“ไม่เป็นไร มันไร้สาระ กูคงแค่ตาฝาดไปจริงๆ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของมันไปก่อนจะยิ้มให้มันวางใจ ไอ้ภพก็ไม่ว่าอะไรมันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปปิดไฟ เป็นสัญญาณว่าคืนนี้ถึงเวลาเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรากาลเสียที
เราทั้งคู่นอนหันหลังให้กันอย่างเป็นเรื่องปกติ เสียงหายใจเรียบๆของไอ้ภพบอกได้อย่างดีว่ามันจมไปกับการหลับใหลเรียบร้อยแล้ว ผมที่ยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องเดิมๆ ก็มีความกลัวถาโถมเข้ามาจนทำให้นอนไม่หลับ อีกทั้งภาพใบหน้าของผมก็ยังคงติดค้างในใจอย่างไม่น่าเชื่อว่าผมจะมองผิดไป
.
.
.
ที่นี่ที่ไหน?คำถามชวนให้สงสัยวนอยู่ในหัวผมซ้ำๆหลายรอบ เมื่อต้องมาเห็นสถานที่ที่หนึ่งที่ตัวผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ภายในสถานที่แห่งนั้นถูกประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนและการจัดบ้านสไตล์ยุโรป ชวนให้หลงใหลไปกับกลิ่นอายแห่งความหรูหรา
จะเรียกว่าบ้านก็เรียกไม่เต็มปากเพราะความโอ่อ่าของมันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึง ความสวยงามที่เห็นไม่สามารถตีค่าเป็นเม็ดเงินได้ตามราคาตลาด ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆตามประสาคนแปลกที่ ความรู้สึกอบอุ่นในใจเกิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ต่างจากความรู้สึกตอนอยู่ในบ้านหลังนั้น
เมื่อเดินต่อมาอีก ผมก็เห็นบันไดบ้านทรงสูงถูกปูไปด้วยพรมสีแดงตลอดทางเดิน ให้ความรู้สึกถึงวังในนิยายหลายๆเรื่อง และเมื่อผมค่อยๆเงยหน้าขึ้น สายตาของผมก็ไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่สุดทางเดินบันได
สวยคือคำนิยามที่ผมมอบให้แก่เธอคนนั้น ผมสบตากับเธอราวกับถูกทำให้ต้องมนตร์สะกด ผิวกายขาวละเอียด ผมยาวดกดำเป็นสิ่งที่ดึงดูดพลังความเป็นเพศชายของผมให้ทำงานอีกครั้ง ไม่อาจบอกได้เลยว่าผมจ้องเธอนานเท่าไร รู้แค่ว่าเธอคนนี้ทำให้ใจผมสั่นไปกับความงามของอิสตรีเพศ จนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอทำให้ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องราวหลอนๆอีกเลย
ขึ้นมาสิเธอเรียกผมให้ขึ้นไปหาเธอพร้อมกับรอยยิ้มแสนหวานชวนให้ทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ ผมเดินขึ้นไปช้าๆพร้อมกับมองเธอคนนั้นไปด้วย เธอผู้แต่งกายด้วยชุดนอนผ้าลื่นสีขาว เผยสัดส่วนของผู้หญิงออกมาจนสามารถเร้าอารมณ์หนุ่มของผมได้ ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งทำให้เห็นความสวยของเธอชัดเจน และได้ข้อสังเกตอีกด้วยว่าเธอ
ทาลิปสีแดง“ชื่ออะไร?” คำถามสั้นๆถูกเอ่ยโดยผู้หญิงหน้าสวยคนนั้น
“เอ่อ ผมมิวครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรอครับ”
“เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะ” เธอยิ้มเล็กๆพร้อมกับหันหลังให้ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ เธอนำผมผ่านห้องหลายห้องของบ้านหลังนี้ แปลกที่บ้านหลังใหญ่แต่กลับไม่มีใครอาศัยอยู่เลย จนมาถึงห้องหนึ่งเธอก็เปิดเข้าไปและได้พบกับห้องนอนสีสันแปลกตา เฟอร์นิเจอร์ภายในถูกจัดเรียงไว้เป็นระเบียบราวกับมีมัณฑนากรฝีมือดีจัดวางให้
“ห้องนอนสวยจังเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มสวยๆให้ผมอีกครั้ง
“ขอสอบถามได้มั้ยครับ ว่าที่นี่ที่ไหน”
“บ้านของฉันเองค่ะ…..จะดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ” เธอตอบผมผ่านๆก่อนจะเดินไปหยิบไวน์ชั้นดีที่ตั้งไว้พร้อมแก้วไวน์สองใบ
“งั้นรบกวนด้วยครับ” ผมยิ้มตอบไป
เราทั้งคู่นั่งจิบไวน์กันอย่างเพลิดเพลิน เก็บเกี่ยวอารมณ์ของความสุขที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างไม่มีใครคิดจะทำอะไร ช่วงที่ดื่มกัน ผมมองหน้าเธออย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าสวยงามนั่น มีดวงตาที่ค่อนข้างเศร้าหมองเหมือนกับว่าเธอต้องเก็บเรื่องบางอย่าไว้กับตัวเองและบอกใครไม่ได้
“ไม่ทราบว่า คุณผู้หญิงมีอะไรอยากจะบอกผมมั้ยครับ”
“ทำไมหรอคะ?”
“ดวงตาของคุณ ปิดผมไม่ได้หนะครับ”
“อุ๊ย ตายจริง เผลอแสดงให้คุณเห็นเลยหรอคะ” เธอทำเสียงที่แสดงว่าตกใจจากการจับสังเกตของผม ก่อนจะเงียบไป
“ก็นิดหน่อยครับ พอจะบอกผมได้มั้ยเผื่อผมจะช่วยได้”
“ฉัน…เหงาหนะค่ะ” เธอยิ้มเศร้าๆตอบผม
“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวมานานหลายปี ครอบครัวของฉันก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน ฉันอยากให้ใครสักคนมาอยู่ด้วยกันที่นี่ บ้านหลังนี้มันกว้างคุณก็เห็น ดังนั้นฉันจึงรู้สึกโชคดีมากๆเลยนะคะที่วันนี้ฉันเจอคุณ”
“หรอครับ งั้นผมก็ยินดีมากๆที่ช่วยทำให้คุณคลายเหงาได้บ้าง”
“ชนแก้วกันดีมั้ยคะ ฉลองให้กับฉันและ…คุณ”
เคร้งเสียงแก้วกระทบกันเกิดขึ้นก่อนที่ต่างคน ต่างก็ยกแก้วขึ้นชิมรสชาติของไวน์ชั้นดีกันไป ผมจิบเสร็จก่อนจึงได้มีโอกาสนั่งดูเธอค่อยๆละเลียดเครื่องดื่มชวนเมาลงคอ แก้วบางใสยามต้องอยู่กับไวน์สีสวยเป็นสิ่งที่เข้ากันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งได้ผสมกับสีของลิปสติกนั่น ยิ่งดึงดูดให้ผมมองภาพนั้นอย่างตาค้าง
“ลิปสีสวยดีนะครับ เหมาะกับคุณมาก”
“ก็สีแดงทั่วไปแหละค่ะ อยากเห็นมั้ยคะว่าแท่งไหน”
“ถ้าไม่รังเกียจก็ขอดูด้วยครับ” เธอยิ้ม ก่อนจะลุกออกไปหยิบลิปสติกมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง ใจจริงๆผมไม่ได้ได้อยากดูลิปนั่นเลยสักนิด เพียงแต่ว่าร่องรอยความสุขที่เกิดหลังจากผมถามเป็นสิ่งที่ทำให้ผมปฏิเสธเธอไม่ได้หากเธอตั้งใจจะนำออกมาให้ดู
“นี่ค่ะ ฉันใช้รุ่นนี้…”
“หืม?”
คุ้น คุ้นมากๆผมมองลิปสติกแท่งนั้นด้วยความตกใจ รูปลักษณ์ของมันเป็นสิ่งที่สมองผมรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ลิปแท่งนี้ไม่ได้ต่างไปจากลิปแท่งอื่นๆเพียงแต่อะไรสักอย่างบอกผมว่าผมต้องเคยสัมผัสมันมาก่อน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อะ…เอ่อเปล่าครับ แค่ไม่เคยเห็นลิปแท่งสวยๆแบบนี้เท่านั้นเอง”
“แน่ใจหรอคะ?”“ครับ?”
“ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้เรามาทำอะไรดีๆ กันดีกว่านะคะ ส่วนลิปนั่นฉันให้คุณค่ะ”
“อะไรหรอครับ?”
“ก็เวลาผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันสองต่อสอง เค้าทำอะไรกันหละคะ” เธอยิ้มให้ผมอย่างยั่วยวนก่อนจะลุกขึ้นมาดึงผมให้ค่อยๆเดินไปที่เตียงนอน
เธอคล้องคอผมให้จูบกับเธออย่างเร่าร้อน ริมฝีปากชื้นแฉะที่กำลังแลกเปลี่ยนอากาศหายใจของเราทั้งคู่ กำลังปลุกอารมณ์เพศของผมให้ตื่นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสัมผัสของเธอยามแนบลงบนส่วนนั้นของผมยังทำให้เครื่องจุดติดได้ง่าย เราทั้งคู่จูบกันจนมาจบที่เตียงนอน จากนั้นเธอก็ผละออกไปพร้อมกับส่งสายตาหวานซึ้งมาให้
“ฉันเริ่มติดใจคุณแล้วค่ะ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ”
“ได้หรอครับ?”
“ได้สิคะไม่เป็นปัญหาเลย มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ”
“อ่า ก็…” ผมนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำถาม
ภาพของไอ้ภพถูกซ้อนทับเข้ามาราวกับมีใครส่องไฟฉายรูปหน้ามันมาให้ดูในหัว ความลังเลที่ผมรู้สึกได้ดึงตัวผมไม่ให้คล้อยตามไปกับคำถามนั่น ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเมื่อตอนก่อนเข้านอนก็ลอยเข้ามาให้เห็นเป็นฉากๆ จนผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมลิปสติกแท่งนั้นผมถึงได้คุ้นตามากขนาดที่ว่าผมละสายตาไปไม่ได้
…มันคือลิปสติกแท่งเดียวกับที่ผมใช้เล่นเกมส์เมื่อตอนเย็น…
“ว่าไงคะ?” น้ำเสียงที่ใช้ถูกเปลี่ยนไปทันที จากเสียงหวานๆก็กลายเป็นเสียงเย็นๆเรียบๆ
“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ ผมคิดว่าตอนนี้ผมต้องรีบกลับ” ลางสังหรณ์แปลกๆเริ่มส่งสัญญาณให้ผม รีบออกจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด
“จะรีบทำไมคะ คุณยังไม่ตอบคำถามเลยนะคะ” เธอเดินตามผมมาเรื่อยๆ อย่างเค้นเอาคำตอบ
“ผมไม่อยู่ครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” ผมรีบตอบเธอและวิ่งไปเปิดประตูออกมาจากห้องนั้นทันที
พรึบ
ไวยิ่งกว่าความคิด แค่เพียงผมหันหลังออกมาจากประตูบานนั้น จากภาพบ้านหรูหราก็ถูกเปลี่ยนให้กลับมาอยู่ในบ้านหลังเดิม หลังที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดหลอนของผม ตรงบริเวณพื้นที่นั่งเล่นชั้นล่าง ความรู้สึกเย็นเยียบจนเสียวสันหลังปลุกขนในร่างกายของผมทุกส่วนให้ลุกชันขึ้นมา ก่อนที่จิตสำนึกของผมจะกระตุ้นให้รีบก้าวขาออกจากตรงนั้นอย่างไว
ตึก ตึก ตึกเสียงฝีเท้าที่เกิดจากการเดินลงส้นหนักๆของใครสักคน กำลังก้าวเดินตามผมมาอย่างช้าๆแต่กลับไวในความรู้สึกผม ระยะห่างระหว่างผมกับเสียงนั่นถูกทิ้งช่วงไว้พอตัว แม้กายสัมผัสจะไม่ได้อึดอัดมาก แต่จิตใจของผมกลับรู้สึกราวกับว่ากำลังมีอะไรสักอย่างบีบรัดมันอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ได้
“หึหึ”
“คิดว่าจะหนีกูพ้น…อย่างนั้นหรอ? 55555”
“มึงเอาของๆกูมาทำไม”น้ำเสียงตะคอกเย็นๆไม่ดังมากนักของผู้หญิงคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาหยุดการเคลื่อนไหวของผมจนลำตัวชาวาบ เหงื่อเริ่มไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความกลัว ตัวของผมสั่นไปหมด ขาก็แข็งจนก้าวไม่ออก ความเงียบของบ้านขณะนี้เริ่มทำให้ผมได้ยินว่าเธอกำลังค่อยๆย่างฝีเท้าเข้ามาหาผมอีกครั้ง
“ผ…ผมไม่ได้เอามา” ผมรีบตะโกนตอบออกไปในทันที เพื่อหวังจะหยุดการเคลื่อนไหวของเธอคนนั้น ระยะห่างที่เคยมี บัดนี้ถูกทำให้สั้นลงมาอีกจนผมไม่กล้าหันหลังกลับไปมองสิ่งที่ผมต้องเผชิญ
“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”
“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”
“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”“มึงเอาของๆกูมาทำไม” เสียงเรียกเย็นๆนั่น ร้องถามผมซ้ำๆ พร้อมกับการก้าวเท้าเข้ามาหาอีกเรื่อยๆ
คำภาวนาของผมไม่เป็นผล เมื่อเธอคนนั้นยังคงไม่หยุดการเคลื่อนที่ เธอยังคงเคลื่อนกายเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ไอเย็นรอบตัวเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆจนผมสัมผัสได้ แต่ทว่าในตอนนี้มันกลับเย็นจัดอยู่ที่ด้านหลังผมนี่เอง
“หึหึ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ?” น้ำเสียงดั่งลมกระซิบ เอ่ยขึ้นข้างหูผมเบาๆพร้อมกับมือที่เอื้อมมาจับไหล่อย่างแรง
เฮือกกกกกกก
ผมตื่นขึ้นมาจากฝัน ลมหายใจถูกปล่อยออกจากปอดของผมด้วยความเร็วที่ถี่ขึ้น เหงื่อท่วมกายผมเต็มไปหมด เมื่อหันไปมองข้างๆ ผมก็เห็นไอ้ภพยังคงหลับปกติ เสียงลมหายใจของมัน ยังคงคงที่เหมือนเมื่อตอนช่วงก่อนนอน ทำให้ผมไม่กล้าที่จะขัดการนอนหลับอย่างสบายของมัน
ผมล้มตัวนอนอีกครั้งด้วยใจที่ยังคงเต้นรัว สมองขาวโพลนอย่างคนนึกอะไรไม่ออกนอกจากความรู้สึกบางอย่างที่บอกผมว่าความฝันเมื่อครู่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน เหมือนจริงมากจนรสสัมผัสของการจูบยังคงติดค้างอยู่บนปากผม
ปั้ง ปั้ง ปั้ง
“เปิดประตูให้กู!!!!!.....มึงจะล็อกห้องทำไม!!!!”
ตึ้ง
คราวนี้เป็นเสียงเคาะประตูอย่างแรงที่กำลังทำลายสติผมแต่เสียงนั่นมันมาพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มอีกเสียงหนึ่งที่ตะโกนเรียกให้ผม ลุกไปเปิดประตูห้องนอน
ไม่ผิดแน่…
เสียงนั่นเป็นของไอ้ภพ…
ผมนอนตัวสั่น ตาค้างไปกับเสียงที่ได้ยิน ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจผมมากขึ้น ถ้าไอ้ภพอยู่ข้างนอกจริง แล้วใครกันที่นอนอยู่ข้างหลังผม? แต่กระนั้นความคิดด้านสว่างก็ยังบอกกับผมว่า เสียงที่ผมได้ยินอาจเป็นเสียงของวิญญาณตนนั้นที่ต้องการให้ผมเปิดประตูออกไป ยิ่งไอ้ภพที่นอนด้านหลังไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงนั่น ผมยิ่งเอนเอียงความคิดมาข้อนี้
เสียงเรียกให้เปิดประตูยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง เรียกความหวาดผวาในตัวผมได้ตลอดเวลา ทำให้ผมนึกถึงคืนนั้นคืนที่ผมกลัวจนต้องนอนซบหลังไอ้ภพหลับไป ภาพเหล่านั้นมันทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปทำแบบเดิม
เมื่อพลิกตัวกลับมา ผมถึงกับโล่งใจเมื่อไอ้ภพยังคงนอนอยู่ที่เดิมของมัน ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูนั่น ผมนอนมองแผ่นหลังของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าและกายของตัวเองให้ขยับไปชิดมันมากขึ้น ความอบอุ่นที่สัมผัสได้นั้น ทำให้เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม มิหนำซ้ำ ผมยังรู้สึกสาแก่ใจอยู่เล็กๆที่ผีนั่นมันเข้ามาไม่ได้
“หึหึ 555”เสียงหัวเราะเล็กๆของสตรีเพศ ทำเอาผมที่กำลังจะปิดเปลือกตาอีกครั้งถึงกลับสะดุ้ง เสียงนั่นมันดังขึ้นใกล้ผมมากชนิดที่ว่าเหมือนมันหัวเราะอยู่ข้างหูผมนี่เอง เมื่อมองไปที่ไอ้ภพ ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ มันยังนอนหลับด้วยจังหวะหายใจเดียวกับตอนก่อนนอน
แต่ถ้าหากสังเกตให้ดีๆแล้วนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคงเป็นเสียงเคาะประตูที่มัน…หายไป
แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างกายไอ้ภพก็เริ่มขยับ แสดงให้เห็นว่ามันกำลังจะตื่นจากนิทรา ผมจ้องมันด้วยความดีใจจนอยากจะเข้าไปชิดแผ่นหลังมันมากกว่าเดิมเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมตื่นอยู่ อย่างน้อยมันก็จะได้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนผม หรืออาจจะกล่อมให้ผมหลับไปก่อนมันก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้สังเกตเสียงและการเคลื่อนไหวแปลกๆบนตัวมันเสียก่อน
“หึหึ 555 มาแล้ว กูมาแล้ว 555”เสียงหัวเราะพร้อมกับคำพูดและท่าทางที่ไม่ปกติของมัน สั่งให้ผมถอยห่างออกมาจากไอ้ภพอย่างเร็ว ตัวของมันสั่นเล็กๆไปกับจังหวะเสียงหัวเราะหลอนๆที่ผมได้ยิน การขยับกายของมันกำลังทำให้ผมหวาดผวาจนต้องจิกเล็บลงบนผ้าห่มแน่นดวงตาของผมเห็นมันค่อยๆพยายามพลิกตัวกลับมาหา แต่ไม่รู้ว่าร่างกายมันติดอะไร สิ่งที่ค่อยๆหันกลับมาจึงมีเพียงอย่างเดียวคือ
หัวของมัน….
“กลัวปะ?” เสียงกระซิบสยองราวกับเสียงจากนรก เอ่ยถามผมเมื่อส่วนหัวของไอ้ภพหันกลับจนสุด ใบหน้าที่ควรจะเห็นเป็นหน้าไอ้ภพบัดนี้ได้กลับกลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและความเน่าเฟะไม่ต่างไปจากใบหน้าที่ผมเห็นเมื่อตอนอาบน้ำ เธอกำลังใช้สายตาจ้องมองผมราวกับจะกลืนผมเข้าไป เธอถามออกมาพร้อมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเธอทำให้ผมแทบหมดสติไป
“มึงเอาของๆกูมาทำไม” แววตาแข็งกร้าวพร้อมกับเสียงเย็นๆ ถามผมมาอีกครั้ง พร้อมกับที่ร่างนั้นพยายามเคลื่อนกายเข้ามาหาผม มือของมันขยับเข้ามาตรงคอผมเรื่อยๆกดรอยแผลจากใบมีดที่ยังคงไม่แห้งสนิท ใบหน้านั่นขยับมาหาผมอย่างช้าๆจนผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดบนหน้าเธอคนนั้น
“ชะ…ช่วยด้วย” เสียงแผ่วเบาของผมเรียกออกไปอย่างกำลังหวังปาฏิหาริย์ให้ไอ้ภพที่เคยเคาะประตูรีบพังประตูเข้ามา
“หึหึ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ?” น้ำเสียงยั่วยวนแบบเดิม เอ่ยเข้าที่ข้างหูของผม พร้อมกับสัมผัสเปียกชื้น เมื่อลิ้นของมันเริ่มแลบออกมาคลอเคลียที่ใบหูของผม เมือกน้ำลายไหลยืดลงมาถึงต้นคอจนสัมผัสได้ กลิ่นสาปศพลอยคละคลุ้งไปทั่ว จนทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก เธอคนนั้นคงสงสารผมมากจึงไม่ปล่อยให้ผมทรมานจากกลิ่นให้เสียเวลา มือของเธอจึงเริ่มบีบลำคอผมอย่างช้าๆจนรู้สึกแน่นๆไปหมด
“มาอยู่ด้วยกันนะคะ”
“อีกนิดเดียว ก็สบายแล้ว…หึหึ”
“ตาย…”“ช่วยด้วย!!!! ไอ้ภพ” ความพยายามเฮือกสุดท้ายของผมถูกปล่อยออกไปก่อนที่จะพูดไม่ได้อีก
“มิว”
“ไอ้มิว ตื่น!!!”
“ไอ้มิว ตื่นดิวะ!!!!!”
เฮือกกกกกกกผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ฝัน แรงตบหนักๆจากน้ำมือของไอ้ภพยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ผมได้โลกความเป็นจริงของผมคืนกลับมา ผมมองไปรอบๆห้องอย่างหวาดผวา แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากแสงไฟที่ถูกเปิดและหน้าไอ้ภพที่มองผมอย่างเป็นกังวล
“อะ…ไอ้ภพ ฮืออออออออ” ผมร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับโผเข้ากอดไอ้ภพทันทีอย่างคนหวาดกลัว มันกอดผมตอบพร้อมกับค่อยๆลูบหลังให้ผมอย่างแผ่วเบาเพื่อเรียกสติของผมให้กลับมาและละลายความกลัวของผมที่มันก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
“มิวใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”
“ลิป…ลิปสติกนั่นมันเป็นของคนตาย มันมาทวงของมันคืน!!!!” ผมโวยวายลั่นเมื่อนึกถึงฝันนั่นอีกครั้ง
“เดี๋ยวๆไอ้มิว เกิดอะไร ค่อยๆเล่าให้กูฟัง” ผมพยักหน้าตอบรับไปพร้อมกับอาการหวาดระแวงที่ยังไม่จางหายไป
ผมเริ่มเล่าให้มันฟังตั้งแต่สิ่งที่ผมเห็นขณะอาบน้ำจนกระทั่งความฝันที่ผมเห็น ยิ่งเล่าผมก็ยิ่งกลัวจนไอ้ภพต้องจับมือของผมไว้อย่างให้กำลังใจโดยที่ไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมา
“มันอาจจะแค่ฝัน ไม่มีอะไรหรอกวันนี้เรายังไม่ได้ท้าทายผีเลยนะ”ไอ้ภพพูดปลอบใจผม
“ก็เพราะกูยังไม่ได้ทำไง แล้วทำไมกูยังต้องมาเจอด้วย!!”
“ตั้งสติ! ไอ้มิว มึงอย่าเพิ่งโวยวาย”
“ฮึก กูกลัวไอ้ภพ กูกลัว” ผมสะอึกสะอื้นตอบมันด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ใจเย็นๆ ไม่มีอะไรแล้ว กูอยู่ตรงนี้แล้ว” ไอ้ภพเลื่อนมือมากอบกุมมือของผมอีกข้าง
กึก
ราวกับมีไม้หน้าสามฟาดมาบนหน้าและสมองผมแรงๆ ลำตัวผมเกิดการชาวาบอีกครั้ง ทั้งผมกับมันต่างก็นิ่งค้างไป ก่อนจะก้มลงมองมือข้างนั้นของผม…
“ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้เรามาทำอะไรดีๆ กันดีกว่านะคะ ส่วนลิปนั่นฉันให้คุณค่ะ”คำพูดนั่นลอยเข้ามากระแทกในหัวผมจนทำให้ผมต้องนึกย้อนกลับไปและพบว่าตั้งแต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้วางลิปอีกเลย
“อ…ไอ้ภพ ลิปมันมาอยู่บนมือกูได้ยังไง” ผมช็อกไปกับสิ่งที่เห็น และพูดตะกุกตะกักอย่างคนไร้สติ ไอ้ภพไม่รอช้ารีบคว้าลิปบนมือผมก่อนจะวิ่งไปเปิดหน้าต่างและขว้างลิปออกไปทางลานด้านหลังบ้านอย่างรวดเร็ว เราทั้งคู่ต่างรู้อยู่แก่ใจ ก่อนขึ้นนอนผมไม่ได้หยิบมันขึ้นมาด้วย
“มิว ใจเย็นๆ มึงอาจจะละเมอลงไปหยิบมาก็ได้”
“….” ผมหันขวับไปมองหน้ามันด้วยแววตาที่สั่นไหว คำถามมากมายก่อเกิดอยู่ในหัว ผมลงไปได้ยังไง บันไดนั่นมันชันพอที่จะฆ่าผมหากผมก้าวพลาดตกลงไปแม้แค่ก้าวเดียว
“กูว่า มันมีอะไรแปลกๆแล้วหวะ”
“ยะ….ยังไง” ผมเสียงสั่นตอบมันไป
“มิว….มึงกำลังไม่ปลอดภัย” ไอ้ภพเหงื่อตก ทำเสียงเครียดบอกกับผม
“เกมส์วันนี้ ที่เราสองคนสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ให้เล่นตามหนังสือนั่น มันไม่ใช่ว่าเกมส์ใจดีตามที่มึงบอก แต่มันจ้องเล่นงานมึงเพียงคนเดียวผ่านสิ่งที่มึงมีไม่เหมือนคนอื่น ถ้ามันทำให้มึงเป็นบ้าไปได้ มึงก็ต้องออกจากเกมส์แล้วไม่ได้เงินรางวัลแบบน้องสาวกู ยิ่งถ้ามึงละเมอออกไปจริงๆ ถ้ามึงพลาด....มึงก็ตาย”
“มะ…หมายความว่ายังไง” ผมใจเสียจนพูดแทบไม่เป็นภาษา ตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก น้ำเสียงที่กลั่นออกไปจึงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“มีคนรู้แล้วไอ้มิว….ว่ามึงเห็นผี” ไอ้ภพมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วง ใครกัน? ที่รู้ว่าผมไม่ปกติไปแล้ว ผมไม่เคยบอกใคร ทุกคนรู้ความผิดปกติของผมจากกล้องแค่ตัวเดียวอย่างนั้นเหรอ? ความคิดตีกันสับสนในหัว ผมกำลังโดนเล่นงาน เกมส์วันนี้กำลังทำให้ผมหลอนจนถึงขั้นสูงสุด และมันก็ทำสำเร็จ
“ใคร? ใครกันที่รู้ว่ากูเห็นผี แล้วมันจะเอากูออกไปเพื่ออะไร กูไปทำอะไรให้มัน” ผมพูดออกไปอย่างคนหมดหนทาง นอกจากผมจะเจอผีหลอกในฝันยังต้องตื่นมาพบเจอความจริงที่น่ากลัวกว่าเมื่อพบว่าผู้จัดการเกมส์นี้คิดจะกำจัดผมออกจากเกมส์ด้วยวิธีที่ถ้าผมเป็นอะไรไป ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงแค่…อุบัติเหตุ
“กูไม่รู้…เรื่องนี้ไม่เคยมีใครได้รู้”
“อืม” ผมพยักหน้าช้าๆก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าของไอ้ภพ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความกังวลของมันกำลังถูกใช้มองผมอย่างคนกำลังสงสาร
“มึง…กูขอถามอีกครั้ง มึงไม่ได้สงสัยอะไรหน่อยหรอไอ้มิว ไม่ใช่แค่เรื่องคำเตือนนั่น อย่างอื่นหละ? มีมั้ย?”
“จริงๆ…ก็มี” ผมบอกมันไปตามความจริง เรื่องเมื่อเย็นผมไม่ได้ดีใจจนจับความผิดปกติบางอย่างไม่ได้ เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่คิดว่าการละเลยไม่สนใจในสิ่งที่ลางสังหรณ์ตัวเองบอก จะนำมาซึ่งปัญหาที่เกือบจะพรากเอาชีวิตผมไป
“เรื่อง?”
“กู…สงสัยเรื่องลิปสติก” ผมเอ่ยออกไปเบาๆให้ไอ้ภพฟัง หลังจากที่ผมเงียบตั้งสติของตัวเองให้มั่น พยายามทำใจให้เข้มแข็ง ไม่หลงเป็นเหยื่อของแผนที่ทางรายการวางไว้
“ยังไง?” ไอ้ภพหันมาถามอย่างรวดเร็ว
“เราสองคนถูกจับแต่งหน้าโดยที่ไม่มีใครใช้ลิปสีแดงเลย แล้วมัน…ตกออกมาได้ไง”
“มึง…จะบอกว่าอะไร” ไอ้ภพดูนิ่งไปกับคำพูดนั้น มันคือเรื่องจริงที่ทีมงานไม่ได้หยิบลิปสีแดงออกมาเลยขณะที่ผมแต่งหน้า ผมจึงสงสัยมากว่า ทีมงานลืมไว้ได้ยังไง
“มีคนจงใจเอามันมาไว้ในบ้านหลังนี้ ”
“ทีมงานพวกนั้น?”
“ไม่ใช่….ไม่ใช่คนพวกนั้น”
“ทำไม?”
“ก่อนทีมงานกลับไป กูดูหมดแล้วภพ…ไม่มีอะไรตกอยู่เลย” ในตอนนั้นผมที่กำลังกลัวกับคำถามสุดท้ายเลยได้พอมีเวลาสังเกตพฤติกรรมทีมงานทุกอย่าง เพราะกลัวว่าทางรายการจะเล่นไม่ซื่อกับพวกผม
“แล้วใครกันที่จะทำได้ วันนี้นอกจากทีมงานก็มีแค่…” ไอ้ภพเลิกตาขึ้น หันมามองผมอย่างคนที่ไม่เชื่อในความคิดตัวเอง
ผู้ต้องสงสัยที่ผมคิดได้เป็นคนใกล้ตัวของพวกเราแถมยังใกล้ชิดสนิทสนมเสียจนผมไม่เชื่อในความคิดของตนเอง ผมมีปฏิกิริยาแบบเดียวกับมันตอนที่คิดได้ถึงเรื่องนี้ แต่ก็พยายามไม่เก็บมาคิดให้มากความ จนถึงตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างดูอันตรายไปหมดสำหรับผม เตียงที่เคยหลับนอนอยู่ทุกวันยังสร้างบาดแผลขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับใจมนุษย์ แม้ผมจะอยากปฏิเสธออกไปแค่ไหน ก็ทำไม่ได้แล้ว หลักฐานที่รัดตัวคนนั้นเอาไว้มันแน่นหนาเกินไป
“อืม”
ลุงคำ************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 11 มาส่งแล้วครับ หายไปอาทิตย์นึงคิดถึงผมกันมั้ยยยย 55555 
วันนี้ขอเอาใจคนอ่านคอหลอนๆกันบ้างนะครับ หวังว่าจะถูกใจกันเน้อ มีอะไรอยากติชมก็คอมเมนต์มากันเยอะๆนะครับ
-แน่ใจได้อย่างไร ว่าคนที่นอนด้วยกันทุกวันจะยังเป็นคนเดิม-
เจอกันครับ P-Rawit