เสียงอีกาดังโหวกเหวกลั่นลานวัด ขานตอบรับ เสียงทัก ของวิญญาณ ถึงจะบอกกับผมว่าป่าช้าอยู่นอกตัววัด นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเบาใจขึ้นมาได้เลย สภาพของวัดป่าแห่งนี้มีเพียงใบไม้แห้งกองใหญ่ๆ หล่นเรียงรายเกลื่อนกลาดคั่นเขตวัดและเขตป่าช้า มีต้นไม้สูงใหญ่ห้อมล้อมตัววัดเอาไว้ทุกทิศทาง จึงเท่ากับว่าตอนนี้ผมและไอ้ภพกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหลุมศพของคนตายและมีรูปปั้นเปรตสูงทัดเทียมต้นตาลเป็นอุปกรณ์ประกอบละครฉากหลอนเรื่องนี้อยู่หนึ่งตัว
ผมกับมันยืนทำใจกันอยู่นานพอสมควรจนไม่ได้สังเกตเลยว่า รอบๆกายของผมเปลี่ยนจากเวลาเย็นเป็นค่ำมืด จนเสียงร้องสุดท้ายของอีกาหายไป สัญญาณของการเริ่มต้นเกมส์จึงได้เริ่มขึ้น ผมกับมันใช้เวลาช่วงหนึ่งเดินสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างภายในวัดป่าแห่งนี้ ใช้สายตามองผ่านม่านแสงจันทร์เพื่อหาแหล่งน้ำอย่างในวัดที่ผ่านๆมา วิธีนี้อาจช่วยร่นระยะเวลาการหาน้ำของแต่ละคนให้น้อยลงได้ ยิ่งเวลาน้อยมากเท่าไร ความปลอดภัยของผมยิ่งมากเท่านั้น
ถ้าเวลานี้ผมอยู่ที่บ้าน ผู้ชมรายการหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพวกผม ไม่เดินไปหาพร้อมกันตามปกติ แต่แค่แกล้งทำเป็นให้อีกคนเดินตามหลังอย่างเบาที่สุด เท่านี้ พวกผมก็ไม่ต้องเดินแยกกันแล้ว ประเด็นตรงจุดนี้สามารถขยายให้ดูได้ทันทีว่า หากมีผู้ชมรายการเห็นผมเล่นเกมส์อยู่จริงๆ มีหรือที่เกมส์จะไม่เห็น ดังนั้นพวกผมจึงไม่มีสิทธิ์ใช้กลโกงอะไรได้เลยเพราะเราไม่เคยรู้เลยว่าเกมส์จะเล่นสกปรกซ่อนกล้องไว้ตรงไหนอีกหรือเปล่า
“เปรต คือวิญญาณที่เกิดจากกรรมทำร้าย ด่าทอ หรือว่าให้พ่อแม่ ผู้มีพระคุณต้องเจ็บช้ำ”ป้ายขนาดเล็กใต้ฐานรูปปั้นเปรต ถูกอ่านขึ้นจากปากของผมผ่านแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากกุฏิด้านหลัง ซึ่งถือว่าเป็นเพียงอย่างเดียวที่ยังทำให้ผมอุ่นใจที่จะเล่นเกมส์ต่อ แสงนั่นให้ความสว่างมาจนถึงจุดที่รูปปั้นเปรตนี้ตั้งอยู่ อาจจะไม่ได้ถึงกับชัดมาก แต่มันก็ยังพอให้ผมเห็นอะไรต่อมิอะไรมากพอสมควร ไม่เช่นนั้น ปากเท่ารูเข็มของเปรตคงไม่ปรากฏแก่สายตาของผม
“ไปที่อุโบสถหน้าวัดกันเถอะ จะได้เริ่มกันเลย”
หลังจากยืนงมเส้นทางชีวิตอยู่นาน ไอ้ภพก็เปิดปากชวนผมให้กลับไปยังสถานที่พักกายรอเวลาเริ่มหาน้ำ รอบๆกายผมตอนนี้รายล้อมไปด้วยความมืดสนิท เพราะแสงจากหลอดไฟนีออนที่เคยส่องสว่างมาได้ดับสิ้นลงไปหมดแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอาบใบหน้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้ผมเดินฝ่าความมืดมิดนี่ออกไปได้บ้าง แต่ก็แค่แบบสลัวๆ ดังนั้นแสงของธรรมะที่ไอ้ภพนำผมสวดจึงเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยนำทางสู่แหล่งน้ำที่ต้องการโดยเร็วที่สุด
“ขอให้ผมหาน้ำที่รายการต้องการเจอโดยเร็วที่สุดด้วยเถิดครับ สาธุ”
“มิว เอากล้องมา เดี๋ยวกูจะออกไปหาให้ก่อน มึงก็นั่งรออยู่ในนี้นะ ถ้าได้เห็นหรือได้ยินอะไร ไม่ต้องไปสนใจ”
เมื่อสิ้นสุดการสวดมนตร์ขอกำลังใจ ไอ้ภพก็ไม่รอเวลาให้เสียไปมากกว่านี้อีก มันรีบคลานเข่าเข้าไปกราบไหว้พระประธานตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจตนเองลึกๆและเดินถือกล้องวีดีโอออกไปเงียบๆ
เมื่อไอ้ภพเดินออกไปจากอุโบสถหลังนี้ ความเงียบเหงาและวังเวงก็คืบคลานเข้ามาหาผมทีละน้อย เสียงฝีเท้าไอ้ภพที่เดินไกลออกไป ค่อยๆนำพาเอาความรู้สึกบางอย่างกลับเข้าสู่ตัวผม ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังกลัวหรือกังวลอะไรอยู่กันแน่ระหว่างผีกับคน ลางสังหรณ์บางอย่างย้ำเตือนใจให้ผมดิ้นเร่าอยู่เป็นระยะ มันเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากสัมผัส ไม่อยากรู้สึก
ลางสังหรณ์ที่ร้องเตือนขึ้นมาดั่งไซเรนว่า…
กำลังจะมีคนตายหน้าต่างของอุโบสถที่ติดตั้งไว้รอบๆด้าน สร้างความระแวงในใจให้ผมอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นภาพใบไม้ไหว เสียงใบไม้แห้ง หรือจะแค่เสียงกุกกักของหน้าต่างล้วนทำให้ผมใจหายได้ทั้งสิ้น วัดที่นี่มีความแปลกอีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจ นั่นคือในยามวิกาลเช่นนี้ ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาปิดอุโบสถ ทำไมถึงกล้าปล่อยให้พระประธานที่หล่อด้วยทองคำอย่างดี ตั้งเป็นศรีสง่าล่อตาล่อใจมารศาสนาอยู่หน้าวัดแห่งนี้ได้
เวลาแค่กว่ายี่สิบนาทีหลังจากไอ้ภพออกไป ตะกอนความสงสัยมากมายก็ถูกผมกวนจนขุ่น ยิ่งไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าของไอ้ภพที่เดินกลับมายิ่งทำให้ผมรู้สึกตกใจและไม่คาดคิดว่า มันจะใช้เวลาเพียงเท่านี้ในการหาสิ่งที่รายการสั่งให้ทำได้ ขนาดในวัดที่ผ่านๆมา ผมกับมันหากันในช่วงกลางวัน ยังกินเวลาไปไม่น้อย แถมยังต้องคอยถามคนในบริเวณรอบๆอีกด้วย
“ภพ นั่นมึงจริงๆใช่ไหม? ทำไมกลับมาเร็วจัง” ความไม่แน่ใจในภาพที่เห็น ก่อเกิดคำถามชวนให้คนฟังคิ้วกระตุกขึ้นมา
“เออดิ กูเองจะเป็นใครไปได้หละ”
“แล้วทำไมมึงถึง…”ผมอึ้งไปได้สักพัก ก่อนจะเริ่มเบนสายตาไปจดจ้องอยู่กับถุงน้ำบนมือไอ้ภพ
“น้ำนี่อ่ะนะ ตอนกูเดินย้อนกลับไปทางด้านหลังวัด มีพระของวัดนี้นี่แหละ ท่านออกมาเจริญกรรมฐานข้างนอก กูเลยเดินเข้าไปถาม ตอนนี้กูยังรู้สึกบาปอยู่เลยที่เข้าไปขัดท่านขณะเดินจงกรม”
“จริงอ่ะ มีพระอยู่จริงๆหรอ โล่งอกไปที กูก็นึกว่าจะต้องออกไปหาคนเดียวแล้วซะอีก”
“อืม มึงก็รีบไปสิ เดี๋ยวพระรูปนั้นจำวัดก่อน ส่วนบ่อน้ำนี่อยู่แถวพระท่านนั่นแหละมิว ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด”
ผมรับกล้องมาจากมือไอ้ภพ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกไปนอกอุโบสถ ช่วงก่อนที่จะก้าวขาผ่านธรณีประตู ผมได้ทำการหันไปหาความมั่นใจจากไอ้ภพอีกรอบ เพราะสังหรณ์ใจแปลกๆที่ผมรู้สึกว่าเกมส์นี้มันง่ายไป ทำให้ผมไม่มั่นใจเลยว่าไอ้ภพจะถูกควบคุมโดยฝีมือใครหรือเปล่า และเมื่อเห็นมันทำหน้ายกคิ้วขึ้นเชิงสงสัยตามรูปแบบของมัน ผมถึงได้ตัดสินใจก้าวผ่านประตูออกไปเพื่อที่จะได้จบเกมส์ตรงนี้เสียที
ลมเย็นๆของตอนกลางคืน พัดโชยเอากลิ่นของป่าช้าผ่านเนื้อแขนผมไปจนขนลุกชัน บรรยากาศวังเวงและกลิ่นอายแห่งความตายในป่ารอบตัวผมกำลังส่งสัญญาณการจับจ้องกลับมาจนผมต้องตั้งสติตนเองให้นิ่ง ดวงตามรณะของผมมันกำลังรับสัญญาณจากคนตายเหมือนอย่างที่ผ่านมา ฉะนั้นผมจึงต้องแสร้งเป็นไม่รู้ไม่เห็น และจดจ่อไปที่จีวรสีส้มเหลืองตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว
“นมัสการครับหลวงพ่อ”ผมนั่งลงบนพื้นกราบพระภิกษุตรงหน้าด้วยท่าทีสำรวม
“อ้าว ยังมีอีกคนอย่างนั้นหรือ มาทำอะไรในวัดนี้กันหละ”
“คือ รายการบอกผมให้มาหาน้ำที่ต้องชักรอกขึ้นจากบ่อในวัดนี้ครับ เขาจะมารับผมอีกทีในตอนเช้า ผมเลยต้องรีบหากันไว้ก่อน”
“รายการปล่อยให้โยมสองคนมากันตอนกลางคืนเหรอ เขาไม่รู้เลยหรือว่าวัดนี้พระด้วยกันเองก็อยู่แทบไม่ได้เหมือนกันนะ”
“รายการทราบครับ เพราะเหตุนั้นผมถึงถูกโยนมาที่นี่ ผมอยากรู้ว่าจะหาน้ำแบบนั้นได้จากตรงไหนหรอครับหลวงพ่อ”
“อยู่ตรงนั้นไง”
นิ้วชี้ของพระภิกษุน่าเลื่อมใสตรงหน้า ชี้ไปยังโอ่งดินรองน้ำฝนขนาดใหญ่ที่อยู่เกือบจะสุดเขตวัด ในคราแรกผมถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมไอ้ภพถึงกล้าเดินไปเอาน้ำจากในนั้น แต่เมื่อได้ลองทบทวนดูแล้ว น้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติยังได้รวมไปถึงน้ำฝนด้วย ดังนั้นผมจึงไม่รอช้าที่จะลุกเดินออกไปรองน้ำในโอ่ง
“เดี๋ยวโยม”
“ครับ?”
“นั่นโยมจะไปไหน ที่อาตมาชี้ไปไม่ได้อยู่ตรงโอ่งนั่นนะ อาตมาหมายถึงโยมต้องเข้าไปในป่าช้า โยมคนเมื่อกี้ที่เดินมา อาตมาไม่ทันได้สังเกตเลยบอกเขาไปไม่ทัน”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
เหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลซึมออกมาทันทีหลังจากพระรูปนั้นพูดจบ ผมหันกลับมาจ้องไปยังความมืดมิดในป่าด้วยแววตาที่สั่นไหว สัมผัสของดวงตาผม มันไม่ได้มองเห็นเพียงพื้นที่โล่งๆและความมืด แต่มันยังจับสัมผัสการเคลื่อนที่บางอย่างภายในนั้นได้ ความกลัวที่เกิดจึงบีบให้ผมก้าวขาเดินต่อไปไม่ได้ และไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาพระภิกษุที่เดินเข้ามาหาทางด้านหลัง
“กลัวหรือไงโยม”
“ค…ครับ ผมกลัว”
“ถ้าอย่างนั้น ตามอาตมามาก็แล้วกัน เดี๋ยวอาตมาจะพาโยมไปเอง”
ความใจดีของพระรูปนั้น เปิดกรุความอบอุ่นภายในใจของผมออกมาจนแทบร้องไห้ ผมไม่รู้ว่าท่าทีที่ผมแสดงออกไปจะสร้างภาพขำขันไปมากน้อยเพียงใดหากคนได้เห็น ผมรู้แค่ว่าผมโล่งใจจนเข่าแทบทรุดลงไปกับพื้น น้ำหูน้ำตาซึมออกมาอย่างเก็บไว้ไม่มิด ก่อนจะรีบก้าวขาตามหลวงพ่อเข้าไปในป่าช้าด้านข้างวัด
ในป่าช้าแห่งนี้ พื้นที่ไม่ได้รกชัฏอย่างที่ผมคิด ที่ทางของมันถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน ทางเดินโล่งเตียนถูกถางเอาไว้เป็นแนวตรงระหว่างต้นไม้ในป่าทั้งสองข้าง และไม่น่าเชื่อว่า ป่าแห่งนี้จะมีพื้นที่มากมายมหาศาลเพราะยิ่งผมตามหลวงพ่อเข้ามามากเท่าไร เมื่อมองกลับไปผมก็ยิ่งไม่เห็นตัววัด รอบกายสัมผัสได้แต่ความมืดและการเคลื่อนไหวแปลกๆที่สั่งให้ผมมองแต่เพียงจีวรสีเหลืองอย่างเดียว
“สวัสดีครับ ผู้ชมรายการทุกคน วันนี้ผมถูกสั่งให้มาหาน้ำในวัดป่าแห่งนี้นะครับ ผมเชื่อว่าภาพที่ถูกถ่ายไว้ยังไงทุกคนก็มองไม่เห็น เอาเป็นว่าฟังแต่เสียงนะครับ ผมกำลังเดินเข้ามาในป่าช้า เพราะเบาะแสที่ผมได้มา คาดการณ์เอาไว้ว่าบ่อน้ำแบบนั้นถูกสร้างเอาไว้ในป่านี้นี่เอง ผมขออนุญาตไม่ถ่ายต่อนะครับ ไว้พบกันตอนที่ผมออกจากป่าแล้วดีกว่านะ ฝันดีครับ”
“โยมเคยเข้ามาในป่าช้าตอนกลางคืนไหม?”หลังจากที่ผมอัดวีดีโอเสร็จ หลวงพ่อที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ถามคำถามขึ้นมาทำลายความเงียบและความวังเวงในป่าแห่งนี้
“ไม่เคยหรอกครับ มันไม่ใช่ที่น่าเข้ามาสักเท่าไรในยามวิกาล” พูดจบเสียงหัวเราะของหลวงพ่อก็ดังก้องกังวานจนผมสะดุ้ง คำพูดแบบไม่คิดของผมคงไปสะกิดอารมณ์ขันของหลวงพ่อเข้า ผมเลยต้องหัวเราะแบบแห้งๆตอบรับหลวงพ่อกลับไป
“ไม่หรอก ชีวิตคนเราควรเข้ามาในที่แบบนี้ในตอนกลางคืนนะ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่เรียนรู้ชั้นดี มันสามารถสอนให้โยมยอมรับความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ได้ และไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ สิ่งที่โยมเห็น พวกนั้นก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน เพียงแต่กรรมที่เขายังยึดติด ไม่สามารถทำให้เขาไปเกิดกันได้”
“หลวงพ่อ…รู้ได้ยังไงครับ”
“ท่าทีแลซ้ายแลขวา ระแวงตลอดเวลาของโยมนั่นไง ที่บอกอาตมาทุกอย่าง อาตมาบวชมาหลายพรรษา สิ่งพวกนี้อาตมาก็รับรู้แต่ไม่สนใจ เพราะนั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ ในป่าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือจะบนต้นไม้ เขาก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ ไม่ต้องกลัวไปหรอก เขาทำอะไรเราไม่ได้แน่ๆ”
คำว่าซ้าย ขวา หน้า หลัง ของหลวงพ่อ ชักนำให้ผมต้องเพ่งเล็งไปยังทิศทางตามนั้น การที่หลวงพ่อพร่ำบอกว่าหลวงพ่อก็รับรู้และเห็นในสิ่งที่ผมเห็น สร้างความมั่นใจบางอย่างในตัวผมขึ้นมาจนกล้าที่จะหันไปเผชิญบรรดาสัมภเวสี และเป็นอย่างที่หลวงพ่อบอกทุกประการ เมื่อไม่ว่าผมจะหันไปทางไหน สายตาของผมก็ต้องเข้าไปปะทะกับรูปร่างของมนุษย์ในความมืดอยู่ทุกครั้ง และเห็นชัดที่สุดคือบนต้นไม้ เพราะเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปดู วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้มลงมาสบตากับผมอยู่ก่อนแล้ว และสบตาผมไปเรื่อยๆตามต้นไม้ทุกต้น จนกลายเป็นผมเองที่มองต่อไปไม่ไหว เพราะรู้สึกกลัวกับใบหน้าคนตายขึ้นมา
“เอาหละ ถึงแล้วนะ เดี๋ยวอาตมาจะช่วยชักรอกขึ้นมาให้ละกัน โยมไม่ชินพื้นที่เดี๋ยวจะตกลงไปเสียเปล่า”
“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”
เสียงเชือกสีกับเหล็กสนิมดังบาดแก้วหูของผม เสียงนั่นก่อให้เกิดความสนใจในภาพตรงหน้ามากขึ้นจนผมต้องขยับเข้าไปดูใกล้ๆบ่อ เชือกบนมือหลวงพ่อค่อยๆกองทับกันอยู่บนพื้นมากขึ้นเรื่อยๆตามการดึง จนเมื่อด้านบนของถังน้ำลอยขึ้นมากระทบสายตา ตัวถังก็หลุดออกจากเชือกไปเสียดื้อๆ ตกลงไปยังพื้นน้ำด้านล่างเสียงดังตูมใหญ่จนเกิดความโกลาหล เพราะบ่อลึกมากขนาดนั้นผมคงไม่มีทางที่จะเอื้อมลงไปเก็บได้แน่นอน
“ทำไงดีครับ หลวงพ่อ ผมไม่ได้หยิบถังสำรองมาเลย ตรงแถวๆนี้มีถังสำรองไหมครับ”
“เดี๋ยวอาตมาจัดการให้”
“ตรงนี้มีถังใบใหม่หรอครับ? อยู่ตรงไหน? เดี๋ยวผมไปหยิบให้น่าจะเหมาะสมกว่าครับ”
ผมใช้ปากถามหลวงพ่อไปพร้อมกับการที่ใช้สายตามองหาถังน้ำใบใหม่ไปเรื่อยๆ ยอมรับจากความรู้สึกเลยว่าผมไม่ได้ใช้สายตาเปิดกว้างเต็มพิกัด เพราะเมื่อหันไปมา แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเห็นก็ยังคงเป็นวิญญาณที่สร้างความกลัวให้กับผม การกวาดสายตาไปอย่างรวดเร็วจึงไม่ได้ช่วยอะไรผมเท่าไรนัก นอกจากจะช่วยสลัดความกลัวที่มีออกไป
เพื่อที่จะได้หันกลับมาพบเจออะไรที่น่ากลัวกว่า….
“ไม่ต้องใช้หรอกโยม…”ตุ้บเนื้อเสียงธรรมดาของหลวงพ่อ ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงยานคางเย็นเยียบ สร้างความน่ากลัวให้ผมเห็นและได้ยินจนตัวเกร็งนิ่ง น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างอัตโนมัติ มือของผมสั่นจนกล้องที่ถืออยู่ร่วงหล่นไปอยู่บนพื้น ใจของผมเต้นเร็วแรงไปกับภาพระทึกขวัญ อาการคัดแน่นหน้าอกกลับมาจนทรมาน พร้อมกับที่สมองพยายามสั่งผมเอาไว้ว่า ผมไม่เห็น
ไม่เห็น…ภาพของหลวงพ่อที่นำเชือกมาคล้องคอ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้และกระโดดลงไปในบ่อนั้นเสียงดังของน้ำในบ่อสะท้อนขึ้นมาดังลั่น ทำลายความมั่นใจทุกอย่างออกไปสิ้นเชิง ผมไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องมารับกรรมเจออะไรแบบนี้ หลวงพ่อที่ผมเข้าใจว่าเป็นคนมาโดยตลอด นำทางผมให้มาลิ้มรสความทรมานและความสยองขวัญในป่านี้ สติที่เหลืออยู่ของผมไม่รอช้าที่จะสั่งให้ขาของตนเองค่อยๆพาร่างกายถอยออกจากบ่อ ก่อนที่จะต้องหยุดลงไปอีกครั้งเพราะเสียงเหล็กเสียดสีกับเชือกที่กำลังถูกสาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากการตัดสินใจโง่เง่าที่ไม่พาตัวเองวิ่งย้อนออกไปจากตรงนี้ บาดแผลในใจของผมก็ถูกกรีดย้ำๆลงไปจนเหวอะหวะชนิดที่ว่าคงไม่มีครั้งไหนในเกมส์นี้แล้วที่จะทำลายสติที่หลงเหลือของผมไปมากกว่านี้ ผมยืนจ้องมองเชือกที่ถูกสาวขึ้นมาเพื่อที่จะได้พบกับร่างของหลวงพ่อรูปเดิมที่ตาถลนลิ้นจุกปากลอยขึ้นมาจากบ่อ เนื้อตัวบวมน้ำจนซีดขาว พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ถือหัวของมนุษย์เอาไว้ ก่อนที่หัวนั่นจะถูกกระชากเส้นผมดึงขึ้น สั่งให้เปิดปากเพื่อให้ผมได้เห็นเงือกแดงๆของหัวนั้นและภายในที่มีน้ำในบ่ออยู่เต็ม
“หลวงพ่อ…เอาน้ำมาให้แล้ว 555”แค่เพียงเท่านั้นสัญชาตญาณของผมก็รีบสั่งให้วิ่งหนีออกไปอย่างไว มือของผมถูกยกขึ้นปาดน้ำตาอยู่เป็นระยะ พร้อมกับที่นำมากัดกับปากเพื่อกั้นเสียงสะอื้นที่เตรียมจะหลุด และสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงกระแทกของวัตถุกระทบพื้นดินดังคล้ายกับถูกโยนลงบนพื้น เรียกให้ผมหันกลับไปมองซ้ำ ผมก็ได้พบกับหัวของผู้ชายคนนั้นที่กำลังกลิ้งตามผมมาติดๆพร้อมกับใบหน้าที่ฉีกยิ้มจนเห็นไปถึงลิ้นไก่ อีกทั้งร่างของหลวงพ่อก็ค่อยๆปลดห่วงออกจากคอและลงวิ่งตามผมมาด้วยใบหน้าเน่าๆตามแบบฉบับของศพที่ผูกคอตาย
อาการภายนอกของผมมีเพียงน้ำตาที่ยังคงไหล แต่ภายในใจกลับกรีดร้องอย่างทรมาน ใบหน้าของไอ้ภพค่อยๆผุดขึ้นมาจนเด่นชัด ในเวลาแบบนี้ผมต้องการมันอย่างมากที่สุด คำสั่งของมันที่พร่ำบอกให้ผมไม่เห็นไม่รู้สึกยังคงสะกดจิตใจของผมอยู่ในหัว แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะระหว่างที่วิ่งอยู่ ปอยผมสากๆของผู้หญิงก็ปลิวว่อนเข้ามาตีที่ใบหน้าจนแสบเป็นริ้ว และเมื่อหันไปทางต้นทางของปอยผมนั้น ผมก็ได้เห็นผู้หญิงบนต้นไม้คนเดิมที่บัดนี้เธอกำลังใช้ขาเกี่ยวกระหวัดกิ่งไม้พร้อมกับโยนตัวเองไปมาคล้ายกับการไกวชิงช้าเพื่อให้ดวงตาโบ๋ลึกของเธอพุ่งเข้ามาจับจ้องกับดวงตาผมบนต้นไม้ทุกต้นที่ผมวิ่งผ่าน
ผมวิ่งหนีออกไปด้วยความรู้สึกที่ปิดกั้นตนเองแทบไม่ไหว จนสุดท้ายเมื่อผมได้เห็นลานกว้างๆของตัววัดและรูปปั้นเปรตอีกครั้ง ผมก็ใจชื้นขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง แต่ก็แค่เท่านั้น เพราะด้านหลังการวิ่งหนีไม่คิดชีวิตของผม ยังคงมีวิญญาณคนตายวิ่งตามมาอยู่เหมือนเดิม มิหนำซ้ำ เสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหัวเราะเย็นๆยังดังก้องไปทั่วป่าแห่งนี้ ทำลายสติและความรู้สึกนึกคิดของผมไปเรื่อยๆ จนร่างกายเริ่มอ่อนล้าและทรมานไปกับการต่อสู้ระหว่างสมองและจิตใจของตนเอง
“ฮึก มิว มึงไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ไม่มีอะไรตามมึงเลย”
ผมพึมพรำออกมาสร้างกำลังใจให้ตนเองเมื่อสุดท้ายเขตวัดก็อยู่ห่างจากผมไม่ถึงสามก้าว จังหวะนั้นสายตาของผมก็ต้องหันไปมาระหว่างด้านหน้าและด้านหลังเพื่อคอยดูอยู่ตลอดว่า วิญญาณเหล่านั้นอยู่ใกล้กับผมขนาดไหน ก่อนจะสะกดจิตตัวเองต่อไปอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว
“มิว มึงไม่เห็น เชื่อกูสิ มึงวิ่งเล่นเอาความสนุกเฉยๆ มึงไม่เห็นอะไรเลย 555”
“มิวมึงไม่เห็น ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”
ตุ้บ
“ฮึก ไม่เห็น…อะไรเลย”ไม่เห็นแม้กระทั่งว่าตนเองได้วิ่งชนเข้ากับรูปปั้นเปรตอย่างจังจนล้มลง
…และพบว่าแท้จริงแล้วตรงนี้มีรูปปั้นเปรตยืนขนาบข้างกันอยู่สองตัว ร้องระงมส่งเสียงหวีดแหลมเล็กก้องวัดผมนั่งรอไอ้มิวอยู่ในอุโบสถวัดป่าแห่งนี้ด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากตั้งแต่ที่มันออกไปจนถึงตอนนี้ กินเวลาไปมากกว่าชั่วโมงแล้ว ใจของผมเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับไอ้มิว ผมลุกเดินไปมาอยู่ในวัดนี้หลายรอบด้วยความร้อนรนจนสุดท้ายเมื่อความต้องการทางใจมันมีมากกว่าสมอง ผมเลยตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งเกมส์เพื่อออกไปตามหามัน
ผมรีบวิ่งออกไปทางหลังวัด ด้วยไม่รู้เลยว่าชะตากรรมของมันจะเป็นอย่างไร ใจของผมแกว่งมากจนมือผมสั่น ความเป็นห่วง ความกลัว ตีรวนกันไปหมด เพราะผมไม่อาจยอมรับได้เลยหากเกมส์นี้จะทำให้ผมต้องเสียไอ้มิวไปโดยที่ไม่ได้ช่วยมันตามสัญญา แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างผม เมื่อผมวิ่งมาทางรูปปั้นเปรต ไอ้มิว ก็นั่งนิ่งเงยหน้ามองรูปปั้นอยู่อย่างนั้น พร้อมกับหูของผมที่ได้ยินมันบ่นอะไรออกมาตลอดเวลา และค้นพบว่า มันกำลังบอกตัวเองอยู่ว่า มันไม่เห็นอะไร สร้างความไม่เข้าใจให้กับตัวผมนัก
“มิว!! ไอ้มิว!! มึงเป็นอะไร โถ่เว้ย!!!”
ผมวิ่งมากระชากไอ้มิวขึ้น ก่อนจะพบกับภาพที่ทำให้ผมปวดหนึบไปถึงขั้วหัวใจ ไอ้มิวที่มีน้ำตาไหลออกมานองหน้า กำลังใช้ใบหน้าเปื้อนยิ้มหลอกตนเองซ้ำๆ มันกำลังดูเหมือนคนเสียสติ มันหันมายิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับผม อีกทั้งปากของมันก็ยังคงบอกกับตัวเองว่ามันไม่เห็นอะไร มันยังคงมีความสุข เรียกน้ำตาของผมให้ไหลซึมออกมาเพราะความห่วงและสงสาร
“ภพ ไอ้ภพ ฮึก วันนี้กูเก่งไหม กูมองไม่เห็นอะไรอย่างที่มึงบอกแล้วนะ”
“ไอ้มิว!! มึงมีสติดิวะ อย่าเป็นแบบนี้ มึงบอกกูก่อนว่าเป็นอะไร บอกกูมา”
“กูไม่เป็นอะไรไอ้ภพ กูไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย ฮึก”
สัมผัสอุ่นๆของมือมันยามเคลื่อนมาจับหน้าผม สะกิดเอาความรู้สึกให้พาผมย้อนวันเวลากลับไปยังบ้านร้างหลังนั้น หลังที่ผมกับมันเคยให้สัญญากันเอาไว้ ว่าถ้ามันเป็นอะไร ผมจะต้องเป็นคนพามันกลับมา ดังนั้นผมจึงต้องเคลื่อนย้ายตนเองมาอยู่ตรงหน้ามัน มองใบหน้าที่ไม่ได้มองตอบผม สายตาของมันพุ่งไปในสองทิศทางคือป่าช้าด้านหลังและเงยหน้ามองด้านบน ก่อนจะตัดเอาเหตุผลของสมองออกไปและใช้หัวใจนำพาไอ้มิวกลับมา
“มิวกูขอโทษ…กูอยู่ตรงนี้แล้วไง มึงจะกลัวก็กลัวเถอะ แต่ได้โปรดมองแค่กูไอ้มิว มึงมองหน้ากู”ประโยคกึ่งขอร้องของผม ถูกใช้อ้อนวอนไอ้มิว เพียงเพราะผมไม่อยากให้มันต้องอึดอัดกับการหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว
“กูไม่เห็นอะไรเลยภพ ไม่ได้ยินอะไรเลย ฮึก ไม่กลัว กูสบายดี”
แค่คำตอบสุดท้ายของมันก็บอกผมได้หมดทุกอย่าง ไอ้มิวในตอนนี้ไม่ใช่ไอ้มิวคนเดิมกับที่ผมเคยรู้จักแล้ว ตัวของมันถูกความน่ากลัวและภาพหลอนของวิญญาณพาออกไปที่ไหนสักแห่ง ทิ้งให้เหลือไว้แต่เพียงร่างกายอันบอบช้ำ ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ที่ผ่านมาผมไม่เคยได้เตรียมใจยอมรับเรื่องแบบนี้ เพราะคิดไม่ถึงว่าผมจะต้องประสบกับมันจริงๆ ถึงแม้จะเคยให้สัญญาไว้ดิบดีแค่ไหน แต่เวลาแบบนี้ผมก็ยังอยากภาวนาไม่ให้สัญญานั่นต้องหยิบยกมาใช้
แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมก็ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ เพื่อที่จะได้พามันกลับมาอีกครั้ง ด้วยตัวของผมเอง
“ในเมื่อมึงไม่กลับมา กูก็จะเป็นคนพามึงกลับมาเอง”ผมดันหน้าของมันให้กลับมาจดจ้องที่ผม ก่อนจะเริ่มทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้
ภพ…ถ้ากูเป็นอะไรไป เป็นมึงได้ไหมที่พากูกลับมาแค่เพียงเท่านั้น ใบหน้าของผมก็เคลื่อนตัวลงไปเพื่อซ่อนเรื่องราวสุดสาหัสภายใต้การมองเห็น พร้อมกับริมฝีปากของผมที่ได้วางแนบกับปากมันของมันอย่างแผ่วเบา เพื่อหวังให้มันหลับตาลงและคลายทุกความเครียดความกังวลเอาไว้ที่นี่ และดูเหมือนว่ามันจะช่วยผมได้พอสมควร เพราะหลังจากนั้นไอ้มิวก็ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสายพร้อมกับทรุดตัวลงไปกับพื้นทันที ก่อนที่ผมจะช้อนตัวมันขึ้นมาและพาเดินกลับไปยังสถานที่แห่งความหวังของผมกับมัน
ผมไม่รู้ว่าผมจะหวังอะไรกับรอยจูบนั่นได้ไหม แต่ในเมื่อมันเป็นทางเดียวที่หัวใจผมบอก ผมก็อยากที่จะหวัง
หวัง ให้มือของผมได้โอบอุ้มจิตใจของไอ้มิวเอาไว้เพราะมันไม่มั่นคง
หวัง ให้ร่างกายของผมได้สร้างความอบอุ่นให้ไอ้มิวเพราะภายในใจของมันกำลังหนาวเหน็บเจียนจะตาย
และหวัง ให้รสจูบของผมเป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตมันเพราะตอนนี้ไอ้มิวที่ผมรู้จักกำลังหลงทางและหายไปในความมืด
“กลับมาหากูนะ…ไอ้มิว”
**********************************************TBC*******************************************
เอาภพมิวมาส่งให้แล้วนะครับทุกคน 
อ่านตอนนี้แล้วเป็นยังไงกันบ้าง สำหรับคนเขียนเอง ยอมรับเลยว่าตอนนี้เป็นอีกหนึ่งตอนที่เขียนยากมากๆ
ไม่รู้จะเขียนอย่างไรให้คนอ่านสามารถรับความรู้สึกและอารมณ์ได้หลายแบบ
ยังไงก็ฝากตอนนี้อีกตอนด้วยนะครับ ผมถ่ายทอดทุกความรู้สึกของภพและมิวออกมาด้วยความตั้งใจมากๆ 555
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และคำติชมต่างๆนะครับ ถ้ามีอะไรอยากบอกเพิ่มเติมสามารถพิมพ์ได้ในเว็บนะครับหรือจะไปร่วมพูดคุยกับผมก็ได้ในแท็ก #Nightmaregame
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit