NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170588 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kanyanat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ทีมงานจะเห็นจริงมั้ยอ่ะ รอสมน้ำหน้าเลยเนี่ย ฮืออออ ทำมิวเรามามาก โดนเอซะบ้างนะแก :angry2:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ หลอนมากเลยยย กลัว 5555
สนุกดีค่ะ รออ่านต่อน้าาา

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
Fact about Nightmare Game



สวัสดีชาว Nightmare Gamer ทุกคนนะครับ 

เนื่องด้วยว่าผมได้ถ่ายทอด ภพ กับ มิว มาได้ 25 ตอนแล้วนะครับ วันนี้ผมเลยจะมาอธิบายเบื้องหลังให้เข้าใจกันนะครับว่า  เกม Horror House มีอะไรที่หลายคนยังเข้าใจไม่ตรงกับที่ผมเขียนอยู่บ้าง เริ่มเลยนะครับ

1.เรื่องนี้มีผีทั้งหมดกี่ตัว

มิว : เอาไงดีวะ ภพ  กูก็ไม่ได้นับซะด้วยสิ TT ทำไมหลายคนถึงอยากรู้ว่าผมเจอผีกี่ตัวครับ  ตอนเจอผมไม่มีเวลามานับเลย

ภพ: อธิบายอย่างนี้นะครับ  คือหลังจากเกมซ่อนหานั่น มิวมันต้องเห็นผีเพราะคาถาที่มันท่อง ดังนั้น มิวมันจึงเหมือนจะเห็นได้ตลอดเวลาเลยครับ  เพียงแต่ว่า ในบ้านหลังที่เราทำภารกิจ  อย่างที่หลายคนรู้คือมันไม่เคยมีผีมีคนตายมาตั้งแต่แรก  ถ้ามิวไม่ท้าทายมา มันจะไม่เห็นครับ  แต่แทบทุกครั้งที่ออกไปทำภารกิจข้างนอก  ไอ้มิวมันจะไม่รู้ตัวนะครับว่าสิ่งที่มันเห็นเนี่ย เป็นผีหรือคน  หลายครั้งที่ผมต้องเมินไปเพราะไม่อยากให้มันกลัว

2.ทำไมภพถึงไม่เห็นผี?

มิว: เออ นั่นดิ  ทำไมมึงถึงไม่เห็น วันนั้นมึงก็ท่องคาถาแบบเดียวกับกู

ภพ : วนมาที่ผมแล้วเหรอครับ  555 ผมอุตส่าห์จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะครับ คือวันที่ผมต้องท่องคาถาเปิดเนตร อย่างที่หลายๆคนรู้นะครับว่าผมเข้ามาเพราะน้องสาว  วันนั้นในหัวผมเลยไม่ได้จดจ่ออยู่กับคาถาเลย  ผมนึกถึงแต่น้องสาวตนเอง  แค่นึกภาพว่าเขาต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ ผมก็แทบจะคุมตนเองไม่อยู่แล้วครับ  แต่ก็อาจจะเพราะผมไม่ค่อยกลัวเรื่องแบบนี้ด้วย  ผมเลยไม่เห็นแบบไอ้มิวครับ

3.เกมนี้เล่นอยู่ที่บ้านหลังเดิมตลอดไหม?

มิว: อ่า เกมนี้ไม่ได้เล่นที่บ้านหลังเดิมทุกปีนะครับ  มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามแต่ความต้องการของผู้จัดการเกมครับ

4.ศตวรรษคือใคร?

มิว: คุณศตวรรษ…ถ้าถามผมจริงๆ ผมก็ยังไม่แน่ชัดเท่าไรหรอกนะครับว่าเขาเป็นใครมาจากไหน  ผมรู้แค่ว่าผมเคยเจอคุณศตวรรษขณะมีชีวิตอยู่แค่ครั้งเดียวคือ ตอนที่ผมต้องเดินทางมาที่แห่งนี้ครับ  คุณศตวรรษคือหนึ่งในทีมงานที่เข้ามาส่งผมที่บ้านหลังนี้  และถ้าสิ่งที่วิญญาณคุณศตวรรษบอกผมไม่ใช่เรื่องโกหก  คุณศตวรรษเคยเป็นอดีตผู้เข้าแข่งขันเกมนี้ด้วยครับ


5.ทีมงานเยอะจนอดไม่ได้ที่จะสงสัย

ภพ: ข้อนี้ผมขออธิบายแทนนะครับ  พูดแล้วยังโมโหไม่หายเลย  ด้วยความที่ว่าเกมปีนี้มันจัดขึ้นในต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นตัวทีมงานเองก็จะไม่ได้มีมากมายหรอกครับ  ที่หลายๆคนงง คงเป็นเพราะผมไม่เคยเรียกชื่อคนเหล่านั้น  ทีมงานที่ผมคุ้นเคยจะแบ่งออกเป็นสามกรุ๊ปใหญ่ๆนะครับ  คือ 1. ทีมที่พาผมมาเข้าบ้านหลังนี้ครับหรือก็คือทีมของคุณศตวรรษนั่นเอง  2. ทีมกำจัดออกจากเกมครับ  ทีมนี้จะเป็นทีมที่จะมาหาพวกผมทุกครั้งที่มีการทำผิดกฎหรือแม้กระทั่งการถูกสั่งให้มากำจัดผมออก  แน่นอนว่า ทีมนี้นี่แหละครับ ที่เป็นคนทำร้ายลุงมั่น  ทำร้ายพวกผม  และเป็นคนพาผมไปโรงพยาบาลร้างครับ  3.ทีมนี้คือทีมที่พาผมไปหาน้ำเก้าวัดนะครับ  เขามีกันสองคน  แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ดูสงสัยในการกระทำพวกผมสุด  ตั้งแต่วัดสุดท้ายผมก็ไม่ได้เห็นเขาเลยครับ  ทีมงานอีกคนบอกว่าเขาไปหาแม่

6.ทำไมผีถึงจ้องแต่จะทำร้ายมิว ในขณะที่คุณศตวรรษไม่ทำ ทั้งๆที่ก็เข้ามาขอความช่วยเหลือทั้งคู่

มิว: อ่า คือ ผีที่เข้ามาขอให้ผมช่วยหายไปตั้งแต่ผมฟังเรื่องราวเขาในเกมเล่านิทานแล้วครับ  ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพอใจหรืออะไร  เขาถึงหายกันไปเลย  ไม่มาตามคำเชิญใดๆทั้งสิ้น  ส่วนผีที่ผมเจอทั้งหลายนั้น  บางตนไม่ได้จ้องจะทำร้ายครับ  เขาแค่มาตามคำท้าทายของผมเท่านั้น  เอาความจริงผมก็มีส่วนผิดที่เข้าไปยุ่งกับโลกของเขา ผมเลยยอมรับตรงนี้ได้ครับ  แต่ถ้าผีตนไหนจ้องจะเอาชีวิตจริงๆ  พวกนั้นมักมีแรงอาฆาตสูงครับ  เขามักมากับสิ่งของที่ผูกชีวิตเขาไว้

7.ทำไมมิวถึงยังอยู่ในเกมทั้งๆที่มีโอกาสออกไปได้  จะอยู่ให้กลัวทำไม?

มิว: เอ่อคือ…

ภพ: ไม่ใช่แค่มิวหรอกครับที่มีโอกาสหนี  ผมก็มี แต่เพราะเราสองคนรู้เบื้องหลังพวกนี้มากเกินไปแล้ว  เราถึงหนีไปไหนไม่ได้  เกมนี้ตามคำบอกเล่าของวิญญาณผ่านปากไอ้มิว  ส่วนมากใครที่ขอถอนตัวออกไปก่อน แทบไม่เคยมีใครรอดเลยครับ เพราะฉะนั้น  ผมกับมันเลยยังดึงดันที่จะอยู่ต่อ อย่างน้อยผู้ชมรายการเขาก็ยังเห็นว่าผมมีชีวิต  ส่วนเรื่องที่มิวกลัว  อันนี้เป็นเรื่องที่ถ้าเกิดกับผม  ผมก็คงไม่ต่างจากมิวหรอกครับ ไม่มีใครที่สามารถชินในสิ่งที่ตนเองพึ่งจะเคยรับรู้ได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนครับ  อีกอย่างถึงมันจะกลัวมากแค่ไหน มันก็ยังมีผมที่อยู่ข้างๆมันครับ

8.ทำไมพวกเอ็งไม่หวานกันบ้าง เจอกันทีมีแต่เรื่องเครียดๆ

ภพ: อ้าว เราจำเป็นต้องหวานออกอากาศด้วยหรอครับ

มิว: สัส  เงียบไปเลยมึงอ่ะ  อยากให้มีคนดูอยู่ไหม?  มึงอยากตายเร็วหรือไง? คืออย่างนี้ครับ  ยิ่งอยู่ในบ้านหลังนี้สถานการณ์หลายๆอย่างมันชวนให้ตึงเครียดมากๆครับ  พอจะแสดงอารมณ์หวานมันเลยเหมือนจะไม่สุด (คนอ่าน:: อ้างทำไมฮะ นักเขียน!!!)

ภพ: งั้นเดี๋ยวกูแสดงให้ดูสักหนึ่งอย่างดีไหม  เอาแบบตอนวัดสุดท้ายเลย

มิว:  วัดสุดท้าย?  หมายความว่าไง ตอนกูสลบไปมึงทำอะไรกู

ภพ: พูดต่อไปเถอะ  กูไม่บอก หึหึ

9.คิดว่าทางรายการรู้ไหมว่า ตนเองเห็นผี

มิว/ภพ :  รู้ครับ  คือพวกผมไม่รู้หรอกนะครับว่าเขารู้กันตั้งแต่เมื่อไร  แต่ว่าตอนที่เขาพาไปโรงพยาบาลนั่นค่อนข้างชัดเจนมากครับ ว่าเขารู้ทุกการเคลื่อนไหว

10.คุณคิดว่าใครเป็น ฆาตกร

ภพ/มิว : Coming Soon…




**************************************************TBC***************************************
สวัสดีนักอ่านทุกคนเลยนะครับ  ก่อนจะขึ้นบทถัดๆไปผมมีอะไรมาให้อ่านคั่นก่อนครับ :impress2:
ความจริงพวกนี้คือสิ่งที่ผมไม่ได้เขียนตรงตัวเท่าไรนักนะครับ  เลยอาจทำให้มีหลายคนติดค้างและสงสัย
ผมเลยนำข้อมูลที่รวบรวมมาได้  มาตอบให้นะครับ หลักๆก็จะมีอยู่ประมาณเท่านี้ครับ  แต่ถ้าตกหล่นตรงไหนไปขอโทษนะครับ

ขอบคุณทุกๆการติดตามนะครับ  ส่วนเรื่องทีมงานเป็นความผิดพลาดของผมเองที่ไม่ได้ระบุชื่อรายคนไว้  ขอโทษด้วยครับ

เจอกันอังคารนะครับ
P-Rawit

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เกลียด coming soon คนเขียนน่าจะใบ้นิดนึง เราเครียดมากกกก  :hao5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ข้อสิบนี่แหละที่อยากรู้สุดๆๆๆๆ

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านแล้วลุ้น หลอน กดดัน เครียดมากๆ 555
แต่ที่อยากรู้รองจากว่าใครเป็นฆาตรกรคือ ใครเมะ ใครเคะ
ตอนแรกคิดว่าภพเมะ แต่ฉากวัดสุดท้ายที่มิวบรรยายว่าภพเดินแปลกๆ  :serius2:
และทำหน้าเหมือนเจ็บ แต่มิวไม่เจ็บ เลยเริ่มลังเล  :hao5:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ฮืออออออ coming soooooooon  :hao5:

ออฟไลน์ Momomimo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ร๊อรออออออออออออออ

ออฟไลน์ AkaneSama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้ๆนะนักเขียน  :mew1:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่26

เอาคืน


00.10 น.

“อายุรกรรม ชาย”

ป้ายห้องขนาดใหญ่ที่ถูกแสงของดวงจันทร์อาบเอาไว้ให้เห็นชัด  ติดไว้เด่นหราอยู่บนหัวประตูห้องหนึ่งบนชั้นสี่ของตัวโรงพยาบาลแห่งนี้  คลาเคล้าไปด้วยความเย็นของลมกลางคืนที่พัดผ่านเข้ามาบาดผิวหนังให้รู้สึกขนลุกเป็นระยะ แต่ถึงแม้ภาวะรอบกายจะชวนให้ผวาตามไปแค่ไหน  สายตาก็ยังต้องจับจ้องไปยังห้องท้ายสุดของทางเดิน ราวกับว่าบางสิ่งในนั้นกำลังร่ายมนตร์เรียกผมให้เข้าไป

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง เดินวนอ้อมบันไดสูงชันขึ้นมาเรื่อยๆจนปลายเท้ามาหยุดลงที่ชั้นสี่แห่งนี้  รอบกายขณะขึ้นมา เต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและความทรมานจนใจแทบขาด  ผมกลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องโหยหวน  เสียงเรียกชื่อของผม  เงาดำจำนวนมากมายที่สวนกันลงบันได หรืออะไรก็ตามที่ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่คน สิ่งเหล่านั้นล้วนพากันเข้ามาหาผมราวกับรู้ว่าใครคือคนที่สัมภเวสีเหล่านั้นจะเบียดเบียนได้

จังหวะการก้าวเท้าของผมลดลงเมื่อเห็นแล้วว่าห้องที่ผมต้องเข้าไปเล่นเกมตั้งอยู่ตรงไหน  ดังนั้นวิธีที่จะช่วยลดภาวะตึงเครียดที่ผมไม่อาจสลัดออกไปได้ในขณะนี้ จึงตามมาในรูปแบบของการเดินเหม่อลอยพลางคิดไปถึงการเดิมพันชีวิตของตนเองไว้กับการท้าทายของทีมงานในเกมหลังจากนี้

สิ่งที่ผมวางแผนเอาไว้เป็นไปตามความต้องการของผมทุกอย่าง แม้ว่ามันจะเชือดเฉือนหัวใจของผมไปไม่น้อย ทีมงานคนนั้นเดินเข้ามาติดบ่วงที่ผมวางไว้จนทำให้จิตใจของผมรู้สึกชื้นขึ้นมาได้บ้าง ทว่ามันก็แค่นั้น เพราะสิ่งที่ผมต้องแลกไป มันคือการที่ผมต้องยอมวางชีวิตตนเองทิ้งไว้ในที่แห่งนี้  เสี่ยงทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่ามันจะคุ้มหรือจะก่อให้เกิดผลสำเร็จดังใจคิด  ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเพียงเพราะสัญชาตญาณมันบอกให้ผมทำและผมก็เชื่อ

ช่วงขาพาเดินมาหยุดที่หน้าห้องท้ายสุดของทางเดิน  จับจ้องไปที่ประตูบานเก่าซึ่งนอนขวางทางผมเอาไว้ไม่ให้เข้าไปในนั้น ความรู้สึกตื่นกลัวและไม่ปลอดภัย ส่งสัญญาณเตือนขึ้นมาจนเลือดในกายผมสูบฉีดด้วยความเร็ว  ตามหลักความเป็นจริงประตูบานนี้มันจะนอนขวางอยู่แบบนี้ไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่คนแรกที่ต้องเข้ามาท้าทาย  และถึงจะบอกว่าคนที่พึ่งออกไปเป็นคนนำมาวางไว้  มันก็ต้องทิ้งร่องรอยมือไว้ที่ประตูบ้าง ไม่ใช่ฝุ่นที่เกาะติดหนายังคงวางตัวเรียบบนประตูอยู่แบบนี้

ผมดันประตูที่ขวางทางออกแล้วก้าวขาเข้ามาสัมผัสยังห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องผู้ป่วยรวม  เตียงนอนเก่าคร่ำครึด้านในถูกตั้งเรียงกันไว้จนสุดมุมห้อง  ด้านขวามือก็เป็นห้องผู้ป่วยขนาดย่อมที่กั้นแยกไว้จากเตียงผู้ป่วยอื่นๆ เดาว่าคงถูกสร้างมาเพื่อป้องกันคนติดเชื้อรุนแรงและคนป่วยปกติ เมื่อเดินมาอีกหน่อยก็จะพบกับห้องน้ำคนไข้ที่สร้างเอาไว้เทียบเคียงกับห้องผู้ป่วยติดเชื้อ  ตั้งเด่นขนานกับตัวทางเดินที่ลาดยาวมาในนี้

“อยู่ไหนวะ?”

ผมบ่นออกมาไม่ดังนัก เมื่อต้องเป็นฝ่ายตามหาสิ่งที่เตรียมไว้เพื่อเชือดผม  ห้องกว้างแห่งนี้ไม่มีกระดาษหรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นคำสั่งวางไว้เลย  ผมซึ่งเป็นผู้ที่ต้องท้าทายจึงต้องจำยอมเดินเปิดไฟฉายหามันไปทีละจุด โดยเริ่มวนจากเตียงรวมในห้องก่อน แล้วค่อยวนซ้ำเข้าไปหาในอีกห้องที่แยกไว้

ความแปลกอีกหนึ่งอย่างของห้องนี้คือตั้งแต่ที่ผมเดินเข้ามา  เสียงร้องโหยหวน หรือเสียงเรียกชื่อผมที่เคยได้ยินหนาหูข้างนอกนั่นก็พากันหายไปหมด  ไม่มีแม้แต่เงาดำตะคุ่มที่บ่งบอกการมีชีวิตของวิญญาณ  ห้องแห่งนี้ดูเผินๆจะเป็นห้องที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะผมสัมผัสอะไรไม่ได้เลย  ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบเชียบและเรียบจนอดแปลกใจไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมพยายามมาตลอดข้างล่างนั่นจะเป็นโมฆะหรือสูญหายไปหรือเปล่า

การเดินหาคำสั่งที่พอจะชี้นำผมได้ เริ่มต้นตั้งแต่เตียงแรกริมทางเดิน มาเรื่อยๆจนใกล้จะถึงเตียงสุดท้ายริมหน้าต่าง ช่วงนั้นเสียงกระทบพื้นของวัตถุโลหะทรงหนาบางอย่างก็หยุดฝีเท้าและห้วงลมหายใจผมไว้  มือที่จับไฟฉายอยู่ค่อยๆกดปิดมันอย่างเร่งรีบ สายตาก็จับจ้องแค่เสาน้ำเกลือที่ถูกตั้งทิ้งไว้ใกล้เตียงสุดท้าย ก่อนที่จะหันกลับมาเผชิญเสียงเหล่านั้นด้วยใจกล้าๆกลัวๆ

ห้องน้ำอีกฝั่งจากที่ผมยืน คือต้นกำเนิดเสียงบาดหูเสียงนั้น  วัตถุที่ตกลงมายังคงกลิ้งอยู่บนพื้นเสียงดังก้อง รับกับการเคลื่อนกายเข้าไปหาของตัวผม ก่อนที่มันจะเงียบไปหลังจากที่ผมเดินกลับมาจนเกือบถึงประตูห้องน้ำพอดี

“นำน้ำที่อยู่ในกะละมังนี้ขึ้นมาลูบหน้า พร้อมกับท่องคาถาที่ให้ไว้ในกระดาษ”

เมื่อเดินเข้ามายังด้านในห้องน้ำ  บริเวณหน้ากระจกเงาก็ปรากฏกะละมังน้ำขนาดเล็กตั้งไว้เคียงคู่กับกระดาษสีขาว ซึ่งในนั้นได้บอกถึงคำสั่งที่ผมจะต้องทำทันทีที่เห็นและคำสั่งที่ต้องทำถัดไปหลังจากคำสั่งแรก 

บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ความรู้สึกของผมเป็นแบบไหน เพราะเมื่อได้จ้องเงาตัวเองบนน้ำในกะละมัง ความหลอนหัวก็ตีตื้นขึ้นมาจนร่างกายแทบจะชะงัก  คาถาที่เกมสั่งให้ผมท่อง ผมรู้ได้ทันทีตั้งแต่เห็นอักขระตัวแรกว่ามันคือคาถาอะไร เนื่องจากว่าเมื่อคืนวิญญาณที่อยู่บนกระดานดำได้ท่องวนซ้ำให้ผมฟังพร้อมเสียงกรีดร้องลั่นบ้าน กล่อมผมให้หลับใหลไปพร้อมกับบทสวดปลุกวิญญาณราวกับเพลงกล่อมเด็กก็ไม่ปาน

และในเมื่ออักขระคาถาปลุกวิญญาณได้ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อีกครั้ง…น้ำที่อยู่ในกะละมังจึงอาจเป็นน้ำเก้าวัดส่วนสุดท้าย

ผมยื่นมือไปวักน้ำขึ้นมาลูบหน้าตามจำนวนครั้งที่ได้ระบุไว้พร้อมกับที่ปากก็ท่องคาถาไปด้วย  ความเย็นที่ผ่านหน้าทำเอาผมแทบไม่กล้าลืมตาขึ้น ประสบการณ์ที่ผ่านมา มันสอนผมมาตลอดว่าเกือบทุกครั้งที่ผมทำอะไรเช่นนี้ วิญญาณมักจะออกมารอต้อนรับผมอยู่เสมอ  ฉะนั้นผมจึงใช้เวลาอยู่นานในการทำใจให้กล้าพอ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบเพียงใบหน้าของตนเองท่ามกลางภาวะวังเวงรอบกาย

ผมรีบสลัดความคิดและเดินออกมาบริเวณข้างนอกห้องน้ำพลางจับสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น  ณ ที่แห่งนี้ความน่ากลัวเป็นอย่างไรผมรู้อยู่แก่ใจ ห้องใต้ดินข้างล่างนั่นตอบโจทย์ในทุกคำถามที่ไม่เคยมีใครให้คำตอบ  ทว่าห้องรวมชายตรงนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกสัมผัสที่ผมจับได้ยังคงบอกว่าภายในห้องผู้ป่วยรวมยังเป็นปกติ ไม่มีวิญญาณแสดงตัวตนออกมาเลยแม้แต่ร่างเดียว  ทุกอย่างที่เห็นยังคงเป็นเช่นเดิมดั่งแรกเริ่มที่เข้ามา ราวกับวิญญาณกำลังเฝ้ารอการกระทำเพื่อฟื้นคืนสภาพของตนเอง

“เคาะใต้เตียงไปเป็นจำนวนครั้งตามวันเกิด และสมมติตนเองให้เป็นพยาบาล ร้องเรียกให้ผู้ป่วยฟื้นคืนรอพบหมอ”

เสียงหยดน้ำที่ไหลกระทบพื้น ดังคลอไปพร้อมกับเสียงพูดยามที่ผมต้องอ่านภารกิจถัดไป  เนื้อหาในนั้นสร้างความปั่นป่วนให้บรรยากาศรอบๆไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกที่ว่าเกมนี้มันมากกว่าการท้าทายบอกให้ผมระวังตัวในทุกขณะ  การเล่นเกมที่จะต้องเกิดต่อจากนี้ไม่อาจปลอดภัยได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ปลุกวิญญาณขึ้นมาเท่านั้น หากแต่มันยังคล้ายกับการให้ความหวังและเหยียบย่ำทำลายมันลงในเวลาเดียวกัน

ผมยืนกำกระดาษบนมือเอาไว้แน่น  สอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อตรวจสอบความแน่ใจว่าการมองของผมไม่มีอะไรผิดพลาด  การกระทำที่ผมจะต้องโดนบังคับ ยอมรับเลยว่าผมไม่กล้าทำมันอย่างแน่นอนหากแม้วิญญาณโผล่ออกมาแค่กลิ่นความตาย  การท้าทายที่ไม่เหมาะไม่ควรในนี้ กำลังเล่นกับห้วงลมหายใจของผมหนักยิ่งกว่าห้องเก็บศพข้างล่างเสียอีก

“เตียงเบอร์หนึ่งครับ…ฟื้นได้แล้ว  คุณหมอจะมาตรวจแล้วครับ”

หลังจากที่ผมยืนสูดเอากลิ่นอับและฝุ่นควันในห้องแห่งนี้ไปแทบท่วมปอด  ผมก็ต้องจำยอมมุดร่างกายของตัวเองให้เข้าไปยังใต้เตียงตามคำสั่งที่ระบุไว้ โดยคำที่บอกว่าให้ผมเคาะใต้เตียงนั้นไม่ใช่เพียงการเอื้อมมือไปเคาะ  หากแต่ต้องพาตัวเองเข้าสู่ด้านล่างเตียงแล้วนำมือไปเคาะแผ่นกระดานแตกๆที่อยู่ใต้นั้นแทน

เสียงพูดของผมดังกังวานก้องไกลไปแทบทั้งชั้น  สะกิดให้ส่วนขาและแขนของผมรู้สึกหดเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ความวังเวงของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้ ยังคงเป็นหนึ่งเดียวที่เคลื่อนไหวรอบกายผมอย่างท่วมท้น สร้างความรู้สึกอึดอัดได้ทุกขณะที่ผมเคลื่อนไหวร่างกาย  จนมือที่เอื้อมไปเคาะและปากที่ส่งเสียงท้าทายสั่นไหวไม่ต่างกัน

เมื่อสิ้นสุดเตียงเบอร์หนึ่ง ผมจำเป็นที่จะต้องย้ายร่างกายของตนเองไปที่เตียงสองทันที ในคราแรกผมรู้สึกลังเลที่จะเลือกวิธีพาตนเองออกไป แต่เนื่องด้วยระยะที่ไม่ห่างกันนัก ผมเลยตัดสินใจที่จะเคลื่อนตัวออกโดยใช้การไถลไปที่พื้น ให้ศอกและเท้าดันช่วยพยุงร่างกายของผมไว้จนสามารถเข้าไปยังเตียงถัดๆไปได้

ในทุกๆครั้งที่ผมตะโกนผ่านใต้เตียงมาเรื่อยๆนั้น  ความรู้สึกรอบกายของผมมันก็เปลี่ยนไปด้วย  จากแออัดและร้อนอบอ้าว ก็เริ่มมีลมเย็นๆพัดเข้ามายังพื้นที่ข้างใต้นี้  จากกลิ่นของห้องที่แค่อับๆก็เริ่มมีกลิ่นสาปเหม็นโชยเข้ามาใต้เตียงนี้  มือของผมจึงต้องถูกยกขึ้นมาปิดจมูกกันกลิ่นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ปล่อยให้ทำหน้าที่เคาะไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดพัก

เตียงในแถวแรกทั้งหมดถูกเรียงกันไว้ทั้งหมด 24 เตียง  แน่นอนว่ามันเยอะมากและต้องใช้เวลาจนกว่าจะครบ  ผมรู้สึกอ่อนล้าและเจ็บไปทั้งแผ่นหลังในยามที่ต้องเคลื่อนกายเข้าใกล้เตียงสุดท้ายมากขึ้นเรื่อยๆ  สายตาก็เอาแต่จ้องดูนาฬิกาข้อมือเพื่อหาจุดสิ้นสุดของพิธีกรรมนี้ จนกระทั่งความอดทนผมหมดลง การตัดสินใจที่จะลดความทรมานให้ตนเองจึงสั่งให้ผมท้าทายแค่เตียงแถวแรกเพียงแถวเดียว

“เตียงเบอร์ 24 ครับ  ฟื้นได้แล้ว  เดี๋ยวคุณหมอจะมาแล้วนะครับ!!”

ผมถึงกับวางมือแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  หลังการท้าทายสุดท้ายของผมสิ้นสุดลง  ใบหน้าของผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกยินดี ที่ห้องนี้ไม่มีวิญญาณโผล่มารบกวนผมเลยแม้แต่น้อย  ที่จะสร้างความอึดอัดจนทำให้หัวใจผมเต้นแรงไม่หยุดนั้นคงมีเพียงสถานการณ์แปลกๆที่ไม่ต้องใช้ตามองก็สามารถทำให้ผมรับรู้ได้ว่า บางสิ่งในนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว

ผมเตรียมดันร่างกายของตนเองออกไปจากเตียงเบอร์นี้  แต่ทว่าสิ่งผิดปกติบางอย่างก็ทำให้น้ำตาผมรื้นขึ้นมาจนร้อนไปทั้งกระบอก  ร่างกายของผมจากที่เคลื่อนไหวได้สุดแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นนอนแน่นิ่ง  ไม่มีแรงที่จะดันตัวเองให้ลุก  คล้ายกับถูกสะกดให้ค้างท่าทางไว้แบบนั้น  อีกทั้งบางสิ่งบางอย่างที่คิดว่ามันจะไม่เปลี่ยนไปในห้องนี้ก็เริ่มบรรเลงท่าทีออกมาคล้ายกับว่า เวลาที่พวกเขารอ…มาถึงแล้ว

“หมออยู่ไหน?”

เสียงประสานขับกล่อมบรรยากาศของชายหนุ่มน้อยใหญ่ดังขึ้นพร้อมกันแทบจะในทันที่ส่วนหัวผมของผมโผล่พ้นขอบเตียงออกมา  เสียงที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงเสียงที่ดังก้องหูทั่วๆห้อง  ผมจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันมาจากจุดไหน  ที่สังเกตได้จากเนื้อเสียงก็บ่งบอกผมแค่เพียงความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของว่ากำลังโกรธเกรี้ยวกับการกระทำของผมสุดขีด  จนต่อมการรับรู้ของผมบอกให้ผมระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม  เพราะการที่พวกเขาเริ่มแสดงตัวตนออกมา ร่างกายของเขาคงจะตามมาให้ผมสัมผัสได้ในอีกไม่ช้านี้

ผมรีบหลับตาผ่อนลมหายใจแล้วคลานเข่าออกมาให้รวดเร็วที่สุดเพื่อลดช่องว่างระหว่างเวลา ที่จะสามารถทำให้เหล่าสัมภเวสีจะใช้น้ำเสียงข่มขู่จิตใจผม   เสียงประสานพวกนั้นยังคงดังหลอนหูผมไม่เลิกในทุกๆช่วงการขยับกายออกมายืนอยู่ข้างเตียง  จนสายตาของผมต้องเริ่มหันไปมองรอบห้องอย่างคนหมดหนทางสู้  เสียงนั่นมันน่ากลัวจนตัวของผมสั่นเทิ้มอย่างหนักไม่ต่างไปจากลูกนกที่กำลังโดนบีบให้ตาย  แววตาเลิกลั่กถูกใช้มองด้านซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวง พร้อมกับที่ช่วงขาก็ค่อยๆเริ่มพาตนเองออกห่างจากเตียงพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ความดังของเสียงที่ไม่ได้ลดลง  เริ่มกรีดแก้วหูของผมไปอย่างทรมาน  มือสองข้างของผมนั้นถูกยกขึ้นมาปิดหูพร้อมปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาชะโลมหัวใจที่เต้นแรงจนเจ็บคัด  สถานการณ์ที่เกิดขึ้นย้ำเตือนเรื่องการมาถึงของวิญญาณที่เริ่มคืบคลานเข้ามาอยู่ทุกขณะ     ห้องน้ำตรงหน้าก็เริ่มส่งเสียงให้ผมสะดุ้งขึ้นอีกครั้งเนื่องจากกระโถนขากเสลดใบเดิมได้ตกลงมาจากอ่างล้างมือ  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่ได้หยิบขึ้นไปวาง  จนผมต้องเงยหน้าขึ้นและหยุดยืนตาค้างไปกับสิ่งที่ยืนแน่นขนัดตรงหน้า

ห้องผู้ป่วยติดเชื้อที่ถูกสร้างแยกไว้ ปรากฏร่างกายของชายหนุ่มน้อยใหญ่ ยืนจ้องหน้าผมบนเตียงด้วยสายตาดุดัน…

ไฟฉายบนมือของผมตกลงสู่เบื้องล่างในทันทีที่มือของผมหมดแรงจะยื้อ  แสงไฟที่ถูกเปิดขึ้นราวกับจับวาง  ฉายชัดไปยังใบหน้าโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจของคนตรงนั้น  พร้อมๆกับที่มันก็ทำให้ห้องแห่งนี้สว่างขึ้นจนหางตาจับสังเกตได้ถึงสิ่งที่ผมเพิกเฉยมาตั้งแต่แรก

เตียงผู้ป่วยที่ตั้งเรียงกันไว้หลายแถวมีวิญญาณมากมายนอนเบิกตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงนั้นและต่างก็จับจ้องมาที่ผมอย่างกับคนทำผิดร้ายแรงก็ไม่ปาน  แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าร่างของวิญญาณที่นอนอยู่  คือเสียงร้องเรียกหาหมอที่ยังคงดังขู่เข็ญผมไม่จางหาย  โดยถ้าได้สังเกตไปรอบๆกายผมขณะนี้จะพบว่าไม่มีวิญญาณตนใดขยับปากพูดให้เกิดเสียงเลย ดังนั้นพื้นที่สุดท้ายที่ผมไม่อยากจะทำใจสาดไฟส่องขึ้นไปจึงเป็นพื้นที่เดียว ที่ผมจะหาแหล่งที่มาของเสียงนั้นได้

“หมออยู่ไหน!!!”

ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากนิ่งเพราะตกใจกับแรงเสียงที่เค้นถามลงมาจากด้านบน  วิญญาณมากมายที่ผมสัมผัสไม่ได้ในคราแรก  กำลังนั่งห้อยตัวอยู่บนโคมโฟติดเพดานของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้  โดยมีแววตาแดงกล่ำที่บอกชัดถึงแรงอาฆาตจ้องกลับมาหาผมอย่างไม่ลดละ  บางตนใช้นิ้วชี้มาที่หน้าผมอย่างไร้จรรยา หากแต่เวลานี้ผมคงไม่มีเวลามาใส่ใจมากนัก  เพราะท่าทีการเคลื่อนไหวรอบกายกำลังบีบบังคับให้ผมต้องหนี

นิ้วของผมถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลบดบังวิสัยทัศน์ในความมืด  ก่อนจะวิ่งผ่านบรรดาหยากไย่ใยแมงมุมที่ขวางทางจนทิศทางสะเปะสะปะ ไปยังช่องว่างของประตูที่ถูกติดตั้งอยู่ไม่ไกลตรงนี้  จวบจนช่วงขาของผมใกล้พ้นเตียงที่หนึ่งของแถวที่สาม  ผมก็สะดุดวัตถุบางอย่างล้มลงไปบนพื้นอย่างแรง  กระแทกกับเศษหินเศษดินจนรู้สึกแสบคล้ายเข่าแตก  ก่อนจะหันกลับมามองสิ่งที่พุ่งมาขวางทางตนเองไว้

ร่างของผู้ชายคนหนึ่งกลิ้งออกมาจากใต้เตียงด้วยใบหน้าโชกเลือด ก่อนที่เขาจะนอนแน่นิ่งอยู่เพียงปลายเท้าของผม

ผมตกใจจนแทบช็อกเมื่อไฟฉายไม่ได้แสดงภาพอันน่าภิรมย์กลับมา  มือของผมหนึ่งข้างจึงต้องรีบยกขึ้นมากดแผลที่เริ่มแสดงอากาศปวดร้าวไปทั้งช่วงขา  อีกข้างก็ค่อยๆดันร่างกายตนเองให้ถอยห่างจากวิญญาณของผู้ชายคนนั้น 

ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นที่พร้อมจะออกมาตลอดเวลาและขบกรามทั้งสองข้างไว้แน่น เมื่อความน่ากลัวที่ผมได้รับไม่ได้สิ้นสุดลงที่วิญญาณของผู้ชายตรงหน้า  แต่บัดนี้  เสาน้ำเกลือที่เคยตั้งทิ้งไว้ใกล้เตียงสุดท้ายของแถวแรกได้เริ่มเคลื่อนไหวมายังทิศทางนี้คล้ายกับมีคนลากมา เสียงโลหะเหล็กที่ขูดไปกับพื้นรับกับเสียงของกระโถนเหล็กที่ยังคงกลิ้งตัวอย่างกับคนไปหมุนเล่น  นำให้ผมต้องรีบถีบขาทั้งสองข้างให้พ้นตัวศพตรงหน้าอย่างไว

“หมออยู่ไหน!!”

ร่างกายของวิญญาณที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า  เริ่มกระตุกคล้ายกับคนกำลังช็อก วิญญาณของผู้ชายคนนั้นเริ่มแสดงท่าทีเหมือนคราก่อนที่เขาจะสละลมหายใจของตนเองทิ้งไป  ภาพเหล่านั้นเร่งเร้าให้ผมถีบตัวเองลุกขึ้นหนักกว่าเดิม หากแต่บาดแผลที่ยังคงเจ็บปวด กลับทำให้ผมต้องฝืนจนสุดแรง และทำให้ทุกอย่างไม่ทันวิญญาณตนนั้นที่บัดนี้ได้หันคอมาสบตากับผมพร้อมใช้มือสากหนาทั้งสองข้างเกี่ยวรั้งข้อเท้าผมไว้  ก่อนที่เขาจะฉีกยิ้มให้ผมจนกว้างพร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบสิ้นลมหายใจไปตามเขา

หมับ

“มึงจะไปไหน!!! ตามหมอมาให้กู!!!

ผมรีบสลัดข้อเท้าออกจากการกอบกุมของวิญญาณตนนั้น ก่อนจะวิ่งออกมาเนื่องจากภายนอกห้องตอนนี้ได้เกิดเสียงอึกทึกร้องขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ชายหนุ่มคนหนึ่ง ดังกังวาลไปทั่วทั้งโรงพยาบาลร้าง ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ผมเฝ้ารอมานานตั้งแต่ที่เห็นว่าทีมงานได้เริ่มท้าทาย ผมจึงเหมือนคนได้สติและใช้ความกลัวที่มีผลักดันให้ความกล้าสุดท้ายของตนเองพาร่างกายออกจากห้อง

ผมวิ่งแบบขากะเผลกออกมา  โดยที่แว่วเสียงเรียกและเสียงตะโกนแห่งความทรมานยังคงไล่ตามมาจากห้องนั้น  หากแต่มันก็สิ้นสุดลงไปแค่หน้าประตู  ไม่มีวิญญาณติดตามผมมาจากห้อง สร้างความแปลกใจให้หัวของผมคิดถึงแต่คราวที่ตนเองหนีผีในห้องชั้นใต้ดินขึ้นมา  ตอนนั้นวิญญาณก็ไม่ได้ตามติดผมขึ้นมาด้วย คล้ายกับเขาไปไหนไม่ได้นอกจากจุดของตนเอง  ซึ่งนับว่าแปลกมากถ้าเทียบกับประสบการณ์เก่าๆที่ผมเคยเจอ

บาดแผลที่เกิดสร้างความเจ็บปวดให้ผมจนแทบคลั่ง  ณ ตอนนี้ บรรยากาศในโรงพยาบาลกำลังปั่นป่วนจนถึงขีดสุด  เมื่อฝีเท้าของบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นทีมงานเพราะเสียงร้องไม่คุ้นหู  เริ่มดังเปลี่ยนชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ  ทีมงานที่กำลังวิ่งหนีบางอย่างอยู่นั้น  คงมีแต่ความรู้สึกทรมานและกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ช่วงเสียงที่เขาเปล่งออกมาถึงได้ดูบาดลึกและอึดอัดจนผมอดสงสารไม่ได้

ผมตัดสินใจวิ่งหนีขึ้นไปด้านบนเพราะคิดว่าไอ้ภพน่าจะอยู่ตรงนั้น  การกระทำที่ตอนนี้ดูเหมือนจะกล้าแกร่งแท้จริงแล้วมันยังคงเป็นแค่เปลือกนอกที่ผมต้องบดบังเนื้อแท้ผมเอาไว้  ผมรู้สึกกลัวมากจนไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไร  อาการทางร่างกายของผมเป็นเสมือนสิ่งยืนยันสิ่งเดียวที่ย้ำให้ผมเข้าใจอยู่ตลอดว่าผมไม่เคยทิ้งตัวตนได้เลย  ผมยังคงกลัวจนหัวใจเต้นแรงจัด  ใบหน้าของผมมีแต่น้ำตาและร่องรอยของความเครียด  มือของผมข้างหนึ่งต้องจับเสื้อตนเองไว้ เพราะมันสั่นจนคุมไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีบาดแผลเพิ่มเข้ามาจนร่างกายแทบจะหาอิสระไม่ได้แล้ว

เสียงขอความช่วยเหลือของทีมงานยังคงดังลั่น  กลบเสียงที่ผมพยายามจะหาที่อยู่ของไอ้ภพไปหมด  ผมจึงใช้วิธีการเดาสุ่มไปตามชั้นต่างๆ โดยที่ตอนนี้ผมได้พาตนเองขึ้นมาถึงชั้นหก และรู้สึกได้ทันทีเลยว่าในชั้นนี้มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตปรากฎอยู่หากแต่ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน

จังหวะของการขยับปลายเท้ากระทบพื้นตึกจนเสียงดังก้อง  เรียกให้ตัวผมวิ่งตามสิ่งที่ได้ยินไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งไปสิ้นสุดที่โถงทางเดินรวม  ที่แห่งนี้มีแสงจากข้างนอกสาดเข้ามาบ้างเล็กน้อย  ลดความน่ากลัวที่ผมกำลังเผชิญอยู่ให้เบาลง  พร้อมกันนั้น สายตาของผมก็ได้จับสัมผัสการเคลื่อนไหวที่กำลังตรงมายังจุดที่ผมยืนอยู่ได้  เรียกให้ใบหน้าของผมยกยิ้มขึ้นและร้องทักไปด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่กลับกังวานชัดเต็มสองหู

“ภพ  นั่นมึงใช่ไหม?  เรารีบหนีไปข้างนอกกันเถอะ  ทีมงานแม่งผิดกฎไปแล้ว”

ปลายเท้านั่นยังคงเคลื่อนตรงมาด้วยลักษณะท่าทางที่ผิดแปลก หากแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงตอบผมกลับมาแต่อย่างใด  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงไม่ละความพยายามที่จะตะโกนซ้ำไปอีกครั้ง ด้วยความคิดที่บอกว่าเสียงเมื่อครู่นี้ไอ้ภพอาจจะไม่ได้ยิน

“ภพ…นั่นมึงหรือเปล่า  ถ้าใช่ก็ส่งเสียงกลับมาด้วย…อย่าเงียบแบบนี้”

ผมร้องถามคำถามนั้นไปตั้งแต่เงาดำของร่างมนุษย์ยังเข้าใกล้ผมไม่มาก  จนกระทั่งตอนนี้ที่ผมเริ่มเห็นความเป็นรูปเป็นร่างชัดขึ้น  สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นไอ้ภพ ก็ยังคงไม่ตอบผม  พร้อมกันนั้นท่าทางแปลกๆที่ผมคิดว่าไอ้ภพวิ่งมาก็สร้างความฉงนให้ใจผม  เพราะการย่างเท้าเข้ามาแบบช้าๆ ไม่น่าใช่การวิ่งได้ อีกทั้งท่าทางที่ปัดป่ายไปรอบตัวนั้น ยังทำให้ผมต้องขมวดคิ้วจ้องมองให้ชัด พร้อมกับที่เหงื่อก็ไหลซึมตามข้างขมับออกมา

“ไอ้มิว!! วิ่ง!!”

ไอ้ภพที่วิ่งมาจากตรงไหนผมไม่อาจทราบได้  ส่งเสียงดังให้ผมที่กำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่างสะดุ้งจนตัวโยนแล้วหันไปจ้องหน้ามัน  แค่พริบตาเดียวหลังจากนั้นไอ้ภพก็วิ่งเข้ามาคว้าข้อมือของผมแล้วพากันวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว  โดยที่ใบหน้าของมันตอนที่กระชากผมออกไป  เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่คาดเดาไม่ได้  มันทั้งกังวล  ทั้งเครียด และกลัวในเวลาเดียวกัน  ดังนั้น ผมจึงต้องหันหลังกลับไปมองว่าไอ้ภพกำลังปกป้องผมจากอะไร

แสงที่สะท้อนเข้ามาในโถงทางเดินนั้น ตกกระทบเงาวาววับของชฎาที่สวมหัว พร้อมกับการร่ายรำดั่งคล้ายมนตร์สะกด ดึงดูดให้สายตาผมนั้น จับจ้องแต่เพียงความสวยงามของ…นางรำ

แค่ปรายตาหันไปมอง  ใบหน้าของนางรำตนนั้นก็ตวัดสายตาขึ้นมาที่ผมอย่างแข็งกร้าวก่อนที่ปลายนิ้วชี้จะถูกยกขึ้นมาชี้หน้าผมอย่างอาฆาต  ดังนั้นผมจึงเป็นฝ่ายที่ก้าวเท้าตามแรงดึงไอ้ภพจนเท่าทันมันก่อนจะพากันลงบันไดไปยังชั้นล่างแล้วเข้าไปหลบยังห้องที่ผมคิดว่าปลอดภัยที่สุดห้องหนึ่ง

“ไอ้มิว!! มึงขึ้นไปทำอะไรที่ชั้นนั้น”ยังไม่ทันได้พักจากอาการเหนื่อยหอบ ไอ้ภพก็หันมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นกลัวพอสมควร

“กูขึ้นไปหามึงนั่นแหละ...ในที่แบบนี้กูเจอแต่ผี พอเสียงทีมงานมันดังขึ้นมากูเลยไม่สนใจกฎแล้วเลือกไปตามมึงแทน”

“หึ  กฎบ้าบออะไรหละ  โรงพยาบาลบ้าๆแบบนี้มึงคิดว่าใครจะมาติดกล้องเอาไว้ได้”

“มึงหมายความว่าไง”

“ตามที่พูด  รายการวันนี้มันไม่ได้บันทึกอะไรพวกเราไว้เลยสักอย่าง”

“แล้วมึงรู้ได้ไง…ที่สำคัญมึงเป็นอะไรไปภพทำไมถึงต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น ทีมงานโกงอันนี้กูเข้าใจ  แต่ทำไมอาการมึงถึงเหมือนว่ามึงหนีอะไรมาก่อนที่จะเจอกู  มึงเห็นอะไรอย่างนั้นเหรอภพ”

ผมหันกลับมานั่งจ้องหน้ามันตรงๆถึงได้เห็นความเหนื่อยล้าที่ชัดเจนในดวงตาคู่นั้น  ไอ้ภพไม่ใช่พึ่งจะเหนื่อยหอบจากการที่พาผมวิ่งเป็นแน่  ท่าทางของมันราวกับต้องหนีมานานพอสมควร  และยิ่งผมได้ดึงตัวมันมากอดปลอบจนหัวใจของเราสะท้อนถึงกัน ผมถึงได้รู้ว่ามันกำลังเต้นเร็วจัด คล้ายกับตอนที่ผม…เห็นวิญญาณพวกนั้น

“กู…”

ฉิ่ง ฉับ

เสียงของเครื่องดนตรีไทยบางอย่างทำให้ไอ้มิวที่กำลังกอดปลอบผมอยู่ถึงกับสะดุ้ง วงแขนของมันรัดตัวผมแน่นอย่างกับคนที่กลัวอะไรสักอย่าง จนเมื่อผมดันร่างที่แข็งทื่อของมันออกมา ผมถึงได้รู้ว่ามันเอาแต่จ้องมองลอดหน้าต่างบานกว้างไปยังพื้นที่ทางเดินหน้าห้อง พร้อมกับที่น้ำตาของมันก็ไหลลงมาอาบร่องรอยทางน้ำตาเดิมที่ไม่มีทางแห้งเหือดไป

ผมคือผู้ที่ถูกเลือกให้เข้ามาร่วมเกมเป็นคนสุดท้าย ผมจึงมีโอกาสได้สังเกตท่าทีของทีมงานข้างนอกนั่นยามที่พวกเขาจับกลุ่มคุยกันใจจดใจจ่อ พนันกันว่าไอ้มิวจะทนได้นานสักแค่ไหน  ฉะนั้นเมื่อพวกเขาลืมตัวว่ายังคงมีผมที่นั่งอยู่ตรงนี้  การแสดงออกของเขาจึงไม่ทันได้ระแวดระวังคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกหน้าชาขึ้นมาทันที

“มึงว่า หัวหน้ากับไอ้แดงมันจะไหวไหมวะ? แม่งน่ากลัวชิบหายขนาดนี้”

“พวกมึงไม่รู้อะไร  มึงว่าที่แบบนี้มันน่ากลัว แล้วใครจะกล้าเข้าไปติดกล้องติดอะไรวะ  พวกหัวหน้ากับไอ้แดงมันก็แค่เข้าไปสังเกตไอ้สองคนนี้มากกว่า  พวกนั้นไม่เป็นอะไรหรอก”

“อ้าว แล้วจะลากพวกมันมาให้เสียเวลาทำไมวะ”

“ก็ไม่รู้หรอก มันเป็นคำสั่งมา แต่คิดว่านายเราเขาก็คงอยากให้ใครสักคนออก”

“เฮ้ยพวกมึง เบาๆดิวะ ไอ้ห่านั่นมันก็ยังไม่ได้เข้าไปนะ  เดี๋ยวได้ซวยกันหมดหรอก”

ผมนั่งกำมือแน่น พยายามกำกับอารมณ์ที่ผมพึ่งจะได้รับเอาไว้  จนเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเข้าไป ผมจึงได้มีโอกาสตามหาทีมงานอีกสองคนที่เข้ามาก่อนแล้ว และได้เห็นว่าพวกมันสองคนไม่ได้ทำภารกิจหรือเล่นเกมอย่างที่ว่าไว้เลย ทั้งคู่ต่างนั่งจับเข่าคุยกันฆ่าเวลาเฉยๆ  วางแผนกันที่จะส่งไอ้คนที่ชื่อแดงมาดูผมและตัวหัวหน้าจะลงไปดูไอ้มิว  เมื่อผมได้ยินแบบนั้น ผมจึงรีบเดินขึ้นไปยังชั้นที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ทำพิธีปลอมๆให้เวลาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่

.
.
.
(ต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนนั้น ผมถูกสั่งให้ทำพิธีอยู่ที่ชั้น 5 ห้องที่ผมถูกสั่งให้เข้าไปในนั้นคือห้องผ่าตัด  แน่นอนว่าผมไม่สามารถเห็นสิ่งใดแบบที่ไอ้มิวเห็น  ผมจึงไม่รู้สึกกลัวขึ้นมากเท่าไร  หากแต่บรรยากาศที่เปลี่ยนไปกลับทำให้ความมั่นใจผมลดลง  ผมไม่รู้ว่าการขอโทษของไอ้มิวหมายถึงอะไร  แต่เพราะผมวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องนั้นผมจึงไม่ได้สังเกตเลยว่ารอบกายของผมไม่เหมือนเดิม

ช่วงเปลี่ยนผ่านเกมตอนเที่ยงคืนผมต้องขึ้นไปยังห้องคลอดที่ชั้น 6 ซึ่งอยู่แทบจะในสุดของชั้นนั้น  ผมวนหาอยู่หลายรอบกว่าจะเจอห้องที่ผมตามหา  แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยิบแตะอะไรผมก็ถึงกับเข่าทรุดเพราะหูของผมสามารถรับสัมผัสของเสียงดนตรีไทยที่แว่วคลอมากับลมเย็นๆให้ขนในกายลุกชัน

ในโรงพยาบาลนี้ ไม่มีทางที่จะมีเสียงดนตรีไทยเกิดขึ้นมาได้ และอาจจะเพราะความที่ผมไม่กลัวเท่าไรนักผมจึงใช้ไฟฉายที่ได้รับมาสาดส่องไปหาต้นกำเนิด จนมาพบกับโถงทางเดินที่ไอ้มิวไปหยุดยืนเมื่อครู่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะสาดไฟไปทันทีในจุดที่ผมพบเงาตะคุ่ม และตรงจุดนั้นก็ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความรู้สึกไอ้มิวทุกประการ

ไฟฉายที่ผมสาดไป ไปกระทบกับกำไลข้อเท้าสีทองยามที่กำลังยกขาขึ้นร่ายรำอย่างสวยงาม  มือของเธอคนนั้นวาดลวดลายให้ผมมองตาแทบค้าง แต่ไม่ใช่เพราะชื่นชม  ผมกำไฟฉายในมือเอาไว้แน่นมาก  ข่มอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีกันแล้วหันหลังเดินกลับมา ทิ้งให้นางรำคนนั้นชี้นิ้วตามผมด้วยความคับแค้นอยู่ฝ่ายเดียว

น่าแปลกที่แม้ผมจะเดินเร่งฝีเท้าไปมากเท่าไร  นางรำคนนั้นก็ดูเหมือนจะรำตามผมมาได้แทบทุกฝีก้าว  ผมจึงตัดสินใจมองกลับไปอีกครั้ง  และพบเห็นในสิ่งที่ทำให้ขาของผมก้าวด้วยความเร็วไม่คิดชีวิต  นางรำที่เคยมีใบหน้าสะสวย บัดนี้กลับเละด้วยคาวเลือดและดินโคลน  ท่าทีที่รำอยู่เมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นการคลานรำตามมาเรื่อยๆ และสุดท้ายเมื่อผมวิ่ง  เธอก็ลุกชี้นิ้ววิ่งตามผม

จำได้ว่าผมวิ่งหนีอยู่นานมาก  จนไปพบเข้ากับทีมงานที่ชื่อไอ้แดง  มันคงกำลังจะตามผมขึ้นไปยังชั้นบน  ผมเลยรีบหลบเข้าห้องๆหนึ่งไปก่อน  และปล่อยให้เสียงการร่ายรำตัดผ่านหูไปหาทีมงานคนนั้น

ผมนั่งนับช่วงที่เครื่องแต่งกายชุดนางรำเคลื่อนผ่านผมไปอย่างแทบไม่เชื่อหูตนเอง  วิญญาณของนางรำที่ผมเจอ เดิมทีผมเห็นเพียงหนึ่ง  แต่ในขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น  ผมกลับนับได้ถึงสามตนที่เคลื่อนผ่านห้องนี้  จนสุดท้ายเมื่อเสียงกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างทรมานของทีมงานก็ดังขึ้น ผมจึงได้ละทิ้งทุกความกังวลและเริ่มออกตามหาไอ้มิวแทน

วิญญาณนางรำตนแรกที่ผมเห็น  ผมเชื่อว่ามันมาจากความผิดของผม เนื่องจากเมื่อช่วงเย็นที่ไอ้มิวหายไปนาน ผมได้ทำการเดินออกตามหามันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นหัวหน้าทีมงานเดินกลับมา ตอนนั้นผมต้องรีบหลบกลับไปที่เดิมจนไม่ได้สังเกตว่า เท้าของผมได้ไปเหยียบเอาตุ๊กตานางรำบนพื้นจนหัก จนอดคิดถึงวิญญาณตนนั้นไม่ได้ ทว่าตั้งแต่ที่วิญญาณนางรำโผล่มามากขึ้น  ความคิดผมก็เกิดการลังเลขึ้นมาและเริ่มเบนไปที่คำขอโทษจากไอ้มิว ว่าแท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่มันขอโทษคือเหตุผลที่ทำให้มีนางรำติดตามผมมากกว่าเดิมหรือเปล่า

“ภ…ภพ นางรำนั่นมาได้ยังไง นี่มันในโรงพยาบาล?”ไอ้มิวนั่งหดขาของตนเองก้มลงต่ำ แล้วเอ่ยถามผมด้วยเนื้อเสียงสั่นๆ

“อืม มาได้ยังไง…มึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่าหละ”

ไอ้มิวชะงักเหมือนคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่มันจะพยักหน้ารับผมช้าๆ แต่ผมก็ไม่ทันจะได้เค้นความจริงต่อ  เพราะนางรำที่มาหยุดยืนหน้าห้องได้สักพักหนึ่งแล้ว กำลังเริ่มร่ายรำตามเสียงเพลงไทยเดิมที่ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน จนพวกผมสองคนต้องนั่งกันตัวลีบกับกำแพงเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

เงาที่ทอดผ่านเข้ามา ปรากฏร่างของอิสตรีสวมชุดรำสามนาง  ร่ายรำอยู่ภายนอกห้องด้วยท่าทางคล่องแคล่วและดูน่าหลงใหล  หากแต่ว่าแค่ครู่เดียว  เงานั่นก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างที่ผมและไอ้มิวไม่ทันตั้งตัว  ช่วงคอของมันจากตั้งตรงสวยก็เริ่มหักงอลงมาจนชฎาหลุดออกจากหัว  ช่วงแขนของมันจากที่ร่ายรำได้องศาก็บิดเบี้ยวผิดรูปจนไอ้มิวต้องยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้  แต่กระนั้นทั้งหมดนี่ว่าจะไม่น่ากลัวเลย ถ้าชฎาที่หล่นนั้นไม่กลิ้งตัวเข้ามาในห้องที่ผมหลบอยู่

ผมและไอ้มิวต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ตนเองเห็น  ชฎาทรงสูงสีทองได้กลิ้งตัดผ่านหน้าพวกผมไปก่อนที่จะไปหยุดตัวเองอยู่กลางห้อง  พร้อมกันนั้นเสียงดนตรีไทยคุ้นหู ก็เริ่มบรรเลงดังชันเจนตามจังหวะการก้าวเท่าที่เปลี่ยนแปลงของนางรำ  พวกมันสามตนต่างพากันยกแขนยกขา ทยอยร่ายรำกันเข้าสู่ตัวห้องแห่งนี้

ไอ้มิวนั่งตัวสั่นหงกอย่างที่ไม่รู้จะแก้ไขความกลัวตรงหน้าอย่างไร  ผมก็เช่นกันหากแต่อาการที่ผมแสดงออกยังน้อยกว่าไอ้มิวมาก  พวกเราสองคนต่างนั่งนิ่งคล้ายกับไปไหนไม่ได้  ดวงตาทั้งคู่เหมือนโดนสั่งให้จับจ้องแต่เพียงท่วงท่าและอารมณ์เพลงที่พวกเธอเหล่านั้นแสดงออก  ก่อนที่ลักษณะทางกายของเธอจะเปลี่ยนทุกอารมณ์ของผมให้ดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุดไปตลอดกาล

ความสวยที่เคยฉายแววบนหน้าถูกบดบังด้วยความผิดปกติที่เกิดขึ้นทั่วร่าง  พวกเธอทั้งสามตนต่างก็ร่ายรำไปอย่างไม่รู้สึกหนาวเหน็บและเจ็บปวด  ทั้งที่ตอนนี้ สองในสามตนนั้นเริ่มมีน้ำไหลซึมออกมาบนเสื้อผ้าจนพวกเธอนั้นเปียกปอนไปทั่วตั้งแต่ยอดชฎาถึงปลายเท้า  อีกตนนั้น ร่างกายก็กำลังจะหักออกมาเป็นส่วนๆคล้ายตุ๊กตานางรำที่ผมเหยียบ  ช่วงคอหัก  ช่วงแขนหัก  ช่วงลำตัวหัก ทุกอย่างบนร่างบิดเบี้ยวไม่เข้ารูป  แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่แย่ลงกลับมีบางอย่างที่คงตัวอยู่อย่างเดิม มิหนำซ้ำอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆในทุกช่วงที่ผมจ้องตาพวกเธอ

แววตาอาฆาตแรงจนแข็งกร้าว ไม่อาจถูกทำลายด้วยท่วงท่าและทำนองเพลงไทยเดิมหวานหู

“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม??”

เสียงแหลมเล็กและดุดันของผู้หญิงทั้งสามตรงหน้า เปล่งออกมาในช่วงไล่เลี่ยกันตามจังหวะมือที่แปรเปลี่ยนมาชี้หน้าพวกผม ไอ้มิวที่ดูเหมือนได้สติกลับมา รีบหันมามองหน้าอย่างขอความเห็น เนื่องจากตอนนี้การกระทืบเท้าลงพื้นเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมายังทิศทางตรงหน้าผม

“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม!!”

ผมกับไอ้มิวไม่รอช้าที่จะเมินเฉยท่าทางโมโหตรงหน้าแล้ววิ่งลงด้านล่างเพื่อกลับสู่ทางเข้าของโรงพยาบาลแห่งนี้  ช่วงที่กำลังผ่านชั้นต่างๆอยู่นั้น  เสียงทีมงานคนเดิมก็ร้องดังขึ้นมาอยู่ตลอด  แผดเสียงลั่นไปทั่วทั้งชั้นที่เขากำลังวิ่งหนี จนเมื่อถึงช่วงที่กำลังจะผ่านชั้นสองลงไปชั้นหนึ่งนั้น  ทีมงานที่วิ่งมาจากอีกทางก็เข้าไปคว้าคอเสื้อไอ้มิวเอาไว้แล้วดันมันเข้าตัวกำแพงโดยที่ผมไม่ทันห้ามปรามทัน

“บอกกูมา!!!! มึงทำอะไรฮะ!!”

“ปล่อย!! กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”

“โกหก! มึงไม่ได้ทำแล้วกูจะเห็นได้ไง  กูนั่งอยู่เฉยๆของกูมาเป็นชั่วโมง กูยังไม่เจออะไรเลย”

“สัส  มึงโกงอย่างนั้นเหรอ  ไอ้ควาย  โกงแล้วไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้ ปล่อยดิวะ!!”

“เฮ้ย  มันบอกให้ปล่อยมึงไม่ได้ยินรึไง!!”ผมคว้าเข้าที่แขนของทีมงานอย่างรีบร้อน  เพราะเสียงดนตรีไทยที่ได้ยินเริ่มไล่ตามพวกผมมาทุกขณะ และก็ดูเหมือนว่าทีมงานจะรู้เห็นด้วย  ท่าทีของเขาจึงได้แสดงออกว่าร้อนรนจนควบคุมสติตนเองไม่ได้

“อย่าเสือก!! เดี๋ยวมึงเจอกูแน่  แต่กูขอจัดการไอ้เหี้ยนี่ก่อน  บอกมาเมื่อเย็นมึงไปทำอะไร”

“กูบอกให้ปล่อยไอ้มิว!! มึงอยากจะอยู่ตรงนี้รึไง!!”

ผมใช้เสียงข่มขู่เข้าบังคับให้ทีมงานรู้สึกตัว  เนื่องจากตอนนี้ทีมงานที่ยืนอยู่ดูคล้ายจะเสียสติไปมาก  ความกลัวที่เขาไม่เคยได้รับกำลังหลอนหูให้เขาระแวงไปต่างๆนานา  แน่นอนว่าสิ่งที่เขาระแวงไม่ใช่เรื่องโกหกเพราะผมก็ได้ยิน  แต่ทว่าท่าทีหันซ้ายหันขวาไปมานั่นยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมทิ้งปริศนานี้ไม่ได้  ทีมงานคนนี้เหมือนหนีใครที่ไม่ใช่นางรำแบบผม

หลีกทางด้วยครับ ขอทางให้คนป่วยหน่อย


เสียงตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมด้านหลังของผม  ดังพอที่จะทำให้มือของทีมงานที่ชื่อแดงหยุดกระชากไอ้มิวและเปลี่ยนเป็นจับคอเสื้อมันไว้แน่น  มือของไอ้แดงสั่นจนดูน่าสงสาร  ใบหน้าของมันตื่นกลัวจนน้ำตาไหลออกมาเองเรื่อยๆ โดยที่ปากของมันก็เอาแต่พร่ำว่า มันมาแล้ว จนไอ้มิวต้องเบี่ยงวิถีใบหน้าตนเองออกมาแล้วมองไปยังจุดที่ทำให้เกิดเสียง  และทำให้ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นมาไม่ต่างกับทีมงาน

“ภ…ภพ  อย่าหันหลัง”ไอ้มิวค่อยๆกร่อนเสียงสั่งให้ผมอยู่นิ่งๆ โดยที่แววตาของมันก็ยังจับจ้องไปที่เดิม

หลีกทางให้คนป่วยหน่อยครับ คนป่วยใกล้คลอด

หลีกทางครับ!!! กูบอกให้หลีกทาง!!!  555555


แว่วเสียงของล้อรถเข็นที่เร็วขึ้น ดังเสียดสีกับพื้นขรุขระพร้อมกับเสียงของวิญญาณที่เปลี่ยนไป  ไอ้มิวตาค้างหนักยิ่งกว่าเดิมไม่ต่างกับทีมงานที่กำคอเสื้อของมันอยู่  ผมก็เช่นกัน  สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมทราบอย่างดีว่าวิญญาณของใครสักคนกำลังพุ่งเข้ามาประชิดตัวพวกผมทั้งสามอย่างไม่ลดละ  และตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดที่จะหนีของผมเกิดขึ้นมาช้าไป  เพราะเสียงล้อรถได้วิ่งมาหยุดนิ่งอยู่เพียงเบื้องหลังของผมและทีมงาน โดยมีเพียงไอ้มิวคนเดียวที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่มันเข้ามา 

“ภ…ภพ  ไม่ต้องหันหลังกลับไปนะ”ไอ้มิวยื่นมือมารั้งผมไว้แน่น  น้ำตาบนหน้ามันหลั่งรินออกมาจนสงสาร ไม่ต่างไปจากทีมงานที่ยืนอยู่ข้างผม ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนความกลัวและความหลอนกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

“มิว ถ้ากูไม่หันหลังกลับไป เราจะวิ่งไปที่บันไดไม่ได้”

“ไม่…ไม่ใช่ตอนนี้”

“ทำไม?”

ไม่ทันที่ไอ้มิวจะอ้าปากตอบผม…ใบหน้าของมันก็เบี่ยงหนีภาพที่มันไม่อยากมองกลับไป ฉะนั้น ผมจึงอาสาที่จะรับรู้ทุกอย่างแทนมันโดยการเอี้ยวคอหันกลับมา และพบว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้  มีรถเข็นของบุรุษพยาบาลคนหนึ่งรับเอาร่างของผู้หญิงใกล้คลอดให้นั่งอยู่ตรงนั้น  เสียงโอดโอยและกรีดร้องของเธอกำลังแสดงถึงอาการปวดท้องใกล้คลอดอย่างทรมาน  และภาพที่ทำให้ไอ้มิวทนดูต่อไปไม่ได้  นั่นก็คงเป็นเพราะ ช่วงขาของผู้หญิงคนนั้นกำลังมีเลือดหลั่งไหลออกมาจากช่องคลอดพร้อมกับสายรกที่ตกลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะไหลออกมาพรวดเดียวพร้อมกับเด็กทารกตัวน้อย ที่สามารถปีนป่ายร่างกายของผู้เป็นมารดาได้ทันทีหลังคลอด

“มันมาแล้ว  มันมาแล้ว  กูต้องหนีสิ กูต้องหนี”

ทีมงานข้างตัวผมส่งเสียงขึ้นมาดังลั่นปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ภาพตรงหน้า  ก่อนที่เขาจะวิ่งผ่านวิญญาณพวกนั้นลงไปชั้นล่าง คาดว่าคงหนีลงไปหาหัวหน้าของตนเองที่ชั้นใต้ดินอย่างคนกำลังหาที่พึ่ง  ผมและไอ้มิวจึงไม่รอช้าที่จะวิ่งแยกไปอีกทางเพื่อกลับไปที่ประตูทางเข้าชั้นหนึ่งอย่างที่เคยเข้ามา

“ฉิบหาย  ใครล็อกไว้วะ!!”ไอ้มิวสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อมันมาจับประตูทางออกแล้วพบว่าตอนนี้มีแม่กุญแจคล้องเอาไว้ เสียงของวิญญาณที่ตามมานั้นกำลังให้ท่าทางของเราทั้งคู่ร้อนรนจนต้องรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด

“ทีมงานข้างนอกนั่นแน่เลย เอาไงดีวะ  มีทางออกอื่นไหม?”

“ไม่มีภพ  กูคิดว่าไม่มี”

“แล้วจะเรียกยังไงให้พวกนั้นได้ยิน  รถที่จอดรับพวกเราจอดไว้ห่างจากตรงนี้พอสมควรนะ”

“ไม่ต้องหรอก  กูคิดว่าทีมงานหนึ่งในสองคนนั้นต้องมีลูกกุญแจ”

“งั้นเดี๋ยวกูวิ่งลงไปเอามาเอง  มึงรออยู่ตรงนี้…ได้ใช่ไหม?”

“อย่า!!  ภพ…ข้างล่างนั่นอย่าลงไป  เชื่อกูอีกไม่นานพวกมันต้องขึ้นมา”

ไม่ทันที่ไอ้มิวจะปล่อยแขนผม  เสียงร้องดังของทีมงานคนเดิมก็ตะโกนโหวกเหวกมาดังลั่น  กลบเสียงของวิญญาณที่ไล่ตามลงมาจากชั้นบนจนหมดสิ้น  ทีมงานคนนั้นวิ่งหน้าตาตื่นมาเหมือนกับความอดทนของเขาได้หมดลงแล้ว  ผมเห็นไอ้มิวมองที่ทีมงานคนนั้นด้วยมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย  แต่ก็แค่ครู่เดียว เพราะเสียงที่ดังไล่หลังตามมาคือเสียงที่ทำให้ผมและไอ้มิวไม่มีวันจะยอมให้อภัยตลอดชีวิต

“กลัวอะไรกันครับ !! คุณมิว คุณภพ ถึงกับอยู่ไม่ได้เลยเหรอ  หรือแค่เห็นว่าทีมงานผมมันเป็นบ้าเลยบ้าตามไปด้วย”

ไอ้มิวขมวดคิ้วลงด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนผมได้แต่มองจิตใจอันบอบช้ำของทีมงานที่ชื่อแดงแล้วก็ได้แต่เวทนา  หัวหน้าทีมงานที่มันไว้ใจไม่เคยเชื่อคำพูดที่มันบอกหนำซ้ำยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเพียงเพราะหัวหน้าทีมงานไม่สามารถเห็นในสิ่งที่พวกเราทั้งสามคนเห็นได้

“จะเป็นไปได้ไงวะ?”ไอ้มิวบ่นพึมพำออกมาขณะที่จดจ้องร่างของหัวหน้าทีมงานที่กำลังเดินฝ่าความมืดออกมาหาพวกผม

“อ้าวคุณมิว  จนป่านนี้แล้วยังไม่เป็นอะไรเหรอครับ  ไม่น่าเชื่อเลยนะ”

“คุณภพนี่ก็ดูแข็งๆ ไม่น่าจะกลัวอะไรแบบนี้นะครับ  5555 ติดโรคอ่อนแอมาจากคุณมิวหรอ”

“เฮ้ย!!! ไอ้แดง มึงเลิกโวยวายเสียทีได้ไหม? ผีเผอมันมีที่ไหนกันวะ”

คำถากถางนับกว่าสิบประโยคที่ดังลอยมาก่อนร่างกายของผู้เป็นเจ้าของเสียง ทำให้เส้นเลือดข้างขมับของผมเต้นแรงไปเพราะความโมโห  หากแต่เมื่อร่างกายนั่นเดินมาปะทะกับแสงเพียงเล็กน้อยที่ลอดเข้ามา  ผมกับไอ้มิวก็เป็นอันถึงกับชะงักจนต้องกอบกุมมือกันนิ่ง  เพราะรอบเอวของผู้ชายคนนั้น  ถูกวิญญาณเกี่ยวกระหวัดคล้องตัวเอาไว้  โดยที่แขนของวิญญาณทั้งสองข้างต่างก็เอื้อมมาปิดหูปิดตาจนหัวหน้าทีมงาน  ไม่ได้ยินเสียงหลอนหูที่เกิดขึ้นมาตลอดตามรายทาง  อีกทั้งเสียงที่เกิดขึ้นข้างหูตนเองเขาก็ไม่ได้ยิน

ดวงตา ดวงตากูอยู่ไหน??

ทีมงานที่ชื่อแดงเกาะประตูกรีดร้องด้วยความทรมานเมื่อหันมามองสภาพของหัวหน้าตนเอง จนไอ้มิวต้องหันไปจับบ่าปลอบใจเขาเอาไว้  ก่อนที่มันจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าทีมงานด้วยแววตาที่แข็งขึ้นจนน่ากลัว  อีกทั้งลึกๆแล้วนัยน์ตาของมันยังวาววับชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมันเป็นมาก่อน  ราวกับมันและหัวหน้าทีมงานคนนี้ได้สร้างเรื่องบาดหมางต่อกันมาเยอะพอที่จะทำให้มันเอาคืน

“ช่วยผมด้วยครับ  ผมทนต่อไม่ไหวแล้ว  เปิดประตูให้ผมออกทีครับ”น้ำเสียงไอ้มิวแปรเปลี่ยนเป็นอ้อนวอนขัดกับสีหน้าของมันที่ดูสะใจไม่น้อย

“อ้าวยอมแพ้แล้วเหรอครับ?”

“ป่าวครับ  แต่ทีมงานของคุณเขาไม่ไหวแล้ว เขาคลั่งมาทำร้ายพวกผม  อย่างนี้ผมมีสิทธิ์จะเปิดประตูกลางคันนี่ครับ”

“เว้ย!! ไอ้แดง มึงนะ  คราวหลังกูจะไม่เอามึงเข้ามาด้วยละ  กระจอกฉิบหาย”

หัวหน้าทีมงานก่นด่าลูกน้องเสียงดังลั่น พร้อมกับค่อยๆล้วงเอากุญแจในกระเป๋าข้างตัวขึ้นมาจะเปิดประตู  ในตอนนั้นเงาตะคุ่มของวิญญาณมากมายได้ย่างกรายแผดเสียงหัวเราะเข้ามาใกล้ตัวพวกผมมากขึ้นเรื่อยๆ  หัวหน้าทีมงานที่ไม่รู้ขาวรู้ดำของเรื่องราว เขาจึงทำเหมือนว่าที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเป็นผมที่ทนไม่ได้และคว้ากุญแจมาเปิดเอง

แกร๊ก

แทบจะในทันทีที่ประตูลูกกรงเหล็กเปิดออก  ทีมงานที่ชื่อแดงก็วิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว  เหลือทิ้งไว้แต่เพียงพวกผมและหัวหน้าทีมงาน  ขณะนั้นไอ้มิวได้ส่งสัญญาณบางอย่างให้ผมออกไปก่อน  แล้วมันจึงเดินติดท้ายผมมาติดๆ  ก่อนที่ประตูบานนั้นจะปิดลงโดยที่กลอนประตูถูกนำกลับไปล็อกไว้แบบเดิม

“เฮ้ย!! พวกมึง  ออกไปแล้วก็เปิดประตูให้กูก่อนสิวะ”

“มึงจะโวยวายทำไม  ก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่มีผี แล้วจะกลัวอะไรนักหนา”ผมมองแววตาไอ้มิวอยู่ครู่หนึ่ง ทดสอบความมั่นใจในการที่มันจะทำแบบนี้  ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเดินเกมเองเมื่อเห็นว่ามันพยักหน้า  สิ่งที่ไอ้มิวคิดแน่นอนว่าผมรู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร

“เปิดประตูให้กู ไม่อย่างนั้นถ้ากูออกไปได้พวกมึงโดนลากคอกลับบ้านแน่”

“หึ  มึงออกมาให้ได้ก่อนเถอะ  กูได้ข่าวว่านายมึงสั่งให้มาโกงกูอย่างนั้นเหรอ บอกมาใครคือผู้จัดการเกม!!!”

“ใครแม่งปากหมาไปบอกมึง  กูไม่รู้ กูแค่โดนสั่งมาเฉยๆ”

“กูไม่เชื่อ!! กูจะถามอีกครั้ง ใครคือผู้จัดการเกม”

ทีมงานคนนั้นยกยิ้มขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะส่ายหน้าให้ผมเห็นราวกับเป็นเรื่องตลก  จังหวะนั้นผมจึงหันไปให้สัญญาณไอ้มิว และสั่งให้มันเริ่มในสิ่งที่มันต้องการ  แน่นอนว่าพื้นฐานจิตใจไอ้มิวไม่ใช่คนกระด้าง  มือที่มันต้องยื่นไปทำร้ายคนอื่นจึงสั่นเทาจนอดไม่ได้ที่จะสงสาร  แต่กระนั้นมันก็ยังยืนยันที่จะนำมือของวิญญาณที่ปิดตาหัวหน้าทีมงานอยู่ให้เปิดออก  จนทำให้ทีมงานคนนั้นตื่นกลัวไปกับสัมผัสใหม่ทันทีที่โลกของเขากลายเป็นแบบเดียวกับผม

“เฮ้ย!!!  เปิดประตู!!!  เปิดประตูสิวะ”

“บอกมา!! ใครคือผู้จัดการเกม”

“กูไม่รู้ กูไม่รู้ เปิดประตูให้กูสักที!!”

“ใครคือผู้จัดการเกม!!!!”

“เออ  ลุงคำ!! ลุงคำคือคนที่สั่งพวกกูมา!!!”

ผมและไอ้มิวถึงกับยืนจ้องหน้ากันนิ่ง  ความรู้สึกจุกอกวิ่งแล่นขึ้นมาจนกลบความกลัวรอบกายไปโดยสิ้นเชิง  ไม่เหลือเค้าเดิมของบรรยากาศผีหลอกวิญญาณหลอนที่พึ่งจะได้รับ  เมื่อสุดท้ายแล้วคนที่พวกเราไว้ใจมากที่สุด ต้องกลับกลายมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่างในเกมนี้  แต่กระนั้นเสียงทีมงานก็ทำลายทุกห้วงความคิด เรียกให้ไอ้มิวหันกลับไปมอง และก้มลงไปหยิบผ้ายันต์สีแดงบนพื้นไปแปะไว้ที่เดิม  ก่อนที่มันจะทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เจ็บปวดที่สุด


“ขอบคุณที่บอกแล้วกัน…แต่มึงบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าผีเผอพวกนั้นมันไม่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มึงเห็นก็คือไม่มีจริง”





*********************************************TBC********************************************
เอาตอนที่ 26 มาส่งให้แล้วนะครับ  ยังมีใครที่รอผมอยู่ไหม?? :katai4:
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่มาลงดึกนะครับ ตอนที่ผ่านมาผมพบคำผิดเยอะมาก ตอนนี้เลยต้องทวนซ้ำอยู่หลายรอบกว่าจะลงได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ  ผมยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก  หากมีใครที่ผมเห็นคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลก็บอกกันมาได้เลยเน้อ :mew1:
ตอนนี้เป็นตอนที่มิวต้องรับกับภาวะทางอารมณ์เยอะมาก  นับเป็นตอนที่เขียนยากและทรมานมากที่สุดสำหรับผมเลย
หวังว่าทุกคนจะถูกใจกันนะครับ  ดีไม่ดียังไงมาพูดคุยกันนะ ในเล้าแห่งนี้หรือใน #Nightmaregame ก็ได้
ขอบคุณทุกการติดตามมากๆครับ เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

*****ที่ถามผมเรื่องการเดินแปลกๆของภพตอนน้ำเก้าวัด  มันเกิดจากการถูกซ้อมนะ อย่าคิดลึกกันครับ ภพยังเป็นพระเอกอยู่นะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2017 19:36:55 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ Lili405

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตามเข้ามาอ่านเรื่องนี้จากทวิตแนะนำนิยายค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ใช้เวลาสามวันเพราะไม่สามารถอ่านตอนดึกมากๆได้
มันหลอนมากกกกกกก และสนุกมากกกกกก ถึงขนาดเราไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว 5555
เหมือนดีกรีความหลอนในแต่ละตอนเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนไหนที่เราว่าหลอนแล้ว คุณยังทำให้เราหลอนขึ้นไปอีกได้
เกมแต่ละเกมที่เล่นนี่แบบ โอ้แม่เจ้าาา ฉันกลัวมาก แต่ฉันหยุดอ่านไม่ด้ายยยย~
ึคือสามารถพูดได้เลยว่าเป็นนิยายที่หลอนที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาทั้งหมด ยิ่งตอนไปวัดสุดท้ายนี่แบบ โอยยย TT
สงสารมิวมากๆ ถ้าเป็นคนอื่นนี่เป็นบ้าไปนานแล้วจริงๆ แต่ตั้งแต่ที่ภพพามิวกลับมานางก็ดูจะเข้มแข็งขึ้น เราชอบคู่ภพมิวมากๆเลยอะ ภพเป็นผู้ชายที่แบบ งืออออ อยากได้ ขอให้จบแบบแฮปปี้ๆ ฆาตกรได้รับผลของการกระทำแล้วกันนะคะ กลัวใจคนเขียนจังเลยนิ 5555

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
หัวหน้าจะตายมั้ย 55555

ทำไมถึงเป็นลุงคำ  :katai4:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
บ้าแน่ๆ หัวหน้าคนนั้น แค่คืนเดียวก็ไม่เหลือแล้ว
มิวจิตแข็งมากเลยขอนับถือ เป็นการแก้แค้นที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
อ่านตอนนี้จบละเราอยากทำตัวเป็นตัวร้ายเลย 55555//เชิดหน้าชูมือขึ้นสองข้าง หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วมีเอฟเฟคไฟพุ่งจากด้สนหลัง 5555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หึหึ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆสินะ

ออฟไลน์ Poongsuke

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ถ้าทำเป็นหนังน่าจะมันส์น่ะคับ


ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สุดท้ายก็เป็นลุงคำจนได้ อยากรู้เจตนาจังเลยว่าทำเพื่ออะไร?  :z3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ้าวทำไมลุงคำทำงี้  :a5:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
สะใจที่ทีมงานโดนบ้างจะได้รู้วคามรู้สึกของมิวซักที
แล้วลุงคำนี่ก็นะ......เสียใจแทนเลยอะ

; ____________________ ;

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
จะบอกว่าอ่านแล้วหลอนมากตอนนี้ ลุ้นด้วย :ling3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุงคำ??????
โอ้ยยย อะไรกันนี่

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หลอนนนนนนนนนน เรื่องมันเป็นไงกันแน่ อย่าหักมุมเลยขอร้องงง ฮือ ภพมิวสู้ๆ

ออฟไลน์ CIndY59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เปิดเจอเรื่องนี้เมื่อคืนตอนเที่ยงคืน อ่านไม่กี่ตอน เลิกอ่านเลยค้าาา  ไม่สามารถทนได้ คือลุกไปเข้าห้องน้ำในบ้านตัวเองยังไม่ค่อยกล้าไปเลย

เป็นนิยายที่หลอนมาก ตอนนี้เราใกล้จะบ้าแทนมิวล่ะ แล้วก็เป็นเหมือนมิว คืออยากรู้ความจริง วางไม่ลงหยุดอ่านไม่ได้ แม้จะกลัวแทบตาย

ปล.อยากให้ไปทำเป็นซีรี่ยมาก ขนาดเป็นตัวหนังสือยังหลอนกว่าหนังผีหลายๆเรื่อง

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อืม เอาเป็นว่าสะจายยยยยยยยยยยยยยยยย
:z6:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ง่ะ ลุงคำคือ last boss :a5: ตอนแรกนึกว่าร่วมมือด้วยเฉยๆ แต่รู้ขนาดนี้แล้ว แสดงว่าใกล้จบแล้วหรือเปล่าคะ ฮือออ อยากอ่านต่อล้าวววววว

น้องมิวยอดสุดๆเลยตอนนี้ o13

ออฟไลน์ ah-chan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
ช่วงหลังเวลาเปลี่ยนคนเล่าไม่มีบอกก่อนแล้วหรือคะ ช่วงแรกๆยังมีเลย มันขัดน่ะค่ะ ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน กรี๊ดกับมิวอยู่ดีๆ บรรทัดต่อไปกลายเป็นมิวกอดผม แบบว่าสตั๊นเลยอะ เงิบไปพักนึง มิวมันเมาเหรอวะ พูดอะไรออกมา ฮ่าๆ

ถ้าเตือนก่อนว่าฉันจะเปลี่ยนคนพูดแล้วนะจะดีมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ระหว่างอ่านจบถึงตอนที่ภพพังตู้พร้อมชี้กล้องด่าตั้งแต่ทีมงานยันคนดู.....ก็ฉุกคิดได้ว่าคนอ่านอย่างเราๆก็ไม่ต่างจากคนดูนะ 555

เดาเรื่องราวไปเรื่อย น่ากลัวว่าทุกอย่างจะเกิดจากการจัดฉากของรายการ แต่เป็นการจัดฉากที่ลงทุนจริงเรื่องผีเรื่องวิญญาณน่ะ หึหึ

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
อ่านตั้งแต่ต้นจนตอนล่าสุดคือต้องมีการพักช่วงหายใจเข้าเรียกพลังเป็นช่วงๆ เหนื่อยกับกรกลั้นหายใจลุ้นค่ะ

ตอน 26 มาเฉลยว่าลุงคำนี่คือตัวจริง หึหึ นี่รอตอนกลับไปบ้านไม่ได้เลย อยากจะรู้ว่าภารกิจต่อไปคืออะไรกันแน่ เพราะทุกอย่างมันเริ่มไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเกม ผี ทีมงาน ความแกร่งของภพมิว หรือความจริงที่ค่อยๆเปิดเผย เราโคตรกลัวเลยตอนวัดสุดท้าย ผีหลวงพ่อ!! อื้อหืออออ ก็ทำกันลง ไม่ใช่แค่พาไปบ่อน้ำ แต่ไปเอาน้ำให้ถึงที่เลยข่า TT^TT ทุกอย่างมันทวีความน่ากลัวเพราะเป็นคนที่เผลอจินตนาการภาพเวลาอ่านตัวหนังสือตลอด เราตกใจจนมือลั่นกด spacebar รัวๆ ให้มันพ้นจากฉากนั้น 55555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด