NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170611 ครั้ง)

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ฮือๆๆ ไม่น่าเลย...ไม่น่าอ่านเวลานี้เลย หนูกลัวอ่ะ กระซิกๆ :sad4: แต่มันอดใจไม่ได้ ภาษามันสวย บรรยายได้น่าติดตามเกินไปจนวางไม่ได้...คุณคนแต่งอ่ะผิด!!//เกี่ยวอะไร๊?!!

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่22

วัดสุดท้าย


ภาพแห่งความจริงแปรเปลี่ยนเป็นภาพแห่งความฝัน


เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการหวาดผวา ใบหน้าของคนตายเมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ภายใต้เปลือกตาของผม สะกดให้ผมมองเห็นแต่ภาพอันน่าสยดสยองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนภายในใจรู้สึกขุ่นมัวและเศร้าหมอง แม้ตามจริง  โลกแห่งความฝันจะบังคับให้ผมละทิ้งความจริงอันแสนเจ็บปวดเอาไว้ภายนอกห้องนอนแล้ว แต่สุดท้ายวิญญาณ ก็ไม่ปล่อยให้ผมพาลพบกับความสุขที่แม้แต่การหลอกตัวเองก็ทำไม่ได้

ตุ๊กตาตัวนั้นที่ผมทิ้งมันไว้ข้างล่าง…เหตุใดมันจึงมาล้มกองอยู่หน้าประตูห้องของผม

เสียงดังโขมงโฉงเฉงนอกบ้านยามนี้ ไม่อาจทำให้ผมละสายตาไปจากตุ๊กตาเด็กทารกบนมือได้  แววตาที่สั่นไหวของผมสะท้อนออกมาเพียงเรื่องราวของเมื่อคืนราวกับว่า ผมไม่เคยสลัดภาพเหล่านั้นออกไปได้เลย  เหตุการณ์ในตอนนั้นสร้างบาดแผลและความทรมานให้กับจิตใจของผม เมื่อสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมได้เห็นและรับรู้เมื่อคืนมันไม่ได้จบแค่วิญญาณบังคับเปิดเปลือกตาผมเท่านั้น

วิญญาณปริศนาของใครอีกคนก็ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมของม่านสายตามรณะนี้

ความทรงจำสุดท้ายจำได้ว่า  หลังจากที่ผมถูกบังคับให้มองวิญญาณนั่น  สายตาของผมก็ไปพบปะกับวิญญาณเด็กชายตัวน้อยที่เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยดินโคลน  ลำคอบิดเบี้ยวคล้ายกระดูกจะหักเป็นเสี่ยง กำลังจับจ้องมาที่ผม  ปากของมันเอาแต่พร่ำเรียกผมว่าเป็นแม่ ทั้งๆที่ผมไม่พอใจแต่ก็ไม่มีสิทธ์ที่จะปฏิเสธ  ผมเป็นคนตอบสนองความต้องการของเด็กคนนี้เอง

วิญญาณของเด็กคนนั้นเข้ามาพัวพันกับร่างกายของผมได้ไม่ทันไร  เสียงการเดินย่ำลงบันได ก็ดังแทรกขึ้นมากับเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ดังประสานเสียงหัวเราะของเด็กจนทรมานแก้วหู  ผมนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะขยับไปไหนไม่ได้  ดังนั้นสิ่งที่สามารถเคลื่อนไหวได้เพียงหนึ่งเดียวคือดวงตามรณะคู่นี้  จุดโฟกัสของมันฉายชัดไปที่รองเท้าคู่หนึ่งที่กำลังเดินย่ำเข้ามาหาผมทางหัวนอนพร้อมกับเสียงตะวาดดังลั่นของชายหนุ่มคนหนึ่ง  ไล่ให้วิญญาณเด็กออกไปจากบ้านร้างหลังนี้

สายตาของผมไม่ทันได้เห็นชัดว่าใบหน้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ในความมืดเป็นของชายคนใด  ความรู้สึกอึดอัดที่มีก็เริ่มจางหายออกไป  ผมสัมผัสได้ว่าวิญญาณของชายคนนั้นคงต้องทำอะไรสักอย่าง  ความรู้สึกชวนผวาของเด็กคนนั้นจึงเริ่มถอยห่างออกไปจากผมทุกขณะ  และท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างคลายลง  เสียงอันแผ่วเบาและแหบแห้งก็ลอยมาตามลมเพื่อบอกกับผมว่าให้รีบขึ้นไปยังห้องนอนให้ไวที่สุด

ผมไม่รอช้าที่จะทำตาม  แม้จะอยากรู้แค่ไหนว่าวิญญาณของชายคนนั้นเป็นใคร  แต่ท่าทีการเคลื่อนไหวภายใต้ความมืดของบุรุษร่างใหญ่และเด็กตัวน้อยที่ดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่มีโอกาสที่จะทิ้งลมหายใจอันเหนื่อยล้าไว้ตรงนี้อีกแล้ว

ผมรีบวิ่งไปกระชากเสื่อออกมาจากไอ้ภพ  ที่มองผมอย่างสงสัยและเอาแต่พร่ำถามถึงกำหนดเวลาอย่างที่ไม่รู้ความเป็นไปในชะตากรรมของผมและตัวมันเอง  ผมวิ่งขึ้นบันไดนำหน้าไอ้ภพไปอย่างเร่งรีบ  ก่อนจะปิดประตูห้องและบอกให้ไอ้ภพหลับไปโดยที่อย่าเพิ่งถามอะไรหรือสงสัยในการกระทำของผม  เพราะเวลาต่อมาไม่นาน  ความเงียบที่จะนำพาพวกผมให้หลับสนิท  ก็ถูกรบกวนและทำลายลงโดยเสียงเคาะประตูอย่างแรงของเด็กน้อยพร้อมกับการตะโกนเรียกพ่อแม่ด้วยเสียงกรีดร้องและเคียดแค้นพวกผมอย่างแสนสาหัส

ความสงสัยในเหตุการณ์เมื่อคืน นำผมให้กลับมาพิจารณาตุ๊กตาเด็กทารกที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มนี่อีกครั้ง

ผมพลิกซ้ายพลิกขวาตุ๊กตาบนมือ  ในจังหวะเดียวกันกับไอ้ภพที่ได้ละความสนใจจากเสียงที่ดังโหวกเหวกข้างล่างและหันมาจ้องมองไปยังจุดรวมสายตาเดียวกันกับผม  ตุ๊กตาตัวนั้นแท้จริงแล้วได้ซุกซ่อนซิปล็อกขนาดเล็กไว้ภายใต้กางเกงตัวจิ๋วที่ผู้ผลิตมันใส่มาให้  ผมและไอ้ภพมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง  ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดซิปนั่นออกด้วยมืออันสั่นไหวของผมเพื่อพบกับความจริงที่พรางตาพวกผมไว้ตลอดคืน

ภายใต้ตุ๊กตาตัวนั้น  ซ่อนหุ่นปูนปั้นเด็กผู้ชายเอาไว้หนึ่งตัวในสภาพที่เต็มไปด้วยดินโคลน   ช่วงขาของมันถูกประดับประดาไปด้วยสีทองคล้ายกับกระพรวนข้อเท้า  และที่สำคัญคอของมันยังหลุดออกจากตัวคล้ายกับการโดนแรงบางอย่างหักคอจนไม่เหลือชิ้นดี

และนี่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม เปลเด็กและตุ๊กตาถึงได้มาช้ากว่าเครื่องเล่นเทปและเสื่อผืนโต 

“มิว…เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น”ไอ้ภพที่เห็นตุ๊กตาปูนปั้นของเด็ก ร้องถามผมเสียงเครียดแบบเดียวกับใบหน้า

“เมื่อคืน  กูเห็นวิญญาณของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  มันเรียกกูว่าแม่ในขณะที่เรียกมึงว่าพ่อ  มันพยายามเรียกมึงให้ออกมาเล่นกับมันอยู่นาน แต่มึงคงไม่รู้สึก  เป้าหมายสุดท้ายของมันจึงเปลี่ยนมาที่กู  และเมื่อกูพ่ายให้กับความคิดตนเอง  มันก็ไม่แปลกหรอกที่กูจะถูกบังคับให้เห็นวิญญาณในระยะประชิด”ผมบ่นออกไปโดยที่ปล่อยให้ความรู้สึกอึดอัดและสมเพชตนเองครอบงำอยู่ในอก  แม้จะกลัว  แม้จะทรมาน แต่ในเมื่อผมเลือกที่จะทักเสียงเรียกของวิญญาณออกไป  มันก็ไม่แปลกที่วิญญาณจะทักทายผมกลับมา

“แล้วมึงหลุดออกมาได้ยังไง?”ไอ้ภพถามกลับด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป  มันหวั่นไหว และหลุกหลิกเหมือนกับกำลังซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้อยู่

“ตอนที่กูขยับไม่ได้  วิญญาณปริศนาตนนั้น เขาเดินเข้ามาหากูจากข้างบนบ้าน  เขามาช่วยพวกเราเอาไว้”

“วิญญาณนั่นยังอยู่กับเราอีกเหรอ?”

“อืม  ตั้งแต่วันนั้นที่กูเห็นเขา  วิญญาณก็ไม่เคยไปไหนเลยภพ  เขาอยู่ร่วมกับเรามาสามวันแล้ว  มันแปลกนะ ว่าไหม?  ไม่แน่ว่าสิ่งที่ทีมงานซ่อนไว้  อาจจะเป็นที่มาของวิญญาณตนนี้”

“มึงคิดว่าพวกมันซ่อนอะไรไว้”

“กูแค่คิดนะภพ อย่าพึ่งเชื่อกู  แต่ทีมงานพวกนั้น อาจกำลังซ่อนสิ่งของที่เป็นของคนตาย ไม่ก็ถ้าร้ายแรงมากที่สุด…มันอาจจะเป็นกระดูก

“เราจะโดนกันถึงขั้นนั้นจริงๆใช่ไหม?”

“นี่ยังน้อยไป  ถ้าเรื่องที่พี่สาวของดลยาเล่าเป็นเรื่องจริง  เท่ากับว่าสิ่งที่น้องมึงต้องเจอคือศพคนตายเลยนะภพ…แล้วนี่มึงเป็นอะไร?  ทำไมอยู่ดีๆก็เกิดกังวลขึ้นมา”ผมบอกข้อเท็จจริงให้ไอ้ภพฟัง  ก่อนจะหันไปถามความรู้สึกมัน เนื่องจากน้ำเสียงที่ผมได้ยิน  มันเต็มไปด้วยความกังวลแปลกๆ

“มีสองเรื่องที่กูต้องบอก คือวันนี้เราไม่มีโอกาสออกไปไหนแล้วนะ เพราะลุงมั่นเกณฑ์คนมาลงต้นไม้หลุมที่สอง  อีกอย่าง คือเรื่องเมื่อคืน…”

“มีอะไร?”

“เมื่อคืน กูรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่าง  กูรู้สึกอึดอัดมากตอนอยู่ใต้เสื่อนั่น อย่างกับมีคนนั่งทับกูอยู่  แต่สักพักมันก็หายไป และกลายเป็นมึงแทนที่พูดประโยคแปลกๆออกมา  ก่อนที่กูจะขยับไปไหนไม่ได้เลย”

“อย่างนั้นเหรอ  กู…ขอโทษแล้วกัน  กูพลาดเองจริงๆ”

“ช่างมันเถอะ  ประเด็นที่กูต้องการบอกไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ตอนนี้รายการกำลังดักทางเราไว้หมดแล้วนะ  มันเริ่มเอาความเป็นความตายของคนอื่นมายัดเยียดใส่เรา  ขณะที่เวลาหาความจริงของเราก็น้อยลงไปเรื่อยๆ  เราจะเป็นอย่างไรต่อไปกัน  มึงกำลังจะแย่สุดๆแล้วนะมิว  รู้ตัวไหม? อาการของมึงวันนี้  มันดูต่างไปจากทุกวัน” 

“กู…รู้สึกแน่นหน้าอกไปหมดเลย  มันอึดอัด มันทรมาน เมื่อคืนกูก็แทบจะไม่ได้นอน  กูยังไม่หายกลัวว่ะไอ้ภพ  กูยังคงเป็นกูที่ไม่เคยเปลี่ยนตัวเองไปได้เลย  กูหงุดหงิดตัวเองไม่ไหวแล้ว ฮึก”พูดไปก็พาน้ำตาจะไหล  ผมพยายามเก็บทุกอย่างให้กลับเข้าไปแบบเดิม  ไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่ว่าจะกดดันตัวเองสักกี่ครั้ง  ผมก็ไม่เคยพาตัวเองออกมาจากหลุมลึกแห่งความกลัวได้เลย

“มึงไม่เคยมองเห็นสิ่งพวกนี้  ถึงกูจะอยากให้มึงชิน  แต่กูรู้ว่ายังไงมึงก็ทำไม่ได้  เพราะฉะนั้นร้องไห้ออกมาเหอะ  อย่าเก็บเอาไว้ บ้านหลังนี้มันยังมีกูที่รับฟังมึงอยู่นะ”

“ไม่ไหวแล้วภพ  กูร้องไห้ทุกวันจนรู้สึกทรมานตนเองมากพอแล้ว”

“และการที่มึงคิดจะอัดอั้นความรู้สึกเอาไว้ มันจะไม่ทรมานไปกว่าการปล่อยออกเหรอมิว”

“ในเวลาแบบนี้…ทางไหนมันก็ทรมานเหมือนกันหมด  แต่ทางที่กูควรเลือกไป มันควรจะต้องเป็นทางที่ทำให้กูดูอ่อนแอน้อยที่สุด”

บทสนทนาถูกทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น  ผมกับมันก็เป็นอันต้องแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว  เพราะกำหนดการสุดท้ายของการไปวัดถูกนัดหมายกันไว้ประมาณบ่ายสาม  ดังนั้นผมจึงต้องรีบใช้เวลาเกือบครึ่งวันในบ้านหลังนี้อยู่กับการพักผ่อนให้มากที่สุด  เพื่อไม่ให้เกมส์ที่ต้องเล่นคืนนี้พัดพาเอากำลังวังชาที่ผมมีทั้งหมดสูญหายไป

“อ้าวลงกันมาพอดีเลย  เกมส์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง”

“หนักหน่วงพอควรเลยครับ  ผมไม่ยักรู้ว่าบ้านที่มีประวัติคนตายอยู่แล้ว  จะทำให้รายการลงทุนยัดตุ๊กตาปูนปั้นคอหักแบบนี้เข้ามาด้วยนะครับ”ไอ้ภพตอบลุงมั่นไปด้วยท่าทีเหมือนจะนอบน้อม  แต่ก็แฝงไปด้วยการแขวะรายการอย่างเจ็บแสบ

“หืม?  ตุ๊กตาตัวนั้นมีรูปปั้นพวกนี้ด้วยเหรอ”

“นี่ลุงไม่รู้เหรอครับ  ผมเห็นมากับทางทีมงาน”

“จะรู้อะไรได้หละ  ทีมงานแค่ให้ลุงพามาเฉยๆ”

“อย่างนั้นเหรอ  แล้วทำไมวันนี้ลุงถึงมาลงต้นไม้หละครับ  เห็นขุดหลุมกันไว้นานมากเลย”

“คงเข้าสู่อาทิตย์ที่สองแล้วมั้ง  รายการเลยให้ลุงเอาต้นไม้มาลง”

“แล้วทำไมมันถึงมีแค่สามหลุมเหรอครับ  ผมแข่งกันก็ประมาณ4อาทิตย์นะลุง”

“อาทิตย์สุดท้ายจะปลูกให้ใครดูหละ  พวกเอ็งก็กลับกันหมดแล้วไม่ใช่หรือไง”

ไอ้ภพพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะรีบพาผมเข้าสู่ตัวบ้าน  ปริศนาจดหมายอีกสองฉบับที่ยังคงติดค้างกันไว้เมื่อคืนถูกหยิบยกขึ้นมาโดยไอ้ภพอีกครั้ง  คราวนี้มันสั่งให้ผมนอนหลับตลอดบ่าย  ส่วนประโยคปริศนาที่เหลือมันจะเป็นคนเร่งแก้แข่งกับเวลาไปเอง  มันบอกกับผมว่า ในเมื่อสุดท้ายมันไปไหนไม่ได้  ความจริงหนึ่งเดียวที่พวกเรามีก็ต้องไม่ถูกปล่อยนิ่งไว้แบบนั้น  เพราะเราทั้งคู่ไม่เหลือเวลาต่อลมหายใจอีกแล้ว

ด้วยความง่วงบวกกับอากาศเย็นสบาย  นำพาให้ผมเผลอไผลและคล้อยตามคำสั่งของไอ้ภพไปเสียง่ายๆ  แม้ในตอนแรกผมจะยังคงฝืนตามองดูปริศนาพวกนั้นไปอย่างเงียบๆได้  แต่ในเมื่อแรงดึงดูดผสานกับความง่วงส่วนตัว  ผมจึงไม่สามารถทัดทานอะไรต่อไปได้อีก  หน้าที่สำคัญที่คงเหลือไว้จึงต้องถูกถ่ายโอนไปให้ไอ้ภพแต่เพียงผู้เดียว

ผมไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเท่าไร…แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตะวันยามบ่ายคล้อยก็แผดเอาไอความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมกับเสียงคนแก่เสียงหนึ่งที่ดังคุ้นหูอยู่ข้างล่างบ้านหลังนี้

“เดี๋ยววันนี้พ่อกลับไปหา  เรารอพ่อแล้วกัน ตอนนี้พ่อต้องทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันลูก”

“สวัสดีครับลุงคำ  นี่กี่โมงแล้วเหรอครับทำไมลุงมาเร็วจัง”

“เอ้อ ไหว้พระเถอะ ตอนนี้พึ่งจะบ่ายสองนิดๆ แล้วอีกคนไปไหนซะหละ”

“ไอ้ภพนอนหลับอยู่บนห้องครับ”

“อืมดีแล้วพักผ่อนไป  แล้วเกมส์เมื่อคืนเป็นไงบ้าง เอ็งโอเคอยู่ใช่ไหม”

“ก็ไม่ค่อยเท่าไรหรอกครับ  ช่วงหลังๆเกมส์ชอบเล่นแต่อะไรที่บีบความรู้สึกผม  มันทรมานมากครับ”

“อยู่มาได้สองสัปดาห์แล้วก็อดทนอีกหน่อยแล้วกัน”

“ครับ  ว่าแต่ลุงยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับว่าทำไมลุงมาเร็วจัง”

“อ้อ! ลืมเลย  ลุงจะบอกว่าช่วงสามสี่วันนี้อาจไม่เห็นลุงนะ  ลุงจะไปหาลูกที่ต่างจังหวัด  เดี๋ยวเรื่องที่ลุงทำพวกนี้ลุงมั่นจะจัดการแทนให้”

“โห คิดถึงแย่เลยนะครับลุง  ไม่แน่ว่าลุงกลับมาอาจจะเห็นแค่ไอ้ภพแล้วนะ 555”

“อย่าพูดเป็นลางสิ  ลุงยิ่งใจคอไม่ดีอยู่  เอาเป็นว่าลุงอยู่ข้างพวกเอ็งนะ  กลับมาลุงต้องได้เห็นพวกเอ็งครบ  แต่ตอนนี้ลุงต้องรีบไปแล้วนะ  เดี๋ยวจะขับรถไปหาลูกมืดค่ำ”

“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับลุง แล้วก็เดินทางดีๆนะครับ”

“มานี่เลยไอ้หนุ่ม  วันนี้เอ็งทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้เลยนะ  ขอให้เอ็งโชคดี ไม่เป็นอะไรไปก่อนจบเกมส์แล้วกัน  ลุงฝากบอกไอ้หนุ่มอีกคนด้วย  ลุงโคตรจะเป็นห่วงพวกเอ็งเลย”

ลุงคำคงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทางความรู้สึกผม  แกเลยเดินเข้ามาคว้าคอหยอกล้อผมออกจากบ้าน  สิ่งที่ลุงคำทำ ช่วยเยียวยาความรู้สึกที่ตันแน่นให้คลายลงไปได้บ้าง  แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยบอบช้ำเอาไว้อยู่ไม่น้อย  อีกทั้งเมื่อเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของลุงคำวิ่งแล่นออกไป  ผมจึงเหมือนถูกทิ้งให้อยู่กับบ้านหลังนี้ด้วยลางสังหรณ์แปลกๆบางอย่างที่ร้องเตือนขึ้นมาว่า เกมส์คืนนี้อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นว่าจริงๆ

นั่งรออยู่เงียบๆได้ไม่นาน  เสียงรถตู้คันเดิมของทีมงานก็วิ่งแล่นเข้าสู่ตัวบ้าน  พาให้ผมต้องวิ่งแจ้นขึ้นไปปลุกไอ้ภพและลงมาเตรียมตัวเพื่อการเดินทางไปสู่วัดสุดท้ายของโปรเจคนี้

โทรศัพท์มือถือ?

ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อวิ่งเข้ามาในครัวเพื่อจะดื่มน้ำ  สายตาของผมก็ไปกระทบเข้ากับวัตถุสีดำใบเขื่อง ซึ่งถูกวางทิ้งไว้อยู่ข้างตู้เก็บจานในห้องครัว  พาให้ภาพความทรงจำก่อนหน้านำเรื่องราวของลุงคำที่กำลังคุยโทรศัพท์ภายในห้องครัวนี้และด้วยความเร่งรีบหรือถูกรบกวนจากผมก็ตาม  ลุงคำคงลืมมันเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ

“คุณมิว  ทำอะไรครับ?”

“เฮ้ย! อ่อ  มากินน้ำครับ  มีอะไรหรือเปล่า?”เสียงร้องทักของทีมงานคนร้องทักขึ้น  เล่นเอาจิตใจของผมถึงกับหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม  ก่อนจะรีบปฏิเสธออกไปพัลวันพร้อมกับทำการซ่อนสิ่งสำคัญของลุงคำไว้ภายใต้กรอบหลังของตนเอง

“รีบหน่อยนะครับ  เดี๋ยวจะไม่ทันการ  คุณภพหละครับ?”

“ผมอยู่นี่”

“โอเคครับ  คุณพร้อมแล้วใช่ไหม?  ถ้าอย่างนั้นเชิญขึ้นรถได้เลยครับ  วัดที่ผมจะพาไปค่อนข้างจะไกลจากตัวบ้าน”

สิ้นสุดคำสั่ง  ทีมงานก็เดินออกจากบ้านไปรอที่รถ ทิ้งให้ผมกับไอ้ภพยืนงุนงงกับอาการเร่งรีบของวันนี้ก่อนจะเร่งทำทุกอย่างให้เสร็จตามทีมงานไป  โทรศัพท์บนมือผมถูกส่งต่อเรื่องราวไปให้ไอ้ภพรับฟัง เพื่อให้มันชั่งใจด้วยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับอุปกรณ์รุ่นเก่ากึกเครื่องนี้  จนสุดท้ายความคิดที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดีที่สุดก็ลงเอยที่การแอบเก็บเอาไว้บนห้อง  เพื่อที่จะได้รอคืนให้กับลุงคำผู้เป็นเจ้าของด้วยตนเอง

สมาชิกบนรถวันนี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากทุกวัน  เมื่อทีมงานที่พาผมไปมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้น  ทีมงานที่เข้ามาคุยกับผมเมื่อวานไม่ได้มากับรถของรายการด้วย  ผมจึงต้องแอบสอบถามถึงการหายไปของเขาผ่านทีมงานอีกคน และได้รับคำตอบว่าทีมงานคนนั้นขอลากลับบ้านไปเยี่ยมแม่  เพราะฉะนั้นบนรถวันนี้จึงมีแค่เพียงผมกับไอ้ภพ  ทีมงาน และคนขับรถเท่านั้น

วัดสุดท้ายที่ผมจะไปถูกบอกเล่าประวัติและเรื่องราวแปลกๆที่เคยเกิดขึ้นในวัดจากปากของทีมงาน  ไม่ต่างไปจากตอนที่ผมกำลังจะเข้าบ้านร้างหลังนั้นครั้งแรก  ข้อมูลที่ผมและไอ้ภพได้ฟังคือเนื้อความสั้นๆที่พร้อมสั่นประสาทและความอึดอัดในอกผมอย่างรุนแรง  เรื่องราวลี้ลับมากมายถูกกล่าวขานออกมาจนไม่คิดว่าวัดแห่งนั้นจะเป็นที่นิยมของบรรดาสาธุชนเป็นแน่แท้

และผมก็คิดไม่ผิด…

ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงบนถนนเส้นใหญ่  รถตู้ก็มาชะลอตรงชื่อวัดป่าบนไม้ผุพังอันหนึ่ง เปลี่ยนเส้นทางให้พวกผมมุ่งตรงเข้าสู่ถนนดินแดงเส้นแคบแทน  สองข้างทางที่ขนาบข้างถนนรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าจำนวนมากมาย  สร้างบรรยากาศชวนให้ขนหัวลุกขึ้นมาเรื่อยๆ  ความพิเศษของวัดประเภทนี้คือความเงียบที่เหล่าผู้ต้องการสมาธิพึงประสงค์  แต่คงไม่ใช่สำหรับพวกผม เพราะรอบๆกายยามรถเคลื่อนผ่าน  มันไม่มีแม้แต่เสียงการใช้ชีวิตของมนุษย์  ไม่มีแม้แต่เสียงของสิงสาราสัตว์ที่ควรจะมีประกอบบรรยากาศเย็นย่ำอยู่บ้าง

“เอาหละครับ  ถึงแล้วนะคุณภพคุณมิว”

“ขอบคุณมากๆครับ”

“คำสั่งแบบเดิมเลยนะครับ  หาน้ำที่ผมเคยบอกและอัดวีดีโอถ่ายทำลงในกล้องนี้ด้วย”

“แล้ววัดนี้…ผมมีเวลาหาน้ำกันได้ถึงกี่โมงครับ?”

“ตลอดคืนครับ”

“หมายความว่าไงครับ”ผมกับไอ้ภพถึงกับตาโตเมื่อได้ฟังคำตอบนั้น ก่อนจะถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ

“ฟังไม่ผิดหรอครับ  คุณมีเวลาหาน้ำทั้งคืนภายในวัดนี้โดยที่ไม่มีแม้แต่คำใบ้เดียวจากผม  ข้อห้ามหลักภายในวัดนี้มีเพียงอย่าเข้าไปรบกวนกุฏิของหลวงพ่อที่อยู่ท้ายวัด  ทางเราอนุญาตแค่ทางหน้าวัดนี่เท่านั้น”

“แล้วคุณจะนั่งรอผมอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเหรอครับ?”

“เปล่าหรอกครับ  จำที่ผมเล่าให้ฟังบนรถได้ไหม  วัดนี้เป็นวัดที่ไม่ค่อยมีคนมาปฏิบัติธรรม  ไม่ใช่เพราะความลำบาก  แต่หลายคนที่มาไม่สามารถทนกับวิญญาณในป่าช้าข้างๆตัววัดนี้ได้  ถึงขนาดที่ว่า  รูปปั้นเปรตตัวสูงที่ตั้งอยู่ตรงนั้น  คนงานที่ทำยังไม่สามารถพักกายภายในวัดนี้ยามค่ำคืนได้เลยนะครับ  และเมื่อมันไม่มีใครเคยพักได้…ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่”

คำตอบชุ่ยๆของทีมงานเล่นเอาคิ้วของผมและไอ้ภพกระตุกไปตามๆกัน  เกมส์คืนนี้กำลังโกงพวกผมอย่างถึงที่สุด  รายการไม่ไว้หน้าพวกผมเลย  มันกำลังจงใจกระทำการบางอย่างภายใต้หน้ากากแห่งความบริสุทธิ์ของวัด  ผมและไอ้ภพไม่สามารถยืนมองหน้าทีมงานคนนั้นนานๆได้  จึงรีบหมุนตัวเดินหนีออกมาก่อนที่ความอดทนจะหมด  แสงสีส้มอ่อนของท้องฟ้า ดึงให้บรรยากาศรอบๆวัดวังเวงจนน่ากลัว  ดังนั้น อุโบสถหลังเก่าคร่ำครึจึงถูกเล็งเป็นที่หมายเอาไว้พักผ่อนคืนนี้

“อ้อแล้วก็ ผมลืมบอกบางอย่างไปนะครับ…พวกคุณจะเริ่มหาเมื่อไรก็ได้ นั่งพักตรงไหนก็ได้ แต่จำเอาไว้นะครับว่าพวกคุณต้องแยกกันหาเพียงคนเดียว  ห้ามไปพร้อมกันเด็ดขาด!!” เสียงร้องเตือนของทีมงานพาให้การก้าวขาของพวกผมหยุดชะงัก  ก่อนที่จะรีบหันมาสบตา  ถามหาที่มาของคำสั่ง

“ผมไม่ได้พูดพล่อยๆออกมาเอง  รายการสั่งผมมา  เอาเป็นว่าผมเห็นแก่คุณภพและคุณมิวนะครับ  ผมแนะนำว่าให้รีบออกตามหาซะตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า  เกรงว่าถ้าดึกกว่านี้พวกคุณจะหัวโกร๋นกันก่อนนะครับ”

รูปปั้นเปรตที่พวกคุณเห็น  มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นปริศนาธรรมให้กับชีวิตมนุษย์

แต่มันถูกสร้างมาเพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมเคยชินกับรูปปั้นสูงใหญ่ 

….ก่อนที่จะได้พบกับตัวมันจริงๆ

.
.
.

(ต่อ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2017 23:28:47 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
เสียงอีกาดังโหวกเหวกลั่นลานวัด ขานตอบรับ เสียงทัก ของวิญญาณ 

ถึงจะบอกกับผมว่าป่าช้าอยู่นอกตัววัด  นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเบาใจขึ้นมาได้เลย  สภาพของวัดป่าแห่งนี้มีเพียงใบไม้แห้งกองใหญ่ๆ หล่นเรียงรายเกลื่อนกลาดคั่นเขตวัดและเขตป่าช้า มีต้นไม้สูงใหญ่ห้อมล้อมตัววัดเอาไว้ทุกทิศทาง  จึงเท่ากับว่าตอนนี้ผมและไอ้ภพกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหลุมศพของคนตายและมีรูปปั้นเปรตสูงทัดเทียมต้นตาลเป็นอุปกรณ์ประกอบละครฉากหลอนเรื่องนี้อยู่หนึ่งตัว

ผมกับมันยืนทำใจกันอยู่นานพอสมควรจนไม่ได้สังเกตเลยว่า  รอบๆกายของผมเปลี่ยนจากเวลาเย็นเป็นค่ำมืด   จนเสียงร้องสุดท้ายของอีกาหายไป  สัญญาณของการเริ่มต้นเกมส์จึงได้เริ่มขึ้น  ผมกับมันใช้เวลาช่วงหนึ่งเดินสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างภายในวัดป่าแห่งนี้  ใช้สายตามองผ่านม่านแสงจันทร์เพื่อหาแหล่งน้ำอย่างในวัดที่ผ่านๆมา  วิธีนี้อาจช่วยร่นระยะเวลาการหาน้ำของแต่ละคนให้น้อยลงได้  ยิ่งเวลาน้อยมากเท่าไร  ความปลอดภัยของผมยิ่งมากเท่านั้น

ถ้าเวลานี้ผมอยู่ที่บ้าน  ผู้ชมรายการหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพวกผม  ไม่เดินไปหาพร้อมกันตามปกติ  แต่แค่แกล้งทำเป็นให้อีกคนเดินตามหลังอย่างเบาที่สุด  เท่านี้ พวกผมก็ไม่ต้องเดินแยกกันแล้ว   ประเด็นตรงจุดนี้สามารถขยายให้ดูได้ทันทีว่า  หากมีผู้ชมรายการเห็นผมเล่นเกมส์อยู่จริงๆ  มีหรือที่เกมส์จะไม่เห็น  ดังนั้นพวกผมจึงไม่มีสิทธิ์ใช้กลโกงอะไรได้เลยเพราะเราไม่เคยรู้เลยว่าเกมส์จะเล่นสกปรกซ่อนกล้องไว้ตรงไหนอีกหรือเปล่า

“เปรต คือวิญญาณที่เกิดจากกรรมทำร้าย  ด่าทอ หรือว่าให้พ่อแม่ ผู้มีพระคุณต้องเจ็บช้ำ”

ป้ายขนาดเล็กใต้ฐานรูปปั้นเปรต  ถูกอ่านขึ้นจากปากของผมผ่านแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากกุฏิด้านหลัง  ซึ่งถือว่าเป็นเพียงอย่างเดียวที่ยังทำให้ผมอุ่นใจที่จะเล่นเกมส์ต่อ  แสงนั่นให้ความสว่างมาจนถึงจุดที่รูปปั้นเปรตนี้ตั้งอยู่  อาจจะไม่ได้ถึงกับชัดมาก  แต่มันก็ยังพอให้ผมเห็นอะไรต่อมิอะไรมากพอสมควร  ไม่เช่นนั้น  ปากเท่ารูเข็มของเปรตคงไม่ปรากฏแก่สายตาของผม

“ไปที่อุโบสถหน้าวัดกันเถอะ  จะได้เริ่มกันเลย”

หลังจากยืนงมเส้นทางชีวิตอยู่นาน  ไอ้ภพก็เปิดปากชวนผมให้กลับไปยังสถานที่พักกายรอเวลาเริ่มหาน้ำ  รอบๆกายผมตอนนี้รายล้อมไปด้วยความมืดสนิท  เพราะแสงจากหลอดไฟนีออนที่เคยส่องสว่างมาได้ดับสิ้นลงไปหมดแล้ว  เหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอาบใบหน้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้ผมเดินฝ่าความมืดมิดนี่ออกไปได้บ้าง แต่ก็แค่แบบสลัวๆ  ดังนั้นแสงของธรรมะที่ไอ้ภพนำผมสวดจึงเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยนำทางสู่แหล่งน้ำที่ต้องการโดยเร็วที่สุด

“ขอให้ผมหาน้ำที่รายการต้องการเจอโดยเร็วที่สุดด้วยเถิดครับ  สาธุ”

“มิว  เอากล้องมา เดี๋ยวกูจะออกไปหาให้ก่อน  มึงก็นั่งรออยู่ในนี้นะ  ถ้าได้เห็นหรือได้ยินอะไร  ไม่ต้องไปสนใจ”

เมื่อสิ้นสุดการสวดมนตร์ขอกำลังใจ  ไอ้ภพก็ไม่รอเวลาให้เสียไปมากกว่านี้อีก  มันรีบคลานเข่าเข้าไปกราบไหว้พระประธานตรงหน้าอีกครั้ง  ก่อนจะสูดลมหายใจตนเองลึกๆและเดินถือกล้องวีดีโอออกไปเงียบๆ

เมื่อไอ้ภพเดินออกไปจากอุโบสถหลังนี้  ความเงียบเหงาและวังเวงก็คืบคลานเข้ามาหาผมทีละน้อย  เสียงฝีเท้าไอ้ภพที่เดินไกลออกไป  ค่อยๆนำพาเอาความรู้สึกบางอย่างกลับเข้าสู่ตัวผม  ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังกลัวหรือกังวลอะไรอยู่กันแน่ระหว่างผีกับคน  ลางสังหรณ์บางอย่างย้ำเตือนใจให้ผมดิ้นเร่าอยู่เป็นระยะ  มันเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากสัมผัส  ไม่อยากรู้สึก

ลางสังหรณ์ที่ร้องเตือนขึ้นมาดั่งไซเรนว่า…กำลังจะมีคนตาย

หน้าต่างของอุโบสถที่ติดตั้งไว้รอบๆด้าน  สร้างความระแวงในใจให้ผมอยู่ไม่น้อย  ไม่ว่าจะเป็นภาพใบไม้ไหว  เสียงใบไม้แห้ง  หรือจะแค่เสียงกุกกักของหน้าต่างล้วนทำให้ผมใจหายได้ทั้งสิ้น  วัดที่นี่มีความแปลกอีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจ  นั่นคือในยามวิกาลเช่นนี้ ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาปิดอุโบสถ ทำไมถึงกล้าปล่อยให้พระประธานที่หล่อด้วยทองคำอย่างดี  ตั้งเป็นศรีสง่าล่อตาล่อใจมารศาสนาอยู่หน้าวัดแห่งนี้ได้

เวลาแค่กว่ายี่สิบนาทีหลังจากไอ้ภพออกไป  ตะกอนความสงสัยมากมายก็ถูกผมกวนจนขุ่น  ยิ่งไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าของไอ้ภพที่เดินกลับมายิ่งทำให้ผมรู้สึกตกใจและไม่คาดคิดว่า  มันจะใช้เวลาเพียงเท่านี้ในการหาสิ่งที่รายการสั่งให้ทำได้  ขนาดในวัดที่ผ่านๆมา  ผมกับมันหากันในช่วงกลางวัน ยังกินเวลาไปไม่น้อย แถมยังต้องคอยถามคนในบริเวณรอบๆอีกด้วย

“ภพ  นั่นมึงจริงๆใช่ไหม?  ทำไมกลับมาเร็วจัง” ความไม่แน่ใจในภาพที่เห็น ก่อเกิดคำถามชวนให้คนฟังคิ้วกระตุกขึ้นมา

“เออดิ  กูเองจะเป็นใครไปได้หละ”

“แล้วทำไมมึงถึง…”ผมอึ้งไปได้สักพัก  ก่อนจะเริ่มเบนสายตาไปจดจ้องอยู่กับถุงน้ำบนมือไอ้ภพ

“น้ำนี่อ่ะนะ  ตอนกูเดินย้อนกลับไปทางด้านหลังวัด  มีพระของวัดนี้นี่แหละ  ท่านออกมาเจริญกรรมฐานข้างนอก  กูเลยเดินเข้าไปถาม  ตอนนี้กูยังรู้สึกบาปอยู่เลยที่เข้าไปขัดท่านขณะเดินจงกรม”

“จริงอ่ะ  มีพระอยู่จริงๆหรอ  โล่งอกไปที  กูก็นึกว่าจะต้องออกไปหาคนเดียวแล้วซะอีก”

“อืม  มึงก็รีบไปสิ  เดี๋ยวพระรูปนั้นจำวัดก่อน  ส่วนบ่อน้ำนี่อยู่แถวพระท่านนั่นแหละมิว  ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด”

ผมรับกล้องมาจากมือไอ้ภพ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกไปนอกอุโบสถ  ช่วงก่อนที่จะก้าวขาผ่านธรณีประตู  ผมได้ทำการหันไปหาความมั่นใจจากไอ้ภพอีกรอบ  เพราะสังหรณ์ใจแปลกๆที่ผมรู้สึกว่าเกมส์นี้มันง่ายไป ทำให้ผมไม่มั่นใจเลยว่าไอ้ภพจะถูกควบคุมโดยฝีมือใครหรือเปล่า  และเมื่อเห็นมันทำหน้ายกคิ้วขึ้นเชิงสงสัยตามรูปแบบของมัน  ผมถึงได้ตัดสินใจก้าวผ่านประตูออกไปเพื่อที่จะได้จบเกมส์ตรงนี้เสียที 

ลมเย็นๆของตอนกลางคืน  พัดโชยเอากลิ่นของป่าช้าผ่านเนื้อแขนผมไปจนขนลุกชัน  บรรยากาศวังเวงและกลิ่นอายแห่งความตายในป่ารอบตัวผมกำลังส่งสัญญาณการจับจ้องกลับมาจนผมต้องตั้งสติตนเองให้นิ่ง  ดวงตามรณะของผมมันกำลังรับสัญญาณจากคนตายเหมือนอย่างที่ผ่านมา  ฉะนั้นผมจึงต้องแสร้งเป็นไม่รู้ไม่เห็น และจดจ่อไปที่จีวรสีส้มเหลืองตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว

“นมัสการครับหลวงพ่อ”ผมนั่งลงบนพื้นกราบพระภิกษุตรงหน้าด้วยท่าทีสำรวม

“อ้าว  ยังมีอีกคนอย่างนั้นหรือ  มาทำอะไรในวัดนี้กันหละ”

“คือ รายการบอกผมให้มาหาน้ำที่ต้องชักรอกขึ้นจากบ่อในวัดนี้ครับ เขาจะมารับผมอีกทีในตอนเช้า  ผมเลยต้องรีบหากันไว้ก่อน”

“รายการปล่อยให้โยมสองคนมากันตอนกลางคืนเหรอ  เขาไม่รู้เลยหรือว่าวัดนี้พระด้วยกันเองก็อยู่แทบไม่ได้เหมือนกันนะ”

“รายการทราบครับ  เพราะเหตุนั้นผมถึงถูกโยนมาที่นี่  ผมอยากรู้ว่าจะหาน้ำแบบนั้นได้จากตรงไหนหรอครับหลวงพ่อ”

“อยู่ตรงนั้นไง”

นิ้วชี้ของพระภิกษุน่าเลื่อมใสตรงหน้า  ชี้ไปยังโอ่งดินรองน้ำฝนขนาดใหญ่ที่อยู่เกือบจะสุดเขตวัด  ในคราแรกผมถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมไอ้ภพถึงกล้าเดินไปเอาน้ำจากในนั้น  แต่เมื่อได้ลองทบทวนดูแล้ว  น้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติยังได้รวมไปถึงน้ำฝนด้วย  ดังนั้นผมจึงไม่รอช้าที่จะลุกเดินออกไปรองน้ำในโอ่ง

“เดี๋ยวโยม”

“ครับ?”

“นั่นโยมจะไปไหน  ที่อาตมาชี้ไปไม่ได้อยู่ตรงโอ่งนั่นนะ  อาตมาหมายถึงโยมต้องเข้าไปในป่าช้า  โยมคนเมื่อกี้ที่เดินมา  อาตมาไม่ทันได้สังเกตเลยบอกเขาไปไม่ทัน” 

“อย่างนั้นเหรอครับ”

เหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลซึมออกมาทันทีหลังจากพระรูปนั้นพูดจบ  ผมหันกลับมาจ้องไปยังความมืดมิดในป่าด้วยแววตาที่สั่นไหว  สัมผัสของดวงตาผม มันไม่ได้มองเห็นเพียงพื้นที่โล่งๆและความมืด แต่มันยังจับสัมผัสการเคลื่อนที่บางอย่างภายในนั้นได้  ความกลัวที่เกิดจึงบีบให้ผมก้าวขาเดินต่อไปไม่ได้  และไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาพระภิกษุที่เดินเข้ามาหาทางด้านหลัง

“กลัวหรือไงโยม”

“ค…ครับ  ผมกลัว”

“ถ้าอย่างนั้น  ตามอาตมามาก็แล้วกัน  เดี๋ยวอาตมาจะพาโยมไปเอง”

ความใจดีของพระรูปนั้น เปิดกรุความอบอุ่นภายในใจของผมออกมาจนแทบร้องไห้  ผมไม่รู้ว่าท่าทีที่ผมแสดงออกไปจะสร้างภาพขำขันไปมากน้อยเพียงใดหากคนได้เห็น  ผมรู้แค่ว่าผมโล่งใจจนเข่าแทบทรุดลงไปกับพื้น  น้ำหูน้ำตาซึมออกมาอย่างเก็บไว้ไม่มิด  ก่อนจะรีบก้าวขาตามหลวงพ่อเข้าไปในป่าช้าด้านข้างวัด

ในป่าช้าแห่งนี้  พื้นที่ไม่ได้รกชัฏอย่างที่ผมคิด ที่ทางของมันถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน  ทางเดินโล่งเตียนถูกถางเอาไว้เป็นแนวตรงระหว่างต้นไม้ในป่าทั้งสองข้าง  และไม่น่าเชื่อว่า  ป่าแห่งนี้จะมีพื้นที่มากมายมหาศาลเพราะยิ่งผมตามหลวงพ่อเข้ามามากเท่าไร  เมื่อมองกลับไปผมก็ยิ่งไม่เห็นตัววัด  รอบกายสัมผัสได้แต่ความมืดและการเคลื่อนไหวแปลกๆที่สั่งให้ผมมองแต่เพียงจีวรสีเหลืองอย่างเดียว

“สวัสดีครับ ผู้ชมรายการทุกคน  วันนี้ผมถูกสั่งให้มาหาน้ำในวัดป่าแห่งนี้นะครับ  ผมเชื่อว่าภาพที่ถูกถ่ายไว้ยังไงทุกคนก็มองไม่เห็น  เอาเป็นว่าฟังแต่เสียงนะครับ  ผมกำลังเดินเข้ามาในป่าช้า  เพราะเบาะแสที่ผมได้มา  คาดการณ์เอาไว้ว่าบ่อน้ำแบบนั้นถูกสร้างเอาไว้ในป่านี้นี่เอง  ผมขออนุญาตไม่ถ่ายต่อนะครับ  ไว้พบกันตอนที่ผมออกจากป่าแล้วดีกว่านะ  ฝันดีครับ”

“โยมเคยเข้ามาในป่าช้าตอนกลางคืนไหม?”หลังจากที่ผมอัดวีดีโอเสร็จ หลวงพ่อที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ถามคำถามขึ้นมาทำลายความเงียบและความวังเวงในป่าแห่งนี้

“ไม่เคยหรอกครับ  มันไม่ใช่ที่น่าเข้ามาสักเท่าไรในยามวิกาล” พูดจบเสียงหัวเราะของหลวงพ่อก็ดังก้องกังวานจนผมสะดุ้ง  คำพูดแบบไม่คิดของผมคงไปสะกิดอารมณ์ขันของหลวงพ่อเข้า  ผมเลยต้องหัวเราะแบบแห้งๆตอบรับหลวงพ่อกลับไป

“ไม่หรอก ชีวิตคนเราควรเข้ามาในที่แบบนี้ในตอนกลางคืนนะ  ที่แห่งนี้เป็นสถานที่เรียนรู้ชั้นดี  มันสามารถสอนให้โยมยอมรับความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ได้  และไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ สิ่งที่โยมเห็น พวกนั้นก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน  เพียงแต่กรรมที่เขายังยึดติด  ไม่สามารถทำให้เขาไปเกิดกันได้”

“หลวงพ่อ…รู้ได้ยังไงครับ”

“ท่าทีแลซ้ายแลขวา ระแวงตลอดเวลาของโยมนั่นไง  ที่บอกอาตมาทุกอย่าง  อาตมาบวชมาหลายพรรษา  สิ่งพวกนี้อาตมาก็รับรู้แต่ไม่สนใจ เพราะนั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์  ในป่าแห่งนี้  ไม่ว่าจะเป็นซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือจะบนต้นไม้  เขาก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ ไม่ต้องกลัวไปหรอก  เขาทำอะไรเราไม่ได้แน่ๆ”

คำว่าซ้าย ขวา หน้า หลัง ของหลวงพ่อ  ชักนำให้ผมต้องเพ่งเล็งไปยังทิศทางตามนั้น  การที่หลวงพ่อพร่ำบอกว่าหลวงพ่อก็รับรู้และเห็นในสิ่งที่ผมเห็น  สร้างความมั่นใจบางอย่างในตัวผมขึ้นมาจนกล้าที่จะหันไปเผชิญบรรดาสัมภเวสี  และเป็นอย่างที่หลวงพ่อบอกทุกประการ  เมื่อไม่ว่าผมจะหันไปทางไหน  สายตาของผมก็ต้องเข้าไปปะทะกับรูปร่างของมนุษย์ในความมืดอยู่ทุกครั้ง  และเห็นชัดที่สุดคือบนต้นไม้  เพราะเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปดู  วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้มลงมาสบตากับผมอยู่ก่อนแล้ว  และสบตาผมไปเรื่อยๆตามต้นไม้ทุกต้น  จนกลายเป็นผมเองที่มองต่อไปไม่ไหว เพราะรู้สึกกลัวกับใบหน้าคนตายขึ้นมา

“เอาหละ  ถึงแล้วนะ  เดี๋ยวอาตมาจะช่วยชักรอกขึ้นมาให้ละกัน โยมไม่ชินพื้นที่เดี๋ยวจะตกลงไปเสียเปล่า”

“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”

เสียงเชือกสีกับเหล็กสนิมดังบาดแก้วหูของผม  เสียงนั่นก่อให้เกิดความสนใจในภาพตรงหน้ามากขึ้นจนผมต้องขยับเข้าไปดูใกล้ๆบ่อ  เชือกบนมือหลวงพ่อค่อยๆกองทับกันอยู่บนพื้นมากขึ้นเรื่อยๆตามการดึง  จนเมื่อด้านบนของถังน้ำลอยขึ้นมากระทบสายตา  ตัวถังก็หลุดออกจากเชือกไปเสียดื้อๆ   ตกลงไปยังพื้นน้ำด้านล่างเสียงดังตูมใหญ่จนเกิดความโกลาหล  เพราะบ่อลึกมากขนาดนั้นผมคงไม่มีทางที่จะเอื้อมลงไปเก็บได้แน่นอน

“ทำไงดีครับ หลวงพ่อ  ผมไม่ได้หยิบถังสำรองมาเลย  ตรงแถวๆนี้มีถังสำรองไหมครับ”

“เดี๋ยวอาตมาจัดการให้”

“ตรงนี้มีถังใบใหม่หรอครับ?  อยู่ตรงไหน? เดี๋ยวผมไปหยิบให้น่าจะเหมาะสมกว่าครับ”

ผมใช้ปากถามหลวงพ่อไปพร้อมกับการที่ใช้สายตามองหาถังน้ำใบใหม่ไปเรื่อยๆ  ยอมรับจากความรู้สึกเลยว่าผมไม่ได้ใช้สายตาเปิดกว้างเต็มพิกัด  เพราะเมื่อหันไปมา แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเห็นก็ยังคงเป็นวิญญาณที่สร้างความกลัวให้กับผม การกวาดสายตาไปอย่างรวดเร็วจึงไม่ได้ช่วยอะไรผมเท่าไรนัก นอกจากจะช่วยสลัดความกลัวที่มีออกไป 

เพื่อที่จะได้หันกลับมาพบเจออะไรที่น่ากลัวกว่า….

“ไม่ต้องใช้หรอกโยม…”

ตุ้บ

เนื้อเสียงธรรมดาของหลวงพ่อ  ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงยานคางเย็นเยียบ  สร้างความน่ากลัวให้ผมเห็นและได้ยินจนตัวเกร็งนิ่ง  น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างอัตโนมัติ  มือของผมสั่นจนกล้องที่ถืออยู่ร่วงหล่นไปอยู่บนพื้น  ใจของผมเต้นเร็วแรงไปกับภาพระทึกขวัญ  อาการคัดแน่นหน้าอกกลับมาจนทรมาน พร้อมกับที่สมองพยายามสั่งผมเอาไว้ว่า ผมไม่เห็น

ไม่เห็น…ภาพของหลวงพ่อที่นำเชือกมาคล้องคอ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้และกระโดดลงไปในบ่อนั้น

เสียงดังของน้ำในบ่อสะท้อนขึ้นมาดังลั่น  ทำลายความมั่นใจทุกอย่างออกไปสิ้นเชิง  ผมไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องมารับกรรมเจออะไรแบบนี้  หลวงพ่อที่ผมเข้าใจว่าเป็นคนมาโดยตลอด  นำทางผมให้มาลิ้มรสความทรมานและความสยองขวัญในป่านี้  สติที่เหลืออยู่ของผมไม่รอช้าที่จะสั่งให้ขาของตนเองค่อยๆพาร่างกายถอยออกจากบ่อ  ก่อนที่จะต้องหยุดลงไปอีกครั้งเพราะเสียงเหล็กเสียดสีกับเชือกที่กำลังถูกสาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หลังจากการตัดสินใจโง่เง่าที่ไม่พาตัวเองวิ่งย้อนออกไปจากตรงนี้  บาดแผลในใจของผมก็ถูกกรีดย้ำๆลงไปจนเหวอะหวะชนิดที่ว่าคงไม่มีครั้งไหนในเกมส์นี้แล้วที่จะทำลายสติที่หลงเหลือของผมไปมากกว่านี้  ผมยืนจ้องมองเชือกที่ถูกสาวขึ้นมาเพื่อที่จะได้พบกับร่างของหลวงพ่อรูปเดิมที่ตาถลนลิ้นจุกปากลอยขึ้นมาจากบ่อ  เนื้อตัวบวมน้ำจนซีดขาว พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ถือหัวของมนุษย์เอาไว้  ก่อนที่หัวนั่นจะถูกกระชากเส้นผมดึงขึ้น  สั่งให้เปิดปากเพื่อให้ผมได้เห็นเงือกแดงๆของหัวนั้นและภายในที่มีน้ำในบ่ออยู่เต็ม

“หลวงพ่อ…เอาน้ำมาให้แล้ว  555”

แค่เพียงเท่านั้นสัญชาตญาณของผมก็รีบสั่งให้วิ่งหนีออกไปอย่างไว  มือของผมถูกยกขึ้นปาดน้ำตาอยู่เป็นระยะ พร้อมกับที่นำมากัดกับปากเพื่อกั้นเสียงสะอื้นที่เตรียมจะหลุด  และสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเสียงกระแทกของวัตถุกระทบพื้นดินดังคล้ายกับถูกโยนลงบนพื้น เรียกให้ผมหันกลับไปมองซ้ำ  ผมก็ได้พบกับหัวของผู้ชายคนนั้นที่กำลังกลิ้งตามผมมาติดๆพร้อมกับใบหน้าที่ฉีกยิ้มจนเห็นไปถึงลิ้นไก่  อีกทั้งร่างของหลวงพ่อก็ค่อยๆปลดห่วงออกจากคอและลงวิ่งตามผมมาด้วยใบหน้าเน่าๆตามแบบฉบับของศพที่ผูกคอตาย

อาการภายนอกของผมมีเพียงน้ำตาที่ยังคงไหล  แต่ภายในใจกลับกรีดร้องอย่างทรมาน  ใบหน้าของไอ้ภพค่อยๆผุดขึ้นมาจนเด่นชัด ในเวลาแบบนี้ผมต้องการมันอย่างมากที่สุด  คำสั่งของมันที่พร่ำบอกให้ผมไม่เห็นไม่รู้สึกยังคงสะกดจิตใจของผมอยู่ในหัว  แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้  เพราะระหว่างที่วิ่งอยู่  ปอยผมสากๆของผู้หญิงก็ปลิวว่อนเข้ามาตีที่ใบหน้าจนแสบเป็นริ้ว  และเมื่อหันไปทางต้นทางของปอยผมนั้น  ผมก็ได้เห็นผู้หญิงบนต้นไม้คนเดิมที่บัดนี้เธอกำลังใช้ขาเกี่ยวกระหวัดกิ่งไม้พร้อมกับโยนตัวเองไปมาคล้ายกับการไกวชิงช้าเพื่อให้ดวงตาโบ๋ลึกของเธอพุ่งเข้ามาจับจ้องกับดวงตาผมบนต้นไม้ทุกต้นที่ผมวิ่งผ่าน

ผมวิ่งหนีออกไปด้วยความรู้สึกที่ปิดกั้นตนเองแทบไม่ไหว  จนสุดท้ายเมื่อผมได้เห็นลานกว้างๆของตัววัดและรูปปั้นเปรตอีกครั้ง ผมก็ใจชื้นขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง แต่ก็แค่เท่านั้น เพราะด้านหลังการวิ่งหนีไม่คิดชีวิตของผม  ยังคงมีวิญญาณคนตายวิ่งตามมาอยู่เหมือนเดิม มิหนำซ้ำ  เสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหัวเราะเย็นๆยังดังก้องไปทั่วป่าแห่งนี้  ทำลายสติและความรู้สึกนึกคิดของผมไปเรื่อยๆ จนร่างกายเริ่มอ่อนล้าและทรมานไปกับการต่อสู้ระหว่างสมองและจิตใจของตนเอง

“ฮึก  มิว  มึงไม่เห็น  ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรตามมึงเลย”

ผมพึมพรำออกมาสร้างกำลังใจให้ตนเองเมื่อสุดท้ายเขตวัดก็อยู่ห่างจากผมไม่ถึงสามก้าว  จังหวะนั้นสายตาของผมก็ต้องหันไปมาระหว่างด้านหน้าและด้านหลังเพื่อคอยดูอยู่ตลอดว่า วิญญาณเหล่านั้นอยู่ใกล้กับผมขนาดไหน ก่อนจะสะกดจิตตัวเองต่อไปอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว

“มิว  มึงไม่เห็น  เชื่อกูสิ  มึงวิ่งเล่นเอาความสนุกเฉยๆ  มึงไม่เห็นอะไรเลย 555”

“มิวมึงไม่เห็น  ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”

ตุ้บ

“ฮึก ไม่เห็น…อะไรเลย”

ไม่เห็นแม้กระทั่งว่าตนเองได้วิ่งชนเข้ากับรูปปั้นเปรตอย่างจังจนล้มลง

…และพบว่าแท้จริงแล้วตรงนี้มีรูปปั้นเปรตยืนขนาบข้างกันอยู่สองตัว  ร้องระงมส่งเสียงหวีดแหลมเล็กก้องวัด


ผมนั่งรอไอ้มิวอยู่ในอุโบสถวัดป่าแห่งนี้ด้วยความเป็นห่วง  เนื่องจากตั้งแต่ที่มันออกไปจนถึงตอนนี้ กินเวลาไปมากกว่าชั่วโมงแล้ว  ใจของผมเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับไอ้มิว  ผมลุกเดินไปมาอยู่ในวัดนี้หลายรอบด้วยความร้อนรนจนสุดท้ายเมื่อความต้องการทางใจมันมีมากกว่าสมอง  ผมเลยตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งเกมส์เพื่อออกไปตามหามัน

ผมรีบวิ่งออกไปทางหลังวัด ด้วยไม่รู้เลยว่าชะตากรรมของมันจะเป็นอย่างไร  ใจของผมแกว่งมากจนมือผมสั่น  ความเป็นห่วง  ความกลัว  ตีรวนกันไปหมด เพราะผมไม่อาจยอมรับได้เลยหากเกมส์นี้จะทำให้ผมต้องเสียไอ้มิวไปโดยที่ไม่ได้ช่วยมันตามสัญญา  แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างผม  เมื่อผมวิ่งมาทางรูปปั้นเปรต  ไอ้มิว ก็นั่งนิ่งเงยหน้ามองรูปปั้นอยู่อย่างนั้น  พร้อมกับหูของผมที่ได้ยินมันบ่นอะไรออกมาตลอดเวลา  และค้นพบว่า  มันกำลังบอกตัวเองอยู่ว่า  มันไม่เห็นอะไร  สร้างความไม่เข้าใจให้กับตัวผมนัก

“มิว!!  ไอ้มิว!!  มึงเป็นอะไร  โถ่เว้ย!!!”

ผมวิ่งมากระชากไอ้มิวขึ้น  ก่อนจะพบกับภาพที่ทำให้ผมปวดหนึบไปถึงขั้วหัวใจ  ไอ้มิวที่มีน้ำตาไหลออกมานองหน้า กำลังใช้ใบหน้าเปื้อนยิ้มหลอกตนเองซ้ำๆ  มันกำลังดูเหมือนคนเสียสติ  มันหันมายิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับผม  อีกทั้งปากของมันก็ยังคงบอกกับตัวเองว่ามันไม่เห็นอะไร  มันยังคงมีความสุข  เรียกน้ำตาของผมให้ไหลซึมออกมาเพราะความห่วงและสงสาร

“ภพ  ไอ้ภพ  ฮึก  วันนี้กูเก่งไหม  กูมองไม่เห็นอะไรอย่างที่มึงบอกแล้วนะ”

“ไอ้มิว!!  มึงมีสติดิวะ  อย่าเป็นแบบนี้  มึงบอกกูก่อนว่าเป็นอะไร  บอกกูมา”

“กูไม่เป็นอะไรไอ้ภพ  กูไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย ฮึก”

สัมผัสอุ่นๆของมือมันยามเคลื่อนมาจับหน้าผม  สะกิดเอาความรู้สึกให้พาผมย้อนวันเวลากลับไปยังบ้านร้างหลังนั้น  หลังที่ผมกับมันเคยให้สัญญากันเอาไว้  ว่าถ้ามันเป็นอะไร  ผมจะต้องเป็นคนพามันกลับมา  ดังนั้นผมจึงต้องเคลื่อนย้ายตนเองมาอยู่ตรงหน้ามัน  มองใบหน้าที่ไม่ได้มองตอบผม  สายตาของมันพุ่งไปในสองทิศทางคือป่าช้าด้านหลังและเงยหน้ามองด้านบน  ก่อนจะตัดเอาเหตุผลของสมองออกไปและใช้หัวใจนำพาไอ้มิวกลับมา

“มิวกูขอโทษ…กูอยู่ตรงนี้แล้วไง มึงจะกลัวก็กลัวเถอะ  แต่ได้โปรดมองแค่กูไอ้มิว  มึงมองหน้ากู”ประโยคกึ่งขอร้องของผม  ถูกใช้อ้อนวอนไอ้มิว เพียงเพราะผมไม่อยากให้มันต้องอึดอัดกับการหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว

“กูไม่เห็นอะไรเลยภพ  ไม่ได้ยินอะไรเลย ฮึก ไม่กลัว กูสบายดี”

แค่คำตอบสุดท้ายของมันก็บอกผมได้หมดทุกอย่าง  ไอ้มิวในตอนนี้ไม่ใช่ไอ้มิวคนเดิมกับที่ผมเคยรู้จักแล้ว  ตัวของมันถูกความน่ากลัวและภาพหลอนของวิญญาณพาออกไปที่ไหนสักแห่ง  ทิ้งให้เหลือไว้แต่เพียงร่างกายอันบอบช้ำ  ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า  ที่ผ่านมาผมไม่เคยได้เตรียมใจยอมรับเรื่องแบบนี้ เพราะคิดไม่ถึงว่าผมจะต้องประสบกับมันจริงๆ  ถึงแม้จะเคยให้สัญญาไว้ดิบดีแค่ไหน แต่เวลาแบบนี้ผมก็ยังอยากภาวนาไม่ให้สัญญานั่นต้องหยิบยกมาใช้

แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมก็ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ เพื่อที่จะได้พามันกลับมาอีกครั้ง  ด้วยตัวของผมเอง

“ในเมื่อมึงไม่กลับมา  กูก็จะเป็นคนพามึงกลับมาเอง”ผมดันหน้าของมันให้กลับมาจดจ้องที่ผม ก่อนจะเริ่มทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้

ภพ…ถ้ากูเป็นอะไรไป  เป็นมึงได้ไหมที่พากูกลับมา

แค่เพียงเท่านั้น  ใบหน้าของผมก็เคลื่อนตัวลงไปเพื่อซ่อนเรื่องราวสุดสาหัสภายใต้การมองเห็น  พร้อมกับริมฝีปากของผมที่ได้วางแนบกับปากมันของมันอย่างแผ่วเบา  เพื่อหวังให้มันหลับตาลงและคลายทุกความเครียดความกังวลเอาไว้ที่นี่  และดูเหมือนว่ามันจะช่วยผมได้พอสมควร เพราะหลังจากนั้นไอ้มิวก็ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสายพร้อมกับทรุดตัวลงไปกับพื้นทันที  ก่อนที่ผมจะช้อนตัวมันขึ้นมาและพาเดินกลับไปยังสถานที่แห่งความหวังของผมกับมัน

ผมไม่รู้ว่าผมจะหวังอะไรกับรอยจูบนั่นได้ไหม  แต่ในเมื่อมันเป็นทางเดียวที่หัวใจผมบอก ผมก็อยากที่จะหวัง

หวัง ให้มือของผมได้โอบอุ้มจิตใจของไอ้มิวเอาไว้เพราะมันไม่มั่นคง

หวัง ให้ร่างกายของผมได้สร้างความอบอุ่นให้ไอ้มิวเพราะภายในใจของมันกำลังหนาวเหน็บเจียนจะตาย

และหวัง  ให้รสจูบของผมเป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตมันเพราะตอนนี้ไอ้มิวที่ผมรู้จักกำลังหลงทางและหายไปในความมืด

“กลับมาหากูนะ…ไอ้มิว”





**********************************************TBC*******************************************
เอาภพมิวมาส่งให้แล้วนะครับทุกคน  :mew1:
อ่านตอนนี้แล้วเป็นยังไงกันบ้าง  สำหรับคนเขียนเอง  ยอมรับเลยว่าตอนนี้เป็นอีกหนึ่งตอนที่เขียนยากมากๆ
ไม่รู้จะเขียนอย่างไรให้คนอ่านสามารถรับความรู้สึกและอารมณ์ได้หลายแบบ 
ยังไงก็ฝากตอนนี้อีกตอนด้วยนะครับ  ผมถ่ายทอดทุกความรู้สึกของภพและมิวออกมาด้วยความตั้งใจมากๆ 555
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และคำติชมต่างๆนะครับ  ถ้ามีอะไรอยากบอกเพิ่มเติมสามารถพิมพ์ได้ในเว็บนะครับหรือจะไปร่วมพูดคุยกับผมก็ได้ในแท็ก #Nightmaregame
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
อ่านไปหายใจไม่ที่วท้อง เฮ้อออออ  :mew5:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
จนได้สิน่าาาาาาาามิวววววววว
กลับมานะลูกกนะะ  :mew4: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มิวววว กลับมานะกลับมาๆๆๆๆ

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
คนเขียนฮะ คือเห็นคำผิดนะ แต่ไม่อยากย้อนไปอ่าน หนูกลัววววว :mew6:

ออฟไลน์ karamailpraleen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มิวนายมันคนจริง :katai1:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เกลียดรายการนี้มากๆ ตั้งใจจะให้คนตายทั้งเป็นเลยม :fire:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
...อ้อก! หายใจไม่ทั่วท้องเลย ฮือๆๆ กลับมานะมิวนะ อย่าปล่อยภพ(กับเรา)ไว้แบบเน้~ :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ไม่กล้าอานเรื่องนี้ตอนกลางวันเพราะบรรยายได้ชัดเจนเห็นภาพจนหลอนมากๆต้องแอบอ่านกลางวันเอาอ่ะขอให้พระคุ้มครองมิวทันมั้ยกะแล้วว่าหลวงพ่อดูแปลกๆมาหยดหยองเลย

ออฟไลน์ aurusma

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
กลับมาหาภพนะมิว :o12:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
มิวต้องกลับมานะ

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มิวต้องเข้มแข็ง :hao5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หลวงพ่อก็ทำกันได้นะ  :ling3:

ออฟไลน์ TiTeE

  • ☻สีเทาเข้ม☻
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
บอกเลยนะว่าเรื่องนี้อ่ะ อ่านผ่านๆ
เพราะถ้าอ่านทุกตัวอักษรคงต้องบอกลาเรื่องนี้ไปเลย ๕๕๕๕๕
หลงพ่อ!! ทำกันด้ายยยยย :(

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
อ่านกลางคืนอีกนะ งูยยย ขนลุก

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
โอ๊ยยยยยหลอนมาก เอาจริงๆตอนแรกๆยังแบบอ่านแล้วมีขัดๆนิดหน่อย คือมิวนี่แบบ ไม่ฟังคำเตือนเพื่อน แล้วพอได้รับเลือกก็ดันมาเฟลมากลัว แต่อ่านไปอ่านมามันติดมันหยุดไม่ได้ซะนี่ ความจริงก็อ่านตั้งกะเมื่อคืนแล้วล่ะ แต่แบบ ทนอ่านต่อไม่ได้ คืออยู่หอคนเดียว ดึกแล้ว ตอนมีผีนี่ไม่กล้าอ่านละเอียด (กลัวจัด อ่านละเอียดแต่ฉากมุ้งมิ้งตอนกลางวัน) นี่พึ่งมาอ่านตอนกลางวันต่อ สนุกมากๆ

ตอนแรกเรานึกว่าภพเล่นของ ปรากฏว่า ฮีไม่มี ไม่เห็นอะไรด้วย 555555  อันนี้เขาเรียกว่าจิตแข็งไหมอ่ะ คือในขณะที่อกคนแทบจะสติแตก อีกคนดั๊นนนนไม่เห็นไรเฉ๊ย  แล้วคนที่มาเตือน มาช่วย ไม่ใช่ลุงมั่น ไม่ใช่ลุงคำ หรือจะเป็นทีมงานที่ตาย? หรือเจ้าที่? แล้วกระดูกใครหว่า? แต่รู้สึกว่าอุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยภพกับมิวก็มีพวกเป็นวิญญาณมั่งละนะ

ตอนวัดล่าสุดนี่ โหยยยยย โกร๋นอ่ะ เราตั้งป้อมระแวงหลวงพ่อไว้ละ แต่อุตส่าห์เทศน์ซะเราแทบยกมือพนมไปด้วย ท้ายสุดดั๊นนนนนน ฮือออออออ สงสารมิวมาก เป็นเรานี้เป้นบ้าตั้งกะวันแรกละ แต่แบบ *เขาจูบกันล้าวววว*

ปอลิง ชอบตอนน้องภิวมาก คือหลอนก็หลอนนะ แต่ก็ฟิน พ่อ กะ แม่ 5555555555

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เวลาอ่านนี่ต้องกลั้นหายใจเป็นพักๆเลยที่เดียววว :katai1:
หลวงพ่อทำกันได้ลงคอ :z6:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เป็นอะไรที่หลอนสุด เพราะอ่านอยู่ในวัด แล้วคือสุดจะบรรยายจิงๆ

รีบมาต่ออีกนะครับ รอติดตามด้วยคน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่23

คำทักทายแรก


นั่นคืออะไร?

คำถามชวนลับสมองถูกถามขึ้นในใจไม่ต่ำกว่าสิบรอบ  เมื่อตอนนี้ผมกำลังยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของบ้านหลังนี้  มืดมิดและหม่นหมองชนิดที่ว่าแสงจันทร์ที่เคยสาดส่องเข้ามาเป็นอันดับสูญ  รอบกายอุดมไปด้วยไอเย็นที่รายล้อมตัวผมจนพาให้ผิวกายถูกบาดด้วยความหนาวเหน็บ  แน่นอนว่าตัวผมเองไม่อาจทราบได้เลยว่าตนเองมาอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าไรหรือมาอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลสมควรอันใด ผมรู้แค่ว่าผมยืนนิ่งจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเคลื่อนไหวได้นานพอสมควรแล้ว

บ้านหลังนี้ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ  ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจนชวนให้สงสัย ที่จะแปลกคงเป็นเพียงพื้นที่ว่างกลางบ้านเท่านั้นที่บัดนี้มันถูกวางทับด้วยกระดานดำแผ่นหนึ่ง  ตั้งไว้พร้อมกับชอล์กเขียนกระดานจำนวนไม่น้อย ก่อนที่จะมีร่างของชายหนุ่มรูปร่างคุ้นตาสักคนเดินมาหยิบชอล์กเหล่านั้น และค่อยๆบรรจงขีดเขียนตัวอักษรลงไปทีละคำให้ผมค่อยๆอ่านคำพวกนั้นและจัดการเรียงคำกันให้เป็นประโยค

น่าแปลก...ทั้งๆที่บ้านหลังนี้มืดสนิท แต่ผมกลับมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนราวกับมีใครฉายสปอร์ตไลท์ไปตรงนั้น

“กักกันอย่างหรรษา หรือ อิสระตลอดกาล”

ผมเริ่มอ่านประโยคแรกของบรรทัดที่ผู้ชายคนนั้นเขียนเอาไว้  หลังจากที่เขาได้ทำการวางมือลงเนื่องจากพื้นที่ของกระดานไม่เหลือความว่างพอให้เขียนเพิ่ม

การเรียงคำอันแสนคุ้นหูและคุ้นตาสะกิดให้ต่อมของความรู้สึกผมทำงานอย่างไม่ลดละ  ยิ่งได้อ่านไล่คำพวกนั้นลงมาเรื่อยๆ  ลางสังหรณ์บางอย่างก็พาให้ผมนึกถึงจดหมายสามฉบับนั่นที่พวกผมพึ่งจะมีโอกาสได้แก้ไปเพียงฉบับเดียวก่อนที่เกมจะบังคับให้พวกผมไปเข้าร่วมกิจกรรมกับตุ๊กตาเด็กทารก

คำคุ้นหูเหล่านั้นสร้างความฉงนใจให้ผมยิ่งนัก  แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการวงกลมล้อมรอบเพียงหนึ่งวลีจากสอง  ราวกับว่าชายคนนั้นไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆเพียงเพราะเห็นว่าผมเคยเขียน  แต่เขากำลังจะแสดงวิธีการเล่นกับจดหมายนี่ให้ผมดู  และนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่ผมคิด  คำในจดหมายนั่นคือสิ่งที่สั่งให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกมาเพียงหนึ่งเดียวเพื่อตัดสินจุดจบของเกม

ผู้เข้าแข่งขันเป็นคนเลือก?

ดั่งความคิดผมมีเสียง  ชายคนนั้นเริ่มขยับคว้าเอาชอล์กที่ถูกวางไว้นำขึ้นมาเขียนอีกครั้ง  คราวนี้เป็นการเขียนรูปลูกศรขนาดไม่เล็กไม่น้อย ชี้ไปยังพื้นที่ว่างขนาดเล็กรอบวลีที่เขาเลือก  ก่อนที่คำอธิบายคำตอบจะเริ่มถูกละเลงขึ้นมาขยายความหมายเหล่านั้น

แค่เพียงอึดใจเดียว ชอล์กในมือของเขาก็ถูกวางลงบนร่องกระดานดำอีกครั้ง  คงเหลือทิ้งไว้แต่เพียงตัวอักษรขนาดจิ๋วขนาบข้างวลีในจดหมายทุกบรรทัด  อย่างที่ผมได้เคยบอกไว้ ภายใต้ความมืดของบ้านหลังนี้ ไม่อาจสร้างปัญหาด้านการมองเห็นให้ผมได้เลย  ทุกตัวอักษร ผมเห็นชัดราวกับถูกจับวางไว้ตรงหน้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมสามารถไล่เรียงไปได้ทุกคำพร้อมกับเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่เริ่มไหลซึมออกข้างขมับด้วยความกดดัน

ชายคนนั้น…เคยเข้าร่วมเกมส์นี้

ผมมองสลับเนื้อความที่อยู่บนกระดานดำกับใบหน้าของชายคนนั้นซึ่งกำลังหลบซ่อนความจริงเอาไว้ใต้ม่านความมืดมิด  ผมพยายามที่จะใช้ดวงตาเพ่งเล็งไปที่ใบหน้าโครงคุ้นตานั่นให้ชัดๆ แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีเรื่องไหนเลยที่ผมได้มันมาอย่างง่ายดาย ฉะนั้นเรื่องที่คาดว่าการเพ่งเล็งจนรู้สึกปวดเลนส์ตาจึงต้องเป็นอันคว้าน้ำเหลวไป

“อย่าเดินเข้ามา”

คำสั่งธรรมดาแต่แฝงไปด้วยกระแสเสียงไม่ธรรมดาของชายคนนั้นดังขึ้นห้ามปรามขาของผม  การจดจ้องที่มากเกินไปไม่อาจพาความจริงเข้ามาหาผมได้ วินาทีนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหาบุคคลตรงหน้าแทน  สัญชาตญาณในกายร้องกู่ก้องเตือนถึงเรื่องลี้ลับบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ แต่อะไรสักอย่างในตัวเขาดึงดูดความสนใจของผมที่มีมากกว่าความกลัว ผมจึงกล้าที่จะเดินเข้าไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า เขาคือวิญญาณ

“เนื้อความบนกระดานนั่น  คุณหมายความว่าอย่างไร?”ผมถามกลับออกไปด้วยความเคร่งเครียดและจริงจัง

“ผมหมายความตามที่เขียนทุกอย่าง  และผมก็มั่นใจว่าคุณรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร”

“ถ้าอย่างนั้น จดหมายฉบับอื่นๆหละ  คุณพอจะรู้บ้างไหมว่าเนื้อความเขียนไว้ว่าอย่างไร”

“ผมไม่รู้ ผมได้เพียงจดหมายสามฉบับนี้เท่านั้น เพราะอะไรคุณก็รู้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ผมเดา จดหมายฉบับที่เหลือคงมีเนื้อความที่ไม่ต่างกันนัก  มันคงแสดงจุดหมายของการหลีกหนี เพื่อลวงให้คนกลัวตายเหล่านั้นไปพบจุดจบ”

ผมยืนจิกเล็บแน่นหลังจากฟังเสียงที่ดังก้องกังวานตัวบ้านหลังนี้  การคาดเดาของชายคนนั้นเป็นไปอย่างแม่นยำจนผมกลัว  คำให้การของพี่สาวดลยาลอยพัดผ่านหัวสมองผมช้าๆจนเห็นภาพ  วันที่ดลยาหายตัวไปคงเป็นเหตุผลนี้ที่ชักชวนให้เธอออกไปพบกับหายนะและเส้นทางที่ไม่มีทางได้หันหลังกลับ

“คุณตามพวกเขามาได้ไหม?  ผมอยากถามในสิ่งที่ติดค้างในใจของผม”

“เขามาไม่ได้หากคุณไม่เชิญมา”

“แล้วทำไมคุณถึง…”

“ผมไม่ได้พึ่งมาหา แต่ ผมอาศัยอยู่ที่นี่

“จะเป็นไปได้ยังไง  บ้านหลังนี้…มันมีคนตายอย่างนั้นเหรอ”

ผมหลุดเสียงที่แผ่วเบาลงไปยามที่ความคิดความเข้าใจแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน  คำพูดเสียงเย็นขัดหูแต่หนักแน่นของวิญญาณตรงหน้า เรียกให้มือเท้าของผมเย็นจนแทบชา  ความจริงที่เคยมั่นใจว่าใกล้จะถึงจุดหมายกลับต้องถอยร่นออกไปไกลหากข้อความที่ได้ฟังนั้นเป็นจริง

ชายคนนั้นไม่ตอบผมดังคาด  หากแต่หันกลับไปยังกระดานดำเพื่อจรดปลายชอล์กลงบนพื้นที่ว่างตรงหน้าอีกครั้ง  ผมไม่รู้ว่าเนื้อความก่อนหน้าถูกลบออกไปตอนไหน  สังเกตอีกทีทุกอย่างก็ว่างเปล่าไปหมดแล้ว

เส้นลวดลายตัวอักษรบนกระดานดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก  เนื้อหาเขียนเพียงแค่คำว่าบ้านตัวโตๆบนหัวกระดาน ก่อนที่จะมีคำว่าชาตะและมรณะปรากฏขึ้น  ภายใต้ตัวอักษรคุ้นตาทั้งสองคำ ชายคนนั้นค่อยๆบรรจงเขียนตัวเลขแปลกๆบางอย่างออกมา และเมื่อได้ดูทั้งหมด  ผมถึงกับต้องตาโตและหัวใจเต้นแรงไปกับคำยืนยันที่เป็นลายลักษณ์อักษร  บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเสร็จก่อนหน้าที่ผมจะเข้าร่วมเกมเพียงสามสัปดาห์  และมีกำหนดทำลายทิ้งหลังจากจบกำหนดเกมนี้ทันที นั่นจึงบอกผมได้แน่นอนแล้วว่า  บ้านร้างที่เกมอุปโลกน์ขึ้นมามันไม่เคยมีอยู่จริง

ถ้าอย่างนั้นผู้ชายตรงหน้าผม…เขาเป็นใคร?

“คุณเป็นใคร”ผมร้องถามออกไปด้วยปลายเสียงที่สั่นไหวเนื่องจากความกังวลเริ่มผูกเรื่องราวในหัวให้เป็นเรื่องเดียวกัน

“รู้แล้วใช่ไหมว่ากักกันอย่างหรรษา  มันเป็นการกักกันแบบไหน”

“คุณเป็นใคร!”ผมใช้เสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเพื่อเค้นเอาคำตอบที่ติดค้างตรงหน้า

“อย่ากลัววิญญาณอีกต่อไปเลยนะครับ  ร่างกายของคุณไม่พร้อมจะรับอะไรแล้ว ถ้ารับไม่ได้ก็ให้เมินเฉยไปเลย เมินไปแม้กระทั่งตัวผม”

“คุณเป็นใคร!!!”

“กลับไปในที่ของคุณได้แล้วครับ  ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่รองรับคุณ มันยังไม่ถึงเวลา”

“คุณศตวรรษ!!”

“อย่าตามหาว่าผมเป็นใคร  เชื่อเถอะอีกไม่นานเรื่องราวที่ผสมปนเปมันจะขุดเอาความจริงที่ฝังมานานให้โผล่มา  ปีนี้เกมเลือกที่จะเสี่ยงเอาชีวิตของพวกคุณมาอยู่ใกล้กับความจริงที่มากกว่าผม  เงินรางวัลพิเศษที่ถูกกำหนดมันไม่ได้มีมาเพื่อยกยอเรตติ้งรายการ แต่มันมีเพื่อสรรเสริญพวกคุณ หากจะต้องมาตายอยู่ภายใต้หลุมกัปดักที่ฆาตกรวางเอาไว้”

“ใคร…ฆ่าคุณ”ผมตกใจถึงขั้นหวาดกลัวกับคำตอบที่ได้ยิน  ผู้ชายคนนั้นรู้ทุกอย่างมากเกินกว่าที่จะเป็นเพียงผู้เข้าร่วมรายการ ฉะนั้นโฉมหน้าของฆาตกรเพียงอย่างเดียว ทำไมถึงปล่อยให้เป็นตัวแปรที่แก้ไม่ได้

“ผมไม่รู้ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เลือนหายไปจากความจำผม ความช่วยเหลือจากคุณจึงสำคัญกับผมมาก  หาฆาตกรให้ผมที ให้ผมเป็นศพสุดท้ายที่เกิดในรายการนี้ด้วยเถอะครับ  ผมขอร้อง”

หลังจากนั้นวิญญาณของชายตรงหน้า ก็สั่งให้ผมเดินกลับไปอยู่ในที่ของตนเองซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนนอกจากบนห้อง  บ้านหลังนี้มันไม่มีที่ไปให้กับผม  แม้กระทั่งแสงสว่างเล็กๆจากพระจันทร์ที่เคยนำทาง  มันก็ไม่ส่องสว่างเหมือนอย่างเคย ผมจึงต้องจำใจเดินจากมาพร้อมกับปริศนาบางเรื่องที่คลายออก  ก่อนจะได้ยินเสียงที่ทำให้เกิดภาพเดจาวูในหัวขึ้น เรียกให้ผมหยุดยืนตัวแข็งทื่อไปพร้อมกับใบหน้าที่แท้จริงของร่างดำมืดหน้ากระดานดำข้างล่างนั่น

เป็นจริงดั่งคำสันนิษฐาน…กาลเวลาเคยนำพาเราทั้งคู่ให้พาลพบ

“Good Luck ครับคุณมิว”



เฮือก!!


ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียงด้วยอารมณ์ที่ยังติดค้างจากความฝัน  เหงื่อไหลออกมาท่วมกายจนผ้าปูที่นอนชื้นอับ สัมผัสของหัวใจที่ยังเต้นรัวแรงยามได้สัมผัส เป็นสิ่งที่ยื่นยันความเหมือนจริงที่เกิดขึ้นได้  ถ้อยคำสุดท้ายที่ผมได้ยินนำพาเรื่องราวเมื่อครั้งแรกเริ่มให้หวนกลับมาอย่างกับน้ำไหล  เปิดหัวใจที่เคยรู้สึกด้านชาและอ่อนล้าให้มีกำลังมากขึ้น ก่อนที่ผมจะเริ่มตั้งสติโดยการเอามือลูบหน้าตนเองและหันไปมองยังพื้นที่ข้างตัวที่ควรจะมีไอ้ภพอยู่อย่างที่เคยเป็น

เรื่องที่ติดค้างจากฝันถูกผมพับเก็บเข้าความทรงจำระยะยาวไปก่อน  ขณะนี้เรื่องราวบนที่ว่างข้างกายของผมต่างหากที่น่าสนใจมากกว่านั้น  ความเป็นจริงที่ถูกเขียนลงบนกระดาษมากมายวางเรียงรายจนเต็มพื้นที่ส่วนของไอ้ภพ  บางแผ่นคือเนื้อหาที่ไอ้ภพเติมเต็มปริศนาที่ยังคลายไม่ได้  คาดว่าช่วงที่ผมหลับไอ้ภพคงเริ่มขีดเขียนอย่างเป็นจริงเป็นจัง  บางแผ่นคือคำพูดที่ดูคล้ายการอ้อนวอนให้ใครสักคนกลับมา  ซึ่งตามความคิดผม  นั่นอาจจะเป็นคำขอร้องที่มันจวนตัว คิดถึงจนล้นจิตใจ และอยากภาวนาให้น้องสาวกลับคืนสู่อ้อมอกของมัน

ระหว่างการแก้ปริศนาไอ้ภพคงเห็นภาพน้องสาวของมัน…ในจดหมายของดลยา

ผมหยิบกระดาษหลายแผ่นบนเตียงขึ้นมาอ่านด้วยความกังวลแปลกๆที่เกิดขึ้น  ความรู้สึกที่ว่าผมเหมือนลืมช่วงเวลาบางอย่างไปตีวนกลับมาจนแทบไม่อยากเชื่อตนเอง  ภาพบางอย่างวูบซ้อนขึ้นมาแต่ไม่ชัดนัก  จนต้องเป็นผมเองที่พยายามเค้นสิ่งที่หายไปให้กลับมาและเมื่ออาการปวดหัวทางกายเริ่มแสดงการประท้วง  ผมเลยต้องหยุดและตัดสินใจเขียนทุกสิ่งที่อยู่ในฝันลงบนที่ว่างบนกระดาษสักแผ่นแทน

เคร้ง

เสียงแก้วน้ำสองใบกระทบกันดังขึ้นที่ด้านหลัง  เรียกให้ผมต้องละจากกระดาษสีขาวบาดตาตรงหน้าแล้วหันมามองผู้เป็นเจ้าของห้องอีกคนทันที

ไอ้ภพยืนนิ่งตาค้างอยู่ตรงนั้น พร้อมกับที่ถาดอาหารในมือของมันเริ่มสั่นเล็กน้อย

“ภพ  ไปไหนมา?”เนื้อเสียงกังวานใสจากผมร้องถามผู้มาใหม่จนมันต้องเดินไปวางถาดและค่อยๆก้าวมาหาผม

“มิว นั่นมึงจริงๆใช่ไหม?”

“อ้าว  ก็กูดิ จะเป็นใครไปได้ยังไงหละ”

“มึง…กลับมาแล้วใช่ไหม?”ปลายเสียงของไอ้ภพเริ่มสั่นและเปลี่ยนไปจนผมใจหาย

“กลับจากไหน?  แล้วมึงเป็นอะไรไอ้ภพ”

เพียงเท่านั้น ไอ้ภพก็วิ่งเข้ามากระชากตัวผมไปกอดเอาไว้  แรงกอดรัดของมันแน่นจนแทบจะบีบกระดูกผมแตก  แต่ผมก็ไม่สามารถจะผละออกมาได้  เนื่องจากเนื้อตัวที่สั่นระริกเบาๆจากมันและหัวใจที่เต้นเร็วไม่ต่างจากผมยามได้รับสัมผัสกำลังบอกว่าไอ้ภพคนนี้คงกำลังกลัวอะไรสักอย่าง มันถึงได้แสดงท่าทีอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา

“ยินดีต้อนรับกลับมา  คราวหลังอย่าทิ้งกูไปอย่างนี้อีก”เมื่อทุกอย่างสงบลง ไอ้ภพก็เริ่มพ่นคำชวนให้ภาพซ้อนเกิดขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวๆ  มึงคิดถึงน้องเกินไปหรือเปล่า  กูไม่ได้หายไปไหนนะภพ นี่กูก็พึ่งจะตื่นนอน  มึงคิดถึงน้องสาวมากไปแล้วไอ้สัส”

“น้องสาวกู เกี่ยวอะไร?”ไอ้ภพผละออกจากผมด้วยปลายจมูกแดงเล็กน้อย  และเริ่มถามในสิ่งที่มันก็น่าจะรู้อยู่

“กระดาษนั่นไงภพ  มึงเขียนอ้อนวอนให้ใครสักคนกลับมาแล้วจะเป็นใครได้อีกหละนอกจากน้องสาวมึง”

“มิว  กูเขียนถึงมึง”

“ถึงกู?  เขียนถึงกูทำไมหละ กูไม่ได้ไปไหนเลยนะ   ว่าแต่มึงเถอะตื่นแล้วไม่รีบแต่งตัวระวังทีมงานจะมาเฉ่งเพราะพาไปวัดสุดท้ายไม่ทัน”ผมพูดไปราวกับว่าแปลกใจในการกระทำไอ้ภพ  ทั้งที่ภายในใจกลับวูบโหวงอย่างรุนแรง ภาพซ้อนและความรู้สึกบางอย่าง  มันร้องทักว่าสิ่งที่ไอ้ภพทำมันมีเหตุผลมาจากตัวผมจริงๆ เพียงแต่ผมจำไม่ได้ชัดเจนว่า มันคือเรื่องอะไร

“มิว  วัดนั่นเราไปกันมาแล้วนะ  มึงจำไม่ได้เหรอ”

เนื้อเสียงแปลกใจแต่ยังคงหนักแน่นของไอ้ภพ กระตุกลมหายใจผมให้ขาดห้วง ความทรงจำบางอย่างเริ่มกลับมาทำให้ภาพซ้อนในหัวชัดเจนขึ้น  เรื่องราวในวัดสุดท้ายค่อยๆโผล่มาทีละเรื่อง  แต่ก็แค่นั้น เพราะเรื่องราวในหัวบางอย่างกลับไม่ปรากฏชัดอย่างที่คิด  จนผมต้องหันกลับไปมองหน้าไอ้ภพอีกครั้ง และเป็นฝ่ายที่ขอให้มันเล่าเรื่องราวทุกอย่างใหม่หมดตั้งแต่ต้นเพื่อเรียกความทรงจำบางอย่างที่หายไปให้กลับมา

“เมื่อวันก่อน เราสองคนต้องไปหาน้ำที่วัดป่า จำได้ไหม?…”

หลังจากนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้ผมฟังเป็นฉากๆ  ประติดประต่อความทรงจำที่หายไปให้กลับมาตั้งแต่ผมเจอรูปปั้นเปรต จนเลยไปถึงช่วงที่ผมต้องวิ่งหนีตาลีตาเหลือกในป่าช้านั่น  น่าแปลกที่ความรู้สึกตอนนั้นยังติดค้างอยู่ในใจและบอกให้ผมรู้ว่าผมหวาดกลัวและผวากับเหตุการณ์มากแค่ไหน  แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งผมกลับแทบไม่มีความกลัวใดๆหลงเหลืออยู่  อะไรบางอย่างในใจสร้างปราการขนาดใหญ่คุ้มครองผมจนเรื่องผีหรือวิญญาณไม่อาจสร้างบาดแผลให้ผมเพิ่มได้  แม้จะยังไม่แน่ใจว่าแนวป้องกันหัวใจนั้นจะหนาแน่นแค่ไหน  แต่ก็เชื่อได้ว่าหากผมต้องได้เห็นวิญญาณอีกครั้ง อาการผมคงไม่กลับไปเป็นแบบเดิม 

ไม่ใช่เพราะชินชา แต่มันเป็นเพราะอาการของไอ้ภพขณะเล่าต่างหากที่สั่งให้ผมต้องเข้มแข็งจริงๆเสียที

“มึงสลบไปสองวัน  นานจนกูกลัวว่ามึงจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”

“กูฟื้นขึ้นมาแล้วไง อยู่ตรงนี้ข้างๆมึงเหมือนเดิม”ผมยื่นมือไปบีบมือไอ้ภพเบาๆ  บอกให้มันรู้ว่าผมยังอยู่

“ดีแล้วหละ  กูไม่อยากรู้สึกว่าจะผิดสัญญากับมึงอีกแล้ว”

“ขอบคุณมากนะที่รักษาสัญญาของกู  ว่าแต่มึงทำยังไงให้กูกลับมาเหรอภพ”

“เอาเป็นว่าวิธีนั้นมันช่วยกูคลายความกังวลให้มึงได้แล้วกัน”

“กั๊กหรอมึงอ่ะ…แล้วทำไมอยู่ดีๆกูถึงจำอะไรตอนนั้นไม่ได้เลยวะ  ทั้งๆที่มันแรงขนาดนั้น”ผมโวยวายมันแบบไม่จริงจังนัก แล้วเริ่มหันมาสนใจเรื่องของตนเอง  ความทรงจำที่เคยหายไปไม่ใช่เรื่องเล่น เหตุใดสมองผมถึงเลือกที่จะปฏิเสธมันออกไปทั้งหมด  คงเหลือแต่เพียงเศษเสี้ยวของตะกอนเบาบางในใจ

“มันอาจเป็นเพราะมึงเก็บกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ พอนานเข้ากลไกการป้องกันตนเองมันก็สั่งให้มึงลืม”

“อย่างนั้นหรอ”

ไอ้ภพไม่ให้คำตอบเพิ่มเติม  นอกเสียจากการพาผมไปกินข้าวและหาอะไรอย่างอื่นทำด้านนอกเพื่อไม่ให้อุดอู้อยู่กับอากาศภายในห้อง  ยามที่ได้คุยกันเมื่อครู่ผมไม่ทันได้สังเกตว่าไอ้ภพมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป หากแต่เมื่อได้มาเดินอยู่ข้างๆมันผมจึงได้มีโอกาสเห็นว่าท่วงท่าการเดินของมันดูลำบากไปกว่าปกติ  ใบหน้าของมันดูเหมือนไม่ได้แสดงอะไรออกมา  แต่ดวงตากลับซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างชัดเจน  และในเมื่อตอนนี้ไอ้ภพยังไม่คิดจะบอกอะไร ผมจึงไม่อยากคิดคาดคั้นให้มากความ

“ทำไม…ลุงมั่นลงต้นไม้ครบสามต้น”

ช่วงที่ไอ้ภพพาเดินมาส่วนหลังบ้าน  หางตาของผมก็ไปสะดุดกับสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ควรจะมี  ผมจำได้ว่าลุงมั่นเคยบอกกำหนดเวลาการลงต้นไม้เอาไว้  ในทุกๆอาทิตย์บ้านหลังนี้จะต้องลงต้นไม้หนึ่งต้นเพื่อแสดงว่าพวกผมอยู่กันมาครบอาทิตย์ ฉะนั้นต้นไม้ที่ควรปลูกอยู่จึงควรมีเพียงสอง  ไม่ใช่มีครบสามต้นแบบที่ผมกำลังมองอยู่ตอนนี้   เวลาที่ผมเข้าร่วมเกมยังไม่ทันผ่านพ้นอาทิตย์ที่สองเสียด้วยซ้ำ

“กูไม่รู้ ตอนกลับมาที่บ้าน มันก็ถูกปลูกไว้ครบแล้ว ลุงมั่นแกคงไม่อยากให้เสียเวลามั้ง”

“ลอง…ขุดดูกันไหม? กูอยากจะรู้ว่าใต้ต้นไม้นั่นเขาซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า”สังหรณ์ใจแปลกๆดลให้ผมโพล่งออกไปแบบนั้น  ความรู้สึกบีบคั้นบางอย่างที่รายล้อมอยู่รอบตัว  มันกำลังจับสังเกตให้ผมว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ปกติ

“คิดว่าเขาซ่อนอะไรไว้หละ”

“ไม่รู้หรอกภพ  รายการมันก็ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว  ไม่แน่ว่ากระดูกที่ถูกฝังอยู่ใกล้บ่อน้ำในป่า อาจถูกย้ายมาฝังใกล้ตัวเราแทน”

“ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เราขุดขึ้นมาไม่ได้หรอก  ดูนั่นสิ”

ผมมองตามนิ้วมือของไอ้ภพไปด้านหลัง และได้พบกับกล้องบันทึกที่มีรูปร่างคล้ายกับที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในบ้าน  มันถูกนำมาติดตั้งเอาไว้ในพื้นที่ด้านหลังตรงนี้  คาดว่าช่วงที่ผมไม่อยู่ เกมคงนำมาติดเพิ่ม แต่ด้วยเหตุผลอะไรผมไม่มีทางทราบได้  อาจจะเป็นการกันไอ้ภพไม่ให้ปีนออกไปอีก  หรือจะแค่ติดไว้เพื่อป้องกันสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้การหยั่งรากลึกของต้นไม้งามตรงหน้า

“แล้วอย่างนี้ มึงจะออกไปด้านหลังยังไงภพ”ผมหันกลับมาถามมันด้วยความเป็นห่วง และรู้สึกกังวลกับเกมที่เปลี่ยนไป

“ไม่ต้องห่วงหรอก  กูออกไปมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ขากลับกูถึงได้เห็นว่ามีกล้องติดไว้  อีกอย่างทีมงานเขาก็รู้แล้วว่ากูออกไป ก็ไม่เห็นใครว่าอะไร”

“นั่นยิ่งทำให้กูสงสัยต้นไม้ตรงหน้านี้แล้วนะภพ”

“อย่าไปสนใจแค่ของพรรค์นั้นเลย  เผลอๆขุดไปก็อาจไม่เจออะไรหรอก ทีมงานเล่นปล่อยไก่วันเวลาปลูกมาขนาดนี้ เขาคงไม่สร้างบ่วงรัดคอตัวเองแน่  ที่สำคัญเมื่อวานตอนกูออกไป กูได้ไม้เด็ดที่มากกว่านั้น

“คือ?”

ไอ้ภพไม่ตอบแต่กลับรีบดึงผมขึ้นไปบนห้อง  สถานที่เดียวของบ้านหลังนี้ที่ผมยังคาดหวังในความปลอดภัยของมันได้อยู่  ไอ้ภพไม่รอช้าที่จะพาผมมายังเตียงกลางห้องและเริ่มควานหาเศษกระดาษที่มันขีดๆเขียนๆเอาไว้  ก่อนจะไปคว้ามาได้ที่ใต้เตียง  ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพมันทำหล่นยังไงให้กระดาษปลิวไปลึกขนาดนั้น  แต่พอได้เห็นสิ่งสำคัญที่มันยื่นมา  ผมจึงเข้าใจเลยว่าไอ้ภพมีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนกระดาษแผ่นนี้

กระดาษแผ่นที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความจริงที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้ต้นไม้สูงใหญ่ด้านหลังนั่น

“รูปวาดบ้านที่มึงเห็น  กูตั้งใจวาดเอาไว้รอมึงฟื้น  กูต้องขอโทษที่มันเป็นแค่ภาพร่างกระจอกๆ  แต่เพราะกูต้องรีบบันทึกเอาไว้  มันเลยออกมาดีสุดได้แค่นี้”

“ทำไมต้องรีบบันทึก?”ผมเงยหน้าขึ้นจากรูปวาด ก่อนจะเริ่มถามมันด้วยความสงสัย

“อย่างที่บอกว่ากูกลับมาแล้วเห็นกล้อง  ตอนนั้นก็รู้สึกว่ากูอาจจะต้องออกอย่างจริงจัง เลยรีบวิ่งขึ้นมาบนห้องแล้วเริ่มวาดทุกอย่างที่จำได้เอาไว้ให้หมด ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราพยายามกันมามันจะล้มเหลว”

ผมพยักหน้ารับไอ้ภพ ก่อนจะเริ่มเพ่งเล็งทุกอย่างด้วยความจริงจังอีกครั้ง  บ้านที่ไอ้ภพลงทุนวาดมันขึ้นมา  ดูเผินๆมันอาจเป็นแค่ภาพร่างตลกๆ ฝีมือไม่ต่างจากเด็กอนุบาล  แต่หากมองลึกไปดีๆ  บ้านหลังนี้กลับทำให้ขนในกายผมลุกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ  ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดยิบย่อยที่ไอ้ภพพยายามใส่เอาไว้  หรือแม้กระทั่งรายละเอียดที่เกี่ยวกับภายในบ้าน ไอ้ภพก็ใส่เข้ามาได้มากชนิดที่ว่าเห็นแล้วผมสามารถรู้เลยว่าบ้านหลังนี้พิเศษอย่างไร

มันเป็นบ้าน…ที่ปลูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับบ้านหลังนี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ผมกำกระดาษในมือเอาไว้แน่น  ความน่ากลัวที่ไอ้ภพระบุเอาไว้มันไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น  สิ่งที่มันเขียนตัวใหญ่ๆไว้ด้านล่างต่างหากที่สำคัญกว่า  มันบอกเอาไว้ว่า  ที่ด้านหลังของบ้านหลังนั้นมีต้นไม้ปลูกเอาไว้สามต้นเหมือนกับที่บ้านหลังนี้มี  ดังนั้นท่าทีที่ไอ้ภพแสดงออกตอนพูดถึงต้นไม้มันจึงไม่ได้ดูตกใจมากนัก  ที่สำคัญภายในบ้านหลังนั้น  บริเวณกำแพงบ้าน  มีรูปของครอบครัวหนึ่งถูกติดเอาไว้จำนวน 7 รูป แต่มันไม่สามารถมองได้ชัดว่ารูปใครเป็นรูปใคร  หน้าต่างของบ้านมันมีฝุ่นเกาะหนาและเก่าเกินไปจนกระจกมัวไปหมด

ตรงกับคำบอกเล่าของทีมงานที่บอกเอาไว้ว่าบ้านร้าง เคยเกิดคดีฆาตกรรมครอบครัวทั้งหมด7ศพ

“ภพแล้วเรื่องของบ่อน้ำในป่านี่หละ”ผมนึกย้อนไปกับสิ่งที่วิญญาณเคยบอกเอาไว้

“อืม  มันก็อยู่ท้ายป่านั่นแหละ แต่กูสนใจตัวบ้านหลังนี้ที่มันอยู่เยื้องออกไปมากกว่ากูเลยยังไม่ได้ไปมองตรงนั้น”

“ท้ายป่า?  ป่านี่มันไปสิ้นสุดที่ไหน?”

“มิว  ป่าที่เราเห็นกันมันไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่เราคิด  มันเป็นแค่ป่าสูงทึบที่กั้นระหว่างถนนเส้นนี้กับอีกเส้นเท่านั้น  เมื่อมึงเดินทะลุป่าออกไป  มึงจะเจอถนนเล็กๆเป็นซอยเข้ามาแบบของเราเลย  แต่ตรงนั้นไม่ได้เปลี่ยวแบบนี้  มันยังมีบ้านคนตั้งห่างๆกันออกไปอยู่อีก ที่สำคัญนะ เรื่องราวของป่าช้าด้านหลัง แท้จริงมันไม่ใช่ บริเวณนั้นมีวัดของชุมชนเล็กๆตั้งอยู่ กูคิดว่าสิ่งที่เราเชิญมาทั้งหมด  มันจะมาจากตรงนั้น”

“ภพ…ถ้าจริงๆแล้วบ้านหลังที่เกิดเหตุมันคือบ้านหลังนั้น  มันจะหมายความว่าเกมปีนี้ไม่ได้พาเราเข้ามาหาที่เกิดเหตุจริงๆเหรอ”

.
.
.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2017 19:35:04 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“อืม  เกมน่าจะจงใจพาเรากลับมาใกล้กับบ้านที่เป็นเรื่องราว  บ้านหลังนี้มันเป็นบ้านสร้างใหม่อย่างที่มึงว่าจริงๆ  เพราะบ้านหลังนั้นสภาพเก่ากว่านี้มาก”

“แล้วมันจะทำไปเพื่ออะไร?  ทำไมไม่พาเราเข้าไปบ้านที่เกิดเหตุเลยหละ”

“กูไม่รู้  แต่ถ้าจะให้เดา  ฆาตกรอาจจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับครอบครัวนั้น  เพราะไม่มีใครหรอกที่อยากจะให้คนอื่นเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่มีประวัติกับตนเอง”

“แล้วการพาเรามาที่นี่  มันจะมีประโยชน์อะไร  เกมปีก่อนๆเขาพาไปที่บ้านร้างมีประวัติจริงๆ แต่กับเรามันไม่ใช่”

“มันอาจจะเป็นเหตุผลของการเก็บเราไว้ในเกม  เงินรางวัลที่เดิมพันเรามามันสูงกว่าปีก่อนๆ มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่เกมลงทุนขนาดนี้”

ปีนี้เกมเลือกที่จะเสี่ยงเอาชีวิตของพวกคุณมาอยู่ใกล้กับความจริงที่มากกว่าผม  เงินรางวัลพิเศษที่ถูกกำหนดมันไม่ได้มีมาเพื่อยกยอเรตติ้งรายการ แต่มันมีเพื่อสรรเสริญพวกคุณ หากจะต้องมาตายอยู่ภายใต้หลุมกัปดักที่ฆาตกรวางเอาไว้

คำพูดของไอ้ภพ  ซ้อนทับกับคำพูดของวิญญาณในฝันของผมได้อย่างพอดิบพอดี  ความจริงที่เป็นรูปเป็นร่างมาพร้อมกับฆาตกรที่ใกล้จะปรากฎตัวเต็มทน  ผมยืนเหงื่อซึมนิ่งด้วยความเครียด ก่อนที่จะเดินไปค้นหากระดาษที่ตนเองได้เคยเขียนเอาไว้เมื่อช่วงเที่ยง  เรื่องราวในความฝันของผมจะต้องถูกถ่ายทอดออกไปให้ไอ้ภพฟัง  เค้าลางความฝันกับความจริงที่ผมได้รับรู้มันกำลังจะนำพาเชือกที่ผูกผมไว้ให้คลายลง

“ภพ กูมีอะไรจะบอก  แต่กูคงต้องขอให้มึงเชื่อ  สิ่งต่อไปนี้มันเป็นสิ่งที่กูเห็นด้วยสายตากูเองทั้งหมดเหมือนกับมึง เพียงแต่ว่ามึงเห็นทุกอย่างในโลกของความจริง  แต่กู….เป็นโลกของความฝัน”

“หมายความว่าไง?”

“ลองอ่าน  ถึงมันจะดูเพ้อฝัน  แต่เชื่อสิ  มันช่วยพวกเราได้มากกว่าที่คิดแน่”

ไอ้ภพพยักหน้าแล้วจึงค่อยๆไล่สายตาไปตามบรรทัดที่ผมเขียนเอาไว้  เส้นคิ้วของมันจากที่เรียงตรงก็เริ่มขมวดงอมากขึ้นเรื่อยๆ  ผมไม่แปลกใจเท่าไรนักกับท่าทีที่มันแสดงออกเพราะผมก็เป็นแบบเดียวกับมันตอนที่มีโอกาสได้เห็นครั้งแรก  ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะก้มลงไปอ่านอีกครั้ง

จดหมายฉบับที่1 : กักกันอย่างหรรษา หรือ อิสระตลอดกาล

จดหมายฉบับนี้มีเนื้อความหมายถึงการต่อรองที่จะมีชีวิต  สำหรับผมนั้น การกักกันอย่างหรรษาคือสิ่งที่ผมตัดสินใจเลือก  ไม่ใช่เพราะว่ามันดีกว่าอีกอัน  แต่มันหมายถึงโอกาสที่ผมจะได้ต่อรองและหาหนทางเพื่อจะหนีจากเกมนี้  ข้อเสนอกักกันคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องก้าวขาเข้ามาอยู่ในอาณัติของเกมโดยที่ไม่รู้เลยว่าผมจะได้อิสระคืนมาเมื่อไร  แต่ถ้าหากผมเลือกอิสระตลอดกาลผมจะได้รับมันทันที อิสระที่หมายถึง  ความตาย

จดหมายฉบับที่2 : ตัวคนเดียว หรือ ครอบครัว

เนื้อความฉบับนี้ ไม่ได้มีทางเลือกให้ผมมากมายนัก  เพราะจุดประสงค์ของมันไม่ได้มีไว้ให้ผมเลือก  แต่มีไว้เพื่อขู่ผมหากเมินเฉยจดหมายก่อนหน้า  คนเดียวหรือครอบครัวค่อนข้างตรงตัวทางความหมาย ฉะนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่ผมจะต้องลากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพัน

จดหมายฉบับที่3 : Return if it possible

จดหมายวลีเดียวนี้  ผมไม่เคยได้มีโอกาสสังเกตเลยว่ามันมีความหมายแฝงอยู่ในนั้น  ครั้งแรกผมมองว่ามันคือประโยคขอร้องให้ผมกลับไปหาเขา  แต่มันไม่ใช่  ก่อนผมตายคำๆนึงมันก็วิ่งแล่นเข้ามาในหัวซึ่งก็คือ RIP นั่นจึงหมายความว่า  ไม่ว่าผมจะเลือกทางไหน  สุดท้ายปลายทางที่รออยู่ ก็มีเพียงความตาย

“การก้าวขาเข้าไปอยู่ในอาณัติของเกม  มันหมายถึงอะไร?”ไอ้ภพถามเสียงแผ่วด้วยความสงสัยและเครียดจัดจนปิดไม่มิด

ทีมงานไงภพ  เขาต้องกลับเข้ามาในเกมอีกครั้งในฐานะทีมงาน”

“แล้วเขาในที่นี้คือใคร?”

“เขาคือทีมงานที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ตลอดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา  จนกระทั่งเกมช่วงหลังๆ”

“ถ้าอย่างนั้น  เขาคนนั้นคือ…”ไอ้ภพยืนนึกถึงหน้าทีมงานหลายๆคนที่เคยเข้ามามีส่วนพัวพันกับการใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้  ก่อนที่สายตามันจะฉายแววตกใจออกมา  แล้วเริ่มถามผมด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน

“อืม  แม้จะไม่อยากให้เป็นจริง  แต่ทีมงานคนนั้นที่ช่วยเราไว้คือ คุณศตวรรษ

หนึ่งในอดีตผู้เข้าแข่งขันเกมนี้…ที่สุดท้ายชะตาชีวิตก็ไม่อาจรอดพ้นสิ่งที่เพรียกหา

สิ่งที่เรียกว่าความตาย



แสงอาทิตย์ทอผืนฟ้าด้วยแสงสีส้มยามเย็น  คลอเคล้าไปกับบรรยากาศแห่งเหมันต์ฤดูชวนให้กายาหนาวเหน็บ

ช่วงเย็นจวนจะค่ำยามนี้  ผมและไอ้ภพต้องเคลื่อนย้ายตัวเองลงมานั่งด้านล่าง เพราะต้องเตรียมตัวจัดแจงกิจวัติประจำให้เรียบร้อย อีกทั้งเสียงรถราและการเคลื่อนย้ายของที่ดังกระทบโสตประสาทก็ได้เรียกให้ผมลงมามองหาต้นเหตุแห่งความรำคาญใจนั่น  ก่อนที่จะต้องหยุดร่างกายตนเองไว้ที่บันไดขั้นสุดท้าย เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ากำลังสร้างภาพเหมือนกล่อมประสาทผมอีกครั้ง

กระดานดำรูปร่างคุ้นตาถูกยกเข้ามาตั้งเอาไว้ที่กลางบ้าน…ตำแหน่งเดียวกันกับในฝันเมื่อคืน

ไอ้ภพที่ลงมาช้ากว่าเล็กน้อยหยุดยืนตามผมก่อนที่จะมองหน้าถามหาข้อสังเกตที่เกิดขึ้น  ผมจึงส่ายหน้าให้มันเบาๆเป็นสัญญาณว่าไม่มีอะไรพิเศษ มันเลยดึงผมให้ออกจากตัวบันไดเพื่อที่จะได้พากันมานั่งต้อนรับบุคคลที่เป็นแขกของบ้านหลังนี้

“สวัสดีครับ ลุงมั่น” ไอ้ภพเริ่มทักทายแขกคนสำคัญของบ้านเป็นลำดับแรก

“อ้าวไอ้หนุ่ม  เป็นอย่างไรบ้าง  เพื่อนเอ็งฟื้นหรือยัง” ลุงมั่นตอบรับไอ้ภพด้วยอัธยาศัย ก่อนที่ผมจะได้ยินคำถามที่หมายความถึงตนเอง  ตรงนี้ลุงมั่นอาจไม่ได้ทันสังเกตเท่าที่ควรนัก  เพราะผมยืนหลบมุมซ้อนหลังไอ้ภพอยู่

“ฟื้นแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับลุง”ผมเดินออกมาจากหลังไอ้ภพ  และเลือกที่จะตอบคำถามนั่นแทน

“เฮ้ย หนังเหนียวนี่หว่า  ดีแล้วที่ฟื้น ลุงก็ใจหายใจคว่ำหมด นึกว่าจะต้องโดนบังคับออกจากเกมเสียแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงนะครับลุง  ผมไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไรครับ ตอนนี้อาจจะเพลียๆบ้าง แต่โอเคขึ้นเยอะแล้วครับ”

“ดีแล้วเกมคืนนี้จะได้ไม่ลำบาก  เมื่อคืนไอ้หนุ่มนี่มันก็ทำคนเดียว  ฟื้นขึ้นมาจะได้ช่วยกัน”

ผมหันไปมองใบหน้าไอ้ภพด้วยแววตาที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกผิดทันที  ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาจนผมไม่ทันตั้งตัวหรือเปล่า  ผมจึงลืมไปเสียสนิทเลยว่า เกมเมื่อคืน ผมนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ไม่ใช่ไอ้ภพจะได้นอนสบายด้วย  หากแต่มันต้องลงมาท้าทายทุกอย่างอยู่เพียงคนเดียว

ผมเลือกที่จะปล่อยให้ลุงมั่นเข้าไปจัดแจงกับภาระในครัวโดยที่ไม่เข้าไปกวน  ก่อนจะเดินจูงมือไอ้ภพมานั่งที่โซฟาบริเวณตู้หนังสือ  เตรียมคาดคั้นสิ่งที่มันทำเมื่อคืนนี้  แม้จะรู้กันว่าถึงไอ้ภพจะต้องทำคนเดียว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไอ้ภพเป็นแน่  แต่การที่เกือบทุกคืนผมได้เห็นวิญญาณมากมายเข้าถึงตัวไอ้ภพจนมันอึดอัด  ผมจึงต้องรีบถามมันเสีย เพื่อให้มันได้ระบายหรือบอกสิ่งที่อยากจะบอกกับผม

“เกมเมื่อคืน  มึงต้องทำอะไร?”

“ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก  ไม่มีอะไรด้วย สบายใจได้”

“ภพ บอกกูมา”

“เฮ้อ เกมเมื่อคืนกูต้องกางร่มในที่มืดพร้อมกับเปิดเพลงงานศพคลอบรรยากาศไปด้วย”

“มีแค่นั้นเหรอภพ  วิธีการเล่นหละ  มันให้เล่นยังไง”

“เกมเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเลยมิว  ไม่มีอะไรจนกูเองยังแปลกใจเลย  ไม่รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างดูง่ายไปหมด  ไม่มีเชิญวิญญาณ  ไม่มีจุดธูป  เกมให้กูแค่ยืนกางร่ม พร้อมกับหุบร่มโดยให้หัวกูอยู่ในนั้นและฟังเพลงงานศพ สามสิบนาที”

“มันผ่านไปง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พูดแล้วอย่าโกรธกูนะมิว  แต่ที่มันง่าย มันอาจจะเพราะเกมล่วงรู้อยู่แล้วว่าถ้ามันไม่มีมึง เกมก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องลงทุนอะไรอีก  ฝืนทำกูไปมันก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้เกมเท่ามันทำกับมึง  เมื่อวานเกมคงเอาหนังสือเข้ามาเปลี่ยนก่อนที่เราจะถึงตัวบ้าน”

“แล้วถ้าวันนี้กูยังไม่ฟื้นขึ้นมาหละ”

“เนื้อหาที่กูจะได้เล่นก็จะต้องเปลี่ยนไป  เชื่อกูสิเผลอๆกระดานดำนั่นเกมก็อาจจะไม่ยกมา”

ผมพยักหน้าเข้าใจในประเด็นที่ไอ้ภพต้องการจะบอก  ไม่โกรธในสิ่งที่มันต้องฝืนใจบอกกับผม  ยอมรับเลยว่าตั้งแต่ที่สลบไป ร่างกายของผมก็ยังไม่ถึงกับฟื้นฟูมีกำลังกายกำลังใจมากมายเท่าไรนัก  แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีกว่าในคืนก่อนๆ  รู้สึกกล้าที่จะยอมรับในคำสั่งของเกม  และรู้สึกพร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องราวที่เกมจงใจจะเปลี่ยนมัน

เมื่อลุงมั่นกลับไปผมกับมันก็รีบกินข้าวและรีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำบนห้องนอน  วันนี้ผมให้ไอ้ภพอาบก่อนเพราะต้องการที่จะนั่งนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยรับรู้มาตั้งแต่ต้นผ่านปากของคนหรือแม้กระทั่งวิญญาณ  ทบทวนทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อผมตัดสินใจขมวดรวมทุกอย่างแล้ว  มันจะต้องเกิดรูปร่างของฆาตกรตัวจริงขึ้นมา

ท่าทีของไอ้ภพยามเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูทุลักทุเลจนอดมองตามการเคลื่อนไหวนั่นไม่ได้  ไอ้ภพกำลังซ่อนอะไรบางอย่างภายใต้เนื้อผ้านั่นจากสายตาของผม  ไม่ใช่พึ่งจะสังเกตได้  แต่ตั้งแต่ผมฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ท่าทีที่ไอ้ภพแสดงออกมันเปลี่ยนไปจริงๆ  ผมจึงต้องแสร้งทำเป็นอ่านกระดาษบนมือไปพลางๆและจดจ่ออยู่กับผิวกายเนื้อละเอียดของไอ้ภพ

“ไอ้ภพ!!  นั่นรอยอะไร?”

ผมเหวลั่นเมื่อช่วงที่ไอ้ภพหันร่างกายด้านหน้ามายังเตียงนอนแบบลืมตัว  รอยช้ำเป็นปื้นก็ปรากฏแก่สายตาผมทันที  หนึ่งรอยประทับเอาไว้ที่หน้าท้องจนเขียวช้ำ  มันเป็นรอยขนาดใหญ่ที่ดูก็รู้ว่าเกิดจากการโดนทำร้าย  อีกหนึ่งรอยเป็นรอยช้ำๆขนาดไม่ใหญ่นักคล้ายรอยฟาดที่หน้าขาของไอ้ภพ ซึ่งทั้งหมดนี่อาจนำไปสู่การเดินที่เปลี่ยนไปของมัน

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ขอโทษนะแต่ พ่อมึงดิ!!  ไม่มีอะไรอ่ะ  รอยช้ำขนาดนี้ให้เด็กอนุบาลดูมันยังรู้ว่ามึงโดนซ้อมมาอ่ะ  บอกกูมาใครทำ  ทีมงานใช่ไหม?”

“ช่างมันไปเถอะ  ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย อย่าไปคั้นให้มากนัก”

“ที่มึงบอกทีมงานรู้แล้วว่ามึงออกไปข้างนอก  แต่เขาไม่ทำอะไรนี่มันเพราะไอ้รอยบ้านี่ใช่ไหม?”

“มิวใจเย็นๆก่อน  ทีมงานมันไม่ทำอะไรกูจริงๆเรื่องออกไปข้างนอกนั่น  แต่ที่มันทำเป็นเพราะ…”

“เพราะอะไร  มึงจะหยุดทำไมวะ  คนเป็นห่วงเนี่ย จะหยุดทำไม”

“เฮ้อ  มันเป็นเพราะมึงนั่นแหละ”

“ทำไม?  บอกกูมา  ถึงจะเป็นเพราะกูก็ต้องบอกเหตุผล”

“อืม  จำทีมงานกลุ่มที่เคยจะมาเอากูออกจากเกมได้ไหม  คราวนี้มันกลับมาเพื่อที่จะเอามึงออก  ตามกฎ จริงๆแล้วการที่มึงสลบไปนั่นหมายถึงมึงแพ้เกมนี้ไปแล้ว  แต่ว่ากูกลัว  กูไม่รู้ว่าถ้ามันลากมึงออกไป ตัวของมึงจะถึงบ้านจริงๆหรือเปล่า เราต่างก็รู้ว่าคนที่ออกจากเกมไปก่อนมันมีจุดจบยังไง  กูถึงไม่กล้าปล่อยมึงไป ยิ่งมึงสลบแบบนี้  เกิดมึงต้องตายขึ้นมา  ข้ออ้างจำนวนมากมายมันจะถูกยกขึ้นมากลบความจริง  เรื่องราวนอกเหนือการมองเห็น  มันสามารถปั้นแต่งไปได้หลายแบบนะมิว”

“ล…แล้วมึงทำยังไงต่อไอ้ภพ”

“กูต่อยพวกมันไปเพราะพวกมันพยายามจะลากมึงออก  ทีนี้กูเลยโดนพวกมันรุมซ้อมที่ตัว  ฉลาดดีไหม ไม่ทำกูที่หน้าเพื่อไม่ให้เกิดรอย  รอยที่ขานี่ก็โดนร่มที่กูใช้เมื่อคืนฟาด  กูยอมโดนโดยไม่ตอบโต้ เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างว่าถ้าพวกมันเอาตัวมึงไป  กูจะฟ้องทุกคนว่าทีมงานทำร้ายกู”

“ฮึก ขอโทษนะ  กูขอโทษจริงๆ  ถ้ากูเข้มแข็งมาตั้งแต่แรกมึงก็ไม่เป็นแบบนี้แล้วไอ้ภพ”ผมปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมา  ความรู้สึกผิดถาโถมจนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง

“มึงไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะมิว  ที่มันต้องเป็นแบบนี้ มันก็เกิดจากการตัดสินใจกูทั้งนั้น  ที่กูปิดมึงไว้ก็เพราะไม่อยากให้มึงเป็นอย่างนี้ไง  ตอนนั้นกูไม่รู้ว่ามึงจะฟื้นเมื่อไร กูถึงกล้าทำ”

“เจ็บมากไหม?”ผมเอื้อมมือไปสัมผัสรอยช้ำพวกนั้นอย่างเบามือที่สุด  แม้มันจะไม่ได้เกิดกับตัวเอง  แต่ก็พูดได้เต็มปากว่ามันก็สร้างความเจ็บให้ผมได้ไม่แพ้กัน

“หืม รอยพวกนี้เหรอ  ไม่เจ็บหรอก  ไม่เจ็บเลยสักนิด”

“ไม่ต้องโกหกหรอกภพ  เจ็บคือเจ็บ มันก็หนึ่งในความรู้สึกแค่นั้นอยู่กับกูไม่ต้องปกปิดอะไรทั้งสิ้น”

“กูพูดความจริง กูไม่ได้รู้สึกเจ็บ  แต่ถ้ากูต้องตัดสินใจปล่อยมึงไป แล้วมารู้ทีหลังว่าสุดท้ายมึงกลายเป็นศพอีกรายจากเกมนี้ นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้กูเจ็บที่สุด  รู้ไหม”

“อืม”

“หยุดร้องได้แล้วนะ รายการนี้ไม่มีค่าพอให้เราต้องทิ้งน้ำตาด้วยแล้ว”

หลังจากปรับความเข้าใจกันทั้งหมด  ผมกับไอ้ภพก็รีบไปอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจกันไว้ตั้งแต่ทีแรก  แล้วจึงได้พากันเดินลงมายังด้านล่างของบ้านหลังนี้อีกครั้งเพื่อที่จะหยิบหนังสือเล่มที่สิบสองของเกมนี้มาเปิดอ่าน

เมื่อหยิบจับหนังสือมาเปิดดู  วัตถุจำนวนสามชิ้นก็หล่นลงมาจากหนังสือ  โดยที่สองชิ้นแรกเป็นเพียงกระดาษใบเล็กๆในมือที่มีเพียงวันที่เขียนเอาไว้  ซึ่งถ้าดูดีๆจะพบว่า ตัวเลขเหล่านั้นระบุถึงวันที่ในอีกสามวันต่อจากนี้  ส่วนวัตถุชิ้นที่สามที่แนบมาคือแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นที่ไม่ได้เขียนอะไรบอกไว้เลย   สร้างความฉงนให้กับพวกผมสองคนนัก  เนื้อความข้างในเลยกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องอ่านต่อ

ตัวเนื้อหาหลักบอกกับผมว่า  เกมคืนนี้ที่ผมต้องทำคือการนำชื่อของบรรดาเหล่าคนตายที่ระบุเอาไว้ในหนังสือ มาเขียนลงบนกระดานดำที่ได้รับ  พร้อมกับเปิดแผ่นเสียงเพลงปี่พาทย์มอญที่ไอ้ภพได้มาเมื่อคืนคลอไปด้วย แต่ก่อนหน้านั้น  สิ่งที่ผมจะทำเป็นอันดับแรกคือการนำแผ่นซีดีที่แนบมาไปเปิดฟัง  แล้วจึงนำน้ำที่ได้จากการไปวัดทั้งเก้ามาทำพิธีปลุกวิญญาณพร้อมกับบทสวดที่ได้เขียนไว้ชัดเจนในหนังสือ

ปลุกวิญญาณ…คือคำสั่งที่ตอบทุกโจทย์ของข้อสงสัยเรื่องน้ำทั้งเก้าวัด

“ไอ้ภพ  เรื่องน้ำของวัดที่9…มึงจัดการยังไง?”ผมตัดสินใจถามไอ้ภพ  เพราะจำได้ว่าคืนนั้นผมไม่ได้น้ำกลับมาอย่างที่เกมสั่ง 

“ก็น้ำของกูไง  ถึงมึงไม่ได้น้ำกลับมาแต่ของกูก็มี  เกมเลยไม่ได้ว่าอะไร”

“อย่างนั้นเหรอ  โชคดีไปเลย”

“มิว…วันนั้นที่ไปหาน้ำ  มึงไปหาที่ไหน  ทำไมกล้องของมึง ถึงไปตกอยู่ในป่าช้า”

“กูไปหาน้ำในป่าช้านั่นไง  แต่รู้ไหม คืนนั้นมึงเจอผีนะภพ  พระที่มึงว่าคือวิญญาณที่นำทางกูไปหาบ่อน้ำในป่า  กูถึงกล้าที่จะเดินเข้าไป”

“แล้วบ่อน้ำอยู่ตรงไหน?”

“ก็ตรงที่ทำกล้องตกนั่นแหละภพ ทำไมอีกหละ  จะบอกว่าตรงนั้นมันไม่มีบ่อน้ำเหรอ”

“เปล่าหรอก  แค่จะถามว่ามึงเข้าไปเอาได้ยังไง  บ่อน้ำที่กูเห็นมันมีแต่อะไรไม่รู้รอบบ่อ  อีกอย่างตรงปากบ่อมันก็ถูกปิดไปแล้วด้วย  เพราะเคยมีพระในวัดนั่นแหละไปฆ่าตัวตายตรงนั้น”

“มึงรู้ได้ไง”ผมหันขวับมองหน้าไอ้ภพอย่างรวดเร็ว  เพราะข้อมูลตรงนี้ไอ้ภพไม่น่าจะรับรู้ขึ้นมาได้

“มิว  นี่คือสิ่งที่กูต้องพูด  แต่คืนนั้นกูไม่ได้เจอผี  ตอนเช้ากูย้อนกลับไปทางนั้นอีกครั้งเพราะไม่เห็นกล้อง  พระที่บอกกูเมื่อคืนท่านกำลังจะไปบิณฑบาตพอดี  ท่านเลยคิดว่ามึงต้องเข้าไปในป่าแล้วนำทางกูเข้าไปหยิบกล้องมาได้”

ความจริงข้อใหม่ที่ได้รับจากไอ้ภพ  ตีแสกหน้าผมจนรู้สึกมึนไปหมด ความเข้าใจที่ฝังหัวผมมาตั้งแต่ตอนนั้นกลายเป็นเรื่องโกหกหมดทุกอย่าง  ผมไม่เคยได้เจอพระรูปนั้นแบบไอ้ภพมาตั้งแต่แรก  วิญญาณที่นั่นนำทางให้ผมเข้าสู่ดินแดนที่คนเป็นไม่มีทางได้เข้าตั้งแต่ผมเดินออกจากอุโบสถวัด

“มิว ปัญหาใหญ่อีกหนึ่งอย่างของมึงตอนนี้  มันคือการที่มึงแยกคนเป็นกับวิญญาณไม่ได้  เรื่องที่เกิดที่อื่นกูจะไม่นำมาพูด  แต่วันสุดท้ายที่เราต้องไปหาน้ำ  ระหว่างทางมึงเอาแต่มองรอบกายมึงตลอด  ปากก็บ่นว่าอยากกินขนมในร้านนั้นบ้าง  อยากออกมาเดินแบบคนอื่นเขาบ้าง  แต่รู้ตัวไหม  ทุกครั้งที่กูมองตามสายตาของมึงออกไป  กูไม่เคยเห็นอะไรอย่างที่มึงว่าเลย”

“อ…อืม  ช่างมันเถอะ คราวหลังกูจะระวัง  แต่คราวนี้มาเล่นเกมก่อน”

ผมทำตัวไม่ถูกทันทีหลังจากที่ไอ้ภพพูด  นอกเสียจากบอกปัดให้ไอ้ภพสบายใจเรื่องนี้แล้วเริ่มเกมที่ต้องดำเนินภายในคืนนี้เสียที   จิตใจของผมตอนนี้รู้สึกจะบอบช้ำขึ้นมาบ้าง  แต่เพราะความกลัวว่าหากไอ้ภพเผยให้ผมรับทราบความจริงข้ออื่นที่อาจจะมากกว่านี้อีก  ตัวผมเองนั้นอาจจะทนรับสภาพไม่ได้และกลับกลายไปเป็นคนแบบเดิม

“ถ้าอย่างนั้น  กูเดินไปปิดไฟกับเตรียมเทียนแล้วกัน  มึงก็ไปเปิดซีดีแผ่นนี้”  ผมพยักหน้ายอมรับคำสั่งไอ้ภพ  ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ 

ไอ้ภพเดินไปจุดเทียนของบ้านในตำแหน่งเดิมๆเหมือนอย่างเคย  หลังจากนั้นมันก็เดินไปปิดไฟก่อนจะเดินไปยืนรอตรงกลางบ้าน  ส่วนผมก็นำแผ่นซีดีที่ได้รับมาไปเปิดกะจะให้ดังลั่นทั่วบ้าน  แต่จนแล้วจนรอดผมก็ได้ยินแต่เสียงการเล่นของเครื่องเล่นเทป  ไม่มีเสียงใดๆออกมาจากตัวซีดีเลย  ไอ้ภพเลยเรียกให้ผมเดินกลับไปยังกลางเทียนและปล่อยให้ซีดีเล่นไปอยู่อย่างนั้น

แต่ทว่า  เพียงแค่หันหลังมาได้ไม่ทันไร  ซีดีที่เล่นก็เริ่มส่งเสียงการสนทนาบางอย่างออกมา

มันเป็นบทสนทนา ที่ทำให้เลือดในกายของผมและไอ้ภพสูบฉีดอย่างรุนแรงด้วยความตระหนกและหวาดผวา

และยังเป็นบทสนทนา  ที่เปรียบดั่งคำทักทายแรกจากผู้กุมชะตาชีวิตของเราทั้งคู่เอาไว้…

“เดี๋ยวครับคุณมิว”

“มีอะไรหรอครับ?”

“ฝากย้ำกับคุณเอกภพอีกทีด้วยนะครับ เรื่องกฎและกติกาให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ”

“ได้ครับ”

“ผมขอเตือนอีกอย่างนะครับคุณมิว อะไรที่คุณสงสัยได้โปรดเก็บไว้จนจบเกมด้วยครับ อย่าพยายามหาข้อสงสัย หรือ หาความเป็นไปได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งคุณหาสิ่งที่คุณจะพบคือทางตันของชีวิตคุณเองนะครับ”

“Good Luck ครับคุณมิว”


แปะ แปะ แปะ…

“ทำงานดีเหลือเกินนะ…ศตวรรษ”






*************************************************TBC****************************************
เอาภพมิวมาส่งแล้วครับ!!!  วันนี้มาเร็วกว่าปกติหน่อยเพราะผมต้องออกไปอ่านหนังสือสอบข้างนอกครับเลยไม่แน่ใจเวลากลับ
ตอนนี้คงเป็นอีกคอนที่หลายคนถามหา  และก็เป็นอีกตอนที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ดูเป็นสืบสวนขึ้นมาบ้าง555
ขอขอบคุณทุกเสียงตอบรับ คำติชม และการแชร์นิยายผมนะครับ  ผมดีใจมากที่เรื่องนี้สามารถทำให้ใครหลายๆคนมีความสุขและรู้สึกสนุกไปกับการใช้ชีวิตของภพมิว
เอาหละ  ชีวิตของภพมิวก็เริ่มเข้มข้นขึ้นไปทุกที  หลายคนถามผมว่าตอนจบจะดราม่ามั้ย  เอาเป็นว่ารอลุ้นดีกว่าเนอะ :)
เหมือนเดิมนะครับ  ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลใดๆสามารถบอกผมได้นะครับ
เข้ามาทักทายหรือพูดคุยกันได้ทั้งในเว็บนี้และใน #Nightmaregame นะครับ  ผมอ่านทุกคอมเมนต์เลยแล้วเดี๋ยวว่างๆจะนำมาตอบให้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
มันมาแหล่วววววว อืออออออออออออออออออออออออออออออออออออ :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ JACKSON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ใกล้แล้วๆๆๆ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอยยยย ตอนนี้ไม่น่ากลัว แต่ลุ้นนนนน

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
สงสาร ศตวรรษ ไม่น่าเลย TT

เด็กคนนั้นกลายเป็นโรคจิต เพราะครอบครัวตัวเอง เลยต้องมาลงกะคนทั่วไปสินะ

ขอให้เปิดโปงได้เร็วๆ รีบมานะครับ รอๆ

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ว้าวๆ เริ่มเข้าหมวดสืบสวนสอบสวนแล้วว :katai2-1:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ผีว่าน่ากลัวแล้ว คนเบื้องหลังน่ากลัวกว่า ฮือๆๆๆ จากนิยายผี กลายเป็นนิยายสืบสวยฆาตรกรโรคจิตไปละ  :ling3:
ทีมงานอีกคนที่ทำท่าเป็นห่วงแต่ไม่ค่อยแสดงออกน่าจะเป็นคนที่สนิทกะศตวรรษ แล้วพอรู้ว่าเพื่อนตัวเองตาย เลยพยายามช่วยมิวกะภพสินะ

เอาจริงๆนะ มิวเห็นผี ดึงดูดผี ถึงขั้นสติแตก แต่เฮียภพเนี่ย ไม่รุ้ทำบุญด้วยอะไรแต่แบบ โชคดีเกิ๊นนนน ไม่เห็นไรเลย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นี่เราเลิกกลัวผีแล้ว กลัวคนที่อยู่เบื้องหลังเกมนี้เนี่ย  :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด