NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170641 ครั้ง)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“ไม่เป็นไร  มันไร้สาระ กูคงแค่ตาฝาดไปจริงๆ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของมันไปก่อนจะยิ้มให้มันวางใจ  ไอ้ภพก็ไม่ว่าอะไรมันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปปิดไฟ เป็นสัญญาณว่าคืนนี้ถึงเวลาเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรากาลเสียที

เราทั้งคู่นอนหันหลังให้กันอย่างเป็นเรื่องปกติ  เสียงหายใจเรียบๆของไอ้ภพบอกได้อย่างดีว่ามันจมไปกับการหลับใหลเรียบร้อยแล้ว  ผมที่ยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องเดิมๆ ก็มีความกลัวถาโถมเข้ามาจนทำให้นอนไม่หลับ  อีกทั้งภาพใบหน้าของผมก็ยังคงติดค้างในใจอย่างไม่น่าเชื่อว่าผมจะมองผิดไป

.

.

.

ที่นี่ที่ไหน?

คำถามชวนให้สงสัยวนอยู่ในหัวผมซ้ำๆหลายรอบ เมื่อต้องมาเห็นสถานที่ที่หนึ่งที่ตัวผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน   ภายในสถานที่แห่งนั้นถูกประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนและการจัดบ้านสไตล์ยุโรป  ชวนให้หลงใหลไปกับกลิ่นอายแห่งความหรูหรา

จะเรียกว่าบ้านก็เรียกไม่เต็มปากเพราะความโอ่อ่าของมันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึง  ความสวยงามที่เห็นไม่สามารถตีค่าเป็นเม็ดเงินได้ตามราคาตลาด  ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆตามประสาคนแปลกที่   ความรู้สึกอบอุ่นในใจเกิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด   ต่างจากความรู้สึกตอนอยู่ในบ้านหลังนั้น

เมื่อเดินต่อมาอีก ผมก็เห็นบันไดบ้านทรงสูงถูกปูไปด้วยพรมสีแดงตลอดทางเดิน  ให้ความรู้สึกถึงวังในนิยายหลายๆเรื่อง และเมื่อผมค่อยๆเงยหน้าขึ้น  สายตาของผมก็ไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่สุดทางเดินบันได

สวย

คือคำนิยามที่ผมมอบให้แก่เธอคนนั้น  ผมสบตากับเธอราวกับถูกทำให้ต้องมนตร์สะกด  ผิวกายขาวละเอียด ผมยาวดกดำเป็นสิ่งที่ดึงดูดพลังความเป็นเพศชายของผมให้ทำงานอีกครั้ง   ไม่อาจบอกได้เลยว่าผมจ้องเธอนานเท่าไร  รู้แค่ว่าเธอคนนี้ทำให้ใจผมสั่นไปกับความงามของอิสตรีเพศ  จนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอทำให้ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องราวหลอนๆอีกเลย

ขึ้นมาสิ

เธอเรียกผมให้ขึ้นไปหาเธอพร้อมกับรอยยิ้มแสนหวานชวนให้ทำตามอย่างไม่มีข้อแม้  ผมเดินขึ้นไปช้าๆพร้อมกับมองเธอคนนั้นไปด้วย  เธอผู้แต่งกายด้วยชุดนอนผ้าลื่นสีขาว เผยสัดส่วนของผู้หญิงออกมาจนสามารถเร้าอารมณ์หนุ่มของผมได้  ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งทำให้เห็นความสวยของเธอชัดเจน และได้ข้อสังเกตอีกด้วยว่าเธอ ทาลิปสีแดง

“ชื่ออะไร?” คำถามสั้นๆถูกเอ่ยโดยผู้หญิงหน้าสวยคนนั้น

“เอ่อ  ผมมิวครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรอครับ”

“เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะ”  เธอยิ้มเล็กๆพร้อมกับหันหลังให้ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ   เธอนำผมผ่านห้องหลายห้องของบ้านหลังนี้ แปลกที่บ้านหลังใหญ่แต่กลับไม่มีใครอาศัยอยู่เลย  จนมาถึงห้องหนึ่งเธอก็เปิดเข้าไปและได้พบกับห้องนอนสีสันแปลกตา เฟอร์นิเจอร์ภายในถูกจัดเรียงไว้เป็นระเบียบราวกับมีมัณฑนากรฝีมือดีจัดวางให้

“ห้องนอนสวยจังเลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มสวยๆให้ผมอีกครั้ง

“ขอสอบถามได้มั้ยครับ ว่าที่นี่ที่ไหน”

“บ้านของฉันเองค่ะ…..จะดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ”  เธอตอบผมผ่านๆก่อนจะเดินไปหยิบไวน์ชั้นดีที่ตั้งไว้พร้อมแก้วไวน์สองใบ

“งั้นรบกวนด้วยครับ”  ผมยิ้มตอบไป

เราทั้งคู่นั่งจิบไวน์กันอย่างเพลิดเพลิน  เก็บเกี่ยวอารมณ์ของความสุขที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างไม่มีใครคิดจะทำอะไร  ช่วงที่ดื่มกัน ผมมองหน้าเธออย่างพินิจพิเคราะห์  ใบหน้าสวยงามนั่น มีดวงตาที่ค่อนข้างเศร้าหมองเหมือนกับว่าเธอต้องเก็บเรื่องบางอย่าไว้กับตัวเองและบอกใครไม่ได้

“ไม่ทราบว่า คุณผู้หญิงมีอะไรอยากจะบอกผมมั้ยครับ”

“ทำไมหรอคะ?”

“ดวงตาของคุณ ปิดผมไม่ได้หนะครับ”

“อุ๊ย  ตายจริง เผลอแสดงให้คุณเห็นเลยหรอคะ” เธอทำเสียงที่แสดงว่าตกใจจากการจับสังเกตของผม ก่อนจะเงียบไป

“ก็นิดหน่อยครับ  พอจะบอกผมได้มั้ยเผื่อผมจะช่วยได้”

“ฉัน…เหงาหนะค่ะ” เธอยิ้มเศร้าๆตอบผม

“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวมานานหลายปี  ครอบครัวของฉันก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน  ฉันอยากให้ใครสักคนมาอยู่ด้วยกันที่นี่ บ้านหลังนี้มันกว้างคุณก็เห็น  ดังนั้นฉันจึงรู้สึกโชคดีมากๆเลยนะคะที่วันนี้ฉันเจอคุณ”

“หรอครับ  งั้นผมก็ยินดีมากๆที่ช่วยทำให้คุณคลายเหงาได้บ้าง”

“ชนแก้วกันดีมั้ยคะ ฉลองให้กับฉันและ…คุณ”

เคร้ง

เสียงแก้วกระทบกันเกิดขึ้นก่อนที่ต่างคน ต่างก็ยกแก้วขึ้นชิมรสชาติของไวน์ชั้นดีกันไป   ผมจิบเสร็จก่อนจึงได้มีโอกาสนั่งดูเธอค่อยๆละเลียดเครื่องดื่มชวนเมาลงคอ  แก้วบางใสยามต้องอยู่กับไวน์สีสวยเป็นสิ่งที่เข้ากันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งได้ผสมกับสีของลิปสติกนั่น ยิ่งดึงดูดให้ผมมองภาพนั้นอย่างตาค้าง

“ลิปสีสวยดีนะครับ เหมาะกับคุณมาก”

“ก็สีแดงทั่วไปแหละค่ะ  อยากเห็นมั้ยคะว่าแท่งไหน”

“ถ้าไม่รังเกียจก็ขอดูด้วยครับ” เธอยิ้ม  ก่อนจะลุกออกไปหยิบลิปสติกมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง  ใจจริงๆผมไม่ได้ได้อยากดูลิปนั่นเลยสักนิด เพียงแต่ว่าร่องรอยความสุขที่เกิดหลังจากผมถามเป็นสิ่งที่ทำให้ผมปฏิเสธเธอไม่ได้หากเธอตั้งใจจะนำออกมาให้ดู

“นี่ค่ะ  ฉันใช้รุ่นนี้…”

“หืม?”

คุ้น คุ้นมากๆ

ผมมองลิปสติกแท่งนั้นด้วยความตกใจ   รูปลักษณ์ของมันเป็นสิ่งที่สมองผมรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ลิปแท่งนี้ไม่ได้ต่างไปจากลิปแท่งอื่นๆเพียงแต่อะไรสักอย่างบอกผมว่าผมต้องเคยสัมผัสมันมาก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“อะ…เอ่อเปล่าครับ แค่ไม่เคยเห็นลิปแท่งสวยๆแบบนี้เท่านั้นเอง”

“แน่ใจหรอคะ?”

“ครับ?”

“ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้เรามาทำอะไรดีๆ กันดีกว่านะคะ  ส่วนลิปนั่นฉันให้คุณค่ะ”

“อะไรหรอครับ?”

“ก็เวลาผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันสองต่อสอง  เค้าทำอะไรกันหละคะ”  เธอยิ้มให้ผมอย่างยั่วยวนก่อนจะลุกขึ้นมาดึงผมให้ค่อยๆเดินไปที่เตียงนอน

เธอคล้องคอผมให้จูบกับเธออย่างเร่าร้อน   ริมฝีปากชื้นแฉะที่กำลังแลกเปลี่ยนอากาศหายใจของเราทั้งคู่ กำลังปลุกอารมณ์เพศของผมให้ตื่นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสัมผัสของเธอยามแนบลงบนส่วนนั้นของผมยังทำให้เครื่องจุดติดได้ง่าย  เราทั้งคู่จูบกันจนมาจบที่เตียงนอน  จากนั้นเธอก็ผละออกไปพร้อมกับส่งสายตาหวานซึ้งมาให้

“ฉันเริ่มติดใจคุณแล้วค่ะ  มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ”

“ได้หรอครับ?”

“ได้สิคะไม่เป็นปัญหาเลย มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ”

“อ่า ก็…”  ผมนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำถาม

ภาพของไอ้ภพถูกซ้อนทับเข้ามาราวกับมีใครส่องไฟฉายรูปหน้ามันมาให้ดูในหัว  ความลังเลที่ผมรู้สึกได้ดึงตัวผมไม่ให้คล้อยตามไปกับคำถามนั่น ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเมื่อตอนก่อนเข้านอนก็ลอยเข้ามาให้เห็นเป็นฉากๆ  จนผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมลิปสติกแท่งนั้นผมถึงได้คุ้นตามากขนาดที่ว่าผมละสายตาไปไม่ได้

…มันคือลิปสติกแท่งเดียวกับที่ผมใช้เล่นเกมส์เมื่อตอนเย็น…

“ว่าไงคะ?” น้ำเสียงที่ใช้ถูกเปลี่ยนไปทันที จากเสียงหวานๆก็กลายเป็นเสียงเย็นๆเรียบๆ

“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ ผมคิดว่าตอนนี้ผมต้องรีบกลับ” ลางสังหรณ์แปลกๆเริ่มส่งสัญญาณให้ผม รีบออกจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด

“จะรีบทำไมคะ  คุณยังไม่ตอบคำถามเลยนะคะ” เธอเดินตามผมมาเรื่อยๆ อย่างเค้นเอาคำตอบ

“ผมไม่อยู่ครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” ผมรีบตอบเธอและวิ่งไปเปิดประตูออกมาจากห้องนั้นทันที

พรึบ   

ไวยิ่งกว่าความคิด แค่เพียงผมหันหลังออกมาจากประตูบานนั้น จากภาพบ้านหรูหราก็ถูกเปลี่ยนให้กลับมาอยู่ในบ้านหลังเดิม หลังที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดหลอนของผม ตรงบริเวณพื้นที่นั่งเล่นชั้นล่าง  ความรู้สึกเย็นเยียบจนเสียวสันหลังปลุกขนในร่างกายของผมทุกส่วนให้ลุกชันขึ้นมา ก่อนที่จิตสำนึกของผมจะกระตุ้นให้รีบก้าวขาออกจากตรงนั้นอย่างไว

ตึก  ตึก  ตึก

เสียงฝีเท้าที่เกิดจากการเดินลงส้นหนักๆของใครสักคน กำลังก้าวเดินตามผมมาอย่างช้าๆแต่กลับไวในความรู้สึกผม  ระยะห่างระหว่างผมกับเสียงนั่นถูกทิ้งช่วงไว้พอตัว  แม้กายสัมผัสจะไม่ได้อึดอัดมาก แต่จิตใจของผมกลับรู้สึกราวกับว่ากำลังมีอะไรสักอย่างบีบรัดมันอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ได้

“หึหึ”

“คิดว่าจะหนีกูพ้น…อย่างนั้นหรอ? 55555”

“มึงเอาของๆกูมาทำไม”


น้ำเสียงตะคอกเย็นๆไม่ดังมากนักของผู้หญิงคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาหยุดการเคลื่อนไหวของผมจนลำตัวชาวาบ เหงื่อเริ่มไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความกลัว  ตัวของผมสั่นไปหมด ขาก็แข็งจนก้าวไม่ออก ความเงียบของบ้านขณะนี้เริ่มทำให้ผมได้ยินว่าเธอกำลังค่อยๆย่างฝีเท้าเข้ามาหาผมอีกครั้ง

“ผ…ผมไม่ได้เอามา”  ผมรีบตะโกนตอบออกไปในทันที เพื่อหวังจะหยุดการเคลื่อนไหวของเธอคนนั้น ระยะห่างที่เคยมี บัดนี้ถูกทำให้สั้นลงมาอีกจนผมไม่กล้าหันหลังกลับไปมองสิ่งที่ผมต้องเผชิญ

“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”

“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”

“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”


“มึงเอาของๆกูมาทำไม”  เสียงเรียกเย็นๆนั่น ร้องถามผมซ้ำๆ  พร้อมกับการก้าวเท้าเข้ามาหาอีกเรื่อยๆ

คำภาวนาของผมไม่เป็นผล  เมื่อเธอคนนั้นยังคงไม่หยุดการเคลื่อนที่  เธอยังคงเคลื่อนกายเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ไอเย็นรอบตัวเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆจนผมสัมผัสได้  แต่ทว่าในตอนนี้มันกลับเย็นจัดอยู่ที่ด้านหลังผมนี่เอง

“หึหึ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ?” น้ำเสียงดั่งลมกระซิบ เอ่ยขึ้นข้างหูผมเบาๆพร้อมกับมือที่เอื้อมมาจับไหล่อย่างแรง

เฮือกกกกกกก

ผมตื่นขึ้นมาจากฝัน  ลมหายใจถูกปล่อยออกจากปอดของผมด้วยความเร็วที่ถี่ขึ้น  เหงื่อท่วมกายผมเต็มไปหมด  เมื่อหันไปมองข้างๆ ผมก็เห็นไอ้ภพยังคงหลับปกติ เสียงลมหายใจของมัน ยังคงคงที่เหมือนเมื่อตอนช่วงก่อนนอน  ทำให้ผมไม่กล้าที่จะขัดการนอนหลับอย่างสบายของมัน

ผมล้มตัวนอนอีกครั้งด้วยใจที่ยังคงเต้นรัว  สมองขาวโพลนอย่างคนนึกอะไรไม่ออกนอกจากความรู้สึกบางอย่างที่บอกผมว่าความฝันเมื่อครู่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน  เหมือนจริงมากจนรสสัมผัสของการจูบยังคงติดค้างอยู่บนปากผม

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง

“เปิดประตูให้กู!!!!!.....มึงจะล็อกห้องทำไม!!!!”

ตึ้ง

คราวนี้เป็นเสียงเคาะประตูอย่างแรงที่กำลังทำลายสติผมแต่เสียงนั่นมันมาพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มอีกเสียงหนึ่งที่ตะโกนเรียกให้ผม ลุกไปเปิดประตูห้องนอน

ไม่ผิดแน่…

เสียงนั่นเป็นของไอ้ภพ…

ผมนอนตัวสั่น ตาค้างไปกับเสียงที่ได้ยิน  ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจผมมากขึ้น ถ้าไอ้ภพอยู่ข้างนอกจริง แล้วใครกันที่นอนอยู่ข้างหลังผม?  แต่กระนั้นความคิดด้านสว่างก็ยังบอกกับผมว่า เสียงที่ผมได้ยินอาจเป็นเสียงของวิญญาณตนนั้นที่ต้องการให้ผมเปิดประตูออกไป  ยิ่งไอ้ภพที่นอนด้านหลังไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงนั่น ผมยิ่งเอนเอียงความคิดมาข้อนี้

เสียงเรียกให้เปิดประตูยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง  เรียกความหวาดผวาในตัวผมได้ตลอดเวลา ทำให้ผมนึกถึงคืนนั้นคืนที่ผมกลัวจนต้องนอนซบหลังไอ้ภพหลับไป  ภาพเหล่านั้นมันทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปทำแบบเดิม

เมื่อพลิกตัวกลับมา ผมถึงกับโล่งใจเมื่อไอ้ภพยังคงนอนอยู่ที่เดิมของมัน ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูนั่น  ผมนอนมองแผ่นหลังของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าและกายของตัวเองให้ขยับไปชิดมันมากขึ้น ความอบอุ่นที่สัมผัสได้นั้น ทำให้เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม มิหนำซ้ำ ผมยังรู้สึกสาแก่ใจอยู่เล็กๆที่ผีนั่นมันเข้ามาไม่ได้

“หึหึ 555”

เสียงหัวเราะเล็กๆของสตรีเพศ ทำเอาผมที่กำลังจะปิดเปลือกตาอีกครั้งถึงกลับสะดุ้ง เสียงนั่นมันดังขึ้นใกล้ผมมากชนิดที่ว่าเหมือนมันหัวเราะอยู่ข้างหูผมนี่เอง  เมื่อมองไปที่ไอ้ภพ ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ มันยังนอนหลับด้วยจังหวะหายใจเดียวกับตอนก่อนนอน

แต่ถ้าหากสังเกตให้ดีๆแล้วนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคงเป็นเสียงเคาะประตูที่มัน…หายไป

แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างกายไอ้ภพก็เริ่มขยับ แสดงให้เห็นว่ามันกำลังจะตื่นจากนิทรา ผมจ้องมันด้วยความดีใจจนอยากจะเข้าไปชิดแผ่นหลังมันมากกว่าเดิมเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมตื่นอยู่  อย่างน้อยมันก็จะได้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนผม หรืออาจจะกล่อมให้ผมหลับไปก่อนมันก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้สังเกตเสียงและการเคลื่อนไหวแปลกๆบนตัวมันเสียก่อน

“หึหึ 555  มาแล้ว กูมาแล้ว 555”

เสียงหัวเราะพร้อมกับคำพูดและท่าทางที่ไม่ปกติของมัน  สั่งให้ผมถอยห่างออกมาจากไอ้ภพอย่างเร็ว ตัวของมันสั่นเล็กๆไปกับจังหวะเสียงหัวเราะหลอนๆที่ผมได้ยิน  การขยับกายของมันกำลังทำให้ผมหวาดผวาจนต้องจิกเล็บลงบนผ้าห่มแน่นดวงตาของผมเห็นมันค่อยๆพยายามพลิกตัวกลับมาหา แต่ไม่รู้ว่าร่างกายมันติดอะไร สิ่งที่ค่อยๆหันกลับมาจึงมีเพียงอย่างเดียวคือ

หัวของมัน….

“กลัวปะ?” 

เสียงกระซิบสยองราวกับเสียงจากนรก เอ่ยถามผมเมื่อส่วนหัวของไอ้ภพหันกลับจนสุด   ใบหน้าที่ควรจะเห็นเป็นหน้าไอ้ภพบัดนี้ได้กลับกลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและความเน่าเฟะไม่ต่างไปจากใบหน้าที่ผมเห็นเมื่อตอนอาบน้ำ เธอกำลังใช้สายตาจ้องมองผมราวกับจะกลืนผมเข้าไป  เธอถามออกมาพร้อมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเธอทำให้ผมแทบหมดสติไป

“มึงเอาของๆกูมาทำไม”  แววตาแข็งกร้าวพร้อมกับเสียงเย็นๆ ถามผมมาอีกครั้ง  พร้อมกับที่ร่างนั้นพยายามเคลื่อนกายเข้ามาหาผม  มือของมันขยับเข้ามาตรงคอผมเรื่อยๆกดรอยแผลจากใบมีดที่ยังคงไม่แห้งสนิท   ใบหน้านั่นขยับมาหาผมอย่างช้าๆจนผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดบนหน้าเธอคนนั้น

“ชะ…ช่วยด้วย” เสียงแผ่วเบาของผมเรียกออกไปอย่างกำลังหวังปาฏิหาริย์ให้ไอ้ภพที่เคยเคาะประตูรีบพังประตูเข้ามา

“หึหึ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ?”  น้ำเสียงยั่วยวนแบบเดิม เอ่ยเข้าที่ข้างหูของผม พร้อมกับสัมผัสเปียกชื้น เมื่อลิ้นของมันเริ่มแลบออกมาคลอเคลียที่ใบหูของผม เมือกน้ำลายไหลยืดลงมาถึงต้นคอจนสัมผัสได้  กลิ่นสาปศพลอยคละคลุ้งไปทั่ว จนทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก   เธอคนนั้นคงสงสารผมมากจึงไม่ปล่อยให้ผมทรมานจากกลิ่นให้เสียเวลา มือของเธอจึงเริ่มบีบลำคอผมอย่างช้าๆจนรู้สึกแน่นๆไปหมด

“มาอยู่ด้วยกันนะคะ”

“อีกนิดเดียว ก็สบายแล้ว…หึหึ”      

“ตาย…”


“ช่วยด้วย!!!!   ไอ้ภพ”  ความพยายามเฮือกสุดท้ายของผมถูกปล่อยออกไปก่อนที่จะพูดไม่ได้อีก

“มิว”

“ไอ้มิว ตื่น!!!”

“ไอ้มิว ตื่นดิวะ!!!!!”

เฮือกกกกกกก

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ฝัน แรงตบหนักๆจากน้ำมือของไอ้ภพยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ผมได้โลกความเป็นจริงของผมคืนกลับมา    ผมมองไปรอบๆห้องอย่างหวาดผวา แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากแสงไฟที่ถูกเปิดและหน้าไอ้ภพที่มองผมอย่างเป็นกังวล

“อะ…ไอ้ภพ  ฮืออออออออ”  ผมร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับโผเข้ากอดไอ้ภพทันทีอย่างคนหวาดกลัว  มันกอดผมตอบพร้อมกับค่อยๆลูบหลังให้ผมอย่างแผ่วเบาเพื่อเรียกสติของผมให้กลับมาและละลายความกลัวของผมที่มันก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร

“มิวใจเย็นๆ  เกิดอะไรขึ้น”

“ลิป…ลิปสติกนั่นมันเป็นของคนตาย มันมาทวงของมันคืน!!!!” ผมโวยวายลั่นเมื่อนึกถึงฝันนั่นอีกครั้ง

“เดี๋ยวๆไอ้มิว  เกิดอะไร ค่อยๆเล่าให้กูฟัง” ผมพยักหน้าตอบรับไปพร้อมกับอาการหวาดระแวงที่ยังไม่จางหายไป

ผมเริ่มเล่าให้มันฟังตั้งแต่สิ่งที่ผมเห็นขณะอาบน้ำจนกระทั่งความฝันที่ผมเห็น  ยิ่งเล่าผมก็ยิ่งกลัวจนไอ้ภพต้องจับมือของผมไว้อย่างให้กำลังใจโดยที่ไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมา

“มันอาจจะแค่ฝัน  ไม่มีอะไรหรอกวันนี้เรายังไม่ได้ท้าทายผีเลยนะ”ไอ้ภพพูดปลอบใจผม

“ก็เพราะกูยังไม่ได้ทำไง  แล้วทำไมกูยังต้องมาเจอด้วย!!”

“ตั้งสติ! ไอ้มิว  มึงอย่าเพิ่งโวยวาย”

“ฮึก  กูกลัวไอ้ภพ  กูกลัว” ผมสะอึกสะอื้นตอบมันด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“ใจเย็นๆ  ไม่มีอะไรแล้ว กูอยู่ตรงนี้แล้ว” ไอ้ภพเลื่อนมือมากอบกุมมือของผมอีกข้าง

กึก

ราวกับมีไม้หน้าสามฟาดมาบนหน้าและสมองผมแรงๆ  ลำตัวผมเกิดการชาวาบอีกครั้ง  ทั้งผมกับมันต่างก็นิ่งค้างไป ก่อนจะก้มลงมองมือข้างนั้นของผม…

“ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้เรามาทำอะไรดีๆ กันดีกว่านะคะ  ส่วนลิปนั่นฉันให้คุณค่ะ”

คำพูดนั่นลอยเข้ามากระแทกในหัวผมจนทำให้ผมต้องนึกย้อนกลับไปและพบว่าตั้งแต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้วางลิปอีกเลย

“อ…ไอ้ภพ ลิปมันมาอยู่บนมือกูได้ยังไง”  ผมช็อกไปกับสิ่งที่เห็น และพูดตะกุกตะกักอย่างคนไร้สติ  ไอ้ภพไม่รอช้ารีบคว้าลิปบนมือผมก่อนจะวิ่งไปเปิดหน้าต่างและขว้างลิปออกไปทางลานด้านหลังบ้านอย่างรวดเร็ว เราทั้งคู่ต่างรู้อยู่แก่ใจ ก่อนขึ้นนอนผมไม่ได้หยิบมันขึ้นมาด้วย

“มิว ใจเย็นๆ มึงอาจจะละเมอลงไปหยิบมาก็ได้”

“….” ผมหันขวับไปมองหน้ามันด้วยแววตาที่สั่นไหว คำถามมากมายก่อเกิดอยู่ในหัว ผมลงไปได้ยังไง บันไดนั่นมันชันพอที่จะฆ่าผมหากผมก้าวพลาดตกลงไปแม้แค่ก้าวเดียว

“กูว่า มันมีอะไรแปลกๆแล้วหวะ”

“ยะ….ยังไง” ผมเสียงสั่นตอบมันไป

“มิว….มึงกำลังไม่ปลอดภัย” ไอ้ภพเหงื่อตก ทำเสียงเครียดบอกกับผม

“เกมส์วันนี้ ที่เราสองคนสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ให้เล่นตามหนังสือนั่น มันไม่ใช่ว่าเกมส์ใจดีตามที่มึงบอก แต่มันจ้องเล่นงานมึงเพียงคนเดียวผ่านสิ่งที่มึงมีไม่เหมือนคนอื่น  ถ้ามันทำให้มึงเป็นบ้าไปได้ มึงก็ต้องออกจากเกมส์แล้วไม่ได้เงินรางวัลแบบน้องสาวกู ยิ่งถ้ามึงละเมอออกไปจริงๆ  ถ้ามึงพลาด....มึงก็ตาย”

“มะ…หมายความว่ายังไง” ผมใจเสียจนพูดแทบไม่เป็นภาษา ตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  น้ำเสียงที่กลั่นออกไปจึงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“มีคนรู้แล้วไอ้มิว….ว่ามึงเห็นผี” ไอ้ภพมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วง  ใครกัน? ที่รู้ว่าผมไม่ปกติไปแล้ว ผมไม่เคยบอกใคร  ทุกคนรู้ความผิดปกติของผมจากกล้องแค่ตัวเดียวอย่างนั้นเหรอ?  ความคิดตีกันสับสนในหัว  ผมกำลังโดนเล่นงาน เกมส์วันนี้กำลังทำให้ผมหลอนจนถึงขั้นสูงสุด และมันก็ทำสำเร็จ

“ใคร?  ใครกันที่รู้ว่ากูเห็นผี แล้วมันจะเอากูออกไปเพื่ออะไร กูไปทำอะไรให้มัน”  ผมพูดออกไปอย่างคนหมดหนทาง นอกจากผมจะเจอผีหลอกในฝันยังต้องตื่นมาพบเจอความจริงที่น่ากลัวกว่าเมื่อพบว่าผู้จัดการเกมส์นี้คิดจะกำจัดผมออกจากเกมส์ด้วยวิธีที่ถ้าผมเป็นอะไรไป ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงแค่…อุบัติเหตุ

“กูไม่รู้…เรื่องนี้ไม่เคยมีใครได้รู้”

“อืม” ผมพยักหน้าช้าๆก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าของไอ้ภพ  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความกังวลของมันกำลังถูกใช้มองผมอย่างคนกำลังสงสาร

“มึง…กูขอถามอีกครั้ง  มึงไม่ได้สงสัยอะไรหน่อยหรอไอ้มิว ไม่ใช่แค่เรื่องคำเตือนนั่น อย่างอื่นหละ? มีมั้ย?”

“จริงๆ…ก็มี” ผมบอกมันไปตามความจริง  เรื่องเมื่อเย็นผมไม่ได้ดีใจจนจับความผิดปกติบางอย่างไม่ได้ เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่คิดว่าการละเลยไม่สนใจในสิ่งที่ลางสังหรณ์ตัวเองบอก  จะนำมาซึ่งปัญหาที่เกือบจะพรากเอาชีวิตผมไป

“เรื่อง?” 

“กู…สงสัยเรื่องลิปสติก” ผมเอ่ยออกไปเบาๆให้ไอ้ภพฟัง  หลังจากที่ผมเงียบตั้งสติของตัวเองให้มั่น พยายามทำใจให้เข้มแข็ง ไม่หลงเป็นเหยื่อของแผนที่ทางรายการวางไว้ 

“ยังไง?” ไอ้ภพหันมาถามอย่างรวดเร็ว

“เราสองคนถูกจับแต่งหน้าโดยที่ไม่มีใครใช้ลิปสีแดงเลย แล้วมัน…ตกออกมาได้ไง” 

“มึง…จะบอกว่าอะไร” ไอ้ภพดูนิ่งไปกับคำพูดนั้น  มันคือเรื่องจริงที่ทีมงานไม่ได้หยิบลิปสีแดงออกมาเลยขณะที่ผมแต่งหน้า ผมจึงสงสัยมากว่า ทีมงานลืมไว้ได้ยังไง

“มีคนจงใจเอามันมาไว้ในบ้านหลังนี้ ”

“ทีมงานพวกนั้น?”

“ไม่ใช่….ไม่ใช่คนพวกนั้น”

“ทำไม?”

“ก่อนทีมงานกลับไป กูดูหมดแล้วภพ…ไม่มีอะไรตกอยู่เลย” ในตอนนั้นผมที่กำลังกลัวกับคำถามสุดท้ายเลยได้พอมีเวลาสังเกตพฤติกรรมทีมงานทุกอย่าง เพราะกลัวว่าทางรายการจะเล่นไม่ซื่อกับพวกผม

“แล้วใครกันที่จะทำได้  วันนี้นอกจากทีมงานก็มีแค่…”  ไอ้ภพเลิกตาขึ้น หันมามองผมอย่างคนที่ไม่เชื่อในความคิดตัวเอง 

ผู้ต้องสงสัยที่ผมคิดได้เป็นคนใกล้ตัวของพวกเราแถมยังใกล้ชิดสนิทสนมเสียจนผมไม่เชื่อในความคิดของตนเอง    ผมมีปฏิกิริยาแบบเดียวกับมันตอนที่คิดได้ถึงเรื่องนี้ แต่ก็พยายามไม่เก็บมาคิดให้มากความ จนถึงตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างดูอันตรายไปหมดสำหรับผม เตียงที่เคยหลับนอนอยู่ทุกวันยังสร้างบาดแผลขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับใจมนุษย์  แม้ผมจะอยากปฏิเสธออกไปแค่ไหน  ก็ทำไม่ได้แล้ว  หลักฐานที่รัดตัวคนนั้นเอาไว้มันแน่นหนาเกินไป

“อืม”






ลุงคำ


************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 11 มาส่งแล้วครับ  หายไปอาทิตย์นึงคิดถึงผมกันมั้ยยยย 55555 :-[
วันนี้ขอเอาใจคนอ่านคอหลอนๆกันบ้างนะครับ  หวังว่าจะถูกใจกันเน้อ มีอะไรอยากติชมก็คอมเมนต์มากันเยอะๆนะครับ

-แน่ใจได้อย่างไร ว่าคนที่นอนด้วยกันทุกวันจะยังเป็นคนเดิม-

เจอกันครับ  P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2017 22:23:38 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยยยยยยยยยยย อะไรกัน
คนน่ากลัวกว่าผีแน่ๆ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
น่ากลัวทั้งคนทั้งผีเลยค่ะ ฮือออออออ

ออฟไลน์ เหนียนเหนียนโหย่วหยู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตรงประโยคทิ้งท้ายนี่ขนลุงเลยค่ะ แน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่นอนด้วยกันทุกวันจะยังเป็นคนเดิม บรึ๋ยยยยย
เราว่ามันต้องมีหักมุมเรื่องภพแน่ๆเลย

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หรือจะเป็นลุงคำที่เป็นผู้จัดการเกม.... :katai1:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ :ling3:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ไม่ให้มิวได้พักบ้างเลยย สงสารร
ไม่ได้เล่นเกมส์แต่ยังต้องมาเจอผีอีกก  :z3:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
 :katai4: :katai4:
ขอให้ทั้งสองรอดปลอดภัยด้วยเถิด

ออฟไลน์ aurusma

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
อ่านรวดเดียว ตอนกลางคืนอีกต่างหาก กลัวก็กลัว แต่ก็ยังอ่านต่อไป 555
ติดตามค่ะะ

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่12

เบาะแส

บางครั้งผมก็เคยคิดว่า ปากของผมมันศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปหรือเปล่า ทำไมหลายๆครั้งที่ผมได้เอ่ยอะไรออกไป เรื่องราวที่ผมไม่ต้องการจึงเกิดขึ้นราวกับมีคนกด copy คำพูดและจับวางมันใส่ตัวผมเอง

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน… 

ผมเคยลั่นวาจาออกไปแล้วว่า อีกไม่กี่วันทางรายการต้องทำอะไรกับพวกผมสักอย่างเพื่อให้เกมส์ดำเนินไปเหมือนปีก่อนๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับคิดเผื่อใจเอาไว้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพียงแค่ผมหลับตานอน

รายการกำลังคิดจะกำจัดพวกผมออกอย่างไม่ปรานี…

เมื่อไอ้ภพบอกกับผมว่า ผมกำลังไม่ปลอดภัยเพราะตอนนี้ทางรายการหรืออาจจะแค่ผู้จัดการเกมส์ล่วงรู้แล้วว่าผมสามารถเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น แม้จะยังไม่เข้าใจว่าทางนั้นรู้ได้อย่างไร พวกผมไม่เคยมีใครปริปากบอก อีกอย่างตอนเล่นเกมส์พวกนั้น ผมไม่คิดว่ารายการจะเชื่อว่าผมเห็นผีเพียงแค่เพราะผมโวยวาย มันไม่มีอะไรยืนยันได้เลย ขนาดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งที่พวกเราเคยดูมานาน เรายังคิดว่าทีมงานจัดฉากได้ นับประสาอะไรกับผมที่เพิ่งจะเข้ามาเล่นคงไม่ได้มีความสามารถที่จะโน้มน้าวจิตใจใครได้แน่

กลัว….

ผมกลัวไปหมด กลัวจนไม่สามารถจะบอกได้แล้วว่าตอนนี้ความกลัวที่ผมมีจะอยู่ที่ระดับไหน  ผมเป็นคนแรกที่รายการเลือกที่จะเอาออก ไม่เข้าใจเลยว่าทางรายการมีหลักการเลือกกำจัดคนอย่างไร เหตุใดถึงเพ่งเล็งมาที่ผมเป็นคนแรก วันก่อนๆผมเจอแต่ผี เจอแต่วิญญาณผมคิดว่านั่นก็สาหัสมากพอแล้ว ทำไมผมยังต้องมาเพิ่มความกลัวให้กับความคิดของมนุษย์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเหนือกว่าสัตว์อื่นๆอีก

ผีไม่น่ากลัวเท่ากับใจของมนุษย์จริงๆ

หลังจากที่ผมคลายทุกความกังวลและความกลัวออกไปได้บ้างแล้ว เราทั้งคู่จึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนกันอีกครั้ง ผู้ต้องสงสัยรายแรก  ผมกับไอ้ภพไม่ได้ฟันธงทันทีว่าเป็นลุงคำ 100% เพราะอย่างที่บอก พวกผมค่อนข้างเคารพลุงแกมาก แต่เมื่อหลักฐานที่ผมมีมันเกี่ยวข้องกับลุงคำ ทางเดียวที่ลุงคำจะรอด ผมต้องหาเบาะแสอื่นมาหักล้าง   

เราทั้งคู่ต่างก็นอนจมอยู่กับเรื่องของตัวเองโดยที่ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรออกมาอีกเลย จนร่างสูงใหญ่ข้างกายผมขยับตัวไปนอนยังท่าประจำของมัน ผมถึงได้รู้ว่าเวลาของคืนนี้ควรหมดลงได้แล้ว

ผมหันไปมองแผ่นหลังนั่น พลางคิดในใจไปว่าอยากเข้มแข็งให้ได้เท่าผู้ชายตรงหน้าผมเหลือเกิน ไม่อยากอ่อนแออยู่แบบนี้ ขนาดไอ้ภพที่ต้องสูญเสียน้องสาวไปเพราะเกมส์ มันยังใจกล้าเข้ามาเสี่ยงได้ทั้งๆที่รู้ว่าตัวมันเองก็จะไม่ปลอดภัย แต่กับตัวผมที่ไม่ได้มีส่วนพัวพันอะไรเลย หนักสุดก็แค่เจอผี ผมยังทำใจให้แข็งไม่ได้เท่ามันเลยสักครั้งแม้จะพยายามลองแล้วก็ตาม และเมื่ออดที่จะจ้องมองอย่างเดียวไม่ได้  ผมจึงรีบเอาหน้าของตนเองไปซุกกับแผ่นหลังของมันและตัดสินใจข่มตานอนอย่างรวดเร็วที่สุด โดยไม่คิดว่าไอ้ภพจะพลิกตัวหันกลับมา

“กลัวรึไง?”

“อะ…อืม”

“กูอยู่ตรงนี้แล้วนะ  หลับได้แล้ว” พูดจบไอ้ภพก็ใช้วงแขนกระชับตัวผมให้เข้าไปชิดกับอกมัน พร้อมลูบหลังแข็งๆของผมให้คลายตัวลงจากการเกร็งอย่างหนักเมื่อครู่  แม้ส่วนสูงจะใกล้เคียงกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเมื่อผมนอนขดตัวและทำให้ร่างกายของผมต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น

….กลิ่นตัวของมัน ความอบอุ่นของมัน  สัมผัสของผู้หญิงคนนั้นเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย…. 

เมื่อพูดถึงฝัน…ความทรงจำก็ไหลกลับเข้ามาอย่างกับเปิดวาล์วน้ำ  ถ้าผมไม่ได้เห็นหน้ามันตอนนั้น ไม่รู้ป่านนี้ ผมจะมีโอกาสได้ตื่นอีกครั้งหรือเปล่า

“ขอบคุณนะ”  ผมเอ่ยขอบคุณมันออกไปอย่างไม่ทันได้คิดอะไร ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าไอ้ภพมันไม่ได้รู้เรื่องราวภายใต้เปลือกตาของผมทั้งหมด

“เรื่อง?” มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดสงสัยในการกระทำของผม

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

“ก็แค่…”

“ถ้าไม่ได้มึง….กูคงตายไปแล้ว”


Pob’s Part


ไอ้มิว…หลับไปแล้ว

คำพูดประโยคสุดท้ายของมันดังก้องอยู่ในหูผม  วนเวียนจนทำให้ผมนอนไม่หลับ ผมพยายามจะถามถึงสาเหตุที่มันพูดประโยคนั่นออกมา แต่ถามเท่าไรไอ้มิวก็ไม่ตอบ ผมไม่รู้ว่าในฝันมันต้องเจอกับอะไร ร้ายแรงมากแค่ไหน ผมอยากให้มันพูดกับผม ไม่อยากให้มันเก็บเอาไว้คนเดียว น้องสาวผมต้องเป็นบ้าไปเพราะไม่มีใครฟังคำพูดของเธอเลยสักคน

ผมนอนมองใบหน้ามันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่กำลังมีอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าอะไร  ผมรู้แค่ว่าผมกำลังเป็นห่วงมันมาก มากเสียจนไม่รู้ว่านอกจากน้องสาวผมแล้วนั้น ผมเคยเป็นห่วงใครได้ขนาดนี้ไหม  มันชอบบอกว่าตัวมันไม่คู่ควรกับเรื่องแบบนี้  แต่ไม่ว่าตัวมันจะคิดว่าตัวเองอ่อนแอมากน้อยแค่ไหน  สำหรับผมมันคือคนที่เข้มแข็งที่สุด เก่งที่สุด  มันยอมทนอะไรหลายๆอย่างในเกมส์เพื่ออยู่ช่วยผม มันกำลังพยายามและอดทนอย่างมากที่จะเป็นคนเดิมให้ได้ในแต่ละวัน ในขณะที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น 

ไอ้มิวกลายเป็นคนหวาดระแวงกับเสียงดังๆได้ง่าย หลายครั้งที่มันสะดุ้งจนตัวโยนเพียงเพราะผมทำของตก ท่าทางหวาดๆของมันนั่นอีกที่เปลี่ยนไป ผมจึงอดไม่ได้ที่จะสงสารมันจนอยากแบ่งเบาความรู้สึกตรงนั้นของมันมา แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  ไอ้มิวมันมองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นเพียงเพราะคาถานั่น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมมันถึงไม่มีผลกับผมเลย ทั้งๆที่ก็ท่องคาถาแบบเดียวกัน

พฤติกรรมหลายๆอย่างของมันที่แสดงออกมาค่อยๆละลายกำแพงในหัวใจผม  ใจของผมแกว่งไปเพียงเพราะมันแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วง   ใจของผมสั่นไหวเพียงเพราะผมเห็นน้ำตาของมันแต่ผมช่วยมันไว้ไม่ได้ และตอนนี้ใจของผมกำลังอ่อนแอเพียงเพราะรู้ว่าตัวมันกำลังจะต้องเจอกับอันตรายที่แม้แต่ผมก็…กลัว

ผมช้าต่อไปไม่ได้แล้ว

เมื่อแสงแดดยามเช้าเริ่มส่องเข้ามา โซ่ตรวนของเวลาที่เหนี่ยวรั้งผมไม่ให้ออกจากบ้านก็พลันหลุดหายไปด้วย ผมรีบลุกออกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะรีบพาตัวเองเข้าไปในป่านั่น ไปหาความจริงที่ถูกซ่อนไว้มาหลายปี  ใจจริงผมไม่อยากออกไปไหนด้วยซ้ำ อารมณ์ห่วงไอ้มิวยังคงอยู่ แต่ก็เพราะคิดว่าเพื่อตัวไอ้มิวและน้องสาวผม ผมต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

ผมรู้อยู่เต็มอกว่าการกระทำของผมมันผิดกฎของทางรายการที่ห้ามผมออกจากเขตบ้านหลังนี้ แต่ผมไม่สนใจ ในเมื่อทางรายการก็รู้แล้วว่าผมทำผิด แต่ยังคงเก็บผมไว้ ผมก็จะถือว่านี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่ทางรายการให้อิสระกับผม  ก่อนออกจากบ้านผมไม่ลืมหยิบลิปสติกแท่งเจ้าปัญหาที่ทำร้ายไอ้มิวเมื่อคืนออกมาด้วย กะว่าถ้าไปถึงบ้านลุงมั่นเมื่อไร จะขว้างมันใส่บ้านลุงมั่นแทนเก็บเอาไว้ส่งคืนรายการ

ผมปีนกำแพงบ้านกลับมาเหยียบผืนดินด้านหลังอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ออกมา 2-3 วันตามคำสั่งของไอ้มิว  ทุกอย่างรอบตัวผมยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด  ป่าด้านหลังบ้านมันไม่ใช่ป่ารกมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเตียนจนคนสามารถเดินได้อย่างสะดวก

ผมมองไปยังเส้นทางตรงหน้าก่อนที่จะตัดสินใจเดินไปยังอีกทางที่ผมไม่เคยคิดจะไป ด้วยเพราะว่าเส้นทางนั้นมันอุดมไปด้วยต้นไม้ขึ้นถี่ๆและต้นหญ้าที่ขึ้นระเกะระกะจนไม่คิดว่าคนธรรมดาจะสามารถผ่านเข้าไปได้ อีกทั้งที่รกๆตรงนั้นมันยังเหมาะเป็นที่อยู่ของสัตว์เลื้อยคลานอันตรายๆ การที่ผมจะตัดสินใจฝ่าไปจึงนับว่าเสี่ยงมาก อุปกรณ์ป้องกันตัวเองผมก็ไม่มีสักอย่าง

เมื่อหันกลับมามองยังเส้นทางที่ผมเลือกไปในวันแรก มันก็เหมือนมีบางอย่างลอยมาฉุดรั้งขาของผมไม่ให้ก้าวต่อไป ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าผมกำลังจะโดดเรียนเกิดขึ้นมาเพราะอะไรผมก็ไม่ทราบได้  อะไรหลายๆอย่างที่ผมสมมุติไปว่าเป็นครูฝ่ายปกครองกำลังทำให้ผมกลัวในความผิดและความหัวรั้นของตัวเอง  อะไรหลายๆอย่าง เช่น

เสียงของไอ้มิว

เสียงของมันดังซ้ำๆในหัวผมจนเหมือนได้เห็นมันมายืนชี้นิ้วสั่งอยู่ตรงหน้า  ย้ำเตือนให้ผมทำตามที่มันบอกก่อน  โดยที่มันเคยบอกกับผมว่าไม่อยากให้ผมเปลี่ยนเส้นทางไปในทันทีเพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น  ข้อสงสัยอีกหนึ่งอย่างของเกมส์นี้คือ รายการรู้ได้อย่างไรว่าผมปีนออกมาทั้งที่ด้านหลังบ้านไม่มีกล้องติดเอาไว้เลย อาจจะเพราะตรงนี้ ไอ้มิวเลยบอกให้ผมหาสิ่งที่จับตาผมไว้ให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องศพ เรื่องผีปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมัน

ผมเดินกลับมายังเส้นทางเดิมอย่างช่วยไม่ได้  ความเป็นห่วงของไอ้มิวมีผลต่อการตัดสินใจของผมเป็นอย่างมาก  เส้นทางเดิมที่ผมไปไม่ใช่ว่ามันไม่รกแต่ตอนแรกที่ผมเลือกทางนี้เพราะมันมีร่องรอยของการเดินผ่าน มันมีร่องรอยของมนุษย์ ผมเลยเลือกสิ่งที่ทำให้ผมปลอดภัยไว้ก่อน   

เมื่อคืนหลังจากที่ผมบอกกับไอ้มิวไปว่าทีมงานล่วงรู้แล้วว่ามันสามารถเห็นผีได้ แม้จะยังไม่มั่นใจเท่าไร แต่ความรู้สึกผมมันก็บอกแบบนั้น  ลิปสติกนั่นดูเผินๆก็คงไม่มีใครได้คิดอะไรหากทีมงานจะลืมไว้บ้างก็คงไม่แปลก  แต่จังหวะของรายการที่สร้างขึ้นผมว่ามันประจวบเหมาะเกินไป  รายการกำลังจงใจให้ไอ้มิวมีเวลานอนมากขึ้นเพื่อที่จะให้มันเผชิญกับความกลัวที่คนอย่างผมไม่มีทางสัมผัสได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง รายการนี้คงเริ่มเกิดการระแคะระคายกันแล้วว่าการที่ผมออกมาด้านหลังนี่  ผมออกมาเพื่ออะไร

ในคราแรกที่ผมได้ยินมันบอกว่ามันเห็นผมเดินในกระจกและรู้สึกได้ว่าผมกำลังไปผิดทาง ตอนนั้นผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก รู้สึกตกใจไปกับคำพูดของมัน คำถามที่ว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าทางไหนถูกทางไหนผิดวิ่งแล่นเข้ามาในหัว มันไม่เคยออกมานอกเขตบ้านด้วยซ้ำ  อีกอย่างการที่มันบอกผมว่ามันเห็นผมนั้น เล่นทำเอาจังหวะการเต้นหัวใจผมสะดุดไปได้ทันที เพราะสิ่งที่มันเห็นไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ผมเห็นเลยแม้แต่น้อย

ผมเดินย้อนรอยเท้าของตัวเองไป ในใจก็ภาวนาให้วันนี้ผมเจอในสิ่งที่ผมต้องการหาให้เร็วที่สุด มันไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าทีมงานจะไม่เข้ามาในบ้านวันนี้   ถึงผมจะไม่กลัวหากทีมงานจะรู้ว่าผมหนีออกมาแต่เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงที่จะถูกตัดสิทธิ์ผมจึงต้องรีบกลับเข้าไปในบ้าน  อีกทั้งถ้าต้นไม้สักต้นตรงนี้มีกล้องติดไว้จริงๆ ป่านนี้ทีมงานหรือผู้จัดการเกมส์คงได้มานั่งจ้องหน้าจอดูการกระทำของผมแล้ว

ผมเงยหน้ามองต้นไม้ทุกต้นที่เป็นไปได้ เพื่อหาบางสิ่งที่จับตามองผมอยู่ แดดตอนนี้ยังไม่แรงมากนัก การใช้สายตาเงยขึ้นไปตรงๆเลยยังไม่ใช่ปัญหา  แต่สิ่งที่กำลังเรียกว่าเป็นปัญหานั่นคือการที่ยิ่งมองหาผมยิ่งไม่พบ ต้นไม้ทุกต้นไม่มีต้นไหนเลยที่แสดงออกถึงความผิดแปลกไป หากจะเดาว่ากล้องอาจถูกติดอยู่ตรงต้นไม้ต้นอื่น ที่ยืนต้นอยู่นอกเส้นทางนี้ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะกล้องคงไม่ได้มีความละเอียดมากจนถึงขนาดสามารถจับภาพและดูออกทันทีว่าเป็นผม  พื้นที่ตรงนี้มันไม่ได้มีบ้านผมตั้งอยู่แค่หลังเดียว แต่ยังมีบ้านของลุงมั่นอีกหลังที่ตั้งอยู่

ระหว่างมองหาใจผมก็พะว้าพะวงถึงไอ้มิวที่ยังคงนอนหลับอยู่ไปด้วย  ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะลืมตาตื่นขึ้นมาหรือยัง ผมเดาว่ามันคงแปลกใจถ้าหากพบว่าผมออกมาจากบ้านหลังนั้นเช้ากว่าปกติ  เรื่องเมื่อคืนเล่นเอาผมไม่อยากปล่อยมันไว้คนเดียวกลัวว่ามันไม่เห็นผมอยู่แล้วจะหลอนไปกับภาพที่หัวมันสร้างขึ้น  อีกอย่างช่วงนี้ไอ้มิวก็เริ่มทำตัวแปลกๆจนบางครั้งผมก็ตั้งตัวไม่ทัน อย่างเมื่อวานที่มีตอบคำถาม ไอ้มิวก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ในใจผม ทั้งเรื่องที่มันไม่ได้ปฏิเสธทีมงานไป และเรื่องที่มันย้อนถามกลับมาว่า ทำไมตัวผมถึงได้คล้อยตามไปกับคำตอบของมัน

นั่นสิ?…เพราะอะไร

คำถามที่มันถามกลับมานั้น ยอมรับตรงๆเลยว่าผมยังหาคำตอบให้มันไม่ได้  ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวผมถึงไม่แย้งออกไป รู้แค่ว่าใจสั่งให้ตอบไปแบบนั้น ผมอยากเห็นแก้มของมันขึ้นสีแดงจางๆ ผมอยากเห็นใบหน้าของมันที่ชอบแอบอมยิ้มเมื่อผมพูดอะไรถูกใจมันและคิดว่าผมคงมองไม่เห็น  ในตอนนั้นผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณลุงคำมากที่ตะโกนเรียกผมกับมันถูกจังหวะพอดี เลยไม่มีใครได้สนใจคำถามนั่นอีกต่อไป

และเมื่อพูดถึงลุงคำ…ความคิดในหัวผมก็เปลี่ยนไปเป็นการโฟกัสกับต้นไม้และเส้นทางตรงหน้าทันที   

น่าแปลกที่ป่าด้านหลังนี้เงียบสงัดราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่เลย  ป่าทั้งป่าไม่ต่างอะไรไปกับป่าช้า เงียบจนเหมือนเป็นที่พักผ่อนของคนตายเสียมากกว่า  การเดินย่ำเท้าของผมเลยกลายเป็นเสียงดังเสียงเดียวที่ผมได้ยิน  เมื่อสมองทำงานอยู่เงียบๆ คำโบราณทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยเฉพาะที่พร่ำสอนมาทั้งหลายว่านกที่ออกหากินในตอนเช้าย่อมได้หนอนตัวใหญ่กว่า บัดนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเอาเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ผมก็รีบออกจากบ้านหลังนั้นมาด้วยเวลาที่ไม่ต่างไปจาก นกออกหากิน แต่ทำไมผมถึงไม่สามารถหาเบาะแสชื้นสำคัญได้เท่ากับที่นกมันเจอหนอน หรือแท้จริงแล้ว ที่ตรงนี้มันอาจจะไม่มีหนอนสำหรับนกอย่างผม

จากแสงอาทิตย์อ่อนๆก็เริ่มเปลี่ยนเป็นทอแสงเข้มขึ้นมา นี่คงเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าผมใช้เวลาไปกับการสังเกตหากล้องตามต้นไม้ต่างๆนานอยู่พอสมควร  ไอความร้อนของอากาศเริ่มทรยศร่างกายผม จนแผ่นหลังของผมเต็มไปด้วยความชื้นแฉะของเหงื่อที่ไหลออกมา  ผมเริ่มที่จะอึดอัดกับการเดินลอยชายอยู่ตรงบริเวณนี้เลยตัดสินใจที่จะก้าวเร็วๆไปยังบ้านลุงมั่นแทนการสังเกตต้นไม้ต้นที่เหลือซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดาๆที่ไม่ได้มีการเพิ่มลูกเล่นลงไปแต่อย่างใด

จากเดินกลายเป็นเดินเร็ว จากเดินเร็วกลายเป็นวิ่ง ผมถอดเสื้อพาดบ่าและออกตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นกำแพงบ้านของลุงมั่นตั้งอยู่ตรงหน้า เสียงดังโหวกเหวกในบ้านเร้าให้ผมสนใจความเป็นไปในนั้น  บางเสียงคุ้นหูจนเดาได้ทันทีเลยว่าเป็นเสียงของทีมงานเกมส์ที่เคยมาบังคับให้ผมออก  บางเสียงก็ไม่คุ้นแต่เสียงหนึ่งที่ทำเอาใจของผมเต้นรัวแรงด้วยความเป็นห่วงจนแทบจะเข้าไปดูให้ไวที่สุดกลับกลายเป็นเสียงของลุงมั่น

ผลักกกกกกก

เสียงประตูด้านหลังบ้านถูกเปิดกระแทกออกมาอย่างรวดเร็ว จนเกือบทำให้ผมหาที่ซ่อนตัวแทบไม่ทัน  ภาพที่เห็นเป็นภาพของลุงมั่นที่โดนผลักออกมา พร้อมกับทีมงานของรายการอีก 6-7 คนเดินตามมาติดๆ   พวกมันยืนล้อมลุงมั่นอย่านักเลง วางมาดข่มคนแก่ที่ไม่มีทางสู้  จนตัวผมที่แอบสังเกตการณ์อยู่เดือดพล่านไปกับพฤติกรรมหยาบๆของพวกมัน

“เฮ้ย !! ไอ้แก่ หน้าที่มึงมีแค่นี้ทำไม่ได้รึไงวะ” เสียงของหนึ่งในทีมงานตรงนั้น ตะคอกออกมาเสียงดังพร้อมกับทำท่าจะยกเท้าขึ้นมาเตะลุงมั่น ถ้าเพื่อนของมันไม่ห้ามไว้เสียก่อน

“ย…อย่าทำอะไรลุงเลย ลุงกลัวแล้วๆ”

“กลัวก็หัดทำตามที่พวกกูบอกดิ จะอะไรนักหนาแค่ดูแลพวกมันไม่ให้เล่นเกินหน้าที่ มึงทำไม่ได้รึไง!!”

“ล…ลุง  ยังไม่ได้เข้าไปหาพวกนั้นเลย”

“แล้วจะรอเมื่อไร! !  รอให้พวกกูฆ่ามึงก่อนใช่มั้ยถึงจะเข้าไปหามันได้” 

“ย…อย่าทำอะไรลุงนะ เดี๋ยวลุงจะเข้าไปหาวันนี้เลย” ท่าทางหวาดกลัวของลุงมั่น ไม่ได้ทำให้พวกมันสลดลงเลยแม้แต่น้อย กลับกันยิ่งทำให้พวกมันได้ใจ ยืนขู่ลุงมั่นด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัดที่ผมไม่เคยคิดว่ามนุษย์ด้วยกันเองจะกระทำต่อกันแบบนี้  อีกทั้งลุงมั่นยังมีอายุมากกว่า พวกมันไม่ได้มีสำนึกเลยสักนิดว่าคนอายุน้อยกว่าไม่ควรทำ

“เฮ้ย กูสงสัยหวะ ทำไมรายการแม่งไม่เอาพวกมันออกไปซะทีวะ ผิดกฎกันก็เยอะฉิบหาย” เสียงหนึ่งของทีมงานเอ่ยถามบุคคลที่คาดว่าจะเป็นหัวโจกของคนกลุ่มนี้  ไอ้คนนี้ผมจำหน้ามันได้แม่น มันคือคนที่เคยเข้าไปขู่จะเอาผมออก  มันทำยิ้มเย้ยๆให้กับเพื่อนมันก่อนจะหันกลับมามองลุงมั่นที่ล้มกองอยู่ตรงนั้น

“หึ ก็พวกมันกำลังทำเงินไงวะ เงินที่พวกมึงใช้ผลาญกันอยู่ก็มาจากพวกมันทั้งนั้น  เงินที่ต้องจ่ายให้ไอ้แก่นี่ก็เงินที่พวกมันทำให้  รายการจะอยากเอามันออกทำไมวะ” มันตอบเพื่อนมันไปด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่ดวงตาของมันกลับจ้องลุงมั่นอย่างเอาเรื่อง

“ลุง ผมจะพูดกับลุงดีๆแล้วกันนะ ถ้าลุงยังอยากมีเงินกินเงินใช้ ก็รีบไปจัดการเรื่องที่ตกลงกันไว้ซะ  เราคุยกันดีๆได้ แต่ถ้าลุงยังมัวช้า พวกผมไม่รับประกันชีวิตลุงนะว่า….จะเกิดอะไรขึ้น” 

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจแทนลุงมั่นและตัวของผมเอง  พวกมันกำลังใช้ผมกับไอ้มิวให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเงิน   มองพวกผมเป็นสินค้าที่ถ้าหากหมดราคาพวกมันไม่เก็บผมไว้แน่  น้ำเสียงของมัน สีหน้าของมัน ทำให้ผมเหลืออดจนอยากจะวิ่งเข้าไปต่อยตีให้จบเรื่อง   แต่ผมทำไม่ได้ หากผมผลีผลามออกไปเมื่อไรสิ่งที่กำลังจะทำต่อหรือที่พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่าทันที

เฮือกกกกกก

อาจเพราะผมนึกโมโหอยู่กับตัวเองนานเกินไปเลยไม่ได้สังเกตว่าบัดนี้ดวงตาคมคู่นั้นที่เคยจ้องหาเรื่องลุงมั่นได้เคลื่อนย้ายตำแหน่งการมองใหม่มาทางผม  ผมไม่รู้ว่ามันมองเห็นผมหรือเปล่า เพราะตำแหน่งที่ผมแอบอยู่ก็ค่อนข้างจะมิดชิด แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป ทุกระบบ ทุกตำแหน่งมักมีช่องโหว่อยู่เสมอ ผมจึงต้องรีบก้มหัวตัวเองลงให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตไปมากกว่านี้

“ฝากดูคนของลุงด้วยละกัน  ต่อให้มันทำเงินมากแค่ไหน แต่ถ้ายังไม่สนใจคำสั่งอยู่แบบนี้ผมไม่เอามันไว้แน่”

“ด…ได้ เดี๋ยวลุงจะดูให้”  พวกมันพูดกับลุงมั่นจบก็หันหลังเดินกลับเข้าตัวบ้านไป  ทิ้งลุงมั่นให้ค่อยๆเดินพาตัวเองกลับเข้าบ้านทีหลัง

ผมแอบอยู่ตรงนั้นได้พักใหญ่จนเมื่อได้ยินเสียงรถที่คาดว่าจะเป็นรถของทีมงานขับออกไปผมถึงได้วิ่งออกมาจากจุดนั้นและไปส่องตามแนวประตูด้านหลังที่ปิดไม่สนิท

เมื่อมองเข้าไปในบ้านลุงมั่น พื้นที่ด้านหลังของบ้านดูจะคล้ายกับบ้านที่พวกผมต้องถ่ายทำรายการอยู่ เพียงแต่ว่าพื้นที่บ้านของลุงมั่นถูกออกแบบให้กลายเป็นแปลงปลูกผักสวนครัวซะส่วนใหญ่ จนเมื่อสังเกตแล้วว่าไม่มีอะไร ผมจึงกล้าที่จะเปิดประตูเข้าไป

“มาทำอะไร?”

น้ำเสียงเรียบๆของคนแก่คนหนึ่งเอ่ยทักผมที่กำลังแอบดูภายในบ้านจากหน้าต่างที่ถูกติดไว้ทางห้องครัว  ส่งผลให้ผมถึงกับสะดุ้งจนหัวแทบโขกกับบานหน้าต่าง

“ผ…ผมเอ่อ”

“มาทำอะไร?” ลุงมั่นใช้เสียงที่กดให้ต่ำลงกว่าเดิมเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบจากผม

“ผม…เอานี่มาคืนครับ”

“ลิปสติก?”

“ใช่ครับ เมื่อวานเหมือนทีมงานจะลืมไว้ในบ้าน ผมไม่รู้จะเอาคืนยังไงเลยเอามาให้”

“เดี๋ยวเย็นนี้ลุงคำก็เข้าไป ทำไมไม่รอคืน”

“เอ่อ…ผมจะมาขอยาด้วยครับ”

“ยาอะไร?”

“ไอ้มิวโดนมีดบาดตั้งแต่เกมส์คืนก่อน แล้วเหมือนแผลจะอักเสบ เลยจะมาขอยาแก้อักเสบครับ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่รีบบอก งั้นรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวลุงไปเอามาให้” แค่เพียงเหตุผลนั้น หน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดของลุงมั่นก็หายไปในทันที

“ขอบคุณครับ”

ผมถึงกับต้องเอามือทาบอกด้วยความโล่งเมื่อลุงมั่นเดินหายเข้าไปในบ้าน  ไม่คิดว่าไอ้ลิปสติกแท่งเจ้าปัญหาจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ผมได้ อีกทั้งบาดแผลของไอ้มิวที่ยังคงติดค้างในใจของผมยังถูกนำขึ้นมาเป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงการจนตรอก เนื่องจากผมไม่สามารถหาเหตุผลที่สามารถฟังขึ้นได้แล้ว

ผมรออยู่ครู่หนึ่ง ลุงมั่นก็เดินออกมาพร้อมกับยาเม็ดที่ข้างกล่องระบุชัดเจนว่าเป็นยาแก้อักเสบนำมายื่นให้ผม พร้อมกับที่ลุงมั่นได้บอกกับผมว่าจะเดินนำไปส่งบ้านเพราะแกต้องการจะคุยเรื่องบางอย่างกับผม ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่าแกจะพูดเรื่องอะไร ภาพเมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาบอกผมไว้หมดแล้ว

“ไอ้หนุ่ม เอ็งชื่อภพ ใช่มั้ย?”

“ใช่ครับ”

“ลุงขอเตือนเอ็งนะ คราวหน้าคราวหลังอย่าแอบออกมาอีกมันไม่ปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัย?....จากอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก ลุงแค่ไม่อยากให้เอ็งออกจากเกมส์เร็วเท่านั้น”

“ไม่ใช่เพราะลุงโดนพวกนั้นขู่หรอครับ?”

กึก

“เอ็งได้ยินอะไร” ลุงมั่นหยุดเดินทันที ทำให้ผมที่เดินตามมาชนเข้ากับลุงแกอย่างไม่แรงนัก  น้ำเสียงยามที่ลุงมั่นหันหน้ากลับมาถามผมเริ่มดุดันจนผมแปลกใจ หากแต่มันก็แค่นั้น น้ำเสียงนั่นไม่ได้ทำให้ผมกลัวแต่อย่างใด ผมจึงเริ่มตอบออกไปด้วยท่าทีสบายๆ

“ขอโทษที่ล่วงเกินนะครับ แต่ผมเห็นและได้ยินหมดแล้วว่ารายการมันขู่ลุงให้มาบอกเรื่องที่ผมกำลังทำผิด”

“เอ็งคงไม่ได้คิดว่าลุงจะเอาเงินจากการเอาเปรียบพวกเอ็งใช่มั้ย?”

“หึ จะคิดได้ไงครับ ลุงทำหน้าที่มันก็สมควรได้เงินอยู่แล้วอีกอย่างหากผมชนะยังไงผมก็ต้องได้เงินอยู่ดี”

“อืม  ขอบใจ…แล้วนี่ไอ้หนุ่มอีกคนมันเป็นไงบ้าง” ลุงมั่นตอบเสียงแผ่วลง ก่อนจะรีบทำให้เสียงดูมีชีวิตขึ้นอีกครั้งยามถามถึงไอ้มิว

“ไอ้มิวหรอครับ ตอนนี้มันก็…แย่”คราวนี้กลายเป็นผมที่น้ำเสียงอ่อนลงไป หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวผมเองควบคุมใจตัวเองไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อมัน  ความรู้สึกหลายๆอย่างตีรวนกันในอกจนทำให้ผมสับสน ทั้งจากการกระทำของมันและจากการกระทำของตนเองที่บางครั้งก็เผลอตัวทำในสิ่งที่ไม่ควรไป

“มันเจอผีหลอกเหรอ”

“เปล่าครับ มันแค่ป่วยเพราะแผลอักเสบ” ผมยิ้มน้อยๆให้กับลุงมั่น  ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนเรื่องที่ควรมีเพียงผมกับมันเท่านั้นที่รู้

“ให้มันกินยานี่ เดี๋ยวมันก็หายแล้ว” ผมพยักหน้าตอบรับลุงมั่นไป ก่อนที่ต่างคนจะเดินไปด้วยกันเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยกันใดๆเพิ่ม
เติมอีก

ระหว่างทางกลับ ผมไม่ได้ละเลยที่จะมองหากล้องที่ซ่อนไว้อีกครั้ง เนื่องด้วยตอนนี้ผมเดินกลับกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ลุงมั่นที่เดินนำหน้าผม หากแกเบื่อ แกก็จะหันกลับมาชวนผมคุยบ้าง  ถามถึงบรรยากาศการเล่นเกมส์ในตอนกลางคืนบ้างว่าพวกผมเล่นกันเป็นอย่างไร 

ผมเดินตามลุงมั่นไปเรื่อยๆ  ยิ่งใกล้ทางกลับบ้านเท่าไรใจผมยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข ผมเสียเวลาออกมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ล่วงเลยไปหลายชั่วโมงโดยที่ผมยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้า ทั้งเรื่องกล้องและเรื่องเกมส์  จนครู่หนึ่งที่ใจผมเกือบจะยอมแพ้ ถ้าไม่ได้มีโอกาสนึกถึงบทสนทนาของผมกับไอ้มิววันนั้น  ที่มันเคยบอกกับผมว่าตอนนี้คนที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขข้อมูลของบ้านนี้หลังนี้ได้ มีเพียงคนเดียวคือลุงมั่น แม้ในใจผมจะกล้าๆกลัวๆ และเชื่อว่าถึงถามไปยังไงก็คงไม่ได้คำตอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย การเงียบไม่ถามอะไรนั่นเสียอีก ที่เป็นการปิดข้อมูลที่ควรรู้ของผม

“ลุงมั่นครับ”

“มีอะไร?”

“ลุงพอจะรู้จักคนที่ตายในบ้านหลังนั้นมั้ยครับ?....บ้านหลังที่พวกผมใช้เล่นเกมส์กัน”

“ถามทำไม?” ลุงมั่นหยุดเดินไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเดินต่อโดยไม่หันหลังกลับมามองคู่สนทนาอย่างผม
.
.
.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2017 15:35:40 โดย P-Rawit »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมต้องมาอยู่ในบ้านของคนอื่น อย่างน้อยก็ขอให้รู้ข้อมูลครอบครัวเขาก็ยังดี เผื่อผมออกจากเกมส์ไปจะได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาได้หนะครับ  ”

“เรื่องทำบุญ ไม่ต้องใส่ใจนักหรอก มีคนทำให้ทุกปีอยู่แล้ว”

“ใครครับ?  ผมรู้มาจากประวัติบ้านเขาตายทั้งครอบครัวนะครับ กว่าจะเจอศพก็นานพอควรแล้วใครที่ทำให้….ลุงหรอครับ?”

“เปล่า นี่เอ็งจะรู้ให้ได้เลยใช่มั้ย?” เสียงติดรำคาญของลุงมั่น ตอบปัดๆผมก่อนจะหันมาถามด้วยความหงุดหงิดใจ

“ก็…ถ้าลุงจะกรุณาผมก็ยินดีครับ” ผมยิ้มจางๆตอบลุงมั่นไป

“ครอบครัวนั้น…ไม่ได้ตายทั้งหมดหรอก” ลุงมั่นเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ผมฟัง ด้วยน้ำเสียงเรียบๆที่บอกไม่ได้ว่าตอนนี้ลุงมั่นรู้สึกอย่างไร

“มีคนรอดด้วยหรอครับ?”

“มีสิ ลูกชายคนกลางของบ้านหลังนั้น คือคนที่รอดชีวิตมา” ลุงมั่นหันมามองหน้าผม ก่อนจะเงียบไปสักพักหนึ่งและเริ่มที่จะเล่าบางเรื่องต่อ

“วันนั้น ลุงจำได้ว่า เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาหลบอยู่ในบ้านลุง ในตอนแรกลุงไม่รู้หรอกว่าเด็กนั่นมาแอบ จนลุงได้ยินเสียงบางอย่างดังที่ด้านหลังบ้าน  มันคือเสียงร้องของเด็กคนนั้นที่ค่อยๆส่งเสียงให้ลุงเปิดประตูให้  ลุงเลยรีบพาเด็กเข้ามาในบ้านแต่เด็กก็เอาแต่บอกว่ามีฆาตรกรกำลังตามมา  มันกำลังจะตามมาฆ่าเขาจนลุงรู้สึกไม่ปลอดภัย  เลยรีบพาเด็กคนนั้นขับรถออกไปที่อื่นก่อน เพื่อหลบซ่อนตัวอยู่หลายวัน”

“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าลุง…”

“ใช่ ลุงคือคนพบศพของบ้านนั้นคนแรก หลังจากที่ลุงพาเด็กกลับมาเพราะมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว ทุกคนในบ้านนั้นก็ตายกันหมด”

“แล้วทำไม วันที่เกิดเหตุลุงถึงไม่รีบแจ้งตำรวจไปหละครับ  ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องเกิดจนกระทั่งมีศพนอนอืดอยู่ในบ้าน”

“ก็เด็กคนนั้นเอาแต่พูดว่า พ่อแม่จะหาทางออกมาเองห้ามแจ้งตำรวจเรื่องนี้เด็ดขาด ลุงเลยไม่รู้จะทำอย่างไร”

“งั้นหรอครับ”  ผมพยักหน้ารับรู้ไปแบบส่งๆ  ในใจของผมสัมผัสได้ถึงความย้อนแย้งหลายๆเรื่อง ผมไม่กล้าฟันธงว่าเรื่องที่ลุงมั่นเล่าจะเกิดจากเรื่องจริงทั้งหมด แม้ว่าลุงแกจะอาศัยอยู่ตรงนี้มานานก็ตาม แต่ความจริงที่ว่ายังไงลุงก็เป็นคนของรายการ เรื่องราวพวกนี้อาจถูกกำหนดมาให้เล่าก็เป็นได้ หากผู้ร่วมรายการอยากรู้ข้อมูลมากกว่าที่รายการจัดไว้ให้

“นี่ เอ็งกลัวผีมั้ย?”

“ผมหรอ? ไม่กลัวหรอกครับลุง”

“งั้นดีเลย เดี๋ยวลุงจะเล่าเรื่องผีเรื่องหนึ่งให้ฟัง”

“เรื่องอะไรหรอครับ?”

“มันชื่อเรื่องว่า เด็กชายกับห้องพิมพ์ดีด

“เรื่องเป็นไงครับ? ผมไม่เคยได้ยิน”

“เรื่องนั้น…”

กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

เสียงกริ่งโรงเรียนตีบอกเวลาพักทานข้าวของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ปลุกเสียงพูดคุยของเหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายให้ดังขึ้นกลบเสียงเนื้อหาของคุณครูที่กำลังจะตั้งใจสอนเกินเวลาไปซะมิด  น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำการประท้วงเจ้าของร่างกายที่นั่งหน้าเครียดมาได้ร่วมชั่วโมง จนสติที่จะนำไปตั้งใจเรียนขาดผึงไปในที่สุด

“งั้นวันนี้ครูพักแค่นี้ก่อนแล้วกัน ไปกินข้าวได้”

“นักเรียนเคารพ”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ”

หลังจากนั้น ร่างของเหล่าเด็กชายและเด็กหญิงต่างก็รีบกรูกันออกจากห้องด้วยความเร็วชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร  เสียงตึงตังของรองเท้านักเรียนดังขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบๆของโถงทางเดินไปจนถึงโรงอาหารที่บัดนี้อัดแน่นไปด้วยนักเรียนนับร้อยคน กำลังจับจองพื้นที่นั่งกินข้าวเที่ยงจนชั่วพริบตาเดียวที่นั่งว่างๆก็เต็มไปด้วยกระเป๋ามากมายกองกันไว้

“เฮ้ย พวกมึงกูมีเรื่องเด็ดๆจะมาเล่าให้ฟัง” เสียงหัวโจกของเพื่อนชายในกลุ่มดังขึ้นเรียกความสนใจจากหลายๆคนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวจนไม่สนใจอย่างอื่น  เขามองไปที่ต้นเสียงเงียบๆ ก็เห็นเพียงแค่มันกำลังรอทุกคนให้มองไปที่มันก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องพร้อมยิ้มร้ายๆ

“เรื่องอะไรวะ?” ใครสักคนถามขึ้น

“เออหน่า รอให้ไอ้เก่งเงยหน้ามาก่อนดิ เรื่องนี้ต้องรับรู้กันทุกคน”

“ไอ้ห่า มากดดันกูอีก งั้นมึงก็รีบๆเล่ามาถ้าไม่น่าสนใจกูจะถีบให้หน้าเขียวเชียว บังอาจมาขัดเวลาแดกข้าวกู”

“555 มึงไม่มีทางได้ถีบกูแน่” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเอ่ยขึ้นมา จนทุกคนถึงกับหันมามองกันเป็นตาเดียวก่อนจะหันไปที่มันอีกครั้ง

“พวกมึงเคยได้ยินเรื่องเล่าในห้องพิมพ์ดีดมั้ย?”

“ไอ้ที่มีคนเล่ามาว่า มีครูเคยผูกคอตายในห้องนั้นเพราะผิดหวังเรื่องรักใช่มั้ย?”

“เออ นั่นแหละ”

“อะไรอย่าบอกนะว่ามึงจะเล่าซ้ำ ไอ้ควายเค้ารู้กันยันเด็กอนุบาลแล้ว”

“โห ไอ้สัส ฟังกูก่อนดิ ที่กูจะเล่ามันเกี่ยวกับเรื่องนั้นเฉยๆ”

“มีอะไรหละ?”เขาถามขึ้นบ้าง เพราะหลังจากนั่งฟังไอ้คนที่เป็นหัวโจกพล่ามอยู่นานแต่ก็ยังหาแก่นสารไม่ได้

“เรื่องนี้กูได้ยินมาจากไอ้ต้าห้องหนึ่ง มันเล่าให้ฟังว่าวันนั้นมันต้องขึ้นไปส่งงานในห้องพักครูบนชั้นห้องพิมพ์ดีดนั่นแหละ ตอนนั้นก็เย็นพอสมควร ด้วยความที่ว่ามันส่งงานช้าเลยต้องแอบขึ้นไปไม่ให้ครูรู้  ทีนี้ตอนมันจะกลับ มันก็ต้องเดินผ่านห้องพิมพ์ดีดไปลงบันได ระหว่างนั้นมันได้ยินเสียงแป้นพิมพ์ดีดทำงาน มันเลยหยุดฟังด้วยความสงสัยว่าใครมาทำอะไร   จนสายตาของมันเหลือบไปเห็นแม่กุญแจที่คล้องอยู่ มันเลยรู้ว่า ตัวมันโดนดีเข้าให้แล้ว  แต่พวกมึงก็รู้ ไอ้ต้ามันโคตรจะนักเลง มันเลยเล่นพิเรนทร์โดยการ ก้มมองลอดหว่างขาผ่านช่องลมข้างใต้กำแพงห้อง แล้วสิ่งที่มันเห็นก็คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเคาะแป้นพิมพ์อยู่ เธอคนนั้นกำลังพิมพ์บางอย่างไปเรื่อยๆ จนสักพักเธอคนนั้นก็หยุดและลุกเดินถือกระดาษนั่นวนรอบห้องแทน สุดท้ายเกิดอะไรรู้มั้ย?”

“อะไร?” เสียงเพื่อนๆตอบไอ้หัวโจกไปด้วยความตื่นเต้น

“กระดาษแผ่นนั้นมันก็ตกอยู่ตรงหน้าไอ้ต้าพอดี  ตอนนั้นไอ้ต้ากลัวจนแทบจะหัวใจวายตายไปแล้ว แต่พอจะขยับออกมามันก็ทำไม่ได้ เข้าใจคำว่าผีอำใช่มั้ย? ไอ้ต้าเลยต้องทนมองดูผู้หญิงคนนั้นค่อยๆก้มตัวลงมาเก็บกระดาษนั่นแทน  ในใจไอ้ต้าพยายามจะสวดมนต์ตลอด จะหลับตามันก็ทำไม่ได้ จนมันได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆและเห็นหัวผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันมามองมันนั่นแหละ มันถึงจะหลุดออกจากภวังค์นั่นได้  แต่รู้มั้ย ไอ้ต้าบอกกูมาว่า มันไม่ใช่แค่นั้นนะ ช่วงก่อนที่ไอ้ต้ามันจะหลุดออกมา  ผู้หญิงคนนั้นได้หันหัวมายิ้มให้พร้อมกับชูกระดาษนั่นให้ไอ้ต้าดู  ในแผ่นนั้นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากคำว่า วันตายและตัวเลขวันที่เท่านั้น”

“วันตายงั้นหรอ?”เขาทวนซ้ำคำที่ได้ยินให้เพื่อนฟังอีกครั้ง เลือดในกายเขาสูบฉีดอย่างเร็วแต่มันไม่ใช่เพราะความกลัว  ใจของเขาตอนนี้มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่

“มึงไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้น  กูเล่าให้ฟังเฉยๆไม่ได้จะไปทำตาม”

“โห่ไรวะ  นี่พวกมึงเชื่อที่ไอ้ต้าเล่าให้ฟังรึไง กระจอกหวะ”

“แล้วไงถึงกูไม่เชื่อ กูก็ไม่ไปลบหลู่หรอก มึงก็เหมือนกันอย่าไปท้าทายไรให้มาก”

“เออๆ กูไม่ทำหรอก แดกข้าวๆๆๆๆ” เขาตอบไอ้หัวโจกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องห้องพิมพ์ดีดมันกำลังทำให้เขาสนใจมากกว่า

เย็นวันนั้นเขาตัดสินใจไม่กลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อน โดยอ้างว่าเดี๋ยววันนี้พ่อแม่ตนเองจะมารับ ซึ่งแท้จริงแล้วจุดประสงค์หลักไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากการขึ้นไปท้าทายเรื่องลี้ลับบนห้องนั้น

“ลุงยามครับ  อย่าเพิ่งปิดตึกนะครับผมจะขึ้นไปส่งงาน  แปปเดียวครับ”

“ตอนนี้เนี่ยนะ  ลุงว่าเอ็งอย่าเพิ่งขึ้นไปส่งเถอะบนตึกตอนนี้ไม่มีคนอยู่แล้วนะ เอ็งไม่กลัวรึไง”

“กลัว? กลัวอะไรครับ สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือโดนครูตีครับลุง”

“เอ็งไม่เคยได้ยินเรื่องของตึกนี้เลยหรอ?”

“เคยครับ  แต่มันไร้สาระ นี่ถ้าลุงปล่อยผมขึ้นไปตั้งแต่แรกผมว่าผมก็ส่งเสร็จแล้วมั้งครับ”

“เฮ้อ งั้นลุงจะรออยู่นี่แหละ ลุงเตือนแล้วนะ”

“ได้ครับ”

เมื่อลุงยามปล่อยเขาให้ได้อิสระ  ขาทั้งสองข้างเลยรีบพากันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เวลาที่เขาจะอยู่บนชั้นนี้มันค่อนข้างมีจำกัด เขาเลยไม่อยากเสียเวลาไปกับการค่อยๆก้าวขึ้นมา

“ถึงสักทีนะ  ห้องนี้ใช่มั้ย? ที่มีปัญหา” เขาพูดกับตัวเอง พร้อมกับจ้องไปที่บ้านประตูของห้องพิมพ์ดีดที่บัดนี้ถูกล็อกเอาไว้ด้วยแม่กุญแจ

“เอาหละ ไหนๆกูก็อุสส่าห์เหนื่อยขึ้นมาหามึงแล้วก็ช่วยโผล่ออกมาให้กูเห็นหน่อยละกัน อีผีนรก” เขายิ้มร้ายๆให้กับประตูนั่นก่อนจะก้มตัวลงมองลอดหว่างขาผ่านช่องลงดังคำบอกเล่าของเพื่อนตนเอง โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าบัดนี้ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาที่เขาอย่างมาดร้ายผ่านช่องเล็กๆด้านบนกำแพง ตั้งแต่เขามาถึงห้องนี้

เขากวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างหัวเสียเมื่อไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต  ห้องทั้งห้องมีแต่เพียงโต๊ะพิมพ์ดีดที่ตั้งเรียงกันเป็นแถวแต่ไม่มีโต๊ะไหนที่กำลังทำงานตามคำบอกเล่าของเพื่อนตนเองเลย  เขาจ้องอยู่นานจนกลัวว่าลุงยามจะปิดตึกเลยตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะกลับลงไปข้างล่าง

แต๊ก แต๊ก แต๊ก….กริ๊ง

ช่วงที่ผ่านประตูหน้าห้อง  เสียงของพิมพ์ดีดตัวหนึ่งในห้องก็ร้องระงมขึ้นมาสลับกับเสียงกริ่งที่ดังตามมาหลังจากการพิมพ์ถึงจุดที่ตั้งไว้พร้อมกับเสียงปรับแคร่ เสียงของมันดังสนั่นลั่นตึก เป็นจังหวะเหมือนกับว่ามีใครสักคนกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ภายในห้องนั้น แม้จะตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะเมื่อครู่เขาได้เห็นมาหมดแล้วว่าภายในห้องนั่นมันไม่มีใครแต่สัญชาตญาณของเขามันรีบสั่งให้ก้มไปมองช่องลมนั่นอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีพิมพ์ดีดตัวใดทำงานเลยแม้จะยังคงได้ยินเสียงพิมพ์ดีดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  จนสายตารู้สึกผิดสังเกตไปกับการวูบไหวแปลกๆด้านบน เขาเลยต้องช้อนตาขึ้นมองให้สูงขึ้น  สิ่งที่เห็นก็ทำเอาหัวใจเขากระตุกไปพลัน

เห็นกู….หรือยัง?

ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าบวมบูดพร้อมกับลิ้นที่จุกปากแน่น กำลังจ้องมาที่เขาด้วยแววตาแดงกล่ำ  เสียงพิมพ์ดีดที่เขาได้ยินบัดนี้เขารู้แล้วว่ามันมาจากไหน  หญิงสาวคนนั้น เธอกำลังถือพิมพ์ดีดไว้กับตัว พร้อมกับใช้มืออีกข้างพิมพ์บางอย่างลงไป  แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับเชือกที่ห้อยอยู่บนขื่อ ที่กำลังเริ่มขยับรูดมาทางเขามากขึ้นเรื่อยๆ ร่างของผู้หญิงคนนั้นกำลังไหลมาทางคานไม้ด้านบนจนใกล้จะถึงดวงตาของเขา  ใกล้…เสียจนเขาไม่อาจรอช้าที่จะรีบลุกวิ่งหนีไปจากตรงนั้น แต่…

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง

เสียงประตูไม้ที่ปิดไว้เริ่มเขย่าอย่างแรง หยุดการเคลื่อนไหวของเขา  ลำตัวเขาสั่นมากจนอยากจะย้อนเวลากลับไป หากเลือกได้เขาจะไม่ท้าทายแบบนี้ เขาพร่ำตะโกนคำว่าขอโทษออกไปพร้อมกับน้ำตาเป็นสิบๆครั้ง แต่เสียงเขย่าประตูและเสียงหัวเราะมันก็ยังไม่หยุด  อีกทั้งประตูนั่นมันยังสั่นแรงมากขึ้นเหมือนกับว่าใครบางคนกำลังจะพังมันออกมาให้ได้ และยังความรู้สึกที่ราวกับมีคนจ้องตลอดเวลานั่นอีกทำเอาเขาต้องเหลือบหาที่มาของสายตานั่น จนไปเห็น ช่องลมเล็กๆด้านบน ที่ตรงนั้นมันกำลังมีตาที่แข็งกร้าวคู่หนึ่งจ้องมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง เส้นเลือดในตานั่นขึ้นสีแดงจนกลัวว่ามันจะแตกออกมา ประตูที่กำลังเขย่าคงมาจากมือของผู้หญิงคนนั้นที่พยายามจะเปิดมันออกมาหาเขา แรงอาฆาตในตัวเธอมันแรงจนเขาสัมผัสได้  จวบจนทุกอย่างที่ว่ามาหายไป เขาถึงได้ร้องไห้ทรุดกายอยู่แบบนั้น พร้อมกับกระดาษใบหนึ่งที่ถูกส่งลอดออกมาหาเขา

ทุกอย่างเป็นไปตามคำบอกเล่า เนื้อความในนั้นมันคือ วันตาย ของเขาเอง

หลายอาทิตย์ต่อมา เรื่องราวที่ทำให้เขาจับไข้ไปหลายวันก็ค่อยๆถูกกลืนหายไปพร้อมกับกาลเวลา อาการที่หวาดระแวงไปหมดเสียทุกอย่างจนเพื่อนของเขาสงสัยก็ค่อยๆจางหายไปด้วย  เขากำลังจะกลับมามีรอยยิ้มมากขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินเรื่องราวที่ดึงความรู้สึกเก่าๆของเขากลับมาเสียก่อน

“เฮ้ยพวกมึง ข่าวใหญ่หวะ”

“มีไรวะ?”

“ก็ไอ้ต้าอ่ะดิ  มันเพิ่งถูกรถชนตายเมื่อคืน วันนี้กูก็ว่าจะไปงานศพมันพอดี”

เนื้อความที่ได้ยิน ทำเอาเหงื่อในกายไหลออกมา เนื้อตัวของเขากำลังสั่นไปด้วยความกลัว  เพื่อนๆของเขาต่างก็รีบกรูกันเข้าไปถามหาสาเหตุและวัดที่ตั้งศพ แต่ไม่ใช่กับเขาที่ตอนนี้ยังคงช็อกไปกับเรื่องที่ได้ยิน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกายออกไปตามเพื่อน

“พวกมึงจะไปกันมั้ย  งานศพไอ้ต้าอ่ะ”

“ก็ไปดิ  สงสารมันหวะไม่น่ารีบตายเลย”

“จะว่าไงดี สำหรับกูเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”

“หมายความว่าไง”

“จำที่กูเล่าให้ฟังได้มั้ย? เรื่องวันตายที่ไอ้ต้าเคยได้รับ”

“อืมจำได้  แล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ”

“เกี่ยวดิ มันคือวันเดียวกับเมื่อคืน มันตายตามวันที่กำหนดมาเลย”

“วะ…ว่าไงนะ” เขาหันไปพูดเสียงสั่นกับหัวโจกของกลุ่มที่เคยเล่าเรื่องราวผีนั่นให้เขาฟัง”

“ก็อย่างที่บอก ไอ้ต้ามันตายตามวันที่ผีนั่นกำหนด”

“แล้วทำไมมึงไม่รีบบอกกู!!!!!”

“ก็กูไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง แล้วมึงเถอะจะโวยวายทำไม”

“กู….”

“อย่าบอกนะ ว่ามึงไปท้าทายมาอ่ะ”

“อืม”  เขาจำเป็นต้องพยักหน้าตอบเพื่อนของเขาไป  สิ่งที่ได้กลับมาจึงมีเพียงคำด่าทอมากมาย ก่อนที่มันจะรีบแนะนำให้ผมไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา

“มึง…วันตายมึงคือวันไหน” เพื่อนของเขาหันมาถามเขาอย่างกดดัน

“อ..อีกสองวัน”

“ฮะ!!!!”

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก  กูก็จะไปทำบุญตามที่พวกมึงบอกแล้วไงไม่มีอะไรหรอก”เขาตอบรับเพื่อนไปอย่างนั้น  ทั้งที่ในใจก็กำลังกลัวจนไม่รู้ว่าจะหาทางแก้อย่างไรดี 

ตกเย็นเขารีบออกจากโรงเรียนไปยังวัดที่ใกล้ที่สุด เพื่อทำบุญตามคำแนะนำของเพื่อน  เมื่อก้าวขาเข้ามาในเขตลาดวัดเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน   ในอดีตเขาไม่ใช่คนที่จะเข้าหาเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องยอมรับเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขารอดจากความตาย…..


“เด็กผู้ชายคนนั้น รอดตายจริงๆหรอครับลุงมั่น วิธีนั่นมันช่วยได้จริงๆหรอครับ” ผมหันไปถามลุงมั่นอย่างใคร่รู้ เรื่องที่ไอ้มิวมันเห็นผี ตอนนี้มันยังไม่มีทางแก้ หากวิธีนั่นมันช่วยได้จริงๆหลังจบเกมส์ผมจะพาไอ้มิวไปทำบุญทันที

“เดี๋ยวสิ ลุงยังเล่าไม่จบ จะฟังต่อมั้ย?”

“เอาตอนจบเลยดีกว่าครับ  มันใกล้จะถึงบ้านแล้วด้วย ผมกลัวจะติดลมจนไม่ได้เข้าบ้าน555”

“เอ็งคิดว่าไงหละ  ตายรึไม่ตาย”

“คงไม่ตาย…มั้งครับ” ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตอบไปแบบนั้น  ทั้งที่ความจริงในหัวผมมันก็มีแต่คำว่าตายลอยอยู่เต็มไปหมด พล๊อตที่ลุงมั่นเล่ามันเหมือนกับพล๊อตละครทั่วไปด้วยซ้ำ แต่ใจผมก็ย้อนแย้งขึ้นมา มันสั่งให้ตอบว่าเด็กคนนั้นปลอดภัย 

บางทีนี่อาจจะเป็นแค่กลไกการปกป้องอะไรสักอย่างในใจของผม

กลไกที่กำลังปกป้อง….ไอ้มิว

“ผิดแล้วหละ  สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ตาย เขาตายเพราะเขาหนีผีตนนั้นไม่พ้น  มันตามมาหลอกหลอนเขาจนเขาต้องฆ่าตัวตายไป”

“โห…..น่ากลัวดีนะครับ แต่ผมว่าเขาโง่ไปหน่อย เป็นผม ผมจะไปหาพระดีๆมาใส่ยังไงผีนั่นมันก็ทำอะไรผมไม่ได้ ถ้ามันจะฆ่าทำไมไม่ทำตั้งแต่วันแรก ยังไงซะ เด็กนั่นมันก็ขึ้นไปท้าทายคนเดียวอยู่แล้ว”

“5555 เอ็งนี่ตลกนะ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเรามักจะทำได้ทุกอย่างเมื่อไม่ใช่เรื่องของตนเอง”

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

“แล้ว…ถ้าเป็นลุงหละครับ จะทำอย่างไร?”

“ถ้าเป็นลุงหรอ….ลุงก็จะอยู่เฉยๆไม่ไปท้าทายไง

“555 สมกับเป็นลุงดีนะครับ”

“เอ็งเข้าใจในสิ่งที่ลุงต้องการจะบอกมั้ย?” จากน้ำเสียงเล่นๆติดตลกของลุงมั่น ถูกเปลี่ยนไปเป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความจริงจังจนคนฟังถึงกับกดดันกับประโยคนั้น

“เรื่องอะไรครับ?”

“ลุงขอเตือนเลยนะ  เรื่องบางเรื่องหนะ รู้แค่ข้อมูลก็พอ โดยเฉพาะเรื่องของคนตาย อย่าไปขุดคุ้ยให้มาก หากนั่นไม่ใช่การตายปกติ มันย่อมไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว  อย่าพยายามไปหาอะไรให้มากความ เพราะสุดท้ายคนที่จะตาย…มันก็คือเรา”


“ลุงมาส่งแค่นี้นะ”

“ไม่เข้าบ้านไปด้วยกันหรอครับลุง”

“ไม่หละ  เดี๋ยวกล้องพวกนั้นมันจับได้ ลุงจะซวยเอา”

“อ่อ ขอบคุณมากนะครับลุง  ได้อะไรเพิ่มเติมเยอะแยะเลย”

“งั้นลุงไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวครับ!!!”

“มีอะไร?”

“เรื่องที่ลุงเตือนผม ผมขอบคุณนะครับ แต่ก็อย่างที่บอกเด็กคนนั้นไม่ได้ตายเพราะผี เขาตายเพราะความโง่ของตนเอง สำหรับผม ผมมั่นใจว่าฉลาดกว่านั้น ดังนั้นลุงไม่ต้องห่วงครับ ทีมงานจะทำอะไรลุงไม่ได้อีก”

“คนฉลาดหนะ…เขาไม่หาเรื่องใส่ตัวกันหรอกนะ”

“แต่คนที่ไม่ทำอะไรเลย มันก็คือคนโง่ไม่ใช่หรอครับ?”

“งั้นก็อย่าประมาทก็แล้วกัน  อันตรายของเกมส์นี้มีขึ้นทุกปี จนลุงอดห่วงพวกเอ็งไม่ได้  โชคดีนะ”

“ครับ”  ผมยิ้มเล็กๆตอบลุงมั่นไปอย่างมั่นใจก่อนจะเดินหันหลังมาปีนกำแพงกลับเข้าบ้าน

ริ้วรอยความดีใจบนใบหน้า ไม่อาจปิดได้มิด หลังจากที่คิดท้อแท้มาได้สักพักแล้วว่า อย่างไรวันนี้ผมก็คงไม่มีทางหาข้อมูลดีๆกลับมาฝากไอ้มิวได้  เนื่องจากเบาะแสที่ต้องการไม่ปรากฏอะไรขึ้นมาเลย  จนกระทั่งที่ลุงมั่นมาส่งผมเมื่อครู่ สิ่งที่ผมตามหามาครึ่งค่อนวันก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง

บ้านหลังนี้มันไม่มีกล้องที่ติดอยู่หลังบ้าน

เหตุผลที่ลุงมั่นกลัวถูกกล้องถ่ายจึงนำไปสู่ความจริงของสิ่งที่ผมต้องการหา

เป็นไปอย่างที่ลุงมั่นเตือนจริงๆ บางอย่างก็อย่าไปพยายามขุดคุ้ย ไม่ใช่เพราะมันอันตรายแต่เป็นเพราะ…มันจะมาหาเราเอง


“หึ อยู่ตรงนั้นเองสินะ”




***********************************************TBC******************************************

เอาตอนที่12 มาส่งแล้วครับผมมมมมม  ไม่เจอกันหนึ่งอาทิตย์เต็มๆเลยคิดถึงกันมั้ยครับ ตอนนี้ผมจัดให้ยาวๆเลย :mew2:

ช่วงนี้ผมยังหาที่ฝึกงานอยู่ เลยไม่ค่อยได้มีเวลาไปอัพเดทในเพจหรือในเว็บนี้นะครับ

ฝากติดตาม ฝากคอมเมนต์กันเยอะๆนะครับ  ถ้ามีคำผิดสามารถบอกได้นะครับ ผมกลัวตรวจสอบไม่ดี
เจอกันครับ  P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2017 15:36:33 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กล้องอยู่ตรงไหนอ่ะ????

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
แค่จะเตือนกันก็ต้องทำหลอนขนาดเน้ แอร่กกก  :ling3:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
อยากรู้ว่าภพตามหาอะไร :katai4: :ling1:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ชอบเนื้อเรื่องคะ :impress2: แต่คำผิดที่เห็นในตอนนี้คือ
ตกลงตอนนี้จะให้เป็นลุงมั่นหรือลุงคำคะ  :katai1:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบเรื่องนี้แรงมากกกกกกก งานดี อ่านไปกลัวไป  :hao6: มิวสตรองจริงไรจริง ฮาภพตอนให้ลิปติสนี่แหละสงสัยกลัวไม่ได้แก้แค้ให้มิว :-[   เป็นกำลังใจให้คนเขียนมาอัพต่อเร็วๆ ติดตามค่ะ  :katai2-1:   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2017 17:27:25 โดย karamailpraleen »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ชอบเนื้อเรื่องคะ :impress2: แต่คำผิดที่เห็นในตอนนี้คือ
ตกลงตอนนี้จะให้เป็นลุงมั่นหรือลุงคำคะ  :katai1:

เดี๋ยวพรุ่งนี้ผม จะมาตรวจสอบแล้วแก้ให้นะครับ  คืนนี้ไม่ไหวแล้ววววว :katai1:

ขอบคุณที่บอกเน้อ ขอโทษด้วยนะครับ ผมวนเวียนกับเรื่องที่ฝึกงานจนไม่มีเวลาทวนเลย

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกการติดตามนะครับ  รักมากๆๆๆๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เหมือนลุงมั่นจะไว้ใจได้แต่ก็ระแวงอยู่ดีไม่ไว้ใจใครสักคนทั้งเรื่องยกเว้นพระนางยังคงลุ้นอยู่และสงสัยในคนตายรุ่นก่อนๆเกี่ยวไรกะลุงมั่นมากน้อยแค่ไหน

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่13

เสแสร้งแกล้งตาย

ความเย็นและความว่างเปล่าของพื้นที่ข้างตัวบอกกับผมว่าบุคคลที่เคยนอนข้างกันตรงนี้ลุกออกจากเตียงไปได้พักใหญ่ๆแล้ว  ความสบายที่เกิดจากเตียงว่างๆและการนอนเต็มอิ่มจึงทำการปลุกผมให้ตื่นขึ้นมารับแสงอาทิตย์ของวันใหม่อีกครั้ง

ความรู้สึกปวดหนึบบริเวณเบ้าตาและอาการหน้ามืดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อผมรีบลุกขึ้นมาเพราะไม่เห็นหน้าไอ้ภพอย่างที่ควรจะเป็น  ภายนอกห้องนอนก็ไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวใดๆที่จะสามารถบอกถึงวี่แววการมีอยู่ของไอ้ภพ บ้านหลังนี้เงียบสนิทราวกับว่านอกจากผมแล้วก็คงมีเพียงเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในนี้

ผมเดินออกจากห้องมาเพื่อทำกิจวัติประจำวันตามปกติ แม้จะแปลกใจไปบ้างที่เมื่อออกมาข้างนอกก็ยังคงไม่เห็นไอ้ภพ แต่เพราะรู้ว่าสถานที่ที่ไอ้ภพจะไปคงมีได้ไม่กี่ที่ ความสงสัยที่เกิดขึ้นจึงอยู่กับสมองของผมได้ไม่นาน และยิ่งเมื่อคืนเกิดเรื่องชนิดที่ว่าเราสองคนต่างก็ไม่ได้คาดคิดและไม่ต้องการให้เกิด ไอ้ภพมันก็คงไม่อยากที่จะรอช้าให้เสียเวลา ป่านนี้มันคงออกไปถึงจุดหมายหลักจุดเดียวของมันเรียบร้อยแล้ว ป่านั่นคงกำลังโดนไอ้ภพถากถางทางสายตาจนไม่มีชิ้นดี สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้ตอนนี้ จึงมีแค่เพียงคำอวยพรและการภาวนาไม่ให้ทีมงานเห็นเท่านั้น

จังหวะการเดินก้าวเท้าพาผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้ำเหมือนในทุกๆวัน  แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะพิเศษกว่าหน่อย  ตรงที่สายตาของผมเอาแต่จ้องมองไปยังลูกบิดประตูนั่นราวกับมันเปิดไม่ได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าแค่ทำการยื่นไปบิดมันก็ออกแล้ว แต่กระนั้น ความคิดของผมก็ยังยืนยันความต้องการเดิม คือการเรียกร้องให้ลูกบิดตรงหน้าพังไปเสีย   มือของผมที่แข็งแรงสมกับเป็นชายชาตรีก็ดันอ่อนปวกเปียกไปหมดไม่มีแรงแม้จะหมุนลูกบิดออก  อีกทั้งความชื้นของเหงื่อที่กระจายตัวอยู่บนฝ่ามือจนผมรู้สึกถึงความเหนอะหนะของมัน กำลังทำให้ตัวผมสัมผัสได้ถึงความผวาและความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อคืน

ผมกลั้นใจเปิดประตูเข้าไปและหลับหูหลับตารีบอาบน้ำ ทำทุกอย่างให้เสร็จโดยพยายามไม่มองกระจกเงานั่น  ภาพในนั้นมันเคยสะท้อนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่แค่คนส่องออกมา จนทำให้ผมเกือบจะหัวใจวายตาย การหลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอกันได้จึงดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเยียวยาจิตใจตัวเอง

ผมกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อแต่งตัวและเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ  การเล่นเกมส์นี้ถ้าผมไม่ลองเลิกหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำให้ตัวเองกลัวและไม่กล้าหรือไม่พร้อมที่จะก้าวต่อ  ผมก็คงไม่ต่างไปจากคนขี้แพ้ที่รายการจะบังคับให้ผมทำอะไรก็ได้ จะทำให้ผมออกตอนไหนก็ได้  จะขู่ผมให้กลายเป็นบ้าก็ได้ หรือแม้กระทั่งจะสั่งให้ผมจบชีวิตตัวเองภายในบ้านหลังนี้ก็ทำได้

ความสงสัยจากเรื่องราวของเมื่อคืนทำให้การเดินลงบันไดในตอนนี้เป็นไปอย่างช้าๆ มือของผมเกาะกุมราวบันไดเอาไว้ราวกับว่ามันคือสิ่งสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวร่างกายและจิตใจของผม  ภายในหัวก็เอาแต่คิดถึงความเป็นไปได้จากการที่ลิปสติกแท่งนั้นไปอยู่บนมือผม  แต่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่ต่างไปกับพายเรือในอ่าง วนเวียนอยู่แค่นั้น หาทางออกให้ความคิดตัวเองไม่ได้ และยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่มีอะไรบอกผมถึงที่มาของเหตุการณ์นั้นได้สักอย่าง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอและสั่นคลอนไปกับความฝันนั่น

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเริ่มทำให้ใจของผมอยู่ไม่สุข มันกำลังร้องหาความจริงอย่างบ้าคลั่ง แม้จะรู้ว่ายิ่งค้นหายิ่งทำให้ผมต้องเจ็บปวด แต่มันก็คือทางเดียวที่จะเยียวยาผมได้เหมือนกัน  ความบังเอิญที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อวานกำลังปลุกความหวาดระแวงในตัวผม สายตาที่เคยคิดว่ามองขาดเกมส์แล้วนั้นบัดนี้กลับหลุกหลิกอย่างบอกไม่ถูก พลันขาของผมก็ค่อยๆพาตัวเองไปสู่สิ่งที่ผมคิดว่ามันจะตอบทุกความสงสัยในใจได้ หากทุกสิ่งไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ประเด็นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมจะทำใจยอมรับและปล่อยผ่านไปเงียบๆ แต่ถ้าทุกอย่างมันคือคำตอบ ผมกับไอ้ภพคงกำลังอยู่ในจุดที่เรียกว่า 7วันอันตราย

เกมส์ที่5 มันสั่งให้ผมทำอะไร…

หนังสือเล่มที่5 เล่มที่ผมควรจะได้มาเปิดเมื่อวานถูกวางนิ่งอยู่บนชั้นของมัน   แรงดึงดูดของหนังสือนั่นกำลังทำให้มือของผมค่อยๆเอื้อมไปจับอย่างกล้าๆกลัวๆ  เนื้อหาภายในนี้กำลังจะเปิดเผยถึงความเลวทรามของรายการเมื่อคืนและจะยิ่งส่งผลให้ลุงคำดูเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของผมมากขึ้น แม้ตอนก่อนนอนผมจะพยายามไม่ปักใจเชื่อไปแล้ว

มือของผมค่อยๆเลื่อนเปิดไปทีละหน้าพร้อมกับแววตาที่เบิกโพลง  น้ำตาเริ่มค่อยๆไหลออกมาคลอหน่วยอย่างไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์  ความเครียดที่สะสมมาเริ่มส่งผลให้ร่างกายเกิดความรวดร้าวภายในอก จนส่งผลให้ตัวและมือสั่นเทิ้มจนควบคุมไม่ไหว  อีกทั้ง ริมฝีปากของผมยังต้องถูกฟันขบกัดจนเกิดห้อเลือดอย่างคนกำลังกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ

หนังสือนั่น มันมีลิปสติกเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ

เพียงแต่ว่า…

เกมส์นั้นมันต้องได้เล่นกันทั้งสองคน ผ่านลิปสติกสองแท่ง และบทสวดเชิญวิญญาณหนึ่งบท


คำอธิบายเกมส์กล่าวเพียงว่า ผมกับไอ้ภพจะต้องใช้ลิปสติกนั่นทาปากและเชิญวิญญาณเข้ามาในบ้านหลังนี้ ก่อนที่เกมส์จะบังคับให้ผมเข้านอนกันทั้งอย่างนั้น  คำสั่งที่ถูกบอกเล่าผ่านตัวอักษรกำลังค่อยๆเชือดผมทั้งเป็น สิ่งที่ไอ้ภพเคยบอกมันกำลังถูกย้ำความจริงด้วยหนังสือนี่  รายการนี้ล่วงรู้แล้วว่าผมเห็นผีได้ เพราะฉะนั้นการที่จะกำจัดผมออกไปแค่คนเดียว บทสวดนั่นจึงไม่จำเป็น  อีกทั้งเรื่องลุงคำที่ยังคงคิดไม่ตกก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ เหตุใดลุงคำถึงต้องแสร้งบอกกับผมว่าทีมงานทำตกเอาไว้   ทำไมไม่บอกว่าเกมส์นี้มันกำลังจะทำอะไรกับผมเหมือนในทุกๆวัน

ทำไมต้องทำให้แม้กระทั่งถ้าผมตาย….มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ 

ปั้ง!!!

เสียงประตูในครัวถูกปิดอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงเท้าของมนุษย์กระทบพื้นอย่างเร็ว  ก่อนที่มันจะมาหยุดอยู่ใกล้ๆผม เรียกสติของผมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน

“อ้าว ไอ้มิว มึงตื่นตั้งแต่เมื่อไรวะ?”  น้ำเสียงเจือความดีใจบางอย่างของไอ้ภพพูดขึ้นข้างหลังผม คาดว่าช่วงเวลาที่ผมวนเวียนอยู่กับหนังสือนี่  ไอ้ภพคงกลับมาถึงบ้านพอดี

“มึงไม่ต้องรีบตื่นก็ได้นะ แต่ช่างเหอะ กู…มีเรื่องสำคัญจะบอก”

“ร…เรื่อง?  เรื่องอะไรวะ” ผมถามกลับมันไปด้วยเสียงที่ยังคงสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปเผชิญหน้ามัน ผมไม่อยากให้มันเห็น
ว่าผมกำลังร้องไห้

“ทำไมเสียงมึงสั่น?  ไอ้มิว หันมาคุยกับกูดิ”

“ม..ไม่มีอะไร มึงมีเรื่องอะไรอ่ะ กูฟังอยู่”

“ไอ้มิว  กูบอกให้หันกลับมา มีอะไรก็บอกดิวะ” เสียงไอ้ภพเปลี่ยนไป บอกให้รู้ว่ามันกำลังจริงจังกับคำพูดนั่น

“ม..ไม่มี เฮ้ย!!!!”

ตุ้บ!!!

แรงจำนวนไม่น้อยของไอ้ภพ จับผมให้หันกลับไปเผชิญหน้ามัน  เป็นเหตุให้หนังสือเล่มนั้นตกลงไปจากมือของผม แผ่หลาให้ไอ้ภพเห็นเรื่องราวที่ไม่ได้รับการเปิดดูเมื่อคืนทั้งหมด  ไอ้ภพมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ผมบรรยายไม่ได้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆก้มลงไปเก็บหนังสือนั่นขึ้นมาอ่าน

แรงบีบมือขณะอ่านหนังสือของไอ้ภพชัดเจนจนคนดูสังเกตได้  ดวงหน้าของมันที่คลาคล้ำไปด้วยรอยปนเปื้อนถูกแต่งแต้มไปด้วยร่องรอยแห่งอารมณ์จนดูไม่จืดนัก  ไอ้ภพคงกำลังโกรธที่เกมส์เริ่มเล่นไม่ซื่อกับพวกเราอีกครั้ง  เรื่องราวตรงนี้คือสิ่งที่ผมไม่ต้องการจะให้ไอ้ภพเห็น เพราะผมรู้ว่าถ้ามันรับรู้ สภาพของมันก็จะไม่ต่างไปจากสถานการณ์ตรงหน้าของผมนัก  ความรู้สึกอึดอัดและความไม่พอใจรายการไม่ใช่ว่าผมไม่มี แต่สำหรับไอ้ภพมันคงบวกเรื่องความแค้นส่วนตัวไปด้วย ซึ่งถ้ามันควบคุมไม่ได้เมื่อไร อาจจะนำมาซึ่งการคว้าน้ำเหลว

“เฮ้อ กูบอกมึงแล้วไงว่ามัน…ไม่มีอะไร” ผมยื่นมือไปกุมบ่าไอ้ภพเบาๆ   กลืนก้อนบางอย่างในคอไปอย่างยากลำบากเมื่อต้องปลอบไอ้ภพไปด้วยคำว่าไม่มีอะไร ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเอง  ผมไม่รู้ว่าก่อนมันออกไปสภาพมันเป็นอย่างไร  แต่ตอนขากลับตัวมันค่อนข้างจะสกปรกกว่าทุกวัน อีกทั้งมันยังถอดเสื้อชื้นๆพาดบ่ามันไว้ด้วย  ดูก็รู้เลยว่านอกจากมันจะต้องอดทนกับการค่อยๆมองหาบางอย่าง มันยังต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่ไม่อำนวยมันอีก

“มันจะไม่มีอะไรได้ไง  มึงก็เห็นว่าเกมส์มันกำลังโกง” ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยแววตาที่แข็งกร้าวกว่าเดิม แต่ยังดีที่มันไม่ตะโกนออกมาเสียงดัง  มันกำลังกดอารมณ์กดความรู้สึกตัวเองในเนื้อเสียง แม้สีหน้าจะบอกทุกอย่างหมดแล้วก็ตาม

“มัน..ไม่ได้โกงหรอกภพ อย่าลืมสิเกมส์นี้มันจะทำอะไรก็ได้”

“แต่ก็ไม่ใช่การบังคับให้มึงเล่นคนเดียว”

“ที่ผ่านมา…มันให้เราเล่นตามหนังสือรึไง มันก็ค่อยๆโกงมาอยู่แล้ว” ผมค่อยๆบอกถึงเหตุผลกับมันไป  ที่ผ่านมาเกมส์พยายามจะแทรกเนื้อหาเข้ามาเพิ่มโดยที่ไม่ได้บอกอะไรอยู่แล้ว ฉะนั้นเกมส์เมื่อคืนก็ไม่ได้ดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติหากเกมส์จะทำ

“มึงไม่ต้องมาปลอบกูหรอกมิว  ก่อนกูกลับมามึงก็เครียด มึงก็ร้องไห้ไปแล้ว  กูจะโมโหบ้างมันแปลกตรงไหนวะ”

“พอก่อนๆ  ตามกูมานี่” ผมปรามเสียงไอ้ภพที่มันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ  ก่อนจะพามันเดินออกมาหน้าบ้าน

โชคดีที่อากาศตอนนี้ค่อนข้างจะเป็นใจให้ผมและไอ้ภพได้พักกายพักใจกันบ้าง  ลมเอื่อยๆถูกพัดเข้ามาเป็นระยะ พวกเราทั้งคู่ต่างก็เลือกนั่งบริเวณหน้าบ้าน หลบเลี่ยงกล้องออกมานิดหน่อย เพื่อให้การพูดคุยสะดวกขึ้น  แดดแรงๆไม่อาจทำอะไรได้ เพราะชายคาที่ถูกติดตั้งไว้อำนวยความสะดวกให้พวกผมเป็นอย่างดี  หากไม่คิดอะไรนี่คงเป็นบรรยากาศเบาๆ เงียบสงบอย่างที่ใครหลายๆคนถวิลหา

“กูกับมึงนี่เจอแต่เรื่องเนอะ ทำบาปทำกรรมอะไรกันมาวะ” ผมพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศเงียบๆนั่น เมื่อเห็นว่าอารมณ์ไอ้ภพเริ่มเย็นลงไปบ้าง

“ถามว่า กูกับมึงไปทำอะไรให้เกมส์ มันจะดีกว่ามั้ย?”

“555 นั่นสินะ กูกับมึงไปทำอะไรให้เกมส์วะ…”

“มิว” เสียงทุ้มๆของไอ้ภพเรียกให้ผมหันไปหามัน

“หืม?”

“เจ็บ…มากมั้ย?” 

“เจ็บ?  เจ็บไรวะ” ผมถามกลับไอ้ภพด้วยความงุนงง  แต่ไอ้ภพก็ไม่ได้ให้คำตอบ นอกจากการค่อยๆเลื่อนมือของมันมาสัมผัสไปยังแผลตามร่างกายของผม  เริ่มตั้งแต่ ดวงตาที่บวมจากการร้องไห้อย่างหนัก  ปากที่แตกจากการขบกัดเมื่อครู่  แผลที่คอที่เริ่มดีขึ้นบ้างจากการโดนใบมีด เมื่อครั้นเล่นเกมส์หน้ากระจกนั่น  เข่าที่มีอาการช้ำเล็กน้อยจากการเล่นกันเมื่อวาน และตำแหน่งสุดท้ายที่มันเลื่อนไปสัมผัสอยู่นาน เล่นเอาดวงตาของผมชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

นั่นสินะ…คงเป็นหัวใจของผม

ที่มีบาดแผลมากที่สุด


“เจ็บ…มากมั้ย?”

“ฮึก…เจ็บสิ กูเจ็บมาก แต่มันไม่ได้เกิดจากความกลัวเพียงอย่างเดียว  มันเหมือนกูถูกหักหลัง กูไว้ใจเขามาก แต่ทำไมเรื่องเมื่อวานถึงต้องจบลงแบบนี้  ทำไมเขาไม่พูดกับกูตรงๆ กูจะได้เตรียมใจเอาไว้บ้าง ว่าจะต้องเจอกับอะไร” สุดท้ายบ่อน้ำตาของผมก็พังทลายมาอีกครั้ง  น้ำตาหยดเล็กหยดน้อยไหลออกมาจนผมสงสารดวงตาของตนเอง  ไอ้ภพคงรับสภาพของผมไม่ไหว มันเลยขยับเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิมและจับไหล่ผมเบาๆอย่างที่คิดว่ามันกำลังปลอบผม

“อย่าคิดมาก รายการนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ลุงคำเขาอาจจะโดนสั่งมาให้ทำแบบนั้น อย่าลืมสิ เขาก็เป็นคนของรายการ กูก็ผิดหวังไม่ต่างจากมึงหรอก แต่กูอยากให้ทุกอย่างมันแน่ใจกว่านี้ก่อน  สิ่งที่เราทำได้ คือต้องค่อยๆสังเกตลุงแกไป อย่าเพิ่งร้อนไปตามเกมส์ก็เท่านั้น”

“อืม กูก็จะทำแบบนั้นนั่นแหละ  แต่ตอนกูเปิดหนังสือนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือนกูจะควบคุมไม่ได้เลย มันเหมือน พวกเรากำลังจะโดนหลอกซ้ำซ้อน” ผมหันหน้ากลับไปตอบมันด้วยความรู้สึกที่สงบลง  เคยบอกตัวเองอย่างไร ผมก็ยังยืนยันกับตัวเองอย่างนั้น  ไอ้ภพมันคงมีเวทย์มนตร์บางอย่าง แค่ได้อยู่ใกล้ๆความสบายใจก็เกิดได้

“ว่าแต่มึงเหอะ  ออกไปทำไรตั้งแต่เช้าวะ สภาพนี่ดูไม่ได้เลย” ผมถามมันกลับบ้าง เมื่อได้มีโอกาสสังเกตหน้ามันชัดๆ ถึงได้รู้ว่า มันโทรมกว่าทุกวัน  ดวงตาของมันดูอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอน  ตามลำตัวก็มีแต่แผลเล็กๆ จนอดเป็นห่วงไม่ได้

“มันเกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่จะบอกนั่นแหละ”

“เรื่อง? พูดตรงนี้ได้มั้ย?”

“ได้ดิ เดี๋ยวพูดเบาๆเอา กูขี้เกียจลุกแล้ว นั่งตรงนี้ก็สบายใจดี”

“งั้นก็ว่ามา”

“อืม  เมื่อเช้ากูรีบออกไปหากล้อง”

“กล้อง?  ไอ้ที่กูเคยให้มึงสังเกตก่อนหนะเหรอ”

“อืม สารภาพว่าจริงๆกูจะไปตามเส้นทางที่มึงเคยบอกว่ามีศพ แต่สุดท้ายกูก็เปลี่ยนใจกลับมาทางเดิม ช่วงระหว่างทางไปบ้านลุงมั่นกูก็มองหาอย่างที่มึงบอก แต่ก็ไม่พบอะไรจนอากาศเริ่มร้อน กูเลยถอดเสื้อออก พวกกิ่งไม้ต่างๆหรือเศษหินเล็กๆมันคงบาดกูนั่นแหละ แผลพวกนี้ไม่มีอะไรหรอก แต่รู้มั้ย? กูเจออะไรที่แย่กว่านั้นอีก”

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพ และถามมันด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง  จากที่ฟังไอ้ภพเล่าเรื่องสำคัญที่มันว่าคงจะสำคัญจริงๆ ไม่อย่างนั้นไอ้ภพก็คงไม่พูด ยิ่งแววตาของมันที่เข้มขึ้น ยิ่งทำให้เรื่องนี้ดูไม่น่าไว้ใจ

“กูเจอลุงมั่นกำลังโดนทีมงานกลุ่มที่เคยเข้ามาจะเอากูออกข่มขู่  มันกำลังไม่พอใจที่กูพยายามออกไปข้างหลังนั่น  ตอนแรกกูก็สงสัยนะ ว่าพวกนั้นมันรู้ได้ไงว่ากูกำลังผิดกฎ เหมือนกับที่มึงสงสัย จนขากลับ ลุงมั่นเขามาส่งกู กูถึงได้เห็นว่า ต้นไม้ที่อยู่ตรงหลังบ้านเราพอดี มันมีบางสิ่งไม่เหมือนต้นอื่น  ใบของมันเหมือนมีคนจงใจดึงมาคลุมบางอย่างไว้”

“มึงจะบอกว่าที่ผ่านมา ชีวิตข้างหลังบ้านเราถูกกล้องตัวนั้นบันทึกไว้หรอ”

“กูไม่แน่ใจหรอก เพราะกูก็ไม่เห็น แต่ถ้าจะหาความเป็นไปได้ ตรงนั้นมันก็ไม่น่าไว้ใจมากที่สุด ยิ่งตอนขากลับลุงมั่นแกหยุดส่งกูก่อนถึงต้นไม้ต้นนั้น กูยิ่งเข้าข้างความคิดตัวเอง”

“งั้นเหรอ…ยังดีที่มึงหาจุดที่ควรระวังเจอ  รู้แล้วใช่มั้ยภพ คราวหน้าถ้าต้องออกไปให้เดินเลี่ยงตรงนั้นซะ อย่างน้อยมันก็หลอกทีมงานได้ว่ามึงยังไปเส้นทางเดิม”

“อืม กูจะระวังแล้วกัน.. อ้อ! มึงรู้มั้ยว่าลุงมั่นแกยอมเล่าประวัติบ้านหลังนี้ให้กูฟังด้วย  แต่กูว่ามันไม่น่าเชื่อเท่าไร มันยังมีหลายจุดที่ค่อนข้างแปลก แล้วก็ ลุงแกยังเล่าเรื่องผีให้กูฟังอีก”

“หืม? เรื่องผีเนี่ยนะ ลุงมั่นแกอยู่ในอารมณ์ไหนวะ”

“ไม่มีอารมณ์ไหนหรอก แกแค่อยากเตือนกูผ่านเรื่องผี ยิ่งแกเห็นกูไม่กลัว แกยิ่งชอบเล่า”

“555  เออดีเนอะ แกคงเหงา…แล้วเรื่องบ้านนี่หละ แกว่าไงบ้าง”

“แกบอกแกเจอศพคนแรก เพราะลูกชายคนกลางของบ้านนั้นรอดมาได้เลยมาบอกให้แกช่วย”

“อย่างนั้นหรอ…แปลกเนอะ ไม่ยักรู้ว่าเขายอมเอาบ้านที่มีเรื่องราวหดหู่ของตัวเอง มาทำอะไรแบบนี้ด้วย แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหนแล้ว?”

“กูไม่รู้หรอก ลุงมั่นไม่ได้เล่า จริงๆเรื่องนี้มันไม่ได้มีแปลกแค่นี้หรอก มันยังมีอีกเยอะ อยากฟังมั้ย?”

“ไม่หรอก ขนาดมึงยังว่าแปลก กูจะฟังทำไม รายการนี้แม่งเชื่ออะไรไม่ได้นักหรอก”

“อืม ดีแล้วหละ กูก็ไม่อยากใส่อะไรให้มึงคิดมากแล้ว” พูดจบไอ้ภพก็ก้มหน้ามองมือตัวเองนิ่งๆ ไม่รู้ว่าบรรยากาศมันไปเรื่อยๆมากเกินไปหรือเปล่า ผมถึงรู้สึกว่าผู้ชายข้างตัวผมเขาอ่อนล้าเต็มทน  น้ำเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็ดูเหนื่อยจนไม่เหมือนไอ้ภพคนที่ผมเคยรู้จัก

“นี่ ไอ้ภพ เมื่อคืนมึงไม่ได้นอนใช่มั้ย?”

“อืม ก็นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เพราะมึงหรอก กูไม่ง่วงเอง”

“เพราะกูก็บอกดิวะ อย่าเก็บไว้เป็นความผิดตัวเอง มีอะไรแชร์กันได้ก็แชร์กัน”

“ไม่ได้หรอก…ความเจ็บปวดของมึงกูยังแชร์มาไม่ได้เลย”

“เรื่องนี้…ไม่ต้องหรอก แค่ยังมีมึงอยู่รับฟัง มันก็มากพอแล้ว”คำพูดของมันเล่นเอาผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะหันไปยิ้มให้ไอ้ภพเบาๆและดึงตัวมันให้มานอนบนตักของตัวเอง  สีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกผิดของไอ้ภพยังทำใจผมแปลบๆไม่หาย  ตัวมันมีค่ามากพอสำหรับผม ดังนั้นการที่มันรู้สึกผิดกับตัวเอง เลยเหมือนเป็นการทำร้ายผมเพิ่มอีก

“ยังไม่ได้นอนก็นอนไป สูดออกซิเจนเข้าไปเยอะๆ เราจะได้ไม่เครียดกัน”

“มิว…มึงลองต่อยกูมั้ย?”

“ฮะ!!! มึงประสาทแดกแล้วรึไง ทำไมถึงอยากให้มีคนทำร้ายตัวเอง”

“กูแค่…อยากรู้ถึงความเจ็บปวดของมึง อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้กูรู้สึกผิดแบบนี้ กูกลัวมึงจะไม่ไหว”

“ภพ มึงเหนื่อยมากมั้ย?”

“ถามทำไม?”

“ตอบมาเถอะ เอาตรงๆนะ คุยกันแบบผู้ชายคุยอ่ะ”

“อืม ไอ้เหนื่อยมันก็เหนื่อย แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันหรอกอย่างน้อยมันก็ยังมีมึงที่อยู่เล่นกับกู กูยังไหว”

“งั้นรู้เอาไว้ ถ้าตราบใดที่เกมส์นี้มันยังมีมึง…กูไหวเสมอ”ผมยิ้มให้ไอ้ภพ ก่อนจะค่อยๆเอามือของตัวเองพัดให้ลมมันโกรกตัวไอ้ภพมากขึ้น  ผมต้องการให้ช่วงเวลาต่อจากนี้มันได้หลับพักผ่อน แม้ตัวผมเองอาจจะยังไม่ได้กินข้าว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ความเครียดที่สะสมมา มันทำให้ผมไม่รู้สึกอยากอะไร กลับกัน การได้ดูแลไอ้ภพคืนบ้าง นั่นยังทำให้ผมอิ่มมากกว่าเสียอีก

“กูขอสัญญา เราสองคนจะไม่มีทางได้หยิบหนังสือเล่มที่สิบห้าออกมาอ่าน  ไม่ใช่ว่าเพราะเราต้องออก แต่เป็นเพราะ…เราจะจบเกมส์นี้ไปด้วยกัน”

“อืม กูจะรอ…”


.

.

.

(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
แสงอาทิตย์ที่เริ่มจะลับขอบฟ้าบอกถึงเวลาของการเล่นเกมส์ถัดไปที่จะเริ่มขึ้น  หลังจากที่พวกผมใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันในการพักกายอยู่บริเวณหน้าบ้าน  สภาพร่างกายก็เริ่มประท้วงทันทีเนื่องจากเราทั้งคู่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

เมื่อพวกเราตัดสินใจกลับเข้ามาเพื่อเตรียมอาหารกันในบ้าน บุคคลที่ตกเป็นประเด็นเมื่อช่วงบ่ายก็เข้ามาในบ้านหลังนี้อีกครั้งพร้อมกับอาหารสดและขนมเหมือนเคย   ลุงคำเดินเข้ามาทักทายพวกผมที่ตั้งใจทำอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศดีๆเมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นอึดอัดจนลุงคำคงสัมผัสได้

“พวกเอ็งมีอะไรกันรึเปล่า?”

“เอ่อ…ไม่มีครับ วันนี้ลุงเอาอะไรมาบ้างหรอครับ?”ผมเลือกที่จะทำลายความเงียบโดยการรีบตอบลุงคำไปเหมือนกับในทุกๆวัน 
ผมไม่อยากให้การสงสัยที่ยังหามูลเหตุไม่ได้มาทำลายความสัมพันธ์ตรงนี้ หากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือลุงคำจริง วิธีนี้ก็นับว่าฉลาดพอที่จะปกป้องตัวพวกเราเอง

“เอ็งนี่ก็ถามอยู่ได้ทุกวันนะ 555 ก็อาหาร กับ ขนมพวกเอ็งเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“แหม่ลุง ผมก็ถามเผื่อเกมส์มันจะยัดเยียดอะไรมาให้ผมทำผ่านลุงอีก เครื่องเล่นเทปนั่นยังทำผมหลอนไม่หายนะครับ”

“555 ถ้าวันนี้ก็ไม่มีหรอก สบายใจได้”

“แล้วไอ้หนุ่มนี่เป็นอะไร ยืนหน้าเครียดตั้งแต่ลุงเข้ามาแล้วนะ” ลุงคำหันกลับไปหาไอ้ภพที่ยืนจ้องแกอย่างจับผิด

“อ่อ ไม่มีอะไรครับลุง ผมคิดเรื่องเกมส์ที่จะเล่นคืนนี้นิดหน่อย”

“วันนี้เกมส์มันให้เล่นอะไรหละ เผื่อมีอะไรที่ลุงพอจะแนะนำได้”

“นี่ลุงไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ครับ” ไม่รู้ว่าผีตนไหนที่เข้าสิงไอ้ภพ มันถึงได้สวนกลับลุงคำออกมาแบบนั้น ผมรีบหันไปมองหน้าลุงคำก็พบว่าแกกำลังทำสีหน้าเรียบๆไม่บอกถึงอารมณ์ แต่ก็พอเดาได้ว่าไม่พอใจ

“อ..เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับลุง จริงๆพวกเรายังไม่ได้อ่านกันครับ อีกอย่างไอ้ภพมันคงสงสัย เพราะปกติก็เห็นลุงจะรู้ตลอดว่าพวกเราต้องทำอะไร ใช่มั้ย? ไอ้ภพ ” ผมหันไปมองไอ้ภพอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะรีบสั่งให้มันคล้อยตามไปกับคำพูดผม

“ใช่ครับ ปกติผมเห็นลุงรู้ก่อนพวกผม ขอโทษด้วยครับถ้าผมเผลอพูดไม่ดีไป”

“แปลกๆนะพวกเอ็ง นี่คงเครียดกันมากใช่มั้ย? ลุงไม่ได้รู้ทุกเกมส์หรอกนะ ถ้าทีมงานไม่มาบอกลุงก็ไม่รู้”

“ขอโทษครับ” พวกผมสองคนต่างก็รีบยกมือไหว้ขอโทษลุงคำไป เหตุผลที่ลุงว่ามาแม้จะสร้างความแคลงใจให้ผมบ้าง แต่น้ำเสียงของลุงก็ไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด

“เฮ้อ เอาเถอะ ไหนๆลุงก็ยังพอมีเวลา ไปหยิบมาอ่านซะสิ เผื่อตรงไหนลุงช่วยได้ก็จะช่วย”

“ได้ครับ…งั้นเดี๋ยวกูไปเอามาอ่านละกัน มึงก็อยู่คุยกับลุงคำนะไอ้ภพ คุยดีๆด้วย” ผมตอบลุงคำไปก่อนจะปรับน้ำเสียงหันไปบอกไอ้ภพเบาๆให้ทำตามคำสั่งของผมอย่างเด็ดขาด

“เออๆ มึงจะไปทำไรก็ไปเหอะ” ผมส่ายหัวเอือมระอากับการประชดประชันของไอ้ภพน้อยๆ ก่อนจะขอทางจากลุงคำเพื่อมายังตู้หนังสือประจำบ้าน

เสียงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระของไอ้ภพกับลุงคำดังขึ้นทุกขณะ จนสามารถเรียกได้ว่าอารมณ์ความสงสัยในตัวลุงคำกำลังค่อยๆหายไปจากตัวไอ้ภพทำให้การสนทนาเริ่มกลับมาเป็นปกติ ไม่ก็เป็นไอ้ภพที่เก็บความรู้สึกของตัวเองได้เก่งมากขึ้น มันถึงไม่ได้แสดงอาการแปลกๆออกมาอีก ผมที่ได้สังเกตเรื่องราวในห้องครัวอยู่พักหนึ่งก็ถึงกับเบาใจกับสถานการณ์ที่เคยกระอักกระอ่วนตรงหน้า และเริ่มหันกลับมาสนใจสิ่งที่ควรจะสนใจจริงๆเสียที

หนังสือที่ต้องเปิดอ่านทุกวันเล่มที่ 6 ถูกวางไว้ติดกับหนังสือที่ผมไม่ได้เปิดอ่านแต่สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้มากที่สุดตั้งแต่ผมร่วมรายการมา  ลมหายใจของผมถูกสูดเข้าปอดอย่างลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกับหนังสือตรงหน้าออกมาอ่านรายละเอียด

หนังสือเล่มนี้มีลักษณะที่ต่างจากเล่มที่เคยอ่านมาอย่างชัดเจน  ปกหนังสือดูเหมือนจะถูกทำขึ้นมาใหม่ กระดาษภายในก็เหมือนจะมีเพียงรายละเอียดคำสั่งของเกมส์เท่านั้นที่ต่างจากกระดาษแผ่นอื่น  ทั้งความเก่า ทั้งเนื้อหา ทำให้สามารถสรุปไปได้เองว่า รายการคงเอาหนังสืออ่านเล่นสักเล่มมาเพิ่มจำนวนหน้าโดยการยัดคำสั่งเข้าไปและจัดการทำปกใหม่เสีย ให้ทุกอย่างดูเหมาะกับเกมส์นี้

ร่องรอยของกระดาษในหนังสือ บอกกับผมว่านอกจากรายละเอียดของเกมส์แล้ว หน้าอื่นๆต้องผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ไม่ก็ต้องถูกวางไว้ในที่ที่ต้องสกปรกมากๆ ไม่เช่นนั้น กระดาษจำนวนหนึ่งคงไม่มีร่องรอยของสี และความอับชื้นมากขนาดนี้ แต่นั่นก็ยังไม่น่าสนใจมากพอเท่ากับ กระดาษสีขาวที่มีเพียงตัวอักษรเท่านั้น ที่กำลังบอกผมว่าทุกๆอย่างในเกมส์ที่ผมจะต้องเล่นต่อไปนี้  ล้วนมีที่มา

“เป็นไงบ้าง เกมส์นี้มันให้เราทำอะไร” ลุงคำถามขึ้นมาหลังจากที่ผมเดินกลับมาในห้องครัวพร้อมหนังสือเล่มนั้น ด้วยใบหน้าที่ติดจะวิตกกังวลกับรูปการแบบนี้

“มันให้ผม…จำลองเหตุการณ์ฆาตกรรม

“ว่าไงนะ!!!” ไอ้ภพเหวลั่นจนลุงคำถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ไม่เท่ากับสีหน้าของลุงคำที่เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นจนดูน่ากลัว

“มันให้เราสองคน สร้างเหตุการณ์จากคดีฆาตกรรมที่เคยเกิดขึ้นจริงไอ้ภพ มันจะให้เราเห็นผีจากการซ้ำรอยคนตาย”

“หมายความว่ายังไง ลุงไม่เข้าใจ พวกเอ็งต้องแกล้งเป็นศพกับฆาตกรจากคดีไหน?”

“ผมไม่ทราบหรอกครับลุงว่ามันคือคดีไหน รู้แค่ว่าคนตาย…คือเจ้าของหนังสือเล่มนี้”ผมหันไปตอบลุงคำด้วยปลายเสียงที่แผ่วลง ความกลัวบางอย่างเกิดขึ้นย้ำความกลัวเดิมที่เคยมีอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นความเคยชินหรือรู้อยู่แล้วว่าเกมส์นี้มันไม่เคยปรานีพวกผม แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันแรงไป มันกำลังจะให้ผมล้ำเส้นระหว่างคนเป็นกับคนตาย

ลุงคำพยักหน้าให้ผมเบาๆก่อนที่แกจะเดินแยกออกไปคุยโทรศัพท์  เสียงที่ได้ยินผมไม่อาจรู้เลยว่าแกกำลังคุยกับใคร รู้แค่ว่าแกกำลังไม่พอใจอย่างหนักที่เกมส์ถูกสร้างมาแบบนี้  ผมกับไอ้ภพถึงกับมองหน้ากันทันที  เราสองคนเคยชินกับการโดนกระทำแรงๆกับเกมส์จึงไม่ได้รู้สึกว่ามันมากไป นอกเสียจากความกังวลที่เกิดขึ้นหากต้องท้าทาย อีกทั้งลุงคำคือผู้ต้องสงสัยมากที่สุด เหตุใดถึงได้ปฏิบัติกับผมราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อวาน

“คงเป็นคราวซวยของพวกเอ็ง ลุงขอโทษละกันที่ช่วยอะไรไม่ได้” ลุงคำเดินกลับเข้ามาอย่างหัวเสีย อารมณ์ที่อยู่ดีๆก็เกิดการปะทุขึ้นมาของแกทำเอาพวกผมสองคนปรับตัวกันไม่ทัน

“มัน…คงไม่มีอะไรหรอกครับลุง”ผมตอบลุงคำไปอย่างไม่มั่นใจนัก

“นั่นสิครับ ผมอยู่ในบ้านนี้มาครบอาทิตย์แล้วนะครับ ถ้ามันจะมีผีจริงๆผมคงโดนกันไปแล้ว”ไอ้ภพตอบขึ้นมาด้วยเหตุผลที่สนับสนุนความคิดของผม  ผมจึงพยักหน้าเห็นด้วยให้ลุงคำไป อย่างน้อยที่ไอ้ภพพูดมันก็คือเรื่องจริง ถ้ามีผี ผมต้องเห็น

“ไม่เหมือนกันหรอก”

“ยังไงครับลุง/ยังไง?”

“ในหนังสือเล่มนั้น นอกจากคำสั่งแล้วมันมีคาถาอะไรด้วยมั้ย?”ลุงคำมองหน้าพวกผมที่รีบพูดขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่แกจะเปิดปากถามคำถามที่คนฟังถึงกับเหงื่อตก

“ม..มีครับ แต่มันก็แค่คาถาเห็นผีแบบที่พวกผมเคยท่องไม่ใช่หรอครับ”

“เคยท่องงั้นหรอ ครั้งที่แล้วพวกเอ็งท่องกับสิ่งของในเหตุการณ์ฆาตกรรมจริงๆอย่างนั้นหรอ  รู้หรือเปล่าตามปกติวิญญาณที่ถูกฆ่า มันจะผูกใจเจ็บกับสถานที่สุดท้ายที่มันตาย  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไปที่อื่นไม่ได้หากถูกเรียก ยิ่งสิ่งของที่เคยเป็นของมันมาตกอยู่ในพิธีกรรมของพวกเอ็ง คิดบ้างไหมว่ามันจะตามมาเอาคืน?”

“คงไม่มีอะไรหรอกครับ หนังสือเล่มนี้มันก็มีขายทั่วไป วิญญาณมันคงจำไม่ได้หรอกครับว่าเล่มไหนเป็นเล่มไหน” ไอ้ภพบอกขึ้นมาอย่างคนที่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคาถานี่ไอ้ภพมันเคยท่องมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีผลกับมัน

“คิดว่ารายการจะสะเพร่าขนาดนั้นหรอ ลองดูในหนังสือ มันมีอะไรแปลกมั้ย?”

“ไม่ต้องเปิดหรอกภพกูดูมาหมดแล้ว….ถ้าจะแปลกคงมีแต่รอยอับชื้นและสีแดงทึบๆที่ถูกแต้มลงไปครับ”ผมบอกไอ้ภพที่ทำท่าจะเปิดดูหนังสือ ก่อนจะหันมาตอบลุงคำด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่คิด

“คิดว่ามันเป็นสีจริงๆหรอ?”

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นครับ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ารอยนั่นมันคือสีของอะไร”

“อืม ระวังให้ดี เล่นกับเลือดของคนตายหนะ ต่อให้จิตแข็งมากแค่ไหน ย่อมต้องรู้สึกถึงความแค้นนั่นแน่ๆ เกมส์นี้มันไม่ได้ปลอดภัย

“แล้วผมควรต้องทำอย่างไรครับ?”

“ในหนังสือนั่น มันให้เริ่มพิธีกรรมยังไงหละ”

“ภพเปิดไปที่กระดาษขาวๆนั่น ดูให้หน่อยพิธีกรรมข้อแรกเราต้องทำอะไร” ผมหันไปสั่งไอ้ภพที่ถือหนังสืออยู่ กระดาษสีขาวที่โดดขึ้นมาภายในเล่ม ดูจะเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนในขณะนี้

“อืม…ข้อแรก มันให้จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง” ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับขมวดคิ้วสงสัย  ในเกมส์ที่ผ่านๆมา พวกผมไม่เคยต้องจุดธูปขอเจ้าที่เจ้าทาง ก็ยังสามารถเจอวิญญาณได้ เหตุใดเกมส์นี้ถึงได้เพิ่มพิธีกรรมนี้ขึ้นมา

“เกมส์นี้มันกะเล่นให้ตายเลยหรือไง?” ลุงคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันจนน่ากลัว เรียกความสนใจจากพวกผมสองคนให้หันไปมอง

“หมายความว่ายังไงครับลุง”

“เกมส์ที่ผ่านมาลุงไม่รู้หรอกนะว่าพวกเอ็งเจออะไรมั้ย  แต่เกมส์นี้มันกะจะไม่ให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพื้นที่ตรงนี้เลย ลุงกลัวว่าถ้าเรียกวิญญาณมาได้จริง มันจะไม่ได้มาแค่วิญญาณตนนั้น” ลมปากของลุงคำ ทำเอาขนในร่างกายของผมและไอ้ภพลุกขึ้นมาเป็นแถบๆ เราทั้งคู่ต่างมองหน้ากันด้วยแววตาที่ต่างก็สั่นไหว ความกลัวที่เข้ามากำลังทำลายบรรยากาศบ้านหลังนี้จนไม่เหลือชิ้นดี

“ลุงเหลือเวลาไม่มาก  พวกเอ็งก็เดินตามมาละกัน เดี๋ยวลุงจะช่วยเท่าที่ช่วยได้”

หลังจากนั้นลุงคำก็เดินนำหน้าพวกผมให้มายังพื้นที่โล่งแจ้งบริเวณหน้าบ้าน โดยไม่ลืมที่จะสั่งให้ไอ้ภพถือธูปและไม้ขีดไฟตามมาด้วย  ตามคำบอกเล่าของลุงคำ เวลาที่เราต้องการจะไหว้เจ้าที่เจ้าทางหากไม่มีศาล ให้เลือกพื้นที่โล่งแทน

ลุงคำสั่งให้พวกผมจุดธูปและกล่าวตามลุงคำ ซึ่งคำพูดที่พวกผมต้องพูดตามก็คือบทขออนุญาตเจ้าที่เพื่อให้วิญญาณสามารถเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้หากถูกเชิญ  ในคราแรกผมกลัวจนมือและปากแทบจะไม่สามารถทำตามที่ลุงคำบอกได้ แต่ด้วยความที่ลุงคำบอกให้เชื่อใจแก  ในสถานการณ์แบบนี้แม้หลายๆอย่างจะยังดูไม่น่าไว้ใจ แต่การเลือกจะเชื่อใจอีกครั้งก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“บอกลุงมา วันนี้ใครจะเป็นฆาตกร ใครจะเป็นคนตาย”

“เดี๋ยวผมเป็นฆาตกรเองครับ เท่าที่อ่านมา ฆาตกรต้องออกมาเริ่มที่หน้าบ้านก่อน เดี๋ยวให้ไอ้มิวอยู่ในบ้านรอก็ได้ครับ”

“งั้นก็ดี ฟังลุงไว้ดีๆนะ เมื่อเอ็งต้องออกมาหน้าบ้านอีกครั้งตอนเล่นเกมส์ สิ่งที่ต้องทำคือเดินออกมาให้พ้นมุมกล้อง แล้วจุดธูปขอขมาซ้ำอีกดอก บอกกับเจ้าที่ไปว่าขอให้ช่วยคุ้มครองแทน อย่าให้มีวิญญาณเข้ามาได้ ต้องรีบทำนะ ลุงไม่รับประกัน ส่วนถ้าขณะเล่นพวกเอ็งเจอผีหรืออะไร ให้มีสตินะ แล้วเลือกเอา หนึ่งคนเผาหนังสือ อีกหนึ่ง ฝืนกฎของเกมส์มาจุดธูปซะ หากตอนเช้าทีมงานมาว่าอะไร ให้บอกไปว่าลุงคำแนะนำมา”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่ทำไมลุงถึง…” ผมกับไอ้ภพตอนนี้จะเรียกว่ามึนงงถึงขั้นสุดแล้วก็ได้ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดดูกลับตาลปัตรไปหมด สิ่งที่คิด สิ่งที่สงสัยเมื่อวาน ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนจะไม่ใช่นิยายเรื่องเดิม

“ไม่มีอะไรหรอก ลุงแค่รู้สึกผิด ลุงไปแล้วนะ” พูดจบแกก็หันหลังเดินกลับออกจากบ้านไปทันที ทิ้งให้ผมกับไอ้ภพมองตามด้วยความสงสัย  ความรู้สึกผิดของลุงแก  พวกผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดจากเรื่องอะไร

“แล้วพวกเราสองคน จะเอายังไงต่อ”ไอ้ภพหันมาถาม เมื่อเห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทึบอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งอิสระของเราก็เริ่มหมดลง  ผมจึงต้องเดินนำมันเข้าบ้านเพื่อไม่ให้ผิดกฎกับรายการ

“เราทำอะไรได้หละ นอกจากเข้าบ้านแล้วก็รอเล่นเกมส์”

“กูหมายถึง เราต้องเล่นเกมส์นี้เมื่อไร”

“อ่อ เล่นตอนไหนก็แล้วแต่เรา แต่บทบาทสมมติที่กูต้องตาย มันต้องเกิดขึ้นประมาณตีหนึ่ง…เวลาตายของคนนั้น”

“ช่วงตีหนึ่งหรอ เริ่มตอนเที่ยงคืนนิดๆก็ดี เราจะได้มีเวลา มันคงไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก”

“ลองดูในหนังสือก่อน ถ้ากูจำไม่ผิดเหมือนมันจะบอกให้มึงเล่นตามบทที่มันเขียน”

“เรื่องมากจังวะ”

“ใจเย็นๆ เราทำอะไรไม่ได้หรอก ไหลตามน้ำไปเถอะ” ผมค่อยๆกดอารมณ์ไอ้ภพที่ตอนนี้ดูจะหงุดหงิดเป็นพิเศษให้เบาลง ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มเดิม เพื่ออ่านขั้นตอนทั้งหมดให้ละเอียด

“ตกลง มันให้เราเล่นยังไง?”

“จากที่อ่านนะ เราต้องสมมติเหตุการณ์ขึ้นจากข้อสันนิษฐานของตำรวจ ที่มีต่อรูปคดี ตามนี้…”

1.จุดธูปขอให้เจ้าที่เจ้าทางเปิดทางให้วิญญาณเจ้าของหนังสือเล่มนี้

2.ท่องคาถาเชิญวิญญาณที่มอบให้พร้อมกับที่มือของผู้เข้าร่วมรายการทั้งคู่จะต้องจับอยู่บนหนังสือเล่มนี้

3.จำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้ผู้เล่นหนึ่งคนเป็นฆาตกร และอีกหนึ่งเล่นเป็นผู้ตาย

4.จากคำให้การของตำรวจ ผู้ตายเริ่มมีการต่อสู้ขัดขืนตั้งแต่อยู่บนห้องนอน เนื่องจากฆาตกรบุกเข้ามาจากทางหน้าบ้านและล่วงรู้
เป็นอย่างดีว่าผู้ตายพักอยู่ห้องไหน  การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นสรุปหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ แต่คาดว่าอาจจะเป็นเรื่องชู้สาว เพราะผู้ตายได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสัมพันธ์อยู่แล้ว แม้จะจับตัวฆาตกรไม่ได้แต่สาเหตุนี้ก็ถูกจัดให้เป็นสาเหตุหลักอันดับต้นๆ  ผู้ตายได้มีการวิ่งหนีลงมาชั้นล่างเพื่อค้นหาสิ่งของบางอย่างที่คาดว่าคงสำคัญเพราะมีการรื้อหาของบริเวณศพของผู้ตาย ก่อนจะถูกฆาตกรไล่ตามมาและทำการฆ่าปาดคอ

5.ออกแบบที่เกิดเหตุอย่างไรก็ได้ กรณีที่ฆาตกรเริ่มที่หน้าบ้าน อนุญาตให้ผู้เล่นเดินออกมายังประตูข้างนอกได้แต่ก็ยังต้องอยู่ในวิถีของกล้อง เวลาที่ใช้เล่นขึ้นอยู่กับผู้เล่นกำหนดเอง ส่วนเวลาที่ต้องตายคือประมาณตีหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาตายจริงๆของศพ

6.เกมส์นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เล่นได้เห็นกับวิญญาณตนนั้นและรับรู้ถึงความทรมานก่อนตาย ที่สำคัญ ของที่ผู้ตายพยายามหาก่อนตายสิ่งนั้นคืออะไร หวังว่าผู้เล่นทั้งสองจะโชคดีและล่วงรู้ถึงความลับและความเป็นไปก่อนที่ใครสักคนจะต้องจบชีวิตตนเอง


คำเตือน: หากสิ่งที่ผู้เล่นเห็น สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่นทางเราไม่รับประกันชีวิตของท่าน สิ่งที่ต้องจัดการคือทำลายหนังสือเล่มนี้โดยเร็วที่สุด

“หึ สั่งให้กูทำลายโดยเร็ว แต่ไม่บอกวิธีเนี่ยนะ” ไอ้ภพเหยียดยิ้มร้ายออกมาเมื่ออ่านข้อความตรงหน้าจบ ซึ่งไม่ต่างจากผมที่ภายในใจตอนนี้ร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะ  ชีวิตหลังการตัดสินใจเข้าร่วมเกมส์ของเราทั้งคู่ มันไม่ใช่แค่เดินบนเส้นด้าย แต่มันคือการที่เราถูกสั่งให้ลงไปนอนในโลง  เหลือเพียงตอกตะปูปิดฝาโลงเท่านั้น ผมกับไอ้ภพก็จะตายโดยสมบูรณ์

“พอๆ ไม่ต้องอะไรแล้ว สิ่งพวกนี้ลุงคำเขาก็ช่วยเราแล้วไง ไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ” ผมรู้สึกปลงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้ในใจจะยังคงร้อน แต่อยู่กับเกมส์แบบนี้ถ้าทุกอย่างร้อนไปหมด เราทั้งคู่จะไม่รอด ผมจึงชวนไอ้ภพไปกินข้าวกินน้ำดับไฟในตัวให้มอดก่อนถึงเวลาที่อารมณ์ของใครสักคนจะปะทุขึ้นมา

หลังจากการหมดธุระในห้องครัว เราทั้งคู่ก็เลือกที่จะขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายของตนเอง และลงมายังข้างล่างอีกครั้งเพื่อรอเวลาทำพิธีกรรม  ระหว่างนั้นพวกผมก็นั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไป ลดความเครียดและความกังวลของร่างกายที่ก่อตัวขึ้น  เราตกลงกันว่า ในช่วงเวลาเริ่มเกมส์ ผมจะเริ่มตั้งต้นภายในห้องนอน จะได้หลีกเลี่ยงการโดนกล้องถ่ายและให้ใช้เสียงดังๆข่มแทน หลังจากนั้นผมก็จะหนีลงมาสู้กับไอ้ภพข้างล่างและทำท่าโดนปาดคอตายตรงใกล้ๆตู้หนังสือ  เมื่อคะเนเวลาคร่าวๆก็จะใกล้ช่วงตีหนึ่งพอดี

เวลาที่ผ่านไปไหลไวพอๆกับสายน้ำ แค่ช่วงการพูดคุยพริบตาเดียว เข็มนาฬิกาก็ทำหน้าที่ของมันจนถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นไปทำตามคำสั่งของเกมส์…เวลาของการฆาตกรรม

“ภพ จับหนังสืออีกด้านเอาไว้ แล้วท่องคาถานี่พร้อมกูเลยนะ” ผมเอ่ยคำสั่งให้ไอ้ภพทำตาม หลังพิธีกรรมดำเนินมาถึงจุดที่พวกผมต้องเริ่มท่องคาถาเชิญวิญญาณ ไฟในบ้านทุกดวงปิดหมดเหมือนกับในทุกเกมส์   เทียน4 เล่มคือแสงสว่างจุดเดียวที่ล้อมรอบตัวเราเอาไว้แค่นั้น

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………

หากผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้ได้ยินเสียงเรียก โปรดนำจิตวิญญาณแห่งนั้นเดินทางมาตามเสียงที่ได้ยินนี้เถิด


พรึบ

บรรยากาศหลังการท่องคาถาเป็นไปตามแบบฉบับเดียวกับเกมส์ครั้งก่อน ลมเย็นๆวูบใหญ่ลอยพัดเอาความร้อนภายในบ้านออกไป จนอุณหภูมิที่มีลดลงจนน่าใจหาย แสงเทียนที่ไหววูบไปตามแรงลมทำเอาเงาของบุรุษสองร่างที่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเคลื่อนไปมาจนหาที่สุดไม่ได้

ใจของทั้งคู่ก็เหมือนกัน…บัดนี้อวัยวะเท่ากำปั้นนั้นกำลังเต้นแรงเสียจนจะทะลุออกมาจากอก

“อ…เอาหละ เรามาทำพิธีถัดไปกันเถอะมึง เดี๋ยวกูไปรอข้างบนนะ โชคดี”

“อืม โชคดี แล้วเจอกัน”

ผมมองไอ้มิวที่ค่อยๆถือเทียนเดินนำขึ้นไปบนห้องด้วยความเป็นห่วง ครั้งนี้ผมรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปบางอย่าง การเปลี่ยนไปที่ครั้งแรกผมไม่เคยได้รับรู้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ใส่ใจ  อากาศที่เย็นลงจนจับขั้วหัวใจผมนั้น ไม่อาจหลอกลวงผมได้อีกต่อไปว่าในเกมส์ครั้งแรก สิ่งที่ไอ้มิวกลัว สิ่งที่ไอ้มิวสัมผัส มันเกิดขึ้นจริง

ผมเดินเอาหนังสือนี่ไปเก็บเข้าชั้น และเดินไปหยิบธูปเพิ่มอีกหนึ่งดอก ตามคำแนะนำของลุงคำ ก่อนจะค่อยๆเดินออกจากตัวบ้านมาโดยปล่อยให้เทียน1เล่มยังคงทำหน้าที่ของมันภายในบ้าน

ผมไม่รู้ว่าการที่ผมสามารถรู้สึกอะไรได้มากขึ้นจะทำให้ผมเห็นผีหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจได้ว่าตั้งแต่นี้ความรู้สึกบางอย่างของผมจะไม่ด้านชาเท่าเกมส์ครั้งก่อนแน่  เมื่อผมเดินผ่านพ้นประตู สิ่งที่ผมมองหาคือกล้องที่ถูกติดไว้เป็นอย่างแรกก่อนจะค่อยๆคำนวณระยะของมันอย่างไม่รีบนัก และก้าวเท้าเดินไปให้เลยขอบเขตนั้น  สุดท้ายเมื่อเลือกจุดที่เหมาะสมได้ ผมก็ตัดสินใจจุดธูปและนั่งลงขอขมาทันที

“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณนี้ เจ้าที่เจ้าทาง ได้โปรดช่วยคุ้มครองผมและไอ้มิวด้วย การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการทำตามคำสั่งของรายการเท่านั้น พวกผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ผู้ตายหรือเจ้าที่เจ้าทางแต่อย่างใด หากการกระทำที่ผ่านมาทำให้ใครไม่พอใจ ผมก็อยากขอขมาไว้ที่นี้ด้วยครับ” เมื่อพูดเสร็จ ผมก็ปักธูปลงตรงพื้นที่ว่างตรงนั้น ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่สภาพแวดล้อมตรงนี้มันกำลังเปลี่ยนไป จากบรรยากาศเรียบๆอยู่ดีๆก็มีลมพัดผ่านจนผมขนลุก เสียงเห่าหอนของสุนัขที่ผมไม่เคยได้ยิน ก็ลอยมากระทบเข้าโสตประสาทผมอย่างจัง ยิ่งใกล้เข้าตัวบ้าน เสียงนั่น ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

ผมไม่อยากเสียเวลากับตรงนี้อีกจึงค่อยๆพาตัวเองมายังประตูหน้าบ้าน สูดลมหายใจเข้าปอดตัวเองให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้สนใจข้างนอกอีก  ในคราแรกผมตัดสินใจที่จะขึ้นไปยังตัวห้องและแสดงละครฉากนี้ให้จบเสียที แต่ไม่รู้อะไรสักอย่างที่ดลใจผมให้วนกลับไปที่ห้องครัว หยิบมีดขนาดเหมาะมือขึ้นไปด้วย บางทีถ้าจะเล่นให้สมจริง ผมอาจจะต้องลืมตัวตนและถืออาวุธขึ้นไป แม้ใครจะไม่ได้สั่งก็ตาม แต่ผมคงจะลืมมากไปจนไม่ได้คำนึงเหตุผลของความเป็นจริง 

การที่ใครสักคนจะสามารถเล่นกับของอันตรายได้ บางที มันอาจจะไม่ได้เกิดจากความคิดตนเองทั้งหมด

มันอาจเกิดจากใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกกลับมาพร้อมแรงอาฆาต และมุ่งร้ายต่อผู้ที่รบกวนโลกหลังความตาย…

มันอาจเกิดจากใครคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับการขอขมา จนธูปที่ถูกปักไว้โดนเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี…

มันอาจจะเป็นใครสักคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในความเป็นจริง แต่ร่างนั้นก็ปรากฏเงาไร้หัวขึ้นมาได้ยามแสงเทียนส่องผ่าน…

หรืออาจจะเป็นแค่ใครสักคน ที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปหาอีกคน เพื่อให้เขา นำเรื่องราวก่อนความตายมาฉายซ้ำ…



***********************************************TBC******************************************
เอาตอนที่ 13 มาส่งแล้วนะครับ คงไม่ผิดสัญญาเนอะ วันนี้ก็วันอังคารแล้ว อีกอย่างมีคนเรียกร้องด้วย 555

วันนี้มาดึกมาก ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยนะครับ อาจจะมีตอนหลอนทิ้งท้ายเอาไว้ เพราะมันยังไม่จบ  :hao7:

ฝากติดตามคอมเมนต์กันเยอะๆเน้อ  ถ้ามีคำผิดบอกได้เลยนะครับ
ขอบคุณนักอ่านหน้าเก่า หน้าใหม่ทุกคนเลยนะครับ ที่เข้ามาอ่านนิยายผม รักมาก

*ผมได้ทำการลงตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ ไว้ในทวิตเตอร์ของนิยายนะครับ สามารถเข้าไปอ่านกันได้นะ แก้เครียด 555*
เจอกันครับ P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2017 17:25:37 โดย P-Rawit »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สรุปทำตามคำแนะนำของลุงนี่ดีหรือไม่ดีเนี่ยยย :ling3:

อ่านแล้วเครียดมาก 5555

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
กรีดดร้องงงงแปป สตินะภพ สติ! :ling1: 

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ภพพพพพพพพพพพพพ *เอาสร้อยพระคล้องคอ*
ภพเป็นอย่างนี้อันตรายx2  :z3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เหยยยยจ น่ากลัวไปอีก

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะเชื่อใจภพได้แค่ไหนนนนนน :ling1:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
รายการนี้มันเอาอีกแล้ว :m31: กำจัดยากนักเลยเอาของคนตายมาให้เล่นกันเลย

สงสารภพมิวมาก อย่าเป็นอะไรกันนะ :sad4:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ความรักจะชนะทุกอย่างแม้แต่ความอาฆาตเราอ่านๆไปเราต้องเชื่อว่าสองคนนี้ี้จะรอดไปครองรักกันนอกเกมส์หวังว่าเกมส์นี้จะทำให้ปมคลี่คลายแต่มองไม่ออกว่าถ้าสองคนนี้รู้ความจริงจะออกจากเกมส์ไปได้ยังไงจะรอดตายจากเกมส์มั้ย?  :katai1:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 ยกให้เป็นนิยายดีแห่งปีเลยอ่ะ ทั้งหลอนทั้งลุ้น แล้วก็หวานหน่อยๆด้วยอ่ะ

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลุ้นมากเลยเรื่องนี้ เดาทางไม่ถูกด้วย
สงสารมิวมาก ภพแกอย่ามาเป็นลาสบอสตอนจบนะ :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด