“หืม? อยากเล่าหรือไง”
“เอาจริงๆก็ไม่ กูแค่อยากให้มึงลองถามเหมือนทุกครั้ง”
“หึ ทุกครั้งที่กูถามมึงมันเป็นเพราะกูไม่รู้ว่ามึงจะต้องเผชิญกับอะไร แต่ครั้งนี้เพราะกูรู้ไงว่ามึงเจอกับอะไรมา ท่าทางที่ดูกลัวจนเหงื่อซึม ใบหน้าที่เคร่งเครียดขนาดนั้น มันบอกกูหมดแล้วว่ามึงไม่ได้เจอเรื่องที่ดี ฉะนั้น ละครเรื่องเดิมๆที่กูต้องให้มึงนำมาฉายซ้ำอีกรอบ กูก็ไม่อยากดูหรอก ถ้าความต้องการของกู มันต้องขยี้ความรู้สึกของมึง”
“ขอบคุณมากๆนะ ที่เข้าใจ”
“อืม ก็อยู่กันแค่นี้ ยังไงความรู้สึกมึงก็ต้องมาก่อน”
“น่าอิจฉาเนอะ ถ้าตอนนี้เราไม่ต้องอยู่ในเกมส์นี่ เราสองคนคงไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง”ผมพยักหน้ารับความรู้สึก ก่อนจะพ่นคำพูดตัวเองออกมาอีกครั้งยามที่ต้องมองไปที่บรรดาครอบครัวข้างหน้านั่น
“ไม่หรอก สำหรับมึงอาจจะใช่ แต่สำหรับกู สามปีที่ผ่านมามันไม่เคยมีวันไหนที่กูสุข ไม่เคยมีวันไหนที่กูหลับได้เต็มตาเลยสักครั้ง ตั้งแต่กูเสียน้องสาวไป มันก็เหมือนเสียชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของกูไปด้วย”
“เฮ้ย กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจให้มึงคิดมากนะ กูแค่เผลอหลุดพูดไปกับบรรยากาศตรงนี้เฉยๆ”
“หึ ไม่ต้องคิดมากหรอก บรรยากาศแบบนี้มันก็สุขอย่างมึงว่านั่นแหละ…แล้วมึงเป็นไง อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม? เตรียมอัดวีดีโอแล้วไปหาน้ำกันเถอะ เผื่อมีเวลาจะได้มานั่งพักตรงนี้กันด้วย”พูดจบไอ้ภพก็เดินมาขยี้หัวผมจนฟูไปหมด ก่อนที่มันจะเดินแยกออกไป ทิ้งให้ใบหน้าของผมขึ้นริ้วสีอมชมพูพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นมาเบาๆ
ผมเดินออกไปให้ทันไอ้ภพ ก่อนจะหยิบกล้องวีดีโอขึ้นมาอัดเอาไว้ด้วยประโยคเดิมๆเหมือนกับทุกวัน แต่ดูเหมือนวันนี้จะพิเศษกว่าหน่อย ตรงที่มีไอ้ภพเข้ามาร่วมแจมบ้างจนการอัดวีดีโอดูสนุกสนานไปมากกว่าทุกๆวัน วัดที่ผมมาวันนี้ค่อนข้างจะต่างจากวัดแรกๆโดยสิ้นเชิง ทั้งความกว้างใหญ่ของวัด ทั้งจำนวนคนที่เข้ามาทำบุญกันในนี้ เลยทำให้บรรยากาศไม่ดูเงียบเหงาและวังเวงเหมือนกับวัดก่อนๆ
ด้วยความที่วัดค่อนข้างใหญ่ พวกผมจึงต้องเดินและสังเกตกันให้ละเอียดมากขึ้น ทิฐิที่ถูกสร้างตอนลงมาจากรถทำให้พวกผมสองคนไม่เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากทีมงานแม้แต่คนเดียว ใช้ความสามารถของตนเองสุ่มเดาไปเรื่อยๆว่าบ่อน้ำลักษณะแบบนั้นมันควรอยู่ตรงไหน จนเหงื่อไคลเริ่มไหลเลียผิว พวกผมถึงได้รู้สึกตัวกันว่า เราใช้เวลาในการหาไปค่อนข้างมากแต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานใดๆติดมือกลับมาเลย
“ขอโทษนะครับ ขอถามอะไรได้ไหมครับ?”ผมและไอ้ภพเดินพัดมือคลายร้อนเข้าไปหา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนพักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้ ก่อนที่พวกเธอจะหันมาสบตาเข้ากับผมพอดี
“ได้สิคะ ถามมาเลย”หนึ่งในคนกลุ่มนั้น จ้องมองมาที่พวกผมน้อยๆ ก่อนจะเริ่มตอบคำถามและพูดคุยแบบเป็นกันเอง
“ไม่ทราบว่าพอจะเคยเห็นบ่อน้ำลักษณะเก่าๆ ที่เวลาใช้ต้องชักรอกขึ้นมาบ้างไหมครับ?”
“อ๋อ เคยค่ะ มันก็อยู่ตรงหลังวัดไม่ใช่หรอคะ คุณยังไม่เห็นเหรอ เลยร้านอาหารไปหน่อยก็เจอแล้วค่ะ”
“หลังวัด? รู้ด้วยหรอครับว่าพวกผมเดินกันไปที่หลังวัดมาแล้ว”ผมผงะไปทันทีหลังจากได้ยินคำตอบ ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้ได้อย่างไรว่าผมเคยไปไหนกันมาบ้าง
“แหม่ จะให้พูดจริงๆหรอคะ ผู้ชายสองคนเดินคู่กันในวัดทำท่าทำทางกระหนุงกระหนิงแบบนั้นมันเด่นน้อยเสียเมื่อไร อีกอย่าง พวกเราเห็นคุณสองคนตั้งแต่ไปยืนหน้าดำหน้าแดงกันตรงบึงน้ำแล้วค่ะ”
“อ่อครับ งั้นขอบคุณมากนะครับ พวกผมขอตัวก่อน”
ผมโบกมือลาออกมาพร้อมใบหน้าที่จะยิ้มก็ยิ้มไม่เต็มที่ ความรู้สึกอุ่นๆในหัวใจกำลังเรียกเลือดให้ขึ้นหน้า ผมไม่รู้ตัวเลยว่าระหว่างการเดินหาสิ่งของเหล่านี้ ทุกการกระทำจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้หญิงกลุ่มนั้นหรืออาจจะคนทุกกลุ่ม นำให้ผมต้องคอยลอบมองปฏิกิริยาของไอ้ภพบ้างว่ามันจะแสดงออกแบบหรือไม่
และก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด ไอ้ภพไม่ได้แสดงออกอะไรออกมาเลย ใบหน้าแดงก่ำของมันก็ดูเหมือนจะเกิดจากความร้อนมากกว่าที่จะเขิน ทำเอาผมใจแป้วไปบ้าง แต่ด้วยความที่ผมไม่ค่อยสนใจตรงนั้นมากนัก เรื่องในหัวจึงมีเพียงสิ่งที่พวกเธอเหล่านั้นบอกมาว่าพวกเราต่างก็ดูแลกันโดยที่ไม่รู้ตัว ผมจึงถือว่าไอ้ภพมันก็คงเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย
“จะมองอะไรนักหนา เห็นหน้ากันทุกวันขนาดนี้มึงยังมองไม่หมดหรือไง?” ไอ้ภพถามขึ้นหลังจากที่สองเท้าของเราพากันมาหยุดยืนตรงหน้าบ่อน้ำคนละฝั่งของบ่อ
“ทำไมขี้หวงจังวะ มองทุกวันก็ไม่ใช่ว่ามันจะเห็นทุกอย่างหนิ”
“จะอยากเห็นขนาดไหนกัน แค่กูยิ้มออกมาได้นี่มึงก็ต้องทำบุญเพิ่มแล้วนะไอ้มิว”
“โถ คุณมึงครับ เพ้อเจ้อ แค่ยิ้มของมึงมันใช้บุญเก่ากูไม่หมดหรอก”
“อย่างนั้นหรอ แล้วถ้าแบบนี้หละ…จะหมดหรือยัง”
เมื่อพูดจบไอ้ภพก็ละมือจากรอกนั่นแล้วเปลี่ยนไปเป็นค้ำบ่อแทน ก่อนจะเคลื่อนย้ายใบหน้าของมันให้เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนลมหายใจของเรารดปลายจมูกกันและกัน ทุกสิ่งรอบกายผมหรือแม้แต่หูของผมก็ดูจะบอดไปหมด ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของหัวใจตัวเองที่ร่ำร้องออกมาว่าผู้ที่เป็นเจ้าของมันกำลังเล่นตลกจนน่ากลัว
และเหมือนไอ้ภพจะสนุกที่ได้แกล้งผม มันจึงค่อยๆยิ้มออกมา ยิ้มนั่นเป็นยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นจากไอ้ภพเลยสักครั้ง มันเป็นยิ้มที่ดูอ่อนโยน เป็นยิ้มที่ไม่ได้ทำให้มันหล่อขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นยิ้มที่ระเบิดความรู้สึกและหัวใจของผมให้แตกละเอียดไปไม่เหลือชิ้นดี
“นี่ใช่ไหมที่อยากเห็น” ไอ้ภพเลื่อนใบหน้าของมันเข้ามากระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูผมที่ตอนนี้นิ่งค้างไปกับการกระทำของมันโดยสมบูรณ์
“…”
“คราวหลังไม่ต้องแอบมองหรอก ขอให้กูยิ้มออกมาเลย กูก็ทำได้และไม่ต้องกลัวด้วยว่ากูจะไปยิ้มให้คนอื่น”
“ทะ…ทำไม”
“หึหึ เพราะยิ้มแบบนี้….มันมีไว้ใช้กับมึงคนเดียว”
แสงตะวันยามบ่ายนำทางพวกเราให้กลับเข้าสู่ตัวบ้านอีกครั้ง…
ผมเดินทางกลับจากวัดที่หกด้วยความรวดเร็ว ระยะเวลาที่พวกเราใช้กันในวันนี้ดูจะสั้นมากกว่าวันอื่นๆจนทีมงานที่นั่งรออยู่บนรถต่างก็ทำหน้าแปลกใจไปตามๆกัน โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผมกับไอ้ภพต้องทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วเช่นนี้มันเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ชวนให้โลกเป็นสีชมพูข้างบ่อน้ำจบลง
หลังจากที่ไอ้ภพพูดประโยคที่ทำให้โลกของผมกลับมาสดใสขึ้น ความรู้สึกบางอย่างที่ผมสัมผัสได้มาก็แทบจะดึงให้โลกของผมกลับมาหม่นลงในทันที ช่วงที่ไอ้ภพมันละออกไปจากตัวผมและเปลี่ยนไปดึงรอกเอาน้ำขึ้นมาแทน สัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมก็ทำงานโดยการสั่งให้ผมหันไปมองทุกมุมของวัดเพื่อหาต้นเหตุของความรู้สึกที่ว่า มีสายตาคู่คมกำลังจับจ้องมาที่พวกผมสองคนอย่างจริงจัง
นาทีแรกที่ผมจะตัดสินใจบอกไอ้ภพ ความรู้สึกช่วงหนึ่งมันทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงกลุ่มนั้น กลุ่มที่บอกกับผมว่าพวกเธอมองผมมาตั้งแต่แรก และเพื่อไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะการคิดไปเอง ผมจึงลองปิดปากไปก่อนและปล่อยให้ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกถึงสายตาที่เสียดแทงมาทางผมดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่ แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกยามที่พวกผมสองคนเดินออกมาเข้าสู่ฝูงชนกลุ่มใหญ่ สุดท้าย ผมก็ได้พบว่าสายตาคู่ที่คอยจ้องมาตั้งแต่บ่อน้ำกับสายตาคู่ที่กำลังจดจ้องพวกผมอยู่มันให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย
สายตาคู่นั้นกำลังใช้มองผมด้วยอารมณ์บางอย่าง…อารมณ์ที่ผมเดาไม่ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของดวงตากำลังรู้สึกอะไร
ผมรีบบอกให้ไอ้ภพเดินกลับไปกินข้าวที่รถ ละทิ้งแผนการที่จะนั่งพักผ่อนอยู่ตรงศาลาริมบึงไป ผมทนไม่ได้ที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของบุคคลที่มองมาอย่างไม่หวังดี ผมรู้สึกกลัวไปกับสายตาคู่นั้น กลัวมากจนสายตาของวิญญาณเมื่อคืนเทียบไม่ติดเลย สายตาที่มองมาแม้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นผีหรือคนแต่สิ่งนั้นกำลังไม่พอใจอะไรในตัวพวกผมแน่ๆ ผมเชื่ออย่างนั้น ยิ่งลางสังหรณ์ที่ผมสนับสนุนความเชื่อของผม ไซเรนแห่งการป้องกันตนเองจึงดังขึ้นสั่งให้ผมออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“เกิดอะไรขึ้นไอ้มิว?” ไอ้ภพที่วิ่งตามมาเพราะแรงฉุดกระชากของผม ถามขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงงไปกับเหตุการณ์ที่พลิกจากหน้ามึงจนแทบจะเป็นหลังเท้า
“ภพ…สายตา มีสายตาอีกคู่แล้วที่กำลังจ้องมองพวกเราอยู่”
“สายตา? อีกแล้วเหรอ มึงแน่ใจใช่ไหม อาจจะเป็นสายตาของคนรอบๆตัวเราหรือเปล่า”
“ไม่ผิดแน่ไอ้ภพ มีสายตามองเราจริงๆ กูรู้สึกได้มาสักพักแล้ว สายตาที่มองมันไม่ต่างไปจากที่กูโดนมองเมื่อคืนเลย แต่คราวนี้มันไม่ได้หวังดีหวะ กูรู้สึกอย่างนั้น มันกำลังมองมาที่เราด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างแรงนะภพ”
“เอาอีกแล้ว คราวนี้มันจะเป็นสายตาของใครกัน สายตาคู่เมื่อคืนเราก็ยังไม่รู้ผู้เป็นเจ้าของมันเลยนะ”
“เชื่อกูเถอะ ว่าสายตาคู่ล่าสุด เราจะไม่อยากรู้ถึงเจ้าของดวงตาเท่าเมื่อคืนแน่นอน”
เมื่อกลับมาถึงรถได้ ผมก็รีบบอกให้ทีมงานออกรถไปอย่างรวดเร็ว จัดการกินข้าวให้เรียบร้อยและนอนรอเวลาให้รถเคลื่อนตัวพาผมไปยังวัดที่สองที่ผมต้องทำภารกิจ โดยไม่ลืมที่จะหย่อนเอาความรู้สึกไม่ดีตรงนั้น ฝากทิ้งไว้ภายในวัดที่สร้างทั้งความสุขและความหวาดระแวงให้ผม
ขณะเดินทางมาถึงวัดที่สองของวันนี้ ผมไม่ลืมที่จะขอความช่วยเหลือจากทีมงานอีกครั้ง เนื่องจากวัดนี้มีขนาดใหญ่และจำนวนคนที่เยอะไม่แพ้วัดเมื่อเช้า ฉะนั้นการแบกทิฐิลงไปด้วยก็อาจจะเป็นการทำร้ายตัวเองมากเกินไป ช่วงเวลาที่ผมจะต้องใช้ภายในวัดนี้จึงเป็นไปตามการคาดเดาล่วงหน้าของพวกเรา
เมื่อทำการหาทุกอย่างเสร็จ ผมจึงมีเวลาได้พักผ่อนภายในสถานที่แบบนี้เสียที เตรียมพร้อมพละกำลังทางใจให้เข็มแข็งพร้อมตั้งรับกับสิ่งที่ตนเองต้องเจอในคืนนี้และคืนต่อๆไป โดยไม่ลืมที่จะเอาเวลาพักผ่อนในตอนนี้ไปใช้กับจุดประสงค์ที่แฝงรวมอยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็คือการหาสายสิญจน์หรือวัตถุมงคลเพื่อแอบพกไปใช้ให้อุ่นใจภายในบ้าน
ด้วยจำนวนคนที่มากมายเลยทำให้ผมไม่ได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาอีกเลย จนกระทั่งการเดินเข้าไปภายในโบสถ์เพื่อพากันไปไหว้พระและเตรียมหาสิ่งของที่ต้องการ ความรู้สึกเดิมๆที่ผมตัดสินใจหักดิบทิ้งมันเอาไว้ในวัดตอนเช้าก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนจนไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึก ไอ้ภพก็เป็นไปด้วย
มันเริ่มต้นบอกกับผมว่า ช่วงที่มันกำลังจะก้มลงไปกราบพระ หางตาของมันก็รู้สึกถึงการจ้องมองมาจากทางหน้าต่างโบสถ์ แต่แค่เพียงแวบเดียว เพราะเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว คำบอกเล่าของไอ้ภพอาจจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระและไม่น่าเชื่อหากเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดให้คนภายนอกฟัง แต่ไม่ใช่กับผม ที่ถึงกับนั่งเงียบไปหลังจากได้ฟังเรื่องราวผ่านปากไอ้ภพ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย รับความรู้สึกที่ว่า ผมก็สัมผัสได้จากจุดนั้นเหมือนกัน
เมื่อความรู้สึกที่เหมือนโดนคุกคามเข้ามาเล่นงาน พวกผมจึงไม่คิดจะถ่วงเวลาอีกต่อไป รีบวิ่งกันกลับไปที่ตัวรถ เรียกให้ทีมงานที่นั่งนิ่งๆอยู่แถวนั้นตกใจกันเป็นแถบๆ ก่อนจะถามไถ่ถึงที่มาของการกระทำนี้ และเมื่อพวกผมไม่มีคนใดเปิดปากเหล่าทีมงานจึงไม่คิดจะซักไซ้และพาเรากลับเข้าสู่ตัวบ้านอย่างที่เราต้องการ
“ขอบคุณครับที่มาส่ง”ผมขอบคุณทีมงานไปตามมารยาทหลังจากที่ส้นเท้าสัมผัสหน้าดินของบ้านผีสิงหลังนี้
“ไม่เป็นอะไรครับ แต่คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับว่าทำไมวันนี้ถึงได้กลับกันมาเร็วนัก อีกสามวัดก็จะไม่ได้ออกแล้วนะครับ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เหนื่อยเลยขอกลับมาพักผ่อนดีกว่า คืนนี้พวกผมต้องเจออะไรกันอีกยาว”
“โอเคครับ ผมตามใจยังไงถ้าวันพรุ่งนี้อยากกลับก่อนก็บอกได้เลยนะครับ พวกผมไม่ว่า”
“ขอบคุณอีกครั้งครับ”ผมโค้งหัวให้นิดหน่อยและเดินหันหลังกลับเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมไอ้ภพ
“เดี๋ยวครับ…คุณมิว”
“ครับ?”ผมหยุดก้าวขาออกไปและหันกลับมามองหน้าทีมงานที่พูดคุยกับผมเมื่อเช้าอีกครั้ง ความรู้สึกที่เรียกว่าเดจาวูตีซ้อนกลับมาให้ผมนึกถึงวันแรกที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ วันนั้น ผมก็โดนทีมงานคนหนึ่งร้องทักเอาไว้ด้วยคำแบบเมื่อสักครู่นี้ ตรงบริเวณนี้ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“คุณยังยืนยันที่จะไม่ตอบคำถามผมใช่ไหมครับ?”
“ครับ ไม่ว่าคุณจะถามคำถามผมอีกสักกี่ครั้ง คำตอบของผมก็คงจะเป็นเหมือนเดิมคือ ผมไม่เห็น”
“ใช้คำว่าคงจะ นี่ไม่แน่นอนเลยนะครับ แต่เอาเถอะ คุณไม่พูดวันนี้ก็ได้ แต่บอกไว้เลยนะครับ ถ้าครั้งหน้าผมถามคำถามนี้ขึ้นมาอีกเมื่อไร สิ่งที่คุณจะต้องตอบผม มีเพียงอย่างเดียวคือ
พูด ความ จริง”ท้ายประโยคทีมงานคนนั้นก็เงียบเสียงลงไปและใช้การขยับปากทีละคำอย่างช้าๆเพื่อให้ผมได้เห็นความต้องการนั้นเพียงคนเดียว
เมื่อทีมงานเดินกลับออกไป ผมก็ทำได้แค่ส่ายหัวเบาๆ จนเรียกได้ว่าปลงและชินชาไปกับการดื้อรั้นที่จะถามของทีมงาน ถอนหายใจออกอย่างช้าๆและเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน กวาดสายมองหาไอ้ภพและเห็นว่ามันกำลังยกตะกร้าผ้าที่คงมีทีมงานเอาไปซักไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นไปบนห้อง ก่อนที่ผมจะเดินตามมันขึ้นไปจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพากันไปนอนรอเวลาให้แสงอาทิตย์ของวันนี้ลับขอบฟ้าลงไป
กริ๊งงงงง กริ๊งงงงง กริ๊งงงงงงงงงงเสียงโทรศัพท์ดังแผดเสียงร้องอยู่ข้างหูของผมกับไอ้ภพที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ปลุกให้ผมงัวเงียขึ้นมาเอื้อมมือไปคลำหาเพราะคิดว่าเป็นเสียงร้องเตือนของนาฬิกาปลุกยามเช้า ก่อนที่จิตสำนึกจะร้องเตือนขึ้นมาว่า ผมไม่ได้อยู่ที่หอ ผมกำลังเล่นเกมส์อยู่ในบ้านร้างมีประวัติหลังหนึ่ง บ้านร้างที่มีกฎหลักของบ้านคือ ห้ามผู้เข้าแข่งขันพกโทรศัพท์กันเข้ามา
“ตื่นแล้วใช่ไหม?”
“เฮ้ย!! โถ่….ลุงคำ เล่นอะไรครับเนี่ย ทำไมไม่ปลุกผมดีๆ”ผมสะดุ้งตกใจไปกับเสียงร้องทักที่คุ้นชิน ก่อนจะเบนสายตาไปหาที่มาของเสียงและพบกับลุงคำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียงพร้อมกับชูโทรศัพท์รุ่นดึกดำบรรพ์ที่ตอนนี้ยังคงร้องเสียงดังขึ้นมาให้ดู
“เอ้า ลุงก็ปลุกพวกเอ็งด้วยโทรศัพท์นี่แล้วไง อุสส่าห์ไม่เรียกแล้วนะ 555”
“ครับๆ ดีแล้วครับ แล้วนั่นโทรศัพท์ของใครหรอครับ ของลุงหรอ?”
“อ้าว ลุงคำ สวัสดีครับ มาตั้งแต่เมื่อไรกัน”ไอ้ภพ หาววอดใหญ่ บิดขี้เกียจหลังจากตื่นนอน ก่อนจะหันไปทักทายลุงคำด้วยดวงตาที่แทบลืมไม่ขึ้น
“ไหว้พระเถอะเอ็งหนะ ส่วนโทรศัพท์นี่ไม่ใช่ของลุงหรอก รายการให้เอามาให้มันต้องใช้ในเกมส์คืนนี้”
“เกมส์…คืนนี้หรอครับ”
“ใช่ ทำหน้ากันอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ได้อ่านกันใช่ไหม? รีบไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วจะได้รีบลงไปอ่านกัน ลุงก็จะได้กลับด้วย นี่ลุงยอมทำผิดกฎรายการเพื่อพวกเอ็งเลยนะ”
“ผิดอะไรหรอครับลุง? หรือว่า….นี่กี่โมงแล้วครับ!!”ผมนึกตามคำพูดลุงคำ ก่อนจะร้องโหวกเหวกถามลุงคำด้วยหน้าตาตื่น
“ตอนนี้…สองทุ่มกว่าแล้ว ตามจริงลุงอยู่ถึงขนาดนี้ไม่ได้หรอก แต่เห็นว่าพวกเอ็งคงเหนื่อย ลุงเลยทำกับข้าวเอาไว้ให้แล้วก็รอปลุกพวกเอ็งเนี่ย ขืนปล่อยให้ตื่นเองคงได้โดนปรับแพ้เข้าจนได้”
“ข..ขอบคุณมากนะครับลุง แล้วลุงจะไม่เป็นอะไรหรอครับ” คำพูดของลุงคำทำเอาผมกับไอ้ภพ พูดแทบไม่ออก ความรู้สึกผิด ความรู้สึกที่เคยไม่ไว้ใจตีรื้นขึ้นมาจนจุกคอไปหมด เรียกให้ดวงตาซึมไปด้วยน้ำใสๆเล็กน้อย
“ลุงไม่เป็นอะไรหรอก พวกเอ็งตื่นกันได้ก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวลุงไปแล้วนะ ระวังตัวกันด้วยนะ ลุงเป็นห่วง”
“เกมส์คืนนี้…มันหนักมากเลยหรอครับลุง”
“หนักไม่หนักลุงไม่รู้หรอก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพวกเอ็ง…แต่เกมส์คืนนี้พวกเอ็งจำคำพูดลุงเอาไว้ด้วยนะ”
“จำ? จำอะไรครับ”ไอ้ภพที่คงตื่นเต็มตา ยืดตัวขึ้นนั่งท้าวคางมองหน้าลุงคำด้วยความสงสัย
“พวกเอ็งเล่นกันมาหลายเกมส์แล้ว รู้หรือยังคนตายกับผีมันไม่เหมือนกันหรอกนะ”
“ยังไงครับ ในเมื่อที่ลุงว่ามามันก็คือคนที่สิ้นชีวิตไปแล้วทั้งคู่”
“คนตายหนะใช่ เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว นอนนิ่งให้ผืนดินกลบตาไปแล้ว แต่สำหรับผี มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีหรือวิญญาณคือสิ่งมีชีวิตหลังความตาย พวกมันล้วนต่อลมหายใจปลอมๆเพียงเพื่อจะได้ติดต่อกับใครสักคนที่สามารถจะนำทางพวกมันไปสู่ภพภูมิที่พวกมันต้องการได้”
“ถ้าอย่างนั้น อย่าบอกนะครับลุงว่าเกมส์คืนนี้…”ผมนั่งนิ่งกำผ้าห่มผืนหนาเอาไว้แน่น สบตากับไอ้ภพที่ยื่นมือมาสัมผัสกับไหล่ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าลุงคำที่ก็มองมาด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน
“อืม เกมส์คืนนี้มันจะไม่มีการท้าทาย ไม่มีคาถาเชิญวิญญาณ ไม่มีการจุดธูป ไม่มีการขอเจ้าที่…มีแค่โทรศัพท์เครื่องนี้ ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกเอ็ง ติดต่อกับผู้มีชีวิตหลังโลกแห่งความตาย”
************************************************TBC*****************************************
สวัสดีครับวันนี้เอาตอนที่ 19 มาส่งแล้วววว
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ตอนนี้อาจจะน้อยกว่าตอนอื่นๆที่ผ่านมาเพราะว่าผมไม่สามารถตัดช่วงของบทถัดไปได้
หากใครที่รอลุ้นหรือคาดหวังกับตอนนี้แล้วไม่พอใจ ผมขอโทษด้วยครับ คราวหน้าจะระวังการแบ่งช่วงให้ดีกว่านี้ 
ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ ทุกการแชร์ และ ทุกการติดตามนะครับ เป็นกำลังใจให้ผมมากเลยทีเดียว
หากมีเรื่องอยากติชม สามารถเข้ามาบอกในนี้ได้เลยนะครับผมอ่านของทุกคนเลย
หรือถ้าไม่สะดวกสามารถเข้าไปใน #Nightmaregame ได้เลยนะครับ ผมพร้อมตอบทุกคนเสมอ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ ผมจะมาแก้ให้
รักคนอ่านทุกคนครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit