ตอนนั้น ผมถูกสั่งให้ทำพิธีอยู่ที่ชั้น 5 ห้องที่ผมถูกสั่งให้เข้าไปในนั้นคือห้องผ่าตัด แน่นอนว่าผมไม่สามารถเห็นสิ่งใดแบบที่ไอ้มิวเห็น ผมจึงไม่รู้สึกกลัวขึ้นมากเท่าไร หากแต่บรรยากาศที่เปลี่ยนไปกลับทำให้ความมั่นใจผมลดลง ผมไม่รู้ว่าการขอโทษของไอ้มิวหมายถึงอะไร แต่เพราะผมวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องนั้นผมจึงไม่ได้สังเกตเลยว่ารอบกายของผมไม่เหมือนเดิม
ช่วงเปลี่ยนผ่านเกมตอนเที่ยงคืนผมต้องขึ้นไปยังห้องคลอดที่ชั้น 6 ซึ่งอยู่แทบจะในสุดของชั้นนั้น ผมวนหาอยู่หลายรอบกว่าจะเจอห้องที่ผมตามหา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยิบแตะอะไรผมก็ถึงกับเข่าทรุดเพราะหูของผมสามารถรับสัมผัสของเสียงดนตรีไทยที่แว่วคลอมากับลมเย็นๆให้ขนในกายลุกชัน
ในโรงพยาบาลนี้ ไม่มีทางที่จะมีเสียงดนตรีไทยเกิดขึ้นมาได้ และอาจจะเพราะความที่ผมไม่กลัวเท่าไรนักผมจึงใช้ไฟฉายที่ได้รับมาสาดส่องไปหาต้นกำเนิด จนมาพบกับโถงทางเดินที่ไอ้มิวไปหยุดยืนเมื่อครู่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะสาดไฟไปทันทีในจุดที่ผมพบเงาตะคุ่ม และตรงจุดนั้นก็ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความรู้สึกไอ้มิวทุกประการ
ไฟฉายที่ผมสาดไป ไปกระทบกับกำไลข้อเท้าสีทองยามที่กำลังยกขาขึ้นร่ายรำอย่างสวยงาม มือของเธอคนนั้นวาดลวดลายให้ผมมองตาแทบค้าง แต่ไม่ใช่เพราะชื่นชม ผมกำไฟฉายในมือเอาไว้แน่นมาก ข่มอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีกันแล้วหันหลังเดินกลับมา ทิ้งให้นางรำคนนั้นชี้นิ้วตามผมด้วยความคับแค้นอยู่ฝ่ายเดียว
น่าแปลกที่แม้ผมจะเดินเร่งฝีเท้าไปมากเท่าไร นางรำคนนั้นก็ดูเหมือนจะรำตามผมมาได้แทบทุกฝีก้าว ผมจึงตัดสินใจมองกลับไปอีกครั้ง และพบเห็นในสิ่งที่ทำให้ขาของผมก้าวด้วยความเร็วไม่คิดชีวิต นางรำที่เคยมีใบหน้าสะสวย บัดนี้กลับเละด้วยคาวเลือดและดินโคลน ท่าทีที่รำอยู่เมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นการคลานรำตามมาเรื่อยๆ และสุดท้ายเมื่อผมวิ่ง เธอก็ลุกชี้นิ้ววิ่งตามผม
จำได้ว่าผมวิ่งหนีอยู่นานมาก จนไปพบเข้ากับทีมงานที่ชื่อไอ้แดง มันคงกำลังจะตามผมขึ้นไปยังชั้นบน ผมเลยรีบหลบเข้าห้องๆหนึ่งไปก่อน และปล่อยให้เสียงการร่ายรำตัดผ่านหูไปหาทีมงานคนนั้น
ผมนั่งนับช่วงที่เครื่องแต่งกายชุดนางรำเคลื่อนผ่านผมไปอย่างแทบไม่เชื่อหูตนเอง วิญญาณของนางรำที่ผมเจอ เดิมทีผมเห็นเพียงหนึ่ง แต่ในขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น ผมกลับนับได้ถึงสามตนที่เคลื่อนผ่านห้องนี้ จนสุดท้ายเมื่อเสียงกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างทรมานของทีมงานก็ดังขึ้น ผมจึงได้ละทิ้งทุกความกังวลและเริ่มออกตามหาไอ้มิวแทน
วิญญาณนางรำตนแรกที่ผมเห็น ผมเชื่อว่ามันมาจากความผิดของผม เนื่องจากเมื่อช่วงเย็นที่ไอ้มิวหายไปนาน ผมได้ทำการเดินออกตามหามันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นหัวหน้าทีมงานเดินกลับมา ตอนนั้นผมต้องรีบหลบกลับไปที่เดิมจนไม่ได้สังเกตว่า เท้าของผมได้ไปเหยียบเอาตุ๊กตานางรำบนพื้นจนหัก จนอดคิดถึงวิญญาณตนนั้นไม่ได้ ทว่าตั้งแต่ที่วิญญาณนางรำโผล่มามากขึ้น ความคิดผมก็เกิดการลังเลขึ้นมาและเริ่มเบนไปที่คำขอโทษจากไอ้มิว ว่าแท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่มันขอโทษคือเหตุผลที่ทำให้มีนางรำติดตามผมมากกว่าเดิมหรือเปล่า
“ภ…ภพ นางรำนั่นมาได้ยังไง นี่มันในโรงพยาบาล?”ไอ้มิวนั่งหดขาของตนเองก้มลงต่ำ แล้วเอ่ยถามผมด้วยเนื้อเสียงสั่นๆ
“อืม มาได้ยังไง…มึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่าหละ”
ไอ้มิวชะงักเหมือนคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะพยักหน้ารับผมช้าๆ แต่ผมก็ไม่ทันจะได้เค้นความจริงต่อ เพราะนางรำที่มาหยุดยืนหน้าห้องได้สักพักหนึ่งแล้ว กำลังเริ่มร่ายรำตามเสียงเพลงไทยเดิมที่ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน จนพวกผมสองคนต้องนั่งกันตัวลีบกับกำแพงเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
เงาที่ทอดผ่านเข้ามา ปรากฏร่างของอิสตรีสวมชุดรำสามนาง ร่ายรำอยู่ภายนอกห้องด้วยท่าทางคล่องแคล่วและดูน่าหลงใหล หากแต่ว่าแค่ครู่เดียว เงานั่นก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างที่ผมและไอ้มิวไม่ทันตั้งตัว ช่วงคอของมันจากตั้งตรงสวยก็เริ่มหักงอลงมาจนชฎาหลุดออกจากหัว ช่วงแขนของมันจากที่ร่ายรำได้องศาก็บิดเบี้ยวผิดรูปจนไอ้มิวต้องยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้ แต่กระนั้นทั้งหมดนี่ว่าจะไม่น่ากลัวเลย ถ้าชฎาที่หล่นนั้นไม่กลิ้งตัวเข้ามาในห้องที่ผมหลบอยู่
ผมและไอ้มิวต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ตนเองเห็น ชฎาทรงสูงสีทองได้กลิ้งตัดผ่านหน้าพวกผมไปก่อนที่จะไปหยุดตัวเองอยู่กลางห้อง พร้อมกันนั้นเสียงดนตรีไทยคุ้นหู ก็เริ่มบรรเลงดังชันเจนตามจังหวะการก้าวเท่าที่เปลี่ยนแปลงของนางรำ พวกมันสามตนต่างพากันยกแขนยกขา ทยอยร่ายรำกันเข้าสู่ตัวห้องแห่งนี้
ไอ้มิวนั่งตัวสั่นหงกอย่างที่ไม่รู้จะแก้ไขความกลัวตรงหน้าอย่างไร ผมก็เช่นกันหากแต่อาการที่ผมแสดงออกยังน้อยกว่าไอ้มิวมาก พวกเราสองคนต่างนั่งนิ่งคล้ายกับไปไหนไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่เหมือนโดนสั่งให้จับจ้องแต่เพียงท่วงท่าและอารมณ์เพลงที่พวกเธอเหล่านั้นแสดงออก ก่อนที่ลักษณะทางกายของเธอจะเปลี่ยนทุกอารมณ์ของผมให้ดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุดไปตลอดกาล
ความสวยที่เคยฉายแววบนหน้าถูกบดบังด้วยความผิดปกติที่เกิดขึ้นทั่วร่าง พวกเธอทั้งสามตนต่างก็ร่ายรำไปอย่างไม่รู้สึกหนาวเหน็บและเจ็บปวด ทั้งที่ตอนนี้ สองในสามตนนั้นเริ่มมีน้ำไหลซึมออกมาบนเสื้อผ้าจนพวกเธอนั้นเปียกปอนไปทั่วตั้งแต่ยอดชฎาถึงปลายเท้า อีกตนนั้น ร่างกายก็กำลังจะหักออกมาเป็นส่วนๆคล้ายตุ๊กตานางรำที่ผมเหยียบ ช่วงคอหัก ช่วงแขนหัก ช่วงลำตัวหัก ทุกอย่างบนร่างบิดเบี้ยวไม่เข้ารูป แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่แย่ลงกลับมีบางอย่างที่คงตัวอยู่อย่างเดิม มิหนำซ้ำอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆในทุกช่วงที่ผมจ้องตาพวกเธอ
แววตาอาฆาตแรงจนแข็งกร้าว ไม่อาจถูกทำลายด้วยท่วงท่าและทำนองเพลงไทยเดิมหวานหู“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม??”
เสียงแหลมเล็กและดุดันของผู้หญิงทั้งสามตรงหน้า เปล่งออกมาในช่วงไล่เลี่ยกันตามจังหวะมือที่แปรเปลี่ยนมาชี้หน้าพวกผม ไอ้มิวที่ดูเหมือนได้สติกลับมา รีบหันมามองหน้าอย่างขอความเห็น เนื่องจากตอนนี้การกระทืบเท้าลงพื้นเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมายังทิศทางตรงหน้าผม
“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม!!”
ผมกับไอ้มิวไม่รอช้าที่จะเมินเฉยท่าทางโมโหตรงหน้าแล้ววิ่งลงด้านล่างเพื่อกลับสู่ทางเข้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ ช่วงที่กำลังผ่านชั้นต่างๆอยู่นั้น เสียงทีมงานคนเดิมก็ร้องดังขึ้นมาอยู่ตลอด แผดเสียงลั่นไปทั่วทั้งชั้นที่เขากำลังวิ่งหนี จนเมื่อถึงช่วงที่กำลังจะผ่านชั้นสองลงไปชั้นหนึ่งนั้น ทีมงานที่วิ่งมาจากอีกทางก็เข้าไปคว้าคอเสื้อไอ้มิวเอาไว้แล้วดันมันเข้าตัวกำแพงโดยที่ผมไม่ทันห้ามปรามทัน
“บอกกูมา!!!! มึงทำอะไรฮะ!!”
“ปล่อย!! กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“โกหก! มึงไม่ได้ทำแล้วกูจะเห็นได้ไง กูนั่งอยู่เฉยๆของกูมาเป็นชั่วโมง กูยังไม่เจออะไรเลย”
“สัส มึงโกงอย่างนั้นเหรอ ไอ้ควาย โกงแล้วไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้ ปล่อยดิวะ!!”
“เฮ้ย มันบอกให้ปล่อยมึงไม่ได้ยินรึไง!!”ผมคว้าเข้าที่แขนของทีมงานอย่างรีบร้อน เพราะเสียงดนตรีไทยที่ได้ยินเริ่มไล่ตามพวกผมมาทุกขณะ และก็ดูเหมือนว่าทีมงานจะรู้เห็นด้วย ท่าทีของเขาจึงได้แสดงออกว่าร้อนรนจนควบคุมสติตนเองไม่ได้
“อย่าเสือก!! เดี๋ยวมึงเจอกูแน่ แต่กูขอจัดการไอ้เหี้ยนี่ก่อน บอกมาเมื่อเย็นมึงไปทำอะไร”
“กูบอกให้ปล่อยไอ้มิว!! มึงอยากจะอยู่ตรงนี้รึไง!!”
ผมใช้เสียงข่มขู่เข้าบังคับให้ทีมงานรู้สึกตัว เนื่องจากตอนนี้ทีมงานที่ยืนอยู่ดูคล้ายจะเสียสติไปมาก ความกลัวที่เขาไม่เคยได้รับกำลังหลอนหูให้เขาระแวงไปต่างๆนานา แน่นอนว่าสิ่งที่เขาระแวงไม่ใช่เรื่องโกหกเพราะผมก็ได้ยิน แต่ทว่าท่าทีหันซ้ายหันขวาไปมานั่นยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมทิ้งปริศนานี้ไม่ได้ ทีมงานคนนี้เหมือนหนีใครที่ไม่ใช่นางรำแบบผม
หลีกทางด้วยครับ ขอทางให้คนป่วยหน่อยเสียงตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมด้านหลังของผม ดังพอที่จะทำให้มือของทีมงานที่ชื่อแดงหยุดกระชากไอ้มิวและเปลี่ยนเป็นจับคอเสื้อมันไว้แน่น มือของไอ้แดงสั่นจนดูน่าสงสาร ใบหน้าของมันตื่นกลัวจนน้ำตาไหลออกมาเองเรื่อยๆ โดยที่ปากของมันก็เอาแต่พร่ำว่า
มันมาแล้ว จนไอ้มิวต้องเบี่ยงวิถีใบหน้าตนเองออกมาแล้วมองไปยังจุดที่ทำให้เกิดเสียง และทำให้ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นมาไม่ต่างกับทีมงาน
“ภ…ภพ อย่าหันหลัง”ไอ้มิวค่อยๆกร่อนเสียงสั่งให้ผมอยู่นิ่งๆ โดยที่แววตาของมันก็ยังจับจ้องไปที่เดิม
หลีกทางให้คนป่วยหน่อยครับ คนป่วยใกล้คลอด
หลีกทางครับ!!! กูบอกให้หลีกทาง!!! 555555แว่วเสียงของล้อรถเข็นที่เร็วขึ้น ดังเสียดสีกับพื้นขรุขระพร้อมกับเสียงของวิญญาณที่เปลี่ยนไป ไอ้มิวตาค้างหนักยิ่งกว่าเดิมไม่ต่างกับทีมงานที่กำคอเสื้อของมันอยู่ ผมก็เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมทราบอย่างดีว่าวิญญาณของใครสักคนกำลังพุ่งเข้ามาประชิดตัวพวกผมทั้งสามอย่างไม่ลดละ และตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดที่จะหนีของผมเกิดขึ้นมาช้าไป เพราะเสียงล้อรถได้วิ่งมาหยุดนิ่งอยู่เพียงเบื้องหลังของผมและทีมงาน โดยมีเพียงไอ้มิวคนเดียวที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่มันเข้ามา
“ภ…ภพ ไม่ต้องหันหลังกลับไปนะ”ไอ้มิวยื่นมือมารั้งผมไว้แน่น น้ำตาบนหน้ามันหลั่งรินออกมาจนสงสาร ไม่ต่างไปจากทีมงานที่ยืนอยู่ข้างผม ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนความกลัวและความหลอนกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น
“มิว ถ้ากูไม่หันหลังกลับไป เราจะวิ่งไปที่บันไดไม่ได้”
“ไม่…ไม่ใช่ตอนนี้”
“ทำไม?”
ไม่ทันที่ไอ้มิวจะอ้าปากตอบผม…ใบหน้าของมันก็เบี่ยงหนีภาพที่มันไม่อยากมองกลับไป ฉะนั้น ผมจึงอาสาที่จะรับรู้ทุกอย่างแทนมันโดยการเอี้ยวคอหันกลับมา และพบว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ มีรถเข็นของบุรุษพยาบาลคนหนึ่งรับเอาร่างของผู้หญิงใกล้คลอดให้นั่งอยู่ตรงนั้น เสียงโอดโอยและกรีดร้องของเธอกำลังแสดงถึงอาการปวดท้องใกล้คลอดอย่างทรมาน และภาพที่ทำให้ไอ้มิวทนดูต่อไปไม่ได้ นั่นก็คงเป็นเพราะ ช่วงขาของผู้หญิงคนนั้นกำลังมีเลือดหลั่งไหลออกมาจากช่องคลอดพร้อมกับสายรกที่ตกลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะไหลออกมาพรวดเดียวพร้อมกับเด็กทารกตัวน้อย ที่สามารถปีนป่ายร่างกายของผู้เป็นมารดาได้ทันทีหลังคลอด
“มันมาแล้ว มันมาแล้ว กูต้องหนีสิ กูต้องหนี”
ทีมงานข้างตัวผมส่งเสียงขึ้นมาดังลั่นปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ภาพตรงหน้า ก่อนที่เขาจะวิ่งผ่านวิญญาณพวกนั้นลงไปชั้นล่าง คาดว่าคงหนีลงไปหาหัวหน้าของตนเองที่ชั้นใต้ดินอย่างคนกำลังหาที่พึ่ง ผมและไอ้มิวจึงไม่รอช้าที่จะวิ่งแยกไปอีกทางเพื่อกลับไปที่ประตูทางเข้าชั้นหนึ่งอย่างที่เคยเข้ามา
“ฉิบหาย ใครล็อกไว้วะ!!”ไอ้มิวสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อมันมาจับประตูทางออกแล้วพบว่าตอนนี้มีแม่กุญแจคล้องเอาไว้ เสียงของวิญญาณที่ตามมานั้นกำลังให้ท่าทางของเราทั้งคู่ร้อนรนจนต้องรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด
“ทีมงานข้างนอกนั่นแน่เลย เอาไงดีวะ มีทางออกอื่นไหม?”
“ไม่มีภพ กูคิดว่าไม่มี”
“แล้วจะเรียกยังไงให้พวกนั้นได้ยิน รถที่จอดรับพวกเราจอดไว้ห่างจากตรงนี้พอสมควรนะ”
“ไม่ต้องหรอก กูคิดว่าทีมงานหนึ่งในสองคนนั้นต้องมีลูกกุญแจ”
“งั้นเดี๋ยวกูวิ่งลงไปเอามาเอง มึงรออยู่ตรงนี้…ได้ใช่ไหม?”
“อย่า!! ภพ…ข้างล่างนั่นอย่าลงไป เชื่อกูอีกไม่นานพวกมันต้องขึ้นมา”
ไม่ทันที่ไอ้มิวจะปล่อยแขนผม เสียงร้องดังของทีมงานคนเดิมก็ตะโกนโหวกเหวกมาดังลั่น กลบเสียงของวิญญาณที่ไล่ตามลงมาจากชั้นบนจนหมดสิ้น ทีมงานคนนั้นวิ่งหน้าตาตื่นมาเหมือนกับความอดทนของเขาได้หมดลงแล้ว ผมเห็นไอ้มิวมองที่ทีมงานคนนั้นด้วยมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แค่ครู่เดียว เพราะเสียงที่ดังไล่หลังตามมาคือเสียงที่ทำให้ผมและไอ้มิวไม่มีวันจะยอมให้อภัยตลอดชีวิต
“กลัวอะไรกันครับ !! คุณมิว คุณภพ ถึงกับอยู่ไม่ได้เลยเหรอ หรือแค่เห็นว่าทีมงานผมมันเป็นบ้าเลยบ้าตามไปด้วย”
ไอ้มิวขมวดคิ้วลงด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนผมได้แต่มองจิตใจอันบอบช้ำของทีมงานที่ชื่อแดงแล้วก็ได้แต่เวทนา หัวหน้าทีมงานที่มันไว้ใจไม่เคยเชื่อคำพูดที่มันบอกหนำซ้ำยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเพียงเพราะหัวหน้าทีมงานไม่สามารถเห็นในสิ่งที่พวกเราทั้งสามคนเห็นได้
“จะเป็นไปได้ไงวะ?”ไอ้มิวบ่นพึมพำออกมาขณะที่จดจ้องร่างของหัวหน้าทีมงานที่กำลังเดินฝ่าความมืดออกมาหาพวกผม
“อ้าวคุณมิว จนป่านนี้แล้วยังไม่เป็นอะไรเหรอครับ ไม่น่าเชื่อเลยนะ”
“คุณภพนี่ก็ดูแข็งๆ ไม่น่าจะกลัวอะไรแบบนี้นะครับ 5555 ติดโรคอ่อนแอมาจากคุณมิวหรอ”
“เฮ้ย!!! ไอ้แดง มึงเลิกโวยวายเสียทีได้ไหม? ผีเผอมันมีที่ไหนกันวะ”
คำถากถางนับกว่าสิบประโยคที่ดังลอยมาก่อนร่างกายของผู้เป็นเจ้าของเสียง ทำให้เส้นเลือดข้างขมับของผมเต้นแรงไปเพราะความโมโห หากแต่เมื่อร่างกายนั่นเดินมาปะทะกับแสงเพียงเล็กน้อยที่ลอดเข้ามา ผมกับไอ้มิวก็เป็นอันถึงกับชะงักจนต้องกอบกุมมือกันนิ่ง เพราะรอบเอวของผู้ชายคนนั้น ถูกวิญญาณเกี่ยวกระหวัดคล้องตัวเอาไว้ โดยที่แขนของวิญญาณทั้งสองข้างต่างก็เอื้อมมาปิดหูปิดตาจนหัวหน้าทีมงาน ไม่ได้ยินเสียงหลอนหูที่เกิดขึ้นมาตลอดตามรายทาง อีกทั้งเสียงที่เกิดขึ้นข้างหูตนเองเขาก็ไม่ได้ยิน
ดวงตา ดวงตากูอยู่ไหน??ทีมงานที่ชื่อแดงเกาะประตูกรีดร้องด้วยความทรมานเมื่อหันมามองสภาพของหัวหน้าตนเอง จนไอ้มิวต้องหันไปจับบ่าปลอบใจเขาเอาไว้ ก่อนที่มันจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าทีมงานด้วยแววตาที่แข็งขึ้นจนน่ากลัว อีกทั้งลึกๆแล้วนัยน์ตาของมันยังวาววับชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมันเป็นมาก่อน ราวกับมันและหัวหน้าทีมงานคนนี้ได้สร้างเรื่องบาดหมางต่อกันมาเยอะพอที่จะทำให้มันเอาคืน
“ช่วยผมด้วยครับ ผมทนต่อไม่ไหวแล้ว เปิดประตูให้ผมออกทีครับ”น้ำเสียงไอ้มิวแปรเปลี่ยนเป็นอ้อนวอนขัดกับสีหน้าของมันที่ดูสะใจไม่น้อย
“อ้าวยอมแพ้แล้วเหรอครับ?”
“ป่าวครับ แต่ทีมงานของคุณเขาไม่ไหวแล้ว เขาคลั่งมาทำร้ายพวกผม อย่างนี้ผมมีสิทธิ์จะเปิดประตูกลางคันนี่ครับ”
“เว้ย!! ไอ้แดง มึงนะ คราวหลังกูจะไม่เอามึงเข้ามาด้วยละ กระจอกฉิบหาย”
หัวหน้าทีมงานก่นด่าลูกน้องเสียงดังลั่น พร้อมกับค่อยๆล้วงเอากุญแจในกระเป๋าข้างตัวขึ้นมาจะเปิดประตู ในตอนนั้นเงาตะคุ่มของวิญญาณมากมายได้ย่างกรายแผดเสียงหัวเราะเข้ามาใกล้ตัวพวกผมมากขึ้นเรื่อยๆ หัวหน้าทีมงานที่ไม่รู้ขาวรู้ดำของเรื่องราว เขาจึงทำเหมือนว่าที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเป็นผมที่ทนไม่ได้และคว้ากุญแจมาเปิดเอง
แกร๊กแทบจะในทันทีที่ประตูลูกกรงเหล็กเปิดออก ทีมงานที่ชื่อแดงก็วิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงพวกผมและหัวหน้าทีมงาน ขณะนั้นไอ้มิวได้ส่งสัญญาณบางอย่างให้ผมออกไปก่อน แล้วมันจึงเดินติดท้ายผมมาติดๆ ก่อนที่ประตูบานนั้นจะปิดลงโดยที่กลอนประตูถูกนำกลับไปล็อกไว้แบบเดิม
“เฮ้ย!! พวกมึง ออกไปแล้วก็เปิดประตูให้กูก่อนสิวะ”
“มึงจะโวยวายทำไม ก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่มีผี แล้วจะกลัวอะไรนักหนา”ผมมองแววตาไอ้มิวอยู่ครู่หนึ่ง ทดสอบความมั่นใจในการที่มันจะทำแบบนี้ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเดินเกมเองเมื่อเห็นว่ามันพยักหน้า สิ่งที่ไอ้มิวคิดแน่นอนว่าผมรู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร
“เปิดประตูให้กู ไม่อย่างนั้นถ้ากูออกไปได้พวกมึงโดนลากคอกลับบ้านแน่”
“หึ มึงออกมาให้ได้ก่อนเถอะ กูได้ข่าวว่านายมึงสั่งให้มาโกงกูอย่างนั้นเหรอ บอกมาใครคือผู้จัดการเกม!!!”
“ใครแม่งปากหมาไปบอกมึง กูไม่รู้ กูแค่โดนสั่งมาเฉยๆ”
“กูไม่เชื่อ!! กูจะถามอีกครั้ง ใครคือผู้จัดการเกม”
ทีมงานคนนั้นยกยิ้มขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะส่ายหน้าให้ผมเห็นราวกับเป็นเรื่องตลก จังหวะนั้นผมจึงหันไปให้สัญญาณไอ้มิว และสั่งให้มันเริ่มในสิ่งที่มันต้องการ แน่นอนว่าพื้นฐานจิตใจไอ้มิวไม่ใช่คนกระด้าง มือที่มันต้องยื่นไปทำร้ายคนอื่นจึงสั่นเทาจนอดไม่ได้ที่จะสงสาร แต่กระนั้นมันก็ยังยืนยันที่จะนำมือของวิญญาณที่ปิดตาหัวหน้าทีมงานอยู่ให้เปิดออก จนทำให้ทีมงานคนนั้นตื่นกลัวไปกับสัมผัสใหม่ทันทีที่โลกของเขากลายเป็นแบบเดียวกับผม
“เฮ้ย!!! เปิดประตู!!! เปิดประตูสิวะ”
“บอกมา!! ใครคือผู้จัดการเกม”
“กูไม่รู้ กูไม่รู้ เปิดประตูให้กูสักที!!”
“ใครคือผู้จัดการเกม!!!!”
“เออ ลุงคำ!! ลุงคำคือคนที่สั่งพวกกูมา!!!”ผมและไอ้มิวถึงกับยืนจ้องหน้ากันนิ่ง ความรู้สึกจุกอกวิ่งแล่นขึ้นมาจนกลบความกลัวรอบกายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าเดิมของบรรยากาศผีหลอกวิญญาณหลอนที่พึ่งจะได้รับ เมื่อสุดท้ายแล้วคนที่พวกเราไว้ใจมากที่สุด ต้องกลับกลายมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่างในเกมนี้ แต่กระนั้นเสียงทีมงานก็ทำลายทุกห้วงความคิด เรียกให้ไอ้มิวหันกลับไปมอง และก้มลงไปหยิบผ้ายันต์สีแดงบนพื้นไปแปะไว้ที่เดิม ก่อนที่มันจะทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เจ็บปวดที่สุด
“ขอบคุณที่บอกแล้วกัน…แต่มึงบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าผีเผอพวกนั้นมันไม่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มึงเห็นก็คือไม่มีจริง”*********************************************TBC********************************************
เอาตอนที่ 26 มาส่งให้แล้วนะครับ ยังมีใครที่รอผมอยู่ไหม?? 
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่มาลงดึกนะครับ ตอนที่ผ่านมาผมพบคำผิดเยอะมาก ตอนนี้เลยต้องทวนซ้ำอยู่หลายรอบกว่าจะลงได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ผมยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก หากมีใครที่ผมเห็นคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลก็บอกกันมาได้เลยเน้อ 
ตอนนี้เป็นตอนที่มิวต้องรับกับภาวะทางอารมณ์เยอะมาก นับเป็นตอนที่เขียนยากและทรมานมากที่สุดสำหรับผมเลย
หวังว่าทุกคนจะถูกใจกันนะครับ ดีไม่ดียังไงมาพูดคุยกันนะ ในเล้าแห่งนี้หรือใน #Nightmaregame ก็ได้
ขอบคุณทุกการติดตามมากๆครับ เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
*****ที่ถามผมเรื่องการเดินแปลกๆของภพตอนน้ำเก้าวัด มันเกิดจากการถูกซ้อมนะ อย่าคิดลึกกันครับ ภพยังเป็นพระเอกอยู่นะ