NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170637 ครั้ง)

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ไอ้นายนี่คือผู้จัดการเกมส์ใช่ไหม  :m31:
รายการนี้่มันกะไม่ให้ใครได้เงินรางวัลจริงๆด้วยแต่มันได้เงินเข้ากระเป๋าจากคนดูแทน โกงมากๆๆ
สงสารมิวอ่ะ  :sad4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เกลียดอีรายการนี้จริงๆ  :ling1:

ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากสงสารมิว :mew6:

ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รายการนี้กะจะให้ผู้เข้าแข่งขันเป็นบ้าหรือตายไปเลยใช่ทั้ย :katai1: :angry2:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
สงสารมิวววววว โอยย  :z3:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เอาแล้วไงจะทำให้อะไรมิวอีกกกก :ling1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ผจก เชี่ยมากกกกกกกกกกก ทำร้ายสองคนนี้เพื่ออะไรเนี่ย

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ภพกับมิวสู้ๆ อย่าเป็นอะไรกันไปก่อนนะ นี่อยากรู้จุดประสงค์อิรายการนี้มาก ผีก็โคตรน่ากลัวอ่านแล้วหลอน 5555

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่17

คำเตือน


ความผิดพลาด…

เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนเคยต้องประสบ  หนักบ้างเบาบ้างต่างกันไปตามแต่ละสถานการณ์  เรียกได้ว่าเกือบทั้งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะต้องเผชิญกับความผิดพลาดไม่รู้ตั้งกี่ร้อยครั้งถึงจะมีชีวิตที่อยู่ตัวได้  มนุษย์จึงต้องสรรหาคำพูดมากมายมาปลอบโยนความผิดพลาดร้ายแรงต่างๆให้เบาลง อย่างเช่น ความผิดพลาดคือครูชั้นดีของชีวิตที่คอยพร่ำสอนนักเรียนบนโลกให้เรียนรู้ด้วยตนเอง  หรือจะเป็น ความผิดพลาดก็แค่จุดเล็กๆในชีวิตเมื่อมองกลับมาทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน  หรือที่ผมเคยได้ยินมาหนาหูที่สุดคือ ไม่มีใครบนโลกไม่เคยผิดพลาด นอกเสียจากคนๆนั้น จะตายไปแล้ว

ตายไปแล้ว? จะใช่อย่างนั้นจริงๆเหรอ?

ผมเฝ้าถามคำถามนี้ตลอดทั้งคืนจนแทบนอนไม่หลับ  หาเหตุและผลต่างๆมาอ้างอิงหลักความเชื่อเรื่องความผิดพลาดเดิมๆที่ถูกผมงัดขึ้นมาใช้  ทุกอย่างในหัวตีกันจนผมสับสน  ตอนนี้ผมเหมือนคนที่กำลังลังเลตรงทางแยกอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมกำลังทำคือสิ่งที่ถูกต้องตามที่ผมคิดหรือเปล่า  ผมเสี่ยงเกินไปไหมที่จะยอมอยู่ในเกมส์นี้เพียงเพราะต้องการจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทที่เคยเกิดขึ้นในปีก่อนๆ จนทำให้ความเป็นอยู่ในปัจจุบันล้มเหลวไม่เป็นท่า

สุดท้ายหลังจากการย้ำความคิดในหัวซ้ำๆ  คำตอบก็ออกมาเพียงว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตตอนนี้  ผมเป็นคนเลือกยื่นเอาขาข้างหนึ่งเข้าโลงไปเอง  เลือกที่จะยอมมาอยู่ในกฎและข้อบังคับที่ได้เปลี่ยนชีวิตตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาให้ไม่เหมือนเดิมและไม่มีทางที่จะได้กลับไปอยู่ในจุดที่ตนเองจากมาได้แล้ว  ระยะเวลาแค่เพียงอาทิตย์กว่าๆได้เปลี่ยนดวงตาของผมไปเป็นอีกแบบ  สรรสร้างให้มองเห็นในสิ่งที่คนปกติมองไม่เห็น  จนไม่คิดว่าผมจะทำใจได้เพียงแค่บอกว่าตนเองไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งที่คนอีกโลกพยายามจะบอก

คนตาย…ยังผิดพลาดไม่รู้จักจบจักสิ้นเลย

อย่างน้อย ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าใคร…คือคนที่ฆ่าเขา

ใคร? คือคนที่ดันชีวิตของเขาให้เข้าสู่โลกของความตาย

“คุณมิว  ดูเงียบไปนะครับวันนี้”

“ครับ?  อ๋อ ก็แค่…คิดอะไรนิดหน่อยครับ”

“มีอะไรให้คิดเยอะแยะหรอครับ?  คุณแค่เข้ามาเล่นเกมส์เองนะ  อย่างมาก ผมว่าคุณจะได้คิดมากสุดก็แค่หาที่อยู่ของแหล่งน้ำตามที่รายการต้องการนี่เท่านั้นนะครับ”

“ชีวิตคนมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ  คุณเป็นทีมงานคุณก็พูดได้  เช้าคุณมารับ เย็นคุณก็กลับไป แต่ผม…คือคนที่ต้องเล่นเกมส์ต่อ  ยังต้องเผชิญอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้คาดคิดต่อ  คุณคิดว่ามันง่ายนักหรือครับ?”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรยากนี่ครับ  เกมส์ของพวกคุณผมก็เห็น คุณก็ดูเล่นกันปกติดี”

“ปกติ?  คุณมองกล้องตัวไหนหรอครับ? ถึงบอกว่าผมเล่นกันปกติ  เกมส์เมื่อคืนคุณก็ได้เห็นผ่านที่ผมอัดให้ดูแล้วไม่ใช่หรอครับ  ไหนจะเกมส์คืนก่อนอีก?  อย่าพูดว่ามันง่ายนักเลยครับหากคุณไม่เคยสัมผัส”

“ถ้ามันยากนัก ทำไมคุณมิวไม่ถอนตัวไปหละครับ  จะฝืนอยู่ต่อทำไม?”

“หึ จะออกไปหรือทนอยู่ต่อมันก็เหมือนกันนั่นแหละครับ อะไรที่มันเปลี่ยนไปแล้วก็คือเปลี่ยน ผมแก้ด้วยตนเองไม่ได้หรอก”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปครับ?”

“แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไมครับ?  ทีมงานรายการนี้ถูกสั่งให้มาล้วงความลับผมหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  ก็แค่ลักษณะของคุณเหมือนผู้เล่นปีก่อนๆที่ส่วนมากก็ทนอยู่กันไม่นานแล้วก็ถอนตัวออก จะมีก็ไม่กี่คนหรอกครับที่ทนอยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็จบไม่สวยเท่าไร  เข้าใจใช่ไหม? ผมไม่อยากให้คุณเป็นแบบนั้น”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ปีนี้เรายังเหลือกันทั้งสองคน ไม่มีทางที่ผมจะเป็นบ้าไปก่อนแน่ๆครับ”

“อย่ามั่นใจมากไปนะครับ  บางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากในเกมส์นี้  ใช่ว่าแค่พริบตาเดียว คุณภพจะหายออกจากเกมส์ไม่ได้ หรือแม้แต่ตัวคุณเองที่อาจเป็นบ้าไป หากนั่นคือความต้องการของเกมส์”

“ตรงดีนะครับ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าพวกคุณให้ผมเล่นตามหนังสือที่บ้าน ผมมั่นใจว่ามันไม่มีใครเป็นอะไรแน่นอน ยกเว้นแต่พวกคุณจะโกงผม  รู้ใช่ไหมครับ ว่าโปรเจคนี่ก็คือการโกง  มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงด้วยซ้ำ”

“ข้อตกลงหนึ่งเดียวที่พวกผมรับทราบมาก็คือพวกคุณต้องเล่นตามคำสั่งของเกมส์  และนี่คือหนึ่งในคำสั่งครับ”

“แปลกดีนะครับ  พวกคุณให้ผมมาท้าทายผีในบ้าน แต่ตอนนี้กลับสั่งให้ผมออกจากบ้านให้มากที่สุด ทำไมหรอครับ? หรือแท้จริงแล้ว  บ้านหลังนั้นมันไม่มีผี?”

“มีหรือไม่มี คนตัดสินคือคุณนะครับ ไม่ใช่ผม  เอาเป็นว่าขอโทษที่ทำให้คุณอารมณ์เสีย ตอนนี้ผมว่าผมส่งคุณให้ไปหาน้ำก่อนแล้วกัน  คุณภพไปยืนรออยู่นานแล้วด้วย  เรื่องอื่นๆนอกจากนี้ผมคงตอบไม่ได้  ผมเป็นแค่ทีมงานครับ”

“รายการคงโชคดีมาก ที่ได้คุณมาเป็นหนึ่งในทีมงาน ทำหน้าที่ได้ดีนะครับ ดีจนผมไม่รู้ว่ามันเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิครับ  ทุกปีผมก็ถูกสั่งให้มาถามมาพูดแบบเตือนแบบนี้อยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องทำหน้าที่ของคุณแล้วนะครับ  ทำให้ดีเหมือนผมแล้วกัน”

ผมเดินหน้าตึงสลับกับการสงบอารมณ์จากเรื่องเมื่อคืนและจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตามหลังทีมงานที่เดินคุยอยู่ข้างกันได้พักใหญ่ๆ  ความไม่เข้าใจเกิดขึ้นซ้ำซ้อนจนจะทำให้ปวดหัว  เหตุใดทีมงานคนเดิมถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปพิลึก  เมื่อวานตอนที่ผมถูกพาไปวัด ทีมงานคนนี้ได้อยู่คู่กับทีมงานที่คอยบอกผมเรื่องการถ่ายทำและแนะนำสถานที่ต่างๆอย่างเงียบๆ คอยขัดทีมงานคนนั้นขึ้นมาบ้าง คอยมองการกระทำของพวกผมบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามผมหรือไอ้ภพแต่อย่างใด  พอมาวันนี้ วันที่ผมต้องไปหาน้ำในวัดที่สามและสี่ ทีมงานคนนี้ก็ยังคงเงียบ  เงียบ…จนถึงเวลาที่เขาได้เข้ามาคุยกับผม นั่นจึงเหมือนเปิดโอกาสให้ผมได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกับเขามากยิ่งขึ้นและจบลงด้วยการโดนพูดจาหาเรื่องใส่จนน่าโมโห

“ทำไมมาช้า?” เสียงไอ้ภพที่เดินนำมากับทีมงานคนเดิมกับเมื่อวานร้องทักขึ้นอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า

“โดนหมาเห่าใส่” ผมพูดไปทั้งที่อารมณ์ยังขุ่นมัว จนไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่แสดงออกถึงความหงุดหงิดได้

“หมา?  หมาที่ไหนไอ้มิว  กูเดินมายังไม่เจอสักตัว”

“เหอะ! อยู่ไปเรื่อยๆเดี๋ยวมึงก็เจอเอง” ผมพูดไปอย่างไม่ทันคิดพร้อมกับปรายตาไปมองทีมงานอีกคนที่ก็ยืนทำหน้าตายอยู่ตรงนั้น

“นี่มีอะไรกันหรือเปล่าครับ?  คุณทำอะไรไอ้มิว?”ไอ้ภพถามขึ้นมาด้วยความสงสัยในประโยคแรก  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววไม่พอใจออกมาแต่ก็แค่แวบเดียว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  ผมแค่เห็นคุณมิวเงียบๆไป เลยชวนคุยครับ”

“ขอบคุณที่ชวนมันคุยนะครับ  แต่หน้าที่นี้ผมทำเองก็ได้ครับ ไม่ต้องให้ถึงมือคุณหรอก”

“ก็ทำสิครับ  รายการยังต้องการเสียงพูดคุยนะครับ ไม่ใช่การเงียบและยังหน้าตาหงิกงอนั่นอีก  คนดูคงจะปลื้มกันน่าดู”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  เรื่องใส่หน้ากาก พวกผมเลียนแบบรายการคุณจนชินแล้ว”

“ก็ดีครับ  จะได้เริ่มกันสักที” ทีมงานคนนั้นไหวไหล่ตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ

“พักยกกันไว้ก่อนดีไหมครับ  ขอผมชี้แจงสิ่งที่พวกคุณต้องทำก่อนนะครับ…ก่อนอื่นผมขอให้พวกคุณมองไปที่ด้านหลังผมตอนนี้นะครับ จะเห็นป้ายที่เขียนเอาไว้ว่าไม่มีกิจห้ามเข้า  โดยข้างหลังป้ายนี่จะเป็นที่เก็บเถ้ากระดูกของคนตายเอาไว้  ความเป็นมาของคำสั่งห้ามเข้าเกิดจากอะไรไม่ทราบได้  คนเดียวที่ได้รับอนุญาตมีเพียงสัปเหร่อของวัดนี้เท่านั้น  ดังนั้นวันนี้  สิ่งที่พวกคุณต้องทำคือการเดินเข้าไปหาน้ำตามที่ตกลงข้างในนี้นะครับ  ผมลองถามมาแล้ว  น้ำลักษณะแบบนั้นหาได้จากแค่ในนี้อย่างเดียว  แต่พวกคุณห้ามถ่ายวีดีโอจนกว่าจะพ้นเขตนี้ไปก่อนนะครับ ส่วนเรื่องผิดกฎทางเราได้รับอนุญาตจากสัปเหร่อแล้ว  ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราแค่ไม่อยากให้คนดูทำตามได้”

“ใครมันจะอยากทำตามวะ…ที่แบบนี้มันคงจะมีคนอยากมาเดินเล่นมั้ง” เสียงไอ้ภพพึมพำออกมาเบาๆ เรียกให้ผมหันไปมองหน้ามันที่ตอนนี้คิ้วทั้งสองข้างขมวดลงมาจนแทบจะเป็นปมเดียวกัน

“ถ้ายังไงผมขอให้คุณมิวอัดวีดีโอแบบเดียวกับเมื่อวานก่อนเข้าไปนะครับ สร้างบรรยากาศให้คนดูรู้สึกตามไปด้วย แต่อย่าลืมที่บอก ห้ามเห็นป้ายไม่มีกิจห้ามเข้านะครับ แล้วเดี๋ยวพวกผมจะไปรอดูผลงานพวกคุณที่รถ  ตอนนี้เชิญพวกคุณตามสบายเลยครับ”

เมื่อเสร็จสิ้นการชี้แจง  ทีมงานทั้งสองคนก็ได้ขอตัวแยกย้ายกลับไปรอที่รถ  ทิ้งให้ผมกับไอ้ภพอยู่กับบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนใจที่ทีมงานตั้งใจเนรมิตขึ้นไว้   คำสั่งที่บอกให้สร้างวีดีโอคลิปที่คนดูต้องรู้สึกตามไปด้วย  นับเป็นงานยากสำหรับพวกผมมาก  ลำพังแค่ต้องเดินลุยเข้าไปในสถานที่พักผ่อนของคนตายแบบผิดๆก็ถือว่าหลอนจนขนหัวแทบร่วงแล้ว  แต่นี่พวกเราทั้งคู่ยังต้องมาบังคับตนเองให้มีอารมณ์ร่วมกับเกมส์ก่อนหน้าจะเข้าไปอีก  ไม่รู้เหมือนกันว่าคนดูจะอยากรู้สึกร่วมกับเราจริงๆหรือนั่นเป็นแค่คำสั่งที่ต้องการบังคับให้พวกเราทำแค่นั้น

“เอายังไงดีไอ้ภพ? จะให้เริ่มพูดเลยไหม?”

“มึงโอเคหรือเปล่าหละ  หรืออยากให้กูเป็นคนพูด”

“พูดกันทั้งคู่นั่นแหละ  ทีมงานมันอยากได้ยินเสียงของกูกับมึงไม่ใช่หรือไง”

“อืม  งั้นก็เริ่มกันเลย” ผมพยักหน้ารับและเริ่มจัดการกับวัตถุทรงสวยบนมืออีกครั้งเพื่อทำการอัดวีดีโอตามคำสั่ง

“สวัสดีครับ วันนี้กลับมาพบกันพวกเราอีกแล้ว  หลายคนคงอยากเห็นกันใช่ไหมว่าพวกเราต้องมาทำอะไรที่ไหน  และสถานที่แห่งนี้มีความพิเศษอย่างไร  พวกเราจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆไปเลยนะครับ  เริ่มจาก…”

แกร๊ก

แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“ไม่มีกิจห้ามเข้า…”


ผมอ่านทวนป้ายที่ติดไว้ตรงหน้าประตูลูกกรงเหล็กอีกครั้ง  หลังจากที่ไอ้ภพตัดสินใจเปิดมันออกเพื่อให้เราได้เข้าไปสู่ดินแดนของชีวิตหลังความตาย เมื่อเข้ามาด้านใน สายตาของผมก็ได้พบกับเจดีย์เก็บกระดูกถูกตั้งเรียงกันไว้เป็นแถวแนวเนื่อง  วางเป็นระเบียบใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้แค่พอร่มเงาจนดูคล้ายหมู่บ้านจัดสรรชั้นดีในตัวเมือง สลับปนเปไปกับโกศเก็บกระดูกอันเล็กๆทั้งสีทองและเงินเรียงไปจนสุดลูกหูลูกตา

ปั้ง!!!

แกร๊ก

“เฮ้ย!! ชู่ว์  ไอ้ภพ!! ปิดประตูเบาๆหน่อย  เดี๋ยวก็โดนคนจับได้หมดหรอก” ผมร้องตกใจไปกับเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นขัดกับบรรยากาศเงียบๆและดูวังเวง ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นชิดปากเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ไอ้ภพระแวดระวังการกระทำที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนในนี้

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราได้รับอนุญาตแล้ว  อีกอย่างถ้ามันมีคนผ่านมายังไงก็ต้องเห็นเรา ที่โปร่งขนาดนี้”

“รู้แล้ว แต่ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อไป ไม่ดีกว่าหรือไง  รีบหารีบกลับ จะได้ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามใครด้วย”

“อืม  แล้วแต่มึงว่าละกัน แต่ขอบอกอะไรหน่อย  เมื่อกี้กูไม่ได้เป็นคนปิดประตู...มันปิดเอง” ไอ้ภพทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคำพูดที่สั่นประสาทคนฟังอย่างผม  แรงปิดประตูขนาดใหญ่ที่เกิดอาจเป็นไปได้ตามลมธรรมชาติ แต่เสียงแกร๊กของตัวล็อกประตูที่ดังตามมา มันเป็นไปแทบไม่ได้เลยหากนั่นไม่ได้เกิดจากฝีมือของคน

พวกเราเดินเท้ากันเข้าสู่ด้านหลังพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างแรก  ผ่านใบหน้าขาวดำนับร้อยรูปที่ต่างก็ทำหน้าตรงมองเรียงขนาบข้างทางเดินจนชวนให้ขนลุก คล้ายกับมีสายตาของวิญญาณนับร้อยนับพันคู่กำลังร่วมสังเกตพฤติกรรมของพวกเรา ร่มเงาของไม้ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนจะผิดวันไปหน่อย เมื่อท้องฟ้าวันนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำทะมึน  ไม่มีแสงแดดเล็ดลอดออกมาสักน้อย จึงดูเหมือนกับว่าพวกเรากำลังค้นหาทุกอย่างในเวลาเย็นย่ำอย่างไรอย่างนั้น

ความเงียบที่เกิดจนได้ยินเสียงลมหายใจเริ่มจางหายออกไป  เมื่อการเดินจนใกล้สุดทางเริ่มทำให้หูของพวกเรารับรู้ถึงมวลของสายน้ำ  คลองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไหลผ่านด้านหลังของวัดนี้ชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้บ้าง  หากแต่ว่าแค่ลองมองหันกลับมาความรู้สึกเมื่อครู่ก็หมดสิ้นไปทันที  ด้านในสุดเราต้องพบกับเจดีย์กระดูกที่เก่ากว่าอันแรกๆ  บางอันเริ่มผุพังและแตกหักไปตามกาลเวลาจนใบหน้าที่ถูกติดไว้เลือนหายไปด้วย

“เอาหละ  เริ่มจากตรงนี้เลยแล้วกัน  มันน่าจะแทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างโกศพวกนี้” ไอ้ภพพูดขึ้นกลบทำลายความวังเวงของสถานที่

“เดินดูไปตามแนวขวางเลยน่าจะเร็วกว่า  ช่วงกลางๆของพื้นที่นี้ไม่ต้องมองหาแล้วนะ  กูมองผ่านเจดีย์พวกนี้หมดแล้ว  ไม่เจอเลยสักบ่อ”

“เดินตามที่มึงบอกไปก่อนดีกว่า  เผื่อมันตั้งชนกับเจดีย์มึงก็มองไม่เห็น”

ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเริ่มเดินตามที่ตกลงกันไว้  ใช้สายตาสอดส่องไปตามช่องว่างระหว่างทางเดิน  ลัดเลาะไปตามแนวแถวของเจดีย์  จากแถวที่หนึ่ง เริ่มเพิ่มไปเป็นแถวที่สองเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ถูกวางไว้ให้เดิน แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอบ่อน้ำอย่างที่พวกเราเคยเห็น  ซ้ำร้าย ฟ้าฝนวันนี้ก็ดูจะไม่เป็นใจเท่าไร  เสียงดังของฟ้าร้อง ดังอึกทึกจนได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยของรถที่จอดเอาไว้ไกลๆ  ขัดกับสภาพอากาศที่ควรจะเป็นในเดือนธันวาคม

“ภพ…มันจะมีจริงๆเหรอไอ้บ่อน้ำนั่นอ่ะ  เราเดินกันจะทุกซอยแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่เห็นอะไรเลย”

“มีสิ  ไม่งั้นรายการจะเอาเรามาปล่อยทิ้งที่นี่หรอ”

“รายการก็คือรายการนะภพ  มันจะช่วยเราตามปากว่าจริงๆหรอ  มันอาจแกล้งเราก็ได้”

“เอาหน่า  เดินหาต่ออีกหน่อยแล้วกัน ถ้าฝนตก เราก็จะได้น้ำกลับไปเลย ไม่ต้องไปหาในบ่อ”

“อืม เอางั้นก็ได้ หรือว่าเราจะรอให้ฝ…”

เคร้งงง!!

“อะ…ไอ้ภพ”ผมมองภาพตรงหน้าพร้อมกับแววตาที่เบิกโตขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าอยู่ในอก  ก่อนจะใช้มันเงยขึ้นไปมองไอ้ภพที่ก็ดูตกใจไม่ต่างกัน  โกศใส่กระดูกสีทองอันหนึ่งถูกเท้าของไอ้ภพเตะจนโกศล้มกลิ้งไม่เป็นแนว  กองกระดูกที่อยู่ภายในเล็กน้อยซึ่งคาดว่าญาติของผู้ตายคงจงใจเก็บเอาไว้ไม่นำไปลอยอังคาร  กระเด็นเกลื่อนทั่วพื้น ปรากฎภาพที่ไม่น่ามองเท่าไรนัก

ผมที่ตั้งสติได้ก่อน รีบวิ่งไปหยิบโกศที่กลิ้งไปหยุดตรงหน้าเจดีย์ใส่กระดูกของใครสักคน แล้วนำมาตั้งไว้ตรงที่ที่คาดว่ามันเคยถูกวางเอาไว้  ก่อนจะค่อยๆโกยกระดูกที่หล่นกระจัดกระจายนำมาวางไว้บนผ้าดิบสีขาวตามเดิม  ไอ้ภพที่เมื่อตั้งสติได้ก็ค่อยๆมองหาเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่อาจจะกระเด็นออกไปนำมาวางไว้ที่เดียวกับกองกระดูกกองใหญ่  ก่อนที่ผมจะจัดการห่อผ้าขาวและนำไปใส่ไว้ยังโกศแล้วนำเอาฝามาปิดไว้ให้ตามเดิม

เงาที่สะท้อนบนโกศทองเหลือง ปรากฏภาพใบหน้าของผมที่นั่งประชิดโกศเนื่องจากเพิ่งจะจัดการปิดฝาไปเมื่อครู่ และภาพของไอ้ภพที่ยืนพนมมือไหว้โกศนี้อยู่ด้านหลังผม  นำให้ผมต้องยกมือขึ้นตามมันอย่างช่วยไม่ได้ แม้ครั้งนี้ผมจะไม่ใช่คนที่ผิด  แต่หลังจากฟังเรื่องผีในหลายๆเรื่องที่ผ่านมารวมทั้งการได้เห็นและสัมผัสด้วยตนเอง  วิญญาณมักไม่สนด้วยซ้ำว่าใครกันที่เริ่มทำก่อน

วิญญาณมักไม่สนด้วยซ้ำ ว่าการขอขมาในเรื่องที่ทำผิดไปคือสิ่งที่เหล่ามนุษย์ยึดถือให้เป็นต้นแบบของการสำนึกผิด

ไม่เช่นนั้น…โกศสีเหลืองทองใบเขื่องคงไม่เหลือทิ้งเงาของทั้งสอง กำลังค่อยๆหันคอมองเจ้าของร่างที่กำลังเดินจากไป

“เราเดินวนกันมากี่รอบแล้วไอ้มิว?” เสียงเหนื่อยอ่อนเล็กๆของไอ้ภพ ถามขึ้นหลังจากพวกผมเดินวนหาบ่อน้ำอยู่นาน แต่ก็ยังคงได้ผลลัพธ์แบบเดิมคือไม่พบสิ่งใดเลย

“ก็ถ้านับการผ่านโกศที่มึงเตะเอาไว้  รอบนี้ก็รอบที่4แล้ว”ผมตอบมันไปด้วยน้ำเสียงที่ล้าไม่แพ้กัน

“เราเดินเข้าๆออกๆกันตั้งหลายซอย  แล้วทำไมโกศนี่มึงถึงยังเห็นได้ทุกรอบ?  มึงมองถูกโกศแน่ใช่ไหม?”

“เสียงมึงเหนื่อยขนาดนี้ยังจะพูดว่ากูบอกผิดอีกหรอ  โกศนี่กูเป็นคนปิดนะภพ มันวางอยู่ตรงไหนทำไมกูจะไม่รู้  กูยังนึกเลยว่ามึงนำกูเดินโดยยึดโกศนี่เป็นหลัก”

“กูว่า…แปลกๆแล้วหวะไอ้มิว  ถึงกูจะเป็นคนเตะ แต่กูจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอันไหนคือโกศนั้น” สิ้นน้ำเสียงติดเครียดของไอ้ภพ  ความรู้สึกวังเวงแปลกๆก็ลอยมาสะกิดใจผมทันที  สายตาที่เคยมองหน้าไอ้ภพ บัดนี้ได้ถูกเลื่อนลงมามองยังโกศใบเดิมที่พวกเราเคยก่อเรื่องกันไว้

เคร้งง!!

“เฮ้ย!!!  แมวดำ…” ผมร้องออกมาเสียงหลงก่อนจะค่อยๆพูดทวนสิ่งที่เห็น  หลังจากการยืนหาวิธีแก้ปัญหา แมวดำตัวหนึ่งก็วิ่งมาตัดหน้าพวกผมจนโกศล้มลงอีกครั้ง  สร้างความโกลาหลจนเหงื่อกาฬในกายแตกซ่าน สัญชาตญาณบางอย่างในตัวกำลังฉายภาพเรื่องราวในเกมส์ที่ผ่านมา  ทุกๆสิ่งที่เกิดกำลังค่อยๆสอนผมถึงอันตรายที่ใกล้จะถึงตัว 

…เวลานี้วิญญาณผู้เป็นเจ้าของโกศอาจกำลังไม่พอใจที่เราได้เข้ามาลุกล้ำพื้นที่หลับตาของเขา…

“เดี๋ยวๆ มิว…มีอะไร มึงจะรีบไปไหน?”ไอ้ภพร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อผมเดินไปกระชากแขนของมันแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น

“ภพ ฟังกูนะ  แมวดำกับวิญญาณมันคือความเชื่อที่ผูกกันมานานแล้ว  การที่จู่ๆมีแมวดำมาวิ่งตัดจนโกศล้มมันไม่ใช่เรื่องตลก วิญญาณเจ้าของกระดูกนั่น…กำลังไม่พอใจเรา” ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน  รีบซอยเท้าอย่างไวพร้อมใช้สายตากวาดไปให้ทั่วบริเวณเท่าที่จะเป็นได้  อย่างน้อยถ้าได้เห็นคงได้รู้แล้วว่าผมควรเร่งตนเองอีกขนาดไหน

“มึงเห็นเหรอมิว?”ไอ้ภพเอ่ยขึ้นถามอย่างเป็นห่วงและเข้าใจกับการที่ตนเองต้องเร่งฝีเท้าให้ทันผม

“ตอนนี้ยังไม่เห็นไอ้ภพ…ขอเถอะ อย่าเพิ่งให้กูเห็นเลย ขอเวลาให้กูได้พ้นตรงนี้ไปอีกสัก…”

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

เสียงไม้เท้าของคนแก่ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณจนสามารถที่จะหยุดร่างกายของผมไปได้ชั่วครู่  เลือดร้อนในกายเริ่มสูบฉีดไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว  ปากที่กำลังสาธยายความรู้สึกจำเป็นต้องหยุดลงกะทันหันเพราะไม่สามารถต้านทานอาการสั่นจากความหวาดกลัวและวิตกไปกับเสียงที่ได้ยิน ก่อนที่จะค่อยๆดันไอ้ภพให้เดินต่อ หลังจากที่มันหยุดการเคลื่อนที่ตามผม

“ภพ…กูนับถึงสามแล้ววิ่งให้สุดแรงเลยนะ”ผมบรรจงพูดกับไอ้ภพให้ได้ยินทีละคำ  แม้เสียงที่ปล่อยออกไปจะติดอาการสั่นและเบาลงไปบ้าง แต่ด้วยความเงียบที่มีเพียงไอ้ภพเท่านั้นที่ยังรับรู้  มันจึงส่งผลให้ไอ้ภพพยักหน้ายอมรับพร้อมกับส่งแววตาตึงเครียดกลับมาด้วยความเป็นห่วง

“หนึ่ง..สอง…สาม….วิ่ง!!”

.
.
.

(ต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
จากการเดินเร็วถูกเปลี่ยนเป็นการวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต  ระยะทางที่เคยเดินเข้ามาทำให้ช่วงสายตามองเห็นประตูลูกกรงเหล็กเข้ามาใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆ  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย  เพราะเสียงของไม้เท้ายังคงดังกระทบกับอะไรสักอย่างไล่หลังตามมาจนบางครั้งรู้สึกได้ว่า เสียงนั่นมันตามอยู่ข้างหลังผมนี่เอง

สายตาที่จับจ้องไปที่ประตูระหว่างวิ่ง  บัดนี้ได้จับสัมผัสการเคลื่อนที่บางอย่างทางบริเวณหางตาเอาไว้ได้  การเคลื่อนที่ที่ไม่ควรจะมีตามหลักของความเป็นจริง เพราะภายในนี้มีเพียงแค่ผมกับไอ้ภพเท่านั้นที่หาญกล้าเข้ามา  อีกทั้งการเคลื่อนไหวที่ดูเชื่องช้าข้างกายก็ไม่น่าจะมีความเร็วทัดเทียมกับกำลังของชายหนุ่มสองคนที่ออกแรงวิ่งจนหัวใจเต้นรัวเร็วเสียจนกลัวว่ามันจะหลุดออกจากอก

เมื่อไม่สามารถทัดทานความสงสัยได้อีกต่อไป  ผมจึงต้องหันหน้าออกไปทางด้านข้าง ก่อนที่แววตาทั้งสองข้างจะเบิกโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีน้ำตาคลอหน่วยเล็กน้อย  มือที่คอยจับแขนไอ้ภพ  ถูกเปลี่ยนเป็นบีบมือมันอย่างแรง ก่อนที่จะตั้งสติวิ่งไปข้างหน้าให้ไวที่สุด

ผมรู้แล้วว่าเสียงที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร?

มันเป็นเสียง…ของหญิงชราตนหนึ่ง  ที่กำลังค่อยๆเดินขนาบข้างพวกเรามาตามช่องทางเดินระหว่างโกศ

มันเป็นเสียง…ของไม้เท้าที่หญิงชราตนนั้น จงใจหยิบฟาดกับเจดีย์ใส่กระดูกทุกอัน ที่ร่างกายของตนนั้นเคลื่อนผ่าน

และที่สำคัญ  จากโฟกัสที่ต้องเพ่งมองระยะไกลตา บัดนี้ ร่างนั้นกำลังเคลื่อนตัดผ่านเข้ามา จนผมสีขาวหม่นเด่นชัดภายใต้ม่านดวงตาของผม

“ภ..ภพ” ผมเผลอหลุดชื่อไอ้ภพออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ  เมื่อสุดท้ายวิญญาณของหญิงชราก็ได้เคลื่อนผ่านมายังช่องทางเดินข้างผม ห่างกันแค่เพียงแถวของเจดีย์เก็บกระดูกกั้น

“ไม่ต้องพูดอะไร  หันหน้ากลับมา จะถึงประตูอยู่แล้ว”  ไอ้ภพเอ่ยเสียงเข้มคล้ายจะปลอบ แต่เมื่อฟังดูดีๆแล้ว มันติดไปทางคำสั่งมากกว่า  ผมจึงต้องรีบหันหน้ามามองยังแสงสว่างสุดท้ายที่จะช่วยให้ผมไม่ต้องกลับเข้ามาอีก

แต่ทว่า…เสียงของไม้เท้าที่เคยดังแรงมาอย่างต่อเนื่อง  จู่ๆก็เกิดเงียบหายไปจนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ  ทั้งที่สัมผัสของการเคลื่อนไหวยังคงเกิดขึ้นข้างกาย  และเมื่อมองไปที่ไอ้ภพ  ผมก็เห็นว่า มันไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้น  หรือไม่ มันก็อาจจะไม่ได้รับรู้อะไรที่เกิดขึ้นเลยมาตั้งแต่แรก

การเคลื่อนไหวของร่างกายหญิงชราคนนั้นเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งจนดวงตาของผมจับสังเกตได้   ภายในใจร่ำร้องบอกให้ผมจดจ้องอยู่เพียงแค่ประตูที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงทางออก  แต่สัญชาตญาณดิบในกายกลับไม่ตอบสนองผมเช่นนั้น  มันยังคงสั่งให้ผมหันหน้าไปเผชิญกับสิ่งที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมต้องกลัว  มันยังคงสั่งให้ผมหันไปยอมรับความจริงเพื่อที่จะให้เคยชินกับสิ่งเหล่านี้   คำพูดที่เคยย้ำเตือนเมื่อคืน ถูกนำมาเตือนตัวเองซ้ำๆในหัว  ไม่เห็น  ไม่ได้ยิน  ไม่ได้สัมผัสอะไรได้ทั้งสิ้น  หลอกหลอนผมไปมาจนกลัวจะเป็นบ้า  และสุดท้ายเมื่อร่างกายไม่ไปตามสมอง  สัญชาตญาณจึงถูกปลุกขึ้นมาจนเอาชนะเหตุและผลได้อีกครั้ง

“เหี้ย!!!”

ความตกใจ…ก่อให้เกิดคำอุทานหยาบคายชดเชยความหลอนที่เกิดขึ้น  เมื่อสุดท้ายผมตัดสินใจที่จะหันมายอมรับความจริง  ภาพที่ผมเห็นก็กำลังทำหน้าที่ฟ้องร้องความไม่พอใจของวิญญาณหญิงชราคนนั้น  บัดนี้มันกำลังยกไม้เท้าขึ้นมาชี้หน้าผมอยู่กลายๆ ก่อนจะหันคอมามองด้วยกรอบตากลวงโบ๋ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอาฆาตอย่างแรงกล้า และเพียงชั่วพริบตา  กรอบหน้าของหญิงชราทั้งหมดก็ถูกย้ายมาประชิดกับใบหน้าของผม  เหลือเพียงช่องว่างระหว่างจมูกที่ยังคงถูกปล่อยไว้ให้เป็นอิสระ

“ไอ้มิว!!…ประตูเปิดไม่ออก” ไอ้ภพส่งเสียงร้องโวยวายขึ้นมา  เมื่อสุดท้ายประตูที่เป็นความหวังก็ล่มไปอย่างไม่ทันคิด  เสียงฮึดฮัดระหว่างการออกแรงของไอ้ภพ ดังขึ้นจนผมไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่ามันกำลังพยายามดึงมากแค่ไหน

“ถอยไอ้ภพ!! กูดึงเอง”  เมื่อการยืนสบตาจนหยาดน้ำที่คลอหน่วยเมื่อครู่ไหลออกมากลายเป็นไร้ประโยชน์  ผมจึงต้องหันหลังกลับมาออกแรงดึงประตู  พลางปาดน้ำตาที่ไหลโดยปราศจากเสียงสะอื้นไปด้วย  หยาดน้ำใสๆที่ไหล มาจากความกลัวและกดดันกับรูปการตรงหน้า  สร้างความอึดอัดในใจจนมือผมสั่นเกินจะควบคุม

“สวัสดีครับ วันนี้กลับมาพบกันพวกเราอีกแล้ว  หลายคนคงอยากเห็นกันใช่ไหมว่าพวกเราต้องมาทำอะไรที่ไหน  และสถานที่แห่งนี้มีความพิเศษอย่างไร  พวกเราจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆไปเลยนะครับ  เริ่มจาก วันนี้พวกเราต้องมาทำภารกิจอีกครั้งภายในวัดแห่งนี้  เห็นกันไหมครับ? สวยมากเลยใช่ไหม  แต่ถ้าใครคิดจะมาตามรอยพวกผม ก็ช่วยทำตามกฎนะครับ  วัดแห่งนี้จะมีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าลึกลับชนิดที่หาคำตอบไม่ได้เลยว่า  บริเวณที่เก็บอัฐิคนตาย เหตุใดถึงมีป้ายว่าไม่มีกิจห้ามเข้า  คนเดียวที่ได้รับอนุญาตเข้าไปมีเพียงสัปเหร่อเท่านั้น   ดังนั้นวันนี้เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีพวกเราจะไปที่เก็บอัฐิอีกที่ที่ไม่มีป้ายแทนนะครับ  อย่างน้อยก็เพื่อให้ทุกคนมาชมให้ทั่วได้ และจะได้ไม่รบกวนคนตาย…”

และจะได้ไม่รบกวนคนตาย…


ช่วงจังหวะที่ผมพยายามเปิดประตูอยู่นั้น  กล้องบันทึกวีดีโอก็เกิดเปิดขึ้นมาจนพวกผมทั้งคู่ต้องหยุดการกระทำของตนเองและหันกลับไปมองกล้องบันทึกวีดีโอเป็นตาเดียวกัน  สร้างความอึดอัดให้กับสถานการณ์รอบตัวเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า จนเมื่อวีดีโอถูกเล่นมาถึง คำพูดที่ว่า จะได้ไม่รบกวนคนตาย อยู่ดีๆวีดีโอก็ไม่ไปต่อและเล่นซ้ำคำนั้นอย่างต่อเนื่องแม้พวกผมจะพยายามปิดกันแล้ว

“มิว หยุด!…เดี๋ยวกูทำต่อเอง มายืนหลบข้างหลังกูก็พอ” ไอ้ภพสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลและตื่นกลัวไม่แพ้กัน  ผมจึงต้องปล่อยมือ แล้วเคลื่อนย้ายสายตามาไว้ที่แผ่นหลังของไอ้ภพแทน

มึงเตะกูทำไม?

เสียงแหบแห้งแต่ดุดันของหญิงชรา  ดังกังวานถามถึงพฤติกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจของพวกผม เสียงนั่นดูเจ็บแค้นไปกับการกระทำที่อาจถูกมองว่าเหยียดหยามศักดิ์ศรีของผู้ที่เคยเป็นมนุษย์ วิญญาณตนนั้นจึงไม่ได้สนใจแม้พวกเราจะได้ทำการขอโทษขอโพยกันไปแล้ว  คำถามที่ได้ยินจึงดังขึ้นอย่างช้าๆแต่ชัดแจ้งในความรู้สึก กอปรกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆย่ำเดินเข้ามาพร้อมไม้เท้า นำให้มือที่ว่างเปล่าของผม ค่อยๆกำชายเสื้อไอ้ภพ จนผ้าหยาบหนาทั้งหมดไหลเข้ามากองบนมือ  ดวงตาถูกสั่งบังคับให้ปิดจนตาหยี อิงแอบซบแผ่นหลังกว้าง  มีเพียงหูของผมเท่านั้นที่ถูกปล่อยให้ได้ยินและรับรู้ถึงการเป็นไป

“ยาย!!  กลับไปในที่ของยายซะ”

“ยาย!!!  ผมบอกให้กลับไป  จะลองดีอย่างนั้นหรอ”

เสียงตะโกนก้องแต่ทุ้มลึกของชายหนุ่มวัยกลางคนดังขึ้นแทรกสถานการณ์บีบคั้นจิตใจคนทั้งสองตรงหน้า  เสียงนั่นไม่ใช่ของผม  เสียงนั่นไม่ใช่ของไอ้ภพ  หากแต่เป็นเสียงของบุรุษร่างใหญ่ ผู้มีใบหน้าขึงขังและไม่กลัวต่อสิ่งที่คาดว่าจะเห็นเช่นเดียวกับผม  ชายคนนั้นตะโกนสั่งขึ้นมาลอยๆแต่ว่ารู้กันว่าเขากำลังพูดอยู่กับใคร  ในที่นี้คงจะมีเพียงไอ้ภพเพียงคนเดียวที่ใช้สิ่งรอบตัวบอกให้รู้ถึงสิ่งที่เข้ามาคุกคาม แต่ไม่ได้เห็นหรือสัมผัสแบบที่ผมเป็น

แกร๊ก

เสียงเปิดลูกกรงเหล็กแหลมถูกดันเข้ามาด้านในอีกครั้ง  สะกดให้แววตาทั้งสองคู่มองไปยังบุคคลที่พึ่งจะมาเยือนใหม่  บุคคลที่ดูคุ้นชินกับที่แห่งนี้และสัมผัสกับโลกหลังความตายได้เช่นเดียวกับผม

“พวกมึง!! เข้ามาทำไม  ไม่เห็นหรือ ว่าป้ายมันห้ามเข้า ไอ้เด็กเวรพวกนี้ เล่นไม่เข้าเรื่อง” ชายคนนั้นเริ่มตะคอกผมและไอ้ภพอย่างไม่เก็บอารมณ์ทันที  หลังจากที่เข้ามายืนประจันหน้าพวกเราได้

“ผมถูกสั่งให้เข้ามาในนี้ครับ  รายการบอกกับผมว่าได้รับอนุญาตแล้ว” ไอ้ภพตอบออกไปด้วยเนื้อเสียงที่พยายามชี้แจงความจริงให้อารมณ์ของบุคคลที่สามดับลงไป

“รายการ? ไอ้รายการที่มาขอเข้าไปหาน้ำแปลกๆจากในวัดนั่นหนะหรอ หึ มันปล่อยพวกมึงเข้ามากันสองคนเนี่ยนะ  แล้วมันให้สิ่งของที่พวกมึงต้องพกกันมาหรือเปล่า?”

“สิ่งของ…อะไรหรอครับ?”ผมพูดถามขึ้นมาบ้าง หลังจากที่กลั้นเสียงสะอื้นและปาดคราบน้ำตาออกไปได้  เรียกให้ลุงคนนั้นหันมามองและเพ่งไปที่ใบหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวและเดินนำเข้าไปในดินแดนความตายนี่อีกครั้ง

“ถ้ายังอยากได้น้ำ  ก็ตามมา”ลุงคนนั้น  หยุดเดินเพียงครู่หนึ่งเพื่อหันมาบอกพวกเราทั้งคู่ที่ยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

“พวกมึง…ริจะเข้ามาในสถานที่แบบนี้ ไม่ได้รู้กันเลยใช่ไหมว่า เดินตัวเปล่าหนะ อย่าได้หวังจะเอาอะไรกลับไปเลย  เผลอๆพวกมึงนี่แหละที่จะไม่ได้ออกไปด้วย  ป้ายห้ามเข้านั่น มันคงไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อติดไว้เล่นๆแน่   อีกอย่างนะถ้ากูเป็นพวกมึงกูจะรีบถอนตัวออกไปเสีย  รายการเหี้ยๆแบบนี้พวกมึงอย่าได้เข้ามาทิ้งชีวิต  กูอุสส่าห์ย้ำนักย้ำหนาว่าให้พวกมึงพกพระเครื่องกันเข้าไปด้วย   แต่มันก็ไม่ได้ให้พวกมึง  นี่รอดตายกลับมาที่ประตูกันได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว  พวกที่เคยเข้ามาลองของไม่เคยมีใครตายดีสักราย  โดนเหล็กรั้วเสียบตายคาที่บ้าง  โดดคลองด้านหลังตายเป็นศพลอยอืดก็มีมามากแล้ว โชคดีขนาดไหนที่พวกมึงหนีไปได้ถึงตรงนั้น”

ลุงคนนั้นร้องเตือนขึ้นมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก  ก่อนจะเดินเร่งฝีเท้าพาไปยังพื้นที่ด้านหลังสุดชวนให้เกิดอาการหลอนอีกครั้ง  ช่วงระหว่างเดินผมยังรู้สึกถึงการติดตามที่ยังคงเดินขนานกับเรามาเรื่อยๆ รอเวลาที่จะได้หลอกหลอนผมเฉกเช่นกับผู้ท้าทายคนก่อนๆเคยโดน แต่ด้วยความรู้สึกอุ่นใจจากการอยู่ใกล้ๆบุคคลที่พวกเราอุปมากันไปว่าคงเป็นสัปเหร่อประจำวัดนี้  สิ่งเหล่านั้นจึงไม่สามารถเรียกผมให้หันกลับไปมองและสนใจภาพตรงนั้นอีก

“ได้มาหากันตรงนี้หรือยัง?” ลุงสัปเหร่อหยั่งเชิงถามพวกเราที่ทำหน้างุนงง เมื่อเดินมาจนถึงหลังวัดก็ยังคงไม่พบบ่อน้ำนั่น

“พวกผมหากันทั่วแล้วครับ  ไม่เจออะไรเลย”

“อย่างที่กูบอก  เดินมาตัวเปล่าพวกมึงไม่มีทางหาเจอ ผีบังตา คงรู้จักคำนี้กันใช่ไหม?  กูให้โอกาส มึงลองมองกันอีกที”

เมื่อได้โอกาสมองหา  พวกผมจึงใช้สายตากวาดไปให้ทั่วบริเวณโดยรอบ  หลีกเลี่ยงการพบเจอและสบตากับวิญญาณหญิงชราตนนั้นที่ยังคงจ้องมองมาที่พวกเราจากที่ไกลๆ จนสุดท้าย เมื่อมองหาจนครบและไม่พบอะไร ผมกับไอ้ภพจึงได้เลื่อนสายตากลับมามองที่ลุงสัปเหร่ออีกครั้ง  ก่อนจะพบว่า พื้นที่ด้านหลังลุง มีบ่อลักษณะคุ้นตาถูกตั้งเอาไว้ โดยมีกิ่งไม้ปกคลุมจนคล้ายจะมองไม่เห็น  ผมกับไอ้ภพถึงกับต้องหันหน้ามามองกันด้วยแววตาเลิกลัก  ในที่แบบนั้น หากมองผ่านๆคงไม่เห็นเป็นแน่  แต่ถ้าต้องเดินวนอยู่ถึงสี่หรือห้ารอบ  มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เรา จะไม่พบกับสิ่งที่เราต้องการ

“เดี๋ยวกูไปตักขึ้นมาให้  เกิดพวกมึงตกลงไปข้างล่าง เก่งขนาดไหนก็เอามึงขึ้นมาไม่ได้หรอก”

หลังจากลุงสัปเหร่อถากถางพวกเราเสร็จ  แกก็เดินไปชักรอกดึงเอาน้ำขึ้นมาใส่ถุงที่พวกเราเตรียมกันไว้ให้  ก่อนจะเร่งเร้าให้พวกเราเดินตามแกอย่างไว เพื่ออกไปจากสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้

“ไม่ต้องเสือก กลับกันมาอีกแล้วนะ  คราวหน้าพวกมึงไม่โชคดีอย่างนี้แน่”

“ขอบคุณครับลุง  ไม่มีครั้งที่สองหรอกครับ  อีกไม่นาน…พวกผมก็จะจบเกมส์กันแล้ว คงไม่กลับมาทำอะไรแบบนี้แล้วครับ”

“กูจะเตือนอีกครั้ง  รีบถอนตัวออกจากสิ่งที่พวกมึงทำซะ  ไม่ต้องรอให้จบ  ถ้าพวกมึงไม่ฟังก็รอเจออะไรที่มันหนักกว่านี้ได้เลย”

“คงไม่มีอะไรหนักไปกว่านี้แล้วครับ  ที่ผ่านมาพวกผมก็เจอกันมาหนักมากพอแล้ว  อีกอย่างนะครับลุง  ที่วันนี้พวกผมเจอดี คงเป็นเพราะพวกเราเดินไปเตะโกศคนตายเข้าให้ครับ  เขาคงไม่พอใจ”

“55555  มึงใช้คำว่าพวกอย่างนั้นหรอ  สาบานกับกูสิว่าไอ้หนุ่มข้างมึงมันเห็นไปกับมึงด้วย  อีกอย่างนะ ถ้าระหว่างทางเดินไปกับกู พวกมึงไม่ได้สังเกต  กูจะให้โอกาส  ลองมองกลับไปอีกครั้ง…”

ลองมองกลับไป เพื่อจะได้เห็นว่า แท้จริงแล้วโกศสีทองสีเงินใบเขื่องเหล่านั้น…มันไม่เคยมีอยู่จริง


เสียงฝนและลมกรรโชกแรงพัดสาดเข้าสู่กระจกรถเป็นระยะ…


ระยะเวลาที่ใช้ในวัดที่สองไม่มากนัก  เนื่องจากตอนช่วงที่พวกเรากำลังตามหาน้ำในวัดที่สอง  ฝนห่าใหญ่ที่พวกเราคาดว่าน่าจะตกกันตั้งแต่วัดแรกก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  จนทั้งผมและทีมงานต้องรีบวิ่งกันเข้าไปหลบอยู่ในอุโบสถกลางวัด 

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความต้องการของรายการหรือว่าเป็นเรื่องปกติ  เพราะวัดที่สี่ที่พวกเรามาถึง มีผู้คนจำนวนมากได้เข้ามาทำบุญในวัด ราวกับว่าคำสั่งของเกมส์นี้คือให้ผมไปวัดที่เงียบที่สุดในตอนเช้าและไปวัดที่มีผู้คนมากที่สุดเมื่อตกบ่าย  ยิ่งไปกว่านั้นจะเรียกว่าเป็นความโชคดีของพวกผมก็ได้  เมื่อผมไม่ต้องดั้นด้นหาน้ำให้มากความ เนื่องจากว่าผมสามารถนำถุงที่เตรียมมารองน้ำฝนกลับไป  ช่วงเวลาที่ต้องรอฝนหยุดพร้อมกับคนหมู่มาก  จึงเปรียบเป็นดั่งเวลาทองที่พวกผมจะได้แสร้งเข้ามากราบไหว้พระภายในอุโบสถหลังงาม  และรีบหาสายสิญจน์หรือวัตถุมงคลเล็กๆเพื่อแอบพกกลับกันไปด้วย  แต่วันนี้คงดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างพวกผมเท่าไร เพราะภายในนี้ผมยังหาของพวกนั้นไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

เมื่อฝนเริ่มซา ทีมงานก็ได้สั่งให้พวกเรารีบกลับไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน  เพราะดูท่าแล้วว่าฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ  และก็เป็นดังที่ทีมงานบอก เมื่อผมนั่งรถมาได้สักพัก ฝนและลมพายุก็กระหน่ำเทลงมากันอีกครั้ง จนทำให้อากาศภายในรถลดลงไปหลายองศา จนพวกเราต้องนั่งกอดอกพิงกัน แลกเปลี่ยนความร้อนในกายให้กลบความหนาวเย็นตรงนี้ไป

พอผมได้มีเวลานั่งคิด  มีเวลาอยู่กับตนเอง กระแสความคิดที่ยังตกค้างอยู่ในหัวก็ไหลกลับเข้ามาจนชวนให้มึนงงเพราะยังไม่สามารถเรียบเรียงทั้งหมดให้เข้าที่ได้  แต่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นประเด็นเด่นชัดและติดค้างมากที่สุดคงเป็นเรื่องที่ลุงสัปเหร่อพูดเตือนมาเมื่อเช้า  โดยก่อนกลับลุงแกได้เข้ามาพูดคุยกับผม และพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชาไปตั้งแต่หัวจนถึงปลายเท้า  คำพูดนั้นเป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เพราะผมได้ยินมันเป็นครั้งที่สองแล้วตั้งแต่ได้ทำโปรเจคนี้

“มึงหนะ”

“ใครครับ?...ผมหรอ”

“ก็เออสิวะ…กูขอถามอะไรมึงหน่อย  สงสัยไหมที่กูต้องจ้องมึงนานขนาดนั้นก่อนที่กูจะพามึงไปหาน้ำ”

“สงสัยมันก็สงสัยครับ  แต่ผมคิดว่าลุงมองเพราะสมเพชผมมากกว่า  คงตลกสินะครับที่ผมมายืนร้องไห้ทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกับไอ้ภพ”

“ไอ้สมเพชมันก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่จริงๆแล้วกูสงสาร”

“สงสาร?  สงสารผมทำไมครับ”

“ผีหรือวิญญาณที่มึงมองเห็น มันมีทั้งดีแล้วก็ไม่ดี  บางตนมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่อีกหลายๆตนมาเพราะเสียงเรียกหรือไม่ก็เพื่อหาตัวตายตัวแทน  มึงจะร้องไห้มันก็ไม่แปลกหรอก  สิ่งที่มึงทำมันคงไปเรียกวิญญาณอีกหลายๆตนให้เข้ามาหามึง ทั้งๆที่มึงไม่จำเป็นต้องเรียกมึงก็เห็นได้ แต่ถ้ามึงเรียกมา นั่นหมายถึง มึงพร้อมที่จะมารับความเคียดแค้น มึงพร้อมที่จะมารับเรื่องน่ากลัวพวกนี้  มึงกำลังท้าทายอยู่รู้ตัวไหม?  มึงกำลังเล่นกับสิ่งที่ไม่ควร

“ดวงตาของมึงมันไม่ได้ทิ้งร่องรอยของคราบน้ำตามึงเท่านั้น  กูอยู่กับเรื่องพวกนี้มานาน กูย่อมรู้ดีว่า ดวงตาของมึงมันทิ้งรอยกรรมรอยบาปเอาไว้ด้วย การกระทำที่มึงทำอยู่…เลิกเสียเถอะ”

“แต่…ไอ้ภพ เอ่อ ผู้ชายคนนี้ เขาก็ท่องไปพร้อมผม ตั้งแต่คาถาแรกที่พวกเราโดนบังคับให้ท่องนะครับ”

“ไม่ใช่ว่าทุกคนหรอก ที่จะรับเอาสิ่งพวกนี้เข้าไปได้  หากชาติที่แล้วมึงไม่ทำกรรมมามาก ชาตินี้จิตมึงก็คงแข็งได้ไม่เท่ามัน”

ทุกๆบทสนทนาที่ได้กรองออกมาจากปากของลุงสัปเหร่อ  ค่อยๆดึงเอาความคิดและข้อสงสัยเก่าๆภายในหัวของผมให้กลับมา  บ้านหลังนี้ทิ้งปริศนาไว้ให้ผมหลายเรื่อง  และดูเหมือนว่า เรื่องที่ผมเคยสงสัยเรื่องหนึ่งจะได้รับการยืนยันแน่ชัดอีกครั้งผ่านปากของลุงสัปเหร่อ  ซึ่งก่อนหน้านี้เรื่องนี้คือเรื่องที่ผมเคยคิดอยู่เล่นๆเพียงคนเดียวเพราะหาเหตุผลมารองรับไม่ได้  อีกอย่างไอ้ภพคือคนที่ต้องผ่านมันบ่อยครั้ง  แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าตื่นตระหนกหรือปิดบังอะไรกับผมแต่อย่างใด  ผมจึงสรุปเอาเองไปว่า  ไอ้ภพมันก็คงยังไม่ได้รู้หรือสงสัยขึ้นมาจริงๆ

การเดินทางกลับบ้านใช้เวลาไปไม่เกินสามชั่วโมงซึ่งถือว่าน้อยกว่าเมื่อวานมาก  เมื่อกลับมาถึงบ้านฝนฟ้าก็หยุดพอดี  ผมจึงได้มีโอกาสกลับมาเตรียมใจรับมือกับเกมส์ที่ต้องท้าทายคืนนี้  แม้จะได้รับคำเตือนมาหลายครั้งหลายหน  ผมก็คงทำได้แค่น้อมรับมันเท่านั้น  ไม่มีทางเลยที่ผมจะสามารถทำตามใจตนเองให้ออกไปจากบ้านหลังนี้ก่อนวันเวลาที่กำหนด  ทิ้งไอ้ภพให้ค้นหาความจริงต่อไปเพียงผู้เดียว โดยที่ผมก็ทำได้แค่นั่งรอความตายอยู่กับโลกหลังความตายเพียงคนเดียว

เสียงกุกกักภายในบ้าน เรียกให้ผมกับไอ้ภพหันไปมองหน้ากัน  เวลานี้คงเป็นเวลาที่ลุงคำเข้ามาจัดเตรียมอาหารและสิ่งของเพิ่มเติมนอกเหนือจากสิ่งที่เกมส์เตรียมไว้ให้   ความรู้สึกคลางแคลงในตัวลุงคำพวกผมก็ยังไม่ได้ถึงกับทิ้งไปโดยสมบูรณ์  เกมส์นี้จะให้ไว้ใจใครเต็มร้อยก็คงไม่ไหว  ผมกับมันจึงค่อยๆเดินเข้าบ้านไปอย่างเบาที่สุด  ส่งสัญญาณให้ทีมงานด้านหลังเงียบตามโดยให้เห็นว่าพวกเรากำลังจะเข้าไปหยอกล้อกับลุงคำ

การก้มๆเงยๆอยู่ที่หน้าตู้เก็บของเป็นภาพที่ผมและไอ้ภพเห็นกันอยู่ประจำ  เพราะนั่นคือจุดที่ลุงคำจะแวะเข้าไปนั่งเสมอหากเกมส์สั่งให้เอาอะไรมาเพิ่ม   แสดงว่าเกมส์คืนนี้พวกผมต้องเล่นเกมส์ที่ใช้อุปกรณ์ในการเล่นมาก  ไม่ก็เกมส์กำลังจะมีคำสั่งนอกเหนือจากเดิมอีกครั้ง  ความผิดปกติที่ทำให้พวกเราถึงกับขมวดคิ้วลง เกิดขึ้นหลังจากที่เรายืนจ้องลุงคำกันอยู่สักพักแต่ก็ไม่เห็นวี่แววลุงคำจะเงยหน้าขึ้นมาเสียที  มิหนำซ้ำ ลุงคำยังพยายามจะรื้อหรือยุ่งกับอะไรบางอย่างภายในตู้จนเราอดไม่ได้ที่จะร้องทักขึ้น

“นั่นลุงกำลังทำอะไรครับ?” ไอ้ภพร้องพูดเสียงดังลั่น จนสังเกตได้ถึงการหยุดมือของลุงคำภายในตู้

“อะ…อ้าว  พวกเอ็งกลับมากันตั้งแต่เมื่อไร  ไม่เรียกลุงหละ” ลุงคำหันกลับออกมาจากตู้ ใช้สายตาหลุกหลิกชวนให้สงสัยมองมาที่พวกเราทั้งคู่ ก่อนจะเบนไปยังทีมงานอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง

“ผมเห็นลุงวุ่นวายอยู่กับตู้เก็บของ เลยไม่ได้ทักครับ ว่าแต่ลุงยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะครับ…ลุงกำลังทำอะไร?”

“ลุงก็กำลังเก็บของให้พวกเอ็งอยู่นั่นแหละ วันนี้ของเยอะน่าดู”

“ไม่ใช่ว่าหาอะไรอยู่หรอครับ?”ไอ้ภพพูดเสียงเข้ม และใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกไปยังลุงคำติดจะเอาเรื่อง สร้างความฉงนใจให้กับผู้ที่เป็นคู่สนทนาจนน้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังเข้มขึ้นไม่ต่างกัน

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ผมหมายความตามที่พูดครับ  เห็นลุงคำก้มๆเงยๆอยู่นาน แค่ใส่ของเข้าไปไม่น่าจะนานขนาดนั้นนะครับ”

“คิดว่าในตู้มันมีพื้นที่เหลือเยอะหรือไง  ลุงก็ต้องจัดแจงพื้นที่ให้พวกเอ็งบ้าง  อีกอย่าง  พักนี้พวกเอ็งเป็นอะไร  ทำไมถึงได้จ้องแต่จะหาเรื่องลุงตลอด ตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วนะ”

“ผมไม่ได้หาเรื่องครับ  ถ้าลองให้ลุงมาเป็นผม ลุงก็ต้องเกิดอาการแบบนี้เหมือนกัน ผมไม่กล้าไว้ใจอะไรรายการทั้งนั้น เกิดลุงถูกสั่งให้เอาของแย่ๆมาไว้อีก พวกผมจะใช้ชีวิตกันอย่างไร  แค่ที่โดนกันอยู่มันยังไม่หนักพอหรือไงครับ”

“ลุงก็แค่ทำตามคำสั่งของรายการ  ต่อให้ลุงจะต้องทำอย่างที่เอ็งว่า ลุงก็เลือกไม่ได้ เพราะนั่นคือคำสั่ง”

“พอเถอะครับ อย่ามาเถียงอะไรกันตรงนี้เลย…วันนี้ลุงเอาอะไรมาให้เพิ่มหรอครับ?”ผมรีบห้ามปรามไอ้ภพและลุงคำที่กำลังเล่นสงครามประสาทกันอยู่  ก่อนจะเบี่ยงประเด็นไปที่คำถามอื่นก่อน เพื่อไม่ให้ทีมงานสงสัยในตัวพวกเรามากกว่านี้

“อ๋อ ก็พวกอุปกรณ์ที่ต้องใช้เล่นเกมส์นั่นแหละ  พวกเอ็งคงไม่อยากเอาของที่ใช้กันอยู่ไปเล่นหรอกใช่ไหม? แล้วก็ถ้าจะทำกับข้าว  ก็ทำไว้เยอะกว่าเดิมหน่อยนะ  พวกเอ็งต้องใช้” ลุงคำหลับตาลงสะกดอารมณ์ตัวเองไว้แค่ครู่เดียว ก่อนจะหันมาตอบผมด้วยเนื้อเสียงที่กลับมาเป็นปกติ

“ใช้?  เกมส์คืนนี้พวกเราต้องทำอะไรอย่างนั้นหรอครับ”

“อ้าว นี่พวกเอ็งยังไม่ได้อ่านกันหรอ? เกมส์คืนนี้พวกเอ็งต้อง”

“กลับกันดีกว่าไหมครับลุงคำ  ผมว่าหมดหน้าที่ลุงแล้วหละครับ”

ยังไม่ทันที่ใครสักคนจะได้บอกปฏิเสธ  เสียงทีมงานก็ดังขัดคำพูดลุงคำขึ้นมาเสียก่อน  จนดวงตาของลุงคำฉายแววไม่พอใจชัดเจนขึ้นมา และพลันหายไปทันทียามที่ต้องนำมาใช้มองพวกผม  คำพูดที่หายไปของลุงคำกระตุ้นความต้องการที่จะรู้ของผมเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังเล่นเกมส์เติมคำในช่องว่าง  และสุดท้ายเมื่อทีมงานเดินนำออกจากบ้านไปก่อน ลุงคำก็ได้หันกลับมาจ้องไอ้ภพอย่างเอาเรื่องอีกครั้ง  พร้อมกับการพูดที่ใช้น้ำเสียงกดต่ำลงเพื่อทิ้งท้ายการออกจากบ้านในวันนี้จนคนฟังกดดันและอึดอัดไปกับท่าทีของลุงคำนั่น

“ระวังตัวให้ดี”

คือคำสุดท้ายที่ทำให้ปลายเท้าของผมเย็นชืด และรู้สึกชาวาบขึ้นมา ดวงตาของลุงคำไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แกกำลังโกรธจัดกับอะไรบางอย่าง บางอย่างที่อาจเป็นคำพูดไอ้ภพ หรือไม่ก็การตัดบทของทีมงาน จนเดาวัตถุประสงค์ของการร้องเตือนขึ้นมาไม่ได้เลย  และอย่างที่ผมเคยบอก หนังสือทุกเล่มที่วางไว้อยู่บนชั้นมันกำลังชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตผม  เมื่อสามคนที่ใกล้หมดเวลาในบ้านนี้เดินออกไป  คนทั้งสองที่เหลือจึงต้องเบนสายตาทั้งหมดไปจับจ้องที่ตู้หนังสือ และกรูกันเข้าไปหาเพื่อฟังคำพิพากษาในคืนนี้

เรื่องราวในนั้น  มันกำลังสั่งให้พวกผมแสดงความสามารถทางด้านอาหารออกมาให้มากที่สุด

เรื่องราวในนั้น  มันกำลังบอกผม ให้เผื่อท้องไว้สำหรับการทานอาหารมื้อดึก ร่วมกับแขกเหรื่อที่พร้อมมากันในยามวิกาล

และเรื่องราวในนั้น  มันกำลังจะบอกกับผมให้เตรียมใจที่จะต้องพบเจอกับภาพอันน่าเวทนา เพราะเหล่าบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายอาจจะอาฆาตมาดร้ายเราได้  หากเรา…ต้องแย่งข้าวเขากิน




*****************************************TBC**********************************************
สวัสดีครับทุกคน  เฮ้ :katai2-1:  วันนี้เอาตอนที่ 17 มาส่งแล้วนะครับบ
ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ ทั้งคำติและคำชมนะครับ ผมพร้อมน้อมรับทุกอย่าง
สวัสดีนักอ่านหน้าใหม่หลายๆคนที่อาจหลงเข้ามานะครับ  5555 ไม่รู้จะอ่านแล้วเป็นอย่างไร แต่ผมอยากให้มีความสุขและลุ้นไปพร้อมกันกับผมนะครับ
เหมือนเดิมเลย  หากพบคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลสามารถบอกผมได้นะครับ เดี๋ยวผมจะปรับแก้ให้
ส่วนใครที่อยากติมชมอีกช่องทาง  สามารถเข้าไปพูดคุยกับผมได้ตามทวิตเตอร์ข้างล่างนี้นะครับ หรือไม่ก็ผ่านแท็ก #Nightmaregame ก้ได้ครับหากไม่สะดวกติดตาม
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2017 22:40:22 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เกลียดทีมงานพวกนี้ ตกลงลุงคำนี่ดีหรือไม่ดีกันแน่ จะมีใครเชื่อใจได้มั้ยน้อ อ่านมาจนถึงตอนน้ก็ยังกลัวเหมือนเดิม ตอนหน้ามีแววจะโดนรุม ภพกับมิวจะไหวมั้ยยย โฮรรร
 :mew1: :mew1:
ขอบคุณผู้แต่งมากนะคะ ติดตามค่าาา เป็นกำลังใจให้

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
จะอ่านกี่ตอนๆก็หลอนตบอด แล้ว่อย่างที่คคห.ข้างบนว่า สรุปลุงคำนี่ดีหรือไม่ดีเนี่ย :ling3:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
น่ากลัวขึ้นทุกที :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
คนของรายการไม่น่าไว้ใจซักคน

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ลุงคำก็แค่ทำตามคำสั่งรึป่าว ; - ;;;

แล้วแต่ละเกมนี่ก็นะ มิวเฉาหมดแล้ว โอย  :z3:

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เย้ๆๆๆ มาแล้วๆๆ หลอนๆแบบนี้ต้องอ่านตอนเที่ยงคืน หุหุ :call:

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ qxrb

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3:
มาต่อเร็วๆน้าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่18

เลี้ยงผี


หอม…

กลิ่นหอมอ่อนๆของใบกระเพรายามต้องไฟร้อน  ลอยโชยผ่านจมูกของชายหนุ่มสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวภายในครัว คนหนึ่งง่วนกับการทำเมนูพิเศษสำหรับคนสองคนและสำหรับการจัดลงจานใบเล็กๆอีกสามถึงสี่ใบ  อีกคนกำลังนั่งคดข้าวสวยร้อนๆออกจากหม้อหลังจากทำการหุงสุกและปล่อยให้ข้าวระอุมาได้พักหนึ่ง

เวลายามอาทิตย์อัสดง คงเหมือนฝันยามเย็นของผู้คนข้างนอกนั่น  การทำงานบวกกับความตึงเครียดในการใช้ชีวิตสามารถนำมาซึ่งความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆเพียงแค่ได้รับประทานอาหารรสถูกปาก หรือแค่เพียงได้กลิ่น  ทุกความอ่อนล้าที่สะสมมาก็แทบจะจางหายไปทั้งหมด

แต่คงไม่ใช่สำหรับชายหนุ่มทั้งคู่

ใบหน้าที่ติดจะง้ำงอและอาการที่แสดงถึงการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  เกิดขึ้นหลังจากที่หนังสือเล่ม 8 ถูกเปิดอ่านเนื้อความข้างในกำลังทำให้ความสุขในมื้ออาหารของทั้งคู่พังทลายลงในพริบตา  เพียงเพราะอาหารมื้อนี้จะไม่ใช่มื้อสุดท้ายของวัน หากแต่เมื่อถึงเวลา 23.55 นาที คนทั้งคู่จะต้องเตรียมนำสำรับอาหารออกมาตั้งรอแขกเหรื่อที่กำลังจะถูกเชิญมาฉลองการต้อนรับการขึ้นวันใหม่ผ่านเสียงเรียกของตะเกียบ

“ไอ้มิว  มึงจะเอาไข่ดาวด้วยไหม? กูจะได้ทอดเผื่อ” เสียงไอ้ภพร้องขัดความคิดที่แล่นไปไกลของผม 

“ฮะ? เออ  เอาดิ  มีกระเพราหมูไม่มีไข่ดาวได้ไง  เชยหมด”

“ทำไมจะไม่ได้? อาหารมื้อแรกที่กูกินในบ้านนี้ก็กระเพราหมูไข่เจียว  มันยังไม่เห็นมีไข่ดาวเลย”

“แหมไอ้สัส  มันก็ไข่เหมือนกันไหม?...ว่าแต่มึงเหอะ จำได้ด้วยหรือไงว่ากูทำอะไรให้กิน  ขนาดกูยังลืมไปแล้วเลย ถ้ามึงไม่พูด”

“ทำไมกูจะจำไม่ได้หละ  รสชาติหมาไม่แดกขนาดนั้น”

“อ้าว???  มึงครับ พูดจาแบบนี้คราวหลังไม่ต้องมาง้อให้กูทำนะครับ  เชิญมึงทำกินเอง”

“หึหึ กูล้อเล่น  กูแค่ไม่อยากให้มึงเครียด…อาหารที่มึงทำใครจะจำไม่ได้หละ ก็อยู่กันแค่สองคน”

“อย่าว่าแต่กู ขนาดมึงยังหัวเราะได้ไม่เต็มเสียงเลย”

“หืม?  กูก็เป็นของกูแบบนี้มานานแล้วนะ”

“ไม่หรอก  ตอนมึงยังติดค้างเรื่องน้องสาวอยู่ มึงก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้  คราวนี้…มึงดูกังวลนะภพ มีอะไรหรือเปล่า?”

“อย่าให้พูดเลย  เดี๋ยวจะพาลกินข้าวกันไม่ลง”

หลังจากการปฏิเสธที่จะสานต่อบทสนทนา  ผมกับไอ้ภพ ก็รีบจัดแจงยกจานข้าวมานั่งหน้านิ่งกันอยู่ตรงโต๊ะอาหาร แต่ไม่มีใครยอมหยิบช้อนส้อมบนจานขึ้นมา ทั้งๆที่หิวจนไส้กิ่วทั้งคู่  คำถามที่ผ่านปากของผม ถูกกรองผ่านสมองแล้วว่า ผมต้องการแบ่งเบาความรู้สึกบางอย่างของไอ้ภพ เหมือนกับที่มันพยายามแบ่งจากผมไปตลอด  แต่ดูเหมือนว่าไอ้ภพจะยังคงไม่เข้าใจ มันถึงได้เลิกคิ้วหยั่งเชิงผมที่กำลังถอนหายใจออกมาไม่รู้กี่สิบรอบ ก่อนจะส่ายหัวและเริ่มนำมันกินข้าว

นี่คืออีกหนึ่งนิสัยที่แก้ไม่หายของไอ้ภพ  นิสัยที่จะไม่ยอมเปิดปากบอกเรื่องราวหรือความรู้สึกออกมาก่อน  หากคู่สนทนาไม่ยอมเกริ่นนำเรื่องของตนเอง  ในอดีตเรื่องราวของมันคงถูกคนที่ไว้ใจนำไปบอกต่อและทำให้จิตใจมันโดนทำลายอย่างไม่เหลือชิ้นดี  ไอ้ภพถึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากอะไรออกมาเลยสักคำแม้ใจมันกำลังจะทุกข์สุดๆแล้วก็ตาม เมื่อเห็นว่าคาดคั้นไปก็ไม่ได้อะไร  ผมจึงต้องปล่อยให้เวลาทำงานอย่างเต็มที่  ก่อนที่ผมจะไปหยุดมันไว้เพราะเรื่องราวที่เป็นไม้เด็ดของตนเอง

“อิ่มแล้วใช่ไหม? ไอ้ภพ” ผมเปิดปากถาม หลังจากที่จานบนโต๊ะถูกนำไปล้างเก็บหมดทุกใบ

“อืม อิ่มแล้วมีอะไร?”

“จะบอกกูได้หรือยัง  ว่ามึงกำลังกังวลอะไรอยู่”

“อย่ารู้เลย  ไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไรหรอก”

“เฮ้อ  มึงก็เป็นแบบนี้ทุกที….งั้นกูจะเล่าเรื่องของกูก่อนแล้วกัน”

“เรื่อง?”

“มึงยังสงสัยอยู่หรือเปล่าภพ…เรื่องสายสิญจน์”ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มถามมันด้วยน้ำเสียงที่เบาลงจนแทบกระซิบ บรรยากาศเสียงดังเมื่อครู่จึงค่อยๆพลันหายไปด้วย

…จากที่เคยส่งเสียงเฮฮา บัดนี้ บ้านทั้งหลังได้กลับเข้าสู่โหมดวังเวงชวนให้ขนหัวลุกอีกครั้ง…

“ก็นิดหน่อย  แต่มึงคงมีเหตุผลของตัวเองถึงได้บอกให้กูทำ” ไอ้ภพพยักหน้ารับ และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกับผม

“อืม ตามนั้น กูมีเหตุผล…เมื่อวาน ที่กูบอกมึงไปว่า มึงยังไม่ได้เปิดผ้าปิดตา  กูโกหก”คำสามพยางค์หลังถูกผมเน้นออกมาด้วยความจริงจัง  เรียกให้คิ้วของไอ้ภพกดลงจนเดาอารมณ์ไม่ได้

“โกหก?  หมายความว่ายังไง”ไอ้ภพถามเสียงเครียด

“ภพ…มึงเปิดผ้าปิดตาไปแล้ว แต่ที่มึงยังไม่เห็น มันเป็นเพราะมึงกำลังโดนผีบังตา   ผีนั่นมันนั่งอยู่บนคอมึงเอื้อมมือมาปิดตามึงอยู่  จำได้ไหมตอนที่กูบอกว่าจะเปิดผ้าให้มึง สายตาของกูมันไม่ได้มองหน้าของมึงเลย”

“เป็นไปไม่ได้…กูไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”ไอ้ภพพูดเสียงเบากับตัวเอง  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามย้ำกับผมด้วยแววตาที่กำลังวิตก

“รู้สึกสิ ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่ตะโกนสั่งให้กูหยุด ทั้งๆที่กูยังไม่เคยวิ่งไปไหน  อีกอย่าง มันก็เป็นแบบนี้….มาตั้งแต่เกมส์แรกแล้ว”ผมบอกมันด้วยเสียงที่พาให้เครียดกว่าเดิม  หลับตาให้ภาพในหัวพาย้อนเวลากลับไปตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในบ้าน จนกระทั่งต้องท่องคาถาที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

“เกมส์แรก?  อย่างนั้นหรอ”ไอ้ภพทวนซ้ำ พร้อมกับใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องเข้ามาในตาผมอย่างกับว่ามันอยากจะบอกอะไร

“อืม ที่ผ่านมามึงเคยลองสังเกตตัวเองไหม  มึงเป็นคนแรกนะภพที่ถูกวิญญาณคุกคาม… 

ตอนเล่นเกมส์ซ่อนหา  กูวิ่งตามใครสักคนออกไปเพราะคิดว่าเป็นมึง   ตอนเล่นผีถ้วยแก้ว กูจะหันไปหามึงแต่กูเห็นหน้าวิญญาณผู้หญิงคนหนึ่งแทน  ตอนเล่นเกมส์ปอกแอปเปิ้ล  กูเห็นวิญญาณที่แสร้งว่าเป็นมึงเดินในกระจก  ตอนเล่นเกมส์เล่านิทาน  กูได้ยินเสียงวิญญาณร้องทักและเข้าใจว่าเป็นเสียงมึง  ตอนกูฝัน วิญญาณตนนั้นมันก็เข้ามานอนแทนที่มึง  ตอนที่จำลองเหตุฆาตกรรม มึงโดนวิญญาณควบคุม  ตอนเล่นโพงพาง มึงคือคนที่โดนวิญญาณเข้าถึงตัวก่อนกู และสุดท้าย เมื่อเช้า...คนที่เตะโกศผีสิงนั่นก็คือมึงนะภพ

….เข้าใจแล้วใช่ไหม  ว่าทำไมมึงถึงต้องพกสายสิญจน์  สำหรับกู ถึงพกมันก็คงไม่ช่วยอะไร  อีกอย่างกูขอโทษนะที่ต้องโกหก  ในตอนนั้นกูพูดออกไปไม่ได้  การที่กูต้องเห็นวิญญาณเข้าถึงตัวมึง มันอึดอัดมากนะ  กูอยากร้องไห้  กูอยากโวยวาย กูอยากร้องเตือนมึง  แต่ถ้ากูทำ เสียงทั้งหมดมันจะถูกบันทึกเข้ากล้องและสุดท้ายความลับที่เราพยายามรักษามาทั้งหมดมันจะพังลง”

“มิว…ถ้ากูพูดอะไรออกไปเกี่ยวกับเกมส์ซ่อนหานั่น มึงจะรับได้ไหม?”ไอ้ภพเกริ่นถามขึ้นมาหลังจากมันพยายามฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับมันซึ่งมันไม่เคยมองเห็น

“ถ้าเรื่องที่มึงจะบอก เกี่ยวกับการที่มึงห้ามทีมงานไม่ให้รีรันภาพให้กูดู ก็ไม่ต้องหรอก”ผมพูดปลอบใจมันพร้อมยิ้มเล็กๆ  ใบหน้าที่ติดจะกังวลของมันเริ่มทำให้ผมรู้ว่าเรื่องที่มันปิดบังผมไว้ คงต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่เช่นนั้น ยามที่ผมพูดถึงเกมส์ซ่อนหา ไอ้ภพคงไม่นิ่งไป

“มึงรู้?”

“อืม  รู้มาได้สักพักแล้วหละ  แต่กูไม่ได้รู้ละเอียดหรอกนะว่ามึงเจออะไรเกี่ยวกับกูบ้าง  กูรู้แค่ว่าเรื่องนั้นมันต้องเกี่ยวกับวิญญาณที่กูเห็นแน่นอน … คราวนี้ ก็บอกออกมาให้กูฟังได้แล้วนะภพ ว่ามึงกำลังกลัวอะไร”

“กูไม่ได้กลัว  กูแค่…กังวลบางอย่าง  ตั้งแต่เราออกจากบ้านกันไปในตอนกลางวัน มึงบอกกับกูว่ารายการมันคงไม่อยากให้เราออกไปด้านหลังนั่นอีก  สำหรับกู รายการมันจะทำไปเพื่ออะไร  ทั้งๆที่มันก็เห็นว่ากูออกไปหลายครั้งแล้ว มันก็ยังดูนิ่งเฉย แม้มันจะสั่งให้ลุงมั่นมาบอกกู  แต่แค่เรื่องนี้มันถึงกับยอมลงทุนให้พวกเราออกไปเจอพระเจอวัดเลยเหรอ มันไม่สมเหตุสมผล มันไม่กลัวเราออกไปร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรอวะ”

“รายการจะกลัวอะไร  แค่คำบอกเล่าที่ไม่มีหลักฐานประกอบ คนอื่นจะยอมช่วยเราอย่างนั้นหรอ  มากสุดที่มีก็แค่คำยืนยันจากปากกูที่สามารถพร่ำให้ใครฟังก็ได้ว่ากูเห็นผี  แต่แล้วไง ใครจะเชื่อเรา”

“รายการกำลังเล่นอะไรอีก  มันดึงเราออกไปข้างนอก เพื่อให้บ้านหลังนี้ว่างอย่างนั้นหรอ หรือว่า…”

“รายการกำลังถ่วงเวลา”ผมพูดออกไปขัดกับไอ้ภพที่ยังพูดไม่จบ  สายตาเราทั้งคู่จ้องมองกันด้วยรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นลับหลังเรา จนเหงื่อในกายไหลท่วมเสื้อผ้าเพราะอาการหวาดกลัว

“มันจะถ่วงเวลาเพื่ออะไร  ในเมื่อตอนนี้เกมส์ก็วางหมุดที่จะกำจัดกูกับมึงออกอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ภพ…ไม่ใช่เราทั้งคู่ จากเกมส์ที่ผ่านมา ตอนนี้รายการนี้กำลังปักธงตายให้กูคนเดียว”ผมพูดออกไปด้วยดวงตาที่สั่นไหว  แต่นั่นคือการบอกไอ้ภพให้เตรียมพร้อมและยอมรับความจริงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“จะเป็นไปได้ยังไง  ในเมื่อมึงกับกูก็หย่อนขาเข้าโลงตายนี่มาพร้อมกัน”

“ได้สิ เกมส์ก็แค่จับขากูเข้าโลงอีกข้างก่อนมึงแค่นั้น ที่สำคัญ รายการเริ่มดันกูเข้าโลงมาตั้งแต่เกมส์ลิปสติกนั่นแล้ว”ไอ้ภพนิ่งเงียบไปพร้อมด้วยดวงตาตึงเครียด  ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบมือผมเบาๆเพื่อให้น้ำตาที่เริ่มซึมไหลกลับเข้านัยน์ตาไปอีกครั้ง

“ภพ…มันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าลักษณะของเกมส์นี้จะต้องมีหนึ่งคนที่เป็นบ้าไป  ไม่ก็ตาย”

“หมายความว่าไง”

“อย่างที่เรารู้ ทุกปีมันจะมีคนที่ออกก่อนเสมอ ซึ่งคนที่ออกไปส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้เลยนะภพว่าเขาไปอยู่ไหน   แม้กระทั่งทีมงานเขายังรู้แค่ชะตาชีวิตของคนที่ฝืนอยู่ต่อเลยว่ามีจุดจบอย่างไร”

“มึงกำลังจะบอกว่าคนที่ขอถอนตัวออกไป ส่วนใหญ่คือถอนตัวออกไปตาย”

“มันเป็นไปได้สูงมากแล้วตอนนี้  ตั้งแต่ที่กูได้ฟังเรื่องจดหมายลึกลับของวิญญาณที่มาขอให้กูช่วย  กูว่าคนตายพวกนั้นน่าจะมีส่วนที่เกี่ยวกับการเล่นเกมส์นี้  เพียงแต่ว่ากูไม่รู้ว่าเขาคือใคร เขาไม่เคยได้บอกกูเลย  เขาดูเหมือนจำอะไรไม่ได้  พวกมันรู้แค่ว่าก่อนตายตัวเองเจออะไร นอกนั้นก็ไม่ได้บอกและที่สำคัญ…ตั้งแต่กูตอบรับที่จะช่วย กูก็ไม่เคยเห็นวิญญาณพวกนั้นอีกเลย”

“ว่าไงนะ!! แล้วที่ผ่านมามึงเจอใครไอ้มิว มึงเห็นใคร??”

“กู ไม่รู้เลยไอ้ภพ  ตั้งแต่เกมส์เล่านิทานมา กูเห็นแต่วิญญาณที่ไม่เคยมาดีเลย ทุกตนมาเพราะแรงอาฆาต  มาเพราะคาถาเชิญวิญญาณ แต่พอเมื่อเช้ากูได้ฟังคำพูดเตือนของลุงสัปเหร่อ มันเลยทำให้ความคิดหนึ่งที่กูเคยคิดเล่นๆผุดขึ้นมา”

“อะไร?”

“กูไม่รู้ว่ามึงจะเคยคิดหรือเปล่านะ แต่ภพ กูสงสัยว่าบริเวณรอบๆบ้านหลังนี้ อาจเคยเป็นป่าช้า ไม่ก็ต้องมีป่าช้าตั้งอยู่ตรงไหนสักที่ในป่านั่น  วิญญาณพวกนั้นมันถึงได้ยินเสียงเรียกของเราที่ไปรบกวน”

“ป่าช้าอย่างนั้นหรอ?  ไอ้เคยคิดมันก็เคย แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆหรอมิว อย่าลืมสิว่าแถวนี้มันก็มีบ้านลุงมั่นอยู่นะ”

“ลุงมั่นแกอาจอยู่มาก่อนที่ตรงนี้เป็นป่าช้าก็ได้   อีกอย่างโอกาสที่เกมส์จะจงใจสร้างทับที่ตายของคนอื่นมันก็มีเยอะนะไอ้ภพ จงใจพรางตาให้เราคิดว่าบ้านหลังนี้มันเคยมีคนตายจริงๆ”

“พิสูจน์กันไหม?” ไอ้ภพนิ่งคิดไปได้เพียงครู่เดียว  มันก็ตวัดสายตาขึ้นมามองผมก่อนจะเอ่ยประโยคเขย่าขวัญออกมา

“จะทำอะไร”ผมตอบกลับไปด้วยความตกใจไม่น้อย  แววตาของไอ้ภพมันกำลังบอกวิธีการบางอย่างที่ผมยังไม่อยากยอมรับ

“มิว  กูขอโทษนะที่ต้องพูดประโยคเห็นแก่ตัว แต่เกมส์คืนนี้ มึงช่วยอย่ากลัวได้ไหม  อย่าตื่นตกใจไปกับความเปลี่ยนแปลงรอบกาย  ลองฝืนมันดูอีกสักครั้ง  อย่าหลับตา  อย่าหลบตา มองทุกอย่างให้เห็นว่าวิญญาณพวกนั้นมันมาจากตรงไหน”

“อยากให้กูทำมากน้อยแค่ไหน?”ผมตอบมันไปด้วยคำถาม หยั่งเชิงดูใบหน้าไอ้ภพที่ดูอึกอักไปกับคำตอบ  ผมรู้ว่ามันคงไม่ได้อยากจะให้ผมทำ แต่เพราะความจำเป็นมันเลยไม่มีทางเลือก  ส่วนตัวผมที่ถามกลับไปแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่ากล้าหรืออะไร ลึกๆแล้วผมยังคงกลัว  ยังคงหวาดผวาไม่ต่างจากวันแรก แต่เป็นเพราะผมอยากรู้ว่าไอ้ภพจะเป็นอย่างไรหากมันโดนคำถามเชิงความรู้สึก

“มิว กูขอโทษนะ แต่มึงจำเป็นต้องทำ” ไอ้ภพตอบมาเสียงอ่อนพร้อมหลบตาลงมองพื้น

“ไม่เป็นไร  ถ้ามันเป็นความต้องการของมึง กูจะทำให้ แต่ขอเงื่อนไขเหมือนเดิมนะภพ  ถ้าการที่กูต้องฝืนตัวเองทำให้กูหายไป ขอเป็นมึงได้ไหมที่เรียกกูกลับมา”

“เงื่อนไขนี้…คราวหลังไม่ต้องพูดแล้วนะ อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ ถึงมึงไม่ร้องขอกูก็มีคำตอบให้ได้เสมอ”

“คือ?”

“กูสัญญา”


แสก  แสก  แสก…


เสียงร้องดังระงมของนกแสกยามค่ำคืน  ร้องดังลั่นทั่วบริเวณบ้านและป่าด้านหลัง  พาให้ผมกับไอ้ภพต้องหยุดทุกกิจกรรมและเงยหน้ามองกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ  เสียงนกแสกร้องถือเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้  สะกดให้หัวใจของผมด้านชาไปได้สักพัก ตามประสามนุษย์ที่กลัวในบรรยากาศแห่งความวังเวงทั่วไป

ความเชื่อของคนไทยโบราณ นกแสกคือสัญลักษณ์ของลางร้าย ไม่ก็ความตาย  ในปัจจุบันนักอนุรักษ์นกทั่วไปคงไม่พอใจหากมีใครพยายามจะยัดเยียดสิ่งเลวร้ายให้สัตว์โลกพวกนี้ แต่ด้วยความที่ไทยผูกติดกับความเชื่อเหล่านี้มาช้านาน มันจึงสามารถถ่ายทอดวรรณกรรมหลอนหัวจากรุ่นสู่รุ่นมาได้ อย่างน้อยผมก็ได้รับมาตั้งแต่อายุผมยังไม่ถึงสิบขวบดี ผ่านปากของเพื่อนเล่นสมัยเด็กๆ

และยังได้รู้เพิ่มมาอีกว่า…หากเสียงของนกแสกเริ่มบรรเลงขับขานทักทายราตรีกาลอยู่ใกล้บ้านของใคร

บ้านหลังนั้น…จะต้องมีคนตาย

“ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ  เริ่มกันเลยเถอะ”

เสียงทักท้วงให้เริ่มเล่นเกมส์เหมือนในทุกๆวันของไอ้ภพ  เรียกให้ผมต้องลุกขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะนำตัวเองไปต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่กำลังจะเข้ามาเยี่ยมเยียนเจ้าบ้านอย่างผมและไอ้ภพคืนนี้

“มิวไปหยิบ ถาดสำรับในครัวมาที  เดี๋ยวกูจะจุดเทียน”

ผมพยักหน้าตอบรับคำสั่งของไอ้ภพ  เดินไปหยิบสำรับอาหารที่ถูกแบ่งใส่ถ้วยขนาดเล็กเอาไว้  ปาร์ตี้เลี้ยงผีคืนนี้อาหารเลิศรสที่คนเป็นบรรจงสร้างประกอบไปด้วย ผัดกระเพรา  ขนมหวานจำพวกทองหยิบและทองหยอดที่ลุงคำนำมาใส่ไว้ในตู้เย็น  จานข้าวสวยที่บัดนี้เย็นชืดดูไม่น่ากิน  และสุดท้ายเป็นผลไม้ที่ผมแบ่งออกมาหลังจากจบการทานมื้อเย็น

พิธีกรรมดำเนินไปเหมือนกับหลายๆคืนที่ผ่านมา คือการนำสิ่งของที่ต้องใช้ทำพิธีรวมถึงพวกผมสองคนให้อยู่ตรงกลางมีเทียนสี่เล่มถูกวางชดเชยแสงไฟภายในบ้านไว้สี่มุมล้อมรอบ  คาถาเชิญวิญญาณถูกหยิบยกขึ้นมาอ่านอีกครั้งตามคำสั่งในหนังสือ พร้อมกับการเริ่มจุดธูปให้กลิ่นของมันดึงความตายที่พวกผมยังไม่เคยสัมผัส กลับเข้ามาสู่การใช้ชีวิตเยี่ยงคนเป็นอีกครั้ง

อิติ สุคโ…

กึก

“มิว…หยุดทำไม?”

ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาจากการอ่านคาถาในหนังสือ เพื่อถามถึงอาการที่เงียบไปอย่างกะทันหันของผม หลังจากการเริ่มท่องคำแรกของคาถาเชิญวิญญาณ ความรู้สึกบางอย่างรอบกายผมก็เปลี่ยนไป  บางสิ่งบางอย่างกำลังสะกดให้ใบหน้าของผมหันไปมองยังม่านความมืดรอบตัวด้วยแววตาที่จะเรียกว่ากลัวปนกังวลก็คงไม่แปลกนัก  ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างที่ร้องเตือนว่าในเกมส์คืนนี้กำลังมีผู้ร่วมชมรายการที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้ามาดูการถ่ายทำในระยะที่ห่างกันเพียงหายใจรดต้นคอก็ไม่ควรจะมี

เพราะถ้ามันเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว  ผมต้องสัมผัสมันได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา

“ภพ  มึงท่องคาถาเชิญวิญญาณจบแล้วใช่ไหม?” ผมหันกลับมามองหน้าไอ้ภพ  พร้อมกับถามคำถามที่คาดหวังว่าคำตอบจะออกมาเป็นที่ต้องการของผม

“กูยังไม่ได้ท่องเลยมิว….เกิดอะไรขึ้น?”

“ภพ บ้านหลังนี้มันแปลกไป  กูรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง”ผมตอบเสียงเครียด พร้อมกับที่ค่อยๆเคลื่อนกายเข้าหาผู้ชายตรงหน้า

“คือ?”

“กูรู้สึกเหมือนมีใครสักคน…จ้องพวกเราอยู่”

“มาจากตรงไหน?” ไอ้ภพรีบถามกลับพร้อมกับหันหน้ากวาดสายตาไปทั่วบริเวณบ้านตามอย่างที่ผมเคยทำก่อนหน้า

“กูไม่รู้ภพ  กูมองหาทั่วแล้วก็ไม่มี  บางที…กูอาจกลัวจนคิดไปเอง”

“ดูไปก่อนแล้วกัน  ความรู้สึกของมึงไม่น่าใช่การคิดไปเอง”

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………

ผมพยักหน้ารับไอ้ภพแล้วเริ่มท่องคาถาเชิญวิญญาณให้จบบทอีกครั้ง ก่อนที่จะปักธูปเซ่นผีลงบนจานข้าวสวย  เรียกเอาบรรยากาศเดิมๆให้กลับมาวนเวียนภายในบ้าน  อากาศที่เคยถ่ายเทสะดวกก็ดูจะหยุดนิ่งไปจนรอบกายรู้สึกถึงความอึดอัด ประกอบกับกลิ่นธูปที่ลอยพัดผ่านจมูกไปทางประตูครัวด้านหลัง ยิ่งทำให้เกมส์คืนนี้ดูเหมือนมีใครสักคนจงใจให้ทิศทางควันพาดผ่านพวกเราไปยังต้นเหตุของคำถาม

ป๊อก  ป๊อก  ป๊อก…

ผีตายห่า  ผีตายโหง  มันผู้ใดที่ได้ยินเสียงเรียกของกูนี้  กูขอเชิญพวกมึงให้มากินของเซ่นผีที่กูจัดหาให้ไว้ในคืนนี้!!!


.
.
.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2017 13:16:40 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
เสียงเคาะตะเกียบสลับกับเสียงพูดดังคึกครื้นภายในบ้าน  พวกผมสองคนใช้น้ำเสียงที่เรียกว่าตะโกนกันออกไปอย่างสนุกปาก ทั้งๆที่หน้าตาไม่ได้สนุกด้วย  เรียกให้เหล่าวิญญาณที่อยู่บริเวณนี้มากินสำรับที่ผมจัดกันไว้ให้ตามคำสั่งของเกมส์  บทพูดที่พวกเราตะโกนออกไปนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดมาจากความคะนองปากของพวกเราแต่อย่างใด  แต่มันเกิดจากการที่เกมส์สั่งให้พวกเราพูดตามสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือให้เหมือนทุกคำ  ทุกพยางค์ พร้อมกับกำชับออกมาด้วยว่าต้องใช้น้ำเสียงที่ท้าทายมากกว่าเกมส์ครั้งก่อนๆ  หากเราไม่ทำตามนี้ เกมส์จะปรับแพ้ทันที

กึก

ใคร?  ใครที่กำลังจ้องมองพวกกูอยู่

ความรู้สึกที่เคยเกิดเมื่อช่วงต้นของการเล่นเกมส์  เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหลังจากการเริ่มเรียกผีและตะโกนท้าทายออกไป จนผมต้องหยุดการเคาะตะเกียบและค่อยๆเริ่มกลั้นใจอีกครั้งเพื่อหาที่มาของดวงตาคู่ที่ใช้มองพวกผม

แล้วผมก็เจอ….

แสงเทียนอ่อนๆที่ให้ความสว่างภายในบ้าน  นำดวงตาไร้แววนับสิบคู่ให้ปรากฏเข้าสู่ม่านสายตาของผมจนต้องรีบยกมือปิดปากกันเสียงร้องที่อาจจะออกไปเพราะความตกใจ  ความกลัวแล่นริ้วขึ้นสู่ใจกลางสมองจนเนื้อตัวสั่นเทา  ดวงตาของผมสั่นจนทำให้ภาพที่เห็นพร่ามัวไปหมด 

หลังจากที่ตั้งสติและตัดสินใจที่จะไม่มองไปยังหน้าต่างบานนั้นเพียงอย่างเดียว ผมก็ค่อยๆเลื่อนใบหน้ากลับมาเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตทั้งกับตัวกล้องที่ถ่ายพวกผมอยู่หรือกับวิญญาณพวกนั้น  เมื่อผมหันใบหน้ากลับมาคาดหวังที่จะมองไอ้ภพ  สายตาของผมก็ไปปะทะกับกลุ่มดวงตาอีกลุ่มหนึ่งบนหน้าต่างอีกบาน  พวกมันกำลังยืนแออัดอยู่บริเวณบ้านหลังนี้  จ้องไปที่สำรับอาหารกลางบ้าน สลับกับการใช้ดวงตาโทโสเงยหน้ามองไอ้ภพที่ยังคงเคาะตะเกียบเรียกจนผมต้องเอามือไปจับมันไว้

…เสียงของไอ้ภพบวกกับกลิ่นธูป กำลังเรียกพวกมันให้มาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…

“มิว…เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”ไอ้ภพที่ถูกผมใช้มือเย็นเฉียบหยุดการกระทำเอาไว้ หันมองผมก่อนจะร้องด้วยความตกใจไปกับใบหน้า  ผมร้องไห้โดยพยายามกัดปากกลั้นเสียงสะอื้น  เนื้อตัวมีเหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลออกมาท่วมกายจากความเครียดและหวาดผวา  ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่กล้าขยับไปไหน อีกทั้งยังเกร็งจนรู้สึกถึงอาการที่ใกล้มาของตะคริว   

ไม่กล้า…แม้แต่จะหายใจแรงจนทำให้พฤติกรรมตัวเองผิดสังเกตไป

“…”ผมส่ายหัวเล็กๆพร้อมจ้องตาสั่งไอ้ภพให้หยุดทำถามอาการผม 

“มาแล้วใช่ไหม?”เมื่อไอ้ภพรู้ตัวว่าตัวเองจะทำให้เรื่องที่เกิดแย่ลงกว่าเดิม  มันจึงถอยออกห่างผมเล็กน้อยและจ้องกลับมาหาผมที่พยักหน้าตอบรับคำถามของมัน

แกร๊บ  แกร๊บ…

เฮือก

เสียงเหยียบอะไรบางอย่างนอกบ้าน มาพร้อมกับการจับสัมผัสการเคลื่อนไหวได้ที่หางตาจนผมสะดุ้งและเริ่มตื่นกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ  วิญญาณที่พวกเราไม่ได้ตั้งใจเชิญมา เริ่มมีบางส่วนถดถอยออกไปจากหน้าต่างและเปลี่ยนเป็นเดินรอบๆบ้านตามทิศทางของกลิ่นธูปที่เปลี่ยนไป

ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในร่างกายผม  ควันธูปที่ควรจะไหลออกไปเพียงทิศเดียว ถูกสลับเปลี่ยนไปมาอย่างน่าฉงน ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่ลมหายใจไปกระทบ ผมก้มลงมองภาพนั้นพร้อมกับไอ้ภพที่ไม่สามารถเก็บแววตาแห่งความสงสัยเอาไว้ได้  มันเงยหน้าขึ้นถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าทุกสิ่งที่เปลี่ยนไปภายในบ้านเกิดจากวิญญาณที่กำลังแย่งกันกินเครื่องเซ่น ทั้งๆที่ความจริงๆยังไม่มีวิญญาณตนไหนเข้ามาในบ้านได้เลย

“กูไม่รู้ไอ้ภพ  ควันนี่มันอาจเป็นปกติของธูปหรือเปล่า แต่  แต่ ตอนนี้มันไม่มีวิญญาณในบ้านจริงๆ”ผมตอบเสียงสั่น หลังจากนั่งก้มหน้าใช้เพียงหูฟังถึงการเคลื่อนไหวของวิญญาณสลับกับการจ้องมองควันธูปไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้น  ปกติพวกมันก็เข้ากันมาได้”ไอ้ภพถามออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง  ก่อนที่มันจะหันไปมองรอบบ้านด้วยแววตาเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม เพราะความผิดปกติที่ต่างจากเกมส์ครั้งก่อนๆ

“กูไม่รู้ไอ้ภพ  กูไม่รู้”

แกร๊ก  แกร๊ก 

ปั้ง!  ปั้ง!  ปั้ง!


เฮือก

“ภ  ภพ  มึงได้ยินเสียงไหม  เสียงที่ประตู” จังหวะที่พวกผมปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศบ้าน  เสียงลูกบิดหมุนพร้อมกับเสียงทุบประตูอย่างแรงก็ดังขึ้นลั่นบ้าน  เรียกให้ผมที่นั่งปล่อยใจยอมรับเรื่องที่เกิด กลับมาสะดุ้งตัวโยนจนหัวใจเต้นรัวเร็วอีกครั้ง

“มิว  บ้านหลังนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย…นอกจากเสียงพวกเรา”

“ภพ…มันพยายามจะเปิดประตูเข้ามา พวกมันกำลังจะเข้ามา”เมื่อร่างกายไม่สามารถต้านทางความกดดันเอาไว้ได้อีก  น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วก็เริ่มคลอขึ้นมาพร้อมกับอาการคัดแน่นที่จมูกเนื่องจากกลิ่นธูปที่โชยเข้ามาเรื่อยๆ

“มิว ใจเย็นๆนะ จำที่กูขอได้ไหม  มึงสัญญากับกูไว้ยังไง”ท่าทีโวยวายของผม คงทำให้ไอ้ภพรู้สึกบางอย่างเข้า  มันจึงหยิบยก
เอาสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อตอนเย็นขึ้นมาพูด  เรียกให้ใจผมแกว่งไปเล็กน้อยเพราะความตกใจในน้ำเสียงของมันที่อ่อนลงจนแทบจะเป็นร้องขอ

“ขอร้อง…ได้ไหม” แววตาเว้าวอนแต่ก็ฉายแววเจ็บปวดของมัน ดันให้ช่วงหน้าของผมพยักรับความรู้สึก  ก่อนที่สายตาจะเบนออกจากหน้ามันไปเผชิญกับความจริงที่เกาะอยู่ตามหน้าต่างของบ้านหลังนี้

ผมขบกรามแน่นจนร้าวไปทั่วปาก  หลังจากการพยายามที่จะไม่ตื่นกลัวเพราะคำร้องขอของไอ้ภพ ทำให้ผมต้องต่อต้านกับความรู้สึกของร่างกายอย่างรุนแรง  ความกลัวและความอึดอัดที่มีถูกถ่ายทอดออกเป็นสัญญาณทางกายที่ผมต้องกัดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น  ต้องจิกเล็บตัวเองเพื่อกลั้นอาการสั่นกลัว หรือต้องพยายามถ่างตาให้กว้างเข้าไว้เพื่อที่จะให้ดวงตาเคยชินกับสัมภเวสีพวกนั้น  ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันก็แค่การหลอกตัวเอง

“มิว  วิญญาณพวกนั้นมาจากไหน”

“กู…ไม่รู้ภพ พวกมันอยู่แค่รอบบ้านหลังนี้ กูมองไม่เห็นที่ที่พวกมันมา”

“ถ้าอย่างนั้น เราเหลือวิธีเดียวแล้วนะ  ที่จะรู้”

“มึงจะทำอะไร?”

“เราต้องเปิดประตูครัว”

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง!!!

สิ้นคำพูดไอ้ภพ  เสียงเคาะประตูที่มีก็ยิ่งดังขึ้นไปอีก  เมื่อมองไปยังธูปที่ปักไว้ก็พบว่าธูปนั้นมันกำลังจะค่อยๆมอด รั้งให้ควันที่เคยมีจางหายไปด้วย  ดวงตาที่ยังคงจ้องมองมาในบ้านเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงกล่ำ  พวกมันหลายตนพยายามที่จะใช้หัวของตนเองเคาะหน้าต่างที่กั้นโลกของความจริงและความตายเอาไว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะอันตรธานหายไปและไปทำให้พื้นที่ด้านหลังบ้านนี้แน่นขนัดไปด้วยเสียงเคาะประตูและกำแพงบ้านแทน

“ไปเถอะ  ไปหาความจริงของเรากัน”ไอ้ภพร้องเรียกผมที่กำลังตื่นกลัวไปกับภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน

“รออีกหน่อยไม่ได้หรอภพ  ให้ควันธูปจางลงกว่านี้ก่อน”ผมเว้าวอนให้มันหยุด เนื่องจากสถานการณ์ที่ผมรับรู้ตอนนี้ มันเริ่มรุนแรงขึ้น

“เกี่ยวอะไรกับควันธูป  ผีพวกนั้นมันมาตามควัน?”

“อืม…มึงดูควันธูปตอนนี้  รู้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้วิญญาณพวกนั้นไปรวมกันตรงไหนหมด” ผมบอกพร้อมกับใช้สายตามองนำไอ้ภพไปที่ควันธูปจางๆ   ที่ตอนนี้กลิ่นของมันกำลังโชยไปทางด้านหลังบ้าน ผ่านออกไปทางประตูครัว

“ไหวอยู่ใช่ไหม?  ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนแล้วนะมิว กูไม่อยากรู้แล้ว”

“กู…ยังไหว”ผมตอบรับไปอย่างไม่เต็มเสียง พลางเงี่ยหูฟังเสียงวัตถุกระทบกับประตูและกำแพงบ้านไปด้วย 

“ถ้าอย่างนั้น  เตรียมรับมือเรื่องต่อจากนี้นะมิว ควันธูป…ใกล้จะหมดแล้ว”

“งั้นก็ไปกันเลย”ผมตอบออกไปแบบที่คิดว่ามั่นใจที่สุด  หลอกตัวเองไปว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นหากผมกล้าที่จะเผชิญความจริงข้างนอกนั่น

พูดจบผมก็ลุกขึ้นออกจากกลางวง  เดินไปทางประตูครัวที่ตอนนี้เสียงเคาะประตูเริ่มเบาลงไปบ้างแล้วตามกลิ่นของควันธูปที่ค่อยๆจางไป ทิ้งไอ้ภพให้มองตามการกระทำที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมด้านร่างกายอย่างสิ้นเชิง

อย่า…

ช่วงที่ผมกำลังชั่งใจและเตรียมยื่นเอามือที่สั่นเทาของตัวเองไปหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก  เสียงแหบทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังร้องทักขึ้นมาจนหยุดการเอื้อมมือของผมไปได้  เสียงนั่นฟังผ่านๆคงคล้ายกับเสียงไอ้ภพ แต่เมื่อลองทบทวนดีๆก็พบว่ามันไม่ใช่ 

“มีอะไรไอ้มิว?” ไอ้ภพเดินมาถามหลังจากที่มันยืนมองผมอยู่ห่างๆและเห็นว่าผมหันกลับมามองไปรอบๆบ้านด้วยแววตาตื่นกลัวแทนที่จะหมุนลูกบิดประตูออก

“เสียงนั่น….เสียง  มีเสียงห้ามไอ้ภพ  เสียงใครไม่รู้มันดังห้ามไม่ให้กูเปิด”

“มาจากตรงไหน?”

“กูไม่รู้ภพ กูหาไม่เจอ แต่เสียงมันเหมือนลอยมาจากในบ้านนี้  ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่กูบอกว่าเราโดนมองเลยภพ  มันเหมือนมาจากคนๆเดียวกัน” ลางสังหรณ์หรืออะไรสักอย่างบอกผม  ความรู้สึกที่ผมกำลังได้รับ ไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่จ้องมอง  หรือจะเป็นเสียงทักที่ได้ยิน  ทุกสิ่งเกิดจากแหล่งที่มาแหล่งเดียวกัน

“ได้ยินอย่างอื่นอีกไหม?”

“ไม่แล้วภพ  กูได้ยินแค่นั้น มันไม่ได้คุกคาม แต่กูคุ้นมากเลยภพ เสียงนั่น…กูเหมือนเคยได้ยิน”

“แล้วกลัวหรือเปล่า?  กลัวเสียงนั่นไหม”

“ไม่ ไม่กลัว  กูแค่แปลกใจว่ากูได้ยินได้ยังไง  ในเมื่อบ้านหลังนี้มันไม่มีผี  อีกอย่างทำไมเสียงที่ได้ยินมันถึงได้คุ้นหูกูขนาดนี้”

“ถ้าอย่างนั้น  เดี๋ยวกูจะเปิดเอง มึงไปยืนกลางบ้านนะมิว เผื่อได้ยินอะไรอีกมึงจะได้รู้ว่ามันมาจากไหน”

ผมพยักหน้าแล้วเดินกลับมายืนอยู่กลางวงล้อมของเทียนอีกครั้ง  เสียงทุบกำแพงหนักๆรวมทั้งเสียงเคาะประตูที่ได้ยินหายไปจากโสตประสาทผมหมดแล้ว  เหลือเพียงแต่ความเงียบที่กลับมาเยือนบ้านหลังนี้ พร้อมกับท่าทางของไอ้ภพที่หันกลับมาถามไถ่เรื่องเสียงที่ได้ยิน และเมื่อเห็นผมส่ายหัว มันจึงหันขวับกลับไปเปิดประตู

อย่า…

อย่าเปิด!!


แกร๊ก

แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

พรึบ

ลมลูกใหญ่หอบเข้ามาในบ้านทันที หลังจากที่ประตูครัวเปิดอ้าออก  เทียนสี่เล่มที่คอยให้ความสว่างภายในบ้านพร้อมใจกันดับทั้งหมดสร้างความน่ากลัวและความหลอนให้เกิดขึ้นซ้ำๆ ช่วงก่อนที่ประตูจะเปิดผมได้ยินเสียงร้องห้ามขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้เป็นเสียงที่ไม่ใช่แค่การห้ามแต่มันคือการตะคอกออกมาให้ผมทำตามคำสั่ง

ผมรีบเดินออกมาจากวงล้อมของเทียนเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง  หันไปทั่วทุกมุมบ้านด้วยความวิตกเนื่องจากเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังชัดจนไม่สามารถหลอกตัวเองได้แล้วว่าคิดไปเอง  มันดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งภายในบ้าน  และเมื่อสายตาผมได้กระทบกับความโล่งของลานกว้างหลังบ้านผมถึงได้เริ่มเห็นว่าวิญญาณพวกนั้นมาจากตรงไหน และแท้ที่จริงแล้วเสียงที่เงียบหายไปมันไม่ได้หายไปไหน  เพียงแต่มันกำลังยืนจ้องมองเข้ามาจากบนกำแพงนั่นและรอเวลาเพื่อจะเตรียมวิ่งกรูกันเข้ามาหาเครื่องเซ่นผ่านประตูที่เจ้าบ้านเปิดต้อนรับ

แสก  แสก  แสก…

ปิดประตู!!

“ไอ้ภพ  ปิดประตู!!” ไม่ใช่แค่เสียงเดิมเท่านั้นที่ร้องสั่งผมให้บอกไอ้ภพปิดประตู  สัญชาตญาณในตัวผม มันก็สั่งให้ทำแบบนั้น  เมื่อภาพที่ผมเห็นและเสียงที่ผมได้ยินคือวิญญาณสัมภเวสีที่ต่างก็วิ่งกรูออกมาจากกำแพงนั่นพร้อมกับที่มีเสียงของนกแสกดังขึ้นร้องทักทายความตายยามที่สัมภเวสีเห็นช่องทางเข้าสู่เครื่องเซ่นไหว้กลางตัวบ้าน

ปั้ง!!

ไอ้ภพปิดประตูอย่างแรง พร้อมกับที่รีบวิ่งเข้ามาหาผม  ภาพที่ผมเห็นทั้งสองภาพดันให้บ่อน้ำตาที่ผมพยายามจะเก็บไว้พังทลายลงมา  ภาพแรกคือภาพที่วิญญาณเหล่านั้นกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา  บางตนคือวิญญาณที่ผมเคยเห็นซ้ำๆจากหลายเกมส์ที่ผ่านมา  ส่วนอีกหลายๆตนผมไม่เคยเห็น สิ่งเดียวที่ผีทุกตนมีเหมือนกันคือความหิวโหยและร่ำร้องที่จะได้กินเครื่องเซ่นที่พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะไหว้

ส่วนภาพที่สองเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้ยินเสียงให้ปิดประตู และพยายามหันไปหาแหล่งที่มาอีกครั้ง  คราวนี้ดูเหมือนความพยายามของผมจะเป็นผลเพราะช่วงที่กวาดสายตาไป  ผมไปสะดุดกับร่างๆหนึ่งในความมืด  ยืนอยู่บริเวณโซฟา  แสงเทียนที่ดับไปแล้วทำให้ผมไม่เห็นหน้าของวิญญาณตนนั้นชัดเจนนักแต่มั่นใจได้ว่าเป็นผู้ชาย  วิญญาณตนนั้นจับจ้องมาที่ผมและทำการส่ายหัวเล็กน้อยให้กับสิ่งที่พวกผมทำก่อนที่เขาจะเดินผ่านกำแพงบ้านออกไปต่อหน้าต่อตาผม

“มิว มีวิญญาณเข้ามาได้ไหม?”ไอ้ภพ ร้องถามด้วยใบหน้าที่ติดจะกังวลและหวาดกลัวไปไม่ต่างจากผม

“ฮึก  ไม่เห็นไอ้ภพ มึงปิดประตูได้ก่อน”

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว  ใจเย็นๆนะ เราเหลือสิ่งที่จะต้องทำอย่างสุดท้ายแล้ว”

“ฮึก  งั้นก็ไปทำกั…”

ลมวูบใหญ่ที่พัดเข้ามา ไม่ใช่พัดพาเอากลิ่นธูปออกไปเท่านั้น 

แต่มันยังเป็นเหมือนบัตรเชิญที่นำพาวิญญาณกลับเข้าสู่โต๊ะอาหารคนตายอีกครั้ง…

เคร้ง  แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ

เสียงจานข้าวใบเล็กๆกระทบกับถาดใบเขื่องที่ตั้งไว้กลางบ้าน  ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคี้ยวอาหารอย่างเร่งรีบด้วยความหิวโหย  ช่วงจังหวะที่ผมยืนคุยกับไอ้ภพและเตรียมจะหันกลับไปทำภารกิจสุดท้าย  ภาพที่หางตาผม ก็ฟ้องขึ้นมาว่าบริเวณกลางบ้านตรงที่วางของเซ่นไหว้เอาไว้  ปรากฏร่างของวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังรุมแย่งอาหารในถาดนั้นอย่างไม่คิดชีวิตจนผมถึงกับต้องปล่อยให้ดวงตาเบิกโพลงขึ้นมาและหยุดเสียงพูดไปเพื่อให้ดูไร้ตัวตนที่สุด

“อะ…ไอ้ภพ ฮึก”ผมคว้าข้อมือของไอ้ภพที่กำลังจะเดินเข้าไปนั่งแทรกระหว่างวิญญาณที่หิวโหยกลุ่มนั้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ มันก็จะไม่จบ ไม่ต้องกลัวนะมิว…กูอยู่ตรงนี้”คราวนี้กลายเป็นไอ้ภพ  ที่เดินคว้าข้อมือผมไปนั่งแทรกระหว่างวิญญาณกลุ่มนั้น จนพวกมันต้องหยุดหยิบจับอาหารและหันมาจ้องผู้มาใหม่ทันที

คำสั่งสุดท้ายที่ผมได้รับคือการที่ต้องเข้าไปแย่งข้าวผีกินตามที่ได้อ่านในหนังสือ  คำสั่งของเกมส์บอกเพียงว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเราเห็นว่าเหมาะว่าควร  สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการเดินไปเคาะถาดเสียงดังสามครั้ง พร้อมกับการหยิบอาหารในสำหรับขึ้นมาทานให้หมด เสแสร้งให้คนดูเชื่อว่าผมกำลังแย่งอาหารสำหรับคนตาย

ผมเดินตามไอ้ภพเข้ามานั่งตรงจุดเดิมกับที่ผมเคยยืนเมื่อครั้นท่องคาถาเรียกวิญญาณ  แทรกอยู่ระหว่างวิญญาณคนตายที่กำลังจ้วงเอาเศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าปาก  กลิ่นสาปศพเหม็นเน่าลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนผมรู้สึกแสบจมูก  น้ำตาของผมถูกความกดดันรอบกายกดเข้าไปในดวงตาอีกครั้งเพื่อไม่ให้สัมภเวสีพวกนี้จับได้ว่าผมกำลังมองเห็นพวกมัน

เคร้ง  เคร้ง  เคร้ง

เสียงเคาะถาดอาหารดังครบสามครั้ง  นั่นจึงหมายถึงสัญญาณที่ผมจะต้องหยิบอาหารทั้งหมดขึ้นมาเข้าปาก  ไอ้ภพคือคนที่ตั้งสติได้ก่อนมันจึงหยิบเอาจานขนมหวานใบเล็กมายัดเข้าปากทันที  วิญญาณเหล่านั้นมองตามมือไอ้ภพไปด้วยแววตาที่มาดร้ายต่อชีวิตพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ  จังหวะเดียวกันนั้น ผมก็ได้หยิบเอาผลไม้รสชาติฝืดคอเข้าปากตามไปด้วย และเริ่มละเลงถาดอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนที่วิญญาณจะคุกคาม

การหยิบอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็ว  กลิ่นสาปเหม็นเน่าที่ผมได้รับ ลอยผสมเจือกับกลิ่นของอาหารทำให้รู้สึกพะอืดพะอมทุกครั้งที่ต้องกลืนลงคอ  วิญญาณผีตายโหงตายห่าพวกนั้น  เมื่อเห็นว่าผมไม่หยุดการกระทำของตนเอง  มันก็เริ่มจ้วงเอาเศษอาหารที่ตกหล่นจากพื้นขึ้นมากินบ้าง  มองหน้าพวกผมและขยับให้เข้าใกล้ขึ้นบ้าง ก่อนจะสร้างเหตุการณ์ที่พวกผมไม่ได้คาดคิดขึ้นมา

แผลบ แผลบ…

เสียงแลบลิ้นของบรรดาแขกเหรื่อร่วมโต๊ะอาหาร  เกิดขึ้นหลังจากที่ถาดอาหารตรงหน้าถูกกำจัดหมดโดยไอ้ภพ  นอกจากเศษอาหารบางส่วนที่ยังตกค้างอยู่บนพื้น  เศษอาหารที่เกิดจากความเร่งรีบยังติดอยู่บนข้างริมฝีปากและแก้มของไอ้ภพอีกด้วย  เมื่อร่องรอยบนพื้นของอาหารถูกวิญญาณกินเข้าไปหมด  อาหารที่ยังคงติดค้างอยู่บนหน้าไอ้ภพจึงเป็นเหมือนเป้าหมายใหม่ที่วิญญาณต่างกรูกันเข้าไปรุมเลียเอาเข้าปากตนเอง

“อะ ไอ้ภพ  ฮึก เศษอาหารติดปากมึง”ผมกลั้นเสียงสะอื้นหลังจากที่ภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า สะกิดต่อมน้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเอาไว้ให้พังลงมา

“ตรงไหน? ยังมีอยู่อีกหรอ”ไอ้ภพถามกลับพร้อมกับใช้มือคลำไปทั่ว แต่ถึงจะพยายามไปมันก็คงหาไม่เจอ  เมื่อวิญญาณเหล่านั้นพยายามจะยื่นหน้าเข้ามาเลีย อำพลางเศษอาหารที่ยังคงติดอยู่

เมื่อผมทนเห็นภาพนั้นต่อไปไม่ได้  ผมจึงเริ่มขยับเข้าไปใกล้มันแล้วยื่นมือของตนเองเข้าไปปัดออกให้แทน  สัมผัสกับลิ้นสากของวิญญาณ  เมือกน้ำลายเหนียวที่ไหลติดมือกลับมาจนสายตาไร้แววของวิญญาณทั้งหมดหันมาจ้องผมแทน

มึงเห็นกูด้วยเหรอ?

มึงแย่งข้าวกูทำไม?


แค่ชั่วพริบตา วิญญาณก็เปลี่ยนเป้าหมายเข้ามาหาผม  พร้อมกับร้องตะคอกเสียงดังจนผมต้องเอามือแสร้งขึ้นมาอุดหู  ความอึดอัดรอบกาย  กำลังทำให้เนื้อตัวผมสั่นอีกรอบ  ผมรีบจ้องมองไอ้ภพเพื่อให้มันจัดการอะไรสักอย่างก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว โดยที่ไอ้ภพก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี

ไอ้ภพรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัวหยิบจานใบเล็กที่ยังคงเหลือจากเมื่อเย็น ตักเศษอาหารออกมาให้มากที่สุด และนำมันมาวางไว้บนถาดเรียกให้วิญญาณพวกนั้นหันมองเป็นตาเดียวกันและเริ่มกรูกันเข้าไปกินเศษอาหารอีกครั้ง  เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้เสร็จมันก็รีบเดินไปหยิบธูปและให้สัญญาณกับผมว่าถ้ามันจุดธูปได้เมื่อไร  ผมจะต้องวิ่งถือถาดนั้นโยนออกไปหน้าบ้าน

เมื่อไอ้ภพจุดธูป  มันเริ่มท่องอะไรบางอย่างออกมา ก่อนจะเดินนำไปที่ประตู จัดการเปิดมันออกและสั่งให้ผมกระชากถาดสำรับขว้างออกไปนอกประตูด้วยความรวดเร็ว  ก่อนที่มันจะเหวี่ยงธูปออกไปทับกับกองอาหารพวกนั้น  วิญญาณที่อยู่ในบ้านเมื่อเห็นว่าถาดอาหารถูกเปลี่ยนที่ไปมันจึงรีบวิ่งออกไปแย่งกันใหม่ที่หน้าบ้าน  มากไปกว่านั้น  วิญญาณที่ยังคงมีบางส่วนอยู่รอบบริเวณบ้านก็แห่กันเข้ามาตามกลิ่นธูปที่ไอ้ภพจุดไว้  ก่อนที่ไอ้ภพจะปิดประตูหนีและนำผมขึ้นห้องนอนในที่สุด

ตกดึก  ผมต้องนอนหลับไปพร้อมกับเสียงดังแย่งกันอยู่ที่ถาดอาหาร  ส่งเสียงอื้ออึงสลับกับเสียงนกแสกที่ยังคงบินวนอยู่ตรงหลังคาบ้าน  อีกทั้ง เกมส์คืนนี้ยังทิ้งคำถามเอาไว้ให้ผมอีกหนึ่งข้อ  คำถามที่ทำให้ใจผมแกว่งไปและรู้สึกไม่ดีถึงอันตรายที่เดินทางเข้ามาใกล้ตัวผม

ใคร?  คือเจ้าของเสียงคุ้นหูเสียงนั้น

แล้วทำไม…เสียงคุ้นหูเสียงนั้น  ถึงกลายมาเป็นวิญญาณอยู่ในเกมส์คืนนี้
 

เสียงนกกระจอกร้องทักรับวันใหม่


อากาศยามเช้าในคืนนี้ ปลุกผมให้ลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปทำภารกิจเก้าวัดต่อ  วันนี้ผมกับไอ้ภพจะต้องไปเผชิญหาน้ำในวัดที่ห้าและหก  ดวงตาบวมช้ำและร่างกายเหนื่อยล้า รั้งแต่จะให้ตัวผมทิ้งกายอยู่บนเตียงให้นานอีกหน่อย  เกมส์เมื่อคืนทำเอาผมหมดแรงไปกับการต่อต้านความรู้สึกของตนเอง  ผมเจ็บปาก เจ็บอก และรู้สึกคัดจมูกไปทั่ว  การอดทนให้ต้องรับกรรมในสิ่งที่ตนเองกลัว ไม่ใช่เรื่องดีนัก  มันกำลังจะค่อยๆฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

“อ้าว  วันนี้ตื่นเช้ากันดีนะครับ  คุณภพคุณมิว” เสียงทีมงานที่พูดจากวนเบื้องล่างผมเมื่อวานพูดทักขึ้น

“ก็คุณนัดไว้นี่ครับ  จะให้คุณรออีกก็คงไม่ได้”

“เสียงแหบ ตาบวมเชียวนะครับคุณมิว”

“ก็เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยครับ”

“เห็นแล้วหละครับ  จะว่าไปเกมส์เมื่อคืนผมก็นั่งลุ้นกับพวกคุณตาเหลือกเลยนะครับ”

“มีอะไรให้ลุ้นหรอครับ?”ไอ้ภพมองหน้าผมและหันกลับไปถามทีมงานคนนั้น

“ก็นะ  คุณภพไปเปิดประตูในครัวทำไมหละครับ  ผมก็นึกว่าอยากจะยอมแพ้เสียอีก  ถ้าไม่ได้คุณมิวร้องไห้ตะโกนสั่งให้ปิดคุณจะกลับมาไหมครับ?”

“กลับสิครับ  กลิ่นธูปแรงซะขนาดนั้นจะให้ผมอยู่แบบอุดอู้หรอ  อีกอย่างผมแค่เปิดไม่ได้วิ่งออกไป”

“หรอครับ งั้นเกมส์เมื่อคืนพวกคุณก็ไม่เห็นจะต้องหัวเสียถึงขนาดโยนถาดออกไปหน้าบ้านก็ได้มั้งครับ  แค่พวกคุณกินข้าวผีทั้งหมดได้ผมก็ว่าพวกคุณผ่านแล้วนะครับ  จะโยนไปข้างนอกทำไม?”

“ผมแค่เห็นว่าพวกคุณอยากให้ผมเลี้ยงผี  ผมเลยสนองพวกคุณเสียหน่อย  ไม่ดีหรอครับที่ผมตัดสินใจตักข้าว จุดธูปเซ่นวิญญาณพวกนั้นใหม่อีกรอบ”

“คงดีกว่านี้ครับ  ถ้าถาดที่วางอยู่หน้าบ้าน  มันไม่ใช่ถาดเปล่าขัดกับที่คุณว่า”




*******************************************TBC**********************************************
เอาตอนที่ 18 มาส่งแล้วนะครับ  มาทันวันอังคารอยู่ใช่ไหม :mew3:
ก่อนอื่น คงต้องขอขอบคุณทุกการติดตามและทุกคอมเมนต์ทั้งในเล้าและในทวิตเตอร์แฟนเพจนะครับ ผมดีใจมากที่หลายคนยังคงอินไปกับนิยายของผม
เหมือนเดิมครับ  ทุกคนสามารถติชมผมมาได้เลยนะครับ ผมจะนำพวกนี้ไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือตนเองให้ดียิ่งขึ้นครับ
หากมีคำผิดหรือประโยคใดที่ไม่ลื่นไหล  บอกผมได้เลยนะครับ  เดี๋ยวผมจะเข้ามาแก้ให้
เจอกันใน  #Nightmaregame  ได้นะครับ  ผมรอทุกคนอยู่  รักและขอบคุณมากๆครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2017 00:48:02 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุงมั่นตายแล้วหรอ หรือว่าลุงสัปเหร่อมาช่วย
งื้ออออออ สงสัย ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
หลวงพ่อถอดจิตมาช่วยรึป่าว55555

ยังน่ากลัวสม่ำเสมอเลยนะคะ  :z3:
ตอนแรกแอบกลัวใจสภาพจิตน้องจะไม่ไหวเอา
แต่อ่านตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ไปแล้ว เลยได้แต่ลุ้นว่าความจริงคืออะไรรกันแน่

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หลอนจริงจัง เสียงใครอ่ะอยากรู้

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โฮรวววว บทหวานๆอยู่หนายยยย คุณผีออกมาเริงร่าอีกแล้วอ่านไปๆปริศนาก็เพิ่มความหลอนก็อัพตาม มิวกับภพสู้ๆอย่าเป็นอะไรไปขออะไรdokidokiมากระแทกหัวใจหน่อยค่ะ (ไม่เอาผีนะ) 5555

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
เกลียดไอ้พวกทีมงานจริงๆ ผีตนนั้นเป็นใครต้องเกี่ยวอะไรกับคนที่ตายในเกมส์นี้แน่ๆ

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เสียงใครหนออ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ใครที่มาเตือนมิวเพื้อนมิวหรอใจนึงก็อยากให้สองคนนี้ออกจากเกมส์แต่มันก็ง่ายไปอยากให้ชนะเกมส์ได้ตังค์จับคนร้ายได้เอาตังค์ส่วนนึงมาทำบุญให้ผีพวกนี้อย่างน้อยก็จะได้สบายใจเฮ้อเครียดและกลัวมากอ่ะยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อ :z3:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
อยากรู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร มาดีหรือมาร้าย หลอนแล้วก็สนุกมากๆเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไป :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด