“ฮึก ไม่ใช่ไอ้ภพ กูคือมิว มึงคือภพ ตอนนี้ไม่มีฆาตกรหรือคนตายแล้ว ฮึก ปล่อยกูนะ”
“กูจะปล่อยก็ต่อเมื่อ…มึงตายไปแล้ว”
“ฮึก ภพ มึงไปอยู่ไหน กลับมาหากูสักที กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะอยู่ไม่ไหวแล้วนะ”
“หึ กูก็อยู่ที่เดิม คนที่ต้องหายไปมันควรเป็นมึง”
มาอยู่กับกูสิ มาอยู่กับกู ตายตามมาสิ ตายตามมา 5555…“เขาบอกให้มึงตายได้แล้ว เกินเวลาแล้วนะมิว 555”
“ว…ว่าไงนะไอ้ภพ มึงได้ยินด้วยรึไง ฮึก มึงไม่เห็นผีไอ้ภพ มึงไม่เห็น!!!”
“ได้ยิน? ทำไมกูต้องแค่ได้ยินหละ ในเมื่อ…
กูเห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรก” สิ้นเสียงกระซิบนั่น มีดเล่มบางก็พุ่งตรงเข้ามาหาผมทันที ผมรีบรั้งแขนไอ้ภพไว้สุดแรง ภาวนาให้ทีมงานสังเกตความผิดปกติตรงนี้ ผมร้องไห้จนร่างกายผมเหนื่อยล้า แทบจะอ่อนแรง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดดูเหมือนจะไม่ทำงานไปเสียดื้อๆ ทุกๆอย่างกำลังจะพรากเอาสติและชีวิตของผมไป ยิ่งตลอดการโต้เถียงระหว่างผมกับไอ้ภพ มีแขกผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาเดินหัวห้อยวนเวียนอยู่รอบตัว ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูมืดบอดไปหมด
“ภพอย่า ฮึก อย่าเป็นแบบนี้ ไหนสัญญาว่าจะดูกูไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“ไหนสัญญาว่าต่อจากนี้มึงจะเดินนำกูไง ทำไมถึงต้องมาไล่ตามกูแบบนี้ ฮึก”
“ฮึก ไหนสัญญากับกูแล้วไง ว่าสุดท้าย เราจะชนะมันไปด้วยกัน ทำไมมึงถึงมาแพ้ง่ายๆแบบนี้ กูเจอผีก่อนมึงมากี่เกมส์ ทำไมกูถึงยังอยู่รอด ฮึก ไอ้ภพ”
“พี่ภพ…มิวเหนื่อยแล้วนะ มิวไม่ไหวแล้ว ฮึก”
“กลับมา…สักที”
ไม่ว่าจะพูดไปด้วยประโยคที่หวานหูแค่ไหน ท่าทางของไอ้ภพก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาจ้วงมีดลงมาหาผมอย่างไม่ลดละ แบตเตอรี่กายที่ผมมีก็เหมือนจะค่อยๆหมดไปตามแบตเตอรี่ใจที่ดับไปตั้งแต่คำพูดถากถางของไอ้ภพ และสุดท้าย ในเมื่อผมหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ วิธีการดั้นด้นลุยเข้าไปจึงถูกหยิบนำมาใช้อย่างคนที่ถูกกระทำจนไม่ต่างไปจากหมาจนตรอก
“มึงเลือกเองนะไอ้ภพ ในเมื่อมึงไม่กลับมา กูนี่แหละจะพามึงกลับมาเอง”
“โอ๊ย!! ไอ้มิว มึง…”
ผลักกกก
ผมพูดออกไปทั้งน้ำตา และรอเวลาที่มือของไอ้ภพ เข้ามาใกล้ปากผมมากที่สุดก่อนจะกัดลงไปเต็มแรงจนมันต้องปล่อยออก หลังจากนั้น ผมก็หันไปชกเข้าที่หน้ามันจนมันเซออก และเดินเข้าไปต่อยย้ำๆอย่างไม่รอให้มันได้จังหวะจนมันล้มลง ช่วงที่ผมต่อยหน้ามัน สิ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นมาในอก น้ำตาผมไหลออกมามากกว่าความกลัวที่ผมเจอ ยิ่งชก ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีมากขึ้น มือด้านขวาปวดหนึบและด้านชาไปพร้อมกับใจผม ปากผมสั่นเกินกว่าจะทนเก็บไว้ได้แล้ว
“ฮึก มึงกลับมารึยังภพ ฮึก กลับมาสักทีดิวะ!!” ผมนั่งค่อมตัวมันและกระชากคอเสื้อของมันมาเขย่าเต็มแรง เรียกสติที่ดับวูบของมันให้ฟื้นคืน มองดูใบหน้ามันที่เต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำจากฝีมือผม ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างกายมันและปล่อยโฮออกมาอย่างไร้สติ
“ฮึก ไอ้ภพ ฮึก กลับมาช่วยกูที!! กูสู้คนเดียวไม่ไหวแล้ว”
“ฮึก กลับมา ช่ว…”
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ…
ช่วยด้วย!!! ใครก็ได้ช่วยกูด้วย ช่วยกูที
โทรศัพท์ กุญแจ อยู่ตรงไหน??
ช่วยกูที ช่วยกูที ฮึก โอ๊ย!!
รอดสิ กูต้องรอด กูต้องไม่ตาย ฮึก
กุญแจ กุญแจ กูต้องหากุญแจสินะ
อยู่ไหน มันอยู่ตรงไหน
อยู่ เฮ้ย!! อั๊กกกกกกกกกกกภาพจำลองฉายชัดของวิญญาณที่เคยมาปรากฏตัวเมื่อครู่ ถูกซ้ำรอยการตายให้ผมดูอีกครั้ง สะกดเสียงร้องไห้โวยวายให้เงียบลง และมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เสียงวิ่งลงบันไดมาอย่างเร็วของผู้ชายคนนั้นที่ยามนี้ดูเป็นคนปกติ เต็มไปด้วยความร้อนรน และหวาดกลัว ปากของมันเอาแต่เพรียกหาคนหรือสิ่งของที่จะยื้อชีวิตมันได้ จนเมื่อเกือบจะถึงพื้นชั้นล่าง มันก็ลื่นล้มกลิ้งตกลงมาจนกระดูกหักไปอย่างเห็นได้ชัดและไม่คิดว่ามันจะลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้ ลำตัวและใบหน้ามีร่องรอยของการต่อสู้เอาชีวิตรอด มันวิ่งไปทำท่าควานหาสิ่งของบางอย่างอยู่นาน ปากก็ร้องเรียกชื่อสิ่งนั้นๆราวกับว่ามันจะวิ่งมาหาเองได้ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิต มันเหมือนถูกจับให้หันมาและโดนมีดฟันฉับเข้าที่ลำคอล้มลงไปทันที ผมที่มองเห็นความตายตรงหน้าจึงต้องรีบยกมือขึ้นมาป้องปากกันเสียงของความกลัวที่อาจเล็ดลอดออกไป
ผมมองไปยังภาพร่างกายนั่น ตอนนี้มันกำลังกระตุกเหมือนกับการชักเบาๆของคนที่ตายอย่างในทันที ก่อนที่มันจะนิ่งเงียบไป มือของผมค่อยๆเลื่อนควานหาหนังสือเล่มนั้นที่คลับคล้ายคลับคลาว่ามันตกอยู่แถวนี้ เพื่อที่จะรีบนำไปเผาลบภาพหลอนและความวุ่นวายตรงหน้า เมื่อเลื่อนมือไปเรื่อยๆ ผมก็ไปสัมผัสกับวัตถุทรงหนารูปร่างเหมือนหนังสือ ก่อนที่จะรีบคว้าขึ้นมาดูและตัดสินใจวิ่งไปที่แสงเทียนใกล้ดับอย่างรวดเร็ว
หึหึ หึหึ หึหึเสียงหัวเราะแปลกๆดังขึ้นจากร่างกายของศพนั่น ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งไปเผาหนังสือ ร่างกายของศพที่ผมเคยเห็นว่านอนแน่นิ่งไปแล้ว ตอนนี้มันกลับมากระตุกอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยเสียงเย็นๆออกมาเป็นระลอก บาดแผลและความฟกช้ำของศพเริ่มเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิมจนเท่ากับวิญญาณที่ผมเห็นในตอนแรก การเคลื่อนที่แปลกๆนั่นเริ่มทำให้ใจคอของผมไม่สู้ดีนัก ร่างกายนั้นกำลังกระตุกและค่อยๆหันพลิกตัวกลับมาพร้อมกับเสียงและใบหน้าที่หลอกหลอนหัวใจผมตามเดิม
55555 555555
เห็นแล้วใช่ไหม? ว่ากูตายอย่างไร
คิดว่ากูกลัวมากไหม? คิดว่ากูทรมานมากไหม?
ดูคอของกู!!! เห็นรึยัง ว่ามันโดนฟันจนเกือบจะขาด
กูถูกฆาตกรรม มึงได้ยินไหม? กูถูกฆาตกรรม!!! ไอ้ฆาตกรมันยังลอยนวลอยู่ กูตายโดยที่กูไม่ได้ทำอะไรผิด หึ
มึงอยากรู้ใช่ไหม ว่ากูหาอะไร กูตายอย่างไร มึงได้เห็นแล้วววว 5555 ทีนี้ ก็ตายตามกูมาได้แล้ว มาอยู่กับกูได้แล้ว
มาตามหาและฆ่าฆาตกร…ไปพร้อมกับกู หึหึหลังจากที่ร่างนั้นพลิกตัวกลับมาหาผม มันก็ค่อยพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก อย่างที่ผมเคยบอกร่างกายของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันจึงลุกขึ้นมาในท่าทางที่ปกติอย่างมนุษย์คนอื่นไม่ได้ มันค่อยๆพยุงร่างของมันเดินเข้ามาหาผม พร้อมกับการแผดเสียงข่มขู่และอาฆาต สลับกับการหัวเราะที่น้ำเสียงเจือไปด้วยความโหดเหี้ยม แต่พฤติกรรมทั้งหมดกลับขัดแย้งกับดวงตาของมัน ที่เอ่อล้นไปด้วยเลือดแดงๆไหลออกมาคล้ายน้ำตาจากความทรมานอย่างที่ผมเคยเห็นตอนอยู่บนชั้นสอง
จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….
จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….
จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….ช่วงการก้าวเท้าของวิญญาณ ปากของมันก็เริ่มทำหน้าที่โดยการพึมพำบทสวดบางอย่างออกมา ผมเบิกตากว้างไปด้วยความกลัวที่มากกว่าเดิม เนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างหนัก คาถาที่ผมได้ยิน ผมไม่รู้ว่ามันคือคาถาของอะไร แต่เสียงท่องคาถานั่นมันกำลังค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวผมให้สาหัสหนักกว่าเดิม ลมพายุลูกหนึ่งโหมกระหน่ำพัดเข้าสู่ตัวบ้านจนได้ยินการสั่นไหวของสิ่งของ หรือจะเป็นการเสียดสีระหว่างลมกับต้นไม้ใบหญ้า สะกดทุกความรู้สึกผมให้นิ่งงันและมองมันทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่ผมเองก็แก้ไขไม่ได้
ปั้ง ปั้ง ปั้ง!!
เสียงการทุบประตู ทุบหน้าต่าง ดังขึ้นรอบตัวบ้าน เรียกความสนใจของผมให้หันไปมองแหล่งกำเนิดเสียงที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ด้วยแววตาที่สั่นกลัว วิญญาณตนนั้น มันกำลังก้าวเดินมาหาผมอย่างช้าๆ แต่หนักแน่นไปด้วยแรงพยาบาท ปากของมันยังคงสานต่อบทสวดที่คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สามารถเข้าใจในภาษาบาลีหรือพระสงฆ์ สิ่งที่จะสามารถคล้อยตามบทอุบาทนี่ได้คงมีแค่
สัมภเวสีไม่ทันหมดห้วงความคิด บานหน้าต่างที่เคยแสดงวิสัยทัศน์หน้าบ้านกลับต้องมีอันเปลี่ยนไป หน้าคนน้อยใหญ่จำนวนมากกำลังแย่งกันแนบหน้าเข้ามามองภายใน ใบหน้าและการกระทำของผมถูกจับจ้องไปด้วยดวงตาไร้แววนับยี่สิบคู่ มันกำลังจ้องมองมาอย่างกับเป็นเรื่องสนุกสนาน บทสวดนี่ถ้าให้ผมเดา มันคือบทเชิญวิญญาณอีกบทที่ผมไม่เคยได้ยิน ก่อนตายวิญญาณนี่มันต้องมีอะไรผูกพันกับคาถาเหล่านี้ มันจึงสามารถท่องออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ภ….ภพ ไอ้ภพ!! ฮึก ไอ้ภพ ช่วยกูด้วย กูกลัวแล้วภพ ช่วยกูด้วย” ผมร้องไห้จนน้ำตาแทบหมดตัว ปากของผมเอาแต่ร้องเรียกหาความช่วยเหลือหนึ่งเดียวตรงนี้ ขาของผมแข็งจนไม่สามารถก้าวผ่านอะไรไปได้อีก เกมส์คืนนี้กำลังทำให้ร่างกายผมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันมากกว่าเกมส์อื่นๆที่ผมเคยเล่น ผมปิดตาปล่อยให้น้ำตาและความรู้สึกไหลไปกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างยอมแพ้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ถ้าหากผมหยุด นั่นอาจหมายถึงผมกำลังเปิดรับความตายสู่ตัวเอง
“ภพ…ภพ กูไม่ไหวแล้วนะ ฮึก มึงอยู่ที่ไหน กูไม่ไหวแล้ว”
“กูทนต่อไปไม่ได้แล้วภพ ฮึก ภพ อ๊ะ” ช่วงระหว่างที่ผมยืนรอความตายและฟังบทสวดเชิญวิญญาณนั่นซ้ำๆ มือใหญ่ที่ผมคุ้นเคยก็ยื่นมาดันให้ผมเข้าหาตัวพร้อมกับปิดตาผมไว้ ความรู้สึกกลัวและหวาดระแวง ดันผมให้พยายามหนีออกจากตัวไอ้ภพ ถ้าไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนบางอย่างที่แผดเผาสิ่งของบนมือจนผมต้องปล่อยหนังสือนั่นทิ้ง และหยุดรอความเปลี่ยนแปลงของบ้านให้กลับมาแบบเดิม
แค่พริบตาเดียวโลกที่เคยอึดอัดก็จางหายไปแทบสิ้น ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพได้สติกลับมาตอนไหน แต่ช่วงที่ผมยังคงหวาดกลัวกับการเข้าหาของวิญญาณที่ถูกฆาตกรรม เป็นช่วงที่ไอ้ภพวิ่งไปคว้าธูปและทำการจุดเทียนอีกเล่ม เพื่อนำมายัดใส่มือผม ก่อนที่มันจะเดินเปิดประตูออกไป เพื่อปักธูปขอขมาอีกครั้งบริเวณหน้าบ้าน ในตำแหน่งที่กล้องยังคงมองเห็น
“หนึ่งคนเผา อีกหนึ่งจุดธูปขอขมา” ไอ้ภพเดินเข้ามาพูดกับผม หลังจากที่มันเดินกลับเข้าบ้าน จัดการเปิดไฟทุกอย่างเรียบร้อย แต่ยังคงเห็นท่าทีหวาดกลัวและหวาดระแวงของผม
“ภพ ฮึก ไอ้ภพ มึงจริงๆใช่ไหม” ผมถอยห่างออกมาและกลั้นใจถามมันด้วยความรู้สึกที่ยังคงกลัว ความรู้สึกที่ว่าแม้จะอยากกระโจนเข้าไปหา แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ยังคงรั้งทุกอย่างเอาไว้ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในใจไปมากกว่าเดิม
“ภพ มึงหายไปไหนมา มึงไปอยู่ไหน ฮึก กูกลัวรู้มั้ย ไอ้ภพ”
“ฮึก มึงคือภพจริงๆใช่ไหม ไม่หลอกกูแล้วนะ ไม่เอาแล้วนะ กูไม่ไหวแล้ว”
“อืม กูเอง…
กลับมาแล้วนะ” ไอ้ภพเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ แม้ผมจะค่อยๆเดินออก จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความรู้สึกผมไม่อยากจะหนีผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว จึงปล่อยให้ไอ้ภพสาวเท้าเข้ามาหาและดึงผมไปกอดปลอบเอาไว้ กลิ่นตัวและความอบอุ่นที่นึกถึง เรียกน้ำตาผมให้ไหลออกมามากกว่าเดิม
ผมรู้สึกทึ่งในความสามารถของบ่อน้ำตาคนมาก มันจุน้ำตามนุษย์ไว้ได้มากขนาดไหน เหตุใดถึงไหลออกมาราวกับไม่มีวันหมด นับตั้งแต่เกิดเรื่อง ยังไม่มีแม้แต่วินาทีที่ผมจะหยุดร้อง แม้ตอนนี้ไอ้ภพจะกลับมา ผมก็ยังคงร้อง แต่มันไม่ใช่เพราะความกลัว ทุกอย่างมันเกิดเพราะความโหยหา
เพราะความคิดถึง….
“ฮึกไอ้ภพ กูขอโทษ มึงเจ็บมากใช่ไหม กูขอโทษ” ผมพร่ำขอโทษขอโพยไอ้ภพ เพราะเมื่อต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน ร่องรอยความช้ำและเลือดสดยังคงมีอยู่ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยรอยชกของผมจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแทน พรุ่งนี้มันคงช้ำและระบมหนักมาก
“กูจะไม่โกหกนะ ก็เจ็บมากๆนั่นแหละ”
“ฮึก ไอ้ภพ กูขอโทษ กูขอโทษ มึงต่อยกูคืนเลยไอ้ภพ “
“เดี๋ยวดิ ฟังให้จบก่อน มันเจ็บก็จริงนะ แต่ถ้ามันจะทำให้กูได้รับรู้บ้างว่าสิ่งที่มึงต้องแบบรับมันเจ็บปวดแค่ไหน รู้มั้ยไอ้มิว อย่างที่เคยบอก….
กูยินดีเจ็บ”
“ฮึกไอ้ภพ มึงไม่ต้องมาพูดดี เจ็บก็บอกเจ็บดิ”
“ชู่ว์…ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องเจ็บเดี๋ยวกูกินยามันก็หาย ตอนนี้เรารีบขึ้นไปนอนกันเถอะ คืนนี้มันมากพอแล้ว”
“ฮึก อืม”
“มิว…ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มึงไม่หนีกูไปไหน ขอบคุณที่ยังทนรอกู ขอบคุณที่เลือกเชื่อใจกู ขอบคุณที่พากูกลับมา”
“ขอบคุณ…ที่มึงกลับมา” ผมตอบกลับไอ้ภพไปด้วยอารมณ์ที่เบาลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ไอ้ภพเลือกที่จะพูดขึ้นมาแบบนั้น สีหน้า แววตา ทุกๆอย่างมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมเลือกจะบอกมันไปแค่นั้น แต่ทุกอย่างมันก็ชัดเจนในตัวมัน ผมต้องการแค่นั้นจริงๆ ต้องการแค่ให้มันกลับมา
“อืม ขอสัญญาอีกครั้งได้ไหม ทั้งหมดที่มึงทำ กูสัญญา กูจะตอบแทนทุกอย่าง…ด้วยหัวใจของกูเอง”“อืม”.
.
.
ผมลื่มตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมื่อยล้าทางกายและใจ วันนี้พวกผมตื่นนอนกันสายมาก อันที่จริง ตั้งแต่พวกเราเล่นเกมส์กันมาก็แทบนับวันที่เราสองคนตื่นเช้าได้เลย ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก ความรู้สึกเจ็บปวดและสงสารวิ่งแล่นขึ้นมาอย่างคนรู้สึกผิด รอยช้ำนั่น ผมรู้เลยว่าหากไอ้ภพตื่นขึ้นมาเมื่อไร มันคงต้องแบกรับความทรมานไปอีกสามสี่วันเลยทีเดียว แม้ก่อนนอนผมจะทายาและบังคับให้มันกินยาไปแล้วก็ตาม
หลังจากคำสัญญาสุดท้ายของวัน พวกผมก็ตัดสินใจพากันขึ้นห้องนอน เก็บกวาดซากหนังสือที่ยังเผาไม่หมดแต่ก็พังยับไม่เหลือชิ้นดีให้เข้าที่ สาเหตุที่ผมไม่อาจจะปล่อยให้มันเผาหมดได้ เกิดเพราะผมยังไม่อยากจะต้องมานั่งชดใช้อะไรให้มากความหากเกิดไฟไหม้บ้านหลังนี้
ผมนั่งมองหน้าไอ้ภพอยู่ไม่นาน ไอ้ภพก็ขยับตัวตื่นขึ้นมาตามบ้าง เสียงสูดลมเข้าปากเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินจากไอ้ภพ มันเป็นการกระทำที่บอกผมว่า มันกำลังเจอกับความเจ็บปวดขนาดไหนแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเราพยักหน้าทักทายกันแค่นั้น ก่อนจะลุกแยกย้ายกันไปชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลจากเมื่อคืน ระหว่างการอาบน้ำ ผมก็ยังเลือกที่จะไม่มองกระจก อาจเพราะยังกลัวด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเป็นเพราะผมรับไม่ได้ที่หน้าตาของผมหมองคล้ำ อีกทั้งตาก็ยังดูบวมโตจนน่าเกลียด
ช่วงที่ผมรอไอ้ภพที่อาบน้ำ มือของผมก็เตรียมยากินและยาทาออกมารอไอ้ภพไว้ สิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่จะชดเชยความรู้สึกไม่ดีในใจผมได้ เมื่อมันเข้ามาในห้อง ตาของมันดูแดงขึ้นเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะต้องล้างหน้าเลยทำให้มือไปกระทบอาการช้ำนั้น น้ำตาของมันเลยต้องไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อพวกเราทำทุกอย่างบนห้องเสร็จเรียบร้อย ผมกับไอ้ภพ ก็ค่อยๆพากันเดินลงมาข้างล่างแบบที่ต่างคนต่างเงียบแทบไม่คุยกัน ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดหรืออะไร แต่ตอนนี้มันคงไม่ดีนัก หากผมต้องชวนไอ้ภพพูดและทำให้มันเจ็บหนักกว่าเดิม
“สวัสดีครับ คุณภพ คุณมิว ตื่นสายเชียวนะครับ” เสียงของทีมงานคนหนึ่งดังขึ้นดักทางพวกผม เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็ลงมาด้านล่างและเตรียมไปทำอาหารกินกันตามปกติ
“สวัสดีครับ ก็นิดหน่อยครับ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรหรอครับ?”
“อ๋อ วันนี้มีสองเรื่องที่จะมาชี้แจงและบอกเพิ่มเติมให้คุณมิวและคุณภพทราบครับ”
“สองเรื่อง? เรื่องอะไรครับ”
“งั้นเริ่มเลยแล้วกันนะครับ เรื่องแรก ผมขอแจ้งให้คุณมิวและคุณภพทราบว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเผาหนังสือหรือการออกไปข้างนอกนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างผมจะถือว่ามันถูกระบุเอาไว้ในหนังสืออยู่แล้ว สบายใจได้ครับ”
“อ่อ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องนั้นพวกผมไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว ขอบคุณมากนะครับ”
“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เกมส์เมื่อคืนดูเหมือนจะผิดปกติไปเยอะเลยนะครับ”
“ก็นะ เกมส์มันค่อนข้างแรงหนิครับ จะให้พวกผมนิ่งเฉยกันก็คงไม่ไหวครับ”
“ครับ แต่ก็ต้องระวังด้วย ถึงจะไม่มีกฎห้ามทำร้ายกันในเกมส์ แต่ก็อยากให้คิดกันไว้นะครับ เกมส์นี้มันมีคนดูอยู่”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ คราวหน้าผมจะระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก”
“โอเคครับ…คุณภพอยากได้ยาหรือที่ปิดหน้าเพิ่มไหมครับ?”
“ผมขอตอบแทนเลยแล้วกัน ผมขอยาเพิ่มหน่อยนะครับ ไอ้ภพคงต้องใช้อีกเยอะ ส่วนผ้าปิดหน้าอะไรคงไม่ต้องหรอกครับ เราอยู่
แต่ในบ้าน เปิดไว้มันจะแห้งไวกว่าครับ”
“จะดีหรอครับ?”
“ดีสิครับ หรือว่ามีอะไรอย่างนั้นหรอครับ?”
“ครับ เอาเป็นว่าเรื่องที่สองที่ผมจะบอก คือพวกคุณ ต้องออกไปทำกิจกรรมในตอนกลางวันกับโปรเจคใหม่ของรายการที่จะนำเสนอพวกคุณในแง่ใหม่ๆมากกว่าการอยู่ในบ้านครับ”
“แล้ว…ผมต้องทำอะไรครับ?” ผมนิ่งจนพูดแทบไม่ออก หันไปสบตากับไอ้ภพที่ก็ขมวดคิ้วลงด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน ความไม่พอใจในตัวรายการตีรวนในหัวอีกครั้ง เกมส์ปีนี้มันผิดไปจากปีก่อนๆ รายการกำลังเปลี่ยนรูปแบบเกมส์กะทันหัน
“ไม่ยากอะไรหรอกครับ…สิ่งที่คุณต้องทำ มีเพียงการออกไปหาบางอย่างตามคำสั่งของเกมส์ ในวัดที่เกมส์กำหนดเอาไว้ โดย 8 วัดแรก พวกคุณจะมีโอกาสหาสิ่งของพวกนั้นในตอนกลางวัน ส่วนอีก1 วัดที่เหลือพวกคุณต้องทำตอนกลางคืน”
“ป…ไปวัดหรอครับ?” ผมตื่นตะลึงไปกับคำตอบที่ได้ยิน การไปวัดมันย่อมได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ยามกลางวัน วัดคือสถานที่ที่ทำให้ใจของมนุษย์สงบสุขที่สุด แต่ในตอนกลางคืนนั้น ความสงบที่มีอาจถูกโอนถ่ายไปเป็นของคนตาย ดังนั้น วัดสุดท้ายที่ผมต้องไปจึงสร้างความหวาดผวากับตัวผมได้มากที่สุด
“ใช่แล้วครับ โปรเจคใหม่ของรายการนี้ มีชื่อเรียกสั้นๆว่า 9วัด ครับ”
***********************************************TBC******************************************
เอาตอนที่ 14 มาส่งแล้วนะครับบบบบบบ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เท่าที่แต่งมาตอนนี้แต่งยากที่สุดเลย เนื่องจากมีฉากน่ากลัวอยู่หลายฉากจนผมแต่งต่อไม่ไหว พอจะกลับมาเขียนใหม่อารมณ์ที่มีมันอาจได้ไม่เท่าเดิม ถ้ามีอะไรที่ขัดใจคนอ่านหรือรู้สึกว่าเรื่องมันฟุ้งเกินไป ผมขอโทษด้วยนะครับ คราวหน้าจะระวังกว่าเดิม 
หวังว่าจะมีความสุขและสนุกไปกับการอ่านเหมือนเดิมนะครับผม
ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคอมเมนต์นะครับ
ฝากติดตาม ฝากแชร์ ฝากคอมเมนต์กันเยอะๆเน้อ ยินดีต้อนรับนักอ่านหน้าใหม่เสมอ 
มีคำผิดหรือประโยคไหนที่ไม่ลื่นไหลบอกได้เลยนะครับ
เจอกันตอนหน้าครับ
P-Rawit