบความเรียบร้อยของมันว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก่อนส่งกล้องนี่คืนรายการ 

“เฮ้ย!!”

ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ก่อนที่ขาจะหยุดก้าวไปเสียดื้อๆ  เมื่อวีดีโอถูกเปิดมาเป็นวีดีโอที่ผมพึ่งจะอัดไปเมื่อครู่ แล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หน้าผม  แต่กลับมีร่างของใครคนหนึ่งเดินประกบหลังผมมาเรื่อยๆจากระยะที่เห็นได้แค่เท้า เพิ่มมาเห็นขาท่อนล่าง จนสุดท้าย ใบหน้าของใครคนนั้นก็มาหยุดอยู่ในกล้องข้างหลัง จับจ้องมาที่ผมตลอดการอัดวีดีโอ

ด้วยความที่ผมไม่ได้มองกล้องตลอดเวลา ผมจึงไม่ได้สังเกตสิ่งพวกนี้  ความรู้สึกขนลุกที่ท้ายทอยจนตัวชาวาบเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน  จะว่าผมกลัวก็ว่าได้แต่ที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาคงเป็นเพราะที่แห่งนี้คือวัด  แถมเมื่อมองไปข้างหน้าผมก็เห็นผู้คนจากศาลาคุยกันอยู่เพียบ และที่สำคัญเพียงแค่ผมเห็นถึงความผิดปกติผมก็รีบปิดวีดีโอทันทีนั่นจึงไม่ได้ส่งผลอะไรต่อผมมากนัก นอกจากการที่สมองสั่งให้รวบรวมสติและก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายืนหอบอยู่หน้าโบสถ์ตรงที่คิดว่าหากไอ้ภพเดินมาหาแถวนี้ก็จะเจอผมได้ง่าย ยืนนิ่งสะกดอารมณ์และสายตาตนเองให้มองไปที่พระพุทธรูปภายในโบสถ์ อีกทั้งยิ่งเย็นมากเท่าไร ผู้คนในศาลาก็มากันมากขึ้น การมายืนรอด้วยเสื้อต่างสีตรงนี้เงียบๆคนเดียวก็ดูจะเหมาะสมที่สุด

“อ๊ะ!  มาจากไหนกันวะ” ผมร้องด้วยเสียงที่ค่อนข้างแปลกใจ ขัดกับดวงตาที่เป็นประกายความสุขยามได้มองสิ่งสวยงาม  เมื่ออยู่ดีๆก็มีกลุ่มผีเสื้อ บินมาโฉบกันไปมาบริเวณนี้ ทั้งที่ตรงนี้ไม่มีแม้แต่ดอกไม้เลยสักดอก

“ยืนมองอะไรอยู่วะ ไอ้มิว” เสียงไอ้ภพดังเข้ามาแทรกจังหวะการชื่นชมผีเสื้อของผม

“ผีเสื้อไงไอ้ภพ  ไม่รู้มาจากไหนเยอะไปหมด…มึงหาบ่อน้ำนั่นเจอแล้วเหรอ??  ขอโทษที่ไม่ได้ไปช่วยหานะ”

“เจอได้สักพักแล้ว ก็ช่วงที่มึงรีบเดินตาลีตาเหลือกมาตรงนี้นั่นแหละ กูยืนมองมานานละ กะว่าจะดูว่ามึงจะมาทำอะไร แต่ก็เห็นแค่มึงยืนมองในโบสถ์เฉยๆ”

“อ่อ… อะ… เออ… กูแค่จะมาไหว้พระไง  จำไม่ได้หรอ ที่บอกไว้แล้วว่าถ้าหาเจอแล้วจะมาไหว้พระในโบสถ์  กูเลยจะมารอมึงตรงนี้” ผมเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนั้นออกไป  ก่อนจะเบี่ยงประเด็นมาที่เรื่องราวที่ไอ้ภพคงสนใจมากกว่า

“อืม…”ไอ้ภพเลือกตอบผมแค่นั้น  พลันสายตาของมันก็เอาแต่หันไปจับจ้องไปยังกลุ่มผีเสื้อตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่ได้แสดงความชื่นชมหรือชื่นชอบอะไรมากเป็นพิเศษ  กลับกันมันช่างดูว่างเปล่าและแสนสับสนเกินกว่าจะแค่ยืนดูผีเสื้อ

“ภพ….มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”ผมถามมันไปด้วยน้ำเสียงที่เจือความเป็นห่วง

“กู…ไม่เป็นอะไรหรอก”

“นี่ในวัดนะภพ  อย่าโกหกกู มึงเป็นอะไร?”

“ทำไมมึงถึงชอบผีเสื้อ?”

“กู?  กูชอบเพราะผีเสื้อหนะเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตแปลกดีนะมึง ใครจะรู้ว่าจากดักแด้ธรรมดาจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถแต้มความสวยงามให้กับโลกได้ วงจรชีวิตอย่างกับโดนศัลยกรรมมา มึงว่าปะ??”

“อืม แล้ว…มึงรู้ความหมายของมันไหม?”

“ถ้าให้เดา กูว่ามันคงหมายถึงอิสระมั้ง ลักษณะของมันคงหมายถึงการได้โบยบินไปตามความต้องการของตนเอง”

“อืม  แต่รู้อะไรไหม อีกความหมายหนึ่งของมัน  ผีเสื้อ หมายถึง ความตาย หรือถ้าพูดให้ดีคงหมายถึงโชคร้าย ลางร้าย หรือแม้กระทั่งวิญญาณของคนตายที่บินกลับมาตามความเชื่อของคนจีน”

“คนแบบมึง  เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรอภพ”

“เมื่อก่อนกูไม่เคยเชื่อ  แต่การที่ได้เห็นมึงกับน้องสาวเห็นในสิ่งที่กูไม่มีทางเห็น แค่นี้มันก็น่าจะยืนยันบางอย่างได้แล้ว”

“จะว่าไป ก็ถูกของมึงนั่นแหละนะ คงไม่มีอะไรเหลือเชื่อเท่าที่กูจะเห็นผีได้แล้ว”

“เมื่อก่อน กูกับน้องสาว ชอบไปยืนดูผีเสื้อที่บินมาเกาะตามดอกไม้ใกล้ๆบ้าน กูรู้ว่าผีเสื้อหมายถึงอิสระ ก็ตอนที่น้องกูบอกว่า อยากเป็นผีเสื้อ เพราะมันมีอิสระ มันจะโบยบินไปตรงไหนก็ได้ แล้วมึงเห็นไหม ว่าสุดท้ายแล้ว…น้องกูก็โบยบินไปจากกู”

“ภพ น้องมึงเขาไม่ได้บินไปไหน เขาแค่เข้าไปอยู่ในวงจรของผีเสื้อ  ทดลองเป็นผีเสื้อตามที่ใจเขาต้องการ  มึงก็เห็นนี่ว่าผีเสื้อมันไม่ได้บินเข้ามาหามึง มันบินของมันไปทั่ว น้องมึงกำลังได้อิสระตามที่เขาต้องการ  ส่วนเรื่องที่แปลว่าโชคร้าย กูคิดว่าเราสองคนก็คงเข้ามาในวงจรของผีเสื้อแล้วนะ เพราะเราทั้งคู่ก็ต่างถือความโชคร้ายกันเอาไว้ เกมส์นี้จะว่าไปมันยิ่งกว่าความโชคร้ายเสียอีกนะ” 

“ก็คงเป็นไปตามที่มึงว่า…”

“อย่าท้อแท้ อย่าหมดหวังเรื่องน้องสาวนะภพ  วงจรชีวิตของผีเสื้อมันสั้นมากนะ ไม่กี่วันมันก็ต้องทิ้งร่างและความสวยงามกลับสู่ดิน ไม่ต่างไปจากเรื่องของน้องมึงหรอกนะ  อีกไม่นานเขาก็ต้องทิ้งความหวาดกลัวที่เขามีได้ สักวันเขาจะกลับมา อีกอย่าง ถ้ามึงท้อ เรื่องของกูกับมึงจะว่าอย่างไร ในเมื่อเราก็อยู่ในวงจรผีเสื้อกันทั้งคู่ เชื่อกู อีกไม่นานหรอก เราจะได้กลับออกไป  จะได้กลับไปกำหนดทิศทางบินของตนเอง ไม่ต้องให้สายตานับแสนคู่หรือวาจาเชือดเฉือนเพียงหนึ่งมาคอยบอกให้เราบินแล้ว”

“…”

“ฟังกูนะภพ ความหมายที่คนเราสรรหามาให้ผีเสื้อ ไม่ว่าด้านดีหรือด้านร้าย มันก็ไม่ได้ทำให้ผีเสื้อสวยงามน้อยลงเลย กลับกัน มันยิ่งทำให้ผีเสื้อเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีกนะ  ผีเสื้อมันมีความหมายและคุณค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว  อย่าไปใส่ใจอะไรมากนักเลย อย่าไปทำให้สิ่งที่น้องมึงชอบ ต้องด่างพร้อยเพราะการเพิ่มเรื่องเลวร้ายลงไป  กูยังอยากให้เมื่อน้องมึงกลับมา มึงจะยังมองไปที่ผีเสื้อพร้อมกับน้องด้วยแววตาที่เหมือนเดิมนะภพ” ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพ พร้อมกับเห็นว่ามันก็ละสายตาจากผีเสื้อมาฟังที่ผมพูดอยู่เหมือนกัน  ก่อนจะเห็นการยกไม้ยกมือของทีมงานเป็นสัญญาณให้พวกผมรีบกลับไปที่รถได้แล้ว  ด้วยว่าตอนนี้แสงแดดที่เคยมีก็เริ่มน้อยลงไปตามช่วงเวลา

“เมื่อน้องกูกลับมา กูจะรู้ได้ไงมิวว่ากูจะแสดงแววตาออกไปแบบไหน  กูไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะมองผีเสื้อพวกนี้ด้วยแววตาที่เหมือนเดิม  เพราะสุดท้ายแล้ว  กูก็ไม่มีใครเลยที่จะมามองเห็นความต่างของแววตาหรือกล้าที่จะจ้องตาแล้วบอกกูได้ทุกอย่าง”

“…”

“เหมือนกับมึง”
.


.

.

“ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับวันนี้  เจอกันพรุ่งนี้ครับ”ผมบอกลาออกไปตามมารยาท เมื่อทางทีมงานได้ขับรถกลับมาส่งผมถึงในบ้าน 

ผมกลับเข้าบ้านมาด้วยสภาพที่ค่อนข้างอ่อนล้า กว่าจะเดินทางกลับมาถึงก็ใช้เวลาจนท้องฟ้ามืดสนิท ผมเพิ่งจะได้รู้ว่าเราเดินทางกันไปไกลพอสมควรก็ตอนขากลับที่มีสติตื่นกันอยู่ตลอดเวลา  เมื่อเข้าห้องครัวได้ พวกผมก็รีบจัดแจงทุกอย่างให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว  วันนี้ลุงคำคงเอาของเข้ามาให้ใหม่แล้ว เพราะของเต็มตู้เย็น พร้อมกับทิ้งโน้ตที่ได้ถามไถ่เรื่องราวของเมื่อคืนเอาไว้

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม พวกผมก็ได้มานั่งพักผ่อนกันตามความต้องการเรียบร้อย หลังจากที่รีบเข้าไปอาบน้ำขณะที่หุงเข้าทิ้งไว้และลงมากินข้าวด้วยความกระหายอย่างรุนแรงไม่ต่างไปจากปอบผีสิง และไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือที่จะต้องใช้เล่นคืนนี้ออกมาอ่านด้วย

“ทำไมรายการถึงไม่เอากล้องคืนไปวะ?” ไอ้ภพเอ่ยขึ้นมาหลังจากหยิบกล้องขึ้นพลิกไปพลิกมาเหมือนกับจะหาเลขเด็ด

“เขาคงจะให้เราถ่ายให้เสร็จนั่นแหละ  ระยะเวลาแค่ 4 วันหนึ่งคืนเอง คงคิดจะเอาไปลงให้ผู้ชมดูอย่างต่อเนื่องอ่ะ”

“อยู่ดีๆก็ให้เราไปทำกิจกรรมกันข้างนอก รายการกำลังคิดอะไรวะ?” ไอ้ภพพึมพำออกมาเงียบๆ เหมือนพูดคนเดียวแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หูผมพลาดไปได้

“ไม่ได้คิดอะไรหรอกภพ  คงหาเรื่องไม่ให้พวกเราออกไปด้านหลังนั่นอีกไง อย่างน้อย 4 วันนี้เราก็ไปหาอะไรไม่ได้เลยนะ”

“….”

“อย่าเพิ่งเครียดเลยภพ ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีเวลาของมัน  รายการควบคุมไม่ได้หมดหรอก…มาดูกันดีกว่าว่าคืนนี้เราต้องทำ
อะไร?”

“ดูมึงสบายใจขึ้นนะ หลังกลับมาจากวัด”

“จริงๆกูสบายใจขึ้นตั้งแต่ได้ต่อยมึงนั่นแหละ 5555….เฮ้ย! กูล้อเล่นไม่ต้องมองแรงเลยครับมึง  เป็นใครก็สบายใจขึ้นทั้งนั้นแหละ อย่างที่หลวงพ่อพูด กูไปวัดครั้งนี้กูคงไปหาทั้งความสุขแล้วก็ความตายอ่ะ  มันทำให้กูปลงขึ้นเยอะ”

“ดีแล้ว  แต่ช่วยเอามาใช้จริงๆด้วยนะ ไม่ใช่คิดได้อย่างเดียว  ตัวมึงจะแย่นะไอ้มิว”

“รู้แล้วๆ จะลองพยายามไม่มองไม่เห็นแล้วกัน….ส่วนมึง ทายารึยัง  ดูเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อยแล้วนะ”

“ทาแล้ว…ตกลงกูจะรู้ไหมว่าวันนี้เกมส์มันให้พวกเราทำอะไร?”

“ใจร้อนจังนะมึง เดี๋ยวกูขออ่านก่อน…..ดูเหมือนว่าเกมส์คืนนี้มันจะให้พวกเราเล่น  โพงพาง




*******************************************TBC*********************************************
กลับมาเจอกันแล้วครับ  วันนี้เอาตอนที่ 15 มาส่งแล้วววววว   
ไม่รู้ว่าจะสมกับที่รอคอยของทุกคนหรือเปล่า  แต่ขอฝากติดตาม ฝากติ  ฝากชม เหมือนเดิมนะครับ ช่วงที่ผมไม่ได้ลงผมก็เข้ามาอ่านนะครับว่าใครคอมเมนต์อะไรให้ผมบ้าง  ขอบคุณมากๆครับ :mew1:
เนื้อหาตอนนี้เป็นตอนที่ผมตัดแล้วใส่เรื่อง ผีเข้าไปไม่ได้จริงๆ  อยากจะถ่ายทอดความรู้สึกในอีกแง่มุมที่ไม่ได้มีแต่ความน่ากลัวอยากให้ทุกความรู้สึกมันค่อยๆเป็นไป  แต่จะไม่ให้ยืดเยื้อนะครับ

ถ้ามีคำผิดหรือมีประโยคที่ไม่ลื่นไหล บอกได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะมาแก้ให้
เจอกันตอนหน้าครับ
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2017 01:10:13 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หลสงพ่อวัดแรกน่าจะเห็นอะไรเยอะแน่ๆ เลย

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
อะไรอยู่หลังมิววว  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จะเอาน้ำมาทำอะไรหว่า :ruready

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาแล้ววว ๆๆๆๆ เย้ๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หลอนนนนน :ling3:

แต่แม่งเกลียดรายการนี้จริงๆ!

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
อื้อหือ เมื่อกี้ไปเปิดดูวิธีเล่นโพงพางมา ก็เหมือนจะเดาความหลอนได้ แต่มันยังไม่มีอะไรทีเกี่ยวข้องกับน้ำแฮะ :ruready

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สรุปรายการต้องการอะไรนิ?

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่16

โพงพาง



“โพงพาง เป็นการละเล่นของเด็กไทยในสมัยก่อน ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เนื่องจากเทคโนโลยีจำนวนมากมายได้เข้ามาแทรกการละเล่นของเด็กไทยในสมัยนี้  ดังนั้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์การละเล่นนี้ให้ดำรงอยู่ ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองจะต้องนำวิธีการเล่นและเรื่องราวทั้งหมดมาถ่ายทอดให้ผู้ชมรายการได้รับชมกันอีกครั้ง ในแบบฉบับของการล่าท้าผี…”

“หมดแล้วภพ หนังสือเล่มนี้เขียนอธิบายไว้แค่นี้ ที่เหลือก็เป็นแค่วิธีการเล่น”  ผมอ่านคำนิยามประกอบการเล่นเกมส์โพงพางในคืนนี้ตามคำเปรยในหน้าหนังสือ เพื่อตอบข้อสงสัยของไอ้ภพ  เนื่องจากเมื่อสักสิบนาทีก่อนผมได้บอกกับมันไปแล้วว่าเกมส์คืนนี้เราต้องทำอะไร

“กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แค่การเล่นโพงพางจะทำให้เราเห็นผีได้ด้วยหรือไง?”

“อย่าดูแค่คำนิยามไอ้ภพ  เกมส์นี้มันต้องดูอย่างอื่นร่วมด้วย”

“เช่นอะไร?”

“วิธีการไง”

“แล้วเรา…จะต้องทำอะไร?”

“ถ้าตามที่กูเปิดอ่านวิธีการในหนังสือ มันแนะนำให้ฟังว่าเกมส์นี้จะมีผู้เล่นได้ไม่จำกัดจำนวน โดยให้ผู้เข้าแข่งขันตกลงกันว่าใครจะเป็นคนที่ถูกปิดตาเพื่อหา และใครที่จะต้องเป็นคนไปซ่อน เมื่อตกลงกันได้แล้ว เราทั้งคู่จะต้องเริ่มท่องบทกลอนก่อนการเล่นโพงพาง และให้ผู้ที่เป็นโพงพางเดินตามหาคนที่ไปซ่อนและทายให้ถูกว่าคนพวกนั้นคือใครหลังจากท่องจบ”

“แบบนี้ก็ง่ายเลยสิ เรามีกันสองคนสลับกันเป็นได้สบายๆ”

“ไม่หรอกภพ…นี่กูกับมึงไม่ได้พึ่งจะเข้าเกมส์กันมานะ  เราอยู่กันมาหนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว อย่าลืมสิว่าทางรายการไม่ให้เราเล่นแค่สองคนหรอก”ผมส่ายหน้าให้กับไอ้ภพเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มจางๆไปพร้อมกับแววตาที่สั่นไหวอย่างคนกำลังสะกดอารมณ์บางอย่าง

“แล้วใครจะมาเล่นด้วยอีก?” ไอ้ภพทำหน้างงอย่างไม่ประสาราวกับว่ามันพึ่งจะได้เข้ามารู้จักกับเกมส์

“คำถามของมึงคือสาเหตุที่เกมส์คืนนี้…เราต้องเชิญวิญญาณ
 
รายการนี้นับวันยิ่งเหมือนกับรายการตลก  ก่อนการเข้าร่วมเล่นเกมส์สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องรับรู้ก่อนเสมอคือการที่ทุกคนที่สนใจเข้าร่วมจะต้องมาท้าทายผีหรือวิญญาณที่ตายโหงภายในบ้าน ซึ่งในปีก่อนๆก็ล้วนเป็นไปตามนั้น  แต่ในปีนี้ยิ่งอยู่นานเท่าไรจุดสนใจของเกมส์ยิ่งเปลี่ยนไปเท่านั้น  เกมส์กำลังเบี่ยงประเด็นทุกอย่างให้ออกจากบ้านหลังนี้   ให้เชิญวิญญาณบ้าง  ให้เรียกผีตายโหงกลับมาบ้าง  ซึ่งขัดกับข้อตกลงที่พวกเรารับทราบ  สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกำลังหล่อหลอมความรู้สึกบางอย่างในใจผม ย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญที่ผมได้สังเกตเห็นมานานแล้วเพียงแต่ไม่สามารถจะย้ำทุกอย่างให้ไอ้ภพฟังได้หากไม่มีสิ่งยืนยันความรู้สึกนึกคิดนั้น  บ้านหลังนี้ รายการนี้กำลังหลอกลวงพวกเราอย่างสาหัส ทุกสิ่งที่เคยได้ยินล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ  บ้านหลังนี้มันไม่เคยมีผีหรือวิญญาณ หรือถ้าจะขยายความให้เข้าใจง่ายๆเลยคือ

….บ้านหลังนี้มันไม่เคยมีคนตายมาตั้งแต่แรก….

“อีกแล้วใช่ไหม?”

“อืม  ภพ…กูถามอะไรหน่อยได้ไหม?” ผมพยักหน้าตอกย้ำความจริงให้ไอ้ภพฟังอีกครั้ง ก่อนจะเรียกมันเพื่อลองถามคำถามในสิ่งที่ครั้งหนึ่ง มันเคยละเลยที่จะสนใจ

“ว่ามาสิ”

“ยังจำเรื่องบ้านใหม่กับบ้านรีโนเวทที่กูเคยพูดให้ฟังได้ไหม?”

“อืม…จำได้ มีอะไหรือเปล่า”ไอ้ภพนิ่งคิดไปสักครู่ ก่อนจะถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

“ภพ กูจะไม่บังคับให้มึงต้องเชื่อกู แต่ขอร้องได้ไหม แค่สักครั้งที่มึงจะเชื่อในสิ่งที่มันเป็นแค่ความรู้สึกของกู ไม่ต้องถามหาหลักฐาน เพราะอย่างที่เคยบอกกูไม่มีจะให้  ไม่ต้องหาข้อโต้แย้งอื่น เพราะสิ่งที่กูเจอมากับตัวมันบอกกูมาหมดแล้วภพ”

“ว่าอะไร?”

“บ้านหลังนี้มันคือบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ไอ้ภพ  มันไม่เคยมีคนตายมาตั้งแต่แรก ที่สำคัญ ถ้ามันมีผีหรือวิญญาณจริงๆ กูต้องเห็นแล้วภพ  กูจะต้องเห็นโดยที่ไม่ต้องเชิญวิญญาณจากที่อื่นเข้ามา  กูจะต้องเห็นโดยที่ไม่ต้องมีสิ่งของของคนตายอยู่ในบ้าน  กูจะต้องเห็น…ใครสักคนที่พยายามจะมีชีวิตอยู่ร่วมกับเราทั้งคู่” ผมพูดออกไปทุกอย่างพลางจ้องใบหน้าไอ้ภพไปด้วย หวังเป็นอย่างมากว่ามันจะฉุกคิดตามคำพูดของผม และยอมรับโดยที่ไม่มีวาจาว่าร้ายใดๆออกมาอีก

“มีแค่นี้ใช่ไหมที่จะพูด?”ไอ้ภพ จ้องหน้าผมกลับอยู่นาน ก่อนจะพูดเสียงเรียบๆอย่างบอกอะไรไม่ได้กลับมา

“อะ…อืม กูมีแค่นี้แหละ ที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว”ผมอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงตอบมันไป ด้วยภายในใจที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและร้าวไปกับวาจาที่บ่งบอกถึงการไม่เชื่อใจกัน

“มิว มึงรู้ใช่ไหม ว่าสิ่งที่มึงเคยบอกกูมันก็แค่ความรู้สึก  มันหาอะไรมาจับต้องไม่ได้  สิ่งที่กูต้องทำเพื่อน้อง มันมากกว่านั้น กูต้องหาความจริงมาขังเรื่องระยำพวกนี้ ความจริงที่มันต้องมีน้ำหนักมากกว่าแค่ความรู้สึก”

“กะ..กูเข้าใจภพ ลืมๆมันไปเถอะ  รีบเล่นเกมส์กันดีกว่าเนอะ จะได้รีบเร่งให้มึงเจอความจริงเร็วขึ้นได้”ผมสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกน้อยใจออกไป และเงยหน้ามาด้วยน้ำเสียงที่สดใสกว่าเดิม แต่ใบหน้าก็ยังคงคลอไปด้วยความผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยิน

“แต่รู้อะไรไหม ความเป็นจริงมักมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ” ไอ้ภพรีบแทรกขึ้นมาหลังจากที่ผมเตรียมจะลุกไปจัดการกับเกมส์ที่ได้รับ

“หมายความว่าอะไรภพ”

“มิว คราวหลังไม่ต้องพยายามจะถามคำถามแบบนี้แล้วนะ มันไม่มีประโยชน์แล้ว  อย่างที่มึงรู้ กูเข้าเกมส์นี้มาเพราะความแค้นเรื่องน้องสาวกู มันเลยทำให้กูไม่สามารถรับอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ได้อีก แต่ตอนนี้  เวลานี้ กูไม่ได้ทำเพื่อน้องกูอย่างเดียวแล้ว  กูกำลังทำเพื่อเราทั้งคู่ ดังนั้น ที่กูบอกว่ามึงไม่ต้องพยายามอะไรแล้ว ไม่ใช่เพราะมันไร้สาระ แต่เป็นเพราะ ดวงตาของมึง มันยืนยันความจริงให้กูฟังมานานแล้ว มันบอกทุกอย่างกับกูหมดแล้ว มิว…กูเชื่อมึง

“จ..จริงใช่ไหม? ไอ้ภพ ขอบคุณนะมึง ขอบคุณที่เชื่อกู” ผมยิ้มกว้างออกมาแบบปิดไม่มิด รีบมองหน้าไอ้ภพที่ก็กำลังยิ้มเล็กๆกลับมาให้ผมเหมือนกันพร้อมกับการยักคิ้วกวนๆตามสไตล์ของมัน

“ในเมื่อมึงรู้ถึงขนาดนี้แล้วนะ  มิว..มึงรู้หรือยังว่าตกลงรายการนี้มันมีจุดประสงค์อะไร ทำไมหลายๆคนถึงไม่เคยได้รางวัล”

“กูบอกมึงไม่ได้หรอกภพ เราจะไม่มีทางได้รู้เลย จนกว่าวันที่มึงและกูต้องชนะเกมส์นี้ เราทั้งคู่ต้องเจอตัวฆาตกรที่มันเริ่มคดีฆาตกรรมแบบเนียนๆนี่ขึ้นมา ทุกสิ่งอย่างถึงจะคลายออกมาได้”

“ถ้าอย่างนั้น เกมส์คืนนี้ก็ต้องรีบเล่นสินะ….มันให้เริ่มเมื่อไร  เล่นในบ้านนี้เหรอ?”

“รอสักครู่ เดี๋ยวกูเปิดดูให้…..ในหนังสือนี่บอกว่า เรื่องเวลาให้เราเป็นคนกำหนดเอง จะเล่นเมื่อไรก็ได้ แต่ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นนานมากกว่า 30 นาที โดยสถานที่ที่มันระบุให้เล่นไว้คือ…”

“คืออะไร มึงเงียบไปทำไม?”

“แปลก…กูว่าแปลกไอ้ภพ  เกมส์นี้มันให้กูกับมึงเล่นที่ ลานหลังบ้าน”ผมโพล่งตอบขึ้นมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“ลานหลังบ้าน? แปลกยังไง ในเมื่อด้านหลังมันก็มีกล้องแอบถ่ายเราอยู่แล้ว”

“ไม่ไอ้ภพ ตอนเราเข้ามาครั้งแรกมึงก็บอกเองไม่ใช่หรอว่าด้านหลังมันไม่มีกล้อง  สมมติเลยนะว่าเรายังไม่รู้ว่ากล้องอยู่ตรงไหน ยังไงเราทั้งคู่ก็ต้องถามหากล้องที่จะถ่ายเราอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น รายการก็ต้องให้กล้องเรามาถ่ายเอง”

ถ่ายเอง?  หรือว่าจะเป็น….

“มัน…ก็ให้เรามาแล้วไง” ไอ้ภพตอบกลับมาแบบไม่ต้องคิด รวมถึงตัวผมที่กระจ่างทันทีว่าทำไมรายการถึงไม่เก็บกล้องกลับไป ก่อนที่สายตาเราทั้งคู่จะเคลื่อนไปจ้องกล้องวีดีโอนั่นที่ตอนนี้ถูกจับให้วางนิ่งอยู่บนพื้น

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มกันเลย”ไอ้ภพตอบเสียงเข้ม ก่อนจะเดินนำไปออกไปโดยไม่ลืมที่จะหยิบกล้องและธูปเทียน เตรียมพร้อมที่จะอัญเชิญวิญญาณ

ปั้ง!!!

เสียงปิดประตูบ้านอย่างแรงที่เกิดขึ้นเพราะลมตี  นำให้ตัวและใจของผมสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย พลางสายตาก็มองบรรยากาศในคืนนี้ที่มีลมพัดเข้ามาคลายร้อนให้พวกเรามากกว่าคืนอื่นๆ ต้นไม้ด้านหลังโยกตามแรงลมเล็กน้อยจนใบไม้เสียดสีกันจนเกิดเสียง  เรียกเอาความหลอนและความกลัวที่หอบมากับลม สะกิดผิวกายผมให้ขนลุกชันและรู้สึกหนาวเย็นจนจับขั้วหัวใจเอาไว้ได้

 “กูอัดวีดีโอเอาไว้แล้วนะ ที่เหลือก็แค่เชิญวิญญาณแล้วก็เริ่มเล่นเกมส์”

“ภพ…มึงจะไม่โดนผีเข้าอีกแล้วใช่ไหม กูจะไม่โดนผีหลอกอีกแล้วใช่ไหม” ผมรีบคว้ามือไอ้ภพเข้ามาจับเอาไว้ พร้อมกับส่งเสียงถามไปด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ในใจลึกๆ

“มิว ถ้ามันเลี่ยงไม่ได้มึงก็ต้องทำแบบเดิม  ไหนมึงบอกกูว่าสบายใจขึ้นแล้วไง สิ่งที่หลวงพ่อบอกมึงก็ต้องเอามาปรับใช้”

“กูรู้แล้วภพ แต่กูควบคุมตัวเองไม่ได้ กูรู้สึกหลอนกับภาพเดิมๆ”

“มิว..ใจเย็นๆ สิ่งที่มึงต้องทำ มีแค่บอกกับตัวเองว่า มึงมองไม่เห็น มึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือภาพที่มึงสร้างมาเอง”

“…”

“ฟังกูนะมิว  กูรู้ว่ามึงจะทรมานมากกับการที่ต้องแสร้งว่าไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ความจริงมันก็ตำตามึงอยู่ แต่สถานการณ์ตรงนี้ถ้ามึงไม่ทำตามที่กูบอก  ต่อให้มีเกจิวัดดังๆอีกสัก ร้อยวัด ท่านก็ช่วยมึงไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม?”

“กูเข้าใจทุกอย่างภพ เพียงแต่กูไม่รู้ว่าจะทนได้นานเท่าไร 30 นาทีมันนานมากนะสำหรับมือใหม่อย่างกู”

“งั้นก็เหมือนเดิม  มีอะไรก็ร้องออกมานะ กูจะเดินอยู่รอบๆตัวมึงนี่แหละ  แต่ขอไม่รับประกันนะว่าจะมองมึงตลอด ถ้าตาไหนกูต้องเป็นโพงพาง มึงเข้าใจใช่ไหมว่ากูจะมองไม่เห็น สิ่งที่กูทำได้จึงมีแค่ถ้าครั้งไหนที่กูได้มองมึง…กูสัญญา มึงจะไม่มีทางได้หลุดออกจากกรอบสายตากูอีกเลย”

“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เอาธูปมา กูจะเชิญเอง”ผมสั่งให้ไอ้ภพยื่นธูปที่อยู่ในมือมาให้ผม  ร้องเรียกที่จะเป็นคนทำพิธีเหมือนคืนก่อนๆ ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า เรื่องแบบนี้ไอ้ภพคงไม่ถนัดนัก

“ขอเชิญวิญญาณ  สัมภเวสีทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนี้ หากได้ยินเสียงท้าทายเสียงนี้  ได้โปรดเข้ามาร่วมเล่นการละเล่นโพงพางกับพวกเราด้วย”

พรึบ

ลมวูบใหญ่พัดผ่านตัวพวกผมไปทันทีหลังจากการปักธูปลงดินจบ ก่อนที่ทุกอย่างจะพลันหายไปและกลับมาเงียบสงบ ไม่มีเสียงลมหรือแม้กระทั่งเสียงของสัตว์ที่ออกหากินกลางคืน บรรยากาศรอบกายดูเงียบไปหมด

เงียบเสียงจนกลัวว่าเสียงที่ได้ยิน อาจเป็นเสียงลมหายใจของใครต่อใคร…ที่ล้วนไม่ใช่ของเรา

“ตานี้ใครจะเป็นโพงพาง”ไอ้ภพถามขึ้นมาหลังจากที่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงรอบกายอยู่พักหนึ่ง

“กูเป็นก่อนก็ได้ ว่าแต่มึงจำบทท่องทั้งหมดนั่นได้แล้วใช่ไหม?”

“อืม จำได้แล้ว เริ่มเลยก็ได้”

“ก็ตามนั้น”ผมหยิบผ้าที่แนบมากับหนังสือโพงพางขึ้นผูกตา ก่อนจะหมุนตัวเองสามรอบตามคำสั่งที่เขียนเอาไว้

“โพงพางเอย ปลาเข้ารอด ปลาตาบอด เข้ารอดโพงพาง”

“โพงพางตาบอดมาจากไหน?” เสียงไอ้ภพถามขึ้นหลังจากผมตะโกนบทกลอนโพงพางจบ

“มาจากป่า”

“มาทำไม?”

“มากินคน”

“คนเป็นหรือคนตาย?” ผมหยุดกึกคิดเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำถามนี้ของไอ้ภพ หากผมตอบว่าคนเป็นไอ้ภพก็จะสามารถขยับไปไหนก็ได้  แต่ถ้าผมตอบว่าคนตาย ไอ้ภพก็ต้องหยุดนิ่ง

“คนเป็น”ผมตอบออกไปเพื่อป้องกันตนเอง อย่างน้อยผมก็เชื่อได้ว่าไอ้ภพมันคงขยับออกไปไหนได้ไม่ไกล แม้ความจริงมันจะสามารถเดินเข้ามาใกล้ผมเลยก็ได้  แต่นั่นก็เท่ากับว่าผมจะต้องเล่นกันอีกหลายตาเสียเวลาพันผ้ากันหลายรอบ สู้พันทีเดียวแล้วแกล้งหาไม่เจอมันจะง่ายกว่าและยิ่งผมปิดตาอยู่แบบนี้ มันก็ช่วยให้ผมเบาใจขึ้นไปได้มากโข

“มึงเดินเรื่อยๆได้นะไอ้ภพ กูไม่ได้สั่งคนตาย มึงเคลื่อนที่ได้”ผมเดินคลำหาพร้อมร้องบอกไอ้ภพขยับตัวเพื่อให้เกิดเสียง

แกรบ

เสียงเหยียบใบไม้ดังขึ้นมาจากทิศทางหนึ่งรอบตัวผม กระตุ้นประสาทหูให้ได้ยินก่อนที่ผมจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไม่ให้ตามไปเจอไอ้ภพ  เกมส์นี้ดูท่าว่าจะง่ายกว่าที่ผมคิดเพราะประเด็นหลักๆของเกมส์มันมีเพียงแค่ ถ้าอยากให้เวลาหมดไปโดยไว ผมจะต้องไปอีกทางที่ไม่มีไอ้ภพตรงนั้น

“ไอ้ภพมึงอยู่ไหน ตามมาให้กูจับเสียดีๆ”

แกรบ แกรบ

เสียงฝีเท้าเดินไล่หลังตามผมมาอีกครั้ง ส่งผลให้ผมหันตัวหนีไปอีกทาง ซึ่งคาดว่าไอ้ภพคงกำลังสับสนว่าทำไมผมถึงไม่รีบเดินเข้าไปหามัน เนื่องจากการเดินหนีออกจากเสียงมันคือแผนการที่ผมพึ่งจะคิดออกตอนที่กำลังพันผ้า ผมจึงไม่มีโอกาสได้เตรียมกันไว้ก่อน

“ไอ้ภพอยู่ไหนวะ!!  กูหามึงนานแล้วนะ เสียเวลาฉิบหาย” ผมบอกใบ้ให้มันฟังผ่านเสียงโทสะของตนเอง แต่ดูเหมือนไอ้ภพมันก็จะยังไม่เข้าใจ เพราะเสียงเท้าของมันยังคงเดินไล่เข้ามาหาตัวผม  จนทำให้ผมต้องเดินหนีมันไปหลายที

แกรบ แกรบ แกรบ แกรบ….

“ไอ้ภพ กูตามหามึงนานแล้วนะ กูเริ่มขี้เกียจแล้ว…โอ้ย!!!”ผมเดินบ่นสลับกับหนีเสียงฝีเท้าที่ตามไล่หลังมาติดๆ จนไปชนเข้ากับร่างๆหนึ่งที่ยืนขวางทางเดินผม  กลิ่นกายและเสียงหัวใจของมันเริ่มบอกให้ผมรับรู้ถึงการมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตแค่คนเดียวที่อยู่ร่วมกับผมตอนนี้ มันเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก…ไอ้ภพ

แล้วที่ผ่านมา ผมเดินหนีฝีเท้าของใคร…

“อยู่นิ่งๆตรงนี้  ไอ้มิว…มึงไม่ปกติแล้ว”เสียงกระซิบแผ่วเบาจากไอ้ภพ ดังขึ้นข้างหูของผม ก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวเองมาบังหน้าผมไว้แล้วเลื่อนมือไปเปิดผ้าปิดตาของผม

ฮืดดดดดดดดดดดดดด  ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดด

หึ หึ


หมับ

ผมคว้าข้อมือของไอ้ภพเอาไว้อย่างแรงแบบไม่ต้องการให้มันเปิดออก  มือของผมสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว  ปากของผมถูกกัดเข้าไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่เตรียมจะออกมา แต่…ดวงตาของผมนั้น ผมไม่สามารถกลั้นอะไรเอาไว้ได้ น้ำตาจำนวนมากมายจึงถูกปล่อยให้ไหลออกมาเองจนผ้าปิดตาเปียก

ช่วงที่ไอ้ภพกำลังจะดึงผ้าออก กลิ่นของดอกมะลิแห้งและน้ำอบไทยได้ลอยตลบอบอวลไปพร้อมกับกลิ่นคาวเหม็นๆของเลือดเน่า  ตีเข้าที่จมูกผมอย่างแรงจนผมแสบไปหมด  แสบยิ่งกว่าตอนที่โดนดินแดงพัดเข้ามาหลายเท่า  อีกทั้ง เสียงลมหายใจจำนวนมหาศาล ยังถูกปล่อยให้ดังขึ้นมารอบตัวผม จนผมไม่อาจสะกดอารมณ์ที่มีเอาไว้ได้

“อยู่นิ่งๆตรงนี้  หลับตา ท่องเอาไว้มิว  มึงไม่เห็น  ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น  ตานี้กูเป็นโพงพางกูจะสั่งคนตายแล้วรีบเดินมาหามึง”

“ย…อย่า”ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เค้นสุดความสามารถ แต่ก็ไม่ทัน เมื่อไอ้ภพเดินถือผ้าผูกตาออกไปอยู่ด้านหลังผมแล้วเริ่มท่องบทโพงพางออกมา คำสั่งสุดท้ายของมันเริ่มก่อเกิดความผวาในใจผม  คำสั่งคนตายไม่อาจเป็นคำสั่งธรรมดาได้อีก ในเมื่อตอนนี้มีคนเป็นที่พร้อมเล่นเกมส์เพียงหนึ่งเดียวคือผม ส่วนที่เหลือ…คือสิ่งที่มันที่มันกำลังจะเรียกหา

“คะ..คนเป็นหรือคนตาย?”

“คนตาย”

หลังจบคำพูดเสียงฝีเท้ามากมายที่ผมสัมผัสได้ก็เริ่มวิ่งกรูกันเข้าไปทางด้านหลังผม เข้าไปยังตัวไอ้ภพที่คาดว่าคงกำลังเตรียมจะเดินตรงมาทางนี้  เสียงเย็นๆของสัมภเวสีดังอื้ออึงสลับกับเสียงหัวเราะแหลมๆ กรีดใจของผมให้ยับแบบไม่เหลือเศษซากของความมั่นใจอีกต่อไป

แกรบ  แกรบ

เสียงเดินเข้าหาของไอ้ภพยังคงเดินตรงมาทางผมอย่างกับถูกเล็งไว้ อาจจะเป็นเพราะว่าตัวมันเองไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้สัมผัสแบบที่ผมเป็น มันจึงไม่อาจรู้เลยว่า คนตายจำนวนมากมายที่เข้ามาเล่นด้วยกำลังรอคอยการเข้าหาของตัวมัน

หึหึ  ได้ยินเสียงกูไหม….

ได้กลิ่นของคาวเลือดบนตัวกูไหม…

มึงเห็นกูใช่ไหม…ลืมตาสิ  ลืมตาขึ้นมา


เสียงลมกระซิบของวิญญาณตนหนึ่งดังขึ้นเบาๆข้างหูผม  เรียกความหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทิ้มอย่างแรง  ภายในใจเริ่มตีกันสับสนไปหมด  คำว่า ไม่เห็น  ไม่ได้ยิน ถูกท่องซ้ำในหัวของตนเองเหมือนถูกตั้งไว้อัตโนมัติ  ผมกำลังหลอกตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำเพื่อรอคอยแค่เพียงสัมผัสของไอ้ภพให้เข้ามาหาตัวผมที่ยืนนิ่งอยู่
.
.
.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“มิว กูกำลังจะถึงตัวมึงแล้ว  อยู่เฉยๆนะ” ไอ้ภพร้องเตือนขึ้นมาอย่างกลัวว่าผมจะหลอนจนจิตหลุดออกไป

“มิว กูกำลังจะเข้าไปใจเย็นๆ อย่าขยับ”

“ไม่มีอะไรแล้วไอ้มิว  อยู่นิ่งๆ….เฮ้ย!!!!”

“ไอ้มิว!!  กูบอกให้มึงอยู่นิ่งๆ  จะวิ่งไปทำไมวะ กูสั่งว่าคนตายนะ  ไม่ได้ยินรึไง!!”

คนตาย  คนตาย  คนตาย…

555555555555

เสียงตะโกนลั่นของไอ้ภพทำให้ผมสะดุ้งอย่างแรง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่ไอ้ภพตะโกนขึ้นมาสั่งผมให้อยู่กับที่นิ่งๆ ราวกับว่ามันกำลังได้ยินเสียงของบางสิ่งบางอย่าง เคลื่อนไหวไปรอบๆตัวมัน  อีกทั้งเมื่อมันทวนคำสั่งว่าคนตายออกมา  เหล่าสัมภเวสีรอบตัวก็เริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาว่าคนตายตามมันไป สลับกับเสียงหัวเราะราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกสนาน

ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดอะไร หากเกมส์นี้มีคนตายมาเป็นผู้เล่นด้วยจริงๆ สิ่งที่ไอ้ภพต้องเล่นด้วย คือวิญญาณพวกนั้น…ไม่ใช่ผม

ผมค่อยๆเอานิ้วชี้ขึ้นมาไว้ที่ปาก เพื่อเตรียมจะกัดเอาไว้กันเสียงสะอื้นที่ผมอาจพลั้งปากออกไปจนทำให้วิญญาณพวกนั้นล่วงรู้ถึงสิ่งที่ผมพยายามจะปกปิดเอาไว้ สิ่งที่ผมจะทำ เรียกได้ว่าผมกำลังจะฝืนคำสั่งและความต้องการของตนเอง  เสียงฝีเท้าของไอ้ภพที่เดินออกไปอีกทางกับจุดที่ผมยืน เริ่มทำให้ผมเป็นห่วงและคิดไม่ตกว่า หากปล่อยไอ้ภพให้วิ่งวนต่อไป สิ่งที่มันเจออาจจะมากกว่าผม

หลุมที่ลุงมั่นเคยขุดเอาไว้ มันสามารถทำไอ้ภพเจ็บได้ หากมันพลาดตกลงไป…

ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เห็นกูแล้วใช่ไหม?  เห็นกูแล้ว  มึงเห็นกูแล้ว

เจอกัน….อีกแล้ว


อึก!!

ผมกลั้นเสียงร้องกลัวที่กำลังจะออกมาเอาไว้ เพราะเมื่อผมลืมตาสิ่งที่ผมเห็นคือใบหน้าของผู้ชาย  ใบหน้านั้นมันเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของมันห้อยย้อยหลุดออกมาจากเบ้า  ปากของมันฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู  ที่สำคัญ ใบหน้าของมันยังถูกยื่นเข้ามาจนเกือบประชิดหน้าของผม…หากสมองของผมจำได้ไม่ผิด มันเคยเรียกร้องให้ผมหามันหลังจบเกมส์การเล่าเรื่องผีร้อยเรื่องนั่น และครั้งนี้มันกำลังจะทำแบบเดิม

เฮือก!!!

ผมดึงลมหายใจเข้าสู่ปอดอย่างแรง เมื่อครั้นผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง สิ่งที่ผมเห็นคือวิญญาณจำนวนมากกำลังเดินห้อมล้อมอยู่รอบๆตัวผมและไอ้ภพ บางส่วนเริ่มหันกลับมามองจ้องผมที่กวาดสายตาไปหาพวกมันทีละร่าง  บางส่วนกำลังมองไปที่ไอ้ภพอย่างไม่สู้ดีนัก  ปากของพวกมันทุกตนฉีกยิ้มกันอย่างเป็นเรื่องสนุก แต่ดวงตาพวกมันกลับแดงกล่ำอย่างไม่พอใจ

และที่สำคัญ…บนคอของไอ้ภพมีวิญญาณนั่งเอามือปิดบังลูกตาทั้งสองข้างของมัน  โดยที่ผ้าปิดตาที่เคยผูกไว้ถูกดึงรั้งขึ้นคาดหัวไอ้ภพเรียบร้อยแล้ว

“ภ….ภพ”ผมหลุดปากเรียกชื่อไอ้ภพออกมาไม่เบามากแต่ก็ไม่ดังจนเกินไป แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้สัมภเวสีทั้งหลายรู้สึกได้ มันจึงพร้อมใจกันหันขวับเข้ามาสบตาผมเป็นตาเดียวกัน

เมื่อละความตกใจออกไปได้ ผมจึงค่อยๆรวบรวมสติย้ำเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ทำเป็นเมินและมองไม่เห็นสิ่งที่อาจจะเข้ามาคุกคามชีวิตผม สายตาของผมถูกกวาดมองออกไปอย่างไม่มีเป้าหมายเพื่อหลอกตาสัมภเวสีเหล่านั้นที่ยังคงจ้องมาที่ผมอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะค่อยๆเรียกไอ้ภพเบาๆและตัดสินใจก้าวเข้าไปหา

ภาพของไอ้ภพที่ผมเห็น กำลังค่อยๆเรียกน้ำตาของผมให้ไหลออกมาอีกครั้ง ความกลัวที่เกิดจากวิญญาณคนตายรอบตัวกำลังผสมปนเปไปกับความสงสารไอ้ภพ ในตอนนี้ตอนที่มันกำลังโดนวิญญาณชั่วๆตนหนึ่งเข้าถึงตัวจนทำให้มันไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ปากของมันก็เอาแต่ตะโกนเรียกหาผม  ไล่ตามหาผมไปตามเสียงเคลื่อนไหวรอบตัวมัน และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่งเดียวที่ถูกกำหนดให้มันรับรู้ หลอกล่อให้มันหาตัวผมไม่เจอ แม้ว่าตัวผมจะเป็นฝ่ายร้องหาและเดินเข้าไปหามันแทน

พี่คะ พี่ผู้ชายคนนั้นเขาสั่งคนตายไม่ใช่หรอคะ…คนเป็นเดินได้ด้วยหรอ?

เสียงร้องทักของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาพร้อมกับการกระตุกชายเสื้อของผมอย่างรุนแรง จนผมถึงกับสะดุดและต้องเป็นฝ่ายหันไปมองเพื่อพบกับร่างเล็กๆของเด็กวัยไม่เกินห้าขวบที่ยื่นมือมารั้งผมไว้และค่อยๆเงยหน้าของตัวเองขึ้นมาให้ผมพบเจอกับความว่างเปล่าของใบหน้า หน้าของเด็กคนนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากปากที่กำลังยิงคำถามเดิมๆใส่ผม

ตอบสิคะพี่คนเป็น…เดินได้ด้วยหรอ!!!

“ไม่ กูไม่เห็นอะไรทั้งนั้น กูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  กูไม่เห็น กูไม่ได้ยินพวกมึง ฮึก  กูไม่เห็น” ผมกลั้นใจปิดหูปิดตาพูดเบาๆปลอบใจตัวเอง พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลออกมามากกว่าเดิมแล้วสะบัดหน้าหนีหน้าของเด็กผู้หญิงที่เริ่มใช้การตะคอกถามผมเมื่อเห็นว่าผมแค่มองกลับไปแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมาและเหล่าวิญญาณด้านหลังที่กำลังค่อยๆสาวเท้าตรงมาที่ผม

เห็นกูได้ด้วยเหรอ?  มึงเห็นพวกกูใช่ไหม!!!

เห็นพวกกูอย่างนั้นเหรอ? อยากเห็นพวกกูอย่างนั้นเหรอ 5555

เจอกันอีกแล้ว  เจอกันอีกแล้ว

คนเป็นเดินได้ด้วยเหรอ?  มึงเดินได้ด้วยเหรอ?  มึงเดินหนีกูทำไม!! มาเล่นกับกู  มาเล่นกับกู

กูรู้แล้วนะ ว่ามึงเห็น…..


สารพัดเสียงที่ดังถาโถมเข้ามาใส่ผมท่ามกลางความแออัดของทางเดินที่มุ่งตรงสู่ไอ้ภพ  วิญญาณที่ถูกเชิญมาเหล่านั้นยังคงเปลี่ยนเป้าหมายดาหน้าเข้ามาหาผมที่ยังคงเสแสร้งหลอกตัวเองว่าไม่รู้ไม่เห็น  แม้ความอึดอัดที่เกิดขึ้นจะย้ำเตือนและสร้างความรู้สึกบีบคั้นภายในอกเท่าไร ผมก็ยังจำเป็นต้องทำว่าเรื่องที่เกิดเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับและอยู่ร่วมกับมันไปให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดจากผมรนหาที่เอง

“มิว!!  กูบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ กูเข้าไปถึงตัวมึงไม่ได้”

“ภพ…กูอยู่ตรงนี้”ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ยังต้องกลืนความกลัวลงคอ  แม้จะอยากปล่อยให้มันสั่นออกไปมากแค่ไหน ผมก็ต้องทำทุกอย่างให้ปกติที่สุด  ไอ้ภพตะโกนเสียงดังตามตัวผม ทั้งๆที่ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่แค่หน้ามัน ยืนสบตาอยู่กับอมนุษย์อีกตนที่นั่งห้อยขาลงมาจากคอไอ้ภพ

มึงเห็นกูใช่ไหม?

“มิว…มิว มึงอยู่ตรงไหน ทำไมกูมองไม่เห็นมึง  กูดึงผ้าออกมาแล้วนะ”

“ยัง ฮึก ไอ้ภพ มึงยังไม่ได้ดึงผ้าออก มึงยังใส่ผ้าอยู่จะเห็นกูได้ยังไง  กูเห็นมึงตามกูนานแล้ว เลยเดินเข้ามาหามึงดีกว่า ฮึก”

ร้องไห้  กลัวเหรอ?  กลัวกูเหรอ พวกมึงอยากเห็นกูไม่ใช่เหรอ

“มิว ทำไมอยู่ๆมึงก็วิ่ง ทำไมมึงไม่อยู่เฉยๆ”

“ฮึก มึงก็รู้นี่ภพว่ากูต้องเจอกับอะไร จะให้กูอยู่นิ่งๆหรือไง  กูก็วิ่งไปตามประสากูนั่นแหละ”

“ช่างมันเถอะ แล้วมึงร้องไห้ทำไม  ไม่ต้องร้องแล้วมิว เดี๋ยวกูดึงผ้าออกแล้วก็จบเกมส์นี้กันเถอะ”

“อย่า!!!  ไม่ต้องภพ มึงไม่ต้องดึงผ้าออก ตอนนี้เกมส์มันจบแล้วภพ มึงดึงเวลามานานมากแล้ว ฮึก  เดี๋ยวกูเอาผ้าออกให้เอง อย่าดึงออกนะ ฮึก”

“มิว มึงใจเย็นๆก่อนนะ ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ”

“ฮึก กูไม่เป็นไรหรอก กูแค่ร้องไห้ดีใจเฉยๆ พอทำตามมึงบอกกูก็ไม่กลัวอะไรเลย  กูไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ฮึก”

จริงเหรอ  มึงไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงกูงั้นเหรอ?

“ดีแล้วมิว…รีบๆดึงผ้าออก กูมองไม่เห็นมึงเลยมิว ไม่เห็นอะไรเลย”

ผมค่อยๆยื่นมือตัวเองออกไป พร้อมกับการกัดปากจนเกิดห้อเลือด ใช้แรงสุดท้ายที่มีค่อยๆง้างมือของอมนุษย์ที่ปิดโลกทั้งใบของไอ้ภพให้มืดบอด  มันทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาอย่างชัดเจนพร้อมกับใช้ดวงตาไร้แววนั้นจ้องมาที่ผมอย่างอาฆาต ยิ่งผมดึงมือของมันออกมาเท่าไรใบหน้าของมันยิ่งเข้ามาใกล้หน้าของผมมากขึ้นเท่านั้นพร้อมกับการส่งเสียงเดิมๆออกมาย้ำกับเสียงของวิญญาณตนอื่นที่บัดนี้ได้เข้ามายืนรายล้อมร่างกายของผม จนเสียงลมหายใจเย็นๆดังขึ้นกลบเสียงหัวใจของผมไปมิด

ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

มึงเห็นกูแล้ว!!!  5555555……


Pob’s Part

โลกของผมกลับมาสว่างขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การเล่นเกมส์โพงพางได้พาม่านความมืดเข้ามาปิดดวงตาของผมเอาไว้เสียมิด  ตอนผมได้ฟังน้ำเสียงของไอ้มิวยามสั่งห้ามไม่ให้ผมเปิดผ้าออก เสียงนั่นดูสั่นไปด้วยความกลัวตามแบบฉบับของมัน  มันกำลังร้องไห้อย่างนักจนผมเองรู้สึกผิดและอยากจะเข้าไปช่วยจัดการกับความรู้สึกตรงนั้น แต่มันก็ยังยืนยันที่จะเปิดผ้าออกด้วยตัวเองซึ่งผมก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม แต่ในเมื่อมันอยากที่จะทำผมก็อยากคาดหวังว่าเมื่อผมได้เห็นมันอีกครั้ง มันจะแค่ร้องไห้แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเข็มแข็งมากขึ้น

ไม่ใช่เป็นมัน ที่มีท่าทีเหมือนกับต่อสู้กับความรู้สึกของตนเองอยู่แบบนี้

ไม่ใช่เป็นมัน ที่ยื่นแขนมาจับไว้บนผ้าคาดตาด้วยแรงสั่นเทิ้มจนกล้องวีดีโอน่าจะบันทึกเอาไว้ได้

และไม่ใช่เป็นมัน ที่ปากเอาแต่พึมพำว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ทั้งๆที่ดวงตาก็จับจ้องไปมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือหัวของผม

“กูไม่เห็น  ไม่มีอะไรทั้งสิ้น  กูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

“มิว…มิว!!! มึงเป็นอะไร  มีสตินะไอ้มิว  ไม่มีอะไรแล้วนะ” ผมเขย่าตัวมันอย่างแรงจนมันกลับมารู้สึกตัวและเริ่มสบตากับผม

“ภพ ภพ กูไม่เห็น กูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ฮึก  เกมส์จบแล้วๆ”

“มิว  ใจเย็นๆ เกมส์จบแล้วๆ  แต่เราต้องเชิญวิญญาณออกก่อน กูกับมึงอยู่ร่วมกับพวกมันไม่ได้”

“ฮึก  งั้นก็รีบๆเชิญออกไอ้ภพ  รีบเชิญออก  มึงทำได้ใช่ไหม”

“อืมๆ  กูทำได้” ผมพยักหน้าตอบรับมันไป ก่อนจะวิ่งไปหยิบธูปจุดเชิญวิญญาณออกจากบ้านตามที่เคยได้พูดไปเมื่อเกมส์คืนก่อน

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็พาไอ้มิวเข้ามานั่งภายในบ้าน หาของหวานและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปให้ใจของมันสงบขึ้น  แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้ว่าไอ้มิวไปพลาดอะไรตรงไหน  มันถึงดูไม่ตอบสนองอะไรกับผมเลย  ปกติหลังจากเกมส์ที่มันต้องเจออะไรมาอย่างหนัก มากสุดไอ้มิวก็เป็นแค่ถามคำตอบคำ  ไม่ใช่การปล่อยให้ผมพูดคุยอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า

“มิว มึงเป็นอะไร  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะกูสั่งให้มึงอย่ากลัวใช่ไหม? ถ้ามันทำให้มึงเป็นแบบนี้ ครั้งหน้าได้โปรดร้องไห้โวยวายแบบเดิมนะ  กูจะบ้าตายอยู่แล้ว” คำพูดเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ไอ้มิวหันกลับมาสนใจผม และเริ่มตอบสนองอะไรผมกลับมาได้บ้าง

“กูไม่เป็นอะไรหรอกภพ…อย่างที่มึงเคยบอกเรื่องแบบนี้กูควรชินเสียที  แต่มันก็ตลกร้ายไปหน่อย ที่ไม่ว่ากูจะเห็นกี่ครั้งต่อกี่ครั้งกูก็ไม่เคยชิน  กูใช้ชีวิตของกูมาด้วยความปกติ  แต่ทุกอย่างต้องมาเปลี่ยนไปเพราะการเข้าร่วมรายการนี้ กูกำลังฆ่าตัวเองให้ตายอยู่หรือเปล่าภพ?”

“ไม่ใช่แค่มึงหรอกนะมิวที่กำลังฆ่าตนเอง  กูก็เป็นไปด้วย  ถึงกูจะไม่ได้เห็นอะไรแบบมึง แต่รู้ไหมว่าถ้าตอนนี้กูอยู่ที่วัด กูจะสาบานต่อหน้าพระว่าถ้ากูเห็นทุกอย่างแทนมึงได้ กูจะทำแทนทุกอย่าง  มึงแค่ต้องอยู่ในเกมส์นี้ต่อเพื่อความปลอดภัยของตนเอง  ข้างนอกนั่นไม่มีอะไรรับประกันชีวิตมึงได้เลยถ้ามึงต้องออกไปก่อน  เพราะเหตุนี้ กูเลยอยากให้มึงอยู่กับกูเรื่อยๆนะมิว  อย่างน้อย มึงก็ยังอยู่ในสายตากูได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ชีวิตกูตอนนี้อยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน ก็แทบไม่ต่างกัน กูไม่จำเป็นต้องเชิญวิญญาณกูก็เห็นผีไปแล้ว ขอเวลาให้กูอีกหน่อยนะภพ  ไม่นานหรอก เดี๋ยวกูก็ชินไปเอง”

“ไม่ให้แล้วได้ไหม กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้แล้ว มึงกำลังต่อต้านกับตัวเองอย่างหนักนะมิว  กูกลัวไปหมดแล้ว กลัวจนตัวกูเองจะเป็นบ้าไปก่อนแล้ว”

“ภพ…ขออะไรได้ไหมไปวัดครั้งหน้า มึงช่วยไปหาสายสิญจน์หรืออะไรก็ได้ที่เป็นมงคล แอบเอามาพกติดตัวไว้ได้ไหม?”

“ทำไม?”

“เชื่อกูเถอะ…ไปหามาไว้นะภพ  อย่างน้อยถ้ากูจะต้องต้านความรู้สึกของตนเองก็ให้มันเกิดแค่เฉพาะตัวกู อย่าให้กูต้องต้านไปทั้งๆที่ตาของกูก็ยังคงมองเห็นบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับมึงเลยนะภพ”

“มิว เกมส์เมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไรหรอกภพ มันก็แค่เหตุการณ์ที่ย้ำให้กูจำได้ว่า กูจะไม่มีทางชินหรือยอมรับมันได้เลยถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มีผลแค่กับกูเพียงคนเดียว  เชื่อกูนะภพ”

“อืม วันพรุ่งนี้กูจะไปหามาใส่เอาไว้”

“ดีที่สุดแล้วหละ” ไอ้มิวหันมายิ้มจางๆให้กับผม  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โลกของผมสว่างขึ้นมาได้เลย รอยยิ้มที่เกิดจากการฝืน รอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มพร้อมดวงตา กำลังทำให้ผมเกิดความสงสัยว่ามีอะไรที่ผมยังไม่รู้อยู่อีกบ้าง  อะไรที่เกิดขึ้นจนทำให้ไอ้มิวเงียบลงทันตาเห็น

“ขึ้นนอนกันเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”

“อืม”

“มิว…พรุ่งนี้เช้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ  ทิ้งตัวตนทุกอย่างไว้แค่คืนนี้ อย่าพามันข้ามคืนไปด้วยเลยนะ กูขอร้อง”

“กูจะพยายามนะภพ”

ผมพยักหน้าให้มันเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะค่อยๆเดินตามหลังมันช้าๆกลับขึ้นห้องชั้นสอง  ที่สุดแล้ว เกมส์คืนนี้มันไม่ได้เบาแบบที่พวกเราคิดกันเอาไว้ ซ้ำร้ายมันกลับดูร้ายแรงมากที่สุดตั้งแต่เล่นมา  อาจไม่มีผีหรือวิญญาณมาหลอกหลอนจนไอ้มิวสติแตกร้องไห้เสียงดังลั่น  อาจไม่มีผีหรือวิญญาณที่พยายามมาควบคุมผมให้ทำร้ายไอ้มิวอีก แต่ที่มี มันคือการเอาสติที่เหลืออยู่น้อยนิดของไอ้มิวให้จางหายไป ทุกๆอย่างในเกมส์กำลังบั่นทอนสภาพจิตใจของไอ้มิวให้เหลวแหลกจนน่าสงสาร ดังนั้น ผมจึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะดึงไอ้มิวกลับมา เช่นตอนนี้ ผมไม่รู้ว่ามันจะสังเกตเห็นการกระทำของผมหรือเปล่า  การกระทำที่ผมพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยสัญญาเอาไว้ อย่างน้อยก็เพื่อให้มันได้รับรู้ว่ายังมีผมคนนี้ที่พร้อมจะไล่ตามมันเสมอ

ถ้าครั้งไหนที่กูได้มองมึง…กูสัญญา มึงจะไม่มีทางได้หลุดออกจากกรอบสายตากูอีกเลย

.

.

.
เกมส์คืนนี้คงจะจบได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น หากไม่ติดว่า มีสายตาคู่หนึ่งพยายามจะจับจ้องคนทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มการทำพิธี  หากเพียงว่าภพหรือมิวสังเกตมายังกำแพงนอกบ้านขณะเล่นเกมส์หรือจะเป็นที่ริมหน้าต่างของบ้านตอนนี้  เขาทั้งคู่คงจะได้เห็นดวงตาที่มองเข้ามาอย่างสุขสมเมื่อความจริงที่ทางรายการกำลังสงสัย ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างที่พวกเขาทั้งคู่ไม่มีทางได้รับรู้ และต้องเตรียมรับชะตากรรมในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจก่อ

“ยืนยันแล้วครับนาย  คุณภวัต คือคนที่สามารถเห็นวิญญาณได้แล้วจริงๆ เป็นไปตามที่นายกำลังสงสัยครับ”

“หึ งั้นก็ดี โปรเจค 9 วัดนี่คงทำให้มันเป็นบ้าไปได้เร็วขึ้น…มึงคิดว่าคนดูจะชอบกันไหมถ้าเราจะแหกกฎเพิ่มกันอีกสักนิด”

“แล้วแต่นายเลยครับ”

“งั้นก็เตรียมรอดูความหายนะของพวกมันได้เลย  มันจะได้รู้กันเสียบ้าง ว่าไม่ควรมาท้าทายหรือแหกกฎอะไรในเกมส์ของเรา”



*****************************************TBC*********************************************
เอาตอนที่ 16 มาส่งแล้วนะครับ  หวังว่าจะถูกใจกันทุกคนเด้อ
ต้องกราบขออภัยทุกคนที่กำลังรอนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างสูงนะครับที่วันนี้มาช้า
ผมติดธุระสำคัญจนไม่สามารถมาลงตามกำหนดเวลาได้จริงๆ  ขอโทษด้วยครับ :mew2:

ยังไงผมก็ขอฝาก ภพ มิว เหมือนเดิมนะครับ #Nightmaregame คือช่องทางที่ทุกคนสามารถมาติชมผมได้อีกทางนะครับ
ฝากคอมเมนต์ติชมกันเข้ามาเยอะๆนะครับ  ยังยืนยันว่าผมอ่านทุกคอมเมนต์และพร้อมนำไปปรับปรุงครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมมาได้เลยนะครับ
เจอกันตอนหน้า
P-Rawit


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2017 16:40:32 โดย P-Rawit »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด