NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170617 ครั้ง)

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :hao3:มาแล้วววว   ต่อๆๆ :katai1:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หลอนทุกตอนซิ จะบ้าตาย  :ling3:

สงสัยจริงๆว่านั้นคือเสียงใคร

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่19

สายตา


เกร้ง…

เสียงระฆังดังกังวานเสนาะหู


เสียงนั่นดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณวัด ดังต่อเนื่องกันไปคล้ายกับเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงโดยวาทยกรฝีมือฉมัง ขับกล่อมให้ใจของชายหนุ่มทั้งสองคนรู้สึกสงบและปลอดภัยจากเรื่องวุ่นวายที่พร้อมใจกันถาโถมเข้ามาจนไม่แน่ใจว่าความอดทนของมนุษย์จะสามารถแบกรับมันเอาไว้ได้

ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความจริง  ชะตาชีวิตก็ลิขิตให้ผมต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อขณะที่พวกผมกำลังเตรียมตัวออกจากบ้าน ทีมงานที่เข้ามาทักทายก็ได้บอกความจริงบางอย่างที่เรียกให้ขนในกายลุกชันขึ้นมาแม้ผมจะยังไม่ได้เห็นหรือสัมผัสกับสิ่งลี้ลับเหมือนอย่างเคย

“คงดีกว่านี้ครับ  ถ้าถาดที่วางอยู่หน้าบ้าน  มันไม่ใช่ถาดเปล่าขัดกับที่คุณว่า”

เพียงแค่จบประโยคนั้น  ผมกับไอ้ภพก็รีบวิ่งออกไปดูหน้าบ้าน บริเวณที่มีถาดสำรับอาหารวางเอาไว้อยู่  ก่อนจะพบกับสิ่งที่ทำให้พวกผมตื่นเต็มตา หนำซ้ำ มันยังนำมาซึ่งคำครหาที่คนดูและรายการต่างก็ไม่เข้าใจว่าถาดสำรับนั้นไอ้ภพจะโยนออกไปทำไมในเมื่อสิ่งที่ทุกคนเห็นมันก็เป็นแค่ถาดเปล่า  ไม่มีและไม่เหลืออะไรอยู่บนนั้น นอกจากจานใบเขื่องสามสี่ใบ

ไม่มี…แม้แต่เศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ควรจะตกอยู่รอบๆถาด

ไม่มี…แม้แต่คราบอาหารที่ความเป็นจริงมันจะต้องทิ้งร่องรอยของความมันและกลิ่นคาวเอาไว้บนจานบ้าง

สิ่งที่เหลือ…คงเป็นเพียงเสียงโหยหวนแก่งแย่งอาหารในถาดและเสียงนกแสกที่ดังขับขานรับวิญญาณเหล่านั้นตลอดคืน

“เป็นไปไม่ได้”

คือคำพูดที่ไอ้ภพเปล่งออกมาทันทีหลังจากที่ได้เห็น  ประโยคนั่น ไอ้ภพคงไม่ได้ตั้งใจที่จะพ่นออกมาจนดูเหมือนว่ามันกำลังกลัวกับสิ่งที่เห็นและรับรู้ คำพูดของมันเป็นเพียงคำพูดลอยๆปลอบใจตนเองหลังจากที่มีเสียงฝีเท้าของทีมงานดังไล่หลังมาพร้อมกับคำถามที่เสียดแทงหัวใจคนฟัง จนไอ้ภพ ไม่อาจปกปิดใบหน้าเคร่งเครียดของตนเองได้ยามที่ต้องหาคำตอบให้กับทีมงานว่า เหตุใดมันจึงได้สร้างพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะทำลายข้าวของของเกมส์อีกครั้ง

ทีมงานที่เข้ามาเค้นคำตอบไม่ใช่ทีมงานคนที่คอยเอาแต่พูดจากวนพวกผม  ทีมงานคนนั้นหลังจากที่พูดคุยกับผมเสร็จก็ยืนนิ่งดูสิ่งที่พวกผมตอบสนองไปให้  ปล่อยให้ทีมงานอีกคนได้ทำหน้าที่ของตนเอง โดยการเข้ามาไต่สวนเรื่องราวที่เกิด ก่อนจะยอมราวีไปเพราะผมได้ยืนยันอีกเสียงไปว่า  สิ่งที่พวกผมทำคือการสร้างกระแสให้รายการน่ากลัวขึ้น  ยอมท้าทายมากกว่าสิ่งที่หนังสือได้สั่งเอาไว้ เพื่อให้เรตติ้งรายการสูงขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม

ผมนั่งกุมมือไอ้ภพให้กำลังใจกันและกันมาตั้งแต่บ้าน  เก็บงำความจริงที่มีเพียงเราสองคนที่รู้ อีกทั้งผมยังต้องคอยหลบสายตาทีมงานทั้งสองที่เมื่อขึ้นรถได้ก็นั่งมองมาที่พวกผมด้วยสายตาแปลกๆ  คนหนึ่งมองด้วยแววตาจับผิดกับคำตอบของผม  แต่อีกคนกลับมองมาด้วยแววตาที่ผมคาดเดาไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรนอกจากสายตาที่บ่งบอกว่าเรื่องราวของผมสองคนต้องมีบางอย่างที่ผู้ชายคนนั้นรับรู้มามากกว่าทีมงานคนอื่นๆ  มากกว่าที่จะเชื่อคำแก้ตัวจอมปลอมของผม  มากกว่า…เสียจนอดคิดไม่ได้ว่า  ที่สุดแล้ว ความลับที่พวกเราตั้งใจเก็บไว้คงไม่อาจพ้นสายตาของนักล่าที่ถูกสร้างมาแหลมคมกว่าเหยื่ออยู่เสมอ

“เอาละครับ ถึงวัดแล้ว เริ่มหาน้ำภายในนี้ได้เลยนะครับ  แต่อย่าหากันเพลินจนลืมอัดวีดีโอมาส่งผม  บอกไว้เลยนะครับ หากคุณลืม ต่อให้คุณมีเป็นสิบข้อแก้ตัว  คุณก็ไม่รอดเหมือนอย่างเมื่อเช้าแล้วนะครับ  เกมส์จะปลดคุณออกทันที”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ผมไม่ลืมแน่นอน อีกอย่างเหตุผลที่ผมบอกคุณไปมันก็คือเรื่องจริง ไม่ใช่ข้อแก้ตัวครับ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีครับ  และก็ต้องขอบคุณมากที่ยอมทำเพื่อรายการเรามากขนาดนี้ ซึ้งใจทีเดียวครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ  ยิ่งผมเสี่ยงทำเท่าไร ผลประโยชน์ที่ผมจะได้มันก็น่าจะยิ่งมากขึ้นนะครับ คุณว่าไหม?” ไอ้ภพเถียงขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ทีมงานยังคงวกวนกลับเข้ามาสู่เรื่องที่เราทั้งคู่ต่างก็คิดว่าจบไปแล้ว

“ไม่รู้สิครับ  มันอยู่ในข้อตกลงอย่างนั้นหรือ? ถ้าอยู่ ผมดีใจด้วยนะครับ คุณคงจะได้เงินเพิ่ม  แต่ถ้าไม่  ก็ระวังตัวให้ดีนะครับ นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว คุณอาจจะโดนกระแสด้านลบตีกลับมานะครับ”

“กระแสด้านลบ?  มันจะมาจากไหนหรอครับ ในเมื่อคนดูก็น่าจะชอบที่ผมเสี่ยงท้าทายให้แบบนี้”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับ  คุณอาจจะยังไม่รู้ แต่ทางเราได้รับข้อความบางอย่างมาจากคนดู ต่อว่าทางรายการที่ความผิดเป็นกิโลของคุณยังไม่ถูกชะล้าง”

“งั้นหรอครับ  เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะระวังแล้วกัน  หากคุณไม่ติดขัดอะไร ผมขอตัวนะครับ  เดี๋ยวจะโดนข้อความตีกลับมาอีกว่าผมถ่วงเวลาของเกมส์”

“เชิญเลยครับ”

บทสนทนาที่เต็มไปด้วยไฟโทสะจบลงหลังจากที่ไอ้ภพกระชากมือผมให้เดินออกมาจากตรงนั้น  แรงบีบมืออันมหาศาลของมันกำลังทำให้ผมรู้สึกปวดไปถึงแกนกระดูกนิ้ว  อีกทั้งคิ้วของมันยังกระตุกไปพร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าว บ่งบอกว่ามันกำลังโมโหและอึดอัดไปกับสิ่งที่ทำให้มันอยู่เบื้องล่างจนผมไม่กล้าที่จะบอกมันว่าผมกำลังเจ็บและตัดสินใจเดินก้าวเท้าตามมันไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวครับ!!!  คุณภพ  คุณมิว” เสียงตะโกนห้ามของทีมงานอีกคนดังขึ้นลั่น สลับกับเสียงหอบยามต้องวิ่งเข้ามาหาพวกผมที่ก้าวเท้าออกมาด้วยความเร็วไม่น้อย

“มีอะไร?” ไอ้ภพหยุดเดิน  ก่อนจะหันไปตอบทีมงานเสียงเย็นชนิดที่ว่าเขาต้องหันมามองหน้าผมก่อนที่จะตัดสินใจพูดต่อ

“คุณภพ  คุณใจเย็นๆก่อนครับ  เอาเป็นว่าผมขอคุยกับคุณมิวหน่อย”

“มีอะไร?  ทำไมถึงคุยพร้อมกันไม่ได้”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  คุณไปยืนสงบตัวเองนิ่งๆก่อน คุยกับคุณไปยังไงก็ไม่รู้เรื่อง  อีกอย่างเผื่อคุณจะไม่รู้ตัว มือของคุณมิวตอนนี้มันแดงจนจะช้ำแล้วนะครับ”ไอ้ภพตัวกระตุกไปเล็กน้อยเหมือนพึ่งจะรู้สึกตัวว่ามันกำมือผมอยู่ ก่อนจะหันมาทำหน้ารู้สึกผิดและคลายมือออกไป

“ไอ้มิว กู…”

“เฮ้อ  ทำตามที่ทีมงานบอกก่อนไอ้ภพ ยืนอยู่ตรงนี้ กูไม่ไปไหนไกลหรอก  ในวัดในวา ก็หัดใจเย็นซะบ้าง…ส่วนคุณ จะคุยกันตรงไหนหละครับ  นำผมไปเลยแต่ให้อยู่ในสายตาไอ้ภพมันด้วยนะครับ เดี๋ยวเกิดมันโมโหอีก พวกคุณจะซวยเอา”

“ตามมาเลยครับ ไปคุยใกล้ๆศาลาตรงนั้นแล้วกัน เงียบดีด้วย”

เมื่อทีมงานพูดจบผมก็สั่งให้ไอ้ภพไปยืนรออยู่ใต้ต้นโพธิ์ขนาดสูงใหญ่ภายในวัดใกล้ๆศาลาการเปรียญ  ห่างจากจุดที่ผมจะเดินไปคุยกับทีมงานไม่มาก ทิ้งให้มันยืนรอไปกับเสียงระฆังที่ดังขับกล่อมอารมณ์มาอย่างต่อเนื่องโดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เสียงนั่นจะซึมลงเข้าสู้จิตใจของไอ้ภพให้เบาลงได้

“มีอะไรถึงต้องเรียกมาอย่างนี้ครับ  ขอบอกเลยนะว่าถ้าจะเรียกมาเพื่อกวนตีนผมเหมือนอย่างเมื่อวานนี่ เตรียมตัวตายเลยนะครับ  ผมไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย” ผมออกตัวขู่ทีมงานไปก่อน หลังจากที่ท่าทีของทีมงานดูไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องราวหลังจากนี้มากนัก

“แหม่คุณมิว  อยู่ในวัดในวา ก็หัดใจเย็นบ้างสิครับ”

“เย็นได้เท่านี้แหละครับ  ตั้งแต่เช้ามามีแต่เรื่องให้ปวดหัว  ใจเย็นแค่ไหนมันก็ร้อนได้ทั้งนั้น ”

“เอาเถอะๆ  ก่อนอื่น ผมต้องขอโทษเรื่องเมื่อเช้าที่อยู่ดีๆก็พูดเรื่องถาดสำรับนั่นขึ้นมาจนไปทำให้ทีมงานอีกคนไม่พอใจเข้า”หลังจากบรรยากาศเล่นๆจบลง  น้ำเสียงของทีมงานก็กลับมาตึงเครียดและจริงจังมากขึ้น ฉุดให้ผมต้องปรับตัวไปตามสภาวะที่เปลี่ยนไปจนไม่น่าไว้ใจ

“ช่างมันเถอะครับ คุณก็คงไม่ได้ตั้งใจ  อีกอย่างขอถามได้ไหมครับ  ทีมงานคนเมื่อกี้ไม่ได้ดูผมเมื่อคืนหรอครับ”

“ไม่ครับ ส่วนมากกลางคืนจะเป็นผมที่อาสาดูเสียส่วนใหญ่”

“ทำไมครับ?”

“คุณมิวครับ? ผมขอถามอะไรบางอย่างได้ไหม ได้โปรดตอบผมมาตามตรงด้วยครับ”ทีมงานคนนั้นไม่ตอบ แต่กลับสวนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น

“เรื่อง…อะไรครับ?  ถ้าตอบได้ผมจะตอบให้”

“เรื่องแรก  คำตอบที่คุณบอกว่าคุณโยนถาดออกไปเพราะจะท้าทายเกมส์มากขึ้น   ถาดนั่น…มันไม่ได้ว่างใช่ไหมครับ สำหรับผมที่ดูพวกคุณอยู่  ผมเห็นนะครับว่าคุณภพเดินเข้าไปในครัวอีกครั้ง”

“เรื่องนี้จริงๆไอ้ภพบอกคุณไปแล้ว พวกผมเอาข้าวเอาทุกอย่างใส่ไปให้ใหม่แล้วครับ ไม่ได้โมโหจนต้องไปขว้างปาถาดอย่างที่คุณคิดกัน”

“แล้วคุณจะเอาข้าวใส่ไปใหม่ทำไมครับ  ในเมื่อถ้ามันไม่มีผีคุณก็แค่เอาถาดเปล่าวางออกไปเฉยๆก็ได้นี่ครับ  อีกอย่าง ท่าทีที่ผมเห็น พวกคุณดูรีบร้อนและทำท่าเหมือนจะเชิญวิญญาณเลยนะครับเพียงแต่ สิ่งที่คุณภพทำมันกำลังฟ้องว่าพวกคุณกำลังเชิญวิญญาณออกจากบ้าน”

“นี่คุณ…ต้องการจะบอกอะไรผมครับ”ผมนิ่งค้างไปกับคำบอกเล่าผ่านมุมมองของทีมงาน  สัมผัสของหัวใจเต้นรัวไปกับทุกคำพูดที่เขาเปล่งออกมา จนรู้สึกถึงบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“คุณมิวครับ…คำถามข้อที่สอง  คุณเห็นผีใช่ไหม?”

“ไม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น  ผมบอกแล้วไงผมกำลังท้าทายเพื่อเรียกเรตติ้งให้รายการคุณ”

“อย่าโกหกนะครับ  ผมเคยพูดแล้วใช่ไหมว่าทุกปีมันจะมีคนแบบคุณเสมอ…คุณอยู่ในเกมส์นี้มาได้สิบวันโดยที่ท่าทีของคุณยังดูปกติที่สุด  ผมเลยอยากรู้ว่าเบื้องหลังหน้าจอที่ผมเห็นมันเกิดอะไรขึ้นกับคนในนั้น  ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่บอกผมได้ ทุกคนที่อยู่ได้มาถึงตอนนี้ จิตใจของเขาก็แทบไม่เหลือแล้ว”

“แล้วคุณจะรู้ไปทำไมครับ  ต่อให้ผมเห็นผีจริงๆคุณจะทำอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

“ผมทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ  แต่อย่างน้อยในเกมส์ถัดไปมันก็น่าสนุกกว่านี้ใช่ไหมหากคุณไม่ต้องไปท้าทายอะไรแรงๆอย่างที่คุณเคยโดนมา”

“คุณคือทีมงาน คือบุคคลที่ชี้ชะตาผู้เข้าร่วมเกมส์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  จะมาพูดสวยหรูทำไมครับ อีกอย่าง ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงนะครับ  แต่ผม…ไม่เคยเห็นผีครับ”ความรู้สึกก้ำกึ่งจากคำชักจูงเริ่มทำให้ผมอยากไขว้เขวและบอกความลับแก่ทีมงานคนนี้ไป หากแต่เมื่อมองกลับไปที่ไอ้ภพ สายตาที่จ้องมาของมันก็ปลุกจิตสำนึกบางอย่างว่าผมไม่ควรเชื่อใจใครตอนนี้  คนเดียวที่ผมจะฝากความเชื่อใจทั้งหมดไว้ได้ มีแค่เพียงชายหนุ่มใต้ต้นโพธิ์คนนั้น

“ถ้าอย่างนั้น  ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกันครับ”

“ครับ?” เมื่อผมเห็นว่าทีมงานนิ่งเงียบไปกับคำตอบของผม  หน้าที่ตรงนี้จึงไม่ได้สำคัญอีกต่อไป  ผมเลยตัดสินใจที่จะเดินกลับไปหาไอ้ภพและเริ่มออกหาน้ำภายในวัดนี้ให้เสร็จเสียที  แต่หลังจากก้าวออกมาได้เพียงสามก้าวเสียงของทีมงานก็ดังขึ้นมารั้งขาของผมไว้

“ผมนั่งอยู่เบื้องหลังหน้าจอนั่นมานาน  นานพอที่จะรู้ว่าคุณกำลังปิดบังบางอย่างเอาไว้  อีกอย่างสายตาของผมก็ใช้สังเกตผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมาทุกปี หากคุณยังไม่คิดจะพูดความจริงกับผมก็ไม่เป็นอะไร แต่ระวังตัวเอาไว้ด้วยแล้วกัน เกมส์หลังจากนี้มันจะไม่ใช่การก้าวเดินให้คุณจบทุกอย่างเร็วขึ้น …”

“ยังไง?”ผมขยับปากร้องถามไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา สีหน้าที่เคร่งขรึมของทีมงานกำลังทำให้ผมรู้สึกกลัว  ความไม่ไว้ใจถาโถมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ  เกมส์ตอนนี้ผมจึงดูไม่ต่างไปจากหนูติดจั่นที่กำลังตกเป็นเหยื่อทางจิตของผู้บงการ

“ชีวิตของคุณมันกำลังถอยหลังครับ ถอยไปตามบ่วงที่เกมส์ผูกเอาไว้  และไม่น่าเกินสิบวันต่อจากนี้ ชีวิตที่คุณรักนักรักหนามันจะไม่ใช่ของคุณ…อีกต่อไป” 

น้ำเสียงกดลงต่ำของทีมงาน จงใจพูดขึ้นมาราวกับต้องการให้ได้ยินเพียงเราสอง  แกว่งชิงช้าหัวใจของผมให้ไกวไปมาเรื่อยๆ  ความรู้สึกใจหายและรวดร้าววิ่งแล่นขึ้นมาจนจุกหน้าอก  ดวงตาโตขึ้นถึงขั้นเบิกโพลงไปกับคำพูดที่เหมือนจะเป็นคำเตือนแฝงไปด้วยการขู่แปลกๆจนผมไม่อาจทนฟังถ้อยคำหลังจากนี้ได้  นำพาให้ร่างกายสะบัดออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดและวิ่งไปยังไอ้ภพที่ยืนรอช่วงเวลานี้อยู่แล้ว  ก่อนจะพากันเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองหน้าทีมงานอีก  แม้จะรู้สึกได้เลยว่าทีมงานคนนั้นยังคงไม่ละสายตาไปจากตัวผม

การก้าวเดินอย่างไร้จุดหมายนำพาผมและไอ้ภพมาสิ้นสุดอยู่บริเวณหลังวัด  โดยที่ตั้งแต่เดินแยกออกมาจากทีมงานผมกับมันก็ไม่มีใครได้พูดอะไรเลย  ทุกอย่างสื่อสารกันเพียงภาษากายเท่านั้นเมื่อได้จับมือแลกเปลี่ยนความรู้สึกในใจของเราทั้งคู่ ให้ความร้อนของไฟที่สุมอยู่ในอกเย็นลงจากความรู้สึกอบอุ่นที่มาพร้อมกับความปลอดภัยในอุ้งมือนั้น  เวลานี้คงไม่มีใครที่เป็นฝ่ายเห็นแก่ตัวกอบโกยเอาแต่ความสุขของอีกฝ่ายได้แล้ว  หากแต่เป็นเราทั้งคู่กำลังถ่ายเทความทุกข์ออกไปพร้อมกันและรับรู้เข้าใจกันผ่านความห่วงใยที่ไร้เสียง

“เย็นดีเหมือนกันนะ”ไอ้ภพเปิดปากขึ้นมาด้วยประโยคที่ผมค่อนข้างเห็นด้วย หลังวัดที่ผมมามีบึงขนาดใหญ่ชวนให้เย็นใจตั้งอยู่  เสียงจอแจของหลายๆครอบครัว กำลังแสดงถึงความสุขที่เกิดขึ้นดังทางด้านขวามือของผม คนเหล่านั้นกำลังให้อาหารปลากันอย่างสนุกสนานบนศาลาที่ตั้งอยู่ริมบึงเล็กๆ   บ้างก็พูดคุยกันเสียงดังหยอกล้อกันไปมา  บ้างก็นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านที่ขายติดๆกัน ปล่อยให้ลมเย็นๆพัดโชยเอาไอแดดออกไป จนอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มตามความสุขที่เห็น

“จะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่ากูพูดอะไรกับทีมงาน”เมื่อบรรยากาศพาไป  คำถามหยั่งเชิงจึงถูกผมขุดขึ้นมาใช้กับไอ้ภพ

.
.
.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“หืม? อยากเล่าหรือไง”

“เอาจริงๆก็ไม่  กูแค่อยากให้มึงลองถามเหมือนทุกครั้ง”

“หึ ทุกครั้งที่กูถามมึงมันเป็นเพราะกูไม่รู้ว่ามึงจะต้องเผชิญกับอะไร  แต่ครั้งนี้เพราะกูรู้ไงว่ามึงเจอกับอะไรมา  ท่าทางที่ดูกลัวจนเหงื่อซึม  ใบหน้าที่เคร่งเครียดขนาดนั้น มันบอกกูหมดแล้วว่ามึงไม่ได้เจอเรื่องที่ดี  ฉะนั้น ละครเรื่องเดิมๆที่กูต้องให้มึงนำมาฉายซ้ำอีกรอบ กูก็ไม่อยากดูหรอก ถ้าความต้องการของกู มันต้องขยี้ความรู้สึกของมึง”

“ขอบคุณมากๆนะ ที่เข้าใจ”

“อืม  ก็อยู่กันแค่นี้ ยังไงความรู้สึกมึงก็ต้องมาก่อน”

“น่าอิจฉาเนอะ  ถ้าตอนนี้เราไม่ต้องอยู่ในเกมส์นี่  เราสองคนคงไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง”ผมพยักหน้ารับความรู้สึก ก่อนจะพ่นคำพูดตัวเองออกมาอีกครั้งยามที่ต้องมองไปที่บรรดาครอบครัวข้างหน้านั่น

“ไม่หรอก  สำหรับมึงอาจจะใช่  แต่สำหรับกู สามปีที่ผ่านมามันไม่เคยมีวันไหนที่กูสุข ไม่เคยมีวันไหนที่กูหลับได้เต็มตาเลยสักครั้ง  ตั้งแต่กูเสียน้องสาวไป มันก็เหมือนเสียชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของกูไปด้วย”

“เฮ้ย  กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจให้มึงคิดมากนะ  กูแค่เผลอหลุดพูดไปกับบรรยากาศตรงนี้เฉยๆ”

“หึ ไม่ต้องคิดมากหรอก  บรรยากาศแบบนี้มันก็สุขอย่างมึงว่านั่นแหละ…แล้วมึงเป็นไง  อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?  เตรียมอัดวีดีโอแล้วไปหาน้ำกันเถอะ เผื่อมีเวลาจะได้มานั่งพักตรงนี้กันด้วย”พูดจบไอ้ภพก็เดินมาขยี้หัวผมจนฟูไปหมด ก่อนที่มันจะเดินแยกออกไป ทิ้งให้ใบหน้าของผมขึ้นริ้วสีอมชมพูพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นมาเบาๆ

ผมเดินออกไปให้ทันไอ้ภพ  ก่อนจะหยิบกล้องวีดีโอขึ้นมาอัดเอาไว้ด้วยประโยคเดิมๆเหมือนกับทุกวัน  แต่ดูเหมือนวันนี้จะพิเศษกว่าหน่อย ตรงที่มีไอ้ภพเข้ามาร่วมแจมบ้างจนการอัดวีดีโอดูสนุกสนานไปมากกว่าทุกๆวัน  วัดที่ผมมาวันนี้ค่อนข้างจะต่างจากวัดแรกๆโดยสิ้นเชิง  ทั้งความกว้างใหญ่ของวัด  ทั้งจำนวนคนที่เข้ามาทำบุญกันในนี้  เลยทำให้บรรยากาศไม่ดูเงียบเหงาและวังเวงเหมือนกับวัดก่อนๆ

ด้วยความที่วัดค่อนข้างใหญ่ พวกผมจึงต้องเดินและสังเกตกันให้ละเอียดมากขึ้น  ทิฐิที่ถูกสร้างตอนลงมาจากรถทำให้พวกผมสองคนไม่เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากทีมงานแม้แต่คนเดียว  ใช้ความสามารถของตนเองสุ่มเดาไปเรื่อยๆว่าบ่อน้ำลักษณะแบบนั้นมันควรอยู่ตรงไหน  จนเหงื่อไคลเริ่มไหลเลียผิว  พวกผมถึงได้รู้สึกตัวกันว่า  เราใช้เวลาในการหาไปค่อนข้างมากแต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานใดๆติดมือกลับมาเลย

“ขอโทษนะครับ  ขอถามอะไรได้ไหมครับ?”ผมและไอ้ภพเดินพัดมือคลายร้อนเข้าไปหา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนพักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้  ก่อนที่พวกเธอจะหันมาสบตาเข้ากับผมพอดี

“ได้สิคะ  ถามมาเลย”หนึ่งในคนกลุ่มนั้น จ้องมองมาที่พวกผมน้อยๆ ก่อนจะเริ่มตอบคำถามและพูดคุยแบบเป็นกันเอง

“ไม่ทราบว่าพอจะเคยเห็นบ่อน้ำลักษณะเก่าๆ ที่เวลาใช้ต้องชักรอกขึ้นมาบ้างไหมครับ?”

“อ๋อ เคยค่ะ  มันก็อยู่ตรงหลังวัดไม่ใช่หรอคะ คุณยังไม่เห็นเหรอ  เลยร้านอาหารไปหน่อยก็เจอแล้วค่ะ”

“หลังวัด?  รู้ด้วยหรอครับว่าพวกผมเดินกันไปที่หลังวัดมาแล้ว”ผมผงะไปทันทีหลังจากได้ยินคำตอบ  ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้ได้อย่างไรว่าผมเคยไปไหนกันมาบ้าง

“แหม่ จะให้พูดจริงๆหรอคะ  ผู้ชายสองคนเดินคู่กันในวัดทำท่าทำทางกระหนุงกระหนิงแบบนั้นมันเด่นน้อยเสียเมื่อไร อีกอย่าง พวกเราเห็นคุณสองคนตั้งแต่ไปยืนหน้าดำหน้าแดงกันตรงบึงน้ำแล้วค่ะ” 

“อ่อครับ  งั้นขอบคุณมากนะครับ  พวกผมขอตัวก่อน”

ผมโบกมือลาออกมาพร้อมใบหน้าที่จะยิ้มก็ยิ้มไม่เต็มที่  ความรู้สึกอุ่นๆในหัวใจกำลังเรียกเลือดให้ขึ้นหน้า  ผมไม่รู้ตัวเลยว่าระหว่างการเดินหาสิ่งของเหล่านี้  ทุกการกระทำจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้หญิงกลุ่มนั้นหรืออาจจะคนทุกกลุ่ม  นำให้ผมต้องคอยลอบมองปฏิกิริยาของไอ้ภพบ้างว่ามันจะแสดงออกแบบหรือไม่ 

และก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด  ไอ้ภพไม่ได้แสดงออกอะไรออกมาเลย ใบหน้าแดงก่ำของมันก็ดูเหมือนจะเกิดจากความร้อนมากกว่าที่จะเขิน  ทำเอาผมใจแป้วไปบ้าง แต่ด้วยความที่ผมไม่ค่อยสนใจตรงนั้นมากนัก เรื่องในหัวจึงมีเพียงสิ่งที่พวกเธอเหล่านั้นบอกมาว่าพวกเราต่างก็ดูแลกันโดยที่ไม่รู้ตัว  ผมจึงถือว่าไอ้ภพมันก็คงเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย

“จะมองอะไรนักหนา  เห็นหน้ากันทุกวันขนาดนี้มึงยังมองไม่หมดหรือไง?” ไอ้ภพถามขึ้นหลังจากที่สองเท้าของเราพากันมาหยุดยืนตรงหน้าบ่อน้ำคนละฝั่งของบ่อ

“ทำไมขี้หวงจังวะ  มองทุกวันก็ไม่ใช่ว่ามันจะเห็นทุกอย่างหนิ”

“จะอยากเห็นขนาดไหนกัน  แค่กูยิ้มออกมาได้นี่มึงก็ต้องทำบุญเพิ่มแล้วนะไอ้มิว”

“โถ คุณมึงครับ  เพ้อเจ้อ แค่ยิ้มของมึงมันใช้บุญเก่ากูไม่หมดหรอก”

“อย่างนั้นหรอ  แล้วถ้าแบบนี้หละ…จะหมดหรือยัง”

เมื่อพูดจบไอ้ภพก็ละมือจากรอกนั่นแล้วเปลี่ยนไปเป็นค้ำบ่อแทน ก่อนจะเคลื่อนย้ายใบหน้าของมันให้เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนลมหายใจของเรารดปลายจมูกกันและกัน  ทุกสิ่งรอบกายผมหรือแม้แต่หูของผมก็ดูจะบอดไปหมด  ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของหัวใจตัวเองที่ร่ำร้องออกมาว่าผู้ที่เป็นเจ้าของมันกำลังเล่นตลกจนน่ากลัว 

และเหมือนไอ้ภพจะสนุกที่ได้แกล้งผม  มันจึงค่อยๆยิ้มออกมา ยิ้มนั่นเป็นยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นจากไอ้ภพเลยสักครั้ง  มันเป็นยิ้มที่ดูอ่อนโยน   เป็นยิ้มที่ไม่ได้ทำให้มันหล่อขึ้นเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นยิ้มที่ระเบิดความรู้สึกและหัวใจของผมให้แตกละเอียดไปไม่เหลือชิ้นดี

“นี่ใช่ไหมที่อยากเห็น” ไอ้ภพเลื่อนใบหน้าของมันเข้ามากระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูผมที่ตอนนี้นิ่งค้างไปกับการกระทำของมันโดยสมบูรณ์

“…”

“คราวหลังไม่ต้องแอบมองหรอก  ขอให้กูยิ้มออกมาเลย กูก็ทำได้และไม่ต้องกลัวด้วยว่ากูจะไปยิ้มให้คนอื่น”

“ทะ…ทำไม”

“หึหึ เพราะยิ้มแบบนี้….มันมีไว้ใช้กับมึงคนเดียว”


แสงตะวันยามบ่ายนำทางพวกเราให้กลับเข้าสู่ตัวบ้านอีกครั้ง…

ผมเดินทางกลับจากวัดที่หกด้วยความรวดเร็ว  ระยะเวลาที่พวกเราใช้กันในวันนี้ดูจะสั้นมากกว่าวันอื่นๆจนทีมงานที่นั่งรออยู่บนรถต่างก็ทำหน้าแปลกใจไปตามๆกัน  โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผมกับไอ้ภพต้องทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วเช่นนี้มันเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ชวนให้โลกเป็นสีชมพูข้างบ่อน้ำจบลง

หลังจากที่ไอ้ภพพูดประโยคที่ทำให้โลกของผมกลับมาสดใสขึ้น  ความรู้สึกบางอย่างที่ผมสัมผัสได้มาก็แทบจะดึงให้โลกของผมกลับมาหม่นลงในทันที  ช่วงที่ไอ้ภพมันละออกไปจากตัวผมและเปลี่ยนไปดึงรอกเอาน้ำขึ้นมาแทน  สัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมก็ทำงานโดยการสั่งให้ผมหันไปมองทุกมุมของวัดเพื่อหาต้นเหตุของความรู้สึกที่ว่า มีสายตาคู่คมกำลังจับจ้องมาที่พวกผมสองคนอย่างจริงจัง

นาทีแรกที่ผมจะตัดสินใจบอกไอ้ภพ  ความรู้สึกช่วงหนึ่งมันทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงกลุ่มนั้น  กลุ่มที่บอกกับผมว่าพวกเธอมองผมมาตั้งแต่แรก  และเพื่อไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะการคิดไปเอง  ผมจึงลองปิดปากไปก่อนและปล่อยให้ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกถึงสายตาที่เสียดแทงมาทางผมดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่  แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกยามที่พวกผมสองคนเดินออกมาเข้าสู่ฝูงชนกลุ่มใหญ่ สุดท้าย ผมก็ได้พบว่าสายตาคู่ที่คอยจ้องมาตั้งแต่บ่อน้ำกับสายตาคู่ที่กำลังจดจ้องพวกผมอยู่มันให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย

สายตาคู่นั้นกำลังใช้มองผมด้วยอารมณ์บางอย่าง…อารมณ์ที่ผมเดาไม่ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของดวงตากำลังรู้สึกอะไร

ผมรีบบอกให้ไอ้ภพเดินกลับไปกินข้าวที่รถ  ละทิ้งแผนการที่จะนั่งพักผ่อนอยู่ตรงศาลาริมบึงไป  ผมทนไม่ได้ที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของบุคคลที่มองมาอย่างไม่หวังดี  ผมรู้สึกกลัวไปกับสายตาคู่นั้น  กลัวมากจนสายตาของวิญญาณเมื่อคืนเทียบไม่ติดเลย  สายตาที่มองมาแม้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นผีหรือคนแต่สิ่งนั้นกำลังไม่พอใจอะไรในตัวพวกผมแน่ๆ  ผมเชื่ออย่างนั้น  ยิ่งลางสังหรณ์ที่ผมสนับสนุนความเชื่อของผม  ไซเรนแห่งการป้องกันตนเองจึงดังขึ้นสั่งให้ผมออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“เกิดอะไรขึ้นไอ้มิว?” ไอ้ภพที่วิ่งตามมาเพราะแรงฉุดกระชากของผม ถามขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงงไปกับเหตุการณ์ที่พลิกจากหน้ามึงจนแทบจะเป็นหลังเท้า

“ภพ…สายตา มีสายตาอีกคู่แล้วที่กำลังจ้องมองพวกเราอยู่”

“สายตา? อีกแล้วเหรอ  มึงแน่ใจใช่ไหม  อาจจะเป็นสายตาของคนรอบๆตัวเราหรือเปล่า”

“ไม่ผิดแน่ไอ้ภพ  มีสายตามองเราจริงๆ กูรู้สึกได้มาสักพักแล้ว สายตาที่มองมันไม่ต่างไปจากที่กูโดนมองเมื่อคืนเลย แต่คราวนี้มันไม่ได้หวังดีหวะ  กูรู้สึกอย่างนั้น  มันกำลังมองมาที่เราด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างแรงนะภพ”

“เอาอีกแล้ว  คราวนี้มันจะเป็นสายตาของใครกัน  สายตาคู่เมื่อคืนเราก็ยังไม่รู้ผู้เป็นเจ้าของมันเลยนะ”

“เชื่อกูเถอะ  ว่าสายตาคู่ล่าสุด เราจะไม่อยากรู้ถึงเจ้าของดวงตาเท่าเมื่อคืนแน่นอน”

เมื่อกลับมาถึงรถได้  ผมก็รีบบอกให้ทีมงานออกรถไปอย่างรวดเร็ว  จัดการกินข้าวให้เรียบร้อยและนอนรอเวลาให้รถเคลื่อนตัวพาผมไปยังวัดที่สองที่ผมต้องทำภารกิจ โดยไม่ลืมที่จะหย่อนเอาความรู้สึกไม่ดีตรงนั้น ฝากทิ้งไว้ภายในวัดที่สร้างทั้งความสุขและความหวาดระแวงให้ผม

ขณะเดินทางมาถึงวัดที่สองของวันนี้  ผมไม่ลืมที่จะขอความช่วยเหลือจากทีมงานอีกครั้ง  เนื่องจากวัดนี้มีขนาดใหญ่และจำนวนคนที่เยอะไม่แพ้วัดเมื่อเช้า ฉะนั้นการแบกทิฐิลงไปด้วยก็อาจจะเป็นการทำร้ายตัวเองมากเกินไป  ช่วงเวลาที่ผมจะต้องใช้ภายในวัดนี้จึงเป็นไปตามการคาดเดาล่วงหน้าของพวกเรา

เมื่อทำการหาทุกอย่างเสร็จ ผมจึงมีเวลาได้พักผ่อนภายในสถานที่แบบนี้เสียที  เตรียมพร้อมพละกำลังทางใจให้เข็มแข็งพร้อมตั้งรับกับสิ่งที่ตนเองต้องเจอในคืนนี้และคืนต่อๆไป  โดยไม่ลืมที่จะเอาเวลาพักผ่อนในตอนนี้ไปใช้กับจุดประสงค์ที่แฝงรวมอยู่ด้วย  ซึ่งนั่นก็คือการหาสายสิญจน์หรือวัตถุมงคลเพื่อแอบพกไปใช้ให้อุ่นใจภายในบ้าน

ด้วยจำนวนคนที่มากมายเลยทำให้ผมไม่ได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาอีกเลย จนกระทั่งการเดินเข้าไปภายในโบสถ์เพื่อพากันไปไหว้พระและเตรียมหาสิ่งของที่ต้องการ  ความรู้สึกเดิมๆที่ผมตัดสินใจหักดิบทิ้งมันเอาไว้ในวัดตอนเช้าก็กลับมาอีกครั้ง  คราวนี้ชัดเจนจนไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึก  ไอ้ภพก็เป็นไปด้วย

มันเริ่มต้นบอกกับผมว่า ช่วงที่มันกำลังจะก้มลงไปกราบพระ  หางตาของมันก็รู้สึกถึงการจ้องมองมาจากทางหน้าต่างโบสถ์  แต่แค่เพียงแวบเดียว เพราะเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว   คำบอกเล่าของไอ้ภพอาจจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระและไม่น่าเชื่อหากเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดให้คนภายนอกฟัง แต่ไม่ใช่กับผม ที่ถึงกับนั่งเงียบไปหลังจากได้ฟังเรื่องราวผ่านปากไอ้ภพ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย  รับความรู้สึกที่ว่า ผมก็สัมผัสได้จากจุดนั้นเหมือนกัน

เมื่อความรู้สึกที่เหมือนโดนคุกคามเข้ามาเล่นงาน  พวกผมจึงไม่คิดจะถ่วงเวลาอีกต่อไป  รีบวิ่งกันกลับไปที่ตัวรถ เรียกให้ทีมงานที่นั่งนิ่งๆอยู่แถวนั้นตกใจกันเป็นแถบๆ ก่อนจะถามไถ่ถึงที่มาของการกระทำนี้  และเมื่อพวกผมไม่มีคนใดเปิดปากเหล่าทีมงานจึงไม่คิดจะซักไซ้และพาเรากลับเข้าสู่ตัวบ้านอย่างที่เราต้องการ

“ขอบคุณครับที่มาส่ง”ผมขอบคุณทีมงานไปตามมารยาทหลังจากที่ส้นเท้าสัมผัสหน้าดินของบ้านผีสิงหลังนี้

“ไม่เป็นอะไรครับ  แต่คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับว่าทำไมวันนี้ถึงได้กลับกันมาเร็วนัก อีกสามวัดก็จะไม่ได้ออกแล้วนะครับ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ  ผมแค่เหนื่อยเลยขอกลับมาพักผ่อนดีกว่า คืนนี้พวกผมต้องเจออะไรกันอีกยาว”

“โอเคครับ ผมตามใจยังไงถ้าวันพรุ่งนี้อยากกลับก่อนก็บอกได้เลยนะครับ พวกผมไม่ว่า”

“ขอบคุณอีกครั้งครับ”ผมโค้งหัวให้นิดหน่อยและเดินหันหลังกลับเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมไอ้ภพ

“เดี๋ยวครับ…คุณมิว”

“ครับ?”ผมหยุดก้าวขาออกไปและหันกลับมามองหน้าทีมงานที่พูดคุยกับผมเมื่อเช้าอีกครั้ง  ความรู้สึกที่เรียกว่าเดจาวูตีซ้อนกลับมาให้ผมนึกถึงวันแรกที่เข้ามาในบ้านหลังนี้  วันนั้น ผมก็โดนทีมงานคนหนึ่งร้องทักเอาไว้ด้วยคำแบบเมื่อสักครู่นี้ ตรงบริเวณนี้ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“คุณยังยืนยันที่จะไม่ตอบคำถามผมใช่ไหมครับ?”

“ครับ  ไม่ว่าคุณจะถามคำถามผมอีกสักกี่ครั้ง คำตอบของผมก็คงจะเป็นเหมือนเดิมคือ  ผมไม่เห็น”

“ใช้คำว่าคงจะ นี่ไม่แน่นอนเลยนะครับ  แต่เอาเถอะ คุณไม่พูดวันนี้ก็ได้  แต่บอกไว้เลยนะครับ  ถ้าครั้งหน้าผมถามคำถามนี้ขึ้นมาอีกเมื่อไร  สิ่งที่คุณจะต้องตอบผม มีเพียงอย่างเดียวคือ พูด ความ จริง”ท้ายประโยคทีมงานคนนั้นก็เงียบเสียงลงไปและใช้การขยับปากทีละคำอย่างช้าๆเพื่อให้ผมได้เห็นความต้องการนั้นเพียงคนเดียว

เมื่อทีมงานเดินกลับออกไป ผมก็ทำได้แค่ส่ายหัวเบาๆ จนเรียกได้ว่าปลงและชินชาไปกับการดื้อรั้นที่จะถามของทีมงาน  ถอนหายใจออกอย่างช้าๆและเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน  กวาดสายมองหาไอ้ภพและเห็นว่ามันกำลังยกตะกร้าผ้าที่คงมีทีมงานเอาไปซักไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นไปบนห้อง  ก่อนที่ผมจะเดินตามมันขึ้นไปจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพากันไปนอนรอเวลาให้แสงอาทิตย์ของวันนี้ลับขอบฟ้าลงไป

กริ๊งงงงง  กริ๊งงงงง  กริ๊งงงงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์ดังแผดเสียงร้องอยู่ข้างหูของผมกับไอ้ภพที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ  ปลุกให้ผมงัวเงียขึ้นมาเอื้อมมือไปคลำหาเพราะคิดว่าเป็นเสียงร้องเตือนของนาฬิกาปลุกยามเช้า  ก่อนที่จิตสำนึกจะร้องเตือนขึ้นมาว่า  ผมไม่ได้อยู่ที่หอ  ผมกำลังเล่นเกมส์อยู่ในบ้านร้างมีประวัติหลังหนึ่ง  บ้านร้างที่มีกฎหลักของบ้านคือ ห้ามผู้เข้าแข่งขันพกโทรศัพท์กันเข้ามา

“ตื่นแล้วใช่ไหม?”

“เฮ้ย!! โถ่….ลุงคำ เล่นอะไรครับเนี่ย  ทำไมไม่ปลุกผมดีๆ”ผมสะดุ้งตกใจไปกับเสียงร้องทักที่คุ้นชิน ก่อนจะเบนสายตาไปหาที่มาของเสียงและพบกับลุงคำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียงพร้อมกับชูโทรศัพท์รุ่นดึกดำบรรพ์ที่ตอนนี้ยังคงร้องเสียงดังขึ้นมาให้ดู

“เอ้า  ลุงก็ปลุกพวกเอ็งด้วยโทรศัพท์นี่แล้วไง  อุสส่าห์ไม่เรียกแล้วนะ 555”

“ครับๆ ดีแล้วครับ  แล้วนั่นโทรศัพท์ของใครหรอครับ ของลุงหรอ?”

“อ้าว  ลุงคำ สวัสดีครับ มาตั้งแต่เมื่อไรกัน”ไอ้ภพ หาววอดใหญ่ บิดขี้เกียจหลังจากตื่นนอน ก่อนจะหันไปทักทายลุงคำด้วยดวงตาที่แทบลืมไม่ขึ้น

“ไหว้พระเถอะเอ็งหนะ  ส่วนโทรศัพท์นี่ไม่ใช่ของลุงหรอก  รายการให้เอามาให้มันต้องใช้ในเกมส์คืนนี้”

“เกมส์…คืนนี้หรอครับ”

“ใช่  ทำหน้ากันอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ได้อ่านกันใช่ไหม?  รีบไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วจะได้รีบลงไปอ่านกัน  ลุงก็จะได้กลับด้วย  นี่ลุงยอมทำผิดกฎรายการเพื่อพวกเอ็งเลยนะ”

“ผิดอะไรหรอครับลุง?  หรือว่า….นี่กี่โมงแล้วครับ!!”ผมนึกตามคำพูดลุงคำ ก่อนจะร้องโหวกเหวกถามลุงคำด้วยหน้าตาตื่น

“ตอนนี้…สองทุ่มกว่าแล้ว ตามจริงลุงอยู่ถึงขนาดนี้ไม่ได้หรอก แต่เห็นว่าพวกเอ็งคงเหนื่อย ลุงเลยทำกับข้าวเอาไว้ให้แล้วก็รอปลุกพวกเอ็งเนี่ย  ขืนปล่อยให้ตื่นเองคงได้โดนปรับแพ้เข้าจนได้”

“ข..ขอบคุณมากนะครับลุง  แล้วลุงจะไม่เป็นอะไรหรอครับ” คำพูดของลุงคำทำเอาผมกับไอ้ภพ พูดแทบไม่ออก ความรู้สึกผิด  ความรู้สึกที่เคยไม่ไว้ใจตีรื้นขึ้นมาจนจุกคอไปหมด  เรียกให้ดวงตาซึมไปด้วยน้ำใสๆเล็กน้อย

“ลุงไม่เป็นอะไรหรอก  พวกเอ็งตื่นกันได้ก็ดีแล้ว  งั้นเดี๋ยวลุงไปแล้วนะ  ระวังตัวกันด้วยนะ ลุงเป็นห่วง”

“เกมส์คืนนี้…มันหนักมากเลยหรอครับลุง”

“หนักไม่หนักลุงไม่รู้หรอก  ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพวกเอ็ง…แต่เกมส์คืนนี้พวกเอ็งจำคำพูดลุงเอาไว้ด้วยนะ”

“จำ?  จำอะไรครับ”ไอ้ภพที่คงตื่นเต็มตา  ยืดตัวขึ้นนั่งท้าวคางมองหน้าลุงคำด้วยความสงสัย

“พวกเอ็งเล่นกันมาหลายเกมส์แล้ว  รู้หรือยังคนตายกับผีมันไม่เหมือนกันหรอกนะ”

“ยังไงครับ  ในเมื่อที่ลุงว่ามามันก็คือคนที่สิ้นชีวิตไปแล้วทั้งคู่”

“คนตายหนะใช่ เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว นอนนิ่งให้ผืนดินกลบตาไปแล้ว  แต่สำหรับผี  มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีหรือวิญญาณคือสิ่งมีชีวิตหลังความตาย พวกมันล้วนต่อลมหายใจปลอมๆเพียงเพื่อจะได้ติดต่อกับใครสักคนที่สามารถจะนำทางพวกมันไปสู่ภพภูมิที่พวกมันต้องการได้”

“ถ้าอย่างนั้น อย่าบอกนะครับลุงว่าเกมส์คืนนี้…”ผมนั่งนิ่งกำผ้าห่มผืนหนาเอาไว้แน่น สบตากับไอ้ภพที่ยื่นมือมาสัมผัสกับไหล่ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าลุงคำที่ก็มองมาด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน

“อืม  เกมส์คืนนี้มันจะไม่มีการท้าทาย  ไม่มีคาถาเชิญวิญญาณ  ไม่มีการจุดธูป  ไม่มีการขอเจ้าที่…มีแค่โทรศัพท์เครื่องนี้  ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกเอ็ง  ติดต่อกับผู้มีชีวิตหลังโลกแห่งความตาย”





************************************************TBC*****************************************
สวัสดีครับวันนี้เอาตอนที่  19  มาส่งแล้วววว 
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ตอนนี้อาจจะน้อยกว่าตอนอื่นๆที่ผ่านมาเพราะว่าผมไม่สามารถตัดช่วงของบทถัดไปได้
หากใครที่รอลุ้นหรือคาดหวังกับตอนนี้แล้วไม่พอใจ  ผมขอโทษด้วยครับ  คราวหน้าจะระวังการแบ่งช่วงให้ดีกว่านี้ :o12:
ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ ทุกการแชร์ และ ทุกการติดตามนะครับ  เป็นกำลังใจให้ผมมากเลยทีเดียว
หากมีเรื่องอยากติชม สามารถเข้ามาบอกในนี้ได้เลยนะครับผมอ่านของทุกคนเลย
หรือถ้าไม่สะดวกสามารถเข้าไปใน  #Nightmaregame ได้เลยนะครับ ผมพร้อมตอบทุกคนเสมอ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ  ผมจะมาแก้ให้
รักคนอ่านทุกคนครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
สายตาของใครอีกแล้วว มาไม่ดีอีกก  :z3:

หวานไม่เท่าไหร่ก็หลอนล้าว 5555555
เอาใจช่วยให้ทั้งคู่ผ่านเกมส์นี้ และไฝว้พวกทีมงานชนะนะคะะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ไม่รู้เลยว่าใครหวังดีหวังร้าย?! หลอนไม่เลิกเลย :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ไม่ค่อยเห็นภพหวานกับมิวเท่าไร แต่พอหวานทีนี่เขินเลย :-[

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เป็นห่วงมิว

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้น้าาาาา

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่ 20

โทรทักรับตาย

เคยได้ยินไหม?

เรื่องราวของเบอร์โทรศัพท์ปริศนาที่โทรเข้ามาเพื่อคร่าหนึ่งชีวิตที่อยู่ปลายสาย  เบอร์พวกนั้นไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันโทรมาจากไหน หรือใครคือผู้ที่ถือครองเบอร์เหล่านี้  เท่าที่ทุกคนรู้  มีเพียงว่าทุกสภาพศพจะมีลักษณะแบบเดียวกันคือแก้วหูแตก เลือดคั่งในสมอง  อีกทั้งยังได้รับสายในช่วงเวลาใกล้ๆกัน  ดังนั้น จุดประสงค์ของสายมรณะนั่นจึงไม่เคยมีใครทราบ  นอกเสียจากการเดาไปว่าต้นสายมีเป้าหมายที่หวังจะฆ่าให้ตายโดยที่ไม่มีการเลือกคน  ไม่มีการเลือกจังหวัด ขอแค่เพียงผู้ที่ใจกล้ารับสายเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียว ชีวิตของพวกเขาก็จะหวนคืนสู่จุดที่ทุกคนเคยจากมา

หวนคืนสู่เรื่องราวแห่งความตาย…

ด้วยเพราะไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมา  คำบอกเล่าต่างๆนานาจึงเริ่มเกิดขึ้น  เรื่องราวที่ถูกเผยแพร่แบบผิดๆถูกๆของบรรดาผู้ที่รู้เรื่อง เริ่มถูกประติดประต่อเปลี่ยนเนื้อหาไปดั่งไฟลามทุ่ง ไม่ว่าจะเป็น เสียงที่คนตายได้ยินคือเสียงของคำสาปจากผู้วายชนม์  เสียงของคนเล่นของที่ต้องการโทรมาลองของที่ตนมี  เสียงของบทสวดภาษาต่างๆ  หรือที่เป็นข้อสันนิษฐานโน้มน้าวผู้ฟังได้มากที่สุดคือ  สายจากวิญญาณที่ตายโหงจากแหล่งต่างๆ โทรเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ  หากแต่ว่าผู้รับไม่สามารถรับคลื่นความถี่ที่ต่างกันได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เยื่อแก้วหูของคนเป็นจึงเกิดการฉีกขาดแล้วนำไปสู่ความตาย

“เป็นไปไม่ได้” ไอ้ภพพูดเสียงแข็ง ขัดการอ่านคำอธิบายของเกมส์ที่จะต้องเล่นในคืนนี้

“เรื่องไหน?”ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ภพแทบจะในทันทีที่มันพูดจบ  ก่อนจะค่อยๆเปิดปากถามถึงสาเหตุ

“ตอนกูฟังข่าวนี้ครั้งแรก เรื่องพวกนี้กูไม่เชื่ออะไรสักอย่างนอกจาก คลื่นความถี่ที่มันสามารถทำลายเยื่อแก้วหู แต่หลังจากที่เข้ามาในเกมส์นี้  กูรับรู้เรื่องราวหลังความตายผ่านปากของมึง เรื่องที่ว่าวิญญาณโทรมาขอความช่วยเหลือแล้วคนฟังต้องตาย มันจึงเป็นไปไม่ได้ในความคิดกู  เพราะถ้ามันเป็น…มึงคงตายไปนานแล้ว

“มึงอย่าไปให้ราคาอะไรกับมันเลย เรื่องคำอธิบายในหนังสือนี่มันก็แค่คัดลอกข้อความมาจากเนื้อความในหนังสือพิมพ์  ความเป็นจริงเป็นอย่างไร พวกเราย่อมรู้กันดี ไม่อย่างนั้น กูกับมึงคงไม่ตัดสินใจที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปหรอก”

“เบื้องหลังของคดีนี้  คือฆาตกรสินะ”

“อืม  คดีสายมรณะนี่ ไม่ต่างไปจากคดีคนสูญหายหรือวิญญาณคนตายในเกมส์นี้หรอก  เบื้องหลังของมันมี…ฆาตกร”ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้ภพ ก่อนจะก้มลงมองเนื้อความบนมือทั้งหมดด้วยความตะขิดตะขวงใจ

ข้อสันนิษฐานจำนวนมากมายถูกบอกเล่าให้พวกผมฟังผ่านตัวอักษร  ดึงให้จิตใจเบื้องลึกรู้สึกหดหู่ไปกับความคิดของชาวบ้านหลายๆคน  แน่นอนว่าทุกข้อความที่บอกเล่ากันมาล้วนไม่มีข้อใดถูกหรือผิด เพราะนั่นคือสิ่งที่เกิดมาจากคนภายนอก  คนเหล่านั้น ไม่สามารถรับรู้ความจริงได้  ไม่สามารถอ้างอิงหลักต่างๆได้  ความเชื่อที่สั่งสมกันมานานจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเปิดม่านเรื่องราวให้ขยายออกและสามารถโน้มน้าวความคิดของคนฟังให้คล้อยตามได้ ราวกับว่าข้อความลูกโซ่พวกนั้นไม่เคยถูกดัดแปลงอะไรมาก่อนเลย

ซึ่งแตกต่างจากผม ที่เพียงได้อ่านคำอธิบายแค่สองสามบรรทัด สัญชาตญาณในตัวก็พุ่งโจมตีขึ้นมาทันทีว่า เรื่องที่เกิดขึ้นภายใต้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้เกิดจากฝีมือผี หรือ บทสวดใดๆทั้งสิ้น  หากแต่เป็นฝีมือของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ ฝีมือของฆาตกรที่จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆให้เปลี่ยนไป  หลอกลวงทุกคนโดยการนำความเชื่อและสิ่งที่สังคมไทยปลูกฝังกันมานานกลบความผิดและเรื่องเลวทรามที่ตนเองได้ก่อเอาไว้  ไม่ต่างไปจากเกมส์นี้  เกมส์ที่นำเอาชีวิตของผู้เข้าแข่งขันมาเดิมพันกับเรื่องอันน่าสยดสยอง  มาพบเจอกับวิญญาณที่เข้ามาขอความช่วยเหลือโดยมีเบื้องหลังเป็นนิทานของคนตายที่มีเพียงหนึ่งคนควบคุม

ฆาตกร…กำลังเพ่งเล็งการกระทำของพวกผมและเฝ้ารอเพียงวันและเวลาอันเหมาะสมเพื่อจะได้กำจัดพวกผมออกไปโดยที่ทุกอย่างจะยังคงเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ

“ภพ  รู้ไหมว่าเกมส์นี้ไม่เหลือช่องให้เราหนีแล้วนะ”ผมโพล่งขึ้นบอกไอ้ภพ ที่นั่งมองหนังสือในมือผมอยู่เงียบๆ  หลังจากนั่งคิดไม่ตกกับเนื้อความที่ได้อ่าน บวกกับสิ่งที่ได้เจอในวันนี้

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”ไอ้ภพถามขึ้นด้วยแววตาสงสัยแต่ยังคงเจือไปด้วยความเป็นห่วงน้อยๆผ่านน้ำเสียง

“จำเรื่องที่กูบอกว่า วันนี้เราโดนจ้องมองจากที่ใดที่หนึ่งได้ไหม?”

“อืมจำได้  แต่มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง หรือ สายตาที่มึงรู้สึกไม่ใช่สายตาเดียวกับเมื่อคืน”

“ไม่ใช่ สายตาที่จ้องมองเราในบ้าน ถึงกูไม่หาที่มากูก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่คน  แต่วันนี้สายตานั่นที่มองเรา ถ้ามันให้ความรู้สึกแบบเดียวกับเมื่อคืนกูคงไม่รู้สึกใจเต้นขนาดนี้  กูสังหรณ์ใจแปลกๆว่ะ  กูกลัวว่ามันจะมาจาก…คน” แค่เพียงเท่านั้น  ช่องว่างของอากาศก็เกิดขึ้นมาทันที  ผมกับไอ้ภพนั่งมองหน้ากันด้วยแววตาที่ผิดปกติทั้งคู่แต่ดูเหมือนว่าผมจะผิดปกติไปมากกว่ามันเล็กน้อย  เพราะเนื้อตัวก็เริ่มรู้สึกสั่นเทาขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่

“ทีมงาน…หรือเปล่า?”ไอ้ภพพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา อีกทั้งลมหายใจของมันยังขาดช่วง บอกให้รู้ว่ามันกำลังเครียดกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญ

“เป็นแบบนั้นก็คงดี  แต่ถ้าไม่ใช่ทีมงานขึ้นมา  เราก็คงไม่เหลือเวลาแล้วนะภพ เกมส์นี้คงเดินหน้ากำจัดเราสองคนจวนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

“จะเป็นไปได้ยังไง เราสองคนก็ยังอยู่ตรงนี้  ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

“ได้สิ  วันนี้ทีมงานเรียกกูไปคุย  รู้ไหมทีมงานคนนั้นเหมือนรู้เรื่องทุกอย่างที่เราตั้งใจปกปิดเอาไว้  เขาถามกูว่า กูเห็นผีหรือเปล่า แล้วพยายามจะเค้นคำตอบจากกูให้ได้  ที่สำคัญนะภพ เขารู้ว่ากูกำลังโกหก  ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พยายามเตือนกูว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ กูคงต้องออกจากเกมส์ไปแบบน้องของมึง”

“ไอ้เหี้ยนั่น…”ท่าทีของไอ้ภพเปลี่ยนไปทันที  มันนั่งตัวสั่น มือกำแน่น  ดวงตาจับจ้องผ่านหน้าผมไปอย่างไม่รู้จุดหมาย แต่แววตานั้นดูแข็งกร้าวเสียจนน่ากลัว

“ใจเย็นๆก่อนนะ  ทีมงานคนนั้นเขาไม่ได้คุกคามอะไรกูไปมากกว่านี้หรอก  ดูเขาอยากจะช่วยมากกว่า  แต่ประเด็นที่กูกลัวมันอยู่ที่…สมมตินะภพ  ถ้าทีมงานคนนั้นเป็นคนดีจริงๆ มีจุดประสงค์ที่จะเตือนเราจริงๆ แล้วเขาสามารถมองเราออกได้ทะลุขนาดนี้  มึงคิดว่าคนที่มาดร้ายต่อเรา จะยังมองไม่ออกเหรอภพ เผลอๆคนพวกนั้นมันอาจจะดูเราออกมาตั้งนานแล้ว”

“อะไรที่ทำให้มึงคิดว่ามันดี”อารมณ์ไอ้ภพยังคงไม่ลดลง หนำซ้ำยังดูจะเพิ่มขึ้นด้วยหลังจากคำพูดของผม

“ฟังนะ กูอาจจะเชื่อคนง่ายไปหน่อย  แต่ท่าทีของทีมงานคนนั้นยังดูเข้าใจพวกเรามากกว่าทีมงานอีกคนเสียอีก  วันนี้เขามาขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้พวกเราโดนทีมงานอีกคนสอบสวน  นั่นมันจึงทำให้กูรู้ว่าเจตนาที่เขาคุยกับเรา  เขาคงแค่อยากจะกวนตีนให้เราระบายบางอย่างออกมา  เกมส์เมื่อคืน เขาคือคนที่นั่งมองพวกเราตลอด แสดงว่าตั้งแต่ตอนนั้นจนเมื่อเช้า เขายังไม่ได้นอน  เขาเห็นทุกอย่างนะภพ ถ้าเขาจะเอาเราออกจริงๆ แค่เขาเปิดปากพูดเมื่อเช้า  เราสองคนต้องเด้งออกไปแล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็ยังไว้ใจไม่ได้  กูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”

“กูรู้  กูก็ไม่ได้บอกให้มึงไว้ใจเขา  ที่กูต้องพูดแบบนี้ก็เพื่ออยากให้มึงรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง  วันนี้มึงเจอแต่แรงกระตุ้นเครียดๆ ที่สำคัญ 90% มาจากกู   ฉะนั้นก็ให้กูเป็นฝ่ายทำให้มึงเย็นลงเถอะ อย่างน้อยก็ทำให้มึงได้เห็นข้อดีของใครบ้าง”

“เหอะ! แค่วันสองวันนี่มึงก็เห็นข้อดีของมันแล้วหรอ?”ขณะที่กำลังเคร่งเครียดไปกับอารมณ์ไอ้ภพ  โทนเสียงของมันก็เปลี่ยนไป จากที่ต้องปลอบมันเพราะอารมณ์โมโหร้ายก็ต้องเปลี่ยนมาทำหน้างงแทนเพราะคำพูดเหน็บแนมผม

“ทำไม? เป็นอะไรอีก วันเดียวกูก็เห็นได้ว่าใครดีไม่ดี จะมาทำน้ำเสียงประชดประชันทำไม”

“ก็เปล่า  กูแค่…เบื่อคนเชื่อคนง่าย  ทีมงานมันแค่มาพูดดีหน่อย ทำเคลิ้มนะมึง”

“ไอ้ห่า กูก็บอกแล้วไงว่ากูแค่รู้สึกว่าเขาดี แต่กูยังไม่ได้ไว้ใจเขา ไม่อย่างนั้นกูก็บอกเขาไปแล้วสิ มึงจะมาอะไรเนี่ย”

“เออๆ  แล้วเราจะทำยังไงต่อไป  ถึงมึงจะบอกว่าเราไม่เหลือเวลาแล้ว  เราก็ทำอะไรไม่ได้ ความจริงที่อยู่แค่ด้านหลังมันกำลังถูกเกมส์สร้างกำแพงป้องกันเราเอาไว้”เมื่อท่าทีแปลกๆของไอ้ภพหายไป  มันก็วกกลับเข้ามาสู่เรื่องเดิมที่ยังไม่จบ

“เพราะเราทำอะไรไม่ได้ไง  กูถึงยังรู้สึกอึดอัด”

“ตามเกมส์ไปก่อนแล้วกัน วันพรุ่งนี้ก็จะจบโปรเจคกลางวันแล้ว  วัดสุดท้ายที่เราต้องทำตอนกลางคืนเราคงพอมีเวลา”

“อืม  งั้นกูอ่านต่อเลยนะ”

หลังจากตกลงเรื่องที่ค้างคากันเรียบร้อย ผมจึงได้มีโอกาสกลับมาอ่านเนื้อหาในหนังสือหน้าถัดไปอีกครั้ง  ภายในหน้านี้ประกอบไปด้วยวิธีการที่เราต้องทำทั้งหมด พร้อมกับเบอร์โทรและชื่อจริงของใครสักคนมากกว่าสิบชื่อ  ในคราแรกผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจไปมากเท่าไรและพอเดาได้ว่าโทรศัพท์รุ่นเก่ากึกที่ได้มาคงมีเอาไว้โทรหารายชื่อพวกนี้  แต่เมื่อเลื่อนสายตาลงไปยังหมายเหตุสีแดงเล็กๆด้านล่างหนังสือ ข้อความก็ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า รายชื่อที่ผมมีทั้งหมดล้วนเป็นชื่อของคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เบอร์โทรศัพท์มรณะที่เคยเป็นข่าว หน้าที่ของผมในคืนนี้จึงเป็นการโทรออกไปหาเบอร์ที่ได้บอกเอาไว้พร้อมด้วยการกล่าวถามถึงสาเหตุการตายและเชิญให้เขาเข้ามาบอกเรื่องราวให้พวกผมฟังทั้งหมดในบ้านหลังนี้

“มันว่ายังไงบ้าง?”ไอ้ภพถามขึ้นมา เนื่องจากมันคงเห็นผมอ่านวนซ้ำอยู่ตรงหมายเหตุสีแดงด้านล่างหนังสือนานเกินไป

“เกมส์คืนนี้…เราต้องโทรไปหาเบอร์คนตายทั้งหมดนี่แล้วเชิญเขาให้มาบอกเรื่องราวก่อนตายของตนเอง”

“มีแค่นั้นเองเหรอ”

“ก็ถ้าที่เห็นตอนนี้  รู้สึกว่าจะมีแค่นี้นะ”

“แค่นี้ก็ดีแล้ว  กูก็นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ เห็นลุงคำเตือนไว้ซะน่ากลัวเลย”

“แกก็พูดถูกนะภพ เรื่องที่แกเตือนมา”

“อย่าทักเสียงที่จะได้ยินตอนกลางคืนกับระวังตัวเนี่ยนะ?  เราจะได้ยินได้ยังไงในเมื่อเราก็คุยทางโทรศัพท์อยู่แล้ว”

“มึงฟังกูทั้งประโยคจริงๆไหม?? ไอ้ภพ  กูก็บอกแล้วไงว่าเราต้องเชิญเขามาเล่าเรื่องของตัวเองที่บ้าน”

ก่อนจากลากับลุงคำ  แกได้ทิ้งประโยคชวนให้สังหรณ์ใจไม่ดีเอาไว้เล็กน้อย  คาดว่าเรื่องราวทั้งหมดของเกมส์ในคืนนี้คงได้ถูกเปิดอ่านโดยลุงคำหมดแล้ว  ไม่เช่นนั้นแกคงไม่พูดขึ้นมาว่าให้พวกผมสองคนระวังตัวกันให้ดี  อ่านทั้งหมดนี่ให้แตกฉานที่สุด อย่าหลงกลไปกับอุบายที่เกมส์สร้างมาเพราะพวกเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเกมส์นี้คืออะไร อีกอย่างแกยังบอกเอาไว้ด้วยว่า คืนนี้ระหว่างที่ผมหลับไปหากได้ยินเสียงเรียกแปลกๆหรือเสียงใครก็ตาม อย่าตอบรับเป็นอันขาด เพราะตามกฎของเกมส์ ยามวิกาลจะต้องไม่มีใครสักคนเข้ามาในบริเวณบ้านหลังนี้

เรื่องเสียงทักยามวิกาลเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าหลายๆคนคงรู้อยู่บ้างว่าเมื่อไรที่ได้ยินห้ามทัก  ถ้าอิงตามหลักความเป็นจริงคนโบราณคงกลัวขโมยที่แอบขึ้นบ้านเข้ามาทำร้าย แต่ถ้าเมื่อไรที่มันต้องเกี่ยวกับผีสาง มันจึงเหมือนเป็นคำเตือนที่ป้องกันไม่ให้พวกผมตอบรับและเชิญวิญญาณเหล่านั้นเข้าบ้านของตนเอง ซึ่งผมก็เข้าใจดี  แต่คำเตือนเรื่องให้อ่านเนื้อความทั้งหมดให้แตกฉาน คือสิ่งที่ผมกับไอ้ภพยังไม่เข้าใจ  ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมอ่านข้ามบรรทัดไหนไปหรือเปล่า เหตุใดคำเตือนของลุงคำถึงได้ดูขัดแย้งกับเรื่องราวที่ผมกำลังรับรู้

“งั้นพร้อมแล้วใช่ไหม? เริ่มกันเลยก็แล้วกัน”

“อืม”

ผมตอบรับมันเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ไฟในบ้านทั้งหลังดับสนิท  เทียนเล่มหนาเล่มหนึ่งจึงถูกนำออกมาจุดไว้กลางบ้านชดเชยความสว่างตามคำสั่งของเกมส์  ทำให้แสงเทียนที่มีคืนนี้น้อยลงไปมากกว่าคืนอื่นๆ  สร้างบรรยากาศของบ้านให้ขุ่นมัวไปมากกว่าในทุกๆวัน  อีกทั้ง เรื่องราวของวิญญาณปริศนาที่มาส่งเสียงร้องเตือนเมื่อวานก็ยังหาที่มาไม่ได้ จิตสำนึกในกายจึงปลุกความกลัวในใจของเราสองคนให้ตื่นขึ้น  เหงื่อเม็ดน้อยไหลซึมข้างขมับยามที่ต้องจับโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ภายใต้เงาเทียนนั่น แล้วทำได้เพียงรอเวลาให้สัญญาณของมันทำงานพร้อมกับลุ้นไปว่าเสียงที่ตอบกลับมาจะเป็นเสียงของใครระหว่างคนหรือคอมพิวเตอร์

หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดใช้บริการ…

“ส..สวัสดีครับ คุณวกร  คุณสบายดีไหมครับ?  ได้ข่าวมาว่าคุณต้องเสียชีวิตไปเพราะสายโทรศัพท์แปลกๆ โชคไม่ดีเท่าไรเลยนะครับ  เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่รังเกียจ  ในคืนนี้พวกผมขอเชิญให้คุณเข้ามานั่งพูดคุยกันถึงสาเหตุการตายหน่อยครับ”


ประโยคเชิญชวนถูกกล่าวขานไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก  ช่วงระหว่างที่เสียงผู้หญิงของระบบตอบกลับมาทำลายความเงียบภายในบ้านหลังนี้  คือช่วงเวลาที่พวกผมสองคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจนถึงกับต้องปล่อยให้ลมหายใจเล็ดลอดออกมาจนเปลวเทียนวูบไหว  พวกผมนั่งตัวเกร็งอย่างเห็นได้ชัดไปตั้งแต่เริ่มกดเลขศูนย์ ความกลัวที่ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรวิ่งแล่นขึ้นมายังสมอง  จวบจนเมื่อปล่อยให้เสียงระบบทำงานเสร็จสิ้น  ผมจึงเริ่มมองหน้าไอ้ภพอย่างขอกำลังใจ ก่อนจะเปล่งวาจาตามคำสั่งในหนังสือให้ดังฟังชัดที่สุด

คำสั่งบังคับให้พูดตามถูกวางเอาไว้ชัดเจน โดยที่มีเพียงหนึ่งช่องว่างเว้นเอาไว้ให้ใส่ชื่อคนตาย กำลังทำให้จิตใจของพวกผมสองคนอยู่ไม่เป็นสุข  แม้ว่าเกมส์คืนนี้พวกผมจะไม่มีแม้แต่การเชิญวิญญาณมาพร้อมควันธูป พวกผมก็ไม่อาจละเลยความรู้สึกกลัวแบบนี้ไปได้  เกมส์ที่ต้องเล่นมันเพิ่มระดับความหลอนไปมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งขัดกับวิธีการที่ต้องทำ  การท้าทายที่เคยระบุเอาไว้มากมายในหนังสือเล่มแรกๆ ถูกลดลงมาจนทำให้เกมส์แทบไม่มีอะไร เหมือนกับทางรายการสามารถรับรู้ได้ว่า  การท้าทายไร้สาระอาจจะไม่จำเป็นสำหรับผมอีกแล้ว

“มิว เบอร์ที่สอง มึงจะให้กูพูดแทนไหม?”ไอ้ภพพูดแทรกขึ้นมาขณะที่ผมกำลังจะกดเบอร์ที่สองลงไป

“ไม่ต้องหรอก  เดี๋ยวมึงบอกเลขมาแล้วกันเบอร์คนตายพวกนี้คงไม่มีใครใช้แล้ว”

“งั้นเบอร์ถัดไปคือ 080-3264xxx  ผู้ตายชื่อคุณ ประมวล”

”อืม”

เมื่อกดปุ่มโทรออก เสียงสัญญาณที่พวกเราไม่ปรารถนาก็ดังขึ้นมาจนผมถึงกับต้องวางโทรศัพท์เอาไว้ที่พื้นแล้วเปิดลำโพงแทน  ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองไอ้ภพที่มองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยหน้าตาตื่น  ก่อนจะก้มลงไปมองโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อลุ้นว่าเสียงปลายสายที่จะรับต่อไปเป็นเสียงของใคร

“สวัสดีครับ”

“ส…สวัสดีครับ  ขอโทษที่รบกวนนะครับ แต่เบอร์นี้ใช่เบอร์ของคุณประมวลหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่ครับ…คุณน่าจะโทรผิด”

“อ่า ถ้าอย่างนั้นขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้ตั้งใจ”

ภายหลังสัญญาณตัดไป  คำพูดเชื้อเชิญผู้ตายที่ชื่อประมวลก็ยังคงต้องทำต่อ  เกมส์คืนนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดๆเลย แม้ว่าเบอร์เหล่านั้นจะมีผู้ใช้คนใหม่ไปแล้วก็ตามที  คำสั่งที่ผมเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ย้ำเตือนเอาไว้ว่าหากมีคนรับสาย ผมจะต้องพูดคำสั่งพวกนั้นหลังเสียงสัญญาณจบ

“สวัสดีครับ คุณประมวล คุณสบายดีไหมครับ?  ได้ข่าวมาว่าคุณต้องเสียชีวิตไปเพราะสายโทรศัพท์แปลกๆ โชคไม่ดีเท่าไรเลยนะครับ  เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่รังเกียจ  ในคืนนี้พวกผมขอเชิญให้คุณเข้ามานั่งพูดคุยกันถึงสาเหตุการตายหน่อยครับ”

นับเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่เบอร์แล้วเบอร์เล่าถูกผมและไอ้ภพหยิบยกขึ้นมาต่อสายหา  หลายเบอร์มีเพียงเสียงตอบรับจากระบบเท่านั้นที่ส่งสัญญาณมาให้ผมต้องทำอะไรต่อไป  แต่ก็อีกหลายเบอร์เช่นกันที่สามารถติดต่อทางปลายสายได้และพบว่าเบอร์ที่ทางรายการให้มายังมีคนใช้อยู่ หนำซ้ำ ยังเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนตายทั้งสิ้น  ทำให้บทสนทนาที่ต้องใช้ตอบกลับไปยังผู้รับเต็มไปด้วยข้ออ้างและความยากลำบาก เนื่องจากพวกเราทั้งคู่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาพูดคุยกับคนเป็นด้วยกัน

“สวัสดีครับ  นั่นใช่เบอร์คุณสกลหรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า” สถานการณ์ชวนให้น่าอึดอัดเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงที่ตอบกลับมามีท่าทีว่ารู้จักและสนิทสนมกับผู้ตายพอควร

“คือ…คือ พอดีว่า ผมได้รับการติดต่อจากคุณสกลให้โทรมาคุยเรื่องงานครับ”

“เมื่อไรครับ?”เสียงหวานหูเมื่อครู่กลับกลายเป็นเสียงนิ่งเรียบกึ่งไม่พอใจ   วินาทีนั้นผมอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหายไปให้รู้แล้วรู้รอด  เพราะเนื้อความหลังจากนี้คือสิ่งที่ผมได้รับมาแล้วทั้งหมดจากเบอร์ก่อนหน้า

“ประ…ประมาณสองอาทิตย์ก่อนครับ”

“หรอครับ  แต่คุณรู้อะไรไหม?  พ่อผมเขาตายไปสองปีแล้ว!!!  เขาจะโทรไปหาคุณได้ยัง!!!  พวกคุณกำลังเล่นอะไรกันอยู่หรอ  ถ้าว่างมากนักก็ตายตามพ่อผมไปสิ  เล่นไม่เข้าเรื่อง  อย่าโทรมาอีก ถ้าพวกคุณไม่อยากเข้าไปนอนในคุก”

แค่เพียงเท่านั้นสายก็ถูกตัดไป  คงเหลือไว้แต่เพียงเสียงตะโกนที่ดังก้องกังวานเมื่อครู่ ที่ยังคงติดค้างอยู่ในหูและหัวของผม  อาการเหล่านี้เป็นเหมือนกันกับในทุกๆเบอร์ที่ผมสามารถติดต่อได้  ผู้รับล้วนปล่อยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ออกมาจนแม้แต่คำว่าขอโทษผมก็พูดแทรกเข้าไปไม่ได้  ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนไอ้ภพต้องเป็นฝ่ายออกคำสั่งถึงผู้ตายที่ชื่อสกล และนำโทรศัพท์บนพื้นไปกดเบอร์สุดท้ายสำหรับเกมส์คืนนี้

เสียงสัญญาณรอการตอบรับจากเบอร์นี้ ดังบรรเลงคลอเคล้าไปกับเสียงหวีดของลมที่พัดผ่านภายนอกบ้าน   ช่วงเวลาสุดท้ายของการรอคอยของเบอร์นี้ใช้เวลานานกว่าเบอร์ที่ผ่านๆมา  เมื่อเสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงสัญญาณที่ดังไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีของการตอบรับหรือการตัดสายทิ้งไป  พวกผมจึงต้องลองกดโทรหาอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะไม่มีการดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงบ หากผมเดินเข้าสู่ประตูแห่งนิทรากาล

จวบจนเปลวเทียนเริ่มหรี่ลงจนแทบมอดดับ ไอ้ภพก็ตัดสินใจพูดประโยคปิดท้ายของเกมส์ให้จบลง

“จบสักที  เดี๋ยวมึงเอาหนังสือไปเก็บนะมิว แล้วเดี๋ยวกูจะเอาโทรศัพท์นี่ไปวางให้”

ผมพยักหน้ารับและเดินเอาหนังสือนี่ไปเก็บที่ตู้หนังสือโดยที่บ้านทั้งหลังตอนนี้ ไม่มีแสงใดๆที่ช่วยนำทางให้ผมแล้ว อาศัยแค่แสงของพระจันทร์ที่ส่องเข้ามาในบ้านและความเคยชินเท่านั้นที่สามารถพาผมนำหนังสือนี่ไปเก็บได้

กรี๊งงงงง  กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์เครื่องหนาดังแผดร้องขึ้นลั่นบ้านในขณะที่ขาของพวกผมขึ้นไปจนเกือบจะถึงประตูห้อง  เราสองคนมองหน้ากันพลางตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนจะพากันเดินลงมาที่โทรศัพท์เครื่องนั้นอีกครั้งตามเสียงโทรศัพท์ที่คาดว่าจะยังร้องอยู่แบบนั้นหากผมไม่สนใจที่จะรับมัน

“ไอ้มิว  เบอร์สุดท้ายที่กูโทรไปว่ะ  ผู้ตายเขาชื่ออะไรนะ”

“กูก็จำไม่ได้  เอางี้มึงถือไว้ก่อน เดี๋ยวกูไปหยิบหนังสือมาให้”

ผมวิ่งกลับไปที่ตู้หนังสือและรีบเปิดไปยังหน้าที่ระบุรายชื่อเอาไว้  กวาดสายตาไปยังรายชื่อสุดท้ายที่มี จังหวะนั้นสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับเนื้อความบางอย่างที่มีขนาดเล็กมากๆถัดจากตัวอักษรสีแดงนั้น  อาจจะเพราะแสงที่มีไม่พอ ผมจึงต้องใช้สายตาเพ่งเล็งจนหน้าแทบจะชิดกับหนังสือ  ผมถึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้วข้อความกำกับในเกมส์นี้มันยังไม่หมด สิ่งที่หนังสือบอกเพิ่มไว้  กำลังจะเป็นอุบายที่ล่อลวงให้พวกผมพูดคุยกับคนเป็นก่อนที่คนเหล่านั้นจะกลายเป็นคนตาย

“ตกลงเขาชื่ออะไร?”

.
.
.
( ต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“ภพ…มึงลองเอานี่ไปอ่าน เดี๋ยวกูคุยให้เอง  เปิดไปที่หน้าสุดท้ายแล้วมองไปที่บรรทัดเล็กๆล่างสุด  จบการคุยเมื่อไรบอกกูแล้วกันว่ามึงจะเอายังไง”ผมหยิบโทรศัพท์ในมือมันมา และยื่นหนังสือเข้าไปแทน  ไอ้ภพมองหน้าผมด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากการพยักหน้ายอมรับ

“สวัสดีค่ะ  ได้โทรมาเบอร์นี้หรือเปล่าคะ”

“สวัสดีครับ  ขอโทษที่ปล่อยให้โทรมาซะหลายสายเลยนะครับ พอดีผมวางไว้ด้านล่างหนะครับ”

“อ๋อไม่เป็นไรค่ะ  คุณก็โทรมาหลายสายแล้วเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะคะ  ว่าแต่ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”

“ครับ…ไม่ทราบว่านี่ใช่เบอร์โทรของคุณ ศตวรรษ หรือเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ  มีอะไรจะติดต่อกับพี่วรรษหรอคะ  ฝากดิฉันไว้ได้ค่ะ ดิฉันเป็นน้องสาว พอดีพี่วรรษออกไปทำงานค่ะ” สิ้นเสียงของอิสตรีในสาย  เนื้อตัวของผมก็ชาไปทั้งตัว  ความกลัวและความกังวลแปลกๆแล่นริ้วขึ้นมาจนจุกอก  จะเป็นไปได้อย่างไร ที่รายชื่อทั้งหมดนี่จะยังหลงเหลือรายชื่อของคนที่มีชีวิตอยู่

“ปะ…ไปทำงานหรอครับ  คุณศตวรรษ ออกไปทำงานเมื่อไรหรอครับ”ลางสังหรณ์บางอย่างตีตื้นขึ้นมาจนไอ้ภพรับรู้  อาการเกร็งไปทั้งร่าง จนมือที่จับโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย คือสิ่งที่ทำให้ไอ้ภพหยุดยุ่งกับหนังสือแล้วหันมาจดจ้องผมแทน

“ก็ประมาณ  2 อาทิตย์ได้แล้วค่ะ  เห็นว่าออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด รู้สึกจะ นครสวรรค์มั้งคะ”

ฮึก

เสียงสะอื้นและน้ำตาเกิดขึ้นในเวลาพร้อมๆกันจนผมต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก   ดวงตาของผมคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความรู้สึก  มันเต็มไปด้วยความสงสาร  ความไม่เข้าใจ ความกดดันและสุดท้ายคือความน่ากลัวในจิตใจของมนุษย์ เกมส์ส่งรายชื่อคุณศตวรรษมาให้ผมติดต่อเพื่ออะไร  มันกำลังจะบอกอะไรผม  สิ่งที่ผมภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นจริง ไม่เป็นผล  เค้าลางแปลกๆที่ย้ำเตือนมาว่าคุณศตวรรษจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเกมส์นี้  ได้รับการยืนยันจากปากของผู้เป็นน้องสาว แม้จะเป็นแค่เวลาและสถานที่ก็ตาม

“ง…งั้น ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมจะติดต่อกับคุณศตวรรษภายหลังเอง  ยังไงขอโทษอีกครั้งนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ถ้าพี่วรรษกลับมา ฉันจะบอกให้นะคะ”

ขอโทษ  ที่สุดท้ายแล้วการพยายามหาฆาตกร มันยังไม่เพียงพอที่จะยื้อชีวิตใครต่อใครเอาไว้ได้

ผมยืนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาพร้อมกับอาการตัวสั่นเกร็ง  ปากของผมทำได้แค่พึมพำคำขอโทษที่ปลายสายไม่มีทางได้ยิน  ผมไม่รู้เลยว่าคุณศตวรรษคือใคร  คือหนึ่งในทีมงานคนไหน  แต่ที่เขาต้องมาจบชีวิตในเกมส์นี้ส่วนหนึ่งมันต้องเกิดมาจากพฤติกรรมของพวกผม  ไม่เช่นนั้น เกมส์คงไม่ดันรายชื่อของเขาให้เข้ามาเป็นรายชื่อมรณะชื่อสุดท้าย  นอกจากนี้ผมยังรู้ด้วยว่า  หนังสือนี่น่าจะถูกปรับเปลี่ยนในช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่  คุณศตวรรษมีชีวิตจนถึงเมื่อไรผมไม่รู้  ที่แน่ๆก่อนเริ่มเกมส์นี้เขายังเป็นคน

“มิว…มีอะไร?"น้ำเสียงแผ่วเบาจากไอ้ภพ  เรียกให้ผมหันหน้ากลับไปมองมัน

“ภพ…คุณศตวรรษ ไม่ใช่หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากสายมรณะ”

“แล้วเขาเสียชีวิตจากอะไร?”

“เขาตายเพราะเรา…คุณศตวรรษตายในเกมส์นี้ เขาคือหนึ่งในทีมงานที่ตามมาดูเราเข้าแข่งขันด้วย”

“ใจเย็นๆ แบบนั้นก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเขาตาย  เกมส์นี้มันอาจจะให้เราเล่นกับใจเราเองก็ได้”ไอ้ภพบีบมือแน่นให้กำลังใจผม  ปลอบใจให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมมองข้าม  ไม่แน่ว่าจุดประสงค์ของเกมส์นี้อาจไม่ใช่การท้าทายผี  แต่เป็นการท้าทายความหลอนและการคิดไปเองของมนุษย์

“อืม  ไม่เป็นไรภพ กูไม่เป็นไร กูแค่สงสารน้องเขาที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย  ถ้าพี่ชายเขาตายจริงๆ นั่นหมายความว่า การเฝ้ารอให้พี่ชายกลับบ้าน มันจะเป็นการรอที่สูญเปล่า”

“เราทำอะไรไม่ได้หรอก  อวยพรให้เขาปลอดภัยก็พอ  ส่วนเรื่องในหนังสือที่มึงบอกให้กูอ่าน…กูไม่ทำตาม!! นี่มันหนังสือรายชื่อคนตาย เพราะฉะนั้น กูจะไม่โทรหาใครทั้งสิ้น”ต้นประโยคไอ้ภพ พูดเสียงเบาให้ผมรับรู้ ก่อนจะส่งเสียงดังลั่นบ้านเพื่อให้รายการรับรู้ว่าพวกเราจะไม่ยอมทำตามคำสั่งในข้อนี้ในท้ายประโยค

คำสั่งที่บอกให้เราโทรหาใครก็ได้ แม้ว่าคำสั่งนั้นมันจะถูกระบุรวมเอาไว้ในหนังสือรายชื่อมรณะเล่มนี้

ยามกลางคืนดึกสงัด เสียงเท้าของใครสักคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านร้างมีประวัติหลังหนึ่ง
ก่อนที่สายตาไร้แววคู่นั้นจะจับจ้องไปยังโทรศัพท์เครื่องหนา และฉีกยิ้มรับคำเชื้อเชิญที่ได้รับมาก่อนหน้านั้น…


กริ๊งงงงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์ดังแผดลั่นบ้านอีกครั้ง  ปลุกผมที่กำลังนอนหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา  ก่อนขึ้นนอนผมและไอ้ภพได้จัดการวางโทรศัพท์เอาไว้ด้านล่าง  ไม่ได้นำติดตัวขึ้นมา และก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครโทรมาได้แล้ว

ผมเดินโซเซออกมาจากห้องพร้อมกับอาการง่วงซึม  ลืมความหลอนและความน่ากลัวหรือแม้กระทั่งคำเตือนไปเสียสนิท  เสียงโทรศัพท์นั่นมันดังหนวกหูผมมากจนไม่สามารถจะนอนต่อไปได้  อารมณ์ง่วงนอนตีซ้อนทับกับความหงุดหงิด  เบอร์ที่ผมติดต่อไปเมื่อตอนก่อนนอนผมมั่นใจแล้วว่า ผมสามารถติดต่อได้ทุกเบอร์  ถ้าเบอร์ไหนติดต่อไม่ได้ มันก็จะบอกผมเองว่าไม่มีคนใช้  แล้วเหตุใดถึงยังมีคนโทรเข้ามารบกวนพวกผมอยู่อีก

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ  ไม่ทราบว่าเมื่อเย็นโทรติดต่อผมไปหรอครับ  มีอะไรหรือเปล่า”เสียงแหบแห้งของผู้ชายวัยชราถามขึ้น

“อืม…ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมขอโทษแล้วกัน เชิญคุณนอนได้เลยครับ”ผมหาววอดใหญ่พลางขยี้ตาให้ชัดมากขึ้น เพราะบัดนี้ม่ายสายตาที่จับจ้องไปที่หน้าต่าง สัมผัสได้ถึงความพร่ามัวของร่างกายมนุษย์ที่ยืนห่างออกไปจากหน้าต่างไม่ถึงคืบ

“นอนไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว เปิดประตูให้ผมด้วยครับ คุณเชิญผมมา…ไม่ใช่หรอ

“หมายความว่าไงครับ”ความรู้สึกเย็นเยียบลอยวาบผ่านมือไป เมื่อลืมตาตื่นได้เต็มที่ คำพูดที่ได้ยินเมื่อกี้ นำคำเตือนของลุงคำที่เคยบอกเอาไว้ให้กลับขึ้นมาสู่สมองของผม  ภาพเหตุการณ์ก่อนนอนลอยวนจนทำให้ขาของผมแข็งทื่อ  ผมไม่รู้ว่าผมลืมไปได้อย่างไร  ผมลืมแม้กระทั่งว่า เบอร์ที่ผมโทรไป ไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่แล้ว

“ไอ้มิว!! ลงมาทำอะไร รีบขึ้นห้องเดี๋ยวนี้” เสียงไอ้ภพตะโกนมาจากบันไดด้านบน  เรียกสติให้ผมหันกลับไปหา ก่อนที่มันจะมองมาที่โทรศัพท์บนมือผมและสั่งให้ผมขึ้นห้องด้วยความรีบร้อน

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

เสียงเคาะประตูด้วยจังหวะเนิบนาบ ดังเรียกความสนใจของผมไปจากไอ้ภพ  เสียงนั่นดังเบาๆอยู่ที่ประตูแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกผม  พลันสายตาก็หันกลับมามองยังหน้าต่างที่ก่อนหน้าเคยสัมผัสได้ถึงการมาถึงของบุคคลที่เคยเป็นมนุษย์ร่างหนึ่งยืนอยู่ และหวังเพียงว่าเสียงที่เกิดขึ้นจากประตูจะเกิดจากฝีมือวิญญาณตนเดียวกัน

และเหมือนฟ้าจะบันดาลทุกอย่างตามคำขอ  เพราะภาพที่ผมเห็นตรงหน้าสามารถยืนยันได้ว่าวันนี้มีวิญญาณเพียงตนเดียวที่เข้ามาเยี่ยมเยียนผมถึงประตูบ้าน หากแต่ภาพนั้นกำลังทำให้มือของผมกำโทรศัพท์แน่นขึ้น  ใจเต้นรัวอย่างไม่รู้จะหยุดเมื่อไร  กรามของผมถูกขบกันไว้แน่นกันเสียงสะอื้นที่ออกมา และปล่อยให้ดวงตาทำหน้าที่ของมันโดยการทิ้งหยาดน้ำใสแห่งความสยองไหลอาบแก้มผมไป

วิญญาณตนนั้นใช้ใบหน้าแนบเข้ากับหน้าต่างบ้าน ก่อนจะเผยให้เห็นดวงตาไร้แววคู่หนึ่ง  พร้อมกับใบหูที่มีเลือดไหลออกมา  ปากที่กำลังอ้ากว้างสั่งให้ผมเปิดประตู  และมือที่ยื่นยาวออกไปเคาะประตูในระยะที่คนปกติ ไม่มีทางทำได้

เพียงเท่านั้นที่ผมได้เห็น  ไอ้ภพก็วิ่งลงบันไดมาคว้ามือผมออกไปจากตรงนั้นและพาขึ้นห้องนอนข้างบนด้วยความรีบร้อน

“มิว มึงจะลงไปข้างล่างทำไม จำที่ลุงคำเตือนไม่ได้หรอ…อย่ากัดปาก เลือดไหลหมดแล้ว”

“กู…กูลงไปปิดโทรศัพท์ไงไอ้ภพ เสียงดังลั่นขนาดนั้นกูนอนไม่ได้ เกิดมีคนโทรเข้ามาเราจะได้บอกเขา”

“ลืมไปแล้วหรือไง...ว่าก่อนนอนเราถอดแบตกับซิมทิ้งไปแล้วนะมิว ที่มึงถืออยู่ตอนนี้มันเป็นแค่เครื่องเปล่า”

มันเป็นแค่เครื่องเปล่า…

ปิ้บ  ปิ้บ

เปิดประตู!!  มึงจะเดินหนีกูทำไม

ปิ้บ ปิ้บ

อยากฟังเรื่องราวของกูไม่ใช่เหรอ  ลงมาฟังสิ กูมารอพวกมึงแล้ว


“ภพ…ถ้ามันเป็นแค่เครื่องเปล่า  แล้วข้อความพวกนี้คืออะไร”ผมยกมือที่สั่นเทาของตัวเองพลางถามคำถามที่พยายามกลบความรู้สึกกลัว  มันจริงอย่างที่ไอ้ภพว่า  พวกผมตัดสินใจถอดทุกอย่างทิ้งไปตั้งแต่ก่อนขึ้นนอนแล้ว  ก่อนจะค่อยๆโชว์ข้อความจากเบอร์เดิมให้ไอ้ภพดู และเห็นได้ว่ามันหน้าถอดสีลงไปจนต้องรีบปัดโทรศัพท์ทิ้งให้ห่างจากเตียงนอนของเราทั้งคู่

ผมกับมันรีบเดินขึ้นเตียงนอนไปอย่างเก่าและปล่อยให้โทรศัพท์นั่น แผดเสียงร้องขึ้นมาสลับกับเสียงของข้อความ  ผมนอนตัวสั่นอยู่ข้างๆไอ้ภพ  ความกลัวที่มีบีบรัดภาวะทางจิตใจของผมให้ตกต่ำ  ผมยังไม่ลืมที่ไอ้ภพพร่ำบอกกับผมเสมอว่าทุกครั้งที่ผมต้องเจออะไรแบบนี้  สิ่งเดียวที่ผมจะต้องทำคือการบอกตัวเองให้เข้มแข็ง  สะกดความรู้สึกของตนเองว่าไม่ให้รับรู้  ถึงเห็นก็ต้องแสร้งว่ามองไม่เห็น  ถึงได้ยินก็ต้องหลอกตัวเองว่าหูหนวก อย่าสนใจ แม้ว่าเสียงหรือภาพที่ปรากฎจะดังชัดอยู่แค่ใต้จมูกผมแล้วก็ตามที

ป๊อก

เสียงของแข็งกระทบกับอะไรสักอย่างบนตัวบ้าน ดึงให้ผมที่พยายามข่มตาหลับไปพร้อมเสียงข้อความลืมตาขึ้น  เสียงนั่นค่อยๆดังไล่ขึ้นมาจากบริเวณด้านล่างของตัวบ้าน  เคาะไล่วนอ้อมมาจากด้านซ้ายคล้ายกับการวนเมรุแห่คนตาย  อีกทั้งแสงพระจันทร์คืนนี้ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีจนผมขนลุก  แสงนั่นสาดส่องเข้ามาในห้องของผมจากหน้าต่างทางด้านหลัง ก่อนที่จะวูบหายไปเพราะเงาของอะไรสักอย่างบดบัง  เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบจนผมต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากไอ้ภพที่ตอนนี้มันก็ยังไม่สามารถข่มตาไปพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ได้

“ภ…ภพ  มึงได้ยินเสียงอะไรไหม?  เสียง เสียงที่มันเคาะดังรอบบ้านหลังนี้”

“กู…ได้ยินแค่เสียงโทรศัพท์กับข้อความ” ไอ้ภพตอบเสียงอ่อยกลับมา

“ไอ้ภพ  กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่เสียงนั่นมันคล้ายกับของแข็งที่พยายามเคาะไปทั่วบ้านหลังนี้ ก่อนที่เสียงจะหายไปตรง
หน้าต่างนั่น  กูไม่กล้าลุกไปดูไอ้ภพ  เสียงนี้กูเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่งจากความฝัน กูกลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม”

“งั้นมึงดูกูอยู่ตรงนี้  เดี๋ยวกูลุกไปดูเองว่าเสียงอะไร”

ไอ้ภพหยัดตัวขึ้นจากเตียงนอนและเดินลงไปยังหน้าต่างหลังห้อง  หน้าต่างบานนั้นคือบานเดียวที่ติดเอาไว้ในห้องนอนผม เป็นบานที่เคยเกิดเรื่องราวลักษณะแบบนี้ในความฝัน  ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมพึ่งจะเข้ามาร่วมเกมส์  ผมจำได้ดีว่าวิญญาณที่มาขอความช่วยเหลือ ได้ปรากฏตัวอีกครั้งในฝันของผม  คราวนี้ผมเลยไม่กล้าที่จะลุกไปมอง  ไม่กล้าที่จะลุกไปเสี่ยงกับความจริงที่ว่า เสียงที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเป็นเสียงเดียวกับความฝันหรือไม่  เสียงที่เกิดจากหัวของคนตีเข้ากับกำแพงบ้านหลังนี้อย่างจัง

ป๊อก  ป๊อก…

ป๊อก  ป๊อก  ป๊อก ป๊อก….

ช่วงระหว่างที่ไอ้ภพเดินไปจับบานหน้าต่าง  คาดว่ามันคงคิดที่จะเปิดเพื่อชะโงกหัวออกไปดู  เสียงเคาะกำแพงรอบบ้านก็เริ่มดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ  จากตำแหน่งที่อยู่ไกลจากหน้าต่างบานนี้  ก็เริ่มเกิดเสียงเข้ามาใกล้จนน่าตกใจ  คราวนี้เสียงที่ผมได้ยินไม่ใช่เพียงเสียงเคาะอย่างเดียว หากแต่เป็นเสียงที่แสดงถึงอาการตะเกียกตะกายของมนุษย์  วิญญาณตนนั้นคงกำลังปีนตัวบ้านหลังนี้เพื่อหาทางเข้าอื่น และใช้ส่วนหัวของมันเคาะกำแพงบ้านสร้างความผวาให้กับมนุษย์ชายหนุ่มสองคนในบ้าน

“ไอ้ภพ!!  กลับมา  ไม่ต้องเปิด”ผมโพล่งออกไปเสียงดังลั่นทั้งน้ำตา  เมื่อสัมผัสรับรู้ได้ว่าวิญญาณกำลังคลานมาใกล้หน้าต่างแล้ว

“ไม่ได้ยินเสียงแล้วหรอ?”

“ฮึก  ไม่ต้องถาม  ไอ้สัส  กลับมานอนได้แล้ว  ฮึก  แล้วก็ไม่ต้องหันหน้ากลับไปนะ”

อาการเป็นห่วงไอ้ภพไม่ดูความสามารถตนเองของผม แสดงออกมาจนน่าสมเพศ  ผมสั่งให้ไอ้ภพหันหน้ากลับมานอนที่เตียง ซึ่งมันก็ทำตามแต่โดยดี  นั่นจึงเท่ากับว่าตอนนี้สายตาที่จับจ้องไปที่หน้าต่างจึงมีแค่เพียงหนึ่งเดียวคือสายตาของผม  และดูเหมือนว่าคืนนี้มันจะสามารถทำงานได้ดีมากกว่าคืนอื่นๆ  มันถึงได้เห็นว่าร่างกายของชายชราที่ปรากฎอยู่เบื้องหลังของไอ้ภพ เป็นร่างกายที่น่าสยดสยองมากขนาดไหน

ร่างกายนั่น ใช้มือและเท้าเกาะอยู่ตรงหน้าต่างห้องผม  เสื้อผ้าที่ใส่ขาดวิ่นเหมือนคนตายไม่ได้รับการดูแล อีกทั้ง ส่วนหัวของมันยังเต็มไปด้วยเลือดจากการพยายามใช้หัวเคาะกระจกห้องให้ผมเปิดจนรู้สึกเจ็บแสบแทน  หากแต่ว่าริมฝีปากของมันกลับฉีกยิ้มกว้าง ร่ำร้องออกมาแต่เพียง ประโยคที่สั่งให้ผม เปิดประตู

ไอ้ภพคงเห็นว่าร่างกายของผมกำลังต่อต้านตนเองจนไม่สามารถควบคุมอาการทางกายได้แล้ว  มันจึงเดินมาดันให้ผมล้มตัวนอนใกล้ชิดกับอกของมัน  ยื่นวงแขนกว้างมาปิดใบหูของผม และพ่นเพียงเสียงที่บอกให้ผมหลับฝันดีออกมาเท่านั้น

หลับฝันดี  ไปกับเสียงเคาะกระจก เสียงของโทรศัพท์และเสียงข้อความที่แผดออกมาดังลั่น

หลับฝันดี  ไปกับชื่อที่ปรากฏทิ้งท้ายในทุกข้อความที่ผมและไอ้ภพได้มีโอกาสอ่านก่อนการโยนมันทิ้งไป

และหลับฝันดี ไปพร้อมกับการปรากฏกายของชายที่ชื่อ…ประมวล


เสียงผู้คนจอแจขัดกับบรรยากาศวัด

สองวัดสุดท้ายของพาร์ทกลางวัน พวกผมถูกพามากันที่วัดใหญ่วัดหนึ่งห่างจากตัวบ้านมาพอสมควร  วัดแห่งนี้กำลังจัดงานทำบุญฝังลูกนิมิต นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้วันนี้มีผู้คนแน่นขนัด  เหล่าสาธุชนที่ต้องการเข้ามาแสวงบุญเดินเบียดเสียดกันอยู่ในวัดจนทำให้บรรยากาศหลอนๆเมื่อคืนไม่เหลือติดสมองของพวกผมเลยแม้แต่น้อยนิด

เมื่อเช้าทีมงานทั้งสองได้เข้ามารับเราทั้งคู่โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรชวนให้ปวดหัวออกมาเลย  ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ซึ่งผิดปกติไปมาก  สิ่งเดียวที่ผมสัมผัสได้ว่าทีมงานยังคงเฝ้าดูผมอยู่คงเป็นเพียงแค่ สายตาของทีมงานที่พยายามคาดคั้นเรื่องการเห็นผีของผมเท่านั้น ที่ยังคงจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ ก่อนจะปล่อยผมให้เป็นอิสระยามที่ต้องมาทำภารกิจหาน้ำในวัดแห่งนี้

“เอาละครับ วันนี้ขอบอกว่าวัดจะครึกครื้นหน่อยนะครับ  ยังไงถ้าพวกคุณหาน้ำได้ไวก็ขอเชิญให้ไปทำบุญฝังลูกนิมิตได้นะครับ”

“วันนี้มาแปลกนะครับ  ทำไมถึงมาเชิญชวนผมให้ไปทำบุญฝังลูกนิมิตได้ละครับ  ดูคุณเหมือนเป็นลูกวัดเลยนะครับ”ไอ้ภพเอ่ยแซวทีมงานไปอย่างเป็นมิตร  มันคงพยายามไม่เก็บเรื่องราวหลายวันก่อนมาใส่ใจ และเริ่มทำตัวให้เป็นพิรุธน้อยที่สุด

“ไม่ได้เชิญพวกคุณอย่างเดียวหรอกครับ  พวกผมก็ต้องทำด้วย  เกมส์ที่คุณเล่นกันเมื่อคืนมันคงแรงไปหน่อย เรื่องราวของพวกคุณเลยเป็นกระแสเต็มโลกอินเตอร์เน็ตไปหมด”

“หมายความว่าไงครับ”ไอ้ภพรีบถามขึ้นมาเสียงเครียด

“เสียงโทรศัพท์นั่นไงครับ พวกเราทุกคนรวมถึงคนดูทางบ้าน เห็นทุกอย่างตั้งแต่คุณถอดแบตและซิมการ์ดออก  ฉะนั้นช่วงที่คุณ
มิววิ่งลงมารับโทรศัพท์มันจึงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ  เสียงนั่นพวกเราทุกคนรับรู้มาตั้งแต่มันดังครั้งแรกครับ”

สิ้นเสียงทีมงาน พวกผมสองคนถึงกับต้องหันหน้ามามองกันด้วยแววตาเคร่งเครียด  เรื่องเมื่อคืนดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่สามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้  เกมส์ต่อๆไปจึงดูยากมากขึ้น  หากผมยังคงไม่สามารถอดทนต่อวิญญาณพวกนั้น  พฤติกรรมที่แสดงออกคงปกปิดใครต่อไปไม่ได้แล้ว

“ยังไงก็ไปทำบุญให้เขาหน่อยแล้วกันนะครับ ดูท่าเกมส์คงแรงไปจริงๆ”ทีมงานอีกคนกล่าวบอกและปล่อยให้ผมเดินออกไปหาน้ำตามคำใบ้ที่ได้รับมาจากทีมงาน

ด้วยความที่วัดวันนี้มีผู้คนเยอะมาก  การหาน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป  พวกผมสองคนต่างก็เดินคุยกันไป อัดวีดีโอกันไปสร้างความครึกครื้นให้จิตใจของตนเอง  เมื่อคำใบ้ที่ได้รับมามีไม่พอ  พวกผมก็ใช้การเสาะหาจากผู้คนที่เดินให้ขวักไขว่ทั่ววัด จนสุดท้ายน้ำในแบบที่รายการต้องการ ก็ถูกไอ้ภพ ชักรอกขึ้นมาจากบ่อโดยที่มีสายตาของผู้คนนับสิบคู่จ้องมองมาที่การกระทำของพวกเรา

เมื่อภารกิจเป็นอันเสร็จสรรพ พวกผมก็เดินเลี่ยงสายตาผู้คนออกมาเล็กน้อย  และเดินเข้าไปยังซุ้มทำบุญต่างๆ  หาของที่คิดว่าจะแอบนำติดตัวกลับไปยังบ้านได้  จนสุดท้ายสายสิญจน์เส้นเล็กๆก็ตกมาอยู่ในมือพวกเราคนละเส้น

สายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา ในครั้งแรกพวกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร  แต่นานๆไปสายตาพวกนั้นมันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพวกผมตัดสินใจหันไปสบตาใครสักคน ก็เป็นว่าต้องคว้าน้ำเหลว  เพราะผู้คนเหล่านั้นต่างก็รีบหลบสายตาพวกผมไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  อาจจะมีเพียงคนบางกลุ่มที่กล้าสบตากับพวกผมและจงใจยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร  เมื่อทำอะไรไม่ได้  พวกผมสองคนก็ต้องยิ้มตอบและเดินหลีกเลี่ยงออก

ผมไม่รู้เลยว่าความรู้สึกตื่นกลัวผู้คนนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร  อาจจะเป็นเพราะผมใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนในบ้านหลังนั้นนับคนได้มานานจึงยังไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้  หรืออาจจะเป็นเพราะ ความรู้สึกตื่นกลัวที่เกิดมาจากสายตาเพียงคู่เดียวที่จ้องมองมาที่พวกเราเมื่อวานและนำไปสู่การหวาดระแวงโลกภายนอก

“สองวันแล้วนะ” เมื่อเดินมานั่งพักเหนื่อย  ไอ้ภพก็พ่นประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“อะไรสองวัน?”

“สองวันแล้วนะ  ที่เกมส์จงใจพาเรามาในวัดที่มีคนเยอะแบบนี้  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นพาเราไปแต่วัดที่โคตรจะวังเวง”

“แล้วก็เป็นสองวันแล้วนะภพ  ที่วิญญาณที่เราเชิญมา ไม่สามารถเข้ามาในบ้านได้เลย มัน…กำลังเกิดอะไรขึ้น”

“เรื่องวิญญาณที่เข้ามาไม่ได้ในบ้าน  มันจะเกี่ยวกับวิญญาณปริศนาตนนั้นหรือเปล่า”

“อืม  กูก็กำลังคิดอยู่  แต่สมองกูมันไม่ได้ไปแค่นั้น  กูรู้สึกผิดแล้วก็ยังเศร้าไม่หายเลยนะภพ กูไม่อยากคิดแบบนี้ แต่กูกลัว…กู
กลัวว่าวิญญาณที่กูเห็น จะเป็นวิญญาณของคุณศตวรรษ”

“อะไรที่ทำให้มึงคิดแบบนั้น”

“อย่างที่บอก ว่าเสียงที่กูได้ยินมันคุ้นหูกูมาก  เสียงมันคุ้นจนถ้ามันไม่ใช่เสียงของมึง  กูก็คิดว่ามันต้องเป็นเสียงทีมงาน”

“เอาเถอะ  เรื่องนี้อีกไม่นานมันต้องได้คำตอบ  แล้ววันนี้เป็นไงรู้สึกถึงสายตาคู่เมื่อวานไหม?”

“รู้สึกสิ  รู้สึกอยู่ตลอดตั้งแต่เราเดินหาน้ำแล้ว  แต่กูไม่อยากสนใจ  แม้กระทั่งตอนนี้กูก็ยังรู้สึกเลยว่าเขาต้องมองเราอยู่”

“พิสูจน์กันเลยสิ  คนเยอะแบบนี้มันยิ่งชัดเจนว่าใครที่กำลังมองเรา”

พูดจบไอ้ภพ ก็หยิบกล้องวีดีโอมาอัดใหม่อีกครั้ง  ทำทีเป็นการอัดพูดคุยกับผู้ชมรายการอย่างสนุกสนาน ก่อนที่มันจะแพลนกล้องไปให้ทั่วบริเวณและสั่งให้ผม มองตามกล้องวิดีโอที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ  จังหวะของการเคลื่อนไหวกล้อง ดึงเอาความสนใจของคนหมู่มากให้มองมาจนพวกเราแยกสายของคนไม่ได้เลย  แต่สุดท้ายสายตาเพียงหนึ่งเดียวที่จ้องมองพวกเราด้วยอารมณ์ต่างจากคนอื่น ก็ดึงดูดสายตาของพวกผมทั้งคู่ให้จ้องมองเธอคนนั้นเพียงคนเดียว ก่อนจะรีบปิดกล้องเดินตามผู้หญิงคนนั้นไป

ผู้หญิงคนนั้นมีจุดประสงค์อะไรที่ตามเรามาถึงที่นี่  และมีอะไรถึงได้จ้องมองพวกเราอย่างไม่เป็นมิตรนัก






**********************************************TBC*******************************************
สวัสดีครับ  เอาภพมิวมาส่งแล้ววววววววววว
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคำติชมที่ได้บอกกันมาผ่านช่องทางในนี้และในทวิตเตอร์นะครับ  ผมดีใจมากๆ
เนื้อหาหลักๆของเรื่องนี้จะเกี่ยวกับผีและการสือสวนนะครับ  ดังนั้นความหลอนของมันอาจจะไม่ได้คงที่ทุกตอน  หวังว่าจะชอบกันนะครับ  อย่าพึ่งเบื่อกันนะะะะ
ถ้ามีคำติชมอะไร  เหมือนเดิมเลยนะครับสามารถบอกผมได้ทั้งในนี้แล้วก็ในทวิตเตอร์จะบอกโดยตรงหรือผ่าน #Nightmaregame ก็ได้ครับ  ผมอ่านทั้งหมดเลย
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ  เดี๋ยวผมจะแก้ให้
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ  รัก
P-Rawit

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 :ling3: :ling3: น่ากลัวอ่า น่ากลัวตลอดเลย เหมือนจะแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกม๊ากกกกก

ลุ้นมากเลย แอบคิดว่าวิญญาณตนนั้นแอบชอบมิวป่าว555

มาต่อเร็วๆนะพลีส :z13:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
เป็นเรื่องที่หลอนประสาทมากแต่หยุดอ่านไม่ได้เลย คนเขียนเก่งมากเลยค่ะ สู้ๆนะคะ o13

ออฟไลน์ sinyou

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รอๆๆๆๆ ยิ่งอ่านยิ่งติด อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

ออฟไลน์ Poongsuke

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หยุดอ่านไม่ได้เรยจิงๆ

ออฟไลน์ yamapong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น่ากลัววว แต่หยุดอ่านไม่ได้้้ โฮออออ

ออฟไลน์ huoan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นแนวสยองขวัญที่มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามมาก ชอบครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เหมือนความจริงใกล้เปิดเผย ความอันตรายของเกมส์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลอนมากๆ

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่21

กล่อม


เดี๋ยวครับ!! หยุดก่อน

เสียงห้ามปรามการเคลื่อนไหวของไอ้ภพ ดังไปทั่วอาณาบริเวณจนทำให้คนแถวนั้นหันมาสบตาพวกเรากันเป็นแถบ เรียกให้ผมต้องโค้งหัวขอโทษและยิ้มแกนๆใส่ เพราะรู้ดีว่าเสียงที่ดังขนาดนั้นกำลังไปขัดบรรยากาศการทำบุญที่ต้องการความสงบค่อนข้างสูง  แต่แม้ว่าเสียงจะดังเพียงใดก็ตาม  บุคคลที่เป็นเป้าหมายสำหรับพวกผมก็ไม่วายที่จะหยุดเดิน  เธอคนนั้นยังคงก้าวขาออกห่างไปด้วยความเร่งรีบ  เบียดเสียดผู้คนออกไปโดยที่ไม่สนใจเลยว่าการกระทำแบบนั้นจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า

“เดี๋ยวสิครับคุณ  จะรีบไปไหนครับ?”ไอ้ภพร้องถามด้วยความเหนื่อยอ่อน  หลังจากการวิ่งไล่ผู้หญิงปริศนาคนหนึ่งออกมา จนสุดท้ายก็สามารถเข้าถึงตัวได้ในบริเวณหน้าวัดซึ่งมีเพียงรถยนต์จอดเรียงรายเอาไว้เท่านั้น

“ตามมาจริงๆด้วยสินะคะ”เสียงเย้ยหยันของสตรีเพศ ดังขึ้นเรียกพวกเราที่กำลังก้มหน้าให้เงยขึ้นสบตาเธอคนนั้น

เมื่อได้มองใกล้ๆผู้หญิงตรงหน้า  สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของผมมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้นคือ  เธอเป็นใคร?  เพราะรูปร่างหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยบวกกับดวงตาที่ใช้มองอย่างไม่เป็นมิตร  ทำให้ผมหาสาเหตุกันไม่ได้ว่า  พวกเราเคยไปทำอะไรให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจหรือไม่  เหตุใดสีหน้าของเธอจึงดูค่อนขอดพวกผมนัก

“พวกเราต่างหากที่ต้องถามคำถามนั้นนะครับ  คุณตามพวกเรามาทำไม?”ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเปิดปากถามถึงประเด็นที่ค้างคามากที่สุดขณะนี้

“หึ อย่าถือดีไปหน่อยเลยค่ะ พวกคุณไม่ได้มีอะไรให้น่าติดตามทั้งนั้น  ที่ฉันมา ก็แค่อยากเห็นหน้าคนขี้โกงเท่านั้น”

“ขี้โกง?  ไม่ได้ตาม? คุณหมายความว่าไงครับ”

“อย่าโง่นักเลยคะ  ถามจริงๆเถอะคุณไม่สังเกตบ้างเหรอว่าเมื่อวานกับวันนี้  นอกจากฉันแล้ว มีใครที่มองคุณอยู่อีกบ้าง”

คำถามล่อเป้า ส่งให้ผมกับไอ้ภพต้องหันมองหน้ากันและเริ่มที่จะจ้องตาผู้หญิงตรงหน้าให้ลึกขึ้น  ดื่มด่ำกับนัยน์ตาสีนิลที่ฉายแววท้าทายมาให้  เนื่องจากความลับและข้อสงสัยที่ไอ้ภพพึ่งจะถามไป  ผู้หญิงคนนี้คงเป็นคนเดียวที่กุมคำตอบเอาไว้

“จะมีหรือไม่มี แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหละครับ ดูคุณจะรู้อะไรเยอะมากกว่าที่พวกผมรู้  คุณเข้ามาหาพวกผมถึงขนาดนี้คงไม่ใช่แค่ต้องการมาดูคนขี้โกงอย่างเดียวเสียแล้วนะครับ   คุณมีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรือเปล่า?”

“ถ้าบอกว่าไม่มีก็คงโกหกสินะคะ  หึหึ  เรื่องจริงก็เป็นอย่างที่คุณว่านั่นแหละค่ะ….ฉันมี”

“งั้นก็รบกวนบอกด้วยครับ  หวังว่าพวกเราคงไม่ต้องแนะนำตัวให้เป็นทางการก่อนนะครับ ดูท่าคุณจะรู้จักพวกเราแล้ว”

“ค่ะ  ฉันทราบดีว่าพวกคุณเป็นใคร  โดยเฉพาะคุณเลยนะคะ…คุณเอกภพ” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดของเธอคนนั้นกำลังเหยียดยิ้มกว้างอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า เมื่อคำพูดของเธอกำลังทำให้พวกเรารู้สึกเสียวสันหลังและอึดอัดไปกับความรู้สึกกำกวมเหล่านั้น

“เอาเป็นว่า  บอกผมมาเถอะครับว่าทำไมคุณถึงต้องมามองพวกผม  แล้วก็เรื่องคนอื่นๆนั่นอีก”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรหรอกค่ะ  มันก็เป็นแค่อุบายของเกมส์ที่พวกคุณกำลังเล่น  หลอกล่อให้พวกแฟนคลับหน้าโง่ทั้งหลายออกมาพบปะกับพวกคุณได้ตามสบาย เพียงแต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายกับพวกคุณ”

“นี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมของเกมส์อย่างนั้นหรอครับ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ  เกมส์นี้ติดประกาศหราไว้บนหน้าเว็บว่า ถ้ามีใครสนใจจะพบปะกับพวกคุณตัวจริง  สามารถเข้าไปหาได้ตามสถานที่ของวัดต่างๆที่พวกคุณต้องไป”

“แสดงว่าคุณ รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับว่าพวกผมจะต้องไปที่วัดไหนกันบ้าง”

“ค่ะ  ไม่รู้ก็คงแปลก  ในหน้าเว็บตอนนี้ติดประกาศไว้ทั้งข้อมูลของพวกคุณและกิจกรรมที่พวกคุณต้องทำ  ซึ่งก็รวมถึงไอ้โปรเจคเก้าวัดพวกนี้ด้วย….น่าสนุกดีไหมละคะ  ให้คนมาตามดูพวกคุณ อย่างกับสวนสัตว์เปิด”

คำพูดถากถางจากเธอคนนั้น สะกิดต่อมอารมณ์ของพวกผมให้ทำงาน   ทุกสิ่งที่เธอต้องการสื่อไม่ใช่แค่เพียงคำพูดหยาบหูเท่านั้น แต่แววตา  ท่าทาง ทุกสิ่งอย่างที่เธอแสดงออกล้วนอุดมไปด้วยอารมณ์แค้นและความสะใจอยู่ไม่น้อย   คำดูถูกดูแคลนที่พวกผมได้รับจึงเป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดีที่ได้เข้ามากองสุมทับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาจนทำให้ไฟโทสะในอกลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

“จะมากไปแล้วนะครับ  ผมไม่รู้หรอกนะว่าผมไปทำอะไรให้ ทำไมคุณต้องโมโหนัก  แต่ถ้าคุณโกรธเพราะพวกผมไม่อยู่แต่ในบ้าน  ก็บอกเลยนะครับว่าที่พวกผมต้องออกมามันเป็นคำสั่งของรายการ”

“จุ๊ๆ…อย่ารีบขึ้นเสียงสิคะ  เรื่องแค่นี้ก็ทนกันไม่ไหวแล้วหรอ  ไม่ได้คิดกันเลยรึยังไงว่าเกมส์มันให้พวกคุณออกมาทำไม  หรือแค่ดีใจกับอุบายโง่ๆนี่ก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นแล้ว  เป็นอย่างนั้นหรอ?”

“นี่คุณ…”ไอ้ภพกำมือแน่นพร้อมกับตัวที่สั่นระริก  ผมรู้ว่ามันกำลังเดือดได้ที่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะหนึ่งเธอคนนั้นเป็นผู้หญิง สอง ตรงนี้ยังอยู่ในบริเวณวัด

“ภพ ใจเย็นๆ…เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้อะไรก็บอกเถอะครับ  เรื่องที่คุณพูดมา พวกผมสงสัยกันตั้งแต่วันแรกแล้ว เพียงแต่ว่าผมก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้  โลกของเกมส์ที่ผมอยู่มันแคบเกินไป”

“แคบ?  แคบอะไรหรอคะ  ฉันก็เห็นว่าคุณภพหนีออกไปนอกบ้านออกจะบ่อย ไม่เห็นแคบเลยนี่คะ”

“ผมว่าประเด็นนั้นน่าจะไม่เกี่ยวนะครับ  สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงคำบอกเล่าของคุณเท่านั้น ได้โปรดบอกเถอะครับ”

“หึ น่าจะทำเสียงร้องขออีกหน่อยนะคะ จะได้ดูน่าสมเพชขึ้น  แต่เอาเถอะ ลองคิดตามนะคะ  การที่พวกคุณออกมาอยู่ตรงนี้แสดงว่าบ้านที่คุณเล่นเกมส์มันก็ว่างใช่ไหมคะ  แล้วพอมันว่างแบบนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”

ถ้าผมเดาไม่ผิด  เธอคนนี้คงตั้งใจที่จะกล่าวถึง…ทีมงาน

“ทีมงาน…แต่มันจะเป็นไปได้หรอ  ถึงผมไม่อยู่ยังไงบ้านมันก็ยังมีกล้องติด และที่สำคัญ สัญญาณภาพมันก็ออนแอร์ให้พวกคุณดู 24 ชั่วโมง  ทีมงานจะกล้าเล่นอะไรตุกติกหรอครับ”

“555 โง่ให้ได้ตลอดนะคะ  เกมส์มันจะได้สนุกขึ้น…ถึงจะมีสัญญาณแต่ก็ใช่ว่าจะตัดออกไปไม่ได้  ยิ่งคนที่คอยเฝ้ามองพวกคุณจากจอภาพมากองรวมกันตามสถานที่พวกนี้หมด  คิดดูสิคะ ว่าทางรายการจะกล้าตัดภาพออกไปไหม ในเมื่อไม่มีใครให้ต้องเกรงใจแล้ว”

“พูดแบบนี้…แสดงว่าคุณเห็นหรอครับว่ารายการตัดภาพไป”

“เห็นสิ  เห็นมากกว่านั้นอีก…ฉันจำไม่ได้หรอกนะคะว่า เรื่องมันเกิดตอนวัดที่เท่าไร แต่ตอนนั้น ฉันเห็นว่ามีทีมงานของรายการสองสามคนเดินถืออะไรบางอย่างไปซ่อนที่ตู้เก็บของในบ้าน ก่อนที่ใครสักคนจะหันมาเจอกล้องและสั่งให้ตัดภาพไป”

“ตู้เก็บของ…อย่างนั้นเหรอ”พวกผมนิ่งค้างไปจนแทบพูดไม่ออก  ภาพในหัวพาย้อนกลับไปหาวันที่ลุงคำกำลังรื้อค้นอะไรสักอย่างในตู้อย่างเอาเป็นเอาตาย  ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างหัวเสีย

“คุ้นไหมคะ? ตู้ที่ลุงคนใช้ไปค้นไงคะ  555  ทีมงานพวกนั้นคงลืมไปหน่อยว่าที่บ้านมันมีกล้องเลยไม่ได้สังเกต แต่ก็ยังมีไหวพริบดีเลยสามารถสั่งให้ตัดภาพทันเพราะคิดว่าคนจะไม่เห็น  แต่ก็ช้าไป หึหึ สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเป็นไง  แต่สำหรับฉันที่จ้องมองพวกคุณมาตั้งแต่วันแรก  เรื่องพวกนี้…ไม่คลาดสายตาฉันหรอกค่ะ

“อย่างนั้นหรอครับ  งั้นคุณผู้หญิงแสนรู้  ได้โปรดบอกพวกเราทีครับ ว่าทีมงานกำลังซ่อนอะไร?”คงหมดความอดทนของไอ้ภพ  เมื่อท่าทีเกรี้ยวกราดที่มีแปรเปลี่ยนมาเป็นท่าทีนิ่งเฉย  หากแต่ว่าวาจาที่เปล่งกลับร้ายลึกจนสามารถฆ่าคนฟังให้ตายได้แม้แค่คำแรก

“หึ  ฉันไม่รู้หรอกค่ะ  มองไม่เห็น  แต่ขอบอกไว้อย่างหนึ่งนะคะ  อย่าเปลืองแรงค้นเลยค่ะ  ทีมงานคงไม่โง่พอที่จะซ่อนมันไว้ที่เดิมหรอกจริงไหม?”

“ถ้าอย่างนั้น  ผมก็ขอบคุณที่บอกนะครับ  เห็นทีว่าพวกผมคงจะต้องไปกันแล้ว  ลาก่อนครับ”

“หึ เดี๋ยวสิคะ  จะรีบกันไปไหน เรื่องสนุกๆมันยังไม่หมดหรอกนะคะ  คุณภวัต สุขุมชัยการ และคุณเอกภพ ชัยเจริญวิทย์…

ขณะที่ไอ้ภพ คว้ามือผมเตรียมจะเดินหนีผู้หญิงท่าทีแปลกๆตรงหน้า  เธอก็รีบพูดดักทางพวกผมเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่เรียกว่ากำลังพอใจที่ได้มองพวกผมก็ไม่ปาน  อีกทั้งชื่อและนามสกุลจริงยังถูกกล่าวขานมาอย่างช้าๆ ชัดๆ ให้ผมได้ฟังกันทีละคน ก่อนจะเว้นวรรคหยุดไป ราวกับว่าประโยคที่เธอจะพูดมันยังไม่จบและประโยคถัดไปคงเป็นไม้เด็ดชั้นดีที่พร้อมจะขยี้พวกผมให้จมดิน  ไม่เช่นนั้น ดวงตาของเธอคงไม่สะท้อนวาบวับมาพร้อมกับปากที่ฉีกยิ้มอย่างกับเธอคือผู้ชนะและไม่แยแสแม้ว่าหน้าของไอ้ภพจะปั้นปึ่งไปมากแล้วก็ตาม

คุณเอกภพ ชัยเจริญวิทย์  พี่ชายของ น.ส.อรพิมล ชัยเจริญวิทย์…ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นบ้าออกจากรายการไปเมื่อ3ปีก่อน

“ฉัน…พูดถูกใช่ไหมคะ?  คุณเอกภพ”

คำว่าบ้า ที่เธอคนนั้นจงใจเน้นออกมา สามารถหยุดทุกการย่างก้าวของไอ้ภพ   ก่อนที่ท่าทีของมันจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  จากที่ว่านิ่งบัดนี้มันกลับนิ่งยิ่งกว่าเดิม  มือของมันที่กอบกุมมือผมไว้ค่อยๆสั่นจนดูน่าสงสาร  อีกทั้งแววตาของมันยังวาวโรจน์ไปไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่ผมเคยหลุดพูดคำนี้   ผมไม่รู้ว่าท่าทีของไอ้ภพที่เป็นอยู่คือการที่มันกำลังพยายามคุมตัวเองหรือว่าอะไร
แต่ที่แน่ๆประโยคเชือดเฉือนหัวใจนั่นคงได้พาจิตใจของไอ้ภพหวนคืนสู่โลกที่มันสร้างเอาไว้ 

โลก…ที่ไม่เคยมีใครเข้าถึง

ช่วงระยะเวลากว่าสองอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน  นับว่านิสัยของไอ้ภพได้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ตั้งแต่ที่เรื่องราวของมันถูกผมบังคับให้ถ่ายทอดออกมาให้หมด  ท่าทางที่มันแสดงออก ผมดูก็รู้แล้วว่ามันเก็บกดกับเรื่องน้องสาวของมันมาก  ใครก็ไม่สามารถแตะต้องเข้าไปได้  ซึ่งในยามปกติก็คงดูไม่ออก  แต่ถ้ามันได้เข้านอนเมื่อไร  ทุกสิ่งที่มันเก็บไว้จะถูกเปิดเผยออกมาผ่านการละเมอ  ดังนั้นในช่วงแรกๆ  ผมจึงได้ฟังความทรมานของมันทุกวัน ก่อนที่อาการจะหายไปในช่วงหลังๆเพราะความเหนื่อยล้าทางร่างกาย

เพี๊ยะ

เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังสะกดทุกสิ่งรอบกายผม  เสียงนั่นไม่ได้เกิดมาจากอารมณ์ครุ่กรุ่นของไอ้ภพ  แต่เกิดจากน้ำมือและอารมณ์ของผู้หญิงคนนั้นที่ใช้การตบเพื่อป้องกันตัวเอง  เมื่ออยู่ดีๆไอ้ภพก็สลัดมือผมทิ้งและเดินหันหลังกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างไว ก่อนที่จะกระชากคอเสื้อเธอขึ้นมาจนตัวโยน

“นี่คุณ!! ทำอะไรก็หัดเกรงใจกันบ้าง  ไม่ใช่ว่าเห็นพวกผมเป็นผู้ชายและจะทำอะไรก็ได้”ผมเหวลั่น เมื่อเห็นเธอตบหน้าไอ้ภพให้ปล่อยมืออย่างแรงจนใบหน้าของมันขึ้นสีและเป็นรอยนิ้วจนมันถึงกับนิ่งไป  สายตาที่เธอคนนั้นมองไอ้ภพตอนนี้ดูน่ากลัวจนน่าใจหาย  ราวกับว่าถ้ามันใช้ฉีกไอ้ภพออกเป็นชิ้นๆได้  ไอ้ภพก็คงไม่เหลือแล้ว

“มึงอย่ามาพูดพล่อยๆนะ!!  ไอ้เวรนี่มันทำกูก่อน”สรรพนามและเนื้อเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน  ส่งผลให้ผู้หญิงหน้าตาสะสวยตรงหน้ากลายเป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอาการทางจิตเท่านั้น

“ก็ถ้าคุณไม่ไปพูดจาอย่างนั้นก่อน  เพื่อนผมมันจะเป็นอย่างนี้ไหม?  ผิดก็คือผิด” ผมเถียงออกไปด้วยอารมณ์ที่แรงขึ้น แต่ยังสามารถคุมเอาไว้ได้

“กูพูดความจริงแล้วมันผิดตรงไหน  คนที่ผิด มันก็คือพวกมึงไม่ใช่หรอ  มันคือพวกมึงทั้งนั้นที่ผิด!!”

“ผมไปทำอะไรให้  ผมผิดอะไรนักหนา  ทำไมถึงต้องทำกันถึงขนาดนี้”ผมดันไอ้ภพให้มาอยู่ด้านหลัง  ก่อนจะเผชิญหน้าสนทนาอารมณ์กับเธอโดยตรง 

“ผิดอะไรอย่างนั้นหรอ กูจะบอกบางอย่างให้มึงฟังนะ  กูคือพี่สาวของดลยา  มึงคุ้นชื่อนี้ไหม?”

“ดลยา?...ใครคือดลยา ผมไม่รู้จัก”

“5555 มึงจะรู้จักได้ไง  กูไม่ได้ถามมึง!!  กูถามไอ้โง่ที่มันซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมึงต่างหาก  ว่าไงไอ้เอกภพ  มึงรู้จักไหม?”

“ไม่  รู้  จัก”ไอ้ภพ  ทำเสียงเข้มเน้นให้ผู้หญิงคนนั้น ฟังอย่างชัดๆ

“น่าสงสารน้องกูนะ  ว่าไหม? หึหึ  ขนาดมึงยังไม่รู้จัก  ขนาดมันตายไปแล้วคนก็ยังเอาแต่สนใจน้องของมึง 555 ดลยาคือผู้หญิงที่เข้าร่วมแข่งขันพร้อมน้องของมึงไง ไอ้เอกภพ!!”สิ้นเสียงของเธอ  นิ้วชี้ด้านขวาก็ถูกยกขึ้นมาชี้หน้าพวกผม ก่อนที่จะไปหยุดอยู่เพียงหน้าไอ้ภพ  เรียกให้พวกผมสองคนอึ้งไปกับคำที่ได้ยินและทำให้ไอ้ภพก้าวขึ้นมันประชันหน้าโดยตรง

“แล้วยังไง…เหตุผลแค่นี้อย่างนั้นเหรอที่จะนำมาใช้ทำร้ายพวกผมได้”

“555 เหตุการณ์วันนี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลย  ถ้าพวกมึงโดนบังคับถอนตัวไปตั้งแต่เกมส์แรก  พวกมึงผิดกติการายการ  แต่มันก็ยังเก็บพวกมึงไว้เพียงเพราะกระแสคู่รักน้ำเน่าและละครปาหี่ที่พวกมึงเล่น  ไม่เหมือนน้องสาวของกู  ที่แค่เปิดประตูออกไปนิดเดียว  ก็ถูกบังคับถอนตัวทั้งๆที่อยู่ไม่ถึงสิบวันด้วยซ้ำ”

“ละเมออะไรหรือเปล่าคุณ  น้องของคุณถอนตัวออกไปเอง  ทิ้งให้น้องสาวผมต้องรับชะตากรรมอยู่แค่คนเดียว”

“มันบอกมึงอย่างนั้นหละสิ  5555  มันบอกมึงอย่างนั้นใช่ไหม? ไอ้เว็บโง่ๆพรรค์นั้น   กูจะบอกให้เอาบุญนะ  น้องของกูถูกบังคับให้ถอนตัวออกจากเกมส์ตั้งแต่วันที่5 เพราะแค่ไปเปิดประตูตามเสียงเรียกของใครสักคนเท่านั้น”สิ่งที่อัดอั้นในใจและความทุกข์ทรมานของเธอคนนี้  กำลังค่อยๆเผยออกมาให้ผมเห็น  เมื่อปากของเธอดูหัวเราะอย่างสะใจ แต่ดวงตากลับมีน้ำใสๆไหลเอ่อมาไม่ขาดสาย สภาพของเธอตอนนี้จึงดูล่องลอยและไม่มีสติใดๆหลงเหลืออยู่

“งั้น…คุณก็ควรจะดีใจนะ  ที่น้องของคุณออกจากเกมส์ไปได้ก่อนน้องไอ้ภพ”

“ดีใจ? ดีใจกับอะไรอย่างนั้นหรอ  น้องของกูกลับมาอยู่บ้านได้ไม่ถึงสามวัน ก็ต้องเป็นอันหายตัวไปจากกู  หายไปอย่างไร้ร่องรอย  ก่อนที่กูจะไปพบว่าน้องของกูกลายเป็นศพอยู่ในเกมส์คืนสุดท้ายที่น้องของมึงเล่น” เสียงตวาดดังลั่นไปทั่ว  ดังมากจนผมรู้สึกกลัวว่าใครจะมาได้ยิน  และทำให้เรื่องราวแห่งความตายนี้เล็ดลอดไปถึงหูของผู้ที่คุมชะตาผมกับไอ้ภพเอาไว้

“หมายความว่ายังไง?” ไอ้ภพรีบถามขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลงด้วยความสงสัยและสนใจ   เนื้อความที่มันได้ยินคงกำลังประติดประต่อเรื่องราวของน้องสาวมันให้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดมากขึ้น

เธอคนนั้นไม่พูดพร่ำอะไรต่อ  นอกจากจะค่อยๆล้วงจดหมายขึ้นมาสามฉบับจากกระเป๋าหนังที่เธอถือ

“น้องของกู!! ได้รับจดหมายพวกนี้ ตั้งแต่วันที่กลับมาถึงบ้าน  เนื้อความแปลกๆในนี้เรียกน้องสาวของกูให้ออกไปและไม่เคยได้กลับมา ฮึก”

“มี…แค่นี้เองหรอ?”

“นี่คือใบที่เก็บเอาไว้ได้  ส่วนใบสุดท้ายที่น้องกูได้รับ  ไม่เคยมีใครได้เห็นนอกจากน้องกูที่ถือออกไปในวันที่ หายตัวออกจากบ้าน”

“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าน้องคุณเป็นศพอยู่ในนั้น”

“หึหึ  เกมส์ที่น้องมึงเล่นคืนนั้น  คือเกมส์ที่ต้องเอาตุ๊กตามาสมมติให้มีชีวิต  น้องของมึงถูกสั่งให้เดินลงมาจากบ้านเพื่อมาเปิดกล่องตุ๊กตาที่ตั้งเอาไว้   ภายในนั้นบรรจุตุ๊กตานั่งเก้าอี้โยกคลุมผ้าเอาไว้  และเมื่อน้องมึงเปิดผ้าออกมา  น้องมึงก็กรี๊ดอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนที่สัญญาณจะหายไป  แต่รู้อะไรไหม? คืนนั้นไม่ใช่แค่น้องมึงที่กรี๊ด แต่มันยังมีกูที่กรีดร้องร่วมกับน้องมึงด้วย  เมื่อกูได้เห็นว่าภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้น  มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นตุ๊กตานั่งอยู่”

“ทุกคนเข้าใจว่าเป็นตุ๊กตา?  หมายความว่าไง  นั่นไม่ใช่ตุ๊กตาเหรอ” ไอ้ภพส่งเสียงถามออกไปอย่างร้อนรน  ปนเปไปกับท่าทีของผมที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นของความตาย  กลิ่นของลางสังหรณ์มรณะเพียงแค่สิ้นสุดคำสุดท้ายของผู้หญิงตรงหน้า

“เสื้อและกางเกงที่ตุ๊กตาตัวนั้นใส่  มันคือชุดของน้องสาวกูในวันที่เขาหายไปและไม่กลับมา ฮึก” น้ำตาที่ไหลออกมาบวกกับท่าทีทรมาน  สร้างภาพอันน่าสงสารและน่าเวทนาให้กับผมและไอ้ภพ  จนอารมณ์ร้อนๆเมื่อครู่สูญหายไปทั้งหมด

“แล้วทำไมคุณไม่ไปแจ้งตำรวจ”

“คิดว่ากูไม่แจ้งอย่าง นั้นหรอ!!  กูแจ้งแล้ว  แจ้งไปหมดแล้ว แต่ใครจะเชื่อกู  จดหมายพวกนี้มันก็ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่ามาจากไหน  หลังจากที่น้องมึงเป็นบ้า  ทุกคนก็เอาแต่สนใจเรื่องของน้องมึงคนเดียว จนกลบเรื่องของน้องกูไปหมด   จะเข้าเว็บไปหาคลิปนั่นก็ไม่ได้  รายการมันสั่งปิดไปแล้ว  เท่ากับว่ากูไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่เลย ฮึก”

เรื่องราวที่ได้รับบวกกับจดหมายบนมือที่ผมเห็น  เป็นดั่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ผมเฝ้ารอและตามหามาอยู่นาน  ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงท่าทางไม่เป็นมิตรจะนำความจริงที่แม้แต่ไอ้ภพก็ไม่อยากเชื่อเข้ามาให้  แม้ภาพที่เธอร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดจะบั่นทอนความรู้สึกผมมากขนาดไหน  แต่ผมก็ไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้เลยว่าเลือดในกายของผมกำลังสูบฉีดอย่างแรงด้วยความตื่นเต้น  หลังจากนี้คงเหลือจิ๊กซอว์เพียงไม่กี่ชิ้น  เรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์ 

“มิว  ทีมงานมาตามแล้ว”ไอ้ภพ  เข้ามากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะชี้ให้ผมเห็นทีมงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเรานัก ผมหันไปยกมือให้สัญญาณก่อนจะหันกลับมาเพื่อกล่าวลาบุคคลสำคัญของเกมนี้

“คราวนี้พวกผมต้องไปกันจริงๆแล้ว  ยังไงก็ขอบคุณและขอโทษที่การกระทำของพวกผมมันทำให้คุณไม่พอใจ  แต่จะบอกอะไรให้นะครับ  กระแสคู่รักน้ำเน่าที่คุณบอก  มันกำลังช่วยยื้อเวลาให้ผมตามหาความจริงให้น้องสาวคุณและไอ้ภพได้”

“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของน้องสาวกู!!   ดูเรื่องของมึงเถอะ  อย่าอวดดี  ชะตากรรมของพวกมึงหลังจากนี้ มันก็คงไม่ต่างจากน้องกูเท่าไร  สายสิญจน์ที่พวกมึงหยิบเอามาคิดว่าจะช่วยได้อย่างนั้นหรอ  555 ฝันกลางวัน”

“เอาเป็นว่าขอบคุณที่บอกนะครับ  ผมไปละ”

“5555  เตรียมตัวกันเอาไว้…วัดสุดท้ายที่พวกมึงต้องไป  มันต่างกับวัดพวกนี้แน่นอน  อยู่ให้ได้ อย่าถอนตัวก่อนซะหละ”

เผื่อพวกมึงต้องตาย  ญาติของพวกมึงจะได้หาศพเจอ


ผีตากผ้าอ้อมยามเย็น นำทางให้รถของรายการกลับเข้าสู่ตัวบ้านอีกครั้ง


เวลาช่วงบ่ายพวกผมต่างก็พากันไปใช้ชีวิตในวัดที่แปด  สูดลมหายใจเข้าปอดรับกับบรรยากาศอันเงียบสงบภายในวัด  แม้จะมีสายตาของบรรดาผู้คนเข้ามารบกวนบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกผมสนใจอีกต่อไป  ความจริงที่ได้รับมาเมื่อเช้านั่นต่างหากที่ผมยังให้ราคาและเก็บมันเอาไว้ภายในหน่อยความจำสมองอย่างดี

อดกังวลไม่ได้เลยว่า ช่วงที่ทีมงานเข้ามาตามผม  เขาจะได้ยินเสียงตวาดลั่นลานวัดหรือไม่  ท่าทีที่เขาปฏิบัติยามบ่ายทุกอย่างยังคงนิ่งเฉย  ไม่มีปฏิกิริยาแบบวันก่อนๆนั่นคือการเข้ามากวนหรือการมาแอบถามถึงสิ่งที่ตนเองต้องการรู้  เรื่องราวที่ผู้หญิงคนนั้นระบายออกมาจะว่าไม่มีผลต่อทีมงานเลยก็ไม่น่าใช่  คนเหล่านี้ทำงานกับเกมมานาน  อยู่กับเกมมาอย่างเงียบๆ  ไม่ได้รู้เลยว่าเบื้องหลังจอแก้วที่ตนนำออกฉายจะซ่อนเงื่อนงำโหดร้ายไว้ภายใต้หน้ากากผู้เข้าแข่งขัน  มันจึงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเขามีโอกาสรับรู้ชะตากรรมเหล่านั้น  เขาจะไม่สนใจ

“วันนี้มาถึงเย็นเลยนะครับ”  ประโยคก่อนบอกลาแบบในทุกๆวัน  ดังขึ้นเพื่อพูดคุยกับผม

“นั่นสิครับ  แต่ก็ไม่ได้เย็นมากหรอก  วัดแรกๆเย็นกว่านี้นะครับ”

“เผลอแปปเดียว  คุณก็เล่นกันมาแปดวัดแล้ว”

“ทำไมครับ  จะชวนผมดราม่าเหรอ  ยังไงก็ยังเหลือวัดที่เก้าอีก  อย่าห่วงเลยครับ”

“ก็นะ  ยังไงก็ดูแลตัวคุณและคุณภพให้ดี  อย่าเป็นอะไรไปซะก่อนนะครับ”

“ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก  ว่าแต่คุณเถอะ  ทำไมต้องทำท่าเหมือนมีอะไร?”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ครับ  แล้วก็สัญญากับผมว่าจะไม่เป็นอะไรก็ทำตามที่พูดนะครับ  หวังว่าเรา…จะได้คุยกันอีก”

บทกระซิบชวนให้ปวดหัว ถูกทิ้งท้ายไว้โดยทีมงานคนที่ดูเหมือนจะกวนผมที่สุด  ผู้ชายคนนั้น มีสองบุคลิกที่ผมไม่อาจเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วตัวตนเขาเป็นคนอย่างไร  บทที่เขาจะกวนผมเขาก็ทำเสียจนผมกลัวและโมโห  แต่เมื่อไรที่ถึงบทดี ผู้ชายคนนี้ก็ทำได้ไม่แพ้กัน  ความห่วงใยบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ ถูกส่งออกมาจากตัวเขาจางๆ  และไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่ได้รับ สายตาและคำพูดที่มองไปที่ไอ้ภพยามตักเตือนก็ดูเหมือนกันกับผม  แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีใครบางคนไม่เข้าใจ

“คุยอะไรกัน”เสียงแข็งๆของไอ้ภพ ร้องทักผมทันทีที่เดินเข้ามาหามัน

“คุยเรื่องพรุ่งนี้  เรื่องวัดสุดท้ายนั่นแหละ  เขาฝากบอกมึงด้วยว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ”

“ถ้าคุยกับมันอีก กูฝากบอกมันด้วยว่าขอบใจ แต่กูไม่ได้ต้องการ”

ผมส่ายหัวน้อยๆให้กับท่าทีเด็กๆของมัน  ก่อนจะเดินแยกเข้ามาในบ้าน  จัดแจงเก็บข้าวของและลงครัวไปช่วยไอ้ภพ  วิถีชีวิตเดิมๆถูกถ่ายออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เคยเบื่อ  จนเมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงช่วงที่จะได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริง  ผมกับไอ้ภพก็แยกกันไปอาบน้ำ และกลับเข้ามาพิจารณาเนื้อความบนกระดาษเอสี่ที่ผมเขียนทิ้งเอาไว้และบอกกับมันว่าให้รออ่านมันพร้อมกัน

เนื้อความที่มีเพียงสั้นๆ…ในจดหมายสามฉบับนั้น

กักกันอย่างหรรษา  หรือ  อิสระตลอดกาล 

ตัวคนเดียว  หรือ ครอบครัว

Return if it possible


“Your Nightmare” สิ้นประโยคสุดท้ายของกระดาษเอสี่  ความเงียบก็ลอยปกคลุมทุกพื้นที่  จนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ไม่อาจทำลายความวังเวงนี้ออกไปได้

.
.
.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2017 23:34:05 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
คำลงท้ายสุดท้ายที่มีอยู่ในจดหมายทุกฉบับ  เป็นเพียงแค่คำอำลาสั้นๆที่ไม่บอกชื่อคนแต่งหรือแสดงความห่วงใยใดๆ  ความน่ากลัวของชื่อนี้ดูเผินๆคงไม่มีใครรู้สึกอะไรด้วยแน่  แต่ถ้าหากสมมติว่าขณะนี้ผมเป็นคุณดลยา ซึ่งพึ่งจะออกจากเกมส์สยดสยองนี้ไป  คำนั้นคงไม่ต่างกับฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอนไม่เลิก  โดยที่ตัวของคุณดลยาเองก็คงต้องได้รู้อะไรเกี่ยวกับคำนี้อยู่ไม่น้อย  ไม่เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ในจดหมายคงไม่สามารถเรียกชีวิตของคุณดลยาออกไปตายได้

“มึงตีความสามประโยคนี้ยังไง?”ไอ้ภพถามเสียงเครียด

“กูยังไม่กล้าตีความเท่าไร  จะให้บอกว่าจดหมายนี้มันให้คุณดลยาเลือกก็ไม่น่าใช่เพราะจดหมายฉบับที่สามมีเพียงประโยคเดียวเขียนไว้  แต่จะให้บอกว่ามันไม่ได้ถูกเขียนมาเพื่อเลือก  กูก็ทำไม่ได้อีก เพราะสองฉบับแรกมันมีคำว่าหรือที่เนื้อความขัดแย้งกันอย่างชัดเจน”

“อย่างนั้นหรอกเหรอ”

“แล้วมึงอ่ะ?  ได้ลองตีความมันเอาไว้ไหม”

“กูลองแล้ว  แต่ก็ไม่ได้มั่นใจ จดหมายฉบับที่สองน่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดในบรรดาทั้งสามฉบับนี้”

“แล้วมันหมายความว่ายังไงสำหรับมึง”

“มันไม่ใช่จดหมายเตือน….มันคือคำขู่ฆ่า”

ผมพยักหน้ารับรู้ไปอย่างช้าๆ  พร้อมแสดงแววตาที่วิตกอย่างปิดไม่มิด  การตีความของไอ้ภพคือสิ่งที่ผมมั่นใจว่าถูกต้องแน่ๆ  เพราะขณะที่ผมได้มีโอกาสนั่งเขียนทุกอย่างลงบนกระดาษ  จดหมายฉบับที่สองคือฉบับที่ทำให้การตวัดปากกาในมือผมเป็นอันต้องหยุดชะงัก  และปล่อยให้สมองทำหน้าที่ทุกอย่างแทน  คำว่าตัวคนเดียวหรือครอบครัวคงเป็นการสั่งให้คุณดลยาเลือกระหว่างจะเดือดร้อนคนเดียวหรือพ่วงไปทั้งครอบครัว  โอกาสที่เธอจะได้หาทางออกจึงมีไม่มากนัก  สุดท้ายเมื่อถึงคราวจนปัญญาเธอจึงได้เลือกเส้นทางเพื่อเข้าหาบ่วงรัดคอของเธอเพียงคนเดียว

นั่งไขความลับของจดหมายฉบับที่เหลือไปได้ไม่นาน  เสียงบีบแตรรถยนต์ก็ดังระงมไปทั่วบริเวณบ้าน  เสียงนั่นทำลายสมาธิของผมและไอ้ภพไปอย่างสิ้นเชิง  ก่อนจะสั่งให้ผมพากันวิ่งลงมาที่ชั้นล่างเพื่อมาดูว่า  จุดประสงค์ของแตรรถยนต์คันนั้นคืออะไร

“อ้าว ลุงมั่น  สวัสดีครับ  มายังไงเนี่ย?”ผมทักลุงมั่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ต่างจากไอ้ภพที่แค่ยกมือไหว้แล้วสอดส่ายสายตาไปมองยังการกระทำของทีมงานซึ่งกำลังนำของบางอย่างลงมาจากรถ

“มากับทีมงาน ”

“แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ  มาบีบแตรเรียกพวกผมเสียดึกเชียว  อย่างนี้ผมเปิดประตูออกมาก็ถือว่าไม่ผิดกฎนะครับ”

“555 ไม่ผิดๆ  แล้วก็วันนี้ที่ลุงมาก็เพื่อจะขนเอาของที่ลุงคำแกขนไม่ได้มาให้”

“อะไรครับ?”

“เปลเด็กกับตุ๊กตา”

“เอามาทำไมครับ?”ผมตกใจไปกับสิ่งที่ได้ยิน  ก่อนจะค่อยๆเอ่ยถามหาเหตุผลไปอย่างกล้าๆกลัวๆ  คำบอกเล่าล่าสุดที่ได้ยินสร้างจินตนาการให้ผมนึกถึงศพคุณดลยา นึกถึงเกมส์สุดท้ายที่น้องไอ้ภพได้เล่น  ก่อนที่จะเบาใจลงไปเมื่อเห็นว่าตุ๊กตานั้นเป็นเพียงตุ๊กตาเด็กทารก

“อ้าว  จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้อ่านรายละเอียดเกมส์อีกเหรอ?”

“ยังครับ  พวกผมเดินทางมาเหนื่อยเลยอยากพักก่อน”ไอ้ภพแทรกขึ้นมาเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของลุงมั่นดูจะแปลกใจกับการไม่สนใจของพวกผม

“เอาเป็นว่า หลังจากนี้ก็ไปอ่านซะ  จะได้เข้าใจ  แล้วลุงคำเอาอะไรมาให้นี่เห็นกันหรือยัง?”

“เห็นแล้วครับ  เครื่องเล่นเทปแบบเดิมกับที่ผมเคยใช้”

“ดีแล้วหละ  งั้นพวกเอ็งก็ยกกันเข้าไปในบ้านแล้วกัน  ไม่ได้หนักหนาอะไรเท่าไร  รีบอ่านรีบเล่นซะหละจะได้มีเวลานอน”

“ขอบคุณครับลุง”

บอกลาลุงมั่นไว้แต่เพียงเท่านั้น  ผมกับไอ้ภพก็ช่วยกันยกเปลเด็กขนาดไม่ใหญ่เข้ามาไว้กลางบ้าน  มองสิ่งที่ผมต้องทำคืนนี้อย่างสงสัย  ก่อนที่ไอ้ภพจะขอเดินแยกขึ้นไปหยิบหนังสือที่ทิ้งไว้บนเตียงและกลับลงมาพร้อมหน้าตาที่ติดจะเป็นกังวล

คำบอกเล่าชวนให้เหงื่อในกายไหลออกมาของไอ้ภพ  กล่าวให้ผมฟังว่า  เกมส์คืนนี้ผมกับมันต้องสมมติตัวเองให้เป็นครอบครัวของตุ๊กตาตัวที่ต้องใช้เล่น โดยที่อ้างอิงความเชื่อเก่าๆที่ว่า  ตุ๊กตาที่มนุษย์ใช้เล่นกัน  มันไม่ใช่สิ่งของที่ไม่มีหัวใจอย่างที่หลายคนคิด  ตามคำบอกเล่าต่างๆที่ได้รับมาพบว่า  หากเราให้ความสนใจ ให้ความรักประหนึ่งว่าสิ่งที่อยู่กับเราไม่ใช่เพียงตุ๊กตา  สิ่งนั้นจะกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างที่ไม่น่าเชื่อสายตาตนเอง

เรื่องราวที่หนังสือได้รวบรวมประสบการณ์ของมนุษย์ใจกล้าเอาไว้ ทุกๆคนล้วนบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า  ตนเองติดตุ๊กตามาก เวลาไปไหนหรือทำอะไร  ตุ๊กตาตัวนั้นมักจะถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วยเสมอ  ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างกับเป็นครอบครัว   หนักสุดก็เป็นพี่น้องตามกันมาอย่างไม่ได้คิดอะไร  แต่สุดท้ายเมื่อชีวิตทุกคนต้องโตขึ้น  ตุ๊กตาที่ตนครอบครองได้กลับกลายเป็นเพียงของเล่นเด็กเท่านั้น  ถูกทิ้งร้างเอาไว้ในห้องเก็บของ  หรือบางรายก็อาจจะนำไปทิ้งโดยที่ไม่ได้นึกเลยว่า ตุ๊กตาตัวนั้นมีวิญญาณเข้าไปสิงสู่รับความอบอุ่นจากตนเองไปแล้ว  นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกครั้งที่นำไปทิ้งหรือปล่อยเอาไว้ในตู้

ทุกรุ่งเช้า ตุ๊กตาตัวเดิมจะเคลื่อนย้ายกลับมานอนสบตากับตนเองอยู่เสมอ…

“คำสั่งให้พวกคุณสมมติตัวเองเป็นพ่อแม่ของตุ๊กตาทารกตัวนี้  และตั้งชื่อเรียกให้สอดคล้องกับชื่อของพวกคุณ”

สิ้นสุดคำสั่งแรกจากปากไอ้ภพ  ผมกับมันก็เงยหน้ามองกันอย่างอัตโนมัติ  แปลกใจไปกับคำสั่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้  การเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากต้องมีใครสมมติบทบาทกันขึ้นมา  แต่คำสั่งที่ผมต้องปฏิบัติกับตุ๊กตาไม่ต่างไปกับลูกของตนเองนั้น ไม่อาจทำให้ใจของผมนิ่งเฉยได้  ความน่ากลัวที่ผมได้รับฟังมาจากในหนังสือคือเชื้อเพลิงอย่างดีที่กระตุ้นให้ผมรับรู้ว่าเกมส์คืนนี้ไม่อาจใช่เกมส์เลี้ยงเด็กธรรมดาอีกต่อไป

หลังจากสบตากันได้เพียงครู่เดียว  ไอ้ภพก็ก้มลงไปอ่านคำสั่งที่ยังไม่หมดต่อ  เนื้อความข้างในคือสิ่งที่บอกให้ผมถือและเรียกเด็กคนนี้ไปด้วยเสมอหลังจากที่ได้รับมา  ดูแลเขาให้เหมือนกับคนมากที่สุด  และสุดท้ายเมื่อถึงเวลาเข้านอนของตุ๊กตาตัวนี้  ผมกับไอ้ภพจะต้องนอนขนาบข้างเปลทั้งสองฝั่ง ผลัดกันไกวให้เปลเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆราวกับว่าผมกับมันกำลังกล่อมลูกนอน
ผมคงรู้สึกยินดีที่จะทำมากกว่านี้  ถ้าช่วงเข้านอนพวกผมไม่ต้องนอนอยู่ใต้เสื่อผืนใหญ่พร้อมกับเปิดเพลงกล่อมเด็กไปด้วย

ในสมัยก่อนคำสั่งห้ามของคนโบราณอีกอย่างคือ  ห้ามนำเสื่อมาคลุมร่างของตนเองเนื่องจากวิธีนั้นจะถูกนำไปใช้กับคนที่ตายไปแล้วอย่างเดียว  คำอธิบายของเกมส์บอกผมเพียงว่าสาเหตุที่พวกผมต้องนอนอยู่ภายใต้เสื่อ เนื่องมาจากตุ๊กตาที่ได้รับความเป็นจริงมันคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นเพื่อให้พวกผมเข้าใจและสามารถรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณของตุ๊กตา ผมจึงต้องเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกับมัน

“คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้  มีเด็กที่เสียชีวิตไปด้วย ดังนั้น พวกคุณต้องดูแลและปรนนิบัติตุ๊กตาตัวนี้เป็นอย่างดี  ไม่แน่ว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นอาจจะกำลังต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่อีกครั้ง”

“หึ กูว่าคนคิดเกมส์คงพึ่งจะนึกได้มั้งว่าสร้างเรื่องให้บ้านหลังนี้ไว้แบบไหน  ถึงได้พึ่งจะสั่งให้กูท้าทายผีในบ้าน” ไอ้ภพอ่านคำเตือนสุดท้าย  ก่อนจะสบถออกมาเบาๆเมื่อที่สุดแล้วเกมส์ก็ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องราวสยองขวัญในบ้านหลังนี้เป็นม่าย

“มันก็ให้เราท้าทายมาตั้งหลายเกมส์นะ”

“กูรู้  แต่มันก็ไม่ใช่ทุกเกมส์ สิ่งที่รายการควรจะโฟกัสมันคือเรื่องราวความตายในบ้าน  ไม่ใช่สั่งให้เชิญวิญญาณจากไหนไม่รู้ให้เข้ามา”

“เพราะมันรู้ไม่ต่างจากเราไงภพ  ว่าแท้จริงแล้วบ้านหลังนี้มันไม่มีวิญญาณหรืออะไรหรอก  ตุ๊กตาที่มันเอามาให้เราวันนี้ก็คงไปเอาของคนตายสักคนมา”

“มึงโอเคอยู่ใช่ไหม?  ไหวแน่หรือเปล่า  เกมส์คืนนี้มันชัดเจนมากแล้วนะ ว่ามึงต้องได้เจออะไรสักอย่าง”

“ถ้าอะไรสักอย่างที่มึงว่าคือผี  กูก็ตอบได้แค่กูโอเค  กูหลีกเลี่ยงไม่ได้ไอ้ภพ  ถึงกูจะกลัวกูก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“สู้อีกนิดนะ…กูขอโทษที่พูดได้แค่นี้  แต่มึงจำเป็นต้องอดทนนะมิว  เพื่อตัวมึงเอง”

“กูรู้แล้ว  ว่าแต่เราจะตั้งชื่อตุ๊กตานี่ว่าอะไร?”

“ง่ายๆเลย  ก็ชื่อ ภิว  เพราะมันสอดคล้องกับชื่อพวกเรามากสุด”

“ฮะ!!! จริงจังใช่ไหม?” ผมหลุดตกใจจนอ้าปากค้าง  ชื่อที่ไอ้ภพบอกว่าคิดมาเล่นเอาผมไปไม่เป็น  อีกทั้งสีหน้าที่มันพูดยังเต็มไปด้วยความแน่วแน่  ผมจึงยิ่งแปลกใจว่ามันคิดขึ้นมาแล้วจริงๆหรือว่าแค่อยากปล่อยผ่าน

“เออ ตามนั้น แล้วก็หุบปากของมึงไปได้แล้ว จะอ้าให้แมลงวันเข้าไปรึไง”

หลังจากจบบทสนทนา  ไอ้ภพก็เริ่มเดินแยกไปทำตามคำสั่งทันที  มันเดินไปยังห้องต่างๆของตัวบ้าน  เพื่อชี้ให้น้องภิวของมันเห็นว่าห้องเหล่านี้คืออะไร  พาเข้าห้องน้ำ  ห้องครัวไปไม่ต่างจากการดูแลเด็ก  ภาพที่ผมเห็นจึงเป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งที่กำลังตั้งใจดูแลลูก  แม้ว่าการกระทำของมันจะติดออกประชดประชันเกมส์เสียส่วนใหญ่  แต่ก็อดคิดไม่ได้เลยว่า  ถ้ามันได้เป็นพ่อคนขึ้นมาจริงๆ  ลูกของมันคงได้พ่อที่ดีที่สุดเป็นแน่

และเวลาที่ผมไม่ต้องการให้ถึงก็เคลื่อนมา…เวลาที่ผมต้องกล่อมเด็กน้อยที่ชื่อภิว

“น้องภิวครับ  เดี๋ยวอยู่กับแม่ตรงนี้นะ  พ่อจะไปปิดไฟแล้วจะได้เปิดเพลงให้ลูกฟัง”

“นี่ไอ้ภพ  มึงไม่ได้โดนอะไรคุมอยู่ใช่ไหม?  ทำไมต้องจริงจังแบบนี้  กูหลอน”

“กลัวรึไง?  กูไม่ได้โดนอะไรคุมหรอก  กูแค่อยากลองทำหน้าที่นี้  กูอยากมีลูก

“ง…งั้นเหรอ  อืมกูเข้าใจแล้ว  มึงก็ไปปิดไฟได้แล้ว  เดี๋ยวลูกของมึงก็นอนไม่ได้พอดี”

“ใครว่านี่ลูกกูคนเดียว?  นี่ก็ลูกมึงด้วย  ไม่เข้าใจชื่อน้องภิวหรือไง?”

ผมพยักหน้ารับและดันไอ้ภพให้เดินไปปิดไฟ  ตุ๊กตาทารกตัวนั้น  บัดนี้ถูกไอ้ภพจับนอนลงบนเปลสีฟ้าอ่อนเก่าๆตัวหนึ่ง  ที่นำไปวางไว้ทั้งสองฝั่ง  เมื่อไอ้ภพเห็นว่าผมจัดแจงเสร็จมันก็กดปิดไฟและเดินมายังเครื่องเล่นเทปเพื่อจัดการเปิดเพลงกล่อมเด็กเป็นอย่างสุดท้าย

“โอ้..ละเห่  เรือเอ๋ยเรือเล่น ยาวสามเส้นสิบห้าวา จอดไว้ที่หน้าท่า คนก็ลงอยู่เต็มลำ หัวจดบางกอกน้อย   ท้ายก็ย้อยไปปากน้ำ คนก็ลงเต็มลำ  พายจ้ำจ้ำมาฉับฉับ พายดำและพายแดง…”           

ทันทีที่ไอ้ภพสั่งให้เครื่องเล่น  บทเพลงคุ้นหูก็ดังขึ้นแทรกความเงียบและความหม่นหมองของตัวบ้าน ใน เกมส์คืนนี้อาศัยเพียงความสว่างของแสงจันทร์ช่วยขจัดความมืดมิดภายในบ้านออกไป  พร้อมกับใช้เสียงเพลงกล่อมลูกของแม่นากทำลายความเงียบและเพิ่มดีกรีความน่ากลัวของเกมส์นี้ ให้ดังคลอเคล้าไปกับเสียงของจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นเปลี่ยนไปขณะที่มือข้างหนึ่งของผมเริ่มจับเชือกไกวเปล

ไอ้ภพกับผมหันมองหน้ากันเป็นอย่างสุดท้ายผ่านลูกกรงเปล ก่อนที่จะพยักให้สัญญาณล้มตัวนอนพร้อมกับที่มืออีกข้างก็ยกเสื่อผืนโตขึ้นมาปกคลุมร่างกายของเราทั้งคู่ไว้เกือบทุกส่วน  ทำให้ตอนนี้มีเพียงแขนข้างหนึ่งของผมและไอ้ภพเท่านั้นที่ถูกยื่นออกมาจากเสื่อเพื่อเริ่มไกวไปทีละข้างโดยที่ผมเป็นคนโยกเปลมาก่อน

เสียงหวีดแหลมของคำร้อง ดังขับกล่อมบรรยากาศรอบตัว  สร้างภาพหลอนและความรู้สึกให้ตีวนอยู่ในหัว  ผมไม่รู้เลยว่าฝ่ายไอ้ภพจะรู้สึกยังไง  เพราะตั้งแต่ที่เราได้เริ่มนอนและปล่อยให้เพลงวนซ้ำไปเรื่อยๆนั้น  ผมกับมันก็ไม่มีใครได้เอื้อนเอ่ยวาจาขึ้นมาแทรกบทเพลงทั้งสิ้น  ปล่อยให้ทำนองเสนาะหูของเพลงนั้นขับกล่องทารกตัวน้อยที่นอนนิ่งสนิทอยู่ในเปลสีฟ้าข้างกาย

ความรู้สึกกดดันทางกายและจิตใจ  ทำให้ตัวผมก่อเกิดความระแวงขึ้นมานับไม่ถ้วน  เสียงเตือนของไอ้ภพ ดังลอยวนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกให้จิตใจของผมระวังตัวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้  โดยที่ผมไม่เคยได้รู้เลยว่า  สิ่งนั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไร  ปรากฏตัวขึ้นมาแบบไหน  และมีจุดประสงค์เพื่ออะไร หรือแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเลยก็ได้ เพราะพวกมันได้อยู่ข้างกายผมมาตั้งนานแล้วเพียงแค่ผมไม่ทันสังเกตหรือไม่ได้สนใจมันเท่าที่ควร

กริ้ง 

เสียงกังวานใสของลูกกระพรวนข้อเท้าเด็กดังขึ้นปนเปไปกับเสียงเพลงกล่อม  สะกดให้ตัวผมนอนเกร็งอยู่กับที่  แขนข้างเดียวที่ทำการยื่นออกไปนอกเสื่อ  สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นเยียบรอบกายที่เปลี่ยนไปพอควร  เสียงกระพรวนลูกนั้นดังสนั่นรอบกายของผม  เดินวนรอบไปมารอบๆเปลที่ยังคงถูกไกวอย่างต่อเนื่องจากฝีมือไอ้ภพ  ซึ่งตอนนี้มันอาจไม่ได้ทันสังเกตว่าแรงที่ไกวอยู่มีเพียงแรงของมันคนเดียว

พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ออกมาเล่นกับหนูหน่อย

พ่อจ๋า  ออกมาเล่นกับหนูหน่อย  บ้านหลังนี้ไม่มีเพื่อนหนูเลย


คำชักชวนหวานหูของเด็กน้อย ดังขึ้นภายใต้ทำนองกล่อมเด็ก  น่าแปลกที่ผมสามารถได้ยินเสียงเด็กคนนั้นชัดเจนจนต้องนอนจิกเล็บตัวเกร็งนิ่ง  เพื่อไม่ให้เด็กคนนั้นหันมาสนใจผมที่นอนอยู่  เสียงเพลงที่เคยดังลั่นเริ่มแทนที่เข้ามาด้วยเสียงเรียกร้องความต้องการของเด็กน้อย  ดังอยู่ข้างๆไอ้ภพที่คาดว่าตอนนี้มันก็คงไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีวิญญาณยืนอยู่ข้างตัวมันเรียบร้อย

พ่อจ๋า  ออกมาเล่นกัน  เล่นกัน  เล่นกับหนู

น้ำเสียงร่าเริงดังเรียกไอ้ภพอยู่แบบนั้น คลอเคล้าไปกับเสียงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ  หากแต่ไอ้ภพยังคงนอนนิ่ง  ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป  และเป็นผมแทนที่ได้ยินทุกอย่างจนภาวะทางกายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ปากเริ่มสั่น  หน้าอกตันแน่น  มือเท้าเกร็ง  หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าจะช็อก  และสุดท้ายเสียงที่ทำให้อาการทุกอย่างที่ว่ามาทวีคูณขึ้น  ก็กระทบเข้าหูผมจนได้  เมื่อวิญญาณเด็กน้อยตนนั้น ไม่สามารถเชื้อเชิญไอ้ภพออก  เป้าหมายใหม่ของมันจึงเป็นผมที่นอนอยู่อีกฝั่งแทน

กริ้ง  กริ้ง  กริ้ง

แม่จ๋า  พ่อไม่ออกมาเล่นกับหนู  แม่ออกมาเล่นด้วยกันไหมจ้ะ

เสียงกระพรวนลูกน้อยดังเปลี่ยนทิศทางเข้ามาหาผมพร้อมกับคำพูดเสียงเย็นที่เริ่มเข้าใกล้หูผมมากเรื่อยๆ  ความรู้สึกข้างกายผ่านเสื่อผืนโตของผม  รับรู้ได้ว่ารอบๆตัวผมเริ่มมีการเคลื่อนไหวลักษณะแปลกๆวนรอบเหมือนกับว่าการตัดสินใจเข้ามาหาผม เป็นการตัดสินใจที่วิญญาณตนนั้นรับรู้อยู่แล้วว่า  ใครจะเป็นผู้ที่สื่อสารกับมันได้จริงๆ

แม่จ๋า  ออกมาเล่นกันสักที หนูรู้นะ…ว่าแม่ได้ยินเสียงหนู

สิ้นเสียงเย็นเยียบนั้น  ตัวของผมก็สั่นไปมาอย่างแรง ซึ่งการสั่นนั้นไม่ได้เกิดมาจากการกลัวของผม  แต่มันเกิดมาจากแรงเขย่าของมือน้อยๆแต่กลับมีแรงมหาศาล  ผลักผมไปมาอย่างกับเป็นเรื่องสนุก  เรียกให้ผมออกไปเผชิญหน้ากับวิญญาณตรงหน้าเสียที  จนผมต้องปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างทรมานและอึดอัดไปกับสิ่งที่ตนเองได้รับ

“ภ…ภิว  หนูไปนอนได้แล้ว  อย่ากวนพ่อกับแม่”

คำพูดสิ้นคิดแต่ดูเหมือนจะได้ผล ถูกเอ่ยออกไปอย่างตัดปัญหาเมื่อแรงเขย่าของวิญญาณเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุให้เสื่อบนตัวผมเริ่มเคลื่อนย้ายออกจากตัวไปทีละนิด จนผมกลัวว่าหากปล่อยไว้ผมอาจจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายมากกว่านี้  และไม่ใช่แค่แรงเขย่าของวิญญาณเท่านั้นที่หายไป  จังหวะการไกวเปลของไอ้ภพก็หายไปด้วย  เสียงพูดพึมพำของผมเมื่อครู่คงไปกระทบกับหูของมันเข้า

แม่ได้ยินเสียงหนูจริงๆหรอจ้ะ…

ฟังดูตลกร้าย เมื่อแรงเขย่าที่หายไปแปรเปลี่ยนมาเป็นเสียงกระซิบตรงบริเวณเสื่อข้างหู  เสียงนั่นเป็นเสียงที่ดูเหมือนสะใจปนมีความสุขเล็กๆที่สามารถสั่งให้ผมตอบสนองความต้องการของมันไปได้  ผมนอนเบิกตากว้างและเริ่มกัดฟันกันเสียงตกใจที่เกือบจะโพล่งออกไป  ก่อนที่การเคลื่อนไหวแปลกๆของเสื่อจะนำทางให้ผมหลับตาแน่นอีกครั้ง และทำได้เพียงแต่ภาวนาว่าขออย่าให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคิด

และสุดท้ายในชีวิตจริงของมนุษย์  คำภาวนาทั้งหลายมันก็ไม่เคยตอบสนองต่อบุคคลที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกของวิญญาณเมื่อท้ายที่สุด เสื่อที่ปกคลุมผมก็ค่อยๆเปิดขึ้นมาจากปลายเท้า  นำให้บรรยากาศเย็นๆรอบกายค่อยๆเลียกับผิวหนังของผมจนขนในกายลุกชันขึ้นมาเรื่อยๆ  เสียงกระพรวนข้อเท้าที่ได้ยินก็เริ่มดังขึ้นมาอย่างช้าๆจากปลายเท้าขับกล่อมบรรยากาศไปพร้อมกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก 

ผมนอนตัวสั่นหลับตาแน่นอยู่แบบนั้น  ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างเป็นระยะ  เนื้อตัวรู้สึกเจ็บและชาไปทุกสัดส่วน  ปากผมสั่นจนไม่สามารถกัดมันเอาไว้ได้  ทำให้เสียงของฟันที่กระทบกันสร้างเสียงหัวเราะเล็กๆให้กับลูกชายของผมและไอ้ภพ ก่อนที่ดวงตาของผมจะสัมผัสได้ถึงมืออันน้อยนิดแต่กลับเย็นจัดจนสามารถกุมขั้วหัวใจของผมไว้ได้ทั้งหมด

มือบางนั้นค่อยๆถ่างดวงตาของผมทั้งสองข้างให้เปิดขึ้นจนผมมีโอกาสได้เห็นหน้าตาของลูกชายผม

มือบางนั้นค่อยๆเคลื่อนไปลูบไล้ใบหน้าของผมและไปหยุดอยู่บนปากที่กำลังสั่น ก่อนที่มันจะบีบปากของผมไว้จนเจ็บร้าว

และสุดท้ายเมื่อสองแม่ลูกได้พบหน้ากัน คำทักทายของวิญญาณนั้นจึงเริ่มบรรเลง

แม่จ๋า  มาเล่นด้วยกันไหม!!!





**************************************TBC**************************************************
เอาตอนที่21มาส่งแล้วนะครับ
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า เพลงกล่อมเด็กที่ใช้ในนี้ชื่อเพลง นากนางนะครับ ลองเปิดฟังคลอการอ่านไปด้วยได้ 555
ขอบคุณทุกคำติชม ทุกการติดตามเหมือนเดิมนะครับ  ผมดีใจและขอบคุณทุกคนมากๆครับ
ช่องทางการติดตามคือทวิตเตอร์ด้านล่างนะครับ หรือถ้าอยากพูดคุยสามารถเข้าไปบอกผมใน #Nightmaregame หรือเม้นบอกในนี้ได้ครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit


ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หนูภิวดื้อขนาดนี้้ ต้องจับตีก้นซะให้เข็ด :katai5:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ทำไมมิวไม่เคยหลาบจำเลยนะว่าอย่าไปคุยกับวิญญาณ งานเข้าแล้วเห็นไหม :ling3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยย น้องภิว ไปนอนเถอะลูกกกกกก

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ภิวดื้อกับแม่ขนาดนี้พ่อต้องทำโทษภิวนะ

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
แต่ละอย่างที่มิวเจอนี่...  :ling3: :z3: :ling3: :z3: :ling3: :z3:

ออฟไลน์ Poongsuke

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พลาดไม่ได้สักตัวอักษรเรย รอๆๆๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด