NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170683 ครั้ง)

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เกมส์คืนนี้คงได้ช่วยให้เบาะแสอะไรมากกว่าหลอนเนอะแอบอยากรู้อ่ะเรื่องนี้มีผีกี่ตัวคะ? 55555 ดูเยอะอ่ะผีผู้หญิงผีผู้ชาย มีกี่ศพน้อ

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
พี่ภพนี่ร้ายยยยยย55555555

มิวต้องเข้มแข็งนะลูกกกก สงน้องมากกก :mew6:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
Naruxiah :  เกมส์คืนนี้คงได้อะไรมากกว่าหลอน อยากรู้ว่ามีผีกี่ตัว?

ตอบ. รอลุ้นไปเรื่อยๆนะครับ 555 ส่วนเรื่องมีผีกี่ตัวผมตอบไม่ได้เลยครับ. มิวกลายเป็นคนเห็นผีไปแล้ว นับไม่ได้ครับ :katai5:

Zongpei :   คนนี้คุ้นๆนะครับ 55555. เอาใจช่วยมิวต่อไปเน้ออ

ออฟไลน์ minibusez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทั้งที่อ่านไปก็กลัวไป แต่ก็ยังอ่านต่อ ให้ตายสิ
แอบคิดไปว่ารายการอาจเป็นคนฆ่าแล้วเอาผีมาปล่อยที่นี่ ส่วนผีก็อาจจะเป็นผู้เล่นรายก่อนๆ บรึ๋ยยย~
ขอให้ตอนจบตัวเอกมีชีวิตอยู่ทั้งสองคนด้วยเถอะ

ส่งกำลังใจให้คนอ่านทุกคนนะคะ  :ling3:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่9

นิทานคนตาย

“ไง พวกเอ็งลุงได้ข่าวว่าสร้างเรื่องอีกแล้วหรอ” ลุงคำเดินเข้ามาพูดคุยกับผมและไอ้ภพ หลังจากที่แกเข้ามาจัดของเข้าตู้เย็นและนำอุปกรณ์ที่ต้องใช้เล่นเกมส์มาให้เพิ่ม

“โหลุง ข่าวไวดีเหมือนกันนะครับ”

“จะไม่ไวยังไง เอ็งทำลายข้าวของ คนเห็นทั้งประเทศนะ”

“ของของลุงหรอครับ ผมขอโทษนะครับ” ไอ้ภพเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างคนรู้สึกผิด  ไม่ว่าจะผมหรือไอ้ภพ สำหรับเกมส์นี้ลุงคำกับลุงมั่นเป็นสองคนที่เราค่อนข้างเคารพเพราะลุงทั้งสองได้เข้ามาบ้านหลังนี้เพื่อช่วยเหลือเราในขณะที่คนอื่นมักจะเข้ามาทำลาย  โดยเฉพาะลุงคำที่ยอมฝ่าฝืนกฎของเกมส์เพื่อเตือนเราเรื่องความปลอดภัย

“เฮ้ย ไม่ใช่ของลุงหรอก ของผู้จัดการเกมส์หนะ” น้ำเสียงติดตลกของลุงคำพูดขึ้นปรามอารมณ์เคร่งเครียดที่ไอ้ภพก่อขึ้นจนทำให้บรรยากาศการสนทนาเต็มไปด้วยความจริงจัง

“งั้นหรอครับ แล้วลุงพอจะรู้จักผู้จัดการเกมส์มั้ยครับว่าเค้าคือใคร?” ไอ้ภพถามขึ้น

“ลุงไม่รู้หรอก ลุงรับคำสั่งมาจากทางทีมงานอีกที”

“ลึกลับมากเลยนะครับ เกมส์นี้”

“คงใช่  ลุงก็พูดมากไม่ได้หรอก เดี๋ยวลุงจะโดนเด้ง”

“ไม่เป็นไรครับลุง” ไอ้ภพพยักหน้าตอบรับลุงคำอย่างเข้าใจ ก่อนจะนิ่งเงียบไปตามสไตล์โลกส่วนตัวสูงของมัน 

“วันนี้ลุงเอาอะไรมาให้เพิ่มบ้างครับ”

“อ้อ  ก็พวกของสดของกินเล่นพวกเอ็งนั่นแหละ  แล้วก็มีเครื่องเล่นเทปด้วย ทางทีมงานบอกลุงให้บอกพวกเอ็งว่าระหว่างที่เล่นเกมส์ในคืนนี้ให้กดเทปนั่นไปด้วย  พวกแผ่นเสียงลุงจัดการให้หมดแล้วพวกเอ็งแค่กดเล่นก็พอ”

“ลุงครับระหว่างที่ผมเล่นเกมส์นี้ผมสามารถทำพิธีอื่นแทรกได้มั้ยครับ”

“จะทำอะไร?” คิ้วของลุงคำขมวดลงทันที พร้อมกับเนื้อเสียงที่เปลี่ยนไปทางจริงจังจนคนฟังสัมผัสได้

“เอ่อ..ผมจะเชิญวิญญาณเข้ามาหนะครับ เห็นว่าคู่พวกผมเป็นกระแสเลยจะสร้างความหลอนเพิ่มครับ”

“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ เกมส์ไม่ว่า แต่ลุงอยากเตือน อย่าท้าทายของพวกนี้มากนะ มันจะอันตราย”

“เรื่องนั้น…ผมรู้ดีแล้วครับ” ผมตอบลุงคำไปด้วยน้ำเสียงและใจที่แผ่วลงกว่าเดิม คำว่าอันตรายมันมีอยู่ในหัวผมตั้งแต่ผมคิดจะทำ ความน่ากลัวที่ผมต้องเผชิญมาตลอดสามเกมส์มันไม่ได้หล่อหลอมให้ผมแกร่งขึ้น ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมอ่อนลง

“คุณลุงพาผมไปดูเครื่องเล่นนั่นได้มั้ยครับว่าลุงเก็บไว้ตรงไหน”

“ลุงก็เก็บไว้ตรงตู้เก็บของนั่นแหละ  พวกเอ็งใช้กันเป็นมั้ยจะให้ลุงช่วยสอนรึเปล่า”

“งั้นรบกวนด้วยครับ ผมเป็นพวกอ่อนด้านเทคโนโลยีพวกนี้”  ผมตอบรับลุงคำก่อนเดินตามลุงคำไปที่เก็บของพวกนั้น  ไอ้ภพมันคงงงและทำท่าเตรียมจะแย้งขึ้นมาเสียก่อน ถ้ามันไม่เห็นสัญญาณมือของผมที่สั่งให้มันอยู่นิ่งๆ

“พอเอ็งหยิบมาเอ็งก็แค่เสียบปลั๊ก แล้วก็กดปุ่มตรงนี้ให้มันเล่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันวนเอง พอเอ็งเล่นเกมส์เสร็จก็มากดปุ่มนี้ให้มันหยุดซะ แค่นี้แหละมันไม่ยาก”

“โห  ไม่ยากจริงๆด้วย ลุงดูชำนาญมากเลยนะครับ”

“ลุงเปิดฟังบ่อย อยู่บ้านเบื่อๆลุงก็ต้องหาอะไรทำ”

“แล้ว บ้านลุงอยู่แถวนี้หรอครับ?”

“ไม่เชิงหรอก บ้านลุงต้องขับรถออกจากตรงนี้ไปอีก แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก ทำไมหรอ?”

“อ๋อ เปล่าครับ คือผมก็มาอยู่ตรงนี้ได้ห้าวันแล้ว ผมยังไม่รู้เลยครับว่าตรงนี้มันอยู่แถวไหน เพราะในกรุงเทพไม่น่ามีสภาพแวดล้อมแบบนี้”

“5555 จะไปมีได้ไงที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพ  นี่มันเขตนครสวรรค์แล้วนะ”

“อ้อ ผมว่าแล้วว่าต้องต่างจังหวัด  แล้วนี่ลุงอยู่แถวนี้ พอจะรู้จักครอบครัวที่ถูกฆ่าตายรึป่าวครับ”

“ไม่รู้จักหรอก ปกติลุงก็อยู่แต่บ้านเพิ่งจะรู้ว่ามีบ้านแบบนี้อยู่ก็ตอนถูกจ้างให้มาดูพวกเอ็งนี่แหละ”

“หรอครับ ครอบครัวนี้อาภัพดีนะครับ ตายก็ทรมานยังตายแบบไม่มีคนรู้อีก”

“มันก็เกิด แก่ เจ็บตายนั่นแหละ อีกอย่างมาสร้างบ้านในที่แบบนี้ด้วย….เดี๋ยววันนี้ลุงต้องกลับแล้วนะ เอ็งนี่ก็ช่างสังเกตเหลือเกิน  ที่เรียกลุงมาคุยตรงนี้คงไม่ได้อยากรู้เรื่องเครื่องเล่นพวกนี้ใช่มั้ย”

“ลุงก็ว่าไปครับ ผมก็แค่สงสัยเพราะตอนนั่งมาผมว่ามันไกล อีกอย่างเครื่องเล่นพวกนี้ผมไม่เคยใช้ครับเลยต้องถามลุงก่อน”

“อืม ลุงไปแล้วนะ” ลุงคำพยักหน้าให้ผมเบาๆหนึ่งที ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังประตูหน้าบ้าน

ผมส่งลุงคำกลับไปสักพักจึงได้เดินหน้าเครียดมาหาไอ้ภพ  ที่ถามไปก็รู้เพิ่มแค่ตรงนี้อยู่ในเขตต่างจังหวัด ลุงคำซึ่งมีบ้านอยู่แถวนี้ก็ดันไม่รู้ข้อมูลของบ้านหลังนี้เลย จะให้ไปถามลุงมั่นผมก็ไม่กล้าถามเนื่องด้วยลุงมั่นไม่ได้เข้ามาทุกวันจึงไม่ได้สนิทมากขนาดนั้น

“ได้อะไรมาเพิ่มบ้างหละ” ไอ้ภพถามขึ้นมาเพราะคงสังเกตเห็นพฤติกรรมของผมยามเมื่อคุยกับลุงคำ อีกทั้งสีหน้าผมตอนนี้ก็คงไม่ได้สู้ดีนักจนมันอดจะนึกถามไม่ได้

“กูรู้แค่ตรงนี้อยู่เขตนครสวรรค์ กับ ลุงคำไม่เคยรู้จักคนในครอบครัวนี้เลย”

“เรื่องตำแหน่งจริงๆมึงน่าจะถามกูก่อน กูเห็นป้ายจังหวัดตั้งแต่วันแรก ส่วนเรื่องคนในครอบครัวนี้กูคิดว่าถึงลุงคำจะรู้เค้าก็ไม่บอกหรอก เราคงต้องหาเอาเอง”

“แล้วจะทำยังไง ตอนนี้ที่พอเหลือจะช่วยได้มีแค่ลุงมั่นแล้วนะ บ้านแกอยู่แถวนี้คงพอรู้อยู่”

“เชื่อกูสิ ลุงมั่นก็จะไม่บอก”

“แล้วมึงจะทำยังไงไอ้ภพ ข้อมูลบ้านหลังนี้ไม่ใช่หาได้ง่ายๆนะ”

“ก็ทำวิธีเดิม ในเมื่อกุญแจดอกเดียวที่จะไขได้ทุกอย่างคือผู้จัดการเกมส์ กูก็ต้องเสี่ยงเดินไปหาบ้านลุงมั่น”

“มึงคิดดีแล้วใช่มั้ย?”

“มันมีทางอื่นให้กูคิดรึไง”

“อืม…งั้นก็ตามนั้น”

เมื่อบทสนทนาจบลงผมกับมันก็แยกย้ายกันไปทำกิจวัตรประจำวันของตนเอง  พฤติกรรมเดิมๆถูกถ่ายทอดออกอากาศอย่างไม่กลัวคนดูจะเบื่อ  เกมส์นี้ฉลาดมากที่เลือกวิธีลดการแก้เบื่อของคนดูโดยการปรับแต่งวิธีเล่นของพวกผมให้อยู่นอกกติกาจนชีวิตพวกผมมีค่าไม่ต่างไปจากหมากในกระดาน   เครื่องเล่นเสียงนั่นไม่ได้ถูกระบุไว้ในหนังสือ พวกผมไม่รู้ว่าแผ่นเสียงนั่นบันทึกเสียงของอะไรไว้ แต่มั่นใจได้ว่าเสียงที่ได้ยินคงไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นหรือทำให้ผู้เล่นมีความสุขใดๆ

ในหนังสือเล่มนี้กำหนดเวลาให้พวกผมเริ่มเล่าเรื่องผีเรื่องแรกตอนเที่ยงคืนตรง ซึ่งถ้าคำนวณเวลาคร่าวๆกว่าจะเล่าเรื่องครบคงต้องใช้เวลาอย่างต่ำสองชั่วโมง ยิ่งพิธีกรรมที่ต้องใส่เพิ่มเข้าไปอีก คงกินเวลาได้มากโข   ผมค่อนข้างเป็นกังวลกับตัวเองเนื่องจากการปรับตัวที่ยังต้องใช้เวลา ผมกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนไม่สามารถรับรู้อะไรเพิ่มเติมมาช่วยไอ้ภพได้เลย ซ้ำร้าย นั่นอาจหมายถึงการทำร้ายตัวผมเอง

ไอ้ภพได้บอกกับผมไว้แล้วว่ามันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือด้วยวิธีหักดิบแบบนั้น   ถ้าผมไม่ไหวมันจะหาทางอื่นเอง  แต่เพราะผมมองดูแล้ววิธีที่ง่ายที่สุดมันเป็นได้แค่วิธีนี้  ผมจึงยืนกรานที่จะทำต่อ  ไอ้ภพไม่ใช่พระเจ้ามันจึงไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือกฎของเกมส์หรืออยู่เหนือความต้องการของผู้จัดการเกมส์ไปได้ หากวิธีที่มันจะเลือกใช้ ส่งผลให้มันต้องออกจากเกมส์  มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนที่ต้องเดินต่อไปคือผม

“ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ ไอ้มิว”

“อืม งั้นก็เริ่มเลยเถอะ”  ผมสั่งให้ไอ้ภพเริ่มเกมส์ในทันทีหลังจากเข็มเวลาชี้เลข12  ไอ้ภพดึงกระดานผีถ้วยแก้วนั่นออกมาจากใต้ตู้  ความรู้สึกเก่าๆของผมก็เหมือนจะถูกดึงออกมาด้วย ภาพในวันนั้นยังคงติดตา ความกลัวต่างๆยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวผม  ใจผมสั่นจนควบคุมไม่ได้เมื่อเห็นของต้องห้าม สีหน้าในยามนี้มีแต่ความวิตก

“มิว ถ้ามึงไม่ไหวอย่าทำ กูยอมทำลายข้าวของก็เพื่อช่วยมึง เพราะงั้นอย่าทำลายตัวเองเพื่อช่วยกู”

“ช่างเถอะ….กูไหว เริ่มเลย” ผมตอบไอ้ภพไปด้วยเสียงที่ดูมั่นใจแต่ก็เจือด้วยการสั่นไหวเล็กน้อย

“งั้นกูจะไปจุดเทียนกับเปิดเทปมึงก็นั่งอยู่ตรงนี้ละกัน”

“อย่าจุดเทียน!!”

“ทำไม?”

“เชื่อกู จุดไปก็เท่านั้น มึงไปเปิดเทปก็พอแล้วเร่งเสียงให้ดังที่สุด” ไอ้ภพพยักหน้ารับ แล้วเดินไปเปิดเทปก่อนจะเดินไปปิดไฟ  เสียงที่ได้ยินไม่ต่างไปจากที่คิดสักเท่าไร เครื่องดนตรีของวงปี่พาทย์มอญถูกบรรเลงออกมาอย่างช้าๆ ให้อารมณ์โศกเศร้า ไม่ต่างกับบรรยากาศของงานศพ 

“ไหวใช่มั้ย?” ไอ้ภพถามผมอย่างเป็นห่วง เสียงของมันเบากว่าความเป็นจริงที่ควรจะได้ยิน  ผมจงใจให้มันเปิดเทปเสียงดังที่สุดเพื่อกลบบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้  เรื่องของผมกับมันต้องเป็นความลับ  ผมยืนยันมันด้วยการพยักหน้าไปก่อนที่จะเริ่มเอานิ้วไปวางไว้บนแก้ว และเริ่มกล่าวคำเชิญวิญญาณบทเดิมๆ

“วิญญาณ สัมภเวสี ตนใดที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้  บริเวณนี้ หากได้ยินเสียงของข้าพเจ้า ได้โปรดมาเข้าแก้วนี้ด้วยเถิด”

“ถ้าแก้วใบนี้มีวิญญาณเข้ามาแล้ว โปรดเดินไปที่คำว่าใช่”

“ใช่” แก้วถูกเลื่อนไปที่คำว่าใช่อย่างที่เคยเป็นในเกมส์ก่อนหน้า  ผมมือสั่นไปหมดเพราะความไม่ชินกับสถานการณ์แม้จะมั่นใจแค่ไหน พอต้องอยู่กับเหตุการณ์จริงๆก็ไม่อาจเก็บความกลัวได้มิด

“พวกมึงตายยังไง” ผมเอ่ยคำถามคีย์เวิร์ดออกไป และก็เป็นไปอย่างที่คิดแก้วบนกระดานถูกเลื่อนไปมาอย่างไม่รู้ทิศทางเหมือนกับเกมส์ครั้งก่อน   ภาพเดิมๆในหัวยืนยันผมกับได้ว่า วิญญาณกลุ่มเดิมได้กลับมาแล้วอีกครั้ง

…ผมรอเวลาอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ผมต้องรีบท้าทาย ก่อนที่ตัวผมจะทนไม่ได้อีก….

“ภพ กูขออะไรได้มั้ย”  ผมเงยหน้าขึ้นมาจากแก้ว เอ่ยถามไอ้ภพไปด้วยเสียงที่ยังคงสั่นไหว  อีกทั้งน้ำตาก็เริ่มล้นขอบตาออกมาอย่างช้าๆ สายตาไอ้ภพมองอย่างเป็นห่วงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

“สัญญากับกู…ถ้าสิ่งที่กูจะทำต่อจากนี้มันทำให้กูหายไป ช่วยพากูกลับมาที ” ผมบอกออกไปทั้งน้ำตานองหน้า รอคำตอบที่ผมคาดหวังว่าจะได้รับ  บทสนทนาที่คนภายนอกรับรู้มันคงเป็นเพียงคำขอร้องสุดโรแมนติก ทั้งที่ความเป็นจริง มันก็แค่คำขอร้องสุดโง่เง่าเท่านั้น

“กูจะทำยังไงไอ้มิว น้องกู  กูยังพาเค้ากลับมาไม่ได้”

“กูเชื่อว่ามึงจะพากูกลับมาได้ กูขอเถอะ เป็นมึงได้มั้ยที่จะพากูกลับมา”ผมขอร้องมันไปซ้ำสองอย่างคาดหวัง อนาคตคนเราไม่ได้มีความแน่นอน  ผมจึงต้องบอกมันไว้ก่อน หากหลังจากเกมส์นี้ผมต้องถูกปลดและถูกพาตัวเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวท อย่างน้อยคำสัญญานี้มันต้องเป็นบ่วงรั้งไอ้ภพให้กลับมาหาผมอีกครั้ง

“อืม…มึงจะทำอะไร” ไอ้ภพเสียงสั่น ถามกลับมาหาผม มันอาจจะกำลังรู้สึกกลัว แต่คงไม่ใช่เพราะผี ไอ้ภพมันบอกกับผมไว้ว่ามันกลัวผมเป็นแบบน้องมัน  ผมยิ้มเล็กๆให้มันหลังได้คำตอบที่ถูกใจ ก่อนจะเอ่ยคำสั่งให้ไอ้ภพทำตามทันที

“ไอ้ภพ ปล่อยนิ้วออกจากแก้ว”

“เดี๋ยว  ไอ้มิวมึงจะทำอะไร”

“ท้าทายไง ทำตามที่กูบอกซะ!!”  ไอ้ภพรีบปล่อยมือออกจากแก้วทันที  ผมจึงมองแก้วนั้นอีกครั้ง ความอึดอัดรอบตัวเริ่มกลับมา ผมสูดลมหายใจเข้าปอดของตัวเองเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะทำในสิ่งที่ตัวเองกลัวมากที่สุด

เพล้งงงงง

เสียงของแก้วยามตกกระทบกับพื้นกระเบื้องแข็ง  ค่อยๆกรีดใจของผมออกไปอย่างไม่มีชิ้นดี เศษแก้วกระจัดกระจายเต็มพื้น ไม่ต่างไปจากเศษใจของผมที่ถูกทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆจากการกระทำตนเอง  ผมต้องปล่อยมือจากแก้วนั่นแล้วจับมันเหวี่ยงลงพื้นให้แตก  ครั้งก่อนเป็นเพราะแก้วแตกผมจึงเห็นพวกมัน ครั้งนี้มันไม่มีอะไรรับประกันว่าแก้วใบนี้จะแตกซ้ำสอง  ผมจึงต้องท้าทายให้ถึงที่สุด คำพูดที่ผมเคยบอกไอ้ภพ ถูกรีรันเข้ามาในหัว  ถ้าแก้วแตกเมื่อไร วิญญาณที่เชิญมาจะอยู่ร่วมกับเราทันที

“มิว…มึงเห็นอะไรรึยัง” ไอ้ภพถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง  น้ำตาของผมยังคงไม่หยุดไหล ความหวาดระแวงในการกระทำของตัวเองสร้างภาพหลอนในหัวผมซ้ำๆ  ภาพมากมายถูกจินตนาการขึ้นมาอย่างคนกำลังหลอกตัวเอง  ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เห็นก็ยังคงมีแค่ไอ้ภพ และความว่างเปล่าของบ้านหลังนี้

“ย..ยัง คงต้องเล่าเรื่องไปก่อน” ความไม่แน่ใจชักจูงให้ผมบอกไอ้ภพไปแบบนั้น  ผมค่อนข้างแปลกใจที่ทำไมคราวนี้ผมถึงไม่เห็นอะไรเลย ความกลัวที่มีถูกลดลงเหลือเพียงอาการสั่นของเสียงเพียงเล็กน้อย และการหลอกตัวเองเท่านั้น การกระทำเมื่อครู่สร้างความกดดันให้ผมมาก  แม้จะดีใจที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ แต่จิตใจกลับสะท้อนความผิดหวังออกมาอย่างน่าฉงน

“มึงหรือกูที่จะเริ่มก่อน” ไอ้ภพทำท่าเบาใจขึ้นมา ก่อนจะรีบถามผมเพื่อเตรียมเคลียร์เกมส์นี้

“งั้นมึงเริ่มก่อน”

“อืม”

“เรื่องของกู เป็นเรื่องที่กูฟังมาจากคนอื่นอีกทีคนเล่า เล่าว่า มีผู้ชายคนหนึ่งขับรถไปหาแฟนที่อยู่ต่างอำเภอ  ตอนขากลับฝ่ายผู้หญิงบอกกับผู้ชายว่า ให้ขับไปทางถนนใหญ่ อย่าขับกลับทางเดิมซึ่งเป็นทางลัด  ผู้ชายนั้นก็เกิดความสงสัยจึงถามกลับไปว่าทำไม แต่ผู้หญิงแค่ยิ้มให้และบอกว่าทำตามที่บอกก็พอ  เมื่อผู้ชายขับรถออกมา ด้วยความที่ว่าเวลานั้นก็ดึกมาก และก็คิดว่า ตนนั้นเป็นผู้ชายติดไปทางนักเลง ที่สำคัญคนแถวนี้ก็รู้ประวัติตนดี จึงไม่กลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย ผู้หญิงคงห่วงเรื่องโจรมากเกินไป ผู้ชายเลยตัดสินใจขับรถกลับทางเดิม”  ไม่รู้ว่าไอ้ภพมันเล่าน่ากลัวหรือว่าเสียงเพลงที่กล่อมอารมณ์ผมมากเกินไป  ผมเลยเริ่มขยับเข้าไปติดไอ้ภพมากขึ้น และตัดสินใจจับมือมันไว้ 

“กลัวรึไง”
.
.
.

(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“อืม ขอจับไว้แบบนี้นะ” ไอ้ภพไม่ได้ว่าอะไรผม มันพยักหน้า ก่อนที่จะเริ่มเล่าเองของตัวเองต่อ

“เมื่อผู้ชายขับรถกลับเส้นทางเดิม สิ่งที่ผู้ชายสัมผัสได้ทันทีคือถนนเส้นนี้เงียบมากผิดกับตอนกลางวันที่เต็มไปด้วยรถมากมาย ดังนั้นผู้ชายจึงได้เร่งเครื่องอย่างไม่กลัวตาย  เมื่อผู้ชายคนนั้นขับรถไปได้เรื่อยๆ สายตาของเค้าก็ได้เห็นว่ามีผู้หญิงวัยนักเรียนเดินอยู่ข้างถนน ตอนนั้นผู้ชายสงสัยว่าทำไมเด็กนักเรียนถึงได้มาเดินอยู่ตรงนี้ จะจอดรับก็ไม่กล้า หากผู้หญิงคนนั้นเป็นนกต่อให้กลุ่มโจร ตนจะซวยเอา อีกทั้งหากเข้าไปถามตนอาจถูกมองว่าเป็นฆาตรกรฆ่าข่มขืนก็เป็นได้ จึงไม่ได้สนใจและขับไปต่อ  เมื่อขับไปได้สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็เจอผู้หญิงคนเดิมเดินอยู่ข้างหน้าอีก ตอนนั้นผู้ชายใจคอไม่ดีแล้ว เพราะว่าถนนเส้นนี้มันยังไม่มีรถสักคันขับผ่านไปเลย จึงได้เร่งเครื่องเพิ่มอีกเพื่อหนีภาพตรงหน้า หากแต่ว่าเมื่อขับไปได้อีก ก็เจอผู้หญิงคนเดิมแต่มีสิ่งที่เปลี่ยนไป ผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากข้างทางมายังกลางถนนเรื่อยๆ ทำให้เมื่อผู้ชายขับรถผ่านจึงได้เห็นหน้าด้านข้างของผู้หญิงคนนั้น  เธอเป็นหญิงสาวที่ปากยิ้มถึงรูหู ดวงตาลึกโหลคล้ายว่ามีแค่เบ้าตา เธอหันมาสบตาก่อนที่จะเริ่มเอื้อมมือมาจับรถผู้ชาย  ผู้ชายจึงเร่งเครื่องจนสุดเพื่อหนี  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อผู้หญิงคนนั้นวิ่งตามและพยายามจะเอื้อมมือจับรถให้ได้ พร้อมเปล่งเสียงหัวเราะเย็นๆออกมาตลอด  ด้วยความที่ผู้ชายชินเส้นทางมาก จึงขับเข้าหมู่บ้านของตัวเองอย่างไม่เป็นอันตราย  เมื่อผ่านพ้นเขตหมู่บ้าน ผู้ชายมองกลับไปก็เจอผู้หญิงคนเดิมชี้หน้าตัวเองและกรีดร้องออกมาอย่างน่าสยดสยอง  และเมื่อไปถามคนแก่แถวนั้นก็ได้คำตอบมาว่าที่ตรงนั้นคนตายเยอะ ถนนเส้นนั้นชาวบ้านรู้จักความเฮี้ยนดี  การที่รอดตายมากได้แสดงว่าดวงยังแข็งอยู่”

“ตามึงแล้วมิว” ไอ้ภพปลุกผมที่กำลังกลัวไปกับการจินตนาการภาพตาม  เรื่องไอ้ภพเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากยิ่งบวกกับบรรยากาศเย็นๆ มีเสียงดนตรีไทยแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยอยู่เฉยๆไม่ได้แน่

“อืม”

“เรื่องของกู เริ่มจากว่า มีผู้หญิ..” 

เฮือกกกกกกก

ฟัง และเล่าเรื่องของกูซะ


เสียงเย็นๆเสียงหนึ่งลอยกระทบเข้าโสตประสาทผมจนทำให้น้ำเสียงและลมหายใจที่ปล่อยออกไปหยุดกะทันหัน   สิ่งที่ผมท้าทายไปไม่ได้ไร้ความหมาย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ผมไม่เห็นตัวตนของวิญญาณพวกนั้น  ผมกลัวเรื่องไอ้ภพมากจนไม่ได้สังเกตถึงความรู้สึกโดยรอบที่เปลี่ยนไป อากาศเย็นขึ้น ความอึดอัดจำนวนมากมายถูกก่อตัวขึ้นรอบๆตัวผม

พวกมันคงค่อยๆเข้าถึงตัวผมในขณะที่ผมจดจ่ออยู่เพียงไอ้ภพ…

ผมบีบมือไอ้ภพอย่างรุนแรงพร้อมกับอาการสั่นของร่างกาย เหงื่อจำนวนมากไหลออกมาขัดกับความเย็นที่ผมสัมผัสได้  ไอ้ภพคงเห็นอาการพวกนี้และพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดจากอะไร มันถึงได้ตาโตขึ้นและขยับปากถามผมว่ามาแล้วใช่มั้ย?พร้อมบีบมือผมกลับอย่างให้กำลังใจ

ผมพยักหน้าตอบรับไอ้ภพ ก่อนที่ความสนใจทั้งหมดจะถูกดึงไปด้วยเสียงเย็นๆเสียงหนึ่งที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวบางอย่างออกมาด้วยแรงอาฆาตที่ค่อนข้างแรง  จะเรียกว่าชินก็ทำไม่ได้เพราะน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาเป็นสิ่งเดียวที่บอกผมว่าใจผมยังไม่แข็งพอแต่แค่มีสติกว่าครั้งก่อนๆเท่านั้น 

“ระ..เรื่องของกูมี ยะ..อยู่” เมื่อน้ำเสียงนั่นหายไป ผมจึงต้องเริ่มเล่าเรื่องของคนตายสักที ผมกลัวจนเสียงสั่น นั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

“มิว มึงใจเย็นๆเห็นมั้ยว่า กูยังอยู่ตรงนี้”

“ฮึก เรื่องของกู มีอยู่ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับจดหมายตอบรับฉบับหนึ่งว่า เธอเป็นผู้ได้รับเลือกให้เข้าร่วมเกมส์บางอย่างที่มีเงินรางวัลค่อนข้างสูง  เธอไม่รู้เลยว่าเกมส์นี้คือเกมส์อะไร ในจดหมายมีเพียงสถานที่กำหนดเอาไว้  เมื่อเธอไปถึงเธอเห็นเพียงจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่ตรงหน้าและบอกว่าให้เธอเดินเข้าไปในบ้าน และหาเงินนั่นให้เจอ  เท่านี้เงินทั้งหมดที่เธอต้องการก็จะตกเป็นของเธอทันที  เธอรีบเข้าไปหาด้วยความรีบร้อนเพราะต้องการที่จะรีบหารีบกลับ  เธอกำลังหนีบางอย่าง  บางอย่างที่ตามเธอมา เงินทั้งหมดนี่จะยืดชีวิตของเธอได้  จนเธอไปพบกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเงินไว้ข้างใน  แต่มันไม่ได้มีแค่เงินนั่น จดหมายซองหนึ่งถูกวางทับเอาไว้ เมื่อเธอเปิดข้อความข้างในก็ทำเธอตาค้างก่อนจะตายอย่างไม่รู้ตัว ทุกอย่างมืดบอดไปทันที ศพของเธอถูกเคลื่อนย้ายไปฝังไว้ในที่แห่งหนึ่ง วิญญาณของเธอไปเกิดไม่ได้ เพราะแรงอาฆาตที่ยังคงอยู่ กระดูกของเธอถูกเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้แหล่ง และครั้งนี้ มันถูกฝังอยู่ที่ในป่าด้านหลังตรงจุดที่อยู่ใกล้บ่อน้ำ”

“จดหมายนั่น  มันเขียนไว้ว่าอะไร….มึงรู้มั้ย”  ไอ้ภพ ถามออกมาอย่างร้อนรนและคาดหวังกับเรื่องราวที่ผมบอก  ผมพยักหน้าตอบรับไอ้ภพอย่างคนกล้าๆกลัวๆ เรื่องราวที่ได้ฟังมันน่าสนใจจนลบความกลัวผมไปแทบหมด  แต่กระนั้นก็ยังคงมีเศษเสี้ยวหลงเหลืออยู่

“ยินดีต้อนรับสู่นรกภูมิ”

“มันหมายถึงอะไร”

“กูไม่รู้ไอ้ภพ มันบอกกูมาแค่นี้ มึงรีบเล่าให้ครบร้อยเรื่องเถอะ เรื่องราวไม่ได้มีแค่ผู้หญิงคนนี้แน่”  เกมส์ในตอนนี้สร้างความโกลาหลให้ผมกับไอ้ภพเป็นอย่างมาก  คนหนึ่งคาดหวังที่จะรีบให้เกมส์จบและค่อยเริ่มต้นเล่าใหม่ในตอนเช้า  อีกคนที่ไม่สามารถฟังเรื่องราวจากแหล่งเดียวกันได้ ก็คาดคั้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะมันนำไปสู่ความจริงที่ต้องการหา

ไอ้ภพเริ่มเล่าเรื่องผีของตนเองอีกครั้ง แต่ละเรื่องของมันได้สร้างดีกรีความหลอนให้ผมเพิ่มไปด้วย เมื่อจบเรื่องของมันผมก็มีเรื่องเล่าจากคนตายเรื่องใหม่มาพูดให้มันฟังอีกครั้งวนซ้ำๆ  ก่อนที่เสียงเย็นๆจะหายไป  สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเรื่องเล่าจากคนตายเจ็ดเรื่องและความกลัวภายในจิตใจของผม

ความอดทนของคนมันเหมือนกับลูกโป่งที่เมื่ออัดแก๊ซเข้าไปเรื่อยๆมันก็จะแตก ไม่ต่างจากผมที่เมื่อครู่ผมต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของคนตายสู่คนเป็น    ผมใจสั่นมากแทบจะคุมตัวเองไม่ได้  จนเมื่อการคุกคามมันหายไป ผมก็ทรุดไปในทันที ผมเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรต่อ แต่เรื่องผีที่ได้ยังไม่ครบร้อย  จึงต้องผลัดกันเล่าต่อไปเรื่อยๆ สลับกับการเสแสร้งพูดคุยเรื่องของตนเอง


เรื่องราวทั้งเจ็ดเรื่อง ถูกสร้างให้เกิดกันคนละเวลาและสถานที่

แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือวิญญาณทุกตนต่างก็กำลังหนีบางอย่างที่คุกคาม และได้รับการติดต่อผ่านจดหมายเท่านั้น

ที่สำคัญ….ทุกตนตายอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับประโยคในจดหมายฉบับสุดท้าย ‘ยินดีต้อนรับสู่นรกภูมิ’



“คือยังไงวะ แล้วกูจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนฆ่า” ไอ้ภพหยุดเล่าเรื่องผีและโวยวายในสิ่งที่มันไม่เข้าใจอีกครั้ง

“อย่างน้อยมึงก็แน่ใจได้แล้วไง ว่าศพพวกนั้นมันเกี่ยวข้องกับรายการนี้แน่ๆ”

“ทีมงานรายการมีเป็นร้อยคน กูจะรู้ได้ไงวะ”

“ภพ มึงใจเย็นๆ เรื่องนี้ค่อยเล่าวันพรุ่งนี้ ตอนนี้กูอยากพักแล้วหวะ รีบทำให้จบเหอะ กูไม่ไหวแล้ว”

“งั้นโกงกัน พวกมันไม่รู้หรอกว่าเรายังเล่าไม่ครบร้อย”

“อย่าดูถูกรายการไอ้ภพ  มึงเล่าๆมาเถอะ เอาเรื่องสั้นพอ”

หลังจากนั้น  เรื่องผีอีกมากมายก็ถูกผลัดกันถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว บางเรื่องของไอ้ภพน่าติดตามจนอาการเหนื่อยกายและใจทั้งหลายสูญสิ้นไป เพียงเพราะต้องการที่จะฟังเรื่องพวกนั้นให้ครบ  เสียงเพลงทำนองเศร้าถูกเปิดและวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิ่งที่บอกให้ได้รู้ว่าเราทั้งคู่ใช้เวลาไปกับการสนทนาภาษาผีๆกันอย่างยาวนาน

ความกลัวที่เกิดขึ้นตอนต้นไม่สามารถทำอะไรได้อีก  เพราะสิ่งที่ไอ้ภพเล่าบางเรื่องมันน่ากลัวกว่า อีกทั้งความตื่นเต้นและความหลอนนี้มันทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เคยนั่งเล่ากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ  ภาพตอนนั้นมันช่วยเยียวยาความรู้สึกในใจผม ยิ่งไอ้ภพเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาแบบไม่ติดขัด ยิ่งทำให้เกมส์วันนี้ไม่ต่างอะไรไปกับการที่ผมเคยไปค่ายกับเพื่อน

“โห มึงเล่าเรื่องโคตรเทพอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ไปหามาจากไหนวะ”

“กูก็ฟังเค้ามาทั้งนั้น  ว่าแต่มึงเหอะไม่อยากพักรึไง เรื่องสุดท้ายแล้วมึงก็รีบๆเล่า”

“ เออๆ เดี๋ยวกูจัดหนักปิดท้าย เรื่องนี้กูฟังมาบ่อย”

“เรื่องมีอยู่ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนขับรถส่งของให้แก่บริษัท มีหน้าที่ต้องส่งของจากโรงงานที่เชียงใหม่เข้าสู่กรุงเทพ ผู้ชายคนนั้นชอบเดินทางในตอนกลางคืนเสมอเพราะว่าถนนโล่งและสามารถขับได้สะดวกกว่า  ด้วยความที่ต้องส่งของระยะไกลจึงต้องมีผู้ช่วยเพื่อเปลี่ยนกันขับ วันนั้นผู้ชายคนนี้ตัดสินใจที่จะขับรถมากับพ่อ  ช่วงขับออกมาจากเชียงใหม่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จนเข้าสู่จังหวัดตาก  พ่อคนขับก็เอ่ยขึ้นมาว่าถ้าเห็นหรือได้ยินอะไรให้ขับไปเลยนะอย่าทัก ทีนี้คนขับก็ไม่ได้คิดอะไร ขับไปเรื่อยๆก็ไปเจอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนขายพวงมาลัยอยู่ ด้วยความที่รถคันนี้ยังไม่มีพวงมาลัยผู้ชายคนนั้นก็จะจอดซื้อ แต่โดนพ่อห้ามไว้และบอกแค่คำเดียวว่า ให้ขับไป  เมื่อผู้ชายคนนั้นขับผ่านเด็กก็ได้มองไปยังข้างทางก็พบว่าตรงนั้นมีบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ ที่มีเด็กเล็กๆและคนแก่ กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยขาย ผู้ชายคนนั้นถึงบางอ้อทันทีว่าเหตุใดในยามนี้ถึงยังมีเด็กมาทำงาน  เมื่อผู้ชายคนนั้นขับไปเรื่อยๆ สิ่งที่พบคือเด็กคนเดิมจะคอยยืนขายพวงมาลัยอยู่ตลอด ผู้ชายคนนั้นตกใจและหันไปมองหน้าพ่อ  พ่อแค่พยักหน้าและบอกว่าค่อยคุย  แต่เรื่องมันยังไม่จบ เมื่อผู้ชายคนนั้นดันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ติดๆกับรถ จึงได้มองผ่านกระจกข้างไปก็เห็นเป็นเด็กคนนั้นวิ่งตามมาติดๆ และถือพวงมาลัยเอ่ยถามตลอดว่า พวงมาลัยมั้ย?  พ่อที่คงเห็นแบบเดียวกันก็สั่งว่าให้มีสติและขับไป จนเข้าเขตกรุงเทพ พ่อก็เล่าให้ฟังว่า ตรงนั้นมันเคยมีบ้านขายพวงมาลัยจริงๆ แต่ก็ต้องตายยกครอบครัวเพราะโดนรถบรรทุกเบรกแตกพุ่งเข้าชน”

“เป็นไงหลอนมั้ย เรื่องนี้กูฟังครั้งแรกนี่ลมจับเลยนะมึง”

“หลอนดี เก็บของเถอะ ดึกแล้วกูง่วง”

“งั้นมึงไปเปิดไฟ เดี๋ยวกูไปปิดเพลง”


อยากฟังเรื่องที่หลอนกว่านั้นมั้ย


“อะไรนะไอ้ภพ  มึงว่าอะไร”  ผมที่กำลังจะแยกย้ายกันไปทำตามที่บอก ก็ต้องตกใจเพราะเสียงผู้ชายที่คล้ายเหมือนจะเป็นไอ้ภพ เอ่ยขึ้นมา ทำท่าว่าจะอยากเล่าเรื่องต่อ

“อะไร?  กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ไอ้ภพทำหน้างงใส่ผม  ก่อนที่ผมจะพยักหน้าไม่ใส่ใจ ผมอาจจะหูฝาดไปเอง ความกลัวอาจจะหลอนผมมากไปจนทำให้ผมคิดอะไรเกินความจำเป็น

หึหึ  อยากเห็นกูมั้ย?  มึงเห็นกูมั้ย? หากูให้เจอสิ 55555

ผมนิ่งค้างไปในทันที ลมหายใจที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตของผมเหมือนกำลังโดนคนตายกระชากออกไป  ผมไม่ได้คิดไปเองแล้ว คำพูดเย็นๆยาวๆถูกปล่อยออกมาจากที่ๆหนึ่งซึ่งเมื่อมองไปทางด้านนั้น ผมก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น  ไอ้ภพหันมามองกับอากัปกริยาแปลกๆของผมที่ยังคงไม่ก้มลงไปปิดเพลง ก่อนที่มันจะสาวเท้าเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว

“มึง มีอะไร?”

“ภ…ภพ เสียง มีเสียงผู้ชายพูดขึ้นมา กูได้ยินมันอยู่ข้างหลังกู แต่หันไปกูก็ไม่เห็น ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้วนะมึง วิญญาณพวกนั้นกูก็จะช่วยมันแล้วไง”

“ได้ยินแน่รึเปล่า มึงคิดไปเองมั้ย”

“ไม่ไอ้ภพ  ตอนนี้กูก็ยังได้ยินมันท้าทายกูให้กูหามันตลอด”

“เอางี้ มึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น  ไม่ได้ยินไป”  ตลอดการสนทนาผมคุยกันเหมือนจะกระซิบ  ผมกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นวิญญาณตนนี้ มีแต่เสียงที่ผมได้ยิน ความกลัวเดิมๆเริ่มกลับมาครอบงำอีกครั้ง  ไอ้ภพรีบเดินไปเปิดไฟ ทำให้เสียงพวกนั้นหายไปด้วย  ผมรีบเก็บข้าวของ ปิดเพลง และทำความสะอาดพื้นทันที

เมื่อมองไปยังกระดานผีถ้วยแก้ว  ประสบการณ์ที่สอนผมมาก็บอกทันทีว่า ผมยังไม่ได้เชิญวิญญาณออกไป ความตายใจที่เกิดจากวิญญาณกลุ่มเดิมที่เมื่อเล่าเรื่องทุกอย่างเสร็จก็พลันหายไป ทำให้ผมไม่ได้คำนึงเลยว่า วิญญาณที่เข้ามาในแก้วครั้งนี้ อาจไม่ได้มีแค่ผีพวกนั้น

ไอ้ภพมองผมที่ยังไม่ยอมเก็บกระดานเข้าที่เดิม  ก่อนที่มันจะนึกขึ้นได้แบบเดียวกับผม  มันเดิมมาถามผมว่าจะเอายังไงต่อทั้งๆที่ตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเชิญออกเพียงอย่างเดียว   ผมจึงบอกให้ไอ้ภพไปเอาแก้วในครัวมาอีก1ใบเพื่อจบพิธีกรรม  ผมไม่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกับวิญญาณพวกนี้ได้ พวกมันไม่ได้มาดี

ผมนั่งประจำอยู่ที่เดิม  ไอ้ภพที่ตอนแรกจะไม่ปิดไฟเล่น ถูกผมสั่งให้เดินกลับไปปิดอีกครั้ง ความมืดเท่านั้นที่จะพาผมเข้าสู่โลกที่สามได้  บทเชิญวิญญาณบทเดิมถูกขานออกมาเสียงดัง เพื่อต้องการดึงวิญญาณพวกนั้นกลับมาสู่แก้วใบนี้

“ถ้าแก้วใบนี้มีวิญญาณเข้ามาแล้ว โปรดเดินไปที่คำว่าใช่”

ใช่ แก้วเลื่อนกลับไปยังจุดเดิมๆของกระดานอีกครั้ง  ก่อนที่มันจะเคลื่อนย้ายไปมาเองโดยที่ไม่พวกผมไม่มีใครได้เอ่ยคำสั่ง

หาพวกกูให้เจอ  อยากเจอพวกกูไม่ใช่หรอ   พวกกูมาแล้ว  และอีกกว่าเป็นสิบประโยคที่แก้วเคลื่อนนำไป  สถานการณ์ตรงหน้าเรียกได้ว่าสร้างความกดดันให้ผมและไอ้ภพอย่างหนักหน่วง  ผมที่เริ่มชินกับคำข่มขู่ของวิญญาณจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนอกจากกลัวและหลอน น้ำตาที่เคยไหลออกมามากมาย บัดนี้เหลือเพียงแค่การซึมออกมาเท่านั้น

“พวก? ไอ้ภพ มันไม่ได้มีแค่ตนเดียวในบ้าน”  ผมเรียกสติไอ้ภพที่เงียบลงไป  เพราะจนปัญญาในการหาวิธีแก้ปัญหาของกระดานตรงหน้า

“รู้แล้วเดี๋ยวกูจัดการเอง  กูขอเชิญพวกมึงออก”

กูไม่ออก  

“เอาไงดีวะไอ้ภพ  กูกลัวว่าจะทนต่อไปไม่ได้” ผมเงยหน้ามองไอ้ภพแล้ว ถามมันไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

หากูให้เจอสิ 55555  หากู  หากู

คราวนี้ไม่ใช่แก้วที่เคลื่อน  เสียงเดิมๆถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างกับเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกขบขัน  ผมก้มหน้าลงปาดน้ำตาออกอย่างคนที่ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร  เลยตัดสินใจเคลื่อนกายเข้าไปนั่งติดไอ้ภพทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และได้พบกับ เงาของมนุษย์ที่ตกกระทบกับกำแพงของบ้าน  เงานั่นมันกำลังเคลื่อนเข้ามาหาพวกผมทางด้านหลัง พร้อมกับเอ่ยเรื่องราวชวนน่าขนลุกออกมาเรื่อยๆ  ตำแหน่งของมันไม่ได้เดินเหมือนมนุษย์ปกติ  เงานั่นสะท้อนภาพคนที่ใช้ขาเดิน แต่เดินบนเพดาน ทำให้ส่วนหัวห้อยลงมาอย่างอิสระ แกว่งไปมาเหมือนมันจงใจจะกลั่นแกล้งผม

“เรื่องของกู มีอยู่ว่า  มีคนเป็นสองคน พยายามที่จะท้าทายคนตายด้วยการลบหลู่อย่างไม่คิดกลัว  กูมาแล้ว หึหึ หากูให้เจอสิ 
หากู!!  หากู!!!!”

“เงยหน้าของมึงขึ้นมา!!!”

“เงยขึ้นมา 555555”

“ตาย!!!  ตาย!!!  ตาย!!!”


ผมนั่งตัวแข็งทื่อจนแทบจะอยากตายตามคำที่มันสั่ง น้ำเสียงยานคางของมันเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว สะกดผมให้นิ่งไปกับภาพบนกำแพงที่แสดงว่ามันกำลังย่างกรายเข้ามาหาผม ก่อนที่สัมผัสของปอยผมมันจะตกกระทบลงบนใบหูของผมเบาๆ 

ผมค่อยๆทำตามความต้องการของมันและตัวผมเองที่อยากรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน   โดยเมื่อเงยหน้าขึ้นไป ตาผมก็เบิกโพลงมากขึ้นไปอีก เพียงเพราะภาพผู้ชายที่มีใบหน้าเละเทะ ลูกตาข้างหนึ่งหลุดห้อยออกมาจากเบ้าตาและริมฝีปากของมันที่ค่อยๆฉีกยิ้มให้กับผม ก่อนจะเอ่ยประโยคชวนสยองออกมา

เจอกันแล้ว

ผมรีบก้มหน้าลงมาอย่างเร็ว เพราะไม่อาจทนมองได้อีก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีเสียงสะอื้น  ไอ้ภพยังคงไม่รู้ว่าผมกำลังเจอกับอะไร เพราะมันเอาแต่หัวเสียอยู่กับกระดานนั่นที่ตอนนี้ไม่มีการเคลื่อนที่ของแก้ว

ตึก  ตึก  ตึก

เสียงบางอย่างดังขึ้นที่บันไดอย่างชัดเจน ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองและพบว่า บนบันไดบ้านมีหญิงสาวกำลังลงมาด้วยท่าทางผิดปกติ  มันใช้มือและเท้าเดินอย่างคนตัวหักงอผิดรูป  ปากของมันอ้ากว้าง และดวงตาลึกโหล

มันค่อยๆพาตัวเองลงมาทีละขั้น จนเสียงกรอบแกรบของกระดูกมนุษย์ที่ฟังดูก็รู้ว่าหักจนไม่เหลือชิ้นดีดังขึ้นชัดสุดที่บันไดขั้นสุดท้าย ตาของผมโตขึ้นอีกครั้ง ด้วยความกลัวน้ำตาจำนวนมากถูกปล่อยให้ไหลออกมา ผมมองการเคลื่อนไหวตรงหน้าที่กำลังเดินเข้ามาทางผมอย่างกับถูกสั่งให้มองอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง….ดวงตาของผมสัมผัสได้ถึงความมืดบอดจากมือของผู้ชายข้างๆตัวที่ยื่นเข้ามาปิดไว้ให้

กูขอเชิญวิญญาณพวกมึงออก  ถ้าไม่ออกกูขอสาปแช่งไม่ให้มึงได้ผุดได้เกิด ขอให้นรกภูมิพามึงไปยังอเวจีเบื้องลึกที่สุดเท่าที่จะไปได้”  ไอ้ภพเอ่ยประโยคยาวๆออกมา และนั่นก็ทำให้แก้วเคลื่อนที่อีกครั้ง  ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องราวภายนอกดำเนินไปถึงตรงไหน ไอ้ภพปิดตาผมไว้ตลอด ราวกับไม่อยากให้ผมเสี่ยงลืมตาแล้วพบว่าทุกอย่างยังคงเดิม

ช่วงที่มันลุกไปเก็บกระดานผีถ้วยแก้ว มันกำชับผมอย่างหนักแน่นว่าให้นั่งเฉยๆ ไม่ต้องลืมตาขึ้นมาทั้งสิ้น มันจะจัดการที่เหลือเอง  ตัวผมก็ไม่คิดจะขัดขืนเพราะผมรู้ดีว่าหากผมไม่ฟังมัน คาดว่าตัวผมคงต้องออกจากเกมส์และมุ่งตรงเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวทในฐานะคนไข้ทันที

จวบจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในความคิด ไอ้ภพก็เดินมาดึงตัวผมขึ้น พร้อมกับนำผมมาไว้ด้านหน้าให้ชนกับหน้าอกมัน และดันผมให้เดินขึ้นห้องไปอย่างช้าๆ  สัมผัสการเต้นของหัวใจมันเต้นช้ากว่าผมในเวลานี้มาก  ความกลัวที่ยังคงมีทำให้ใจสั่นแรง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการกระทำและคำพูดของไอ้ภพ ที่ทำตามสัญญาเป็นอย่างดี



“ไม่ต้องลืมตา จะได้ไม่ต้องกลัว ทางที่เหลือ….กูจะเดินนำมึงเอง”




****************************************TBC***************************************
เอาตอนที่ 9 มาให้แล้วครับผม  หวังว่าจะถูกใจกันนะครับ  :mew2:

ตอนนี้ขอเป็นเรื่องราวเอาใจนักอ่านคอหลอนๆกันบ้าง  ถูกใจไม่ถูกใจยังไงเขียนติชมมาเยอะๆนะครับ

หลับฝันดีไปกับนิทานเรื่องนี้กันเลยนะครับ  :hao7:

เจอกันตอนหน้า P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2017 22:52:54 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
แอบหวานตอนท้าย นอกนั้นหลอน ชอบมาก ชอบมากๆ

อ็ากกกก  ชอบและหลอนมากกกก 

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หุ้ยยยยยย ภพนายเทห์มากตอนนี้ :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
หลอนมากกกกกกก...อย่างที่บอกไว้เลยค่ะ ฮือออ  :ling3:
ในเรื่องก็น่ากลัว เรื่องที่เอามาเล่าก็น่ากลัวว โอ่ยยยใจเอยยย
ผีที่มาขอให้ช่วยอ่ะ...ก็ช่วยไปจัดการผีตนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวไม่ได้เหรอ แงงง น่าจะคุยกันง่าย(กว่ามิว)นะ555555

มีความจับมงจับมือ...
คิดภาพตอนขึ้นบันไดแล้ว...แหม แนบชิดกันดีจังนะคะ
..ดีแล้วน้องจะได้กลัวน้อยลงๆ สงสารร  :monkeysad:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
หลอนมากกกกกกกก เราอ่านตอนกลางคืนด้วย กลัวไปหมดแล้ววววว ฮือออออออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ IRDirada

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ่ยยยย หัวใจจะวาย :katai1:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เรื่องผีหายไปจากหัว เมื่อเขาแนบชิดกันขึ้นบรรได อิอิ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
สนุกมากค่ะ   :o8: :o8: :o8: :o8: ดูท่าจะมีปมเยอะมาก

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เรื่องแรกที่ภพเล่าคล้ายๆที่เราฟังจากเดอะช็อค ยอมรับว่าน่ากลัวมากและมากที่สุด เล่นเอาหลอนเลยอ่ะตอนนั้น และตอนนี้ก็กำลังกลอนเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน สนุกมากค้าบบบบบ

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมากไม่กล้าอ่านตอนกลางคืนเลย  ต้องเก็บไว้มาอ่านตอนเช้าตลอดก็ยังหลอนอยู่ดี

บรรยายเห็นภาพดีมาก สนุกและแอบหวานเวอร์555555


 :mew3:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
อ่านตอนกลางคืนเกือบจะตายทนไม่ไหวต้องอ่านตอนเช้าแทน น่ากลัวและหลอนมากๆ
คนเขียนบรรยายเก่งละเอียดดีจนจินตนาการได้เลย
สนุกและหลอนมากๆ รอตอนต่อไปค่ะ บรื๋อออออออ :katai4:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
พออ่านไปเริ่มคิดเยอะว่าลุงสองคนนี้ต้องมีส่วนร่วมในการฆ่าศพก่อนๆแน่ เลยค่ะแล้วแบบทำไมผีมันกวนตีนจังอยากให้เค้าช่วยหาคนร้ายก็มาทำร้ายเค้าเอง ส่วนรายการที่เรตติ้งดีนี่สงสัยเค้าวายกันบ่อยๆ ตอนเจอผีแน่ๆเลย
อินไปหน่อยขอโทษทีค่ะยังคงความหลอนอยู่แต่แอบรู้สึกว่ายังหลอนได้อีกนี่ยังไม่ใช่จุดพีค แล้วก็แอบลุ้นด้วยว่าศพก่อนๆตายยังไง สองคนนี้จะโดนลอบฆ่าตอนไหน รายการมันต้องไม่ยอมเสียเงินรางวัลแน่ๆเลย  :katai1:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
อ่านไปเสียวหลังไป อยากจะอ่านกลางวันนะ แต่ไม่สามารถต้องอ่านกลางคืนทุกที สงสารนิวน่ะ เป็นเราออกตั้งแต่คืนแรก

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่10

คำถาม


คำพูดของคนมันไม่ต่างไปกับดาบสองคม  ยามที่ต้องการให้หวานมันก็สามารถปั้นแต่งออกมาจนคนฟังถึงกับคล้อยตามหากได้ลิ้มรส  และยามที่ต้องการใช้มันฆ่าใคร คำพูดพวกนั้นก็ถูกสร้างมาอีกแบบซึ่งก็เชือดเฉือนจิตใจคนได้ไม่แพ้กัน

เมื่อคืนหลังจากที่ผมได้ยินไอ้ภพพูดประโยคนั่น  ความกลัวที่มีมันก็หายไปแทบจะในทันที  คำสัญญาที่เชื่อมใจผมกับไอ้ภพไว้ไม่ได้ไร้ความหมาย  มันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้คำพูดนั้นไม่เป็นเพียงลมปาก  สิ่งที่มันทำคือการไม่ให้ผมมองอะไรได้อีกเลยจนกระทั่งถึงเตียงตัวเอง  แม้ว่าความจริงไอ้ภพมันต้องการให้ผมนอนแล้วหลับตาไปเลย แต่ภาพวิญญาณพวกนั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผม น้ำเสียงเย็นเยียบของเหล่าสัมภเวสียังหลอนหูผมไม่เลิกเสมือนว่าผมกำลังฟังมันผ่านเครื่องเล่นเสียงที่วนซ้ำๆอยู่แบบนั้น  ผมจึงตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้น

บ้านหลังนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม  วิญญาณที่เคยเข้ามาคุกคามชีวิตผมได้สูญหายไปจนหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่เศษเสี้ยวความหลอนและความน่ากลัวจนทำให้ใจที่เบาบางของผมเกิดรอยขีดข่วนอย่างที่ไม่มีวันลบออกได้  มากไปกว่านั้นความรู้สึกบางอย่างยังทำให้ตัวผมกระสับกระส่ายไปมาจนเหมือนคนนอนไม่หลับ ทั้งที่ร่างกายก็ล้าเต็มทน     

…มันกำลังปั่นป่วนเนื่องจากความหลอนและจากตัวไอ้ภพ… 

ความรู้สึกหวั่นไหวที่เคยสัมผัสได้ย้ำเตือนหัวใจผมอีกครั้ง คนที่กำลังจะค่อยๆเป็นเจ้าของมันไม่ใช่ใครอื่นเลย  คนๆนั้นไม่ใช่ผู้หญิงสวยๆที่ผมเคยเดินชนในร้านกาแฟ  ไม่ใช่สาวหน้าหมวยที่ผมเคยจีบตอนต้นปี  ไม่ใช่รุ่นน้องที่เข้ามาทักทายบ่อยๆตอนผมเลิกเรียน  แต่เป็นเพียง…

ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่อยู่ข้างกัน ในวันเวลาที่ใจผม…อ่อนล้าที่สุด

ดวงตาของผมในเวลานั้นจึงถูกใช้เพื่อมองแค่เพียงไอ้ภพที่นอนอยู่ข้างๆกันเท่านั้น  มันนอนหันหลังให้กับผมเหมือนกับในทุกๆวัน  เสียงลมหายใจอ่อนๆของมันกำลังสร้างรอยยิ้มจางบนหน้าผมอย่างไม่รู้สาเหตุ  ความอบอุ่นจากแผ่นหลังยามได้มองดึงดูดให้ผมขยับตัวเข้าไปซบกับแผ่นหลังนั่น  ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆคลายเปลือกตาลง  ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกตัวหรือเปล่า แต่คืนนี้ผมหลับสนิทได้ก็เพราะมัน

“อ้าว ตื่นนานแล้วหรอวะ”  ไอ้ภพงัวเงียลุกขึ้นถามผมที่นั่งจ้องมันนอนมาได้พักใหญ่ๆ  ผมตื่นสายมาก แต่ก็ยังไม่เท่าไอ้ภพ เกมส์เมื่อคืนเล่นผมกับไอ้ภพจนถึงเกือบเช้า จึงไม่แปลกที่วันนี้เราทั้งคู่ต่างก็เลือกที่จะนอนให้พอแทนการลุกไปหามื้อเช้าประทังชีวิต

“หึ กูก็เพิ่งจะตื่นแต่ยังไม่อยากทำอะไร เลยนั่งเฉยๆก่อน”

“มึงจะนั่งอมขี้ฟันอยู่แบบนี้ทำไม ปากเหม็นหวะ” ไอ้ภพคงตื่นเต็มตา มันเลยหันมาหยอกล้อผมได้

“อย่าว่าแต่กู มึงตื่นแล้วมึงยังไม่ลุกไปเลย”

“กูเหนื่อย ขอกูนั่งเฉยๆบ้าง มึงไปแปรงก่อนดิ”

“กูก็เหนื่อย เมื่อคืนมึงเล่นเกมส์คนเดียวรึไง มึงนั่นแหละไปแปรงก่อน”

“แต่กูช่วยมึง มึงไปแปรงก่อนเลย”

“พอๆ  ไปแปรงพร้อมกันนี่แหละ”  เถียงกันวันนี้ก็ไม่จบ นั่งพ่นแบคทีเรียในช่องปากกันไปมาเสียเวลา ผมจึงต้องลากไอ้ภพให้ลุกไปแปรงฟันพร้อมกันเลย  น้ำยังไม่ต้องอาบเพราะไม่แน่ใจว่าวันนี้ไอ้ภพจะออกไปในป่านั่นหรือไม่

“ภพ วันนี้มึงจะทำอะไร?”ผมถามมันขณะ ยืนบีบยาสีฟันให้ทั้งของมันที่ยังคงยืนเกาพุงอยู่หน้าห้องน้ำและของผม

“มึงคิดว่าไงอ่ะ?”  มันไม่ตอบ แต่ถามกลับมาอย่างขอความคิดเห็น  เราทั้งคู่หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่จะบอกว่าเราจะทำอะไรกับเกมส์นี้เมื่อต้องอยู่ต่อหน้ากล้องจำนวนมาก

“ถ้าถามกู กูยังไม่อยากให้ทำ คิดว่ารออีกวันดีกว่า แต่ถ้ามึงจะทำก็ไม่ได้ว่าอะไร มันคงไม่มีอะไรแล้ว”

“งั้นก็ตามที่มึงบอก”  พูดเสร็จ มันก็เมินแปรงสีฟันที่ผมยื่นให้และเดินไปยังโถส้วมที่ตั้งอยู่เยื้องๆกับผมค่อนไปทางด้านหลังนิดหน่อย แต่ยังคงมองเห็นได้ว่ามันจะทำอะไรผ่านกระจกเงา

“เฮ้ย!!!!!   มึงจะทำอะไรไอ้ภพ”

“กูก็จะฉี่ มึงจะโวยวายทำไม”

“แม่ง!! อายบ้างเหอะ กูก็ยืนอยู่เนี่ย”

“ประสาท กูจะอายมึงทำไม มึงก็ผู้ชาย”  ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อมันสวนกลับมา  จิตสำนึกกำลังย้ำเตือนถึงเพศสภาพว่าผมก็เป็นผู้ชาย มีอะไรเหมือนๆกับมัน  ถ้าเป็นสักสามสี่วันก่อน ผมคงไม่รู้สึกกระดากอายได้เท่านี้ แต่เพราะตอนนี้ผมกำลังไม่เหมือนเดิม   การกระทำทุกอย่างของมันจึงส่งผลต่อจิตใจผมอย่างรุนแรง

“มึง…ไม่อาย  แต่กูอายโว้ยยยย!!” ผมโวยวายมันเสียงดังเพื่อให้มันหยุดการกระทำบ้าๆนั่น  แต่มันกลับแค่ยกไหล่ตอบมาอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันกลับไปทำธุระตามเดิม   ผมจึงต้องก้มหน้าเพราะถ้ายังมองไปที่กระจก ผมคงได้เห็นภพน้อยของมัน 

น่าขำสิ้นดี เมื่อจิตใจด้านมืดและด้านสว่างของผมกำลังตีกันไปมาจนเกิดความสับสนอยู่ในหัว ภาพยมทูตตัวจิ๋วและเทวดาตัวน้อยกำลังกล่อมหูผมแบบในการ์ตูนให้เลือกสักทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป ระหว่างก้มหน้าไปนิ่งๆหรือจะทะลึ่งเงยหน้าขึ้นมาแอบดูไอ้ภพ   แต่กระนั้นความเลวและด้านมืดของผมมันมีสูงกว่า จึงเสแสร้งแค่ว่าก้มหน้าแล้วก็ค่อยๆช้อนตาขึ้นมามองมันผ่านกระจกอย่างไม่เหนียมอาย

หันหลัง…ทำไมวะ??

ผิดคาดไปเล็กน้อย เมื่อไอ้ภพมันก็คงอาย จึงได้ยืนเบี่ยงตัวหันหลังให้ผม ความผิดหวังเล็กๆก่อตัวจนผมกลัวใจตัวเอง   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาในห้องน้ำพร้อมมัน  ความตื่นเต้นในตัวจึงพุ่งทะยานถึงขีดสุด  มือข้างหนึ่งกำแปรงสีฟันมันไว้แน่น มืออีกข้างกำกางเกงตัวเองไว้ สายตาก็ยังคงทอดมองมันอย่างเคลิบเคลิ้ม  จนกระทั่ง…

ป้าบบบบบบบบบบ

“โอ้ยยยยยยยยย” ไอ้ภพ มันเดินมาตบหัวผมอย่างแรง  เรียกสติกลับมาโดยพลัน  ผมรีบหันกลับไปมองมันอย่างเอาเรื่อง เพราะไม่รู้ว่ามันจะตบหัวผมทำไม

“มึงเล่นอะไรวะ กูเจ็บนะ”

“มึงจะก้มหน้าทำห่าอะไร ถ้าตาจะจ้องกูแบบนั้น”

“จ้องอะไร ใครจ้อง มั่วแล๊วว” ผมเฉไฉไป  อย่างคนกำลังโดนจับพิรุธ 

“มึงอยากจะโกหกกูก็ทำไป แต่รู้มั้ย…บางอย่างมันโกหกไม่ได้”  ด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันมากนัก  ทำให้ไอ้ภพยื่นหน้าเข้ามาพูดกับผมจนแทบจะติดกัน  ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าฟันยังไม่ได้แปรง

“อะ…อะไร”  ไอ้ภพไม่ตอบ แต่กลับใช้สายตาของมันมองต่ำลงไป  ซึ่งก็ทำให้ผมต้องมองลงไปดูบ้างว่าอะไรที่มันกำลังสนใจขนาดนั้น

เช้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!

เป้า  เป้ากางเกงผมครับ มันนูนขึ้นมามากกว่าปกติ บอกได้ทันทีว่าผมกำลังมีอารมณ์อย่างมหาศาล ยิ่งมือที่กำกางเกงรั้งให้กางเกงมันแนบมากขึ้น  ส่วนเว้าส่วนโค้งของผมยิ่งเห็นชัดขึ้นไปอีก

“เฮ้ยยยยย  มึงจะมองทำไมวะ” ผมดีดตัวออกมาจากมันทันทีและเอารีบเอามือมาปิดเป้ากางเกงตัวเอง

“นี่มึงมีอารมณ์กับกูหรอ?  มึงชอบผู้ชายหรอวะ  หรือมึงเป็นโรคจิต”  ไอ้ภพยังคงเดินตามจี้เข้ามาใกล้อย่างไม่ยอมลดละ

“พ่อง!!! ไม่ได้อะไรทั้งนั้นแหละ  กูปวดฉี่เฉยๆโว้ย”

“งั้นหรอ  ก็ไปฉี่ดิ”  เมื่อมันหยุดระราน  ผมจึงต้องวางแปรงสีฟันมันแล้วหันหลังมาที่โถส้วมเพื่อจะฉี่  เดชะบุญของผมมากที่ตอนนั้นผมปวดฉี่จริงๆ  จึงได้มาสงบสติอารมณ์ตัวเองที่ฟุ้งซ่านไปมากให้เบาลง  ใจของผมเต้นรัวเร็วจนแทบจะทะลุออกจากอก ราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วโดนพ่อแม่จับได้ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่ไอ้ภพยอมผมง่ายขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเคารพในตัวผมอยู่เหมือนกัน

“โอ้โหหหหหห ไม่ธรรมดาหวะ”

ไอ้สัส ภพ………

กูขอถอนคำพูดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“เฮ้ยยยยยยยยย!!!”  ผมสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะฉี่ไม่ตรงโถ  เมื่อไอ้ภพมันเดินเข้ามายืนดูผมฉี่โต้งๆอย่างไม่อาย

“จะโวยวายทำไมวะ อายอะไรนักหนา”

“หยุดพูดไอ้ห่า  ออกไปโว้ย ทีกูยังไม่เห็นของมึงเลยนะ ” ผมโวยใส่มันอย่างคนจนตรอก  หลบไปทางไหนมันก็เห็นอยู่ดี เลยต้องยืนไล่มันแทน

“จะดูมั้ยหละ  เดี๋ยวกูเปิดให้”

“สัส กูไม่ได้โรคจิต ไปแปรงฟันโน่นน” หมดแล้วซึ่งความอาย  เป็นจังหวะพอดีกับที่ผมหมดธุระตรงโถส้วม  ผมจึงหันหลังกลับมาล้างมืออย่างหัวเสีย  มองค้อนไอ้ภพไปทีนึงตอนมันเดินมายืนข้างๆ

“อะไร มึงจะมองค้อนกูทำไม  ทำอย่างกับผู้หญิง”

“เออ กูมันไม่ใช่ผู้หญิง มึงเลยจะทำอะไรก็ได้” ดราม่าเกิดขึ้นมาเฉยๆ  ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่ผมได้ยินมันเปรียบเทียบแบบนั้นแล้วอดจะน้อยใจไม่ได้ ทั้งๆที่มันก็เป็นความจริง

“เฮ้อ  หยุดดราม่าไอ้น้อง  ดูหน้าตัวเองดิ๊มันเหมาะมั้ย” ไอ้ภพล๊อกคอผมให้ไปมองตัวเองในกระจกที่สะท้อนภาพผู้ชายตัวเท่าๆกันสองคนยืนกอดคอกันอยู่ คนหนึ่งหน้าตากวนตีน อีกคนก็หน้าตาทุเรศจากการทำหน้างอ ลองทายสิครับว่าผมคือคนไหน

“เออๆ งั้นก็แปรงฟันให้มันจบๆ”  ผมบอกมันอย่างตัดรำคาญ

ไม่น่าเชื่อเลยว่า แค่การแปรงฟันในห้องน้ำจะกินเวลาได้นานขนาดนี้  ผมแปรงฟันล้างหน้าเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่รอไอ้ภพ  ผมกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งเพื่อไปเช็ดหน้าเช็ดตาและเปลี่ยนเสื้อผ้า  ครู่เดียวไอ้ภพก็เดินตามเข้ามา มันมองหน้าผมอย่างไม่พูดอะไร  ผมจึงตัดใจและบอกกับตัวเองทันทีว่า ผมจะน้อยใจมันไปเพื่ออะไร

“ไอ้มิว”  ไอ้ภพเรียกผมหลังจากที่ผมทำท่าว่าจะเดินออกไปจากห้อง และกวักมือเรียกให้เข้าไปหามัน

“มีอะไร?”

“มึงนั่นแหละที่มีอะไร อย่าบอกนะว่าเคืองกูเรื่องในห้องน้ำ”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก กูแค่หิว”

“ไม่ต้องมาโกหก ก่อนเข้าห้องน้ำมึงยังดีๆอยู่”

“เปล่า!!  บอกว่าไม่มีก็ไม่มีดิ” ผมตอบปัดคำพูดมันไปอย่างหัวเสีย  เพราะไม่รู้ว่ามันจะอยากคาดคั้นอะไรผมนักหนา

“ไอ้มิว” เสียงเรียกเย็นๆแกมบังคับถูกเอ่ยมาจากไอ้ภพ  สายตาของมันกำลังขู่ให้ผมพูดความจริงออกมาจนถึงขั้นเหงื่อตก

“เออๆ  ก็ได้  กูเคืองมึง กูไม่รู้ว่ากูเป็นอะไร แต่กูไม่ได้โกรธมึงที่มาดูกูฉี่ กูโกรธที่มึงคิดจะทำอะไรกับกูก็ได้แค่เพราะกูไม่ใช่ผู้หญิง  แล้วไงวะ  กูเป็นผู้ชายแล้วมันรู้สึกไม่เป็นรึไง!!” ผมสารภาพความรู้สึกออกไปทั้งหมดอย่างไม่ยั้งปาก ก่อนจะรู้สึกว่ามันมากเกินไป   ไอ้ภพมองผมนิ่งสนิท เหมือนมันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำผิดจนกระทั่งผมบอก

“เอ่อ…แต่กูว่ากูงี่เง่าอ่ะ กูเลยจะลงไปด่าตัวเองเงียบๆ  มึงก็อย่าคิดมาก”

“เฮ้อ  กูขอโทษๆ กูไม่นึกว่ามึงจะเปราะบางขนาดนี้”

“เอาเหอะ มึงไม่ได้ผิด กูงี่เง่าไปเอง  กูไม่รู้ว่ากูเป็นอะไร  อยู่ดีๆกูก็งี่เง่า” ผมเลือกที่จะตอบมันไปว่าไม่รู้ทั้งที่ความจริง ก็รู้อย่างเต็มอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดจากหัวใจผมกำลังเล่นตลก

“มากด้วย” 

“อะไรนะ!!!” อยู่ดีๆมันก็เสริมขึ้นมาอย่างคนไม่รู้สึกผิด  ผมที่กำลังก้มหน้าตีหน้าเศร้าถึงกับต้องชะงัก อารมณ์ผมพุ่งขึ้นจนหยุดไม่ได้เหมือนกับว่าถ้านี่เป็นการ์ตูนคงมีภาพปรอทที่กำลังจะระเบิดออกมานอกแท่งแก้วอย่างไรอย่างนั้น  ผมจึงรีบเงยหน้ามองมันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเห็นว่ามันกำลังกลั้นยิ้ม

“55555  มึงนี่ตลกหวะ กูขอโทษๆ กูแหย่เล่นเอง”

“มันใช่เรื่องมั้ยฮะ!!!  ไอ้ภพ  คนกำลังจริงจังเนี่ย” 

“ไม่เป็นไรนะครับ เบบี๋  เดี๋ยวพี่….ให้ตีก้น” มันยื่นหน้ามากระซิบข้อความนั้นข้างๆหู จนลมหายใจอุ่นร้อนของมันปลุกขนในร่างกายผมให้ลุกชัน  ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด  เมื่อมันหันหลังกลับไปแล้วแอ่นก้นให้ผม พร้อมกับส่ายไปมาอย่างน่ากวนตีน

ตุ้บ ตุ้บ  ตุ้บ ตุ้บ

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย    น่ารักหวะ


ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พร้อมกับมองมันอย่างตาค้าง ไอความร้อนในตัวผมพร้อมใจกันขึ้นมารวมอยู่ที่ใบหน้าทั้งหมด ริ้วแดงๆปรากฎขึ้นจนผมทำอะไรไม่ถูก  ไอ้ภพโหมดนี้ผมยังไม่เคยเห็น ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นด้วย  ใจผมเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง การกระทำของมันทำไมถึงได้ต่างจากวันแรกลิบลับ  มันเป็นอะไรไป ไอ้ภพคนที่เคยตะคอกผมมันตายอยู่ในป่านั่น แล้วที่อยู่ตรงนี้คือวิญญาณมันหรืออะไร  ทำไมมันถึงได้มีหลายมิติขนาดนี้

“มึงมองก้นกูทำไมวะ?  คิดอะไรอะไรอยู่”

“ฮะ…..เอ่อ….”   ตายโหง คือคำแรกที่ปรากฏเข้ามาในหัวผม  ผมจ้องมันอย่างไม่รู้ตัวและคาดว่าคงจะเพลินสายตาไปหน่อย  ไอ้ภพมันเลยผิดสังเกตเลยหยุดทำ พร้อมกับหันกลับมาจ้องหน้าผมแทน นั่นเลยทำให้ผมได้สติและรีบก้มหน้าลงหาข้อแก้ตัวที่จะตอบมัน

“เอ่อ….เปล่ากูไม่ได้มองมึ๊งงง อย่าหลงตัวเองดิ”

“งั้นหรอ  ไม่ได้มองจริงๆหรอ”   ไอ้ภพขยับเข้ามาใกล้ผมยิ่งกว่าเดิม  เสียงทุ้มๆน่าฟังของมัน บัดนี้กำลังทำลายล้างหัวสมองของผมอย่างสิ้นเชิง

“อะ…เออดิ กูจะมองไมวะของกูก็มี”  มันพยักหน้ารับแบบช้าๆในขณะที่จ้องผมไปด้วย  ก่อนจะหันตัวกลับไปส่ายก้นกวนตีนผมอีกครั้ง   

“อยากมองเหรอน้อง  มองเลยดิ  มองเลย พี่ให้มอง อิอิ”

“อิอิ พ่อง!  ตายซะเถอะมึง”  ผมด่ามันพร้อมกับยกเท้าถีบส่งมันไปอย่างรวดเร็ว  ไอ้ภพมันหลบทันและรีบวิ่งหนีผมออกไปพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นบ้าน  ผมจึงต้องวิ่งตามด้วยความคับแค้นใจ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้  ต้องมีการเอาคืนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

จวบจนผมวิ่งไล่หลังมันทันและคาดว่า ถ้ากระโดดออกไปผมจับมันได้แน่ๆ  จังหวะของการก้าวขาขณะวิ่งจึงเร่งเครื่องเต็มสูบเพื่อที่จะรีบไปเกาะมันให้ทัน  และเมื่อผมหาช่องทางการเข้าหาไอ้ภพได้ การเสียเวลาจึงเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด

ตายซะ!!!!!!

“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย”

“เฮ้ย!  มึงจะลงไปนอนทำไมวะ” ไอ้ภพหันกลับมาถามด้วยสีหน้าตกใจ หลังจากที่มันได้ยินเสียงหัวเข่าผมกระแทกพื้นดังลั่นและตามมาด้วยเสียงโอดโอยของผม

ไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรตัวไหนมันกำลังกลั่นแกล้งผมอยู่  ช่วงจังหวะที่ผมกำลังถลาเข้าหาไอ้ภพ ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเปลี่ยนเส้นทางการวิ่งจากเส้นตรงเป็นหักเลี้ยวออกไปซะงั้น  เพราะฉะนั้นคนที่ซวยจึงไม่ใช่ใคร…มันคือผมเอง

“ลงไปนอนบ้านมึงดิ!! ก็เห็นอยู่ว่ากูล้มลงไปอ่ะ” ผมค้อนขวับไปที่มันอย่างช่วยไม่ได้  เมื่อมันเดินเข้ามาพร้อมกับคำถามชวนหาเรื่องนั่น

“5555 เป็นไงละ ให้ทุกข์แก่คนอื่น ถึงตัวเร็วมั้ย?”

“ก็มึงแกล้งกูก่อนทำไมอ่ะ “

“ใครแกล้ง? มึงนั่นแหละที่หาเรื่องเอง  เอาขามาดูดิ๊”

“ไม่ต้อง!  เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“เอา ขา มา” ไอ้ภพพูดด้วยน้ำเสียงช้าๆ ชัดๆทีละคำ แถมส่งสายตาข่มขู่จนผมรู้สึกว่า ถ้าไม่ทำตามมัน  ผมคงได้มีรอยช้ำเพิ่มอีกนอกจากหัวเข่า

“แค่นี้ก็จบเรื่อง” ไอ้ผมส่ายหัวน้อยอย่างอ่อนใจ พร้อมกับเดินไปหยิบกล่องยามาทาให้และไม่ทำอะไรอีก นอกจากค่อยๆนำยาทาตรงรอยแดงที่หัวเข่าผมซ้ำๆ  บรรยากาศที่รู้สึกเหมือนมีหมอกควันทึบๆเมื่อครู่จึงค่อยๆสลายออกไป

ความเย็นของยาทาทำผมรู้สึกปวดหัวเข่าน้อยๆ  แต่ก็ไม่ได้หนักมากเท่าไร อาจจะเพราะว่าผมไม่ได้ล้มลงไปแรงความช้ำที่เกิดจึงทิ้งรอยไว้นิดเดียวจนแทบไม่รู้สึก  แต่ในสายตาไอ้ภพผมไม่รู้ว่ารอยนี่มันใหญ่ขนาดไหน มันถึงได้ดูจริงจังขนาดนั้น ร่องรอยเมื่อตอนที่ผมล้มขณะเตะบอลกับเพื่อนมันยังดูใหญ่กว่านี้เสียอีก

“ภพ…พอได้แล้ว” ผมเอื้อมมือไปจับมือของมัน พร้อมกับส่งยิ้มบางๆไปให้เพื่อยืนยันว่าผมโอเค

“แต่มันยังแดงอยู่เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก กูไม่ได้เจ็บ รอยแดงนี่เดี๋ยวมันก็หาย”

“อืม แล้วมึง เดินไหวมั้ย?”

“ไหวดิ เรื่องแค่นี้เอง ถ้ากูไม่ไหวมึงจะอุ้มกูหรอ 555”

“ใช่” น้ำเสียงจริงจังถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมแววตาที่ไม่เจือความตลกใดๆ ทำเอาใจผมกระตุกวูบ  เสียงหัวเราะที่ผมสร้างขึ้นจึงค่อยๆเบาลงจนเงียบไปในที่สุด

“งั้นก็อุ้มเลยดิ….กูคงเดินไม่ไหวแล้วหละ

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตอบกลับไปแบบนั้น  ไอ้ภพมันก็ทำแค่มองผม ก่อนจะพยักหน้าและนั่งหันหลังย่อตัวให้ผมขึ้น  เมื่อมันกระชับขาผมจนมั่นใจว่าผมจะไม่ตกลงไป มันก็ค่อยๆพาเดินออกจากห้อง  ย่างก้าวของมันเต็มไปด้วยความเชื่องช้าจนคนอื่นอาจอึดอัดใจ  แต่สำหรับผม…มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากจะหยุดไว้นานๆ  กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวมันกำลังสะกดให้ผมหลงใหลไปจนถอนตัวแทบไม่ขึ้น

“ภพ…มึงเคยทำแบบนี้กับคนอื่นมั้ย?”

“ถามทำไม?”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ และกูก็ไม่เคยทำให้ใคร เลยรู้สึกไม่ชิน”

“กูก็ทำแผลให้มึงตั้งหลายรอบแล้วไง มึงควรชินได้แล้วนะ”

“หึ พูดอย่างนี้ถ้าคราวหน้ากูเป็นแผลอีก มึงก็ทำให้เลยนะ”

“อืม ถ้ามึงไม่ไล่ กูก็จะทำให้แบบนี้แหละ”

“แต่ถ้าให้ดี อย่ามีอีกเลยนะ  แผลอ่ะ…กูเป็นห่วง

“อืม  จำคำพูดตัวเองไว้แล้วกัน…” คำพูดของไอ้ภพก่อให้เกิดความอบอุ่นในใจขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างหาสาเหตุไม่ได้  น้ำเสียงนั่น ไม่ได้มีแววล้อผมเล่นแต่อย่างใด  กี่ครั้งแล้วที่ใจของผมเต้นรัวไปกับไอ้ภพ กี่ครั้งแล้วที่ผมเป็นแบบนี้  ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องคิดไกล แต่ก็ช่วยไม่ได้  ตอนนี้ผมอยากหวังและอยากรู้เหลือเกินว่าเคยมีสักครั้งไหมที่ใจผมกับมันจะเต้นด้วยจังหวะเดียวกัน
.

.

.

(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2017 13:16:22 โดย P-Rawit »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตั้งแต่ตื่นมาวันนี้จะพูดว่าผมมีความสุขมากๆก็ทำได้ไม่เต็มปาก   เพราะเมื่อผมกับไอ้ภพลงมาจากห้องและทำกิจวัตรประจำวันไป ก็มีทีมงานจากเกมส์ แต่ไม่ใช่ชุดเดิมกับที่จะมาเอาไอ้ภพออก เดินเข้ามาทักทายในบ้าน ก่อนจะนำตัวผมกับไอ้ภพ ไปแต่งองค์ทรงเครื่อง ให้ดีกว่าสภาพในตอนนั้นอย่างรีบร้อนจนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก  เลยกลายเป็นว่าจากยาจกคนหนึ่ง บัดนี้ได้เขยิบฐานะขึ้นมาเป็นคนใช้   

….ซึ่งต่างจากไอ้ภพ…. 

ในตอนแรกที่ผมถูกแปลงสภาพ ผมมองตัวเองในกระจกก็อดที่จะชมตัวเองไม่ได้ว่าผมก็หล่อ  แต่เมื่อมองไปที่ไอ้ภพ ทุกอย่างที่ว่ามามันก็หายไปทันที  ไอ้ภพในสภาพที่ผมถูกเซตขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่แต่งเติมเครื่องสำอางไปเล็กน้อย ได้ทำให้มันกลายเป็นผู้ชายที่ดูมีภูมิฐานและหล่อขึ้นเป็นกอง  ทีมงานที่แต่งหน้าให้มันต่างหลงใหลไปกับใบหน้าราวกับรูปปั้นนั่นไม่ต่างไปจากผม วัดได้จากคำชมมากมายที่ถูกเอ่ยให้มันได้ยิน แต่มันก็ทำแค่ยิ้มรับและขอบคุณไปเท่านั้น

เมื่อผมและไอ้ภพพร้อม  ทีมงานจากเกมส์กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกกับเราว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ทางรายการได้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ร่วมสนุก อันเนื่องมาจากกระแสความแรงของคู่ผม ที่ไปกระตุ้นยอดคนดูได้สูงกว่าปีก่อนๆ

“เอ่อ….ขอโทษนะครับ กิจกรรมที่ให้ร่วมสนุกคืออะไรหรอครับ”

“ทางเราเปิดโอกาสให้ผู้ชมถามคำถามอะไรก็ได้เพื่อจะนำมาถามพวกคุณ โดยเราเลือกมา 20 คำถามที่ถูกถามมากที่สุดจากคำถามทั้งหมด”

“อ๋อ แล้วพวกผมต้องทำอย่างไรบ้างครับ”

“เดี๋ยวเราจะอัดเป็นคลิปวีดีโอนะครับ  คุณมิวมีหน้าที่แค่ตอบคำถามเท่านั้นครับ”

“ทำไมคู่พวกผมถึงเป็นกระแสได้ครับ”ไอ้ภพที่นั่งหน้าหล่อมาสักพัก ถามขึ้นบ้าง ซึ่งก็เรียกความสนใจจากทีมงานได้ไม่น้อย

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็รู้ครับ  เริ่มเลยนะครับ อันดับแรกแนะนำตัวให้กล้องเลยครับ”

“สวัสดีครับผมมิวครับ/สวัสดีครับผมภพครับ”

“คำถามแรกนะครับ  คิดอย่างไรถึงมาร่วมเกมส์นี้”

“คำถามเบสิคเลยนะครับ  ผมร่วมเกมส์นี้ในตอนแรกก็เพราะเงินเลยครับ อีกอย่างผมก็เล่นเกมส์โชว์มาหลายรายการแล้ว คงพอมีหลายคนคุ้นหน้าผมบ้าง  ผมเห็นว่าเกมส์นี้มันแปลกเลยอยากเข้าร่วมครับ” ผมยิ้มให้กล้องและตอบคำถามอย่างไม่เขินอาย คำถามแรกไม่ต่างไปจากที่ผมคิดเท่าไร

“ส่วนผม  เข้าร่วมเกมส์นี้เพราะเห็นว่ามันน่าสนุกครับ” คำตอบสั้นๆแต่กระชากจิตใจทีมงานถัดมาเป็นของไอ้ภพ

“คำถามต่อมาเลยนะครับ  คุณกลัวผีกันหรือไม่”

“ผมกลัวครับ  ในตอนแรกที่รู้ว่าได้ร่วมเล่นก็ทำผมใจเสียไปพอสมควร”

“ผมไม่กลัวครับ” คำตอบสมกับเป็นชายชาตรีของไอ้ภพ  ทำให้ทีมงานหลายคนต่างพร่ำเพ้อไปกับมันอีกรอบ ซึ่งปฏิกิริยาพวกนี้ไม่ได้มีตอนผมตอบคำถามแต่อย่างใด

“คำถามที่สามเป็นของคุณมิวนะครับ ในเกมส์ซ่อนหาทำไมคุณมิวถึงเปิดประตูออกไปครับ”

“ฮะ!!  ผมไม่ได้เปิดนะครับ ประตูมันเปิดเอง”  ความงุนงงเกิดขึ้นทันทีหลังจบคำถาม ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ผมที่งง ทีมงานทุกคนต่างก็ทำสีหน้าไม่ต่างจากผม เสมือนว่าต่างคนต่างก็ถือความจริงอยู่คนละเรื่อง

“คำถามถัดไปเลยครับ” ไอ้ภพรีบแทรกขึ้นมาอย่างรีบร้อน เลยทำให้บรรยากาศตึงๆเมื่อครู่หายไปกับตา

“อ่าครับ คำถามนี้เป็นของคุณภพนะครับ  ทำไมในช่วงกลางวันส่วนมากจะเห็นแค่คุณมิวครับ คุณภพไปไหน?”

“ผมแค่ออกไปพักข้างนอกครับ อยู่ในบ้านมันเบื่อๆ ไอ้มิวมันไม่ออกเพราะมันกลัวดำครับ”

“55555 คุณมิวนี่กลัวดำด้วยหรอครับ”

“เอ่อ ครับๆผมกลัวดำ” ผมค้อนขวับไปที่ไอ้ภพทันทีหลังจากที่มันโกหกเรื่องของมันและเบนความสนใจทั้งหมดมาที่ผม  ทีมงานพวกนี้ก็มีความสองมาตรฐาน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไอ้ภพมันหายไปไหนแต่กลับไม่มีใครทักท้วงอะไรขึ้นมา  ตัวการที่สร้างเรื่องก็หันมายิ้มเย้ยๆผมและตบท้ายด้วยการยักคิ้วกวนๆให้

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

บ้านแทบแตกไปในทันที เมื่อทีมงานผู้หญิงต่างก็แหกปากกันขึ้นมาลั่นบ้าน ทำเอาบรรยากาศบ้านผีสิงพังย่อยยับ และยังมีคำพูดที่เหมือนจะคุยกันเองว่า ไอ้ภพหล่อบ้าง   อยากได้บ้าง ต่างๆนานา เอ่ยขึ้นมาเป็นระยะ เล่นเอาไอ้ภพรีบทำหน้ากลับไปเป็นปกติแทบไม่ทัน

“55555” ผมแอบขำกับภาพตรงหน้า แต่คงแอบดังไปหน่อยจึงทำให้ไอ้ภพหันมามองผม

“มึงขำอะไรวะ”

“ขำมึงนั่นแหละ เป็นไงหละ หล่อดีนัก แม่ยกตรึมเลยทีนี้”

“แล้ว?  มึงอิจฉารึไง” ตาคมๆของมันหรี่ลงก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาอย่างจับผิด

“บ..บ้าละ   แล้วมึงจะยื่นหน้ามาทำไมเนี่ย  ออกไปเลย” ความรู้สึกผมค่อนข้างไวต่อการกระทำของไอ้ภพ  จึงรีบดันหน้ามันออกไป กลัวว่าจะต้องเขินมันหน้าแดงออกวีดีโอนี่  ไอ้ภพก็ไม่ให้ความร่วมมือ ยังคงต้านกับแรงดันมือผมและยิ้มอย่างเป็นเรื่องสนุก

“หยุดแกล้งกันก่อนนะครับ คำถามถัดไปนี่มีคนอยากรู้เยอะเลยครับ คุณสองคนรู้จักกันมาก่อนหรือไม่”

“ไม่ครับ” เราทั้งคู่ตอบพร้อมกันอย่างไม่ต้องสงสัย

“ทำไมคุณทั้งคู่ถึงดูสนิทกันมาก ทั้งที่อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วัน”

“ผมคิดว่าด้วยความที่ผมกับมันกินนอนด้วยกัน เวลาทั้งวันเราทำทุกเรื่องคล้ายๆกันมันเลยสนิทกันไปเองครับ”

“สำหรับผมก็ตามที่ไอ้มิวบอกเลยครับ”

“แล้วคุณเคยรับชมรายการนี้กันมาก่อนหรือไม่”

“ไม่/ไม่ครับ”  แทบจะในทันทีที่เราทั้งคู่หันมามองหน้ากัน อย่างคงกำลังสงสัย เป็นไปได้ยังไงที่ไม่เคยมีใครดูรายการนี้

“คำถามนี้ยากหน่อยนะครับแต่ขอให้ตอบด้วย  พวกคุณมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กันหรือไม่”

“ฮะ!!!!!!!!!!” ทั้งผมและไอ้ภพต่างก็ตะโกนออกมาสุดเสียง  หลังจากได้ยินคำถามบ้าบอนั่น ก่อนที่จะหันมามองหน้ากันด้วยแววตาเลิ่กลั่ก

“เอ่อ….ไม่รู้ครับ คงต้องเป็นเรื่องของเวลามั้งครับ”ผมที่ตั้งสติได้ก่อนรีบตอบขึ้นมาทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้น  แม้จะยังตื่นเต้นและตกใจกับคำถามมากก็ตาม   รู้เลยว่ากระแสที่มันดีขึ้น มันดีเพราะอะไร  ในหัวผมมีแต่คำถามว่า  ใครมันถามคำถามนี้ เดี๋ยวพ่อจับดีดหนังยางใส่ปาก  เอาเวลาตรงไหนของรายการไปคิดอะไรแปลกๆแบบนี้

“แล้วคุณภพละครับ?”   จบคำถามของทีมงานผมก็ต้องหันไปมองหน้ามัน  นั่งลุ้นกับคำตอบมันอย่างใจตุ้มๆต่อมๆ หากมันหักดิบตอบว่าไม่ ผมจะทำอย่างไรให้น้ำตาไม่ไหล  หรือถ้ามันคิดแบบผม ผมจะทำหน้าอย่างไรให้รู้สึกว่าชนะทีมงานทุกคน

ตุ้บ ตุ้บ    ตุ้บ ตุ้บ

“มิว…เค้าพูดไปหมดแล้วครับ” คำตอบอย่างดาราถูกเอ่ยมา  ทำให้ผมรีบหันหน้ากลับด้วยความเขินอาย อยากจะวิ่งออกไปดีใจรอบๆบ้าน   ตีลังกา320ตลบ  และยิ้มให้ทีมงานทุกคนอย่างผู้ชนะ  แต่ความจริง ผมก็แค่นั่งยิ้มๆกำมือแน่นๆไปคนเดียว

“คำถามต่อไปนะครับ คุณเจอวิญญาณกันบ้างหรือไม่”

“ผมไม่เจอและไม่เคยเจอครับ” ไอ้ภพชิงตอบก่อนเพราะเห็นว่าผมเงียบ สมองผมเวลานี้ตีกันสับสนไปหมด  ผมไม่แน่ใจว่าจะบอกไปดีหรือไม่ว่าผมเคยเห็น  หรือจะแค่โกหกตอบผ่านๆไป 

“คือเอ่อ คือผม….ไม่เคยเห็นครับ” ผมนั่งตีรวนตัวเองอยู่สักพัก  จนกระทั่งไอ้ภพยื่นมือมาบีบมือผม ผมจึงใจกล้าที่ตอบไปว่าผมไม่เคยเห็น   และยิ้มแกนๆให้กล้องอย่างเป็นกังวล

คำถามอีกมากมายถูกเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น  ส่วนมากไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับรายการนี้หรือสิ่งที่พวกผมทำในรายการ แต่จะเป็นคำถามส่วนตัว ประมาณว่า พวกเราชอบอะไร  ชอบกินอะไร   ชอบผู้หญิงแบบไหน อะไรพวกนี้มากกว่า  ผมกับไอ้ภพก็ตอบแกล้งกันไป  ตอบเอาสนุกๆแก้เครียดไป เพราะตั้งแต่อยู่ในบ้านมา วันนี้คึกครื้นที่สุด

เราใช้เวลาในช่วงบ่ายไปกับการถ่ายวีดีโอตอบคำถามให้ผู้ชม  คำถามในแต่ละข้อกินเวลาอยู่มากโข เพราะทางทีมงานได้บอกว่าให้เล่นได้ตามปกติ เราทั้งคู่จึงปฏิบัติต่อกันเหมือนไม่มีคนมอง จนกระทั่งถึงคำถามสุดท้าย

“เอาหละ คำถามสุดท้ายแล้วนะครับ ถ้าคุณคนใดคนหนึ่งเกิดตายหรือเป็นบ้าไปเกมส์นี้ คนที่เหลือจะรู้สึกอย่างไร

สิ้นเสียงของทีมงาน   ผมกับไอ้ภพก็อึ้งไปตามๆกัน  คำถามนี้สำหรับพวกผมถือเป็นคำถามต้องห้าม เพราะในช่วงเวลาที่เราต่างก็ช่วยเหลือกัน  ย่อมไม่มีใครคิดอยากให้ใครอีกคนเป็นอะไรไป 

“ผมไม่ตอบได้รึเปล่าครับ”

“ตอบเถอะครับ คำถามนี้เป็นคำถามอันดับหนึ่งที่ถูกถามมามากที่สุดนะครับ”

“จากใครหรอครับ?” ไอ้ภพสวนกลับไปในทันที แววตาของมันเริ่มทำเอาบรรยากาศรอบๆกายมาคุด้วยแรงอารมณ์

“เอ่อ…ตอบเถอะครับ ผมบอกไม่ได้จริงๆ” ทีมงานบอกกลับมาด้วยท่าทีที่คงกลัวไอ้ภพอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับคำสั่งจากเบื้องบนที่กดหัวผู้คนเหล่านั้นเอาไว้

“ก็ได้ครับ…สำหรับผม ผมไม่เคยคิดที่จะให้ไอ้ภพตายหรือเป็นบ้าไประหว่างเกมส์เพราะไอ้ภพมันใจแข็งมาก  รายการให้ทำอะไรมันก็ทำได้หมด  ถ้าวันหนึ่งมันเป็นบ้าหรือตายไป คิดว่ามันคงเป็นเพราะผม  ผมคงเสียใจมากที่ช่วยมันไว้ไม่ได้ เกมส์นี้มันไม่เหมาะกับคนจิตอ่อนอย่างผมหรอกครับ  ถ้าต้องมีหนึ่งคนเป็นบ้าไป ผมว่ามันควรจะเป็นผมมากกว่า…”

ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง   ก่อนที่จะเลือกตอบคำถามทีมงานไปตามความเป็นจริง  ไอ้ภพมันหันมามองอย่างไม่คิดว่าผมจะเห็นค่าตัวเองน้อยขนาดนั้น ซึ่งสำหรับผมแล้วสิ่งที่ผมตอบมันไม่ได้เกินจริงใดๆ  มันคือสิ่งที่ผมและมันต้องยอมรับหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

“เกมส์นี้ ในความรู้สึกผม ผมไม่ใช่คนเข้มแข็ง ผมยังมีอารมณ์กลัวและหวาดหวั่นตามประสามนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อต้องอยู่ในเกมส์นี้กับไอ้มิว ที่มีโอกาสพาตัวเองออกไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังอยู่เพียงเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนผม ผมก็ต้องเข้มแข็งและปกป้องมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้  ไอ้มิวมันไม่เหมือนกับที่เราเห็น   พวกผมสัญญากันไว้ว่าจะไม่มีใครทิ้งใครไป หากวันหนึ่งไอ้มิวต้องเป็นบ้าหรือตายไป ผมก็คงไม่รอดด้วย  กิจกรรมที่ทีมงานให้ทำมันไม่มีเกมส์ไหนพาพวกผมตายได้สักเกมส์ อีกทั้ง….”  ผมรีบบีบมือไอ้ภพ และใช้สายตาปรามมันให้เร็วที่สุดก่อนที่แรงอารมณ์ของมันจะพาพวกเราแย่  ในเกมส์นี้เรายังหาเบาะแสไม่ได้ว่ามีฆาตกรจริงหรือไม่   ผมจึงไม่กล้าเสี่ยงให้มันพูด

“อีกทั้งอะไรหรอครับคุณภพ”

“อีกทั้ง ผมยังหล่อและเก่งครับ ผมจึงมั่นใจว่าผมสามารถรอดและปกป้องไอ้มิวได้อย่างแน่นอน”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือของทีมงาน  ดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไอ้ภพทำลายบรรยากาศขุ่นมัวรอบๆตัวให้กลับมาครื้นเครงด้วยคำตอบแบบพระเอกของมัน

พวกผมฝืนยิ้มให้กล้องที่เป็นอย่างสุดท้าย ก่อนที่ทีมงานจะยกออกไป  รอบตัวของผมเต็มไปด้วยความสนุกสนานมากมาย เพราะงานที่ทีมงานต้องทำเป็นอันเสร็จสิ้น  เว้นแต่ผมกับไอ้ภพ ที่ตั้งแต่เจอคำถามนั่นไป เราทั้งคู่ก็ได้แต่นั่งจับมือที่มีแต่เหงื่อซึมออกมา   และต่างก็รู้กันว่าคำถามเมื่อสักครู่  มันไม่ธรรมดา

“ปีก่อนๆมีคำถามให้ผู้เข้าแข่งขันเล่นอย่างนี้มั้ยครับ  ผมว่ามันช่วยคลายเครียดมาก”  ไอ้ภพถามกับทีมงานที่กำลังเก็บของเตรียมจะกลับ

“ไม่มีหรอกครับ ปีนี้เราจัดเป็นพิเศษ ถ้าปีก่อนๆเราจะให้ทำเป็นแบบสอบถามมากกว่า”

“คำถามแบบนี้เลยหรอครับ”

“ไม่หรอกครับ  ปีที่ผ่านมานี่ทางการกว่าเยอะมากครับ คุณภพกับคุณมิวนี่โชคดีมากเลยนะครับที่โดนถามแต่อะไรเบาๆ”

“55555 ไม่เบามั้งครับ คำถามสุดท้ายก็เล่นซะอ่วมเลย”

“เป็นปกติครับ ปีผ่านๆมาก็แสดงอาการแบบเดียวกับคุณหมด แต่ยังไงก็ระวังนะครับ เรื่องแบบนี้มันมีทุกปีไม่รู้ว่าเพราะอะไร”

“หรอครับ  ขอบคุณมากเลยนะครับ ช่วยพวกผมได้เยอะเลย”

กว่าที่ทีมงานจะกลับออกไปจากบ้านหลังนี้ ก็เกือบจะเย็นแล้ว ผมกับไอ้ภพในตอนนั้นต่างก็ภาวนาให้ทีมงานกลับกันเร็วๆ เพราะข้อมูลที่ได้มาใหม่เป็นสิ่งที่เราพึ่งจะรู้  อีกทั้งข้อสงสัยเรื่องการเข้าร่วมเกมส์ของเราก็ดูเหมือนจะเป็นประเด็นใหญ่จนได้เมื่อไม่มีใครเคยเกี่ยวข้องกับรายการเลย

“มึงคิดเหมือนกูใช่มั้ยวะ บีหนึ่ง” เมื่อขึ้นมาบนห้องผมรีบหันไปถามไอ้ภพทันทีด้วยความตื่นเต้น  ข้อมูลพวกนี้มันจะทำให้ผมหาความจริงได้เร็วขึ้น ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า ผมสามารถลดโอกาสการเจอผีได้มากขึ้นไปอีก

“…..”

“อ้าว บีหนึ่งมึงเงียบทำไม มึงไม่คิดเหมือนกูหรอวะ”

“บีหนึ่งห่าอะไรของมึง”

“นี่มึงไม่รู้จักกล้วยหอมจอมซนหรอวะ??   มึงเติบโตมากับวัฒนธรรมไหนไอ้ภพ”

ป้าบบบบบบ

“โอ้ย มึงตบหัวกูอีกแล้ว จะใช้ความรุนแรงอะไรนักหนาวะ”

“เรื่องแบบนี้มึงยังจะเล่นอีกนะ”

“ก็กู…ไม่อยากให้มึงเครียด” ผมกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง เมื่อไอ้ภพไม่มีอารมณ์เล่นด้วย  สีหน้าของมันดูกังวลมากตั้งแต่เจอคำถามนั่น 

“มึงคิดอย่างไรกับคำถามสุดท้าย?” ไอ้ภพพุ่งประเด็นเข้ามาทันที

“สำหรับกู กูมองว่ามันเหมือนจดหมายเตือน  เพียงแต่มันระบุเวลาไม่แน่นอน น้องมึงถูกปลดออกจากเกมส์หลังเล่นไปสิบห้าวัน กูคิดว่าอีกไม่กี่วันเราคงต้องโดนอะไรบางอย่าง”  น้ำเสียงของผมเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน ไม่ต่างไปจากสีหน้าไอ้ภพ  ด้วยความที่พวกผมอาศัยบ้านนี้มาได้ 6 วันแล้ว ยิ่งตอนนี้ยังไม่มีใครออกจากเกมส์ไป  รายการคงไม่ปล่อยให้เสียเวลา

“อืม กูก็คิดแบบนั้น  เราจะทำไงดีวะ”

“ใจเย็นๆก่อนไอ้ภพ มึงมีสติ อย่าตามเกมส์ กูกับมึงมีหน้าที่วางไว้อยู่แล้ว  รีบทำตามนั้นก็พอ”

“อืม”มันพยักหน้ารับ

“อีกเรื่อง มึงไม่เคยดูรายการนี้หรอไอ้มิว”

“ใช่ กูเพิ่งเคยเห็น และก็เพิ่งเคยสมัครเข้ามา แล้วมึงอ่ะทำไมไม่เคย”

“ตอนนั้นกูก็กะว่าจะดู แต่กูติดงานเลยไม่ได้ข้องเกี่ยวอีกเลยจนเข้ามาในเกมส์ปีนี้  น้องกู…ก็ไม่เคยดู”

“มึงคิดว่าตรงนี้มีอะไรแปลกมั้ย?”

“มี เหมือนเกมส์มันจะเลือกแค่คนไม่เคยดูเข้ามาเท่านั้น แต่กูไม่รู้ว่าเพราะอะไร”

“เพราะ…กล้องพวกนั้นไง”ผมคิดตามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดคำตอบที่ผมคิดว่าใช่ออกมา   ไอ้ภพเลยรีบหันมามองหน้าผมอย่างสงสัย 

“เกมส์นี้มันถ่ายทอดชีวิตผู้เล่นผ่านกล้อง  คนที่เคยดูย่อมรู้ว่าผู้เล่นจะเจอกับอะไร หลายคนถึงกล้าที่จะสมัครเข้ามาเสี่ยง แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดู เกมส์มันสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา เพราะอย่างไร พวกเราก็ไม่รู้”  คำตอบของคำถามที่ผมเคยสงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นผม ถูกเฉลยออกมาอย่างง่ายดาย  เกมส์นี้มันไม่ได้สุ่มผู้เล่น แต่มันจงใจเลือกคนเข้ามา

ระบบของเกมส์เมื่อจะเข้าดูรายการต้องสมัครสมาชิกมาก่อนเท่านั้น จึงทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลอยู่แล้ว  ส่วนคนที่จะสมัครเข้ามาเล่น ไม่ต้องสมัครสมาชิก จึงทำให้ข้อมูลแตกต่างจากผู้สมัครอีกหลายๆคน  เกมส์นี้มันเป็นที่รู้จักก็จริง แต่อีกหลายๆคนก็เพิ่งจะได้เห็นและรู้ถึงการมีอยู่   เกมส์จึงคัดคนเข้ามาไม่ยาก

“อย่างนี้สินะ” ไอ้ภพยืนหน้าเครียดดังเดิม  มันกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนทำให้ใบหน้าหล่อๆของมันตอนนี้ ดูแย่ลงไปกว่าเดิม  ผมมองมันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เพราะผมเชื่อว่าตอนนี้เครียดไปก็เท่านั้น เราทำอะไรไม่ได้ ผมจึงไม่อยากให้มันตีตนไปก่อน 

“ภพ”  น้ำเสียงผมปลุกมันออกจากความคิด และทำให้มันมองหน้าผมได้    คิ้วของมันยังไม่หายขมวดเป็นปม สร้างความรำคาญตาให้กับผม

“นี่ รู้ตัวมั้ย…วันนี้มึงหล่อมากนะ อย่าให้ความเครียดมาทำลายมึงสิ  ไอ้ภพคนเมื่อเช้าหายไปไหนแล้ว ทำไมทิ้งกูให้อยู่กับไอ้ภพคนนี้ กูเป็นห่วงมันนะ” ผมยื่นมือไปนวดระหว่างคิ้วเพื่อคลายเครียดให้มันซึ่งกำลังมองหน้าผมอยู่ ดวงตาของเราทั้งคู่จ้องกันอย่างไม่ได้ละสายตาไปไหน   

ไม่เลย…แม้แต่วินาทีเดียว

หมับ

ไอ้ภพยื่นมือขึ้นมาจับมือผมให้หยุดการกระทำ ก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ   มันเม้มปากแน่นจนริมฝีปากถูกกลืนไปกับผิวหน้าเหมือนกับว่ามันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับผม 

บางอย่าง…ที่แม้แต่ตัวผมก็ไม่มีทางกล้าจะเอ่ยขึ้นมาก่อน

“ทำไมถึงบอกว่า...ขึ้นอยู่กับเวลา” ไอ้ภพถามขึ้น  มันคงจะนึกถึงคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของเราในอนาคตที่ผมไม่ปฏิเสธออกไป ตัวผมเองรู้ดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไร ผมจึงส่งยิ้มเล็กๆไปให้ ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดทั้งกับผมและมัน



“กูไม่อยากปิดกั้นตัวเอง อนาคตกูไม่รู้ว่าจะอยู่ในบ้านหลังนี้อีกนานเท่าไร หากความรู้สึกของกูมันเปลี่ยนไปเพราะมึง กูก็อยากยอมรับ มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรสำหรับกู  แล้วมึงหละ…เพราะอะไร?” 




***********************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 10 มาส่งแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบบ   ตอนนี้เป็นตอนหวานๆบ้างเนอะเผื่อคนทนความหลอนไม่ไหว :hao7:

ผมอาจจะแต่งตอนหวานๆไม่เก่ง  ไม่กุ๊กกิ๊กเท่าที่ควร หากไม่ชอบใจก็ขอโทษด้วยนะครับบ   

ฝากคอมเมนต์ ติชมกันเยอะๆเน้ออออ  มันเป็นกำลังใจให้ผมมากกกกก :o8:

สุดท้าย  เจอกันตอนหน้าครับ  P-Rawit



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2017 00:06:05 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยยย มีความรู้สึกว่ามิวจะสตรองไปไหนเนี่ย
รู้ว่าต้องเจออะไรแต่ก็เดินหน้าต่อ นับถือใจนางงงงงงง

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
รายการนี้มันต้องตั้งใจไม่ให้ใครได้รางวัลแน่ๆ
พอฉากหวานๆล่ะอ่านกลางวัน ฉากหลอนๆดันไปอ่านกลางคืน :mew5:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
เหมือนเม้นข้างบนเลยค่ะ...
นี่อ่านกลางวัน แต่หวานกันซะงั้น
พอหลอนๆ ก็ไปอ่านกลางคืนเฉย 555555

มิวแกร่งมาก ทั้งที่เจอมาหนักหนาเหลือเกิน งือออ
ทั้งสองอยู่แบบพึ่งพากันจริงๆ ไม่ใช่แค่ภพช่วยมิว
เวลาคนนึงอ่อนแออีกคนก็อยู่ข้างๆ คอยเตือน ให้กำลังใจ

ตอนนี้จบได้ค้างมากค่ะ กำลังลุ้นเลย งื้อออ
มิวเผยออกมาแล้ว พี่ภพว่าไงคะ ตอบน้องดีๆ น้า...  o18

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ค่อยยังชั่วที่วันนี้ไม่มีหลอนๆ 5555

ออฟไลน์ AkaneSama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ากลัวเป็นที่สุด   :ling3:  :katai1:  อ่านแล้วทำให้รู้สึกเหมือนจะเป็น  :hao7:  :hao7:

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มิวเขินน่ารักกกกก :mew2:

ปลิง.ขอบคุณคนเขียนที่สอนเม้นนะคะะะ เม้นเป็นแล้วโว้ยยยย สัญญาว่าจะเม้นทุกตอนเลยย55555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2017 17:44:03 โดย JACKSON »

ออฟไลน์ minibusez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นี่เพิ่งจะหกวัน  :katai1: ความรู้สึกคือกว่าจะถึง 15 วันนี่จะรอดไหมเนี่ย

คำถามสุดท้ายทำเราหวั่นๆ เลย  :heaven ถ้าจะต้องมีใครเก็บกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟ /ผิด 555 รายการคงบีบให้เหลือคนเดียวแน่ๆ เลยจากรูปการณ์

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8: :o8: :o8: :o8:  สนุกมากก  รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่11

ศพทวงตาย


หน้าของไอ้ภพชัดเจนในความรู้สึกของผม  มันปรากฎเด่นชัดขึ้นมาได้นานพอควรเพียงแต่ผมยังไม่อาจจะยอมรับได้ในขณะนั้น ความกังวลและความไม่กล้าที่เกิดขึ้นบดบังเสียงของสมองไปแทบมิด แต่ตอนนี้หัวใจของผมมันดื้อรั้นจนควบคุมไม่ได้แล้ว  การตอบคำถามว่าขึ้นอยู่กับเวลาจึงเป็นอะไรที่ดีที่สุด

ความรู้สึกชอบพอกันของมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงมักถูกจำกัดด้วยบริบทของชายและหญิง  การชอบเพศเดียวกันจึงเป็นเรื่องผิดแปลกไป   สำหรับตัวผมเรื่องพวกนี้ทำอะไรผมไม่ได้  ผมไม่เคยสนใจโลกภายนอกที่ให้ความสุขจอมปลอมแก่ผม   สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงหัวใจของผมเท่านั้นที่ร่ำร้องบอกว่าใครคือคนที่สร้างความสุขที่แท้จริง

แต่สำหรับไอ้ภพ ผมไม่รู้เลยว่ามันคิดแบบเดียวกับผมรึเปล่า  คำถามที่ผมถามไปมันก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ  ไม่ใช่ว่ามันเมินแต่เพราะตอนนั้นลุงคำมาตะโกนเรียกหาพวกผมในบ้าน  เราทั้งคู่จึงต้องรีบวิ่งลงไปให้เร็วที่สุดเพื่อฟังคำชี้แจงที่เกมส์อาจสร้างมาให้เพิ่มหรือไม่ก็ลงไปคุยกับลุงไม่ให้เสียมารยาท

“เฮ้ย !! นี่พวกเอ็งไปทำอะไรกับหน้ามา” ลุงคำ ถามด้วยความตกใจจนเสียงหลง

“อ๋อ เมื่อช่วงบ่ายผมมีอัดคลิปตอบคำถามผู้ชมกันครับ ทีมงานเลยจับแต่งหน้า”

“ถึงว่า…ลุงเห็นลิปสติกตกอยู่  ลุงก็สงสัยว่าพวกเอ็งเอามาจากไหน”

“หืม? มีด้วยหรอครับ อยู่ตรงไหนครับลุง”

“ลุงเห็นตกอยู่ที่ข้างตู้หนังสือนั่นแหละ”

“สงสัย….ทีมงานคงลืมเอากลับ”

“ลุงเรียกพวกผม มีอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ”  ไอ้ภพถามแทรกขึ้นมา เรียกความสนใจจากลุงคำที่กำลังคุยกับผมให้หันไปมองหน้ามัน  คำถามนี้ผมก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน  เสียงของลุงคำที่ใช้เรียกพวกเรามันเจือไปด้วยความน่าตื่นเต้นเล็กๆจนพวกเราสองคนรู้สึกลุ้นไปกับคำพูดของลุงคำตั้งแต่ลุงแกยังไม่เปิดปากด้วยซ้ำ

…เกมส์วันนี้มันกำลังจะให้ผมทำอะไร…

“มีสิ สำคัญมากด้วย”

“อะไรหรอครับลุง เกี่ยวกับเกมส์คืนนี้หรอครับ”

“ใช่  เกมส์วันนี้ไม่ต้องไปหยิบหนังสือนั่นมาอ่านนะ”

“ทำไมหรอครับลุง”

“ทางผู้จัดการเกมส์บอกลุงว่า วันนี้ทางรายการอยากให้พวกเอ็งพักผ่อนเลยงดกิจกรรม”

“ฮะ!!! จริงหรอครับ!!!   ทำไมอ่ะลุง  เกิดอะไรขึ้น” ผมตอบออกไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ประโยคนั้นของลุงคำนอกจากความหมายตรงตัวที่ว่าวันนี้ผมจะอยู่สบายๆกันแล้ว  มันยังแฝงความนัยเพิ่มอีกว่าวันนี้ผมจะไม่มีโอกาสเจอผีอีกด้วย   

ถึงแม้ว่าผมจะกลายเป็นคนมีสัมผัสที่6ไปแล้ว แต่บ้านหลังนี้มันไม่ได้มีวิญญาณให้ผมเห็นเลยตั้งแต่แรก ดังนั้นการที่ผมไม่ต้องท้าทายมันจึงเอื้อประโยชน์ให้กับผมนัก ผมรีบหันไปมองไอ้ภพกะว่าจะหาเพื่อนร่วมดีใจ  แต่กลายเป็นว่าไอ้ภพมันกำลังทำสีหน้าเคร่งขรึมจ้องลุงคำอย่างไม่วางตา จนผมต้องรีบหุบยิ้ม

“มีอะไรรึเปล่า  ภพ? ลุงเรียกถูกใช่มั้ย?” ลุงคำหันไปหาไอ้ภพก่อนจะตอบคำถามผม

“ครับ?..เอ่อไม่มีอะไรครับ แล้วทำไมเกมส์ถึงให้หยุดหละครับลุง” ไอ้ภพสะดุ้งเล็กน้อยพอเป็นพิธีหลังได้สติจากคำถามนั่น

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน  ดีใจกับพวกเอ็งด้วยนะ”

“ขอบคุณครับลุง/ขอบคุณครับ”

“งั้นลุงไปก่อนแล้วกัน  พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่”

ผมปล่อยลุงคำออกจากบ้านไปด้วยความรู้สึกอิ่มๆอยู่ในอก  คำว่าดีใจจนเนื้อเต้นเป็นอย่างไรวันนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้  สัญญาณของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไม่ได้มีผลต่อผมเหมือนในทุกๆวัน  ความสบายใจที่จะอยู่ในเกมส์นี้ก่อตัวขึ้นมามากอย่างบอกไม่ถูก วันนี้คงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวันที่ดีที่สุดของผม

“ไอ้ภพเป็นอะไรไปวะ  วันนี้วันดีนะเว้ย”  ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดคอไอ้ภพ จนร่างมันเซเข้าหาตัวผม

“…..”

“อ้าวเฮ้ย  มึงเงียบทำไมเนี่ย ดีใจกันหน่อยดิวะ”

“มึงไม่สงสัยอะไรหน่อยหรอ”

“สงสัย?  จะให้สงสัยอะไรวะไอ้ภพ รายการทำดีกับเรามาตั้งแต่เช้าแล้วนะเว้ย”

“ก็นั่นแหละ…ที่กูกำลังสงสัย”

“หมายความว่าไง?”

“กูไม่รู้จะพูดยังไง มันไม่ใช่ว่ากูไม่ดีใจที่ทีมงานดีกับเรานะ แต่ว่า…นี่มันมากไป”


ใจดีมากไป งั้นหรอ?....


วูบหนึ่งของความคิด  สะกิดลางสังหรณ์ของผมให้ทำงาน  ทีมงานดีกับผมมาทั้งวันก็จริง แต่นี่มันดีเกินไป รายการปล่อยให้ผมระทมทุกข์มา 4 วันเต็มโดยไม่เหลียวแล มิหนำซ้ำยังทารุณพวกผมเพิ่มไปอีกโดยการบังคับให้ทำในสิ่งที่หนังสือไม่บอกไว้  เหตุใดเรื่องดีๆถึงประเดประดังเข้ามาในวันเดียว

“มัน…แปลกจริงๆ” ผมนิ่งเงียบพูดแทบไม่ออก คิ้วขมวดต่ำลงมาจนแทบจะบังเปลือกตา  คำพูดไอ้ภพกระตุ้นให้ต่อมป้องกัน
ตนเองของผมทำงาน หลังจากที่มันหยุดไปเพราะคำพูดแสนหวานจอมปลอมของลุงคำนั่น

“อืม  แต่อย่าเพิ่งคุยตอนนี้ตามกูขึ้นมาบนห้อง”  ไอ้ภพยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผม  ลมหายใจอุ่นๆของมันพร้อมกระตุ้นเซลล์สมองผมให้รีบทำตามมันโดยอัตโนมัติ  ถ้าไม่ติดว่าสายตาของผมดันเหลือบไปเห็นกล้องที่ติดอยู่บนกำแพงเสียก่อน

พลันความคิดก็รีบส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยขึ้นมา พฤติกรรมของเราเมื่อครู่อาจจะกำลังก่อพิรุธให้ทีมงานสงสัย  สิ่งที่ทีมงานถามผมเมื่อตอนกลางวันย้อนกลับเข้ามาในหัว ผู้ชมรายการนี้กำลังจับตาดูคู่ผมกับไอ้ภพ ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ปากของผมจึงเริ่มทำงานโดยการแกล้งยิ้มหวานๆและส่งเสียงหัวเราะเล็กๆออกมา เสมือนว่าเราสองคนกำลังสร้างความรักกันอยู่

“มึงจะยิ้มทำไม?  มันใช่เรื่องน่ายินดีตรงไหน”

“อย่าเพิ่งถาม  เล่นตามเกมส์กูไป จับมือกูขึ้นบันไดไปด้วย!!” ผมปล่อยเสียงให้เล็ดรอดไรฟันออกมาพร้อมส่งสายตาเชิงบังคับไอ้ภพให้ทำตาม เพราะขณะที่ผมพูดผมยังต้องยิ้มสู้กล้องหลอกทุกคนอยู่แบบนั้น  ไอ้ภพยังคงไม่เข้าใจกับการกระทำของผม แต่มันก็ไม่ได้ขัดอะไร ยอมทำตามคำสั่งผมและเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ

แทบไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะเป็นไปมากขนาดนี้….

ลึกๆแล้วแผนการจับมือ  มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนดูด้วยซ้ำ  คนที่กำลังโดนหลอกมันคือตัวผมที่กำลังหลอกตัวเองว่าไอ้ภพมันอยากจะจับมือ ฉะนั้นการที่ผมยิ้มกว้างจนแก้มขึ้นริ้วสีแดงๆระเรื่อให้คนดูเห็น จึงไม่ใช่การเสแสร้ง

…มันกำลังเกิดจากใจผมจริงๆ…

“หยุดยิ้มสักที  กูขนลุก”  มันสั่งให้ผมหยุดอากัปกริยาของตัวเอง หลังจากมันปิดประตูห้อง

“ตามเกมส์กูหน่อยได้มั้ยวะ  จะได้ไม่ผิดสังเกตเพราะคนดูมันกำลังคิดว่ากูจะได้กับมึง”

“แล้วไง?  กูต้องเสียเปรียบขนาดนี้เลยหรอวะ”

“ไอ้ห่า!!  กูก็เสียเปรียบ  อยู่ดีๆก็ถูกจับยัดให้มีมึงเป็นแฟนเนี่ย” ผมโวยลั่นเมื่อมันเล่นทำหน้าทำตาไม่พอใจใส่ผม  ไม่รู้ว่ามันกำลังจริงจังแค่ไหน  แต่ในความจริงคนที่เสียเปรียบไม่ได้มีแค่มันด้วยซ้ำ  ผมก็เสียไปด้วย แต่ผมยอม ถ้ามันจะทำให้ผมได้สัมผัสกับตัวมัน แม้จะแค่ปลายนิ้วก็ยังดี

“แล้วมันไม่ดีตรงไหน?”

“มันก็ดีไงเล่า !!! จะอะไรนักหนาวะ”

“….” 

“อะ เอ่อ…ช่างมัน มึงมีอะไรจะพูดวะ”  ผมไม่เป็นตัวเองไปชั่วขณะ ดวงตาของผมหลุกหลิกไปมาเพราะไม่สามารถจ้องหน้ามันตรงๆได้ เนื่องจากการเผลอหลุดพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกไปให้มันฟัง ไอ้ภพนิ่งค้างไปกับคำพูดของผมนิดหน่อยก่อนจะกลับมาปกติเพราะผมรีบเปลี่ยนเรื่องไปอย่างเร็ว

“กูสงสัยเรื่องที่รายการสั่งให้เราหยุดเล่นเกมส์วันนี้   มันไม่มีเหตุผลเลย”  ไอ้ภพมันกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง

“สำหรับกู มันแปลกตรงที่ทำไมรายการถึงยัดเยียดเรื่องดีๆทั้งหมดมาให้เราวันนี้  กูกลัวมันจะมีอะไรแฝง” ผมบอกมัน

“กูก็กลัวแบบนั้น แล้วมึงพอจะคิดอะไรได้บ้างมั้ย?”

“อืม..ถ้าให้คิดมันก็มี”

“เรื่อง?”

“คำเตือนจากคำถามนั่นไง กูว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกัน”

“ถ้าอย่างนั้น….กูก็ว่ามันไม่แปลกแล้ว” มันทำท่าคิดตาม ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ทำไม?”

“มึงคิดดูนะ  ถ้าจดหมายนั่นมันคือคำเตือนกูกับมึงจริงๆ ตอนนี้รายการคงกำลังจะเริ่มทำในสิ่งที่กูกับมึงกลัวกันแล้ว เราอยู่ในเกมส์โดยที่ไม่เป็นอะไร นานเกินไป…”

“มันจะทำไปเพื่ออะไรวะ  กูว่าสาเหตุที่ผู้เข้าแข่งขันปีก่อนมันไม่มีใครมาบอกอะไรได้เพราะโดนแบบนี้จนเป็นบ้ากันไปแน่ๆ” ผมเหวลั่น เพราะเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายความไม่ปลอดภัยบางอย่าง

“ไม่มันก็…ตาย”

“อืม…” ผมพยักหน้าตอบไปเบาๆ พร้อมกับแววตาผมที่หม่นแสงลง

ผมลืมคิดไปได้อย่างไร ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ติดหัวผมมากที่สุด  เรื่องเล่าเจ็ดเรื่องจากคนตายมันก็บอกทุกอย่างกับผมหมดแล้วว่ารายการนี้มันไม่ปกติ ฉะนั้นสิ่งที่ผมกำลังจะต้องเจอต่อไป มันจึงเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ผู้เล่นคนอื่นๆเคยโดน

“เริ่มแล้วจริงๆสินะ…” ผมพูดกับตัวเองอย่างสิ้นหวัง  เวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ของผมเหลือน้อยลงเต็มที  ไม่ใช่เพราะผมมีเบาะแสมากมายจนหาเรื่องจริงทั้งหมดได้  แต่เป็นเพราะ รายการกำลังจะใช้วิธีเดียวกับปีก่อนๆกำจัดผมให้ออกจากเกมส์

วิธีที่บีบให้พวกผมไม่ต่างไปจากหมาจนตรอก….

“มึงจะไม่เป็นอะไร…เชื่อใจกู”  ไอ้ภพกระชับมือของผมให้แน่นมากขึ้น   เราทั้งคู่ต่างก็สบตากันอย่างกังวล  นัยน์ตาไอ้ภพไม่ได้เข็มแข็งเท่าที่มันพูดไว้  มันสั่นไหว  มันกำลังกลัว แต่เพราะคำสัญญาที่บอกว่าจะดูแลผม มันจึงต้องแสดงออกมาว่าใจกล้าให้ถึงที่สุด

ผมมองหน้ามันอย่างให้กำลังใจและต้องการสื่อให้มันรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการให้มันปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว  ผมก็เป็นผู้ชายที่ก็สามารถทำใจให้แข็งได้เมื่อยามที่รู้ว่าอันตรายกำลังมาถึงตัวเองและคนที่ตนเองห่วงหา  ผมอยากให้มันรู้ว่าผมก็สามารถปกป้องมันได้เหมือนกัน  แม้จะไม่ได้ด้วยกำลัง แต่ดวงตาของผม มันมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ ความพิเศษนั้นเดิมทีผมไม่ต้องการ แต่ถ้ามีมันแล้วจะช่วยไอ้ภพได้  ผมก็ยอม

ตอนนี้ผมกับมันต่างยืนจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง มองหน้ากันแต่แววตาเราทั้งคู่ไม่ได้สื่อถึงกันอีก แต่ละคนกลับสู่โลกของตนเอง  ใช้ความคิดไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นและรีบขจัดความกังวลที่มีอยู่อย่างหนัก จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งว่า  ตั้งแต่ขึ้นห้องมาจนกระทั่งถึงตอนนี้

มือของเราทั้งคู่ยังไม่คลายออกจากกัน

****************************************************

“มึงแพ้แล้ว  มาให้กูทำโทษซะไอ้ภพ 5555” เสียงดังโหวกเหวกของผม กำลังบอกถึงบรรยากาศความสนุกที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
เมื่อเราทั้งคู่ตั้งสติกับปัจจุบันได้ ก็รีบพากันลงมาข้างล่างทำในสิ่งที่เหมือนๆกับในแต่ละวัน  จนเมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย  ร่างกายของผมก็ยังไม่ได้ต้องการที่จะนอน  ด้วยความที่ว่าหลายคืนก่อน พวกเราต่างก็นอนหลังเที่ยงคืนไปแล้ว  วันนี้ผมกับมันจึงต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาไปก่อน

เราทั้งคู่ตัดสินใจที่จะนั่งเล่นเกมส์กันง่ายๆแบบที่ทุกคนก็ต้องเคยเล่น นั่นคือ เกมส์เป่ายิงฉุบ  โดยมีกติกาคือพวกเราจะเล่นกัน 5เป้า เมื่อครบแล้วใครชนะมากที่สุดจะมีสิทธิ์ทำโทษโดยการเขียนหน้าจากลิปสติกที่ทีมงานทำหล่นไว้ในบ้านหลังนี้   ซึ่งเกมส์ล่าสุดที่ผมเล่นไอ้ภพเป็นฝ่ายแพ้ จึงต้องโดนเขียนหน้าไปตามระเบียบ

“พอ เลิกเล่นๆ หน้ากูมีแต่รอยแล้วเนี่ย จะล้างออกรึเปล่าก็ไม่รู้”  ไอ้ภพเหวลั่น   เพราะหน้าตาของมันเต็มไปด้วยหลักฐานของความพ่ายแพ้

“อย่ามาโวยไอ้ภพ มึงชนะกูทีก็แทบจะทาสีบนหน้ากูแล้ว”

“งั้นก็เลิกเล่น กูจะไปอาบน้ำนอน”

“เออ  แต่เอาหน้ามึงมาให้กูเขียนก่อน อย่าเนียนๆ”ไอ้ภพส่ายหน้าเบาๆอย่างยอมแพ้ ก่อนจะยื่นหน้าของมันให้ผมเขียนเป็นครั้งสุดท้าย   

เมื่อทุกอย่างจบลง  เราทั้งคู่ก็ปิดไฟด้านล่างทั้งหมดโดยที่ผมไม่ลืมที่จะไปวางลิปสติกไว้ที่เดิม  และค่อยๆเดินตามแผ่นหลังไอ้ภพขึ้นห้อง   ผมบังคับให้มันรอผมเพราะแม้ว่าวันนี้ผมยังไม่ได้เห็นผี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะหายกลัวกับบรรยากาศในบ้านนี้ไปได้

ผมขึ้นมาบนห้องและตัดสินใจที่จะอาบน้ำเป็นคนแรก  เพราะตอนนี้มันยังไม่ได้ดึกมาก ผมกลัวว่าหากอาบช้ากว่านี้ผมจะยิ่งกลัวจนอาบไม่ได้  ซึ่งตัวไอ้ภพก็ไม่ได้ขัดอะไร

เมื่อเข้ามาในห้องน้ำและเห็นหน้าตัวเอง ผมถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เพราะว่าใบหน้ามีแต่รอยเครื่องสำอาง ทั้งจากเมื่อเช้าที่ยังไม่ได้ล้างออกและของเมื่อครู่ที่เล่นลิปสติกกันทับไปอีกจนไม่คิดว่าการล้างหน้ารอบเดียวจะทำให้มันหายทั้งหมด   

ผมค่อยๆก้มหน้าของตัวเองลงไปล้างน้ำเปล่าและบีบโฟมล้างหน้าถูอย่างแรงหลายรอบ  แต่ไม่ว่าจะถูด้วยแรงมือขนาดไหนความรู้สึกของผมมันก็บอกว่าเครื่องสำอางที่ฉาบหน้าผมไว้มันยังอยู่  ผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นมาและหัวเสียไปกับภาพสะท้อนที่ยังแสดงว่าทุกตารางของใบหน้ายังประดับประดาไปด้วยสีสันของลิปสติก

“มึงจะกันน้ำไปถึงไหนวะ ออกๆสักที”  ผมบ่นเงียบๆในห้องน้ำ เพราะยิ่งขัดยิ่งถูเท่าไรเครื่องสำอางมันก็ยิ่งไม่ออก จนต้องก้มๆเงยๆล้างน้ำเปล่าอยู่หลายรอบ เสียงของน้ำที่ถูกปล่อยให้ไหลจากก๊อกไม่อาจทำลายความเงียบของบ้านที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงหวีดในช่องลมไปได้  ความกังวลใจเริ่มเกาะกินจิตสำนึกจนผมรู้สึกหงุดหงิด ความกลัวจากประสบการณ์เริ่มกระตุ้นให้ผมรีบทำธุระตรงนี้ให้เสร็จก่อนที่เรื่องในความคิดจะเกิดขึ้นจริง 

“เหี้ย!!!”  ผมตะโกนออกมาลั่นบ้าน  เพราะเมื่อเงยหน้าดูเครื่องสำอางที่ติดอยู่บนหน้าอีกครั้ง  สิ่งที่ติดอยู่มันไม่ใช่เครื่องสำอางอย่างที่เคย  แต่กลับเป็นใบหน้าผมที่มีแผลเหวอะหวะ  สีแดงสดของเลือดไหลผ่านดวงตาที่สั่นไหวมายังรูจมูก จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเหม็นๆของเลือดสดปนน้ำเหลืองที่เหมือนกับว่ามันกำลังไหลออกมาจากตัวศพที่กำลังเน่าเหม็น


ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง!!!


“ไอ้มิว!! มึงเป็นอะไร”  เป็นไอ้ภพที่วิ่งมาเคาะประตูห้องน้ำเรียกผมอย่างรวดเร็วจนผมถึงกับสะดุ้งและถามไถ่ถึงที่มาของเสียงว่าเกิดจากอะไร

“อะ…เอ่อ เปล่าๆ กูแค่จะลื่น”

“ฮะ!!”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่…ลื่น”

“เออๆ  แล้วก็แหกปากซะดังลั่น ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”  และเสียงไอ้ภพก็เงียบหายไป  คาดว่ามันคงกลับเข้าห้องนอนไปตามเดิม

เฮือกกกก

“ปะ..เป็นไปไม่ได้” ผมค่อยๆเค้นเสียงของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก  มือเล็กๆนั่นเกิดการสั่นอย่างรุนแรงเมื่อต้องค่อยๆเอื้อมมันมาสัมผัสใบหน้า  แววตาที่เคยสะท้อนความสุขใส บัดนี้เหลือเพียงอาการสั่นไม่ต่างจากมือและการเบิกโตขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกที่ว่าใจร่วงไปที่ตาตุ่มเกิดขึ้นชัดเจนจนรู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร

หลังจากที่ผมหันหน้าไปตอบไอ้ภพและหันกลับมามองกระจกอีกที  ใบหน้าผมเวลานี้ก็กลับมาเป็นปกติไม่มีทั้งแผลและร่องรอยเครื่องสำอางติดอยู่แล้ว ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะสะบัดไล่ความคิดบางอย่างออกไป และรีบสรุปกับตัวเองทันทีว่าคงกลัวมากไปจนตาฝาด  ก่อนจะรีบไปอาบน้ำอย่างเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้กลับเข้าห้องนอน

ช่วงที่กลับเข้ามาและรอไอ้ภพอาบน้ำ แม้จะแค่ไม่นาน แต่แม้เพียงหนึ่งวินาทีในเวลานี้ผมก็ว่านานได้ การนั่งรอเงียบๆมันทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ได้เฝ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในห้องน้ำว่า ผมตาฝาดจริงๆหรือไม่  ดวงตาของผมมันยิ่งเห็นไม่เหมือนคนอื่นด้วย  ความสับสนในจิตใจหลอนผมให้กลัวไปต่างๆนานา จนแทบไม่เป็นตัวเอง แต่สุดท้ายก็บอกกับตัวเองได้ว่า ตาของผมมันเห็นผี ไม่ใช่ภาพหลอนเพราะฉะนั้นเรื่องเมื่อครู่จึงเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว

“นั่งหน้าเครียด มีไรวะ?” ไอ้ภพเดินเข้ามาหาผมหลังจากที่มันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย

“ไม่มีอะไรหรอก  ว่าแต่มึงเหอะ ทำไมอาบน้ำเร็วจังวะ”

“กูก็อาบเวลาเท่านี้ทุกวัน เร็วตรงไหน”

“มึงล้างเครื่องสำอางออกง่ายขนาดนั้นเลยรึไง”

“เออ  ล้างรอบเดียวมันก็ออกแล้ว มันไม่ได้กันน้ำ”

ไม่ได้กันน้ำ?
 
“วะ…ว่าไงนะ”  ถ้อยคำที่ไอ้ภพพูดมันเป็นแค่คำธรรมดา แต่กลับเชือดเฉือนใจของผมอย่างถึงที่สุด  ความกังวลใจนำผมกลับไปสู่การคิดเรื่องเครื่องสำอางนั่นอีกครั้ง   ผมใช้เครื่องสำอางชุดเดียวกันกับไอ้ภพ เหตุใดการล้างออกถึงแสดงผลออกมาไม่เหมือนกัน  ผมล้างอยู่นานจนรู้สึกแสบและตึงที่ใบหน้า แต่ไม่ใช่สำหรับไอ้ภพที่ออกตัวมาว่า…ล้างง่าย

มันไม่ได้กันน้ำไง  มึงมีอะไรรึเปล่า”

“มะ..ไม่มีอะไรหรอก” ผมส่ายหน้าน้อยๆไปให้มัน แต่สายตาก็ยังคงสะท้อนความกังวลออกไป

“มิว  เป็นอะไร?” น้ำเสียงทุ้มจริงจังแต่เจือไปด้วยความห่วงใยถ่ายทอดออกมาจากมันอีกครั้ง  จนผมต้องหันกลับไปมอง

“กู…คงตาฝาด ไม่มีอะไรหรอก”

“อยากเล่าให้กูฟังมั้ย?”

.
.
.

(ต่อ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด