เสียงเคาะตะเกียบสลับกับเสียงพูดดังคึกครื้นภายในบ้าน พวกผมสองคนใช้น้ำเสียงที่เรียกว่าตะโกนกันออกไปอย่างสนุกปาก ทั้งๆที่หน้าตาไม่ได้สนุกด้วย เรียกให้เหล่าวิญญาณที่อยู่บริเวณนี้มากินสำรับที่ผมจัดกันไว้ให้ตามคำสั่งของเกมส์ บทพูดที่พวกเราตะโกนออกไปนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดมาจากความคะนองปากของพวกเราแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากการที่เกมส์สั่งให้พวกเราพูดตามสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือให้เหมือนทุกคำ ทุกพยางค์ พร้อมกับกำชับออกมาด้วยว่าต้องใช้น้ำเสียงที่ท้าทายมากกว่าเกมส์ครั้งก่อนๆ หากเราไม่ทำตามนี้ เกมส์จะปรับแพ้ทันที
กึก
ใคร? ใครที่กำลังจ้องมองพวกกูอยู่ความรู้สึกที่เคยเกิดเมื่อช่วงต้นของการเล่นเกมส์ เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหลังจากการเริ่มเรียกผีและตะโกนท้าทายออกไป จนผมต้องหยุดการเคาะตะเกียบและค่อยๆเริ่มกลั้นใจอีกครั้งเพื่อหาที่มาของดวงตาคู่ที่ใช้มองพวกผม
แล้วผมก็เจอ….
แสงเทียนอ่อนๆที่ให้ความสว่างภายในบ้าน นำดวงตาไร้แววนับสิบคู่ให้ปรากฏเข้าสู่ม่านสายตาของผมจนต้องรีบยกมือปิดปากกันเสียงร้องที่อาจจะออกไปเพราะความตกใจ ความกลัวแล่นริ้วขึ้นสู่ใจกลางสมองจนเนื้อตัวสั่นเทา ดวงตาของผมสั่นจนทำให้ภาพที่เห็นพร่ามัวไปหมด
หลังจากที่ตั้งสติและตัดสินใจที่จะไม่มองไปยังหน้าต่างบานนั้นเพียงอย่างเดียว ผมก็ค่อยๆเลื่อนใบหน้ากลับมาเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตทั้งกับตัวกล้องที่ถ่ายพวกผมอยู่หรือกับวิญญาณพวกนั้น เมื่อผมหันใบหน้ากลับมาคาดหวังที่จะมองไอ้ภพ สายตาของผมก็ไปปะทะกับกลุ่มดวงตาอีกลุ่มหนึ่งบนหน้าต่างอีกบาน พวกมันกำลังยืนแออัดอยู่บริเวณบ้านหลังนี้ จ้องไปที่สำรับอาหารกลางบ้าน สลับกับการใช้ดวงตาโทโสเงยหน้ามองไอ้ภพที่ยังคงเคาะตะเกียบเรียกจนผมต้องเอามือไปจับมันไว้
…เสียงของไอ้ภพบวกกับกลิ่นธูป กำลังเรียกพวกมันให้มาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…
“มิว…เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”ไอ้ภพที่ถูกผมใช้มือเย็นเฉียบหยุดการกระทำเอาไว้ หันมองผมก่อนจะร้องด้วยความตกใจไปกับใบหน้า ผมร้องไห้โดยพยายามกัดปากกลั้นเสียงสะอื้น เนื้อตัวมีเหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลออกมาท่วมกายจากความเครียดและหวาดผวา ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่กล้าขยับไปไหน อีกทั้งยังเกร็งจนรู้สึกถึงอาการที่ใกล้มาของตะคริว
ไม่กล้า…แม้แต่จะหายใจแรงจนทำให้พฤติกรรมตัวเองผิดสังเกตไป
“…”ผมส่ายหัวเล็กๆพร้อมจ้องตาสั่งไอ้ภพให้หยุดทำถามอาการผม
“มาแล้วใช่ไหม?”เมื่อไอ้ภพรู้ตัวว่าตัวเองจะทำให้เรื่องที่เกิดแย่ลงกว่าเดิม มันจึงถอยออกห่างผมเล็กน้อยและจ้องกลับมาหาผมที่พยักหน้าตอบรับคำถามของมัน
แกร๊บ แกร๊บ…เฮือก
เสียงเหยียบอะไรบางอย่างนอกบ้าน มาพร้อมกับการจับสัมผัสการเคลื่อนไหวได้ที่หางตาจนผมสะดุ้งและเริ่มตื่นกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณที่พวกเราไม่ได้ตั้งใจเชิญมา เริ่มมีบางส่วนถดถอยออกไปจากหน้าต่างและเปลี่ยนเป็นเดินรอบๆบ้านตามทิศทางของกลิ่นธูปที่เปลี่ยนไป
ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในร่างกายผม ควันธูปที่ควรจะไหลออกไปเพียงทิศเดียว ถูกสลับเปลี่ยนไปมาอย่างน่าฉงน ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่ลมหายใจไปกระทบ ผมก้มลงมองภาพนั้นพร้อมกับไอ้ภพที่ไม่สามารถเก็บแววตาแห่งความสงสัยเอาไว้ได้ มันเงยหน้าขึ้นถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าทุกสิ่งที่เปลี่ยนไปภายในบ้านเกิดจากวิญญาณที่กำลังแย่งกันกินเครื่องเซ่น ทั้งๆที่ความจริงๆยังไม่มีวิญญาณตนไหนเข้ามาในบ้านได้เลย
“กูไม่รู้ไอ้ภพ ควันนี่มันอาจเป็นปกติของธูปหรือเปล่า แต่ แต่ ตอนนี้มันไม่มีวิญญาณในบ้านจริงๆ”ผมตอบเสียงสั่น หลังจากนั่งก้มหน้าใช้เพียงหูฟังถึงการเคลื่อนไหวของวิญญาณสลับกับการจ้องมองควันธูปไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้น ปกติพวกมันก็เข้ากันมาได้”ไอ้ภพถามออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนที่มันจะหันไปมองรอบบ้านด้วยแววตาเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม เพราะความผิดปกติที่ต่างจากเกมส์ครั้งก่อนๆ
“กูไม่รู้ไอ้ภพ กูไม่รู้”
แกร๊ก แกร๊ก
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!เฮือก
“ภ ภพ มึงได้ยินเสียงไหม เสียงที่ประตู” จังหวะที่พวกผมปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศบ้าน เสียงลูกบิดหมุนพร้อมกับเสียงทุบประตูอย่างแรงก็ดังขึ้นลั่นบ้าน เรียกให้ผมที่นั่งปล่อยใจยอมรับเรื่องที่เกิด กลับมาสะดุ้งตัวโยนจนหัวใจเต้นรัวเร็วอีกครั้ง
“มิว บ้านหลังนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย…นอกจากเสียงพวกเรา”
“ภพ…มันพยายามจะเปิดประตูเข้ามา พวกมันกำลังจะเข้ามา”เมื่อร่างกายไม่สามารถต้านทางความกดดันเอาไว้ได้อีก น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วก็เริ่มคลอขึ้นมาพร้อมกับอาการคัดแน่นที่จมูกเนื่องจากกลิ่นธูปที่โชยเข้ามาเรื่อยๆ
“มิว ใจเย็นๆนะ จำที่กูขอได้ไหม มึงสัญญากับกูไว้ยังไง”ท่าทีโวยวายของผม คงทำให้ไอ้ภพรู้สึกบางอย่างเข้า มันจึงหยิบยก
เอาสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อตอนเย็นขึ้นมาพูด เรียกให้ใจผมแกว่งไปเล็กน้อยเพราะความตกใจในน้ำเสียงของมันที่อ่อนลงจนแทบจะเป็นร้องขอ
“ขอร้อง…ได้ไหม” แววตาเว้าวอนแต่ก็ฉายแววเจ็บปวดของมัน ดันให้ช่วงหน้าของผมพยักรับความรู้สึก ก่อนที่สายตาจะเบนออกจากหน้ามันไปเผชิญกับความจริงที่เกาะอยู่ตามหน้าต่างของบ้านหลังนี้
ผมขบกรามแน่นจนร้าวไปทั่วปาก หลังจากการพยายามที่จะไม่ตื่นกลัวเพราะคำร้องขอของไอ้ภพ ทำให้ผมต้องต่อต้านกับความรู้สึกของร่างกายอย่างรุนแรง ความกลัวและความอึดอัดที่มีถูกถ่ายทอดออกเป็นสัญญาณทางกายที่ผมต้องกัดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ต้องจิกเล็บตัวเองเพื่อกลั้นอาการสั่นกลัว หรือต้องพยายามถ่างตาให้กว้างเข้าไว้เพื่อที่จะให้ดวงตาเคยชินกับสัมภเวสีพวกนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันก็แค่การหลอกตัวเอง
“มิว วิญญาณพวกนั้นมาจากไหน”
“กู…ไม่รู้ภพ พวกมันอยู่แค่รอบบ้านหลังนี้ กูมองไม่เห็นที่ที่พวกมันมา”
“ถ้าอย่างนั้น เราเหลือวิธีเดียวแล้วนะ ที่จะรู้”
“มึงจะทำอะไร?”
“เราต้องเปิดประตูครัว”ปั้ง ปั้ง ปั้ง!!!
สิ้นคำพูดไอ้ภพ เสียงเคาะประตูที่มีก็ยิ่งดังขึ้นไปอีก เมื่อมองไปยังธูปที่ปักไว้ก็พบว่าธูปนั้นมันกำลังจะค่อยๆมอด รั้งให้ควันที่เคยมีจางหายไปด้วย ดวงตาที่ยังคงจ้องมองมาในบ้านเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงกล่ำ พวกมันหลายตนพยายามที่จะใช้หัวของตนเองเคาะหน้าต่างที่กั้นโลกของความจริงและความตายเอาไว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะอันตรธานหายไปและไปทำให้พื้นที่ด้านหลังบ้านนี้แน่นขนัดไปด้วยเสียงเคาะประตูและกำแพงบ้านแทน
“ไปเถอะ ไปหาความจริงของเรากัน”ไอ้ภพร้องเรียกผมที่กำลังตื่นกลัวไปกับภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน
“รออีกหน่อยไม่ได้หรอภพ ให้ควันธูปจางลงกว่านี้ก่อน”ผมเว้าวอนให้มันหยุด เนื่องจากสถานการณ์ที่ผมรับรู้ตอนนี้ มันเริ่มรุนแรงขึ้น
“เกี่ยวอะไรกับควันธูป ผีพวกนั้นมันมาตามควัน?”
“อืม…มึงดูควันธูปตอนนี้ รู้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้วิญญาณพวกนั้นไปรวมกันตรงไหนหมด” ผมบอกพร้อมกับใช้สายตามองนำไอ้ภพไปที่ควันธูปจางๆ ที่ตอนนี้กลิ่นของมันกำลังโชยไปทางด้านหลังบ้าน ผ่านออกไปทางประตูครัว
“ไหวอยู่ใช่ไหม? ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนแล้วนะมิว กูไม่อยากรู้แล้ว”
“กู…ยังไหว”ผมตอบรับไปอย่างไม่เต็มเสียง พลางเงี่ยหูฟังเสียงวัตถุกระทบกับประตูและกำแพงบ้านไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้น เตรียมรับมือเรื่องต่อจากนี้นะมิว ควันธูป…ใกล้จะหมดแล้ว”
“งั้นก็ไปกันเลย”ผมตอบออกไปแบบที่คิดว่ามั่นใจที่สุด หลอกตัวเองไปว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นหากผมกล้าที่จะเผชิญความจริงข้างนอกนั่น
พูดจบผมก็ลุกขึ้นออกจากกลางวง เดินไปทางประตูครัวที่ตอนนี้เสียงเคาะประตูเริ่มเบาลงไปบ้างแล้วตามกลิ่นของควันธูปที่ค่อยๆจางไป ทิ้งไอ้ภพให้มองตามการกระทำที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมด้านร่างกายอย่างสิ้นเชิง
อย่า…ช่วงที่ผมกำลังชั่งใจและเตรียมยื่นเอามือที่สั่นเทาของตัวเองไปหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก เสียงแหบทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังร้องทักขึ้นมาจนหยุดการเอื้อมมือของผมไปได้ เสียงนั่นฟังผ่านๆคงคล้ายกับเสียงไอ้ภพ แต่เมื่อลองทบทวนดีๆก็พบว่ามันไม่ใช่
“มีอะไรไอ้มิว?” ไอ้ภพเดินมาถามหลังจากที่มันยืนมองผมอยู่ห่างๆและเห็นว่าผมหันกลับมามองไปรอบๆบ้านด้วยแววตาตื่นกลัวแทนที่จะหมุนลูกบิดประตูออก
“เสียงนั่น….เสียง มีเสียงห้ามไอ้ภพ เสียงใครไม่รู้มันดังห้ามไม่ให้กูเปิด”
“มาจากตรงไหน?”
“กูไม่รู้ภพ กูหาไม่เจอ แต่เสียงมันเหมือนลอยมาจากในบ้านนี้ ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่กูบอกว่าเราโดนมองเลยภพ มันเหมือนมาจากคนๆเดียวกัน” ลางสังหรณ์หรืออะไรสักอย่างบอกผม ความรู้สึกที่ผมกำลังได้รับ ไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่จ้องมอง หรือจะเป็นเสียงทักที่ได้ยิน ทุกสิ่งเกิดจากแหล่งที่มาแหล่งเดียวกัน
“ได้ยินอย่างอื่นอีกไหม?”
“ไม่แล้วภพ กูได้ยินแค่นั้น มันไม่ได้คุกคาม แต่กูคุ้นมากเลยภพ เสียงนั่น…กูเหมือนเคยได้ยิน”
“แล้วกลัวหรือเปล่า? กลัวเสียงนั่นไหม”
“ไม่ ไม่กลัว กูแค่แปลกใจว่ากูได้ยินได้ยังไง ในเมื่อบ้านหลังนี้มันไม่มีผี อีกอย่างทำไมเสียงที่ได้ยินมันถึงได้คุ้นหูกูขนาดนี้”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวกูจะเปิดเอง มึงไปยืนกลางบ้านนะมิว เผื่อได้ยินอะไรอีกมึงจะได้รู้ว่ามันมาจากไหน”
ผมพยักหน้าแล้วเดินกลับมายืนอยู่กลางวงล้อมของเทียนอีกครั้ง เสียงทุบกำแพงหนักๆรวมทั้งเสียงเคาะประตูที่ได้ยินหายไปจากโสตประสาทผมหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความเงียบที่กลับมาเยือนบ้านหลังนี้ พร้อมกับท่าทางของไอ้ภพที่หันกลับมาถามไถ่เรื่องเสียงที่ได้ยิน และเมื่อเห็นผมส่ายหัว มันจึงหันขวับกลับไปเปิดประตู
อย่า…
อย่าเปิด!!แกร๊ก
แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
พรึบ
ลมลูกใหญ่หอบเข้ามาในบ้านทันที หลังจากที่ประตูครัวเปิดอ้าออก เทียนสี่เล่มที่คอยให้ความสว่างภายในบ้านพร้อมใจกันดับทั้งหมดสร้างความน่ากลัวและความหลอนให้เกิดขึ้นซ้ำๆ ช่วงก่อนที่ประตูจะเปิดผมได้ยินเสียงร้องห้ามขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงที่ไม่ใช่แค่การห้ามแต่มันคือการตะคอกออกมาให้ผมทำตามคำสั่ง
ผมรีบเดินออกมาจากวงล้อมของเทียนเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง หันไปทั่วทุกมุมบ้านด้วยความวิตกเนื่องจากเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังชัดจนไม่สามารถหลอกตัวเองได้แล้วว่าคิดไปเอง มันดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งภายในบ้าน และเมื่อสายตาผมได้กระทบกับความโล่งของลานกว้างหลังบ้านผมถึงได้เริ่มเห็นว่าวิญญาณพวกนั้นมาจากตรงไหน และแท้ที่จริงแล้วเสียงที่เงียบหายไปมันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มันกำลังยืนจ้องมองเข้ามาจากบนกำแพงนั่นและรอเวลาเพื่อจะเตรียมวิ่งกรูกันเข้ามาหาเครื่องเซ่นผ่านประตูที่เจ้าบ้านเปิดต้อนรับ
แสก แสก แสก…ปิดประตู!!“ไอ้ภพ ปิดประตู!!” ไม่ใช่แค่เสียงเดิมเท่านั้นที่ร้องสั่งผมให้บอกไอ้ภพปิดประตู สัญชาตญาณในตัวผม มันก็สั่งให้ทำแบบนั้น เมื่อภาพที่ผมเห็นและเสียงที่ผมได้ยินคือวิญญาณสัมภเวสีที่ต่างก็วิ่งกรูออกมาจากกำแพงนั่นพร้อมกับที่มีเสียงของนกแสกดังขึ้นร้องทักทายความตายยามที่สัมภเวสีเห็นช่องทางเข้าสู่เครื่องเซ่นไหว้กลางตัวบ้าน
ปั้ง!!
ไอ้ภพปิดประตูอย่างแรง พร้อมกับที่รีบวิ่งเข้ามาหาผม ภาพที่ผมเห็นทั้งสองภาพดันให้บ่อน้ำตาที่ผมพยายามจะเก็บไว้พังทลายลงมา ภาพแรกคือภาพที่วิญญาณเหล่านั้นกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา บางตนคือวิญญาณที่ผมเคยเห็นซ้ำๆจากหลายเกมส์ที่ผ่านมา ส่วนอีกหลายๆตนผมไม่เคยเห็น สิ่งเดียวที่ผีทุกตนมีเหมือนกันคือความหิวโหยและร่ำร้องที่จะได้กินเครื่องเซ่นที่พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะไหว้
ส่วนภาพที่สองเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้ยินเสียงให้ปิดประตู และพยายามหันไปหาแหล่งที่มาอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนความพยายามของผมจะเป็นผลเพราะช่วงที่กวาดสายตาไป ผมไปสะดุดกับร่างๆหนึ่งในความมืด ยืนอยู่บริเวณโซฟา แสงเทียนที่ดับไปแล้วทำให้ผมไม่เห็นหน้าของวิญญาณตนนั้นชัดเจนนักแต่มั่นใจได้ว่าเป็นผู้ชาย วิญญาณตนนั้นจับจ้องมาที่ผมและทำการส่ายหัวเล็กน้อยให้กับสิ่งที่พวกผมทำก่อนที่เขาจะเดินผ่านกำแพงบ้านออกไปต่อหน้าต่อตาผม
“มิว มีวิญญาณเข้ามาได้ไหม?”ไอ้ภพ ร้องถามด้วยใบหน้าที่ติดจะกังวลและหวาดกลัวไปไม่ต่างจากผม
“ฮึก ไม่เห็นไอ้ภพ มึงปิดประตูได้ก่อน”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ใจเย็นๆนะ เราเหลือสิ่งที่จะต้องทำอย่างสุดท้ายแล้ว”
“ฮึก งั้นก็ไปทำกั…”
ลมวูบใหญ่ที่พัดเข้ามา ไม่ใช่พัดพาเอากลิ่นธูปออกไปเท่านั้น
แต่มันยังเป็นเหมือนบัตรเชิญที่นำพาวิญญาณกลับเข้าสู่โต๊ะอาหารคนตายอีกครั้ง…
เคร้ง แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บเสียงจานข้าวใบเล็กๆกระทบกับถาดใบเขื่องที่ตั้งไว้กลางบ้าน ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคี้ยวอาหารอย่างเร่งรีบด้วยความหิวโหย ช่วงจังหวะที่ผมยืนคุยกับไอ้ภพและเตรียมจะหันกลับไปทำภารกิจสุดท้าย ภาพที่หางตาผม ก็ฟ้องขึ้นมาว่าบริเวณกลางบ้านตรงที่วางของเซ่นไหว้เอาไว้ ปรากฏร่างของวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังรุมแย่งอาหารในถาดนั้นอย่างไม่คิดชีวิตจนผมถึงกับต้องปล่อยให้ดวงตาเบิกโพลงขึ้นมาและหยุดเสียงพูดไปเพื่อให้ดูไร้ตัวตนที่สุด
“อะ…ไอ้ภพ ฮึก”ผมคว้าข้อมือของไอ้ภพที่กำลังจะเดินเข้าไปนั่งแทรกระหว่างวิญญาณที่หิวโหยกลุ่มนั้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ มันก็จะไม่จบ ไม่ต้องกลัวนะมิว…กูอยู่ตรงนี้”คราวนี้กลายเป็นไอ้ภพ ที่เดินคว้าข้อมือผมไปนั่งแทรกระหว่างวิญญาณกลุ่มนั้น จนพวกมันต้องหยุดหยิบจับอาหารและหันมาจ้องผู้มาใหม่ทันที
คำสั่งสุดท้ายที่ผมได้รับคือการที่ต้องเข้าไปแย่งข้าวผีกินตามที่ได้อ่านในหนังสือ คำสั่งของเกมส์บอกเพียงว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเราเห็นว่าเหมาะว่าควร สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการเดินไปเคาะถาดเสียงดังสามครั้ง พร้อมกับการหยิบอาหารในสำหรับขึ้นมาทานให้หมด เสแสร้งให้คนดูเชื่อว่าผมกำลังแย่งอาหารสำหรับคนตาย
ผมเดินตามไอ้ภพเข้ามานั่งตรงจุดเดิมกับที่ผมเคยยืนเมื่อครั้นท่องคาถาเรียกวิญญาณ แทรกอยู่ระหว่างวิญญาณคนตายที่กำลังจ้วงเอาเศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าปาก กลิ่นสาปศพเหม็นเน่าลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนผมรู้สึกแสบจมูก น้ำตาของผมถูกความกดดันรอบกายกดเข้าไปในดวงตาอีกครั้งเพื่อไม่ให้สัมภเวสีพวกนี้จับได้ว่าผมกำลังมองเห็นพวกมัน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
เสียงเคาะถาดอาหารดังครบสามครั้ง นั่นจึงหมายถึงสัญญาณที่ผมจะต้องหยิบอาหารทั้งหมดขึ้นมาเข้าปาก ไอ้ภพคือคนที่ตั้งสติได้ก่อนมันจึงหยิบเอาจานขนมหวานใบเล็กมายัดเข้าปากทันที วิญญาณเหล่านั้นมองตามมือไอ้ภพไปด้วยแววตาที่มาดร้ายต่อชีวิตพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ จังหวะเดียวกันนั้น ผมก็ได้หยิบเอาผลไม้รสชาติฝืดคอเข้าปากตามไปด้วย และเริ่มละเลงถาดอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนที่วิญญาณจะคุกคาม
การหยิบอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นสาปเหม็นเน่าที่ผมได้รับ ลอยผสมเจือกับกลิ่นของอาหารทำให้รู้สึกพะอืดพะอมทุกครั้งที่ต้องกลืนลงคอ วิญญาณผีตายโหงตายห่าพวกนั้น เมื่อเห็นว่าผมไม่หยุดการกระทำของตนเอง มันก็เริ่มจ้วงเอาเศษอาหารที่ตกหล่นจากพื้นขึ้นมากินบ้าง มองหน้าพวกผมและขยับให้เข้าใกล้ขึ้นบ้าง ก่อนจะสร้างเหตุการณ์ที่พวกผมไม่ได้คาดคิดขึ้นมา
แผลบ แผลบ…เสียงแลบลิ้นของบรรดาแขกเหรื่อร่วมโต๊ะอาหาร เกิดขึ้นหลังจากที่ถาดอาหารตรงหน้าถูกกำจัดหมดโดยไอ้ภพ นอกจากเศษอาหารบางส่วนที่ยังตกค้างอยู่บนพื้น เศษอาหารที่เกิดจากความเร่งรีบยังติดอยู่บนข้างริมฝีปากและแก้มของไอ้ภพอีกด้วย เมื่อร่องรอยบนพื้นของอาหารถูกวิญญาณกินเข้าไปหมด อาหารที่ยังคงติดค้างอยู่บนหน้าไอ้ภพจึงเป็นเหมือนเป้าหมายใหม่ที่วิญญาณต่างกรูกันเข้าไปรุมเลียเอาเข้าปากตนเอง
“อะ ไอ้ภพ ฮึก เศษอาหารติดปากมึง”ผมกลั้นเสียงสะอื้นหลังจากที่ภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า สะกิดต่อมน้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเอาไว้ให้พังลงมา
“ตรงไหน? ยังมีอยู่อีกหรอ”ไอ้ภพถามกลับพร้อมกับใช้มือคลำไปทั่ว แต่ถึงจะพยายามไปมันก็คงหาไม่เจอ เมื่อวิญญาณเหล่านั้นพยายามจะยื่นหน้าเข้ามาเลีย อำพลางเศษอาหารที่ยังคงติดอยู่
เมื่อผมทนเห็นภาพนั้นต่อไปไม่ได้ ผมจึงเริ่มขยับเข้าไปใกล้มันแล้วยื่นมือของตนเองเข้าไปปัดออกให้แทน สัมผัสกับลิ้นสากของวิญญาณ เมือกน้ำลายเหนียวที่ไหลติดมือกลับมาจนสายตาไร้แววของวิญญาณทั้งหมดหันมาจ้องผมแทน
มึงเห็นกูด้วยเหรอ?
มึงแย่งข้าวกูทำไม?แค่ชั่วพริบตา วิญญาณก็เปลี่ยนเป้าหมายเข้ามาหาผม พร้อมกับร้องตะคอกเสียงดังจนผมต้องเอามือแสร้งขึ้นมาอุดหู ความอึดอัดรอบกาย กำลังทำให้เนื้อตัวผมสั่นอีกรอบ ผมรีบจ้องมองไอ้ภพเพื่อให้มันจัดการอะไรสักอย่างก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว โดยที่ไอ้ภพก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี
ไอ้ภพรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัวหยิบจานใบเล็กที่ยังคงเหลือจากเมื่อเย็น ตักเศษอาหารออกมาให้มากที่สุด และนำมันมาวางไว้บนถาดเรียกให้วิญญาณพวกนั้นหันมองเป็นตาเดียวกันและเริ่มกรูกันเข้าไปกินเศษอาหารอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้เสร็จมันก็รีบเดินไปหยิบธูปและให้สัญญาณกับผมว่าถ้ามันจุดธูปได้เมื่อไร ผมจะต้องวิ่งถือถาดนั้นโยนออกไปหน้าบ้าน
เมื่อไอ้ภพจุดธูป มันเริ่มท่องอะไรบางอย่างออกมา ก่อนจะเดินนำไปที่ประตู จัดการเปิดมันออกและสั่งให้ผมกระชากถาดสำรับขว้างออกไปนอกประตูด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่มันจะเหวี่ยงธูปออกไปทับกับกองอาหารพวกนั้น วิญญาณที่อยู่ในบ้านเมื่อเห็นว่าถาดอาหารถูกเปลี่ยนที่ไปมันจึงรีบวิ่งออกไปแย่งกันใหม่ที่หน้าบ้าน มากไปกว่านั้น วิญญาณที่ยังคงมีบางส่วนอยู่รอบบริเวณบ้านก็แห่กันเข้ามาตามกลิ่นธูปที่ไอ้ภพจุดไว้ ก่อนที่ไอ้ภพจะปิดประตูหนีและนำผมขึ้นห้องนอนในที่สุด
ตกดึก ผมต้องนอนหลับไปพร้อมกับเสียงดังแย่งกันอยู่ที่ถาดอาหาร ส่งเสียงอื้ออึงสลับกับเสียงนกแสกที่ยังคงบินวนอยู่ตรงหลังคาบ้าน อีกทั้ง เกมส์คืนนี้ยังทิ้งคำถามเอาไว้ให้ผมอีกหนึ่งข้อ คำถามที่ทำให้ใจผมแกว่งไปและรู้สึกไม่ดีถึงอันตรายที่เดินทางเข้ามาใกล้ตัวผม
ใคร? คือเจ้าของเสียงคุ้นหูเสียงนั้น
แล้วทำไม…เสียงคุ้นหูเสียงนั้น ถึงกลายมาเป็นวิญญาณอยู่ในเกมส์คืนนี้
เสียงนกกระจอกร้องทักรับวันใหม่อากาศยามเช้าในคืนนี้ ปลุกผมให้ลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปทำภารกิจเก้าวัดต่อ วันนี้ผมกับไอ้ภพจะต้องไปเผชิญหาน้ำในวัดที่ห้าและหก ดวงตาบวมช้ำและร่างกายเหนื่อยล้า รั้งแต่จะให้ตัวผมทิ้งกายอยู่บนเตียงให้นานอีกหน่อย เกมส์เมื่อคืนทำเอาผมหมดแรงไปกับการต่อต้านความรู้สึกของตนเอง ผมเจ็บปาก เจ็บอก และรู้สึกคัดจมูกไปทั่ว การอดทนให้ต้องรับกรรมในสิ่งที่ตนเองกลัว ไม่ใช่เรื่องดีนัก มันกำลังจะค่อยๆฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น
“อ้าว วันนี้ตื่นเช้ากันดีนะครับ คุณภพคุณมิว” เสียงทีมงานที่พูดจากวนเบื้องล่างผมเมื่อวานพูดทักขึ้น
“ก็คุณนัดไว้นี่ครับ จะให้คุณรออีกก็คงไม่ได้”
“เสียงแหบ ตาบวมเชียวนะครับคุณมิว”
“ก็เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยครับ”
“เห็นแล้วหละครับ จะว่าไปเกมส์เมื่อคืนผมก็นั่งลุ้นกับพวกคุณตาเหลือกเลยนะครับ”
“มีอะไรให้ลุ้นหรอครับ?”ไอ้ภพมองหน้าผมและหันกลับไปถามทีมงานคนนั้น
“ก็นะ คุณภพไปเปิดประตูในครัวทำไมหละครับ ผมก็นึกว่าอยากจะยอมแพ้เสียอีก ถ้าไม่ได้คุณมิวร้องไห้ตะโกนสั่งให้ปิดคุณจะกลับมาไหมครับ?”
“กลับสิครับ กลิ่นธูปแรงซะขนาดนั้นจะให้ผมอยู่แบบอุดอู้หรอ อีกอย่างผมแค่เปิดไม่ได้วิ่งออกไป”
“หรอครับ งั้นเกมส์เมื่อคืนพวกคุณก็ไม่เห็นจะต้องหัวเสียถึงขนาดโยนถาดออกไปหน้าบ้านก็ได้มั้งครับ แค่พวกคุณกินข้าวผีทั้งหมดได้ผมก็ว่าพวกคุณผ่านแล้วนะครับ จะโยนไปข้างนอกทำไม?”
“ผมแค่เห็นว่าพวกคุณอยากให้ผมเลี้ยงผี ผมเลยสนองพวกคุณเสียหน่อย ไม่ดีหรอครับที่ผมตัดสินใจตักข้าว จุดธูปเซ่นวิญญาณพวกนั้นใหม่อีกรอบ”
“คงดีกว่านี้ครับ ถ้าถาดที่วางอยู่หน้าบ้าน มันไม่ใช่ถาดเปล่าขัดกับที่คุณว่า”*******************************************TBC**********************************************
เอาตอนที่ 18 มาส่งแล้วนะครับ มาทันวันอังคารอยู่ใช่ไหม 
ก่อนอื่น คงต้องขอขอบคุณทุกการติดตามและทุกคอมเมนต์ทั้งในเล้าและในทวิตเตอร์แฟนเพจนะครับ ผมดีใจมากที่หลายคนยังคงอินไปกับนิยายของผม
เหมือนเดิมครับ ทุกคนสามารถติชมผมมาได้เลยนะครับ ผมจะนำพวกนี้ไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือตนเองให้ดียิ่งขึ้นครับ
หากมีคำผิดหรือประโยคใดที่ไม่ลื่นไหล บอกผมได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะเข้ามาแก้ให้
เจอกันใน #Nightmaregame ได้นะครับ ผมรอทุกคนอยู่ รักและขอบคุณมากๆครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit