คำสั่งสุดท้ายเป็นคำสั่งที่คล้ายกับจะรีดเลือดของพวกผมให้ออกมาก็ไม่ปาน กลโกงที่พึ่งจะได้ยินนำมาซึ่งความสงสัยและความทรมานในเวลาเดียวกัน จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเทปบันทึกภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกไปโดยไม่มีการตัดต่อ บรรดาแฟนรายการจะยังคงรู้สึกสนุกกับความรู้สึกของคนอยู่ไหม
ผมยืนสูดลมหายใจที่อาจจะเป็นเฮือกสุดท้ายของผมเข้าปอดได้สักพักหนึ่ง แล้วจึงหันกลับมามองหน้าไอ้ภพที่จ้องกลับมาด้วยแววตาเป็นห่วงปนเปไปพร้อมกับความรู้สึกอีกหลายๆอย่าง
“เดี๋ยวกูจะเข้าไปแล้วนะ ไม่ต้องห่วงกู ยังไงค่อยไปเจอกันในนั้น”
“มิว เราถอนตัวกันไหม? นี่มันเกินกว่าเหตุแล้ว ทีมงานพวกนั้นมันจงใจจะเชือดมึงทั้งเป็น”
“กูรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เราอุตส่าห์อยู่กันมาได้ขนาดนี้ วัดดวงไปเลยแล้วกัน เชื่อกูสิว่าถ้าเราไม่ไปจี้ปมอะไรเข้าสักอย่าง เกมคงไม่เร่งรัดส่งเรามาในที่แบบนี้หรอก”
“แต่ว่ามึง…”
“ไอ้ภพ มึงกลัวผีไหม?”“ผี? ถามทำไม ผีเกี่ยวอะไร”
“ตอบมาเถอะ กูอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ไม่กลัว กูไม่เคยกลัวพวกมัน”
“อืม เห็นอะไรก็เงียบๆไว้นะ ถ้ามันจะมีคนที่กลัว ก็ขอให้เป็นกูคนเดียว แล้วก็…ขอโทษนะภพ”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผมคือสิ่งสุดท้ายที่ไอ้ภพมองตามไปโดยที่ไม่ทันจะได้โต้แย้งอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น ผมรีบพาตัวเองไปหยิบนาฬิกาและไฟฉายจากมือทีมงาน ก่อนที่จะใช้สายตาของผมกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ เก็บเกี่ยวเอาภาพแห่งความทรงจำสุดท้าย ที่อาจจะเลือนหายไปอีกครั้ง และไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะนำกลับมาได้เนื่องจากคำสั่งของเกม
หากก้าวเท้าเข้าประตูโรงพยาบาลไปแล้ว ถ้าพวกคุณส่งเสียงร้องออกมาเมื่อไร…พวกเราจะส่งคุณกลับบ้านทันทีผมก้าวข้ามปราการด่านสุดท้ายที่กั้นระหว่างโลกของคนเป็นและคนตาย ประตูลูกกรงเหล็กสูงใหญ่ที่อดีตเคยถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา ถูกผมดันมันเข้าไปอย่างช้าๆ ด้วยเสียงฝืดของโลหะเกิดสนิมที่ดังบาดจิตใจของผมไปทีละน้อย พร้อมกันนั้นสายตาของผมก็ได้พบกับยันต์สีแดงขนาดใหญ่ที่ถูกติดไว้บนหัวประตู จนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือของตนเองกระชากมันออกมาจากตรงนั้น
ความมืดมิด รกร้าง วังเวง คือสิ่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้มอบให้ผม การเดินย่ำเท้าเข้าไปยังด้านในจึงเป็นไปอย่างช้าๆ สายตามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก ความรู้สึกที่ร่ำร้องออกมาว่าตนนั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้ ย้ำเตือนให้ผมไม่หันไปสนใจ ส่งผลให้แสงหนึ่งเดียวจากไฟฉายสั่นไหวขึ้นลงเนื่องจากความอึดอัดและเครียดหนัก จนสุดท้ายช่วงขาของผมก็พามาสิ้นสุดตรงบริเวณที่ผมตามหา บันไดสูงชันที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะพาผมลงไปยังดินแดนแห่งการหลับใหลชั่วนิรันด์
ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้…ห้องเก็บศพผมสาดแสงไฟบนมือลงไปยังความมืดมิดด้านล่าง พร้อมกับที่ปลายเท้าก็ค่อยๆถูกปล่อยลงให้สัมผัสบันไดที่เต็มไปด้วยหินฝุ่นเล็กๆจำนวนมาก การก้มๆเงยๆระหว่างมองปลายเท้าและเส้นทางจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงระหว่างการเดินลงเพราะบริเวณนี้คงไม่ได้มีใครใช้การมานานมากแล้ว หากจะมีสักช่วงบันไดที่ผุพัง มันก็อาจจะเกิดอันตรายถึงตายให้ผมได้
“ห้องเก็บศพ”
ผมอ่านป้ายเหล็กเก่าคร่ำครึตรงหน้าด้วยเสียงที่เบาบางที่สุด หลังจากลงบันไดมาได้ กลิ่นอับๆและกลิ่นตกค้างของสารเคมีบางอย่างก็โพยพุ่งออกมาจนแสบจมูกไปทั่ว บริเวณที่สายตาผมรับรู้ได้ขณะนี้ เท่าที่มองนอกจากห้องตรงหน้า ผมก็เห็นเพียงทางเดินโล่งๆลึกเข้าไปในความมืด โดยรายทางเหล่านั้นประกอบไปด้วยเงามืดของเก้าอี้ขนาดเล็กประปราย วางเรียงชิดกำแพงไปตลอดความยาวทางเดินนี้
ห้องเก็บศพที่ผมต้องเข้าไป ไม่มีประตูห้อง จึงสามารถมองเห็นทุกอย่างในนั้นได้ทันทีที่มาถึง ตรงบริเวณเพดานมีบางส่วนผุพังจนเห็นเป็นช่องว่างโล่งๆด้านบน ที่พื้นด้านล่าง เตียงผู้ป่วยสองสามเตียงก็วางระเกะระกะดูรก อีกทั้งด้านในสุดยังปรากฏตู้ล็อกเกอร์ไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งคาดว่าในอดีตคงถูกใช้เก็บร่างคนตายไว้ในนั้น และสุดท้ายบริเวณพื้นกลางห้อง สิ่งของสะดุดตาอันประกอบด้วยธูป กระดาษ และกระทงอาหารเย็นชืด ก็ถูกวางรวมกองไว้
ผมตัดสินใจเดินไปนั่งลงพร้อมกับการหลับตารอเวลาอย่างช้าๆ ให้เสียงและการเคลื่อนไหวแปลกๆที่ได้ยินภายในนี้เป็นตัวนำเวลาของผมให้ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว แม้การรับรู้จะพาให้กายและใจทรมาน แต่กระนั้นในทุกๆสามสิบนาที เสียงฝีเท้าก็เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยินจนใจชื้นขึ้นบ้าง ทีมงานและไอ้ภพคงผลัดเปลี่ยนกันเดินขึ้นไปตามชั้นต่างๆจนครบทั้งสี่คน ในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งพอดิบพอดี
22.00 น.เสียงเตือนครบชั่วโมงของนาฬิกาข้อมือ ดังปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิด นับเป็นเวลากว่าสามชั่วโมงที่ผมต้องเฝ้ารอการเริ่มเกมที่จะเกิดขึ้น อดทนต่อความอบอ้าวและกลิ่นอับบางๆที่ผ่านจมูกไปเป็นระยะ แม้ว่าทีมงานและไอ้ภพจะเข้ามารอในนี้จนครบแล้วก็ตาม ทุกการท้าทายมีกำหนดเวลาเอาไว้ชัดเจนและจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลานี้ โดยที่แต่ละคนคงได้รับคำสั่งให้ทำแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความอุ่นใจอะไรให้กับผมนักเพราะสุดท้าย เกมพวกนั้นผมก็ต้องไปทำอยู่ดี
“เดินไปที่ล็อกเกอร์หมายเลข 13”ผมลุกขึ้นยืนช้าๆหลังอ่านทวนซ้ำ ตู้ล็อกเกอร์หมายเลขสิบสามคือจุดหมายที่ผมต้องเข้าไปหาเป็นลำดับแรก ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่สัมผัสการจับจ้องที่ผมรับรู้มาได้สักพักหรืออาจจะตั้งแต่เดินเข้ามากำลังทำให้ผมไม่กล้าที่จะเดินผ่านเตียงผู้ป่วยไปยังล็อกเกอร์ด้านหลัง ความมืดมิดกำลังสร้างภาพหลอนต่างๆนานาในหัวผม จนเสียงเคลื่อนที่ของเตียงยามที่ผมต้องดันออกสามารถทำให้ใจของผมเป็นทุกข์ได้ ซึ่งถึงแม้จะกลัวแค่ไหน สายตาก็ยังต้องเพ่งไปยังตู้เหล็กเบอร์สิบสามตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว
ปลายนิ้วติดจะสั่นของผมค่อยๆดึงรั้งตู้เก็บศพออกมาทีละนิด พร้อมกับที่ส่วนหัวก็ค่อยๆชะโชกลงไปดูสิ่งที่อยู่ข้างใน ก่อนจะรีบกระโดดถอยหลังออกมาด้วยอาการตกใจสุดขีด หัวใจผมสั่นแรงจนแทบระเบิด กรามของผมขบกันแบบอัตโนมัติเพื่อกันเสียงร้องเล็ดรอดออกไป ลมหายใจของผมถูกปล่อยออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะ จนเมื่อคิดว่าทำใจกับสิ่งที่เห็นได้แล้ว ผมก็เริ่มเดินกลับไปมองสิ่งที่สร้างเรื่องราวหลอนหัวให้ผมต้องผงะกลับมาอีกครั้ง
หุ่นเปลือยเปล่าของมนุษย์ฉาบสีแดงสด…นอนนิ่งสบตากับผมอยู่ในนั้น โดยที่ส่วนปากของมันมีกระดาษสีขาววางทาบไว้
“การท้าทายแรกของห้องดับจิต ผู้เข้าแข่งขันจะต้องจุดธูปพร้อมท่องคาถาในกระดาษ แล้วจึงนำถ้วยกระทงอาหาร เดินออกไปวางยังห้องริมซ้ายสุดของทางเดินแห่งนี้ ก่อนจะทำการเคาะเรียกบุคคลที่เคยหลับใหลอยู่ในนั้นให้ออกมารับเครื่องเซ่นไหว้ที่ตนวางไว้”
ผมรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากด้านหลัง แล้วหยิบคำบัญญัติตายของผมอ่านในใจไปอย่างช้าๆ ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ต้องทำทุกอย่างภายใต้ความเงียบจะสร้างความกดดันและความหวาดระแวงได้ถึงเพียงนี้ ยามที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ผมยังมีไอ้ภพ ยังสามารถส่งเสียงลดภาวะทางอารมณ์ไปได้ แต่ที่นี่ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกเสียจากการปิดปากนิ่งแล้วปล่อยให้อาการทางกายแสดงถึงภาวะที่ผมจำยอมต่อความกลัวอย่างถึงที่สุด
ไฟฉายขนาดเหมาะมือถูกผมตั้งเอาไว้ข้างตัวโดยปล่อยให้แสงของมันส่องสว่างไปยังด้านหลังสุดของห้องแห่งนี้ พร้อมกันนั้นมือของผมก็ได้เริ่มทำหน้าที่อันคุ้นชินทางกายหากแต่ไม่อาจคุ้นทางใจ นำธูปที่เกมเตรียมไว้ออกมาจุดแล้วจึงเริ่มท่องคาถาบทเดิมที่ตอนนี้สามารถท่องออกมาโดยไม่ต้องดู ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามธรรมชาติจนน่ากลัว เสมือนกับว่ามันคือสิ่งที่อาจจะติดตัวผมไปตลอดชีวิตหลังจบเกม
“หากที่แห่งนี้มีวิญญาณอยู่จริง…ขอให้ดวงตาของทุกคนสัมผัสได้ถึงภาพอันน่าสยดสยองไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม”
ประโยคท้าทายที่ทำผมแทบจะสิ้นลมเสียตรงนี้ ถูกผมเอ่ยออกมาด้วยฝืนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อะไรหลายๆอย่างในที่นี้ตั้งแต่ผมเดินเข้ามา มันย้ำเตือนผมทุกขณะอยู่แล้วว่า การท้าทายไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เสียงโหยหวนของความทรมาน เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ดังสั่นประสาทให้ผมรับรู้มาตลอด เพียงแต่ผมเลือกที่จะเมินเฉยไปเท่านั้น
ทันทีที่ผมตัดสินใจปักธูปลงบนร่องหินที่ผมนำมาวางเรียงให้ชิดกัน ควันธูปทั้งหมดก็พวยพุ่งลงสู่พื้นดินอย่างที่ไม่สามารถเป็นไปได้ สร้างภาพที่ทำให้ผมต้องตกตะลึงขณะก้มหัวลงไหว้จนมือสั่นแทบคุมไม่อยู่ หากจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นั่นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะห้องที่เต็มไปด้วยความร้อนและอบอ้าวเช่นนี้ จะมีลมจากหนใดสามารถพัดควันธูปให้ไปตามทางที่ผมเห็น
ผมเงยหน้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักๆจนเหมือนกับมีอะไรไปถ่วงที่หัว ความเงียบจนทุกอย่างวังเวงไม่อาจขวางกั้นเสียงอึกทึกในใจของผมได้ ความรู้สึกที่ว่าคล้ายกับมีคนจับจ้องตอนนี้บางสิ่งบางอย่างได้ให้คำตอบกับผมหมดแล้วตั้งแต่การตัดสินใจปักธูป เตียงผู้ป่วยด้านหลังยามโดนแสงไฟส่องผ่าน กำลังฉายภาพเงาขนาดใหญ่บนกำแพงท้ายห้องคล้ายจอภาพยนตร์ให้ผมดู พร้อมกันนั้นตาของผมก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเพราะความผิดปกติที่ผมรับรู้
เงาบนกำแพง…กำลังเคลื่อนตัวออกด้านข้างไปอย่างช้าๆคล้ายกับมีใครดัน ขัดแย้งกับเตียงบนพื้นซึ่งยังนิ่งอยู่ที่เดิม
ผมค่อยๆคว้ามือไปหยิบกระทงใบน้อย แล้วจึงลุกขึ้นพาตัวเองหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ แต่ทว่าแค่พ้นประตูห้องออกมาเท่านั้น เสียงการเคลื่อนที่ของล้อเตียงก็ดังกระตุ้นให้ผมรีบหันหลัง จนมือที่ถือไฟฉายเอาไว้ถูกสัญชาตญาณสั่งให้ยื่นมือไปส่องบางสิ่งที่ก่อให้เกิดเสียง
มืออีกข้างถูกใช้ปิดปากตนเองอย่างแรง อีกทั้งมือของผมยังสั่นไหวจนต้องรีบชักกลับมาทาบที่หน้าอก แววตาของผมนั้นร้อนขึ้นคล้ายกับจะมีน้ำตาไหลออกมา เมื่อเตียงผู้ป่วยจำนวนสองสามเตียงตรงนั้นถูกแรงมือของใครสักคนดันเข้าสู่ด้านข้างของกำแพงดั่งเงาที่ผมเห็น จัดเรียงเป็นระเบียบขัดกับภาพตอนแรกยามที่ผมเข้าห้องแห่งนี้ไปโดยสิ้นเชิง
และแค่เพียงช่วงความรู้สึกเดียวเท่านั้น ความผิดปกติของบรรยากาศก็ร้องทักปลุกผมจนสะดุ้ง เสียงการขยับกายหยาบ เสียงหนูบ้าน เสียงตุ๊กแก ต่างก็ร้องระงมประสานไปทั่ว เสียงพวกนั้นดังเป็นจังหวะรับการก้าวเท้าอันหนักอึ้งของผมยามที่ต้องรีบเดินฝ่าความหลอนไปยังห้องริมสุดฝั่งซ้ายของทางเดินตามคำสั่งของเกม ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าท่ามกลางความไม่ปกติแห่งนี้ กำลังจะมีสัมภเวสีออกมาเริงร่าตามคำท้าทายที่ได้เอ่ยขึ้นเอาไว้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ผม…เอาข้าวมาให้ครับ”เสียงเคาะประตูห้องพร้อมคำบอกกล่าว เกิดขึ้นที่ห้องปลายสุดของโถงทางเดิน กระทงอาหารถูกวางไว้ด้านล่างหน้าประตูซึ่งถูกโซ่ตรวนขนาดใหญ่คล้องเอาไว้คล้ายกับต้องการปกปิดสิ่งที่อยู่ในนั้น จวบจนเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในความคิดของผม การก้าวเดินกลับสู่ห้องที่เคยจากมาจึงกลายเป็นสิ่งล่าสุดที่ทำให้ผมกลัว
“เฮ้ย!! ถอยไป อย่ามาขวางแบบนี้”
ช่วงที่ละสายตาจากประตูห้อง ตุ๊กแกตัวใหญ่ก็มาหยุดนิ่งตรงช่วงปลายเท้าของผม เดิมทีผมไม่รู้ชัดว่ามีสัตว์ลายจุดมาอยู่ตรงนี้ แต่สัมผัสที่บอกว่าผมไปเตะกับอะไรเข้า ได้ทำให้ผมรีบฉายไฟลงไปแล้วพบกับสัตว์เลื้อยคลานชวนให้ขยะแขยงที่พื้น โดยที่สายตาของมันกำลังจับจ้องมาที่ผม พร้อมกับอ้าปากตามสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์
“ถอยไป”
คำพูดเบาบางแต่หนักแน่น กำลังขู่เข็ญสัตว์กลางคืนตรงหน้าให้หายไปจากเส้นทางเดิน แน่นอนว่าผมเป็นคนที่กลัวตุ๊กแกอย่างมาก ยามที่ขยับกายแล้วมันก็ขยับตามคล้ายจะต่อสู่นั้น จึงเป็นดั่งคำสั่งที่ทำให้ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่
แกร๊ก… ลูกบิดประตูหนึ่งเดียวด้านหลัง ส่งเสียงบางอย่างออกมาจนทำให้ตัวผมชาวาบ เสียงนั่นเป็นเสียงเปิดประตูที่ดังมาจากด้านใน ดึงรั้งให้ประตูที่ปิดตายไว้เปิดออก หากแต่ว่าประตูบานนั้นถูกโซ่อาบสนิมล็อกไว้แน่นหนา บานประตูจึงไม่สามารถเปิดออกได้จนสุด เสียงการกระแทกกระทั้นให้โซ่หลุดจึงกลายเป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น
ผมไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยเสียงลมหายใจให้ออกไป ยืนนิ่งให้เสียงประตูดังทำลายความเงียบในชั้นใต้ดินแห่งนี้ แต่ทว่าความน่ากลัวกลับยังไม่หมด เมื่อใครสักคนกำลังถูกขัดใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงกรีดร้องจึงดังขึ้นสมทบให้ขนในกายผมลุกชัน อากาศรอบตัวที่ร้อนอบอ้าวนั้นไม่สามารถละลายความเย็นชืดและแข็งทื่อของปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าของผมได้แม้แต่นิด สัตว์กลางคืนจึงเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่นั้นแทน
ตุ๊กแกที่เคยอยู่ตรงหน้าวิ่งตัดเท้าของผมออกไปยังด้านหลัง สัมผัสเหนียวหนึบปลุกสติของผมให้คืนมา ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวแล้วล้มลงไปในทันที ไฟฉายบนมือผมหล่นกระแทกพื้นเตรียมจะกลิ้งหลุดไปยังบานประตูนั้น แต่ด้วยความที่สัมผัสการรับรู้ยังคงเหลือ ผมจึงเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ทันในตำแหน่งที่แสงนั่น ฉายชัดกลับไปยังช่องว่างระหว่างประตู
ไม่รู้ว่าประตูนั่นหยุดนิ่งไปตั้งแต่เมื่อไร หากแต่ว่าตอนนี้มันกำลังมีมือของคนยืดยาวมาหยิบของเซ่นลากเข้าไปในนั้นความกลัวที่วิ่งแล่นเข้าสมอง สั่งให้ผมรีบลุกวิ่งออกไปจากตรงนั้น โดยมีภาพทิ้งท้ายเป็นบานประตูที่เริ่มถูกดันมาปิดจนเกิดเสียงดังลั่นยามที่ของเซ่นไหว้ถูกกอบโกยเข้าไปในห้องจนหมด ไม่เหลือเค้าเดิมของพื้นที่ที่เคยมีสิ่งใดไปวางอยู่
จวบจนเมื่อใกล้จะถึงห้องเก็บศพ ความลังเลในหัวผมจึงตีรวนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด หากเป็นเมื่อก่อนที่ผมยังไม่ได้สลบไปนั้น ผมคงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดกลับไปด้านบนแล้วถอนตัวออกทันที แต่ผมในตอนนี้ไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้ ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นที่มาถึง ผมต้องทนรับกลโกงที่เกิดขึ้นมาใหม่สารพัดจากผู้ที่ขึ้นชื่อว่ากอบกุมชะตากรรมสุดท้ายของผมอยู่ คำสั่งที่บอกให้ผมเงียบเสียงคงเป็นคำสั่งใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นหลังสายโทรศัพท์นั่น ไม่อย่างนั้นทีมงานคงไม่รู้สึกดีใจได้ถึงเพียงนี้ และที่สำคัญ คนพวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าคืนนี้ ใครคือคนที่กำจัดง่ายที่สุด
ตั๊กแก…ไม่ทันที่ผมจะได้นึกหาทางหนีทีรอดของตนเอง เสียงของตุ๊กแกก็ดังสะท้อนมาจากโถงทางเดินด้านหลังตัดผ่านผมไปแล้วสิ้นสุดที่โถงทางเดินด้านหน้า เสียงนั่นไม่ใช่เสียงเอคโค่แต่อย่างใด หากแต่เป็นเสียงร้องระงมรับจังหวะของสัตว์ประเภทเดียวกันที่อยู่ในนี้ จนสุดท้ายเมื่อเสียงทุกอย่างหยุดไป เสียงที่เกิดใหม่ก็ดังสะท้อนขึ้นมาแทน
“หาย…หายไปไหน?” แว่วเสียงแหบแห้งของชายคนหนึ่งลอยผ่านความมืดมากระทบกับแก้วหูของผม พร้อมกับที่เงาตะคุ่มของความมืดตรงหน้าก็เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ จังหวะนั้น ผมรีบปิดไฟฉายในมือแล้วค่อยๆดันตัวเองเข้าสู่ห้องเก็บศพอีกครั้งด้วยการย่างกายที่คิดว่าเงียบที่สุด ผมกลับมานั่งกำมือของตนเองนิ่งตรงจุดที่เคยทำพิธี รอเวลาให้วิญญาณตนนั้นเคลื่อนตัดหน้าห้องผมไป
หาย หายไปไหน!!คำถามแบบเดิม แต่เนื้อเสียงที่สื่อมากลับไม่ใช่ ผมนั่งตัวสั่นไปพร้อมกับบรรยากาศดุดันที่เกิดขึ้นข้างนอก จนส่งผลให้ใบหน้าของผมเริ่มก้มลงต่ำ มองเพียงพื้นสกปรกเบื้องหน้าแทนการจับจ้องไปที่ประตู แขนและขาของผมตอนนี้คงเต็มไปด้วยดินและความสกปรก แต่นั่นคงไม่ใช่จุดสำคัญเท่ากับว่า บัดนี้ปลายเท้าของชายคนนั้นได้มาหยุดยืนพร้อมส่งเสียงร้องที่หน้าห้องเก็บศพแห่งนี้แล้ว
สองขาของชายคนนั้นกำลังเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งตรงมาหาผมที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง
“เห็นของของผมไหมครับ?”
เสียงเท้าย่างกรายเข้ามาภายในห้อง สอดประสานพร้อมเสียงถามที่กังวานแก้วหู เสียงนั่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผมตามความรู้สึกเนื่องจากผมได้ตัดสินใจปิดเปลือกตาไม่ให้เห็นภาพอันน่าสยดสยอง ก่อนที่จะได้ยินการขยับกายให้นั่งทัดเทียมผมแล้วเริ่มถามอีกครั้ง
“เห็น…ของของผมไหมครับ?”น้ำตาของผมเริ่มไหลซึมผ่านม่านขนตาออกมาทีละหยด หมดแรงที่จะวิ่งหนี ไม่รู้ว่าความปั่นป่วนที่มีเมื่อครู่หายไปไหนหมด เหตุใดจึงเหลือเพียงบรรยากาศเงียบๆแต่คาดคั้นจิตใจให้ทรมาน ผมนั่งกำมือแน่นจนรู้สึกเกร็งไปทั้งแขน ก่อนที่จะส่ายหน้าของตนเองให้วิญญาณตนนั้นรับรู้ว่าผมไม่อาจเห็นสิ่งที่เขากำลังตามหา
“ไม่เห็นเหรอครับ…ถ้าอย่างนั้น ก็ลืมตามาสิ จะได้เห็น”ผมค่อนข้างตกใจกับกระแสเสียงที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง มันไม่ใช่ดุดัน มันไม่ใช่โกรธา หากแต่ความกดดันยามที่ต้องการเค้นผมนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาจนหมด ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานเท่าไร เพราะโลกทั้งใบของผมเป็นอันต้องหยุดลงเมื่อมือของผู้ชายคนนั้น ค่อยๆช้อนคางผมขึ้นและใช้นิ้วของเขาดันเปลือกตาทั้งสองข้างของผมให้เปิดออก
“เห็นดวงตาของผมไหม?”
แค่แวบเดียวที่ผมลืมตา ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็พุ่งพรวดเข้ามาประชิดทันที ลักษณะของเขามีทุกอย่างเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป แต่ทว่าตรงส่วนที่เป็นดวงตาทั้งสองข้างกลับยุบเข้าไปคล้ายกับการเกิดอุบัติเหตุใหญ่ที่ทำให้เขาสูญเสียดวงตา ผมมองภาพนั้นดั่งกับต้องสาป ไม่มีแรงแม้แต่จะเบือนหน้าหนี มือทั้งหมดถูกนำไปยึดแน่นไว้บนพื้นที่เริ่มจะสร้างความเจ็บปวดให้ผม จากการถูกเศษหินเก่าๆแทงเข้าไปในฝ่ามือ
“ผม…ผมไม่เห็น”
จากที่น้ำตาไหลทีละหยด มันก็เริ่มไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ในความรู้สึก ผมไม่ได้ต้องการที่จะร้องไห้ แต่ด้วยภาวะบางอย่างในตัวมันทำให้ผมไม่สามารถควบคุมความอ่อนแอเอาไว้ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับอยู่เหนือการควบคุมไปหมด
“ดวงตากู อยู่ไหน?”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบวิญญาณตนนั้น เสียงสิ่งของบางอย่างด้านหลังก็ดึงความสนใจของผมไปหมดสิ้น เสียงการเคลื่อนตัวออกของตู้เก็บศพโลหะหมายเลขสิบสามกำลังค่อยๆดันตัวเองออกมา ก่อนที่จะพุ่งพรวดตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นลั่นห้องคล้ายกับมีคนในนั้นจงในถีบมันออกมา
ผมสะดุ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่ผมต้องทนเห็นสิ่งที่เคยเป็นหุ่นในนั้น ไหลกลิ้งมาจากตู้ล็อกเกอร์ เคลื่อนตรงมากระแทกกับด้านหลังผมอย่างจังจนรู้สึกเจ็บไปทั่ว แน่นอนว่าการที่ผมบอกว่าเคยเป็นหุ่นไม่ใช่สิ่งที่ผมบอกผิดเพี้ยน
เพราะถ้าสิ่งที่อยู่ด้านหลังผมเป็นหุ่นตัวเดิมจริงๆ…ส่วนหัวของมันจะต้องไม่มีเส้นผมเกรอะกรังเหมือนอย่างตัวนี้
ผมรีบกำมือแน่นและเหยียดเท้าของตัวเองให้ยืนขึ้น สูดอากาศเหม็นแสบจมูกจนทั่วปอด พร้อมกับที่สองขาของผมก็ถูกสั่งให้วิ่งออกมาโดยเร็วที่สุด ความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่อาจเหนี่ยวรั้งให้ผมทนอยู่ต่อจนครบเวลาไปได้ ยามที่ต้องวิ่งขึ้นบันได เสียงตามหาดวงตามันก็ยังไม่เลิกหลอนหูผม หนำซ้ำมันยังทำท่าเหมือนจะเคลื่อนตามผมมาติดๆ
“จะไปไหนครับ!!...คุณมิว”
“โอ้ย!”
แรงเหวี่ยงจำนวนมหาศาลของหัวหน้าทีมงานชุดนี้ จับผมที่กำลังวิ่งสั่นผวาเข้ากระแทกตัวกำแพงอย่างจังจนเจ็บไปทั่วทั้งแผ่นหลัง โดยที่ตอนนี้สายตาของผมก็ยังคงไม่เลิกหวั่นกลัว เพราะเนื้อเสียงถามหาดวงตายังคงดังแทรกอากาศขึ้นมาจากพื้นที่ชั้นใต้ดินซึ่งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณนี้
“ดูคุณตื่นตกใจนะครับ 555 ไปเจออะไรดีๆมาอย่างนั้นเหรอ”
“เกือบลืม คุณพูดไม่ได้นี่…เอาเป็นว่าผมอนุญาตให้พูดแล้วกัน เพราะผมก็พูด”
“น…นั่นคุณกำลังจะไปไหน”
“ผมก็ต้องไปเล่นเกมที่ชั้นถัดไปสิ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ ว่าแต่คุณเถอะไปเจออะไรมาอย่างนั้นเหรอครับ ดูกลัวมากเลยแต่ก็ไม่ยักจะร้องออกมาสักแอะ เก่งดีนี่ครับ ”
“ม…ไม่มีอะไรครับ ผมกลัวตุ๊กแกด้านล่าง เลยเป็นแบบนี้ ว่าแต่คุณจะไปเล่นชั้นไหน?”
“ชั้นเดียวกับที่คุณพึ่งจะวิ่งขึ้นมานั่นแหละครับ ห้องเก็บศพข้างล่าง”
“ย…อย่างนั้นเหรอ งั้นก็เดินไปด้วยกันเลยสิ เดี๋ยวคุณลงล่างไป ผมจะขึ้นบน”
ทีมงานยิ้มให้ผมอย่างพึงใจ ก่อนที่เขาจะลากคอผมให้เดินตามไปยังบันไดที่ผมพึ่งจะจากมา แน่นอนว่าการกระทำของผมมันไม่ต่างไปจากการย้อนรอยความทรมานของตนเอง แต่นั่นก็คงเป็นทางเดียวที่ผมจะได้ชำระล้างกลโกงของรายการนี้ให้สาสม
“คุณเดินขึ้นไปเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะลงไปแล้ว อยากดูหน่อยว่าคุณเริ่มอะไรไว้บ้าง”
“ยังครับ ข้างล่างมันมืดคุณน่าจะเก็บไฟฉายเอาไว้สักหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะส่องนำทางให้เอง”
ทีมงานทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ยอมที่จะเดินตามผมบอก แว่วเสียงของวิญญาณชั้นใต้ดินนั่นสะกิดให้ขนคอของผมลุกชัน กลัวในสิ่งที่ตนเองได้เริ่มไว้ข้างล่าง แต่ก็เพราะเสียงนั้นเลยยังทำให้ผมสามารถยกยิ้มขึ้นมาได้ จนเมื่อเสียงล็อกเกอร์ข้างล่างเริ่มทำงาน ไฟฉายที่เคยส่องไปยังชั้นใต้ดินจึงถูกเปลี่ยนไปฉายยังบันไดขึ้นไปชั้นบนของโรงพยาบาลแห่งนี้
ผมเดินสลัดความกลัวบางส่วนให้ออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นไปตามความต้องการของผมทุกประการ การท้าทายที่ผมได้เริ่มไว้ แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกท้าทายมาเพื่อผมแต่เพียงคนเดียว หากแต่เนื้อความและคาถาในชั้นใต้ดินนั้นถูกผมตัดสินใจเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ผมโดนกระทำในทุกๆคืนทั้งหมด
แน่นอนว่าไม่มีใคร ยอมอดทนกับกลโกงที่ต้องโดนบังคับทำในทุกๆวัน
...การเอาคืนจึงต้องแฝงตัวเข้ามาในรูปแบบของสิ่งที่เรียกว่า การท้าทาย
************************************************TBC*****************************************
เอาภพมิวมาส่งแล้วครับ ขอโทษนะครับวันนี้มาดึกเลย 555 ผมไปอ่านหนังสือสอบมาครับ
ตอนนี้หลายๆคนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดระคนแปลกใจไปกับน้องมิวเวอร์ชั่นนี้นะครับ
หวังว่าจะถูกใจกันเน้อ
ขอบคุณทุกการคอมเมนท์ การแชร์ การติชม ตามเว็บไซต์หรือในเล้าแห่งนี้นะครับ ผมน้อบรับฟังทุกประการ
***เน้นก่อน จะบอกว่า คุณศตวรรษกับทีมงานที่พามิวไปวัดไม่ใช่กลุ่มเดียวกันนะครับ คุณศตวรรษยามเป็นคนออกมาแค่ตอนแรกตอนเดียวครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกได้นะครับ ทั้งในนี้และใน #Nightmaregame
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ
P-Rawit