NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170610 ครั้ง)

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ผีว่าน่ากลัวแล้ว  คนเราน่ากลัวยิ่งกว่า

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่24

กระดานดำ


เรื่องราวของกระดานดำที่ใช้เขียนหน้าพิธีศพ ถูกกล่าวขานตำนานความเฮี้ยนเอาไว้มากมายนานัปการ  ความพิเศษของกระดานที่นำไปสู่เรื่องหลอนหัวจำนวนมาก  เริ่มต้นมาจากการใช้งานของกระดานดำแผ่นนั้น ที่มีไว้เพื่อเขียนชื่อของคนที่ตายไปแล้ว พร้อมกับการเขียนวันที่มรณะและการจัดพิธีศพ  ฉะนั้นบุคคลทั่วไปจึงรู้กันดีว่าสิ่งของที่ใช้เกี่ยวข้องกับคนตาย คนเป็นไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม

แต่แน่นอน…โลกของคนตายย่อมมีบางคนที่ฝ่าฝืน

หัวเรื่องที่จั่วเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ บอกเล่าถึงตำนานที่เคยเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการลองของต่างๆที่อาจจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ หากคิดจะล่วงล้ำเข้าไป  บุคคลที่ท้าทายย่อมไม่เคยมีใครได้พบจุดจบที่สวยงาม  วิญญาณผู้เคยมีชื่อตราตรึงอยู่บนกระดานดำแผ่นนั้นย่อมไม่เป็นที่พอใจนัก  เมื่อสุดท้ายที่ว่างซึ่งมีไว้เพื่อจารึกและสดุดีคนตายต้องถูกรบกวนด้วยความสนุกโดยไม่คิดหน้าคิดหลังของคนเป็น

เกมคืนนี้ก็ต้องดำเนินไปอย่างนั้น…เช่นกัน

รายการนี้อาจเห็นว่าวิธีที่ได้ว่ามานั้นมีผู้คนมากมายได้ลองท้าทายกันไปหมดแล้ว เราทั้งคู่จึงต้องโดนสั่งให้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม โดยมีจุดประสงค์ที่คาดหวังจะฝังเราให้ตายทั้งเป็น ด้วยการนำพิธีลองของโบราณเข้ามาผูกกับพิธีกรรมที่ปกติก็น่ากลัวอยู่แล้วให้เพิ่มดีกรีความหลอนมากขึ้นกว่าเดิม

น้ำเก้าวัด…คือคำสั่งที่ผมและไอ้ภพต่างก็สงสัยกันมาตลอดว่ารายการมีความจำเป็นอะไรที่ต้องส่งพวกผมเข้าไปยังสถานที่แสนบริสุทธิ์แห่งนั้น  แต่เมื่อเกมนี้มาถึง คำเฉลยต่างๆนานาก็พรั่งพรูออกมาจนเข้าใจได้เลยว่า รายการไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ผมออกไปพักผ่อนกันอย่างที่ผู้ชมรายการคิด แต่เขาได้วางหมากเอาไว้อยู่แล้วว่าเกมคืนนี้จะต้องมีใครสักคนพบกับจุดจบที่ไม่น่าอภัย ภายหลังการจารึกชื่อของตนเองลงบนกระดานดำมรณะดั่งกล่าวกลางบ้านหลังนี้

พิธีปลุกวิญญาณกำลังจะนำมาซึ่งพิธีสรรเสริญคนตายในบ้าน

หลังจากการฟังเทปเสียงนั่น ผมกับไอ้ภพต้องมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่นานพอสมควร  ไม่ใช่ว่าไม่กล้าที่จะดำเนินพิธีอันน่ากลัวต่อไป หากแต่เป็นบทสรุปของเทปเสียงสุดท้ายที่ยังคงวนเวียนและหลอนหูให้คนฟังรู้สึกคล้อยตาม จนอดไม่ได้ที่จะสงสารหรือเวทนาบุคคลที่มีชะตากรรมโหดร้ายและทารุณมากกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะโดนกระทำ

แปะ แปะ แปะ…

“ทำงานดีเหลือเกินนะ…ศตวรรษ”

“อยากพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ?  พูดไม่ได้ใช่ไหม? 5555”

“สมควรแล้วหละ ที่บังอาจปากพล่อยไปเตือนเหยื่ออันโอชะของกูในปีนี้…คิดว่ากูจะไม่ได้ยินอย่างนั้นเหรอ!!!”

“เอาหละ  กูคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วนะ ที่จะได้คืนอิสระที่มึงเรียกร้องมานาน”

“ใจเย็นๆ  ไม่ต้องกลัวไป  ร้องไห้เหรอ?  ร้องไห้ทำไม  อยากได้ไม่ใช่เหรอ  อิสระ  เดี๋ยวกูจะจัดให้”

“บอกลาโลกอันแสนวุ่นวายและโสมมแห่งนี้ไปซะ  แล้วเตรียมไปอยู่ที่โลกหน้าดีกว่านะ  มันทั้งสวย และงดงามกว่านี้”

“อยากพูดอะไรหน่อยไหม?”

“ช…ช่วยด้วย ฮึก  อย่าทำผม  อย่าทำ”

“จุ๊ๆ  อย่าโอดครวญไปเลย ไม่มีทางเสียหรอก 555”

“ลาก่อนนะ…ศตวรรษ”

“อย่า!!!”

ปั้ง!!


เสียงปืนแค่หนึ่งนัด ดังแสกความเงียบที่พวกผมจงใจสร้างมันขึ้นมาจนบ้านหลังนี้เหมือนกับมืดบอดไปชั่วครู่  เสียงปืนนัดนั้นไม่ใช่แค่ทำการปลิดชีวิตของอดีตบุคคลที่คอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวผมเมื่อสักสามสี่วันที่ผ่านมา  แต่ยังปลิดหัวใจของผมและไอ้ภพให้ตายลงไปด้วย  เสียงขอร้องทั้งน้ำตา  เสียงอ้อนวอนร้องขอเพื่อให้มีชีวิต  ถูกเสียงหัวเราะอย่างหยาบของฆาตกรใจเหี้ยมกลบเอาไว้เสียมิด  จนท้ายที่สุด แม้กระทั่งเสียงอำลาโลกแห่งนี้ของผู้ตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวโหดร้ายและทารุณให้กลับกลายเป็นปาฏิหาริย์ดั่งที่ตนร้องขอเอาไว้ได้เลย

เป็นดังคำกล่าวที่ว่า เสียงร้องของเหยื่อไม่เคยแทรกซึมผ่านจิตใจของฆาตกร

ผมยืนนิ่งไปกับความเครียดที่ได้รับ  หัวตาของผมมีน้ำตาไหลออกมาอย่างที่ควบคุมไม่ได้  ความรู้สึกกดดัน  สงสาร หรือแม้กระทั่งเวทนาต่างวิ่งแล่นเกทับกันเข้ามาจนภายในจิตใจผมไม่ทันได้ตั้งตัว  แผ่นเสียงของการฆาตกรรมถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อไรผมไม่เคยรู้  แต่จุดมุ่งหมายของมันคงหนีไม่พ้นการขู่ให้ผมและไอ้ภพยอมรับในชะตาของตนเอง หากเมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเกมนี้แล้ว  ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง จุดจบที่เราสองคนจะได้รับย่อมมีเพียงความตาย

“อย่าให้เขา ตายเปล่า”


คือคำปลอบโยนของไอ้ภพที่ดังกระซิบอยู่ข้างใบหูผม  เสียงของมันทำการเรียกสติน้อยๆของผมให้กลับเข้ามาสู่ตัว  ก่อนที่จะพยักหน้ารับรู้ว่าหากทุกอย่างยังคงดำเนินชักช้าอยู่แบบนี้  เราทั้งคู่คงไม่มีวันที่จะไล่บี้เกมทัน 

“ทำไม…เหลืออยู่แค่นี้”

ไอ้ภพชายตาขึ้นมามองผมครู่หนึ่ง หลังจากที่เราทั้งคู่เดินตรงกลับมานั่งยังวงล้อมของเปลวเทียนเช่นการทำพิธีกรรมในคืนก่อนๆ  แววตาของมันสะท้อนบางอย่างออกมาให้ผมรับรู้  บางอย่างที่ย้ำเตือนให้ผมเข้าใจว่าตัวมันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ผมถามจะมีคำตอบออกมาในทิศทางไหน

“กู…โดนเกมบังคับให้แบ่งน้ำทั้งหมดเก็บเอาไว้กับตัวครึ่งหนึ่ง”

“แล้วอีกครึ่งหละภพ…มันไปอยู่ไหน”

“ทีมงานเอามันกลับไปด้วย  แต่กูไม่รู้ว่ามันจะเอากลับไปทำไม  หรือเพราะอะไร”

ผมพยักหน้ารับไอ้ภพด้วยรู้สึกหนักอกอยู่ไม่น้อย  การกระทำของทีมงานหลับหลังการสลบไปของผม  สร้างเบื้องหลังที่ไม่มีใครหยั่งถึง  น้ำทั้งเก้าวัด  พวกเราต่างก็ได้รู้กันแล้วว่ามันมีเอาไว้เพื่ออะไร  หากแต่ก็ยังไม่เข้าใจ  ว่าทีมงานจะต้องการมันไปเพื่ออะไรอีก  ในเมื่อทุกการท้าทาย พวกผมคือคนที่ต้องทำมัน และที่สำคัญ มันจะต้องเกิดขึ้น ภายในบ้านหลังนี้

เสียงน้ำกระทบขันสีเงินใบเขื่อง  ดังผ่านหูผมเป็นระลอก หากแต่มันก็แค่เหมือนผ่านไป  ไม่ได้กินเวลาอย่างที่ใครหลายๆคนคิด  ปริมาณที่เรียกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อใช้สายตาเพ่งพินิจไปจริงๆก็ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น  น้ำในขันใบนี้ดูน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับการที่พวกเราต้องเสี่ยงเข้าไปเอามันตามที่ต่างๆ  ตั้งแต่วัดแรกจนวัดสุดท้าย  ผมอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วตามยามได้นึกถึง  ผมต้องเจอกับสารพัดสัมภเวสีที่ปองร้ายพวกผมจนแทบจะเป็นบ้า  เหตุใดการกระทำของผมถึงได้รับการตอบแทนออกมาเพียงน้ำหนึ่งในสี่ของขัน

และในที่สุดเมื่อน้ำในขันสงบนิ่ง…พิธีกรรมและบทสวดจึงต้องถูกเรียกขึ้นมาร้องหาร่างกายที่หลับใหลอยู่ภายใต้ความตายนั่น

“เทียนเล่มนี้  จะให้กูหรือมึงที่เป็นคนทำพิธี”ไอ้ภพถือเทียนหนึ่งเล่มยื่นมาตรงหน้าผม  ก่อนจะถามหาความสมัครใจของผมหากต้องประสงค์ที่จะทำ

“ภพเกมคืนนี้…ขอเป็นกูที่ได้เริ่มพิธี”

ไอ้ภพดูแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม  แต่มันก็ยอมยื่นเล่มเทียนที่มันถือมาให้   ไอความร้อนของเทียนกำลังทำให้ใจของผมอุ่นขึ้นมาได้บ้าง  ที่ผมตัดสินใจทำทุกอย่างในวันนี้  ไม่ใช่เพราะกล้าแกร่งหรือมั่นใจในตัวเอง  แต่มันเป็นเพราะผมต้องการที่จะเห็นกับตาว่า ผมจะสามารถทนในสิ่งที่ตนเองเริ่มเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน  แม้รู้ว่าจะต้องเสี่ยงกับสิ่งที่สายตาตนเองหลีกหนีมาตลอดสองอาทิตย์

“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ”

ผมกับไอ้ภพเริ่มท่องบทสวดมนตร์บทแรกตามคำสั่งที่เขียนเอาไว้สามจบ  พร้อมกับที่มือของผมก็ค่อยๆวนเล่มเทียนให้เป็นวงกลมเหนือขันใส่น้ำทั้งเก้าวัด  ให้น้ำตาเทียนค่อยๆหยดกระทบลงผิวน้ำจนเกิดการสั่นไหวและเริ่มเคลื่อนตามแรงมือของผม  วงคลื่นน้ำในขันกับบทสวดที่ผมกล่าว  กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับบรรยากาศรอบกายอย่างหนัก  มันทั้งกดดัน  ทั้งอึดอัด  อากาศที่เคยพัดถ่ายเทในตัวบ้านก็พลันหายไปเสียดื้อๆจนเหงื่อไคลไหลย้อยออกมา  แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเหล่านั้นก็ยังไม่เท่ากับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นหลังผมท่องคาถาภาษาแปลกๆดั่งคำเขมรโบราณเรียกวิญญาณตายโหงให้ฟื้นคืน

ต้นไม้ที่เคยไหว…กลับหยุดนิ่งราวกับมีคนยื่นมือไปจับเอาไว้

เสียงแมลงตัวน้อยที่เคยร้องดังระงมเป็นเพื่อนใจ…กลับหายไปราวกับมีคนจงใจซ่อนพวกมัน

และเสียงหายใจของเราทั้งคู่ที่ดังแซมความเงียบ  ก็ถูกทำลายด้วยสัมผัสจากใครอีกคนที่จงใจใช้อากาศร่วมกับพวกเรา


“เหี้ย!!!”

ผมส่งเสียงอุทานที่แสดงออกถึงอาการตกใจ พร้อมๆกับที่ไอ้ภพสะดุ้งจนตัวโยน  เมื่อระหว่างการตั้งจิตให้สงบไปกับคาถาเรียกผีตายห่าตายโหงเหล่านั้น  เสียงของหนูบ้านก็ร้องแหลมขึ้นมาลั่นบริเวณ  จนสามารถเรียกความสนใจของเราทั้งคู่ให้หันกลับไปมองยังประตูด้านหลังซึ่งเป็นแหล่งเกิดเสียง  และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร ลมหายใจของเราก็ถูกปล่อยออกมาอย่างโล่งอกหลังจากต้องกลั้นมันไว้ระยะหนึ่งเพราะการระแวง

“เอาเถอะ  เริ่มกันต่อเลย  ไม่มีอะไรแล้วหละ”ไอ้ภพที่คุมเชิงสถานการณ์เอาไว้  ร้องทักผมให้หันมาเผชิญกับคำสั่งที่ยังไม่จบ

“วิญญาณผีตายห่าตายโหงที่ได้ยินเสียงกู หากแม้พวกมึงมีอันต้องตายภายในบ้านหลังนี้ จักต้องฟื้นคืนลมหายใจขึ้นมาให้หมด  หากแม้พวกมึงเคยถูกจารึกชื่อลงบนกระดานแผ่นนี้  จักต้องฟื้นคืนลมหายใจขึ้นมาให้หมด หากแม้พวกมึงเป็นเพียงแค่ลมผ่านมาทางนี้  จักต้องฟื้นคืนลมหายใจขึ้นมาให้หมด และ หากแม้พวกมึงไม่เคยมีใครได้ทิ้งลมหายใจไป…จักต้องเห็นและฟื้นคืนลมหายใจให้กับพวกมัน”

ไอ้ภพนั่งนิ่งเงียบไปทันทีหลังผมเอ่ยคำบัญญัติตายออกมาอย่างช้าๆทีละคำ  ซึ่งพฤติกรรมนั้นไม่ได้ต่างไปจากผม  มือที่ถือสมุดเกมคืนนี้เอาไว้ถูกความเครียดและกดดันรัดมันจนยับยู่ยี่  พลางกายที่รับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บรอบๆก็สั่นสะท้านราวกับถูกคาถาง่อยๆนั่นดึงเอาความรู้สึกเดิมกลับมา  ความเงียบที่เกิดขึ้นในบ้านก่อนหน้า ก็ค่อยๆถูกทำลายลงด้วยเสียงลมหอบใหญ่ที่พัดเข้ามารอบตัวบ้านจนได้ยินเสียงหวีดเบาๆ  ราวกับว่าคาถาปลุกวิญญาณคงทำหน้าที่ของมันจนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์

“ไหวอยู่ใช่ไหม?  มึงพึ่งจะฟื้นมากูไม่อยากให้มึงหนีกูไปไหนอีก”

“กูไหว เชื่อใจกูนะภพ  เกมคืนนี้มันจะไม่พรากเอาอะไรจากกูไปได้อีก”

ไม่พราก…แม้เทียนที่ส่องสว่างภายในบ้านจะมอดดับลงไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีแม้แต่ลมไหววูบ

ไม่มีใครคิดที่จะจุดเทียนต่อ  เราทั้งคู่ตัดสินใจเดินถือขันที่ภายในอัดแน่นไปด้วยน้ำตาเทียนลอยเป็นแพปกคลุมน้ำทั้งเก้าวัดคล้ายจอกแหนในบึงใหญ่  ผมเป็นคนถืออยู่บนมือ  ส่วนไอ้ภพเป็นคนใช้ผ้าผืนบางหย่อนลงมาซับเอาน้ำในขันไปเช็ดยังจุดต่างๆของบ้านหลังนี้ ราวกับว่านี่อาจจะเป็นกลลวงที่เกมแอบสั่งให้พวกผมทำความสะอาดบ้านแทนที่จะจริงจังกับวิญญาณที่ผมยังไม่สามารถมองเห็นได้ในขณะนี้

บนชั้นสองคือเป้าหมายแรกที่เราตั้งใจขึ้นมาทำตามคำสั่งของเกม  หากแต่ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเช็ดมันทุกพื้นที่  อย่างชั้นนี้มีเพียงห้องนอนและห้องน้ำเท่านั้น  เราทั้งสองเลยตัดสินใจกันว่าจะเช็ดเพียงลูกบิดประตูของทั้งสองห้อง  และราวบันไดลงไปยังชั้นหนึ่ง

เสียงการถูไถลูกบิดประตูดังเสนาะแก้วหูไปทั่วบริเวณบ้าน  ลักษณะที่คล้ายจะเปิดออกทำให้ภายในใจของผมหวั่นอยู่ไม่น้อย เพราะเสียงที่ได้ยิน ผมไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่ามันเกิดจากฝีมือการขัดถูของไอ้ภพจริงๆ  หรือเป็นความต้องการของใครสักคนที่หลบกายอยู่ภายใต้บานประตูตรงหน้าพวกเรา  ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็เริ่มแสดงอาการชัดเจนเมื่อเราเคลื่อนตัวมาเช็ดยังประตูห้องน้ำ  เสียงลมหายใจที่ดังฮืดฮาดแปลกๆด้านหลังกำลังดังสวนทางเสียงลูกบิดประตูไอ้ภพออกมาจนผมต้องกำขันในมือเอาไว้แน่น

ไม่ใช่เพราะกลัว…แต่เสียงนั่นมันคุ้นหูของผมมาก คุ้นจนแทบไม่ต่างไปจากเสียงที่ผมได้ยินในคืนแรกยามผมต้องเล่นซ่อนหา

“ไอ้ภพ  มึงเดินไปถูที่บันไดก่อน”ผมสั่งให้ไอ้ภพเคลื่อนตัวออกจากบานประตู ก่อนที่จะรีบแทรกตัวไปยืนอยู่ข้างหน้า

“มีอะไร?”

“ไปยืนตรงนั้นก่อน  ไว้จบทุกอย่างแล้วเดี๋ยวกูจะบอก”

ไอ้ภพเดินออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก  แต่ก็ยอมที่จะทำตามผมโดยดี  แววตาของผมจับจ้องไปที่ลูกบิดประตูห้องน้ำด้วยความประหม่าอยู่ไม่น้อย  เสียงที่ได้ยิน ยอมรับว่ามันกำลังจะทำให้ผมกลัว  แต่ว่าความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่านั้น  ผมจึงเลือกเส้นทางที่จะต้องเผชิญกับสิ่งที่มีผมคนเดียวในบ้านรับรู้ได้

เป็นไปอย่างที่ผมคิด…ประตูห้องน้ำบานนี้ ถูกจับล็อกจากด้านในจนผมไม่สามารถเปิดเข้าไปได้

ผมยืนเหงื่อตกไปพร้อมกับแววตาที่ตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างคนกำลังตกใจกลัว  สิ่งที่ไอ้ภพทำเมื่อครู่ยืนยันให้ผมได้เป็นอย่างดีว่าประตูนี้มันยังสามารถเปิดได้  ไม่มีทางเลยที่จะมีใครเอื้อมมือไปปิดมันในระยะเวลาแค่เสี้ยววินาที  นอกเสียจากว่าหลังบานประตูนั่นจะมีใครสักคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว  พร้อมกับเสียงลมหายใจที่ปล่อยออกมาอย่างแรงและแทบไม่ขาดห้วง

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

“คุณศตวรรษ  นั่น…ใช่คุณหรือเปล่า?” ผมเอื้อมมือที่ติดจะสั่นของตนเองไปเคาะประตูเบาๆสามที  ก่อนจะใช้ปลายเสียงที่บางเบาร้องถามถึงอดีตคนที่คาดว่าจะอยู่ข้างใน

“…”

“คุณศตวรรษ  ผมไม่มีเวลาที่จะอยู่ตรงนี้เท่าไรนัก  เอาเป็นว่าถ้าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นคุณ  ได้โปรดเคาะประตูนี่กลับมาด้วยนะครับ  การกระทำของคุณมันจะพาให้ผมพบตัวฆาตกร”

ผมทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะหันหลังหมุนตัวกลับไปหาไอ้ภพ   น่าแปลกที่แม้ผมจะบอกกับความว่างเปล่าตรงหน้าว่าไม่มีเวลาเหลือ แต่ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาไปจากประตูบานนั้นได้   การรอคอยบางอย่างมันมีค่ามากกว่าแค่หาตัวฆาตกร  เสียงตอบกลับที่ผมคาดหวังว่าจะได้ยิน  มันจึงสามารถชี้เป็นหรือตายให้กับจิตใจของผม  หากข้างในนั้นไม่ใช่คุณศตวรรษ แสดงว่าคืนนี้  ผมอาจจะต้องเตรียมตัวเริงระบำไปกับเหล่าวิญญาณที่พร้อมจะออกมาวาดลวดลายในบ้านหลังนี้ได้ทุกเมื่อ

แต่ทว่าสุดท้าย  มุมปากของผมก็สามารถยกยิ้มขึ้นมาได้ด้วยความโล่งใจ เพราะเสียงหนึ่งที่สะท้องดังก้องไปทั่วบ้าน

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก


กระดานดำแผ่นหนาตรงหน้า สร้างภาวะตกต่ำทางร่างกายจนมือที่จะเอื้อมไปต้องสั่นด้วยความผวา

ไอ้ภพยืนจดจ้องกระดานดำที่สูงเหนือหัวเราตรงหน้าด้วยแววตาสงบนิ่ง  ไม่มีท่าทีสั่นกลัวใดๆแสดงออกมา  ซึ่งขัดกับผมที่แม้จะถือแค่ขันแต่ก็ไม่สามารถจะระงับความรู้สึกยามได้จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ได้เลย  ร่องรอยของการใช้งานยังคงถูกเก็บเอาไว้บนนั้นอย่างกับว่า ก่อนที่มันจะเข้ามาสู่บ้านหลังนี้ มันคงถูกใช้ประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ที่วัดแห่งใดแห่งหนึ่งใกล้ตัวบ้าน

ไม่รู้ว่ามนตร์สะกดบทใดที่ฝังอยู่ในตัวไอ้ภพ  ท่าทางของมันจึงแสดงต่อกระดานดำแผ่นนั้นด้วยความหยาบกร้านและขัดต่อสิ่งที่เกมบอก  หลังจากการยืนมองด้วยเวลาที่นานพอสมควร  ไอ้ภพก็จัดการแย่งขันไปจากมือผมแล้วทำการสาดน้ำที่เหลือลงไปที่กระดานสีเขียวตรงหน้าอย่างแรง  ก่อนที่มันจะปล่อยขันทิ้งลงพื้นจนเกิดเสียงดังบาดหูทันที

“เดี๋ยว ไอ้ภพ  มึงเป็นอะไร?” ผมที่รับมือกับท่าทีไอ้ภพไม่ทัน  รีบร้องถามถึงเหตุผล  พร้อมกับที่มันก็หันมามองที่ผมด้วยแววตานิ่งๆ  แต่ภายในนั้นซ่อนเอาความโกรธอยู่เสียเต็มไปหมด

“มึงไม่เห็นเหรอ  เกมมันเอากระดานที่เขาใช้ในวัดจริงๆมาให้  ดูตรงนั้น  ชื่อของคนตายและวันที่ล่าสุดมันก็ยังลบไม่หมดเลย  ชอล์กที่วางอยู่มันก็ไปเอาของวัดมา”

“แล้วมึงโกรธอะไรภพ  เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าเกมมันก็เป็นแบบนี้”

“กูโกรธที่มันก็รู้ว่ามึงพึ่งจะฟื้น  แต่กลับหยิบยื่นสิ่งของท้าทายถึงตายพวกนี้มาให้มึงเนี่ยนะ  มันจะเกินไปหน่อยไหม?”

“ไม่เกินไปหรอกภพ  เราทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าเป้าหมายที่เกมจะสั่งให้ออกไป  มันคือกู”

ไอ้ภพมองผมด้วยตัวสั่นเทิ้มอย่างปิดไม่มิด  ผมจึงต้องรีบเข้าไปกอบกุมไหล่ทั้งสองข้างที่แข็งเกร็งให้คลายลง ปลอบใจให้มันเชื่อในตัวของผม  ก่อนจะปล่อยให้มันยืนผ่อนคลายอิริยาบถเงียบๆด้านหลัง  และหันกลับมาลงมือเขียนรายชื่อที่อยู่ในหนังสือทั้งหมดลงบนที่ว่างในนั้นทั้งหมด

สายตากวาดไล่ไปทีละบรรทัด  ในนั้นระบุชื่อบุคคลรวมทั้งหมดแปดชื่อ  โดยชื่อคนสุดท้ายที่ผมต้องเขียน เล่นทำเอาหัวใจผมกระตุกและแกว่งไปมาด้วยความสงสาร  รายนามของคุณศตวรรษ ถูกหยิบยื่นให้ผมเขียนสดุดีความตายของเขาให้ด้วยในคืนนี้  ราวกับว่าผมกำลังจะได้จัดงานศพเล็กๆให้เขาภายในบ้านไปพร้อมๆกับรายนามพิเศษของอีกเจ็ดคนข้างต้น

รายนามพิเศษ…ที่ใช้นามสกุลเดียวกันทั้งหมด

ตามประวัติที่รับรู้มา  ครอบครัว “อดุลกรไกรเลิศ” คงถูกฆาตกรรมในบ้านหลังที่ไอ้ภพไปเจอ  จนไม่มีใครที่สามารถเข้าไปจัดพิธีกรรมทางศาสนาให้กับครอบครัวนั้นได้  ความแปลกของมันคงมีเพียงอย่างเดียวที่สะกิดใจผมอยู่ทุกช่วงขณะที่จรดปลายชอล์กลงไป  เหตุใดรายการถึงต้องนำพวกเขามาเขียนจัดพิธีศพตรงนี้  ในเมื่อทางนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่บ้านที่เกิดเหตุ  อีกทั้งผู้จัดการเกมไปนำรายชื่อของคนเหล่านี้มาได้อย่างไร หากการฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นมานานนับสิบๆปี

“มรณะปี 2519 อย่างนั้นเหรอ”

ช่วงที่ผมก้มๆเงยๆไปมองชื่อคนตาย พร้อมกับวันเดือนปีที่เขาเกิดและเสียชีวิต  ไอ้ภพก็ส่งเสียงที่ทำให้คิ้วของผมกระตุกขึ้นมาด้วยความสงสัยทันที  ผมเงยหน้าขึ้นมองกระดานดำที่พึ่งจะละสายตาไปได้เพียงครู่  ตาของผมก็เบิกกว้างชนิดที่ว่าปวดไปทั้งกรอบตา  อีกทั้งห้วงลมหายใจยังกระตุกขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด

จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อผมเขียนตามสิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกทุกอย่าง

และในนั้น  มันก็ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนทุกตัวอักษรว่าครอบครัวนี้มรณะไปเมื่อปี 2539

ผมหันรีหันขวางไปรอบบ้านเพื่อมองสิ่งที่จะสามารถทำให้เนื้อความบนกระดานนี่ผิดปกติไป  บรรยากาศรอบตัวผมตอนนี้ค่อนข้างที่จะแปลก  แม้จะมองไม่เห็นอะไร  แต่ความรู้สึกแออัด  เยือกเย็น  และสัมผัสจากลากสังหรณ์มันก็ได้ย้ำเตือนผมมาได้ครู่ใหญ่ๆแล้วว่าดินแดนแห่งคนเป็นตรงนี้  ถูกลุกล้ำโดยคนตายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

“กูคงเขียนผิดหวะ  ในหนังสือนี่มันปี 2539”

ผมบอกปัดไอ้ภพไปด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิด  ขัดกับใบหน้าที่หันมามองตัวเลขบนกระดานด้วยความกังวลจนเหงื่อไหลซึมออกมา ก่อนที่อาการใจเต้นรัวราวกับตีกลองจะเกิดขึ้น ความเย็นจากปลายเท้าและปลายนิ้วกำลังทำให้ผมไม่มีแรงที่จะตวัดลายเส้นเพิ่มได้อีก  แม้ผมจะจับชอล์กบนมือเอาไว้แน่น  หากแต่ไม่สามารถเขียนตัวเลขได้อย่างใจคิด  จนมือและตัวผมเริ่มสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว

….จากสัมผัสของมือเย็นเยียบ ทั้งยังดำคล้ำที่โผล่ทะลุกระดานดำขึ้นมาบีบรัดข้อมือของผมเอาไว้แน่น

“มิว!!  เป็นอะไร?”

“อ๊ะ!!”

ไอ้ภพตบบ่าผมอย่างแรงจนผมหลุดออกจากภวังค์ที่เห็นตรงหน้า พร้อมกับที่สายตาก็รีบตวัดกลับมามองมือนั้นบนกระดานอีกครั้ง  ซึ่งตอนนี้มันกำลังค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปทางด้านหลัง  และไม่รู้ว่าด้วยความตกใจที่มากเกินไปหรือเปล่าชอล์กบนมือของผมถึงได้หักจนเกือบหมดท่อนร่วงไปบนพื้นและกลิ้งไปด้านหลังกระดานนี้ 

“ทำไมถึงไม่เขียน  นิ่งไปทำไม?  หรือเห็นอะไรขึ้นมาอีก”ไอ้ภพถามเสียงแผ่วด้วยความเป็นห่วงปนสงสัย

“ป…เปล่าหรอก ไม่มีอะไร  เขียนต่อเถอะ”

แม้จะรู้ว่าสายตาที่ไอ้ภพมองตอบมาจะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ  แต่อะไรสักอย่างในตัวผมก็เลือกที่จะสั่งให้เก็บภาพตรงนั้นเอาไว้ในใจก่อน  ไม่อยากแพร่งพรายทั้งหมดออกไปตอนนี้  เพราะกลัวว่าอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นของไอ้ภพจะกลับมาจนทำให้เกมคืนนี้ล่าช้าไปอีก

ผมรีบก้มลงไปเก็บชอล์กที่กลิ้งไปหลังกระดานด้วยคาดว่าจะเอื้อมจากด้านหน้าแทนการเดินอ้อมไปเก็บ  หลีกหนีสายตาไอ้ภพที่มองมาหาผมอย่างจับผิด ก่อนจะได้พบว่า สิ่งที่ผมพยายามจะปกปิดเป็นอันต้องไร้ประโยชน์ไป  เพราะเรื่องราวที่ปรากฏตรงหน้าได้สร้างคำตอบจากร่างกายผมให้ไอ้ภพทั้งหมดแล้ว  ไม่ใช่เพราะมันรู้ตัว  แต่เป็นเพราะผมที่ชะงักค้างนิ่งไป หลังจากที่สายตาได้มองทะลุขาตั้งกระดานไปพบกับสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้ด้ามชอล์กหยุดอยู่กับที่

ช่วงขาของมนุษย์นับสิบ  ยืนเรียงรายกันแน่นอยู่ภายหลังกระดานดำแผ่นนี้   อีกทั้ง ขาของหนึ่งในนั้นยังได้ทำการหยุดชอล์กที่เคลื่อนที่  ด้วยการใช้นิ้วโป้งเท้าเหยียบมันเอาไว้  และที่สำคัญ  ร่องรอยของน้ำทั้งเก้าวัดซึ่งโดนแรงโน้มถ่วงของโลกดูดให้ตกลงมาที่พื้น ยังสะท้อนภาพร่างกายของมนุษย์ที่ทำการนั่งแกว่งตัวอยู่บนกระดาน จนขาตั้งเอนหนีศูนย์กลางไปอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งสำเนียงพึมพำไม่เป็นภาษาออกมาตามจังหวะการโยก

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความนิ่งชนิดที่ว่ามีเพียงใจเท่านั้นที่เต้นรัว  แววตาระส่ำระส่ายแสดงออกถึงการชั่งใจระหว่างการกรีดร้องหรือยอมรับความจริงที่ละความสนใจแล้วเอื้อมไปหยิบชอล์กดั่งความตั้งใจแรก  ภาพที่เห็นเล่นเอาช่วงหน้าอกผมคัดแน่น ลมหายใจไม่มีแรงแม้จะปล่อยออก  มือข้างหนึ่งจำเป็นต้องยกขึ้นมาลูบริมฝีปากที่กำลังจะสั่นเบาๆอย่างปลอบประโลม  แต่เนื่องด้วยช่วงขาที่เห็นกำลังค่อยๆย่อตัวลงมาบนพื้น เวลาตัดสินใจของผมจึงลดลงและแปรเปลี่ยนเป็นการหลับหูหลับตากระชากชอล์กจากปลายเท้ากลับคืนที่เดิม

และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา  วิญญาณที่เคยนั่งอยู่บนกระดานก็พลันหายไปคล้ายกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

หึ หึ

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ดังระงมมาจากวิญญาณตนใดสักตนที่ยืนอยู่  ก่อนที่เสียงนั่นจะเริ่มเพิ่มจำนวนไล่ไปเรื่อยๆคล้ายกับท่วงทำนองของดนตรีที่ฟังเสนาะหูแต่กลับบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก จนสรรพางค์กายสั่นเทิ้มอย่างหนัก  มือที่ยึดติดอยู่บนกระดานไม่มีแรงแม้แต่จะเขียนตัวอักษรของรายนามถัดไป  จนสุดท้ายคำสั่งโง่ๆที่เราทั้งคู่ลืมเสียสนิทก็ผุดขึ้นมา เพราะคิดว่ามันคงเป็นสิ่งเดียวที่จะกลบเสียงทุ้มต่ำพวกนั้นให้เบาลงจนถึงขั้นหายไป

“ภ…ภพ  กูว่าเราลืมเปิดเพลงงานศพคลอบรรยากาศ”

“มึงจะไหวเหรอมิว  ใกล้เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ รีบทำไปเถอะ”

“ยังไม่เสร็จ  ไปเปิดเถอะ  กูขอร้อง  ตอนนี้…บ้านมันเงียบเกินไป” ไอ้ภพไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้ารับ  ก่อนที่มันจะเดินไปหยิบเครื่องเล่นเทปนั่น พร้อมกับเปิดในสิ่งที่ผมคิดว่ามันจะบรรเทาอาการหวาดผวาของผมให้ลดลง

แทบไม่น่าเชื่อว่าการร้องขอให้ไอ้ภพเปิดเสียงที่สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของผมได้ จะกลายเป็นสิ่งเดียวที่ผมคาดหวังกับมัน  จนเมื่อทำนองเพลงปี่พาทย์มอญได้เริ่มขึ้น  ผมจึงไม่รอช้าที่จะบรรเลงรายชื่อถัดไปให้หมดสิ้น  ทว่าเพียงแค่ปลายชอล์กสีขาววางลงบนกระดานเท่านั้น  ความคาดหวังทั้งหลายก็พังทลายลงไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี

ผมคงลืมไปว่าเพลงที่ใช้บรรเลงเพื่อวิญญาณ  นอกจากมันจะไม่ได้ช่วยคนเป็นอย่างผมแล้วนั้น

มันยังเหมือนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ได้ทำให้สัมภเวสีเหล่านั้น มีช่วงเวลาที่จะได้…เริงระบำ

ราวกับภาพหลอนที่ยังคอยตามไม่จบสิ้น  ราวกับความหวาดผวาที่ย้ำเตือนให้ผมยังคงกลัวในสิ่งที่ตนเองกำลังท้าทาย  เมื่อหลังจากเพลงเริ่มบรรเลงทำนองช่วงที่บีบคั้นจิตใจผมมากที่สุด  กระดานดำตั้งพื้นตรงหน้าก็เริ่มที่จะสั่นไปมาจนไม่ใช่แค่ผมที่มองเห็น  หากแต่เป็นไอ้ภพที่ได้เคลื่อนตัวมายืนอยู่ใกล้ๆและมองความผิดปกติตรงหน้าด้วยกัน

ไอ้ภพหันหน้ามองผมโดยใช้สายตาที่ติดจะไม่เข้าใจภาพตรงหน้านัก  มันพยายามถามผมผ่านสีหน้าที่เริ่มแสดงออกถึงความหวั่นใจ  แสงเงาเพียงน้อยนิดที่มองเห็น เริ่มตกกระทบกับเม็ดเหงื่อบนหน้าไอ้ภพ บอกให้รู้ว่ามันก็รู้สึกหวั่นเกรงกับวิญญาณไม่ต่างกัน   ดังนั้น ผมจึงต้องรีบส่ายหัวบอกให้ไอ้ภพรู้ว่านอกจากเสียงที่ได้ยินและกระดานดำที่โยกเอน  ผมก็ไม่ได้เห็นอะไรนอกเหนือจากนี้อีกเลย

ดั่งกับกาลเวลา คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้วิญญาณพวกนั้นยังคงซ่อนตัว เพื่อรออะไรที่มากกว่านั้น

“มิว  เกิดปัญหา”

“ม…มีอะไร?”

.
.
.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2017 12:59:29 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“รายชื่อของคุณศตวรรษ   ไม่มีวันตายระบุเอาไว้”

เมื่อมาถึงรายชื่อสุดท้าย  ผมได้ตัดสินใจที่จะลบรายชื่อทั้งเจ็ดออกไปจากกระดานทั้งหมด  และปล่อยให้พื้นที่ว่างตรงหน้าได้สรรเสริญรายนามที่ผมตั้งใจจะเขียนออกมาให้ดีที่สุด  รายชื่อของคุณศตวรรษพร้อมนามสกุล  ถูกผมใช้ตัวอักษรขนาดไม่น้อยเขียนสดุดีบนกระดานนั่น  โดยมีไอ้ภพเป็นลูกมือคอยอ่านวันเกิดและวันตายตั้งแต่ต้องเขียนรายชื่อของคนตายชื่อที่สอง  แม้กระดานดำที่โยกเอนจะยังคงเกิดขึ้นแบบเดิม ตามระยะเวลาที่เหล่าวิญญาณเห็นสมควร

“ย…อย่างนั้นเหรอ  งั้นเดี๋ยวกูจะเขียนวันที่ ที่กูคิดว่าใช่แทนแล้วกัน”

ผมตอบไปอย่างไม่ทันคิดเท่าไร  เสียงหัวเราะที่ดังคลอกับเสียงงานศพ กำลังทำลายความรู้สึกรับรู้และการตอบสนองของผมไปทีละนิด  การไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะผมไม่เห็นตัว ยังคงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเหนี่ยวรั้งการกระทำของผมให้ดำเนินต่อไปได้  หลังจากตบปากรับคำไป  สมองของผมจึงต้องเค้นไปถึงเรื่องราวที่ผมได้เห็นชื่อคุณศตวรรษเป็นครั้งแรก  แล้วค่อยๆเขียนวันที่ซึ่งผมได้เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า

ไม่ใช่…ไม่ใช่วันนั้น

เสียงแหบแห้งแต่ทรงพลังดังคุ้นหูผมจนแทบประชิด  พร้อมกับที่ไอเย็นเริ่มห่อหุ้มร่างกายของผมเอาไว้จนเหน็บหนาว  มือของผมเริ่มถูกมือของวิญญาณที่คาดว่าเป็นคุณศตวรรษจับปลายนิ้วให้ขีดเขียนตัวเลขที่ทำให้ใจของผมแกว่งไปมาอย่างควบคุมไม่อยู่  และดูเหมือนไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ  เพราะไอ้ภพที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนั้น ก็ได้เริ่มส่งเสียงร้องทักขึ้นมาหลังจากได้เห็น  วันที่ที่เราทั้งคู่เคยเดาเอาไว้มากมายถูกทำลายลงด้วยความจริงที่เราสองต่างก็ไม่ได้คาดคิดและเตรียมใจมากพอที่จะรับรู้

แน่นอนว่าวันที่เหล่านั้นพวกเราทั้งคู่ต่างจดจำกันได้เป็นอย่างดี…เพราะในขณะที่คุณศตวรรษต้องทิ้งร่างฝังลงดินไป  มันกลับเป็นขณะเดียวกัน ที่พวกผมต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้

“มิว…มึงเขียนอะไรลงไป?” เนื้อความร้อนรนของไอ้ภพ  รีบร้องถามข้อเท็จจริงที่ถูกวาดไว้บนกระดาน

“วันตายของคุณศตวรรษไงภพ  เขาเป็นคนที่เขียนวันที่นี้เอง…ไม่ใช่กู”

ไอ้ภพรีบวิ่งเข้ามาลบเนื้อความทั้งหมดออกเพราะกังวลว่าเกมจะสงสัยในการหยั่งรู้ที่เกินไปของพวกเรา  นั่นจึงเท่ากับว่าบัดนี้เกมทุกอย่างใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์เต็มทน  เพราะเหลืออีกเพียงสองรายชื่อเท่านั้น  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็นเพียงอดีตที่ทำได้แค่ตามหลอกหลอนต่อไปในความฝัน 

สองรายชื่อสุดท้ายคือสิ่งที่หนังสือเขียนกำกับเอาไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นชื่อของพวกเราทั้งสองคน  โดยมีกระดาษสองแผ่นนั้นเป็นตัวกำหนดชะตาสุดท้ายของชีวิต  ภายในสามวันข้างหน้านับจากคืนนี้  วันตายของเราทั้งคู่จะถูกจารึกลงบนกระดานดำผีสิงแผ่นนี้  พร้อมกับที่พวกเราได้รู้สึกตัว ถึงสาเหตุที่เราต้องทำพิธีปลุกวิญญาณในกระดานดำนี่ขึ้นมา

“เอาชอล์กมา  เดี๋ยวตรงนี้กูขอเขียนเอง”ไอ้ภพแย่งชอล์กไปจากมือ  พร้อมกับแสดงวิธีการเล่นเกมที่เหลือโดยการตัดสินใจที่จะเขียนชื่อมันลงไปคนแรก

ทันทีที่ไอ้ภพเขียนชื่อและวันเกิดตนเองจบ  กระดานดำที่เคยโยก ก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงแทบจะในทันที  ก่อนที่ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจทั้งหลายของบรรดาสัมภเวสีที่ร้องดังระงมไปทั่วจนกลบเสียงของดนตรีปี่พาทย์มอญไปหมดสิ้น  สร้างบรรยากาศให้ผมต้องยืนนิ่งค้างไปกับสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นรายล้อมรอบตัว โดยที่ตัวไอ้ภพเองไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่า บางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมาย  และยิ่งถึงคราวที่มันต้องเขียนวันมรณะนั้น  เสียงหัวเราะมากมาย ก็กลับกลายเป็นเสียงหายใจอย่างแรงคล้ายกับอาการลุ้นและรอคอยบางอย่างจากมนุษย์ที่กำลังท้าทายพวกมัน

“ภพ!! อย่าพึ่งเขียนวันที่มรณะนั้นได้ไหม”

ปั้ง!!!

ราวกับกดสวิตซ์ความเงียบ… เมื่อผมลั่นวาจาออกไป  เสียงที่เคยดังกึกก้องในบ้านก็ดับสูญไปสิ้น  หลังจากนั้นเสียงทุบสิ่งของบางอย่างก็ดังลั่นแทรกความวังเวงของบ้านขึ้นมาจนผมสะดุ้ง  แรงพยาบาทและความไม่พอใจในตัวของผมถูกสะท้อนกลับขึ้นมาด้วยการกระทำที่แสดงออกถึงความอาฆาตของเหล่าวิญญาณพวกนั้น

“ทำไม?  เกิดอะไรขึ้น?”

“มึง…รู้ไหมว่าทำไมเราต้องปลุกวิญญาณ”

“เพราะ?”

สักขีพยานไงภพ  สักขีพยานที่ถูกเรียกเข้ามายืนยันว่ามึงจงใจจารึกความตายของตนเองลงบนกระดานดำหน้าศพแผ่นนี้  จนอาจทำให้ชีวิตที่เหลือของมึงถูกจองจำอยู่ภายใต้ปลายชอล์กบนมือนั่นก็ได้  ตัวตายตัวแทน  มึงคงเข้าใจคำนี้”

“แล้ว…จะทำยังไง  ในเมื่อสุดท้ายกูก็ต้องย้อนกลับมาเขียนอยู่ดี”

“อย่าเขียนวันตายลงไป พร้อมกับที่ชื่อของมึงก็ต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย”

สีหน้าของไอ้ภพติดจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ  แน่นอนว่าหากเป็นผมที่อยู่ดีๆก็ถูกสั่งให้ทำตามในเรื่องที่เราต่างก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้  การแสดงออกของผมก็จะไม่ต่างไปจากไอ้ภพ  ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะบันดาลความจริงให้ไอ้ภพเข้าใจทั้งหมด ผมจะต้องเป็นคนกลับมานำเกมคืนนี้ต่อด้วยตนเอง

“เอกภาพ  วันที่มรณะ  กูจะไม่มีวันตายตามคำสั่งของมึง

กระแสเสียงที่เปล่งตามการขีดเขียนของไอ้ภพ  เริ่มไล่น้ำหนักจากแผ่วเบาไปจนเข้มขึ้นเรื่อยๆ  ปลายเสียงของประโยคบ่งบอกทุกความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของว่า ภาวะตอนนี้ของมันเปี่ยมล้นไปด้วยความตึงเครียด  ผมวางชอล์กลงบนร่องกระดานก่อนจะหันไปสบตาของไอ้ภพ  ที่ยังคงจับจ้องไปบนกระดานนั่นด้วยสีหน้าที่เรียกว่าตื่นตระหนก

“มิว  แน่ใจแล้วใช่ไหม? ว่าจะเขียนคำนี้ลงไปจริงๆ”ไอ้ภพเบนมาถามผมด้วยความรู้สึกที่ถ้าผมเดาไม่ผิด  ตัวมันคงไม่ได้กลัวเท่าไรนัก  แต่ดันห่วงเรื่องราวต่อจากนี้มากกว่า หากผมรั้นที่จะไม่ทำตามคำสั่งเกม

“กูเลือกแล้วภพ  ทางนี้นี่แหละที่จะช่วยพวกเราได้มากที่สุด  ตอนนี้บ้านที่เราอยู่มันไม่ได้มีเพียงเราสอง  มึงคงรู้แล้วใช่ไหม ว่าถ้าเราเลือกวันตายของเราลงไปเมื่อไร  เกม…จะไม่ใช่ฝ่ายที่พรากชะตาสุดท้ายของเราไปนะ”

“อืม ถ้ามึงเลือกแล้ว  กูก็จะไม่ขัด”

“ถ้าอย่างนั้น  กูขอเขียนชื่อตัวเองต่อนะ”

กู…จะไม่มีวันตายตามคำสั่งของมึง


แว่วเสียงพึมพำเล็กๆของผู้หญิง  ลอยมาตกกระทบกับแก้วหูของผมจนการเขียนต้องหยุดนิ่ง เสียงนั่นแม้จะไม่ได้ดังก้องกังวานไปเสียทั่วบ้าน  แต่ก็สามารถทำให้ผมได้ยินชัดในทุกๆคำที่เธอคนนั้นพยายามจะสื่อ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น  เสียงพึมพำบางอย่างที่ผมได้ยินมาได้สักพัก ก็ยังลอยตามลมมาด้วย

กูจะไม่มีวันตายตามคำสั่งของมึง…

คราวนี้เสียงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง  ดังย้ำชัดอยู่เพียงบริเวณด้านหลังของผมนี่เอง  สัญชาตญาณความต้องการที่จะรู้ จึงค่อยๆนำร่างกายของผมให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เข้ามามีชีวิตร่วมกันภายในบ้าน  ไอ้ภพที่คงจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าและร่างกายของผมได้ ก็ค่อยๆหันตามโครงหน้าของผม ก่อนที่จะหันกรอบตาไปยังจุดที่ผมถึงกับต้องมองค้างและรู้ได้ทันทีว่า เสียงนั่นมาจากใคร

พิธีปลุกวิญญาณได้นำพาสักขีพยานให้มารับรองความตายของผมหากรายชื่อถูกบัญญัติลงไป

บนหลังตู้เก็บของที่ตั้งอยู่ด้านหลัง  ปรากฏร่างของหญิงสาวผิวกายขาวซีดตนหนึ่ง นั่งดีดขาไปมาพร้อมกับปล่อยเสียงพึมพำออกมาอย่างไม่ได้ศัพท์  แน่นอนว่าระยะห่างระหว่างหลังตู้กับเพดานย่อมมีไม่มากพอที่จะให้คนขึ้นไปนั่ง  วิญญาณที่ผมเห็น  ตั้งแต่ช่วงคอขึ้นไปจึงหายเข้าไปในส่วนของเพดาน  มีเพียงเสียงที่ดังออกมาเท่านั้นที่ยืนยันว่าร่างกายตรงหน้ายังคงมีส่วนหัวอยู่

ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้จ้องมองให้นานกว่านี้นัก วิญญาณของผู้หญิงตนนั้นก็ได้เริ่มขยับส่วนหัวของตัวเองออกมาจากเพดาน จนทำให้ปลายผมห้อยย้อยออกมาเป็นอย่างแรก  ไล่มาเรื่อยๆจนสามารถเห็นดวงตาสีแดงกล่ำยามจับจ้องมาที่พวกเรา  วิญญาณตนนั้นกรอกลูกตาไปมาระหว่างใบหน้าของพวกผมและเนื้อความด้านหลัง ก่อนที่เธอจะเลือกสบตากับผมและใช้มือของตนเองล้วงเข้าไปในปาก และกระทำในสิ่งที่ผมไม่มีทางลืมได้อีกตลอดชีวิต

มือของมันค่อยๆขยับกรามล่างเบาๆ ก่อนที่จะกระตุกจนสุดแรงจนทำให้กระดูกส่วนกรามล่างของใบหน้าหลุดและแกว่งไปมาคล้ายคนโดนของกระแทกจนกรามหัก…พร้อมกับที่เหรียญบาทในปากของมันได้ร่วงหล่นกระทบพื้นเสียงดังใสเพราะส่วนปากของมันถูกเปิดจนอ้ากว้าง

ท่าทางสยดสยองที่ผมเห็น เริ่มดันน้ำตาของผมให้คลอหน่วย  ใจเต้นแรงดั่งกลองชุดและยิ่งแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อท่าทีของผู้หญิงคนนั้น เริ่มปีนป่ายลงมาจากตู้คล้ายจะคืบคลานเข้ามาหาผม  วินาทีนั้นไอ้ภพก็ได้ยื่นมือของมันเข้ามากอบกุมมือของผมเอาไว้พร้อมกับที่ค่อยๆลูบให้ผมเย็นลง  แน่นอนว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกเสียจากการเพิ่มความกล้าให้ผมหันหลังกลับไปเขียนสิ่งที่ติดค้างสิ่งสุดท้ายบนกระดานอีกครั้ง

แต่ทว่าเมื่อหันกลับมา  วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นก็เคลื่อนย้ายมานั่งบนกระดานพร้อมจับจ้องลงมาที่ใบหน้าของผม  กอปรกับที่ ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของขาดำคล้ำที่ก่อนหน้าเคยยืนอยู่เพียงหลังกระดานดำ  ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวโผล่ออกมาจากทั้งสองข้าง จ้องมองมาที่การกระทำของผมอย่างเฝ้ารอด้วยดวงตาที่มาดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมสูดลมหายใจของตนเองเข้าออกอย่างช้าๆ  ทำลายอาการแน่นและปวดไปทั้งหน้าอกของตนเอง  แล้วค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปเขียนเนื้อความที่ยังไม่จบให้สมบูรณ์  ผ่านการปัดป่ายของบรรดาขาและมือของเหล่าวิญญาณที่รายล้อมรอบกระดานดำแห่งนี้

จวบจนมาถึงที่ว่างสุดท้ายด้านล่างคำที่เขียนไว้ว่าวันที่มรณะ  กระดานที่โยกไหวเพราะหญิงสาวคนนั้นก็พลันหยุดไปสิ้น หนำซ้ำ วิญญาณจำนวนมากมายที่หลบอยู่หลังกระดาน ก็เริ่มพากันเดินออกมายืนเทียบเคียงผม โดยที่สายตาของทุกคู่ต่างก็จับจ้องมองมาที่ข้อมือ พร้อมกับที่ปากของผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มบรรเลงสำเนียงแปลกขึ้นมาอีกครั้ง  แต่คราวนี้ผมสามารถได้ยินชัดและเข้าใจ ว่าสุดท้ายคำพูดนั้นมันคืออะไร

มันคือบทบัญญัติตาย มันคือบทสวด ที่ผมและไอ้ภพได้ท่องกันไว้ก่อนที่จะเริ่มนำน้ำในขันไปทำพิธีในบ้าน

…มันคือบทสวดปลุกวิญญาณ

เขียนไม่ได้เหรอ  หึหึ วันตายของมึง  กูเขียนให้…เอาไหม?


บทปลุกวิญญาณนั่นไม่ใช่แค่ดังมาจากปากของผู้หญิงคนนั้น  หากแต่วิญญาณที่อยู่รอบตัวผมทุกตนต่างก็ท่องประสานออกมาเป็นเสียงเดียวกันจนทำให้บ้านทั้งหลังไม่ต่างไปจากพิธีศพในวัด  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำนองบทท้าทายจบลง วิญญาณหนึ่งเดียวบนกระดาน ก็เคลื่อนกายของเธอลงมาประชิดหน้าผม พร้อมกับร้องถามในสิ่งที่ผมไม่ต้องการจนกลิ่นเน่าเหม็นโชยตลบอบอวลไปทั่วจมูกของผม

หมับ

สัมผัสอุ่นหนาของฝ่ามือด้านหลัง ดึงรั้งผมให้เข้าไปแนบอบแกร่งของไอ้ภพจนผมถึงกับสะดุ้ง  ท่าทีแปลกๆของผมคงไม่อาจรอดพ้นสายตาของมันได้ วิธีการช่วยเหลือสุดท้ายจึงถูกมันหยิบยกขึ้นมาใช้เพราะคิดว่า เกมคืนนี้ร่างกายของผมไม่อาจทนต่อได้แล้ว

“ปล่อยมือออกเถอะภพ กูไม่สามารถหนีอีกต่อไปได้แล้ว”

ช่วงเสียงที่บอกถึงอาการอ่อนแอแต่ยังยืนหยัดในความคิดของผม  ร้องบอกให้ไอ้ภพปล่อยมือออกจากดวงตา ก่อนที่จะนำมือของตัวเองมาดึงมือไอ้ภพที่ยังคงฝืนปกปิดความจริงตรงหน้าของผมไว้ให้เปิดออก

ภาพที่ผมเห็น  เสียงที่ผมได้ยิน ทุกอย่างยังเป็นแบบเดิม ไม่ต่างไปจากความรู้สึกของผมที่ก็ร่ำร้องออกมาแบบเดิมว่ากลัวแต่ผมหนีต่อไปไม่ได้แล้ว  ดังนั้นมืออันสั่นเทาของผมจึงต้องใช้มันกลับไปสู่กระดานดำผีสิงแล้วเริ่มเขียนเนื้อความสุดท้ายที่เป็นบ่วงรัดคอผมให้หมดสิ้น

กูจะไม่มีวันตาย…ไปพร้อมพวกมึง


บริเวณหน้าต่างห้องนอนของบ้านชั้นสอง ปรากฏกายของชายหนุ่มสองคนยืนพูดคุยเสียงเครียด


หลังจากเสร็จสิ้นเกมมรณะ  ไอ้ภพก็จัดการลบรายชื่อของทั้งผมและมันทิ้งจากกระดาน  เหลือเพียงไว้แต่คำพูดท้าทายที่มันคงจงใจทิ้งให้ทีมงานหรือฆาตกรในเกมนี้มองเห็น ก่อนขึ้นมา ไอ้ภพไม่ยอมปล่อยผมให้มองเห็นได้อีกเลยตั้งแต่ผมเขียนเสร็จ  มือของมันถูกใช้ขึ้นปิดตาผมอีกครั้ง ก่อนที่มันจะพาผมเดินขึ้นมาบนห้อง พร้อมกับชวนคุยเรื่องต่างๆกลบเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ผมยังคงได้ยินอยู่…แม้ในขณะนี้

“มิว  วันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง  เล่าให้กูฟังที เอาตั้งแต่เริ่มเลยนะ”

ผมพยักหน้ารับมันเบาๆด้วยภาวะที่ติดจะหวาดผวาจากเสียงที่ได้ยินอยู่เล็กน้อย   ก่อนจะค่อยๆถ่ายทอดทุกเรื่องราวให้ไอ้ภพฟังอย่างละเอียด พร้อมกับที่มันก็ได้ยื่นมือหยาบหนามาสัมผัสหากผมต้องฝืนเล่าส่วนที่เรียกว่าวิญญาณให้มันฟัง จนอดยิ้มตามไม่ได้

“แล้วมึงไปทำอะไรที่หน้าประตูห้องน้ำ”

“ภพ…จำตอนเกมซ่อนหานั่นได้ไหม ที่กูเคยเล่าให้ฟังว่ากูได้ยินเสียงหายใจในห้องน้ำแล้วคิดว่าเป็นมึง เลยขึ้นไปหาหนะ  วันนี้กูได้ยินมันอีกครั้ง  เสียงแบบเดิม จังหวะเดิมทุกอย่างเลย”

“แล้วมันเป็นเสียงของใคร?  ทำไมมึงถึงต้องสนใจขนาดนั้น”

“มันคือเสียงของคุณศตวรรษ  ที่กูต้องสนใจมันมากเป็นเพราะกูต้องเจอเขาตั้งแต่เกมแรก  เขาคือสิ่งที่พากูออกไปข้างนอกนั่น ซึ่งถ้ากูไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเขาในช่วงที่ผ่านมา  กูจะคิดว่าเขาจงใจที่จะเอากูออก”

“แล้วมึงคิดว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?”

ผมไม่ตอบไอ้ภพทันที  หากแต่เบนสายตาไปยังกำแพงด้านล่างที่กั้นระหว่างบ้านและป่าไว้  ให้บรรยากาศคืนนี้นำพาเรื่องราวในอดีตหวนคืนสู่หัวสมองผม ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวและตำแหน่งที่ผมเห็นทุกอย่างในเกมแรกให้มันเห็นภาพอีกครั้ง 

เรื่องราวคืนนั้นมันมีบางอย่างที่ผิดปกติไปพอสมควร  จนผมอดคิดไม่ได้เลยว่า เกมซ่อนหานั่นวิญญาณคุณศตวรรษต้องการที่จะบอกอะไรกับผม

“ถ้าคืนนั้น รายการนี้มันไม่มีกฎ กูคงได้ตามวิญญาณเขาออกไปเพราะยังคิดว่าเป็นมึง”

“มึงจะบอกว่า  เขาจะนำทางเราไปดูอะไรอย่างนั้นเหรอ”

“อืม…ไม่แน่ว่าฆาตกรอาจเข้ามาซุ่มดูพวกเราอยู่ในทุกๆคืนตั้งแต่วันแรก  สังเกตไหม ว่าช่วงหลังๆเกมมันเหมือนสร้างมาเพื่อกำจัดคนอย่างกู  มันไม่ใช่เพราะความบังเอิญเป็นแน่ แต่เป็นเพราะรายการรับรู้อยู่แล้วว่าใคร คือคนที่อ่อนแอที่สุด”

“มิว…จำเรื่องที่กูเคยบอกได้ไหมว่าลุงมั่นเล่าเรื่องราวแปลกๆออกมาให้กูฟัง”

“เรื่องไหน?  เรื่องบ้านหลังนี้เหรอ”

“อืม  ครั้งนั้น ลุงมั่นได้เล่าว่าแท้จริงแล้วมีคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆาตกรรม เขามาขอความช่วยเหลือจากลุงมั่น  ตอนนั้นสิ่งที่กูค่อนข้างจะแปลกใจเลยคือ ทำไมคนสุดท้ายที่รอดชีวิต ถึงได้ยอมขายเรื่องราวสุดอนาถของตัวเองให้รายการนี้”

“เขาอาจจะ ไม่ได้คิดอะไรแล้วก็ได้มั้ง”

“เป็นไปไม่ได้หรอก คนที่ถูกไล่ฆ่าโดยไม่มีสาเหตุจะลบความทรงจำพวกนั้นไปได้ยังไง  ที่สำคัญคนในครอบครัวเขาตายกันหมด มึงคิดว่าเขาจะทำใจได้เหรอ  เว้นแต่ว่า…”

“ว่าอะไร?”

“ฆาตกร อาจคือผู้รอดชีวิตของครอบครัวนั้น”

“มึงจะบอกว่าลุงมั่นทำงานให้ฆาตกรเหรอ”

“มีสองอย่างนะมิว คือลุงมั่นไม่รู้จริงๆว่าผู้ว่าจ้างเป็นฆาตกร อาจจะด้วยความใกล้ชิดยามที่เคยช่วยเหลือ  กับ การที่ลุงมั่นเองนั่นแหละที่อาจจะเป็นฆาตกร”

“เพราะอะไร ถึงคิดแบบนั้น?”

“วันที่มรณะนั่นไง  เดิมทีมันถูกกำหนดเอาไว้เมื่อปี 2539  แต่ที่มึงเขียนมันกลับถูกเปลี่ยนไปเป็นปี 2519  กูรู้นะมิวว่ามึงไม่ได้เขียนผิด  ฉะนั้นถ้าเรื่องเกิดเมื่อปี 2539 ลุงมั่นก็จะตรงประเด็นกับในข้อแรก  แต่ถ้าหากเป็นข้อที่สอง  ลุงมั่นก็อาจจะเป็นฆาตกร”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่า ลุงมั่นถูกสั่งให้พูดออกมาแบบนั้น  วันนั้นมึงก็บอกกูว่าเขากำลังโดนทีมงานทำร้าย”

“อืม กูถึงใช้คำว่าอาจจะไง  คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลุงมั่นและสามารถเป็นฆาตกรในเกมนี้ได้ต้องไม่ใช่แค่หลบอยู่เบื้องหลัง หากแต่พวกมันจะต้องคอยจับตาดูเราอยู่ตลอด  ดังนั้นปมที่เราขยายไปกว้าง กูจึงตัดตัวเลือกออกมาเพียงเท่านี้ ไม่ลุงมั่น ก็ต้องเป็นลุงคำ”

“ภพ…ลองเล่าเรื่องที่มึงได้ฟังทุกอย่างจากลุงมั่นมาให้หมดได้ไหม  บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่กูต้องรับฟังเรื่องโกหกที่เหลือ”

ไอ้ภพไม่ได้ขัดอะไรเพิ่มเติมอีก หลังจากนั้นมันก็ทำการถ่ายทอดเรื่องราวที่ทำให้ผมคิ้วขมวดเพราะรู้สึกติดขัดในเนื้อหา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเด็กชายที่เคยมาขอความช่วยเหลือ  หรือจะเป็นเรื่องราวของเด็กชายในห้องพิมพ์ดีดที่ครั้งหนึ่งลุงมั่นเคยหยิบยกขึ้นมาเตือนไอ้ภพ เนื่องจากการอยากรู้อยากเห็นที่มากเกินไปของมัน

“มึงคิดว่า…ใครกันที่เป็นคนถือความจริงเอาไว้” ผมถามไอ้ภพด้วยเนื้อเสียงเคร่งเครียด

“สักคนแหละมิว  แต่คนๆนั้นต้องไม่ได้ใช้นามสกุล อดุลกรไกรเลิศ”

หลังจากพูดคุยเสร็จแล้วนั้น ไอ้ภพก็ขอแยกออกไปอ่านสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้ก่อน แล้วปล่อยให้ผมดื่มด่ำกับความรู้สึกของตนเองผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน  จนกระทั่งความง่วงได้เข้ามาคุกคามความต้องการผม

แค่เสี้ยววินาทีที่ผมจะหันหลังกลับมาที่เตียง  สายตาของผมก็ไปสะดุดกับบุรุษร่างๆหนึ่งเข้า  ด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงการพยายามด้อมๆมองๆเข้ามาในบ้าน  ได้ทำการสะกิดหัวใจของผมให้สั่นคลอน 

สิ่งที่มองเห็นอาจเรียกได้ว่า มันน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณมากมายข้างล่างนั่น

หากแต่มัน ก็ไม่เท่ากับความผิดหวังอย่างแรงที่ได้เข้ามาย่ำยีความเชื่อมั่นสุดท้ายที่ผมมี ยามที่ต้องยอบรับความจริง

ลุงมาทำอะไรในเวลานี้   ในบ้านหลังนี้…ลุงคำ





************************************************TBC*****************************************เอาภพมิวมาส่งแล้วนะครับผมมมม  ยังมีใครรออยู่มั้ยครับ 5555
ต้องขอโทษทีสำหรับการมาลงล่าช้านะครับ  ขออนุญาติเทเวลาไปให้การสอบนิดนึงนะ
ขอบคุณทุกๆการติดตามภพมิวนะครับ  ทุกคอมเมนต์ ทุกการแชร์ ทุกการพูดคุยเป็นกำลังใจให้ผมมาก ปลื้มปริ่ม
เหมือนเดิมนะครับ  สามารถติชมกันได้ทั้งในนี้และใน #Nightmaregame นะครับ ผมรอดูอยู่
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

ออฟไลน์ nuchhxk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ้าวลุงคำ.. หวังว่าจะไม่หักมุมนะคะ  :sad4:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ลุงคำเรอะ?! ชักจะลึกลับซ้อนเงื่อนเข้าไปทุกทีแล้วสิ :katai1: ติดตามตอนต่อไปค่า :mew1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุงมั่นก็น่าสงสัย ลุงคำก็น่าสงสัย
แต่น่าจะมีเบื้องหลังอีก ลุ้นๆ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ในตอนนี้มิวเข้มแข็งขึ้นมาก ปรบมือรัวๆ

ว่าแต่ไม่ว่าใครก็น่าสงสัยหมด :ling3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออ!! น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
อย่างที่ว่า ใจคนน่ากลัวกว่าผี
 :mew4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ้าว ลุง  :katai4: :katai4: ลุงไหนซักลุงเนี่ยแหล่ะต้องเป็นฆาตกร  :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
หรือลุงคำนี่แหละจะเป็นฆาตกร
คนนี้แหละน่ากลัวกว่าผีเยอะจริงๆ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
 :a5: มายก้อดดด ตอนนี้คนน่ากลัวเกินไปละ ปริศนาเยอะไปไหม โฮกกกกก
ปรบมือรัวๆให้มิว เข้มแข็งมากจีๆ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว รออ่านตอนต่อไปน้า

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่25

กลโกง


ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดหนึบบริเวณหัวตาเนื่องจากนอนไม่พอ เรื่องของลุงคำเมื่อคืนยังคงติดค้างอยู่แม้ในฝัน ผมไม่อาจจะหาเหตุผลมาปลอบใจตนเองได้เลย ภาพท่าทีของการเคลื่อนไหว มันบอกให้ผมรับรู้ว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตา มันคือเรื่องจริงที่ผมต้องยอมรับ ผมถึงได้นอนคิดมาตลอดคืน จนกระทั่งเมื่อครู่ เสียงคุยกันดังขโมงด้านล่างก็ปลุกผมตื่นโดยพลัน

ผมหันสายตาไปมองไอ้ภพที่ยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยท่าทีอ่อนล้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะเดินลงจากห้องเพื่อไปพบกับบุคคลที่ก่อให้เกิดเสียงดังชวนน่ารำคาญข้างล่าง แล้วจัดการถามหาสาเหตุที่นำพาให้พวกเขาเดินทางเข้าสู่ตัวบ้านหลังนี้อีกครั้ง

แปะ แปะ แปะ

“ปรบมือต้อนรับ วีรบุรุษวิญญาณเมื่อคืนหน่อยครับ”


เสียงเอ็ดตะโลของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประโยคชวนให้คิ้วกระตุก  เนื้อความเหล่านั้นไม่ได้หมายความดั่งที่พวกเขาว่า  หากแต่เป็นการประชดประชันทางเนื้อเสียงและปล่อยให้สีหน้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นแววตาเย้ยหยัน  มุมปากเหยียดยิ้ม หรือจะการขยับมือปรบให้ผมเล็กน้อย ทุกสิ่งอย่างหลอมรวมให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นการหาเรื่องมากกว่าจะประสงค์ยินดี

“พวกคุณ…เข้ามาหาผมถึงที่นี่ มีอะไรกันครับ”

ผมตอบกลับด้วยกระแสเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก  หากแต่ยังคงรักษามารยาทที่ยังจำเป็นเอาไว้ ทีมงานที่เข้ามาชุดนี้ไม่ใช่ทีมเดียวกับที่พาผมไปวัด  พวกเขาคือคนที่เข้ามาทำร้ายไอ้ภพตอนผมสิ้นสติไป ฉะนั้นผมจึงไม่อาจทำตัวราวกับว่าบาดแผลไอ้ภพไม่เคยเกิดขึ้นได้

“แหม่ คุณมิวเล่นทำเสียงแข็งแบบนี้ ผมไปต่อไม่เป็นเลยนะครับ”

“แล้วจะไปไหนละครับ? อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า มีอะไรก็รีบๆบอกมา”

“555 หยอกเล่นนิดเดียว ทำจริงจังนะครับ…เอาเป็นว่าคุณรีบไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมตัวเองให้พร้อมดีกว่าครับ เพราะวันนี้  เราต้องเดินทางไปข้างนอก  อีกครั้ง”

“ไปไหนครับ?  ภารกิจนอกบ้านไม่ยังไม่หมดอีกเหรอ  นี่ผมชักสงสัยจริงๆแล้วนะว่าบ้านนี้มันมีผีจริงไหม  ทำไมพวกคุณถึงรั้งแต่จะพาผมออกไปข้างนอก”

“มีไม่มีผมไม่รู้หรอกครับ  แต่ที่แน่ๆสถานที่ที่ผมจะพาไป มันมีแน่นอน  อีกอย่าง น้ำทั้งเก้าวัดที่เหลือ มันก็ยังไม่ถูกใช้นี่ครับ

ไม่รู้ว่าพวกมันจะเห็นปฏิกิริยาของผมหรือเปล่า  พวกมันถึงได้พากันยิ้มอย่างถูกใจเมื่อพูดจบ  แน่นอนว่าพิธีกรรมของน้ำเก้าวัด  พวกผมทั้งสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันมีไว้ทำอะไร  ฉะนั้น สถานที่แห่งใหม่ที่เกมบังคับพาผมไป นั่นจึงต้องไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอย่างวัดคราวก่อนเป็นแน่  ใบหน้าของผมจึงแสดงออกถึงอาการตกใจจนแทบผวาเพราะไม่อาจตั้งรับกับสิ่งที่พร้อมจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของผมไปอีกครั้งได้ทัน

“โกงกันเห็นๆเลยนะครับ รายการนี้”

“ใครที่โกงก่อนครับ?  หลักฐานมันก็ยังคาอยู่บนกระดาน ถ้าจำไม่ได้ก็หันไปมองนะครับ…รีบขึ้นไปปลุกชู้รักของคุณเถอะ  เมื่อคืน กิจกรรมที่ทำกันคงหนักมากใช่ไหม  ถึงได้ไม่รู้เลยว่านี่มันจะบ่ายสองแล้ว”

“นั่นปากหรืออะไรครับ เน่าเหม็นขนาดนี้ ไม่ทราบว่ามีใครไปตายในนั้นหรือไง”

“ตอนนี้ยังไม่มีหรอกครับ  แต่คาดว่าอีกไม่นานคงได้มี  ปากของผมวันนี้ มันพาพวกคุณตายได้เลยนะครับ

“ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้เตือนตัวเองเถอะครับ มันคงไม่ได้พาผมตายได้อย่างเดียว อย่าลืมสิ ใครที่อยู่ใกล้ปากคุณมากที่สุด คุณหรือผม?”

“เก่งให้ได้ตลอดนะครับเผื่อว่าเกมวันนี้มันจะสนุกขึ้น  อีกอย่าง หากไปถึงสถานที่วันนี้แล้ว ก็ช่วยท้าทายแบบเมื่อคืนด้วยนะครับ  รู้ไหม ว่ามันเป็นกระแสมาก จนผมอดคิดไม่ได้เลยว่า ใครกันที่คิดจะฆ่าคุณ?


ลมยามเย็นโชยเอาใบไม้ที่หล่นร่วงอยู่บนพื้นปลิวว่อน พัดพาเอาความรู้สึกของความทรมานให้หวนกลับมา

“ที่นี่หรือ…คือโรงพยาบาลร้าง”


สองขาของเราทั้งคู่ ก้าวลงจากรถตรงหน้าตึกสูงใหญ่แห่งหนึ่ง  เครื่องหมายบวกเด่นหราติดอยู่บนป้ายผุพังชั้นบนสุด บอกกล่าวให้รู้ว่า สถานที่สำหรับเล่นเกมภายในคืนนี้คือสิ่งที่เคยเป็นสถานที่ปลอบประโลมสุดท้ายของบรรดาเหล่าผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก่อนที่มันจะเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งนำพาให้ที่แห่งนี้มีเพียงความรกร้างและวังเวงเท่านั้นเข้ายึดครอง

หลังจากจบการสนทนากับทีมงาน  ผมก็ได้รีบวิ่งขึ้นไปหาไอ้ภพบนบ้านเพื่อที่จะปลุกให้มันมารับฟังกลโกงของรายการนี้  หากแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ไอ้ภพก็พุ่งถลาออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่ติดจะไม่พอใจบางอย่างอยู่  คาดว่ามันคงตื่นมานานแล้ว และคงได้ยินในสิ่งที่ผมกระทบกระทั่งกับทีมงานพอดี

การห้ามปรามด้วยปราการความอดทนสุดท้ายของผม  ดึงรั้งให้ไอ้ภพกลับเข้าสู่ตัวห้องอีกครั้ง แล้วปล่อยให้เวลาไหลพากิจกรรมต่างๆที่เราจำเป็นต้องทำให้ลุล่วง  การอาบน้ำ  กินข้าว หรือกิจกรรมเล็กๆที่พากันถ่วงเวลาให้ทีมงานรอนานที่สุดกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ระยะเวลาถูกยืดออกอย่างไม่ควรจะเป็น ก่อนที่คำสั่งเดินทางจะถูกเอ่ยขึ้นเป็นจริงเป็นจัง

ระหว่างการเดินทาง ทีมงานพวกนั้นต่างก็พากันพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนราวกับว่า โลกภายนอกบ้านหลังนี้ได้เกิดปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ที่สามารถดึงกระแสของเกมให้ดีขึ้น  แต่เมื่อทุกอย่างหมดประเด็นไป  การหันมาถากถางไอ้ภพเรื่องบาดแผลจึงกลายเป็นเรื่องสนุกปากของคนกลุ่มนั้น จนไอ้ภพต้องนั่งหน้านิ่วไปด้วยความอึดอัด

สุดท้ายเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่ตึกระฟ้ารกร้างตรงหน้า การพูดคุยที่หนาหูเมื่อครู่ก็พากันหายเงียบไปราวกับสิ่งที่เห็นกำลังร่ายมนตร์สะกดพวกเราให้มองความพิศวงจนต้องนิ่ง  โรงพยาบาลแห่งนั้น เดิมทีคงถูกจัดบริเวณให้โล่งเตียนพอสมควร  ยามเมื่อถูกปล่อยให้ร้าง ต้นไม้ใบหญ้าถึงได้ไม่ขึ้นมาระเกะระกะมากมายเท่าไรนัก  แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นที่สนใจเท่ากับบางอย่างที่รายล้อมรอบสถานที่

สายสิญจน์สีขาวเส้นบาง ถูกนำมาห้อมล้อมที่แห่งนี้ไว้ทุกสารทิศ กักขังความน่ากลัวบางอย่างให้หลับใหลอยู่ภายในนั้น

“ทำไม ถึงไม่มีใครบอกกูก่อนวะว่าจะมาท้าทายที่แบบนี้”

“กูจะรู้หรือไงว่ามันจะเป็นโรงพยาบาลร้าง คนขับรถ แม่งไม่บอกอะไรกูสักคำ”

เสียงหวั่นวิตกของทีมงานข้างตัว ดังแผ่วเบาราวกับต้องการที่จะให้บทสนทนาเมื่อครู่ได้ยินแค่ในกลุ่ม  แต่ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบและวังเวง แน่นอนว่าความกลัวที่แผ่ซ่านออกผ่านเนื้อเสียงเหล่านั้นไม่อาจเล็ดลอดแก้วหูของผมไป จนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองท่าทีของทีมงาน

การจับกลุ่มเบียดชิดกันแน่น สร้างภาพที่ทำให้ผมและไอ้ภพสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมงานเหล่านั้น  เหตุใดถึงได้แสดงออกว่ากลัวนักหนาทั้งๆที่เกมวันนี้มันต้องเป็นพวกผมที่เข้าไปท้าทายในนั้น กลับกันไม่รู้ว่าความเคยชินหรือปลงในชะตาชีวิตตนเอง ท่าทางของฝ่ายผมจึงไม่ได้แสดงออกถึงความทุกข์ร้อนใดๆออกมาและยังคงสงวนท่าทีสบายๆเอาไว้ได้

“เอาอย่างนี้  เดี๋ยวพวกมึงดูพวกมันสองคนไว้ แล้วเดี๋ยวที่เหลือกูจะจัดการให้”

กระแสเสียงของบุคคลที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าทีมงาน  ดังขึ้นปลอบขวัญลูกน้องที่ยังทำท่ากลัวอยู่แม้จะในขณะนี้  ก่อนที่เขาจะเดินแยกตัวออกไปที่ไหนสักแห่งเพื่อทำการติดต่อหาใครสักคนที่สามารถจะช่วยบรรเทาเหตุการณ์ตรงหน้าให้ผ่อนคลายลงได้

“ไม่ทราบว่า น้ำเก้าวัดที่ผมต้องใช้อยู่ที่ไหนครับ  เดี๋ยวอีกไม่นานผมคงต้องเข้าไปแล้ว ช่วยเอาออกมาเตรียมให้ด้วยครับ”

ไอ้ภพ เดินเข้าไปส่งเสียงแทรกการพูดคุยของทีมงานตรงหน้าจนคนเหล่านั้นสะดุ้ง  สายตาของผมจับได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่คนกลุ่มนั้นล้วนแสดงออกมาอย่างเกินกว่าเหตุ จนอดไม่ได้ที่จะเพ่งพินิจดูพฤติกรรมของแต่ละคนอย่างช้าๆเพื่อหาทางคลายข้อสงสัยที่ถูกตีจนขุ่นในใจผม 

หนึ่งในนั้นรีบตั้งสติ ก่อนจะเดินแยกเข้าไปในตัวรถเพื่อหยิบถุงๆหนึ่งซึ่งบรรจุน้ำเอาไว้ภายในนั้นแล้วยื่นให้ไอ้ภพ ก่อนที่สายตาพวกเขาจะจับจ้องไปที่โรงพยาบาลตรงหน้าด้วยความหวั่นเกรงอีกครั้ง

“มึงว่า ทีมงานพวกนั้นแปลกๆไหม?”

“อืม กูสังเกตมาได้สักพักละ ไม่รู้ว่าพวกมันจะกลัวอะไรนักหนา ทั้งๆที่คนที่ต้องเข้าไปในนั้นมันคือพวกเรา”

ผมหันไปถามไอ้ภพระหว่างที่มันเดินกลับมา  พร้อมกันนั้นสายตาของพวกเราก็ได้ทำการเบนเข้าไปยังโรงพยาบาลตรงหน้าบอกไม่ถูกเลยว่ายามที่ได้จับจ้องตรงๆแบบนี้ มันจะเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง ผมรู้แค่ว่าตึกพวกนั้น อุดมไปด้วยสังหรณ์ใจแปลกๆ  ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัว  ความทรมาน  ความหวาดผวา ทุกอย่างผสมปนเปกันไปจนแม้แค่มองป้าย ใจของผมก็เริ่มเต้นแรงจนห้วงลมหายใจกระตุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ภพ เดี๋ยวกูมานะ  ถ้าทีมงานถามให้บอกว่ากูไปฉี่”

“มึงจะไปไหน?”

“ไปหาทีมงานคนนั้น กูว่าเขาต้องซ่อนอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากการท้าทายเอาไว้แน่ๆ  อีกอย่างขอน้ำเก้าวัดนั่นด้วย”

“เอาไปทำอะไร?”

“ขอกูพกไปเถอะ…เผื่อได้ใช้”

หลังจากรับถุงน้ำเก้าวัดจากมือไอ้ภพ ผมก็รีบวิ่งไปยังเส้นทางที่ทีมงานคนนั้นเดินแยกออกไป ซึ่งแน่นอนว่า เส้นทางเหล่านั้นถูกผมจับจ้องไปอย่างไม่ละสายตา เพียงเพื่อจะหาโอกาสเล็กๆที่จะได้เข้าไปค้นหาคำตอบนอกเหนือจากโรงพยาบาลร้างแห่งนี้ด้วยตนเอง

“ช่วยผมหน่อยนะครับ…ที่นี่มันน่ากลัวมาก อย่างน้อยก็ให้แค่สองคนนั้นก็พอ”

เสียงขอร้องอ้อนวอนคนในสายดังเข้ามาแต่ไกล  จนขาของผมต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหาต้นเสียงนั่น  ทีมงานคนนั้นกำลังถือโทรศัพท์คุยกับใครสักคนอยู่ที่บริเวณด้านข้างของตัวโรงพยาบาล ซึ่งในขณะนี้ยังพอมีแสงน้อยๆยามพลบค่ำส่องให้เห็นทางอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“ถ้าอย่างนั้น เอาตามที่คุณว่าก็ได้ครับ มันน่าจะโอเคสำหรับพวกเรา”

ผมรีบหลบเข้าไปยังส่วนที่คิดว่าจะบังผมได้มิด เมื่อบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่จบลงพร้อมน้ำเสียงที่เรียกได้ว่า ปลายสายนั่นคงมีข้อเสนอให้กับทีมงานจนเขาพอใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะยืนอยู่นิ่งๆและหันมาสบตาผมที่กำลังแอบมองเขาอยู่อย่างเร็ว

“ไม่ต้องแอบหรอกครับคุณมิว…เรื่องที่ผมคุย ยังไงคุณก็ต้องได้รู้”

“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องทำเป็นมีลับลมคมในมากมายด้วยครับ ทีมงานที่มากับคุณนั่นอีก ทำไมเขาต้องแสดงท่าทีหวาดกลัว ทั้งๆที่ผมต้องเป็นฝ่ายเข้าไป?”

คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาแบบไม่คิดว่าคนฟังจะรับข้อมูลได้ทันทั้งหมด  หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆพร้อมกับอาการส่ายหน้าเล็กน้อยของทีมงานที่ทำเหมือนว่าสิ่งที่ผมถามไปเป็นเรื่องตลกขบขันเสียเต็มประดา จากนั้นทีมงานหนึ่งเดียวตรงหน้าก็ค่อยๆก้าวมาหาผมอย่างช้าๆแล้วก็เดินผ่านผมไปโดยมีเพียงการกระทำบางอย่างเท่านั้นที่สามารถตอบแทนทุกอย่างให้ผมฟังได้

การกระทำ ที่มีเพียงนิ้วชี้จากมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดไปที่บริเวณลำคอจนคล้ายกับว่านั่นคือสิ่งที่ผมจะต้องโดนต่อจากนี้

ผมยืนตัวแข็งทื่อไปด้วยความไม่เข้าใจบวกกับความโมโหในพฤติกรรมของทีมงาน  สิ่งที่ผมจะต้องโดนกระทำไม่ต่างไปจากหมากในกระดาน เหตุใดคำชี้แจงเล็กๆน้อยๆถึงยังไม่มีออกจากปากใครสักคน  ทุกอย่างในนี้ดูเหมือนจะเป็นความลับไปเสียหมด จนอดคิดไม่ได้เลยว่า วันพรุ่งนี้ของผม มันจะมีอยู่จริงตามคำอธิษฐานในทุกๆวันไหม

เมื่อความมืดมิดเริ่มย่างกรายเข้ามาเยือน ผมจึงต้องรีบพาตนเองออกจากความวังเวงตรงนี้   แล้วรีบเดินจนขาพันกันไปหมด เพื่อให้กลับไปหาไอ้ภพโดยเร็วที่สุด  เลยไม่ทันได้สังเกตว่าขาของผมได้ไปสะดุดเข้ากับเส้นสีขาวบางๆเส้นหนึ่งจนล้มแล้วทำให้สายสิญจน์ตรงนั้นขาดออกจากกัน 

เดิมทีความตั้งใจของผมคือการรีบลุกออกไปจากตรงนี้ หากแต่เมื่อลองไล่ตามความยาวของสายสิญจน์ไป  ศาลพระพรหมขนาดใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา  ตามคำบอกเล่าทั้งหลายเคยกล่าวเอาไว้ว่า  ที่ใดที่มีศาลพระพรหมไปตั้งอยู่ ที่นั้นย่อมมีความแรงที่ไม่อาจคาดเดาได้จากภูตผีหรือวิญญาณ ดังนั้นความคิดบางอย่างของผมก็โผล่พ้นความกลัวขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะต้องนำพาตนเองให้กลับเข้าสู่วังวนของวิญญาณในโรงพยาบาลแห่งนี้อีกครั้ง

“ไปไหนมา?”ไอ้ภพคว้าตัวผมไปถามด้วยความร้อนรนทันทีที่ผมเดินกลับมาถึงจุดที่รถตู้จอดเอาไว้

“ขอโทษที…พอดีไปทำอะไรมานิดหน่อย”ผมตอบไอ้ภพด้วยท่าทีที่พยายามทำตัวให้สบายที่สุด  ทั้งที่ภายในใจกลับปั่นป่วนไปหมด

“แล้วน้ำเก้าวัดไปไหนแล้ว?”

“กู…ก็เอาไปราดๆแถวนี้หมดแล้ว  เชื่อสิ ยังไงทีมงานก็ต้องให้เราทำ”

ไอ้ภพพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่มันจะชี้ไปทางทีมงานซึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่  เห็นได้ชัดว่าหลังจากสายโทรศัพท์บางอย่างนั่น สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไปราวกับได้น้ำมนตร์จากเกจิอาจารย์ดังมารดหัว  อีกทั้งกระแสเสียงหัวเราะร่วนที่ผมได้ยินอยู่เนืองๆ ยังทำให้ผมรู้ว่านอกจากที่เขาจะพอใจกับการปลอบประโลมนั่นแล้ว  อะไรบางอย่างก็คงไปทำให้เขารู้สึกสนุกกับเกมขึ้นมาด้วย

“อ้าว!! คุณมิว กลับมาแล้วหรอ ไปทำอะไรมานานจังครับ? หรือว่า รู้อยู่แล้วว่าน้ำเก้าวัดต้องเอาไปทำอะไร”คำพูดถากถางของหัวหน้าทีมงาน ดังพร้อมกับการร้องถามถึงสิ่งที่ไอ้ภพพึ่งจะขอมา

“ครับ ผมรู้อยู่แล้ว เลยไปทำเรื่องบางอย่างมา คิดว่า…คงทำให้เกมสนุกขึ้น”

“ดูคุณไม่กลัวเลยนะครับวันนี้  ไม่ทราบว่าไปรับยาดีที่ไหนมาครับ”

“ผมยังคงกลัวครับ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าพวกคุณก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ครับ ในเมื่อผมก็ต้องเข้าไปอยู่ดี”คำพูดที่แสดงออกถึงความมั่นใจถูกผมตอบกลับออกไปจนทีมงานหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย  หากแต่แวบเดียวเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอข้ามการอธิบายเรื่องกติกาทั่วไปนะครับ เพราะดูพวกคุณคงรู้อยู่แล้ว”

คำว่าทั่วไปของทีมงาน ทำให้ผมและไอ้ภพรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ตอนนี้เค้าลางบางอย่างในท่าทีของทีมงานเมื่อพักใหญ่ๆที่ผ่านมาได้สะกิดต่อมความสงสัยและสัญญาณเตือนภายในกายของพวกผมแล้วว่า สิ่งที่พวกผมต้องทำภายในนั้นจะไม่เหมือนดั่งเกมก่อนๆ  มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของทีมงานพวกนั้น

“กติกาทั่วไป?  หมายความว่ายังไงครับ  มีอะไรที่ผมต้องรับทราบมากกว่านี้เหรอ”ไอ้ภพพูดตอกกลับด้วยความไม่พอใจ

“ใช่ครับ  เกมวันนี้เรามีกติกาพิเศษมาให้พวกคุณด้วย…ก่อนอื่น คงต้องขอแสดงความยินดีกับพวกคุณด้วยนะครับ ที่ไม่ต้องเข้าไปเพียงสองคน  กติกาที่สร้างมาระบุให้มีทีมงานสองคนเข้าไปร่วมเกมกับพวกคุณด้วยครับ”

“มีแค่นี้เหรอครับ?”ไอ้ภพถามกลับด้วยไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก  เนื่องด้วยท่าทีหลายๆอย่างของทีมงานมันก็ได้บอกถึงกติกาข้อนี้ไว้อยู่แล้ว

“ไม่ครับ ยังมีอีก กติกาพิเศษที่ถูกสร้างมา  ระบุให้พวกเราสี่คน เดินเข้าไปเล่นเกมในตึกนั้นทีละคน โดยใช้ช่วงการเดินเข้าไปห่างกันคนละ 30 นาที  ทางทีมงานที่เหลือจะจัดเตรียมไฟฉายและนาฬิกาเอาไว้ให้ เนื่องจากถึงแม้จะเข้าไปแล้วพวกคุณก็ต้องเริ่มทำกิจกรรมตามเวลาที่กำหนด  ส่วนหากเข้าไปพวกคุณจะต้องไปที่ไหนนั้น ทางเราจะจัดเตรียมฉลากเอาไว้ให้ครับ”

“แล้วใครคือคนที่ต้องเข้าไปก่อน?”ผมรอฟังกติกาด้วยใจระทึก หลังจากคำถามนั้นทีมงานก็รีบหันมองหน้ากันอย่างปรึกษาแล้วก็หันมาที่ตัวผมพร้อมกันทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วว่าผู้โชคร้ายคนนั้นเป็นใคร 

“เขาคือคนที่กำลังถามผมอยู่ครับ”

ผมยืนเงียบไม่พูดไม่จาหลังจากการได้รับคำยืนยันจากปากทีมงาน จากนั้นมุมปากของผมก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อยเพื่อแสดงออกให้เขาเห็นว่า ไม่ต้องรอให้เขาบอกผมก็คาดเดาคำตอบของตนเองไว้ได้อยู่แล้ว  ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างของเกมนี้มันถูกใช้ออกแบบมาเพื่อผม  แม้ส่วนลึกของจิตใจนั้นจะเกิดการสั่นไหวเบาๆอย่างคนคิดไม่ตก หากแต่ว่าในเวลานี้ถ้าผมแสดงด้านอ่อนแอออกไปแม้เพียงนิดเดียว  กติกาที่ต้องทำก็อาจจะเปลี่ยนไปในทันที

“นิ่งไปเลยนะครับ  เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาเหรอ?”

“เปล่าหรอกครับ  แค่กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าเกิดผมเข้าไปคนแรก แล้วจะรู้ได้ไงว่าพวกคุณจะไม่โกง  พวกคุณจะไม่ผิดกติกาโดยการไม่ตามผมเข้าไป”

“อ่า  ถ้าอย่างนั้นคุณมิวอยากเสนออะไรให้พวกผมไหมครับ?”

“แน่นอนครับ  สิ่งที่ผมต้องการคือ ถ้าผมต้องเข้าไปเป็นคนแรกตามประสงค์ของรายการนี้  คนสุดท้ายที่จะได้เข้าไป ต้องเป็นไอ้ภพ”

“ผมยอมรับตามนั้นครับ  ไม่เป็นปัญหาอะไร”

“แล้วฉลากอยู่ไหนครับ  ผมคิดว่าเราไม่ควรจะเสียเวลาให้มากความอีก”

แม้จะจับสังเกตได้ถึงท่าทีที่สบายมากเกินความจำเป็น  หากแต่เวลานี้ การดึงเชิงให้ทุกอย่างช้าลงมันคงไม่เป็นผลดีต่อผมเท่าไรนัก ดังนั้น การเร่งเร้าให้ทีมงานดำเนินการเกมพวกนี้ให้ไวที่สุด จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะควรสำหรับผม

“เชิญคุณมิวมาจับตรงนี้นะครับ  ระหว่างนั้น ผมจะบอกบางสิ่งที่พึงระวังกันไว้ด้วย  สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลร้างที่ถูกปิดตัวไปเพราะความเฮี้ยนจากวิญญาณหลายๆตน เฮี้ยนชนิดที่ว่าต่อให้พวกคุณไม่เคยเห็นวิญญาณมาก่อน  ที่แห่งนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน  ฉะนั้น ถ้าพวกคุณเห็นหรือได้ยินอะไร ช่วยอยู่กันอย่างเงียบๆด้วยนะครับ  หรือจะยกมือเชิงขอถอนตัวก็ได้ตามใจ  แต่ขอเตือนไว้นะครับ  เกมคืนนี้มันไม่สั่งห้ามให้คุณถอนตัว  แต่ถ้าคุณยกมือขึ้นมาเมื่อไรนั่นหมายความว่า  คุณจะถูกปลดออกจากรายการทันที  ย้ำนะครับว่ารายการไม่ใช่แค่เกม”

“โกงกันจังเลยนะครับ  ทำไมถึงต้องเร่งเร้าให้ผมออกขนาดนั้น นี่พึ่งจะกี่วันเอง”เป็นไอ้ภพ ที่พูดแทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมเปิดอ่านฉลากด้วยแววตาที่บอกได้ว่า เนื้อความข้างในไม่เคยปรานีหัวใจของผม

“ใช่ครับไม่กี่วัน  แต่ถ้าเทียบกับปีก่อนๆ เกมปีนี้ก็ถือว่าตกต่ำลงมาก เพราะพวกคุณอยู่กันได้นานเกินไป ฉะนั้นโปรดรับฟังคำสั่งสุดท้ายด้วยครับ”

“คำสั่งสุดท้าย?  ตกลงคำสั่งที่จะโกงพวกผมนี่มีกี่ข้อกันครับ”

“นี่ข้อสุดท้ายแล้วครับ  อย่างที่เกริ่นไว้แล้วว่าถ้าเจออะไรให้เงียบที่สุด  นั่นไม่ใช่ความห่วงใยใดๆจากผมนะครับ  หากแต่มันเป็นกติกาที่พวกผมก็ต้องทำด้วย…”

.
.
.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2017 13:20:30 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
คำสั่งสุดท้ายเป็นคำสั่งที่คล้ายกับจะรีดเลือดของพวกผมให้ออกมาก็ไม่ปาน  กลโกงที่พึ่งจะได้ยินนำมาซึ่งความสงสัยและความทรมานในเวลาเดียวกัน  จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเทปบันทึกภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกไปโดยไม่มีการตัดต่อ บรรดาแฟนรายการจะยังคงรู้สึกสนุกกับความรู้สึกของคนอยู่ไหม

ผมยืนสูดลมหายใจที่อาจจะเป็นเฮือกสุดท้ายของผมเข้าปอดได้สักพักหนึ่ง  แล้วจึงหันกลับมามองหน้าไอ้ภพที่จ้องกลับมาด้วยแววตาเป็นห่วงปนเปไปพร้อมกับความรู้สึกอีกหลายๆอย่าง 

“เดี๋ยวกูจะเข้าไปแล้วนะ  ไม่ต้องห่วงกู ยังไงค่อยไปเจอกันในนั้น”

“มิว เราถอนตัวกันไหม?  นี่มันเกินกว่าเหตุแล้ว ทีมงานพวกนั้นมันจงใจจะเชือดมึงทั้งเป็น”

“กูรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกนะ  เราอุตส่าห์อยู่กันมาได้ขนาดนี้ วัดดวงไปเลยแล้วกัน  เชื่อกูสิว่าถ้าเราไม่ไปจี้ปมอะไรเข้าสักอย่าง  เกมคงไม่เร่งรัดส่งเรามาในที่แบบนี้หรอก”

“แต่ว่ามึง…”

“ไอ้ภพ มึงกลัวผีไหม?”

“ผี?  ถามทำไม  ผีเกี่ยวอะไร”

“ตอบมาเถอะ  กูอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“ไม่กลัว กูไม่เคยกลัวพวกมัน”

“อืม เห็นอะไรก็เงียบๆไว้นะ ถ้ามันจะมีคนที่กลัว ก็ขอให้เป็นกูคนเดียว แล้วก็…ขอโทษนะภพ”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผมคือสิ่งสุดท้ายที่ไอ้ภพมองตามไปโดยที่ไม่ทันจะได้โต้แย้งอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น  ผมรีบพาตัวเองไปหยิบนาฬิกาและไฟฉายจากมือทีมงาน  ก่อนที่จะใช้สายตาของผมกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ  เก็บเกี่ยวเอาภาพแห่งความทรงจำสุดท้าย ที่อาจจะเลือนหายไปอีกครั้ง และไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะนำกลับมาได้เนื่องจากคำสั่งของเกม

หากก้าวเท้าเข้าประตูโรงพยาบาลไปแล้ว ถ้าพวกคุณส่งเสียงร้องออกมาเมื่อไร…พวกเราจะส่งคุณกลับบ้านทันที

ผมก้าวข้ามปราการด่านสุดท้ายที่กั้นระหว่างโลกของคนเป็นและคนตาย  ประตูลูกกรงเหล็กสูงใหญ่ที่อดีตเคยถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา ถูกผมดันมันเข้าไปอย่างช้าๆ  ด้วยเสียงฝืดของโลหะเกิดสนิมที่ดังบาดจิตใจของผมไปทีละน้อย พร้อมกันนั้นสายตาของผมก็ได้พบกับยันต์สีแดงขนาดใหญ่ที่ถูกติดไว้บนหัวประตู จนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือของตนเองกระชากมันออกมาจากตรงนั้น

ความมืดมิด  รกร้าง  วังเวง คือสิ่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้มอบให้ผม การเดินย่ำเท้าเข้าไปยังด้านในจึงเป็นไปอย่างช้าๆ สายตามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก  ความรู้สึกที่ร่ำร้องออกมาว่าตนนั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้  ย้ำเตือนให้ผมไม่หันไปสนใจ ส่งผลให้แสงหนึ่งเดียวจากไฟฉายสั่นไหวขึ้นลงเนื่องจากความอึดอัดและเครียดหนัก  จนสุดท้ายช่วงขาของผมก็พามาสิ้นสุดตรงบริเวณที่ผมตามหา  บันไดสูงชันที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะพาผมลงไปยังดินแดนแห่งการหลับใหลชั่วนิรันด์

ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้…ห้องเก็บศพ

ผมสาดแสงไฟบนมือลงไปยังความมืดมิดด้านล่าง พร้อมกับที่ปลายเท้าก็ค่อยๆถูกปล่อยลงให้สัมผัสบันไดที่เต็มไปด้วยหินฝุ่นเล็กๆจำนวนมาก  การก้มๆเงยๆระหว่างมองปลายเท้าและเส้นทางจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงระหว่างการเดินลงเพราะบริเวณนี้คงไม่ได้มีใครใช้การมานานมากแล้ว  หากจะมีสักช่วงบันไดที่ผุพัง มันก็อาจจะเกิดอันตรายถึงตายให้ผมได้

“ห้องเก็บศพ”

ผมอ่านป้ายเหล็กเก่าคร่ำครึตรงหน้าด้วยเสียงที่เบาบางที่สุด  หลังจากลงบันไดมาได้ กลิ่นอับๆและกลิ่นตกค้างของสารเคมีบางอย่างก็โพยพุ่งออกมาจนแสบจมูกไปทั่ว  บริเวณที่สายตาผมรับรู้ได้ขณะนี้ เท่าที่มองนอกจากห้องตรงหน้า ผมก็เห็นเพียงทางเดินโล่งๆลึกเข้าไปในความมืด โดยรายทางเหล่านั้นประกอบไปด้วยเงามืดของเก้าอี้ขนาดเล็กประปราย วางเรียงชิดกำแพงไปตลอดความยาวทางเดินนี้

ห้องเก็บศพที่ผมต้องเข้าไป ไม่มีประตูห้อง จึงสามารถมองเห็นทุกอย่างในนั้นได้ทันทีที่มาถึง  ตรงบริเวณเพดานมีบางส่วนผุพังจนเห็นเป็นช่องว่างโล่งๆด้านบน  ที่พื้นด้านล่าง เตียงผู้ป่วยสองสามเตียงก็วางระเกะระกะดูรก  อีกทั้งด้านในสุดยังปรากฏตู้ล็อกเกอร์ไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งคาดว่าในอดีตคงถูกใช้เก็บร่างคนตายไว้ในนั้น และสุดท้ายบริเวณพื้นกลางห้อง สิ่งของสะดุดตาอันประกอบด้วยธูป กระดาษ และกระทงอาหารเย็นชืด ก็ถูกวางรวมกองไว้

ผมตัดสินใจเดินไปนั่งลงพร้อมกับการหลับตารอเวลาอย่างช้าๆ ให้เสียงและการเคลื่อนไหวแปลกๆที่ได้ยินภายในนี้เป็นตัวนำเวลาของผมให้ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว แม้การรับรู้จะพาให้กายและใจทรมาน แต่กระนั้นในทุกๆสามสิบนาที  เสียงฝีเท้าก็เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยินจนใจชื้นขึ้นบ้าง ทีมงานและไอ้ภพคงผลัดเปลี่ยนกันเดินขึ้นไปตามชั้นต่างๆจนครบทั้งสี่คน ในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งพอดิบพอดี

22.00 น.

เสียงเตือนครบชั่วโมงของนาฬิกาข้อมือ ดังปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิด  นับเป็นเวลากว่าสามชั่วโมงที่ผมต้องเฝ้ารอการเริ่มเกมที่จะเกิดขึ้น  อดทนต่อความอบอ้าวและกลิ่นอับบางๆที่ผ่านจมูกไปเป็นระยะ แม้ว่าทีมงานและไอ้ภพจะเข้ามารอในนี้จนครบแล้วก็ตาม  ทุกการท้าทายมีกำหนดเวลาเอาไว้ชัดเจนและจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลานี้  โดยที่แต่ละคนคงได้รับคำสั่งให้ทำแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความอุ่นใจอะไรให้กับผมนักเพราะสุดท้าย เกมพวกนั้นผมก็ต้องไปทำอยู่ดี

“เดินไปที่ล็อกเกอร์หมายเลข 13”

ผมลุกขึ้นยืนช้าๆหลังอ่านทวนซ้ำ  ตู้ล็อกเกอร์หมายเลขสิบสามคือจุดหมายที่ผมต้องเข้าไปหาเป็นลำดับแรก  ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่สัมผัสการจับจ้องที่ผมรับรู้มาได้สักพักหรืออาจจะตั้งแต่เดินเข้ามากำลังทำให้ผมไม่กล้าที่จะเดินผ่านเตียงผู้ป่วยไปยังล็อกเกอร์ด้านหลัง  ความมืดมิดกำลังสร้างภาพหลอนต่างๆนานาในหัวผม จนเสียงเคลื่อนที่ของเตียงยามที่ผมต้องดันออกสามารถทำให้ใจของผมเป็นทุกข์ได้ ซึ่งถึงแม้จะกลัวแค่ไหน  สายตาก็ยังต้องเพ่งไปยังตู้เหล็กเบอร์สิบสามตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว

ปลายนิ้วติดจะสั่นของผมค่อยๆดึงรั้งตู้เก็บศพออกมาทีละนิด พร้อมกับที่ส่วนหัวก็ค่อยๆชะโชกลงไปดูสิ่งที่อยู่ข้างใน  ก่อนจะรีบกระโดดถอยหลังออกมาด้วยอาการตกใจสุดขีด หัวใจผมสั่นแรงจนแทบระเบิด กรามของผมขบกันแบบอัตโนมัติเพื่อกันเสียงร้องเล็ดรอดออกไป  ลมหายใจของผมถูกปล่อยออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะ  จนเมื่อคิดว่าทำใจกับสิ่งที่เห็นได้แล้ว ผมก็เริ่มเดินกลับไปมองสิ่งที่สร้างเรื่องราวหลอนหัวให้ผมต้องผงะกลับมาอีกครั้ง

หุ่นเปลือยเปล่าของมนุษย์ฉาบสีแดงสด…นอนนิ่งสบตากับผมอยู่ในนั้น โดยที่ส่วนปากของมันมีกระดาษสีขาววางทาบไว้

“การท้าทายแรกของห้องดับจิต ผู้เข้าแข่งขันจะต้องจุดธูปพร้อมท่องคาถาในกระดาษ แล้วจึงนำถ้วยกระทงอาหาร เดินออกไปวางยังห้องริมซ้ายสุดของทางเดินแห่งนี้ ก่อนจะทำการเคาะเรียกบุคคลที่เคยหลับใหลอยู่ในนั้นให้ออกมารับเครื่องเซ่นไหว้ที่ตนวางไว้”

ผมรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากด้านหลัง แล้วหยิบคำบัญญัติตายของผมอ่านในใจไปอย่างช้าๆ  ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ต้องทำทุกอย่างภายใต้ความเงียบจะสร้างความกดดันและความหวาดระแวงได้ถึงเพียงนี้  ยามที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ผมยังมีไอ้ภพ  ยังสามารถส่งเสียงลดภาวะทางอารมณ์ไปได้  แต่ที่นี่ผมทำอะไรไม่ได้เลย  นอกเสียจากการปิดปากนิ่งแล้วปล่อยให้อาการทางกายแสดงถึงภาวะที่ผมจำยอมต่อความกลัวอย่างถึงที่สุด 

ไฟฉายขนาดเหมาะมือถูกผมตั้งเอาไว้ข้างตัวโดยปล่อยให้แสงของมันส่องสว่างไปยังด้านหลังสุดของห้องแห่งนี้  พร้อมกันนั้นมือของผมก็ได้เริ่มทำหน้าที่อันคุ้นชินทางกายหากแต่ไม่อาจคุ้นทางใจ  นำธูปที่เกมเตรียมไว้ออกมาจุดแล้วจึงเริ่มท่องคาถาบทเดิมที่ตอนนี้สามารถท่องออกมาโดยไม่ต้องดู  ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามธรรมชาติจนน่ากลัว  เสมือนกับว่ามันคือสิ่งที่อาจจะติดตัวผมไปตลอดชีวิตหลังจบเกม

“หากที่แห่งนี้มีวิญญาณอยู่จริง…ขอให้ดวงตาของทุกคนสัมผัสได้ถึงภาพอันน่าสยดสยองไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม”

ประโยคท้าทายที่ทำผมแทบจะสิ้นลมเสียตรงนี้  ถูกผมเอ่ยออกมาด้วยฝืนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  อะไรหลายๆอย่างในที่นี้ตั้งแต่ผมเดินเข้ามา มันย้ำเตือนผมทุกขณะอยู่แล้วว่า การท้าทายไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป  เสียงโหยหวนของความทรมาน  เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ดังสั่นประสาทให้ผมรับรู้มาตลอด เพียงแต่ผมเลือกที่จะเมินเฉยไปเท่านั้น

ทันทีที่ผมตัดสินใจปักธูปลงบนร่องหินที่ผมนำมาวางเรียงให้ชิดกัน  ควันธูปทั้งหมดก็พวยพุ่งลงสู่พื้นดินอย่างที่ไม่สามารถเป็นไปได้  สร้างภาพที่ทำให้ผมต้องตกตะลึงขณะก้มหัวลงไหว้จนมือสั่นแทบคุมไม่อยู่  หากจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นั่นยิ่งแล้วใหญ่  เพราะห้องที่เต็มไปด้วยความร้อนและอบอ้าวเช่นนี้ จะมีลมจากหนใดสามารถพัดควันธูปให้ไปตามทางที่ผมเห็น

ผมเงยหน้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักๆจนเหมือนกับมีอะไรไปถ่วงที่หัว  ความเงียบจนทุกอย่างวังเวงไม่อาจขวางกั้นเสียงอึกทึกในใจของผมได้  ความรู้สึกที่ว่าคล้ายกับมีคนจับจ้องตอนนี้บางสิ่งบางอย่างได้ให้คำตอบกับผมหมดแล้วตั้งแต่การตัดสินใจปักธูป  เตียงผู้ป่วยด้านหลังยามโดนแสงไฟส่องผ่าน กำลังฉายภาพเงาขนาดใหญ่บนกำแพงท้ายห้องคล้ายจอภาพยนตร์ให้ผมดู พร้อมกันนั้นตาของผมก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเพราะความผิดปกติที่ผมรับรู้

เงาบนกำแพง…กำลังเคลื่อนตัวออกด้านข้างไปอย่างช้าๆคล้ายกับมีใครดัน  ขัดแย้งกับเตียงบนพื้นซึ่งยังนิ่งอยู่ที่เดิม

ผมค่อยๆคว้ามือไปหยิบกระทงใบน้อย แล้วจึงลุกขึ้นพาตัวเองหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ  แต่ทว่าแค่พ้นประตูห้องออกมาเท่านั้น  เสียงการเคลื่อนที่ของล้อเตียงก็ดังกระตุ้นให้ผมรีบหันหลัง จนมือที่ถือไฟฉายเอาไว้ถูกสัญชาตญาณสั่งให้ยื่นมือไปส่องบางสิ่งที่ก่อให้เกิดเสียง

มืออีกข้างถูกใช้ปิดปากตนเองอย่างแรง  อีกทั้งมือของผมยังสั่นไหวจนต้องรีบชักกลับมาทาบที่หน้าอก แววตาของผมนั้นร้อนขึ้นคล้ายกับจะมีน้ำตาไหลออกมา เมื่อเตียงผู้ป่วยจำนวนสองสามเตียงตรงนั้นถูกแรงมือของใครสักคนดันเข้าสู่ด้านข้างของกำแพงดั่งเงาที่ผมเห็น  จัดเรียงเป็นระเบียบขัดกับภาพตอนแรกยามที่ผมเข้าห้องแห่งนี้ไปโดยสิ้นเชิง

และแค่เพียงช่วงความรู้สึกเดียวเท่านั้น  ความผิดปกติของบรรยากาศก็ร้องทักปลุกผมจนสะดุ้ง  เสียงการขยับกายหยาบ  เสียงหนูบ้าน เสียงตุ๊กแก ต่างก็ร้องระงมประสานไปทั่ว  เสียงพวกนั้นดังเป็นจังหวะรับการก้าวเท้าอันหนักอึ้งของผมยามที่ต้องรีบเดินฝ่าความหลอนไปยังห้องริมสุดฝั่งซ้ายของทางเดินตามคำสั่งของเกม  ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าท่ามกลางความไม่ปกติแห่งนี้ กำลังจะมีสัมภเวสีออกมาเริงร่าตามคำท้าทายที่ได้เอ่ยขึ้นเอาไว้ 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ผม…เอาข้าวมาให้ครับ”

เสียงเคาะประตูห้องพร้อมคำบอกกล่าว เกิดขึ้นที่ห้องปลายสุดของโถงทางเดิน  กระทงอาหารถูกวางไว้ด้านล่างหน้าประตูซึ่งถูกโซ่ตรวนขนาดใหญ่คล้องเอาไว้คล้ายกับต้องการปกปิดสิ่งที่อยู่ในนั้น จวบจนเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในความคิดของผม  การก้าวเดินกลับสู่ห้องที่เคยจากมาจึงกลายเป็นสิ่งล่าสุดที่ทำให้ผมกลัว

“เฮ้ย!! ถอยไป อย่ามาขวางแบบนี้”

ช่วงที่ละสายตาจากประตูห้อง  ตุ๊กแกตัวใหญ่ก็มาหยุดนิ่งตรงช่วงปลายเท้าของผม เดิมทีผมไม่รู้ชัดว่ามีสัตว์ลายจุดมาอยู่ตรงนี้  แต่สัมผัสที่บอกว่าผมไปเตะกับอะไรเข้า ได้ทำให้ผมรีบฉายไฟลงไปแล้วพบกับสัตว์เลื้อยคลานชวนให้ขยะแขยงที่พื้น  โดยที่สายตาของมันกำลังจับจ้องมาที่ผม พร้อมกับอ้าปากตามสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์

“ถอยไป”

คำพูดเบาบางแต่หนักแน่น  กำลังขู่เข็ญสัตว์กลางคืนตรงหน้าให้หายไปจากเส้นทางเดิน  แน่นอนว่าผมเป็นคนที่กลัวตุ๊กแกอย่างมาก  ยามที่ขยับกายแล้วมันก็ขยับตามคล้ายจะต่อสู่นั้น จึงเป็นดั่งคำสั่งที่ทำให้ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่

แกร๊ก…   

ลูกบิดประตูหนึ่งเดียวด้านหลัง ส่งเสียงบางอย่างออกมาจนทำให้ตัวผมชาวาบ  เสียงนั่นเป็นเสียงเปิดประตูที่ดังมาจากด้านใน ดึงรั้งให้ประตูที่ปิดตายไว้เปิดออก  หากแต่ว่าประตูบานนั้นถูกโซ่อาบสนิมล็อกไว้แน่นหนา  บานประตูจึงไม่สามารถเปิดออกได้จนสุด  เสียงการกระแทกกระทั้นให้โซ่หลุดจึงกลายเป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

ผมไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยเสียงลมหายใจให้ออกไป  ยืนนิ่งให้เสียงประตูดังทำลายความเงียบในชั้นใต้ดินแห่งนี้ แต่ทว่าความน่ากลัวกลับยังไม่หมด  เมื่อใครสักคนกำลังถูกขัดใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  เสียงกรีดร้องจึงดังขึ้นสมทบให้ขนในกายผมลุกชัน  อากาศรอบตัวที่ร้อนอบอ้าวนั้นไม่สามารถละลายความเย็นชืดและแข็งทื่อของปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าของผมได้แม้แต่นิด สัตว์กลางคืนจึงเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่นั้นแทน

ตุ๊กแกที่เคยอยู่ตรงหน้าวิ่งตัดเท้าของผมออกไปยังด้านหลัง สัมผัสเหนียวหนึบปลุกสติของผมให้คืนมา ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวแล้วล้มลงไปในทันที  ไฟฉายบนมือผมหล่นกระแทกพื้นเตรียมจะกลิ้งหลุดไปยังบานประตูนั้น  แต่ด้วยความที่สัมผัสการรับรู้ยังคงเหลือ ผมจึงเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ทันในตำแหน่งที่แสงนั่น ฉายชัดกลับไปยังช่องว่างระหว่างประตู

ไม่รู้ว่าประตูนั่นหยุดนิ่งไปตั้งแต่เมื่อไร หากแต่ว่าตอนนี้มันกำลังมีมือของคนยืดยาวมาหยิบของเซ่นลากเข้าไปในนั้น

ความกลัวที่วิ่งแล่นเข้าสมอง สั่งให้ผมรีบลุกวิ่งออกไปจากตรงนั้น  โดยมีภาพทิ้งท้ายเป็นบานประตูที่เริ่มถูกดันมาปิดจนเกิดเสียงดังลั่นยามที่ของเซ่นไหว้ถูกกอบโกยเข้าไปในห้องจนหมด  ไม่เหลือเค้าเดิมของพื้นที่ที่เคยมีสิ่งใดไปวางอยู่

จวบจนเมื่อใกล้จะถึงห้องเก็บศพ  ความลังเลในหัวผมจึงตีรวนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด  หากเป็นเมื่อก่อนที่ผมยังไม่ได้สลบไปนั้น  ผมคงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดกลับไปด้านบนแล้วถอนตัวออกทันที แต่ผมในตอนนี้ไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้  ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นที่มาถึง ผมต้องทนรับกลโกงที่เกิดขึ้นมาใหม่สารพัดจากผู้ที่ขึ้นชื่อว่ากอบกุมชะตากรรมสุดท้ายของผมอยู่  คำสั่งที่บอกให้ผมเงียบเสียงคงเป็นคำสั่งใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นหลังสายโทรศัพท์นั่น  ไม่อย่างนั้นทีมงานคงไม่รู้สึกดีใจได้ถึงเพียงนี้  และที่สำคัญ คนพวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าคืนนี้ ใครคือคนที่กำจัดง่ายที่สุด

ตั๊กแก…

ไม่ทันที่ผมจะได้นึกหาทางหนีทีรอดของตนเอง  เสียงของตุ๊กแกก็ดังสะท้อนมาจากโถงทางเดินด้านหลังตัดผ่านผมไปแล้วสิ้นสุดที่โถงทางเดินด้านหน้า เสียงนั่นไม่ใช่เสียงเอคโค่แต่อย่างใด  หากแต่เป็นเสียงร้องระงมรับจังหวะของสัตว์ประเภทเดียวกันที่อยู่ในนี้  จนสุดท้ายเมื่อเสียงทุกอย่างหยุดไป เสียงที่เกิดใหม่ก็ดังสะท้อนขึ้นมาแทน

“หาย…หายไปไหน?”

แว่วเสียงแหบแห้งของชายคนหนึ่งลอยผ่านความมืดมากระทบกับแก้วหูของผม  พร้อมกับที่เงาตะคุ่มของความมืดตรงหน้าก็เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ  จังหวะนั้น ผมรีบปิดไฟฉายในมือแล้วค่อยๆดันตัวเองเข้าสู่ห้องเก็บศพอีกครั้งด้วยการย่างกายที่คิดว่าเงียบที่สุด  ผมกลับมานั่งกำมือของตนเองนิ่งตรงจุดที่เคยทำพิธี  รอเวลาให้วิญญาณตนนั้นเคลื่อนตัดหน้าห้องผมไป

หาย  หายไปไหน!!

คำถามแบบเดิม แต่เนื้อเสียงที่สื่อมากลับไม่ใช่  ผมนั่งตัวสั่นไปพร้อมกับบรรยากาศดุดันที่เกิดขึ้นข้างนอก จนส่งผลให้ใบหน้าของผมเริ่มก้มลงต่ำ มองเพียงพื้นสกปรกเบื้องหน้าแทนการจับจ้องไปที่ประตู  แขนและขาของผมตอนนี้คงเต็มไปด้วยดินและความสกปรก แต่นั่นคงไม่ใช่จุดสำคัญเท่ากับว่า บัดนี้ปลายเท้าของชายคนนั้นได้มาหยุดยืนพร้อมส่งเสียงร้องที่หน้าห้องเก็บศพแห่งนี้แล้ว

สองขาของชายคนนั้นกำลังเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งตรงมาหาผมที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง

“เห็นของของผมไหมครับ?”

เสียงเท้าย่างกรายเข้ามาภายในห้อง สอดประสานพร้อมเสียงถามที่กังวานแก้วหู  เสียงนั่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผมตามความรู้สึกเนื่องจากผมได้ตัดสินใจปิดเปลือกตาไม่ให้เห็นภาพอันน่าสยดสยอง  ก่อนที่จะได้ยินการขยับกายให้นั่งทัดเทียมผมแล้วเริ่มถามอีกครั้ง

“เห็น…ของของผมไหมครับ?”

น้ำตาของผมเริ่มไหลซึมผ่านม่านขนตาออกมาทีละหยด  หมดแรงที่จะวิ่งหนี  ไม่รู้ว่าความปั่นป่วนที่มีเมื่อครู่หายไปไหนหมด  เหตุใดจึงเหลือเพียงบรรยากาศเงียบๆแต่คาดคั้นจิตใจให้ทรมาน  ผมนั่งกำมือแน่นจนรู้สึกเกร็งไปทั้งแขน ก่อนที่จะส่ายหน้าของตนเองให้วิญญาณตนนั้นรับรู้ว่าผมไม่อาจเห็นสิ่งที่เขากำลังตามหา

“ไม่เห็นเหรอครับ…ถ้าอย่างนั้น ก็ลืมตามาสิ จะได้เห็น”

ผมค่อนข้างตกใจกับกระแสเสียงที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง  มันไม่ใช่ดุดัน  มันไม่ใช่โกรธา หากแต่ความกดดันยามที่ต้องการเค้นผมนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาจนหมด  ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานเท่าไร  เพราะโลกทั้งใบของผมเป็นอันต้องหยุดลงเมื่อมือของผู้ชายคนนั้น ค่อยๆช้อนคางผมขึ้นและใช้นิ้วของเขาดันเปลือกตาทั้งสองข้างของผมให้เปิดออก

“เห็นดวงตาของผมไหม?”

แค่แวบเดียวที่ผมลืมตา  ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็พุ่งพรวดเข้ามาประชิดทันที  ลักษณะของเขามีทุกอย่างเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป แต่ทว่าตรงส่วนที่เป็นดวงตาทั้งสองข้างกลับยุบเข้าไปคล้ายกับการเกิดอุบัติเหตุใหญ่ที่ทำให้เขาสูญเสียดวงตา  ผมมองภาพนั้นดั่งกับต้องสาป  ไม่มีแรงแม้แต่จะเบือนหน้าหนี  มือทั้งหมดถูกนำไปยึดแน่นไว้บนพื้นที่เริ่มจะสร้างความเจ็บปวดให้ผม จากการถูกเศษหินเก่าๆแทงเข้าไปในฝ่ามือ

“ผม…ผมไม่เห็น”

จากที่น้ำตาไหลทีละหยด มันก็เริ่มไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง  ในความรู้สึก ผมไม่ได้ต้องการที่จะร้องไห้ แต่ด้วยภาวะบางอย่างในตัวมันทำให้ผมไม่สามารถควบคุมความอ่อนแอเอาไว้ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับอยู่เหนือการควบคุมไปหมด

“ดวงตากู อยู่ไหน?”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบวิญญาณตนนั้น  เสียงสิ่งของบางอย่างด้านหลังก็ดึงความสนใจของผมไปหมดสิ้น  เสียงการเคลื่อนตัวออกของตู้เก็บศพโลหะหมายเลขสิบสามกำลังค่อยๆดันตัวเองออกมา  ก่อนที่จะพุ่งพรวดตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นลั่นห้องคล้ายกับมีคนในนั้นจงในถีบมันออกมา 

ผมสะดุ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่ผมต้องทนเห็นสิ่งที่เคยเป็นหุ่นในนั้น  ไหลกลิ้งมาจากตู้ล็อกเกอร์ เคลื่อนตรงมากระแทกกับด้านหลังผมอย่างจังจนรู้สึกเจ็บไปทั่ว แน่นอนว่าการที่ผมบอกว่าเคยเป็นหุ่นไม่ใช่สิ่งที่ผมบอกผิดเพี้ยน 

เพราะถ้าสิ่งที่อยู่ด้านหลังผมเป็นหุ่นตัวเดิมจริงๆ…ส่วนหัวของมันจะต้องไม่มีเส้นผมเกรอะกรังเหมือนอย่างตัวนี้

ผมรีบกำมือแน่นและเหยียดเท้าของตัวเองให้ยืนขึ้น สูดอากาศเหม็นแสบจมูกจนทั่วปอด  พร้อมกับที่สองขาของผมก็ถูกสั่งให้วิ่งออกมาโดยเร็วที่สุด  ความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่อาจเหนี่ยวรั้งให้ผมทนอยู่ต่อจนครบเวลาไปได้  ยามที่ต้องวิ่งขึ้นบันได  เสียงตามหาดวงตามันก็ยังไม่เลิกหลอนหูผม  หนำซ้ำมันยังทำท่าเหมือนจะเคลื่อนตามผมมาติดๆ 

“จะไปไหนครับ!!...คุณมิว”

“โอ้ย!”

แรงเหวี่ยงจำนวนมหาศาลของหัวหน้าทีมงานชุดนี้ จับผมที่กำลังวิ่งสั่นผวาเข้ากระแทกตัวกำแพงอย่างจังจนเจ็บไปทั่วทั้งแผ่นหลัง โดยที่ตอนนี้สายตาของผมก็ยังคงไม่เลิกหวั่นกลัว เพราะเนื้อเสียงถามหาดวงตายังคงดังแทรกอากาศขึ้นมาจากพื้นที่ชั้นใต้ดินซึ่งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณนี้

“ดูคุณตื่นตกใจนะครับ  555 ไปเจออะไรดีๆมาอย่างนั้นเหรอ”

“เกือบลืม  คุณพูดไม่ได้นี่…เอาเป็นว่าผมอนุญาตให้พูดแล้วกัน เพราะผมก็พูด”

“น…นั่นคุณกำลังจะไปไหน”

“ผมก็ต้องไปเล่นเกมที่ชั้นถัดไปสิ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ ว่าแต่คุณเถอะไปเจออะไรมาอย่างนั้นเหรอครับ ดูกลัวมากเลยแต่ก็ไม่ยักจะร้องออกมาสักแอะ  เก่งดีนี่ครับ ”

“ม…ไม่มีอะไรครับ  ผมกลัวตุ๊กแกด้านล่าง เลยเป็นแบบนี้  ว่าแต่คุณจะไปเล่นชั้นไหน?”

“ชั้นเดียวกับที่คุณพึ่งจะวิ่งขึ้นมานั่นแหละครับ  ห้องเก็บศพข้างล่าง”

“ย…อย่างนั้นเหรอ  งั้นก็เดินไปด้วยกันเลยสิ  เดี๋ยวคุณลงล่างไป  ผมจะขึ้นบน”

ทีมงานยิ้มให้ผมอย่างพึงใจ  ก่อนที่เขาจะลากคอผมให้เดินตามไปยังบันไดที่ผมพึ่งจะจากมา  แน่นอนว่าการกระทำของผมมันไม่ต่างไปจากการย้อนรอยความทรมานของตนเอง แต่นั่นก็คงเป็นทางเดียวที่ผมจะได้ชำระล้างกลโกงของรายการนี้ให้สาสม

“คุณเดินขึ้นไปเลยนะครับ  เดี๋ยวผมจะลงไปแล้ว  อยากดูหน่อยว่าคุณเริ่มอะไรไว้บ้าง”

“ยังครับ  ข้างล่างมันมืดคุณน่าจะเก็บไฟฉายเอาไว้สักหน่อยนะครับ  เดี๋ยวผมจะส่องนำทางให้เอง”

ทีมงานทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ยอมที่จะเดินตามผมบอก แว่วเสียงของวิญญาณชั้นใต้ดินนั่นสะกิดให้ขนคอของผมลุกชัน กลัวในสิ่งที่ตนเองได้เริ่มไว้ข้างล่าง แต่ก็เพราะเสียงนั้นเลยยังทำให้ผมสามารถยกยิ้มขึ้นมาได้  จนเมื่อเสียงล็อกเกอร์ข้างล่างเริ่มทำงาน  ไฟฉายที่เคยส่องไปยังชั้นใต้ดินจึงถูกเปลี่ยนไปฉายยังบันไดขึ้นไปชั้นบนของโรงพยาบาลแห่งนี้

ผมเดินสลัดความกลัวบางส่วนให้ออกไป  สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นไปตามความต้องการของผมทุกประการ  การท้าทายที่ผมได้เริ่มไว้  แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกท้าทายมาเพื่อผมแต่เพียงคนเดียว  หากแต่เนื้อความและคาถาในชั้นใต้ดินนั้นถูกผมตัดสินใจเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ผมโดนกระทำในทุกๆคืนทั้งหมด 


แน่นอนว่าไม่มีใคร ยอมอดทนกับกลโกงที่ต้องโดนบังคับทำในทุกๆวัน

...การเอาคืนจึงต้องแฝงตัวเข้ามาในรูปแบบของสิ่งที่เรียกว่า การท้าทาย





************************************************TBC*****************************************
เอาภพมิวมาส่งแล้วครับ  ขอโทษนะครับวันนี้มาดึกเลย 555 ผมไปอ่านหนังสือสอบมาครับ
ตอนนี้หลายๆคนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดระคนแปลกใจไปกับน้องมิวเวอร์ชั่นนี้นะครับ :mew1:  หวังว่าจะถูกใจกันเน้อ
ขอบคุณทุกการคอมเมนท์ การแชร์ การติชม ตามเว็บไซต์หรือในเล้าแห่งนี้นะครับ  ผมน้อบรับฟังทุกประการ
***เน้นก่อน  จะบอกว่า คุณศตวรรษกับทีมงานที่พามิวไปวัดไม่ใช่กลุ่มเดียวกันนะครับ  คุณศตวรรษยามเป็นคนออกมาแค่ตอนแรกตอนเดียวครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกได้นะครับ  ทั้งในนี้และใน #Nightmaregame
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2017 13:21:11 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
หลังจากตอนนี้น่าจะเริ่มมันส์กันละ หลังจากที่หลอนเพียวๆมาตั้งนาน  หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มิวบอกว่าให้ดวงตาทุกคนเห็น ใช่มั้ยยยยยย  :katai2-1: มิวถึงถามภพว่ากลัวผีมั้ย

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
เอาคืนให้สาสม!!  :z6:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
มิวเก่งมากเลย :กอด1: อย่างนี้ซินะถึงบอกขอโทษภพไว้ก่อน
ขอให้ทีมงานจับไข้หัวโกร๋นบ้าง :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มิวเริ่มเอาคืนหรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
งุ้ยยย!! ทุกคนต้องเจอ เอาให้หนัก สู้ๆเด้อ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
กรี๊ดดดด เอาคืน เอาคืน! เอาคืน!!
น้องมิวสุดยอดจิตแข็งเข้มแข็งมากเลยลูก  :hao5:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ตอนนี้เหมือนเอาคืนทีมงานเล็กๆ หลอนอ่ะ ตอนแรกปิดไฟอ่าน ทนไม่ไหวไปเปิดไฟเลยจ้ะ ระวังหลังหนักมาก

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
หลอนแต่อยากรู้เรื่องราวที่เหลือตามมิว รออ่านต่อไปค่า

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หัวหน้าทีมงานหน่ะตัวดี ขอให้โดนหนักๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เห็นกันให้หมดดดดดดด 55555555555555555555555555555

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
กลัวภพเสียสติดิ

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ตอนนี้สนุกมากค่ะ ดูผจญภัยและดูลึกลับน่ากลัวดี รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :ling3: :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2017 08:30:47 โดย Roman chibi »

ออฟไลน์ Momomimo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รอตอนต่อไปมากกกกกกกก
คือแบบดีใจจะได้เอาคืนบ้าง
หมั่นไส้ทีมงานกลุ่มนี้ชอบแบบรู้ว่ามิวเห็นเออมึงจะได้เห็นบ้าง(อินๆ) :katai4:

ปล.กลัวเจ้าของเกมจะเป็นคนใกล้ตัวนะสิ อารมณ์แบบsaw แม่งยอมมาเป็นศพเพื่อจะได้ยุในเกม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด