NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170616 ครั้ง)

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
จะอ่านกลางวันหรือกลางคืนก็กลัวว เหมือนได้เข้าไปอยู่ในเกมส์ด้วยจริงๆ ไม่เคยอ่านนิยายแบบนี้เพราะกลัวแต่พออ่านแล้วมันหยุดไม่ได้!! ตอนที่ทำพิธิหรือเล่นเกมยอมรับว่าอ่านแบบกวาดๆลดความหลอน แต่เพื่อลดความกลัวของตัวเองเราจะไม่อ่านเรื่องนี้คนเดียวส่งลิงค์ให้เพื่อนอ่านเพื่อนจะต้องกลัวไปกับเราด้วย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ แต่งดีมากๆๆๆๆ

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่27

ฆาตกร


รถตู้คันไม่เล็กไม่ใหญ่ของรายการเดินทางกลับเข้าสู่ตัวบ้านหลังเดิมเพื่อมาส่งสองชายหนุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านราวกับเป็นเจ้าของ  แสงตะวันยามเช้าสาดแสงจ้าจนผู้ที่กำลังลงมาจากรถต้องเอาแขนข้างหนึ่งบังกรอบตาตัวเองเองไว้มั่น พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ได้หันหลังกลับไปมองสภาพของบุคคลที่เหลือในรถคล้ายกับเวทนาในโชคชะตา สองคนในนั้นมีสภาพที่เรียกได้ว่าทุลักทุเล แววตาหวาดกลัวอยู่ตลอดแต่ยังสามารถรับรู้และสื่อสารได้ไม่ต่างไปจากคนอื่น เป็นสัญญาณอันดีที่ทำให้สองชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกผิดมากมายนัก  แม้ว่าเมื่อสักสามสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผู้โดยสารทั้งรถกลุ่มนี้เกือบจะต้องทิ้งชีวิตของตนเองไป

หลังจากที่ผมและไอ้ภพปิดประตูบานนั้นไว้อย่างเดิม  สองช่วงขาของเราทั้งคู่ก็ค่อยๆเยื้องย่างออกมาชนิดที่คิดจะถ่วงเวลากวนหัวหน้าทีมงานคนนั้นไว้ให้นานที่สุด  ทว่าเมื่อเดินกลับมาเกือบจะถึงตัวรถ  ทีมงานที่ไม่ได้เข้าไปท้าทายร่วมกับพวกผมก็วิ่งเข้ามาถามหาหัวหน้าทีมงานซึ่งไม่ได้เดินตามพวกผมมา ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในตัวโรงพยาบาลโดยไม่สนใจที่จะฟังคำตอบของผม  ราวกับว่ากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น

เมื่อมาถึงตัวรถ ภาพที่ผมเห็นได้ทำให้เหตุการณ์เมื่อครู่กระจ่างขึ้น  ทีมงานที่วิ่งออกมาก่อนหน้านั้นตอนนี้เขากำลังไม่ต่างไปจากคนควบคุมสติไม่อยู่  ปากก็พร่ำเพ้อแต่คำว่าผีหรือวิญญาณจนทำให้ทีมงานส่วนที่เหลือถึงกับกลืนน้ำลายกันเป็นแถบ  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงทำได้แค่มองด้วยความสงสารและเลือกที่จะชวนไอ้ภพไปนั่งคู่คนขับ แทนที่จะไปนั่งเบียดให้ทีมงานร้อนรนยิ่งขึ้น

ผมรู้ว่าทีมงานที่เข้าไปท้าทายทุกคนต่างก็ไม่สามารถมองผมด้วยแววตาแบบเดิมได้แล้ว  สิ่งที่ผมพยายามปกปิดมาตลอดถูกเปิดเผยความจริงทั้งหมดในวันนี้  ฉะนั้นทีมงานพวกนั้นจึงดูแคลนผมคล้ายตัวประหลาด เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนหนึ่งคนจะรับไหว แต่ผมกลับไม่เป็นอะไรเช่นเขา ทั้งๆที่ความจริงเป็นอย่างไรพวกเขาไม่มีทางรู้  และคนเดียวที่ดูออกทุกอย่างก็คือไอ้ภพ  เพราะมือที่ยื่นมากอบกุมเอาไว้ยามที่เสียงตะโกนด่าผมปาวๆจากหลังรถได้ช่วยบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้นยามที่คำพูดพวกนั้นบ่อนทำลายจิตใจผมลงไป

ขณะที่ทั้งรถมีแต่เสียงของทีมงานที่ชื่อแดง  เสียงโหวกเหวกโวยวายของหัวหน้าทีมงานก็เข้ามาสมทบ โดยมีสายตาระคนสงสัยของทีมงานที่ไปช่วยตามมาอย่างไม่เข้าใจ  ภาพนั้นบ่งบอกให้ผมเข้าใจดีว่าทีมงานที่เข้าไปช่วยไม่ได้เห็นหรือรับรู้ในสิ่งที่หัวหน้าทีมงานโดน และเมื่อทุกคนเข้ามาในรถได้จนครบ  เหล่าทีมงานที่เข้าไปท้าทายก็ร่ำร้องให้ออกรถเร็วพลัน

คนขับรถซึ่งดูมีอายุมากกว่าพวกเราทุกคนบนรถ ใช้สายตาตวัดไปที่ทีมงานอย่างเอาเรื่อง  แน่นอนว่าเขากำลังไม่พอใจพฤติกรรมของทีมงานสองคนนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นคนขับรถจริงๆก็ตามที  แต่เพราะด้วยคำพูดที่ไม่มีสัมมาคารวะ คนขับรถจึงไม่สนใจเสียงโวยวายเหล่านั้นและค่อยๆเคลื่อนตัวรถออกไป โดยมีเสียงร้องจากความทรมานดังประกอบฉากให้ภายในรถไม่เงียบอยู่เป็นระยะ

ผมกับไอ้ภพจ้องหน้ากันทุกครั้งที่เสียงหวีดร้องของผู้ชายเบาะหลังดังขึ้นมา และดูเหมือนว่าคนขับจะสนใจพฤติกรรมพวกนั้นไปด้วย  เพราะตอนนี้รถที่กำลังเคลื่อนตัวเลียบถนนขรุขระออกมานั้น เริ่มอืดช้าลงไปเรื่อยๆขัดกับช่วงขาคนขับที่เหยียบคันเร่งเสียจนปลายเท้าแทบจะติดพื้นรถ  นำให้สีหน้าของคนทั้งรถเต็มไปด้วยแววตากังวลและไม่เข้าใจในเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้านี้

“เฮ้ยๆ  มึงอย่าเป็นอะไรไปนะ  ติดขึ้นมาก่อนสิวะ!”

คนขับรถของเราบ่นด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก เพราะขณะนี้ปัญหาที่รถเร่งไม่ขึ้นได้ทำให้มันขับมาดับตรงบริเวณที่เรียกว่าเปลี่ยวที่สุดในบริเวณรอบนอกโรงพยาบาลร้าง ศาลพระพรหมที่ตั้งรกร้างผุพังอยู่ไม่ห่างจากตัวรถนั้น ชักนำให้บรรยากาศรอบกายตอนนี้เต็มไปด้วยไอเย็นที่บาดผิว  ความกลัวในจิตใต้สำนึกกระตุ้นให้ทุกอย่างในรถเงียบลงไปพลันก่อนที่เสียงสะอึกสะอื้นด้านหลังจะทำให้คนสามคนข้างหน้าหันกลับไปมอง

บริเวณกระจกหลังของรถปรากฏภาพของวิญญาณมากมายที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากรถคันนี้ไม่ให้เคลื่อนตัวออก

“พวกมึงนี่มันยังไง  นั่งเงียบๆกันไม่เป็นหรือไงวะ!!  ถ้าว่างมากก็ลงไปดูรถกับกู”

เสียงตวาดด้วยความรำคาญของคนขับรถดังลั่น จนทำให้แม้แต่ผมกับไอ้ภพต้องรีบหันกลับมาทำตัวให้ลีบที่สุดจนคล้ายจะอยากกลืนหายไปกับเบาะ  เป็นไปอย่างที่ผมคิด สาเหตุที่ทีมงานสองคนนั้นต่างก็โวยวายออกมาเป็นระยะเกิดจากฝีมือของวิญญาณพวกนั้นจริงๆ เสียงกรีดร้องพวกนั้นจึงไม่เคยเงียบลงไปได้เลย  จะมีก็แต่ทีมงานและคนขับรถที่ไม่ได้เข้าไปเท่านั้นที่กำลังมองคนสองคนด้วยแววตาดูแคลนและเบื่อหน่ายไปกับอาการแปลกๆ

คนขับรถหันหน้ากลับมามองอย่างหัวเสียพร้อมกับที่มือก็พยายามสตาร์ทเครื่องไปด้วย  โดยมีสายตาของผมและไอ้ภพที่หันไปให้กำลังใจคนขับรถอย่างสุดกำลัง และหวังให้ทุกอย่างที่เกิดเป็นเพียงความผิดปกติของเครื่องยนต์ โดยแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเกือบ 90% ของสิ่งผิดปกตินี้เกิดขึ้นมาจากความต้องการของวิญญาณรอบตัวรถ

“ไหวไหมครับลุง? เครื่องเป็นอะไรอย่างนั้นหรอครับ?”เมื่อลุงคนขับสตาร์ทอยู่นาน  แววตาของแกก็ดูหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงต้องใช้วาจาที่เป็นดั่งน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อลดอารมณ์คนขับ

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน  ปกติมันไม่เป็นแบบนี้  ก่อนออกมาลุงก็ตรวจสภาพมันมาแล้ว  ไม่น่าเป็นแบบนี้ได้”

“แล้วลุงมีวิธีแก้ไหมครับ?”ผมพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง  ทั้งเป็นห่วงสถานการณ์ตอนนี้และเป็นห่วงตนเอง เมื่อรู้ว่าสัญญาณบางอย่างกำลังร้องเตือนให้ผมรอรับกรรมในสิ่งที่ตนเองได้เริ่มเอาไว้

“ลุงคงต้องลงไปเปิดรถดู  พวกเอ็งสองคนมีใครขับรถได้ไหม? ลองมาสตาร์ทให้ลุงหน่อย”

“ผมขับเป็นครับ  เดี๋ยวผมดูให้” ไอ้ภพไม่รีรอที่จะอาสาทำหน้าที่สำคัญ เมื่อเป็นดังนั้นลุงคนขับรถจึงเปิดประตูลงไปดูด้วยความรวดเร็ว โดยปล่อยให้ที่ว่างคนขับถูกยึดครองโดยไอ้ภพ

การให้สัญญาณติดเครื่องยนต์ดังขึ้นมาเป็นระยะพร้อมๆกับที่ใบหน้าของลุงก็ก้มๆเงยๆอยู่แต่ฝากระโปรงรถ  ทว่าทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นเดิม จนลุงเริ่มหัวเสียและโวยวายออกมาให้คนในรถได้ยิน   ไม่ต่างไปจากไอ้ภพที่ก็แนบใบหน้าลงบนพวงมาลัยด้วยความร้อนรน  เพราะในขณะที่ลุงหาทางแก้อยู่ข้างหน้า มันก็พยายามหาทางแก้ภายในรถไปเรื่อยๆ จนเสียงปิดฝากระโปรงรถดังลั่นขึ้นมา สายตาของทุกคนถึงได้พุ่งตรงไปยังกระจกหน้ารถแต่เพียงอย่างเดียว

หลังลุงคนขับที่ยืนนิ่งอยู่ ปรากฎวิญญาณในชุดผู้ป่วยปะปนอยู่กับชุดนางรำยืนชี้หน้ามาด้านในรถด้วยแววตาอาฆาต

เสียงกรีดร้องของคนสองคนที่เบาะหลังดังรับกับใบหน้าของวิญญาณที่ต่างก็ยืนจ้องเขม็งเข้ามาด้วยแรงแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ต่างไปจากผมและไอ้ภพที่สะดุ้งถอยหลังแนบกับเบาะ  หัวใจสั่นระทึกไปกับความกลัวที่เกินขีดจำกัด เหงื่อบนใบหน้าของผมไหลซึมออกมาอย่างยั้งไม่ได้ พร้อมกับที่น้ำตาก็เริ่มคลอหน่วยมาจางๆ ดับอารมณ์ให้มือและเท้าของผมคลายจากอาการเกร็งเฉียบพลันเมื่อครู่

“เฮ้อ  หมดหนทางแล้วพวกเอ็ง  ลุงคิดว่าคงต้องรอจนถึงเช้าแล้วให้รถมาลาก”

ประตูรถด้านข้างไอ้ภพเปิดออกมาด้วยความแรงพอตัวจนทำให้ผมและไอ้ภพสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน  ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นบริเวณหลังคุณลุงซึ่งเป็นศาลพระพรหมขนาดใหญ่อีกครั้ง  ไม่รู้ว่าผมรู้สึกหรือคิดไปเองหรือเปล่าว่าที่ตรงต้นไม้ข้างศาลนั้นกำลังมีใครสักคนนั่งห้อยขาจ้องมองมาที่พวกผมอย่างเอาเรื่อง อีกทั้งบริเวณหน้าศาลยังปรากฎวิญญาณของนางรำพร้อมกับเด็กน้อยมัดจุกกำลังร่ายมนตร์สะกดสายตาด้วยท่วงท่าชดช้อย หากแต่ใบหน้าเน่าเฟะ

“ล ลุงครับ…ไม่รอจนถึงเช้าได้ไหม?  เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ”

ลุงคนขับส่ายหน้ามาให้เบาๆหลังจากที่แกปิดประตูรถขึ้นมานั่งแล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทีมงานสองคนด้านหลังร้อนรนมากขึ้นจนถึงขั้นก่นด่าออกมาด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนานาเพราะลุงคนขับหาหนทางแก้ไขเหตุการณ์นี้ไม่ได้  ทั้งๆที่ตอนนี้คิ้วของลุงยังขมวดไม่เลิก คล้ายกับคนกำลังเค้นความคิดอย่างหนักในการหาสาเหตุที่แท้จริง ผมและไอ้ภพจึงต้องหันกลับไปตวาดให้เสียงนั่นเงียบลง  จนเมื่อสมองของแกคงคิดอะไรได้  มือของแกนั้นจึงรีบพุ่งเข้าจับที่ทรวงอกพร้อมกับที่ปากก็ท่องอะไรไปเรื่อย ทำให้ภาวการณ์รอบกายผมตอนนี้กดดันมากขึ้นไปอีกเท่าตัว

“บอกกูมา  พวกมึงทั้งหมดนี่มีใครที่เล่นเกินกว่าที่เกมบอกไหม?”

กระแสเสียงเข้มเปล่งออกมาจนทำให้ทั้งรถเงียบกริบ  ก่อนที่สายตาของทุกคนไม่เว้นแม้แต่ไอ้ภพจะหันมามองที่ผมเป็นจุดหมายเดียวกัน  สายตาของทีมงานนั้นแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจและกำลังสั่งให้ผมรับผิดชอบดั่งกับเดาถูกว่าผมได้ทำการบางอย่างไว้จริงๆ  ส่วนสายตาไอ้ภพที่มองมานั้น เต็มไปด้วยความสงสารและสงสัยว่าผมทำอย่างที่ถูกกล่าวหานั่นจริงๆหรือไม่

“ว่าไงไอ้หนุ่ม เอ็งทำอะไรไว้อย่างนั้นเหรอ?”ลุงคนขับลดเสียงให้เบาลงและพูดกับผมระคนสงสัยไม่ต่างจากไอ้ภพ

“ครับ…ผมทำไว้จริงๆ”ผมพยักหน้ายอมรับออกไป ก่อนที่ลุงจะกุมขมับแน่น ทีมงานทั้งสองคนหลังรถก็ตะโกนว่าผมออกมาดังลั่น จนไอ้ภพต้องหันไปว่าคืนและขู่ไปว่าหากพวกนั้นยังไม่หยุด มันจะถีบทีมงานทุกคนลงจากรถ

“ไม่น่าเลยนะเอ็ง…ลุงว่าไม่น่าเลย คราวนี้ถึงเวลาที่ต้องเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้แล้วหละ”

“ผมต้องทำอะไรหรอครับ?”

“เวลาเอ็งทำอะไรคนอื่น  เอ็งก็ต้องขอโทษใช่ไหม? ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน  ลงจากรถแล้วไปจัดการหน้าที่ของตนเสีย”

แววตาของผมตอนนี้สั่นไหวไปมาพลางจ้องหน้าลุงและไอ้ภพไปด้วย  ก่อนที่ผมจะพยักหน้าตอบรับและสูดหายใจเข้าปอดตนเองให้ลึกที่สุดเพื่อคลายความกังวล แล้วปล่อยให้มือสั่นเทาของตนเองกำที่เปิดประตูไว้แน่นเตรียมจะผละออกไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยว!!”

“ม..มีอะไร หรอครับ”

“นั่นสิลุง  มีอะไร? ให้มันลงจากรถไปสักที จะได้กลับออกไปได้แล้ว!!”

“เอ็งรู้ไหมว่าที่เอ็งจะต้องเจอมันแรงมากชนิดที่อาจทำเอ็งตายได้  ฉะนั้นก็ไปขอขมาเขาดีๆแล้วห้อยพระนี้ไว้ ถ้าลุงให้สัญญาณเมื่อไรก็รีบวิ่งกลับมาโดยไม่ต้องหันกลับไปมองอีก”

“ผมทราบครับ และจะทำตามที่ลุงบอก”

“งั้นก็ดี  ไม่ว่ายังไงก็อย่าถอดพระนี่ออกเด็ดขาด!! และถ้ามันขาดหลุดจากคอเมื่อไรรู้ตัวใช่ไหมว่าเอ็งต้องรีบวิ่งขึ้นรถให้เร็วที่สุด”

“ลุง กฎของรายการ เขาไม่ให้พวกมันใส่พระ”ทีมงานที่ไม่ได้เข้าไปท้าทายร่วมกับผมคนหนึ่งดังขึ้นห้ามปรามลุงคนนั้นลั่น

“หุบปากไปเถอะพวกมึงหนะ…แค่เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลนั้นให้ได้โดยไม่ปริปาก พวกมึงยังทำกันไม่ได้ นับประสาอะไรกับสิ่งที่กูจะต้องทำ หึ ไอ้พวกที่ขี้ขลาด มันก็เก่งได้แต่ปาก  ไว้พวกมึงกล้าลงไปพร้อมกูเมื่อไร ค่อยลำพองก็แล้วกัน”

ผมพ่นคำพูดออกไปด้วยความโมโหที่สุดในชีวิต  ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำทุกอย่างด้วยอารมณ์อย่างแท้จริง เพราะไม่อาจยอมรับในกลโกงที่พวกมันสร้างขึ้นมาได้  และก็นับว่าการที่ทีมงานสองคนนั้นมีสภาพแบบนี้จะทำให้ผมพึงใจอยู่ไม่น้อย  แต่กระนั้นมันก็ยังมีความสงสารยับยั้งไม่ให้ผมพูดประโยคด่าจำพวกนั้นออกไป  จนฝีปากของทีมงานที่ทำให้เส้นอดทนของผมขาด  ผมเลยไม่สามารถทนต่อคำเหยียดที่ผมได้ยินตลอดการขึ้นรถมาได้อีก

สองเท้าของผมเหยียบพื้นดินแห้งยามที่ท้องฟ้าแห่งรัตติกาลมีเพียงแสงจันทร์สาดส่องนำทางเท่านั้น  ลมกลางคืนในฤดูหนาวค่อนข้างเป็นใจที่จะบรรเทาความขุ่นมัวเมื่อครู่ให้เบาลงและแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต  ขาของผมสั่นจนคล้ายจะไม่มีแรงก้าวเดิน  เสียงดนตรีไทยที่คลอมากับสายลม ดังประสานเสียงหัวเราะแหบแห้งเบาๆใกล้หูผม  วิญญาณที่ปรากฏตัวเมื่อครู่ก็ยังทำตนให้เป็นนักแสดงประกอบฉาก ยืนจ้องพร้อมด้วยตาแดงกล่ำอาฆาต ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะก้าวตามผมเข้าสู่ศาลพระพรหม

“ถ้าสิ่งใดที่ผมล่วงเกินไป ทำให้ท่านทั้งหลายไม่พอใจ ผมขอสมาอาภัยแก่ท่านตรงนี้ด้วยเถิด”

น้ำเสียงสั่นปลายของผม กล่าวขานฉะฉานยามที่ต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทางแห่งนี้ ท่ามกลางท่าทางชดช้อยของนางรำที่เปลี่ยนท่วงท่าและลีลามาห้อมล้อมผมไว้ พร้อมกับใช้ใบหน้าของตนเองในการจ้องมองผมอยู่อย่างนั้น แม้ว่าพวกเธอจะเคลื่อนย้ายลำตัวไปทางอื่นแล้วก็ตาม อีกทั้งเสียงเด็กน้อยยังพากันหัวเราะชอบใจยามที่มือของผมสั่นคล้ายเจ้าเข้า ก่อนที่การตัดสินใจสุดท้ายจะสั่งให้ผมก้มกราบลงจนหน้าผากแนบปลายนิ้วเท้าของนางรำ

“กูไม่เอา!!!”

กลิ่นเหม็นเน่า  กลิ่นควันธูป ลอยโชยตัดผ่านจมูกของผมไปในขณะที่หน้าผากของผมยังแนบกับเล็บเท้าช้ำเลือดช้ำหนองของนางรำสักตนอยู่  ตัวของผมยามก้มกราบรู้ทันทีเลยว่ามันกำลังสั่นไหวจนแทบคลั่ง  ช่วงแขนทั้งสองข้างของผมก็มีสัมผัสเบาๆของมือเด็กมาลูบไล้ด้วยความแรงจนแสบผิว  พระที่ผมห้อยอยู่ดูจะปกป้องไม่ให้ผมเป็นอันตรายไปมากกว่าการทนฟังเสียงหวีดร้องรับการขอขมาของผม  ดังนั้นการเสแสร้งว่าไม่รับรู้จึงสั่งให้ผมไม่สนใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องที่ศาลอีกครั้ง

นางรำที่ยืนขวางทางอยู่นั้นหายไปในบัดดล ก่อนที่กรอบประตูศาลจะเริ่มมีใบหน้าของผู้ชายแก่คนหนึ่งแนบขึ้นมาพอดีกับประตู  โดยที่สายตาคู่นั้นกลวงโบ๋ หากแต่ปากก็ยิ้มฉีกกว้าง พร่ำประโยคที่ทำให้หูของผมอื้ออึงไปหมด…

กูจะเอาชีวิตพวกมึง!!!

เสียงดนตรีเบาๆที่ได้ยินคล้ายจะถูกเร่งจังหวะเพิ่มมากขึ้นตามความรู้สึก  เพราะท่าทีการรำชดช้อยที่ได้เห็นเริ่มเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น  ผมนั่งตัวนิ่งค้างแต่มือกลับยังยกขึ้นพนมแนบอกสั่นพร่า  ในใจก็เอาแต่ท่องประโยคขอขมาแบบเดิมเพื่อถ่วงเวลาให้คนขับรถเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายที่จะเรียกให้ชีวิตผมกลับไป

“เฮ้ย!!!  ไอ้หนุ่มขึ้นรถ เร็ว!”

คล้ายคำสั่งจากสวรรค์ที่สั่งให้ผมรีบวิ่งลุกออกมาจากพื้นที่แห่งนั้น  ฝ่าความแออัดของวิญญาณที่ต่างก็โผล่มาขวางทางผมเอาไว้ยามที่นางรำกวดฝีเท้าไล่ตามมาเรื่อยๆ  ยอมรับเลยว่าภายในใจตอนนั้นคิดเสมอว่าตนเองอาจจะไม่มีทางได้รอดกลับไป เพราะช่วงที่ผมถูกกักกั้นเอาไว้ มันเต็มไปด้วยความทรมานจนหัวใจแทบจะวาย  หน้าอกผมปวดแน่นหนักที่สุดตั้งแต่เคยรู้สึกมา ภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัวคล้ายสติจะเลอะเลือน จนรู้สึกว่าบางอย่างรอบตัวเริ่มคลายก็เมื่อตอนที่ได้ยินไอ้ภพบอกให้ลุงคนนั้นท่องอะไรบางอย่างแบบเดียวกับที่เขาท่องมาก่อนหน้า  และนำพาให้ผมขึ้นรถออกไปได้

รถคันนี้มุ่งตรงสู่ถนนใหญ่ด้วยความรวดเร็ว ต่างจากที่ขับออกมาในคราแรก  ผมนั่งพิงพนักเบาะด้วยความเหนื่อยล้า  หายใจหอบแรงจนไอ้ภพต้องนั่งกอดปลอบเอาไว้  ลำพังเสียงของทีมงานที่เคยกรีดร้องก็ค่อยๆเบาลงจนเหลือแต่เพียงเสียงการระแวงเท่านั้น  เนื่องจากหลังจากที่เดินทางออกมาจากสถานที่ต้องสาปแห่งนั้นได้ ไอ้ภพก็บอกกับผมทันทีว่ามันไม่เห็นอะไรอย่างในนั้นอีกแล้ว

รอบถนนเส้นนี้ แน่นอนว่าสัมภเวสีหรือวิญญาณตายโหงตายห่าได้ยืนเรียงรายกันทั่ว คล้ายกับนั่นก็คือโลกอีกใบของเขา  สิ่งที่ผมเห็นจะไม่สร้างความรู้สึกอะไรให้กับผมเลย ถ้าวิญญาณพวกนั้นไม่คอยมาตัดหน้ารถจนทำให้ลุงคนขับถึงกับแทบถลาเข้าจุดอันตราย  ผมรีบบอกลุงนิ่งๆว่าให้ขับไปเลยเพราะสิ่งที่เข้ามาขวางทางลุงไม่ใช่คนแน่ๆ  จวบจนรถเดินทางผ่านประตูวัดแห่งหนึ่ง ลุงคนขับก็หักเลี้ยวเข้าไปจอดนิ่งในนั้น

“อยู่ในนี้ไปก่อนแล้วกัน  ลุงขับต่อไม่ได้แล้วเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย”ลุงคนขับบ่นเสียงเครียดยามที่รถมาจอดนิ่งหน้าอุโบสถหลังใหญ่

“ลุง…เห็นด้วยเหรอครับ?”

“ถ้าเป็นตัวแบบเอ็งลุงไม่เห็นหรอก  แต่ทุกครั้งที่ลุงเบรคหนะ  มันเกิดจากการที่รถอยู่ดีๆก็เหมือนจะคุมไม่ได้”

“แต่ผมก็เห็นลุงขับมานิ่งได้แล้วนะครับ  มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”คราวนี้ไอ้ภพถามในสิ่งที่สงสัยขึ้นมาบ้าง

“ลุงก็ท่องคาถาป้องกันภัยไปทั่วไปนั่นแหละ  คนที่เขาต้องขับรถเขาก็มีกันทุกคน มันช่วยชีวิตคนได้นักต่อนักแล้วยามที่เกิดสถานการณ์คาดไม่ถึงแบบนี้”

“มันเป็นเพราะผมหรือเปล่าครับ?”

“ลุงไม่รู้หรอก  ลุงรู้แค่ว่าสิ่งที่เอ็งทำมันค่อนข้างแรงถ้าเมื่อกี้เป็นลุงที่ไม่รู้คาถา พวกเราตายตั้งแต่ในนั้นแน่นอน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว  ยิ่งคนในรถอยู่ในช่วงดวงตกแบบนี้ มันเป็นธรรมดาที่จะเกิดเรื่อง ไม่ต้องคิดมากหรอก”

ลุงคนขับรถบอกปัดไปเสียงเรียบๆและปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่จนแสงแรกของวันเริ่มเกิดขึ้น  ปลุกพวกเราทุกคนบนรถให้ตื่นขึ้นในสภาพที่จิตใจอ่อนแอกันถ้วนหน้า  รถตู้คันนี้จึงได้ถึงคราวออกเดินทางอีกครั้ง โดยยังมีท่าทีหวาดกลัวของสองทีมงานที่เข้าไปท้าทายดังขึ้นประกอบฉากให้ตกใจเล่นเป็นระยะ  แต่กระนั้นรถคันนี้ก็ยังพาพวกผมมาส่งได้โดยปลอดภัย

“นี่ไอ้หนุ่ม  ลุงขอเตือนไว้เลยนะ  ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่อย่าได้คิดไปทำอะไรแบบนี้อีก  ลุงรู้ว่าเอ็งอาจจะทำไปเพราะอารมณ์ แต่ก็นึกถึงชีวิตตนเองไว้ด้วย  มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยง  อีกอย่าง  ถ้าไม่อยากตายก่อนอายุขัยอันควร อย่ากลับไปโรงพยาบาลนั่นอีก”

พวกผมก้มหัวขอบคุณลุงคนขับรถแล้วพากันเดินเข้ามาในบ้าน ครานั้นผมเข้าใจทันทีเลยว่าเหตุใดที่รถตู้ของรายการถึงได้เลือกที่จะเปลี่ยนตัวคนขับรถมาเป็นลุงคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่  แม้จะติดสงสัยไปบ้างว่าสาเหตุที่รายการยอมเปลี่ยนมันเกิดขึ้นมาจากอะไร ทั้งๆที่ฆาตกรก็ไม่อยากให้พวกผมมีชีวิตรอดกันอยู่แล้ว  และสุดท้ายเมื่อคิดฟุ้งซ่านไปไม่ทันไร  เสียงไอ้ภพก็ร้องเรียกให้ผมไปช่วยในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า

“จะบอกกูได้หรือยัง  ว่ามึงไปทำอะไรมา  แล้วอะไรที่ทำให้มึงกล้าเล่นกับของแบบนั้น”ไอ้ภพจับผักบนมือนิ่ง แล้วก็หยุดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะดุและไม่พอใจผมขนาดหนัก

“กู…ขอโทษ  แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อตอนนั้นกูไปได้ยินทีมงานโทรไปให้ผู้จัดการเกมเล่นไม่ซื่อกับเราอีก  คำสั่งที่บอกให้เราเงียบ กูคิดว่าพวกมันพึ่งจะได้รับในตอนนั้น  กูเลยทนต่อไม่ได้”

“แล้วมึงไปทำอะไร…เกี่ยวกับน้ำเก้าวัดที่ขอไปด้วยไหม?”

“อืม ตอนขากลับกูเดินสะดุดสายสิญจน์ล้มแล้วเห็นศาลพระพรหมที่ตั้งตรงนั้น  เลยเดินเข้าไปหาด้วยอารมณ์ล้วนๆ แล้วก็เอ่ยปากท่องคาถาปลุกวิญญาณเมื่อคืน  ก่อนจะสาดน้ำเก้าวัดทั้งหมดเข้าสู่ตัวศาล  ขอให้ทีมงานพวกนั้นเห็นไม่ต่างไปกับกู แล้วพอที่ชั้นใต้ดิน กูก็ขอแบบเดิมอีกเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันต้องเห็น…ตอนที่กูสาดนั้น กูไม่รู้หรอกว่ามันโดนอะไรบ้าง  จนกูกลับไปขอขมากูถึงได้เห็นว่าแรงสาดกูมันพัดเอาตุ๊กตาบูชามากมายหล่นแตกหักเต็มพื้นเลย”

“มึงจำคาถานั่นได้ด้วยเหรอ?”

“ทำไมจะไม่ได้หละ  วิญญาณบนกระดานแม่งท่องกรอกหูกูตลอดคืน ทำกูนอนแทบไม่ได้”

“เฮ้อ กูโกรธนะมิวที่เห็นมึงทำอะไรไม่คิดแบบนี้  แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะกูก็เป็น ถึงอย่างนั้น ลึกๆของกูก็รู้สึกดีใจที่มึงกล้าทำได้ขนาดนี้  กล้ามากกว่าในเกมก่อนๆที่ผ่านมา  ตอนแรกกูห่วงมึงมากนะเพราะไม่รู้ว่ามึงจะเป็นอะไรไปอีกหรือเปล่า  พอเห็นมึงเป็นอย่างนี้ ว่าจะไม่ห่วงแล้วนะ  มึงกลับทำกูห่วงมากกว่าเดิมอีก” 

“ทำไม?”น้ำเสียงของไอ้ภพที่ส่งมา  บอกทุกความรู้สึกจนผมตั้งรับไม่ถูก ใบหน้าของผมอุ่นร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะถามเสียงแผ่วออกไป

“พอเห็นมึงกล้ามากขึ้น  มันยิ่งทำให้กูรู้สึกเหมือนมึงอยู่ไกล  กูคาดเดาความคิดมึงไม่ได้  กูจึงไม่สามารถยับยั้งหรือปกป้องมึงอย่างเคยได้เลย  ไม่รู้สิ  ทั้งๆที่มึงก็เข้มแข็งขึ้นอย่างที่กูคาดหวัง  แต่ทำไมกูถึงได้รู้สึกว่าเหมือนกูกับมึงห่างกันเกินไป มึงคนก่อนหน้ายังทำให้กูรู้สึกใกล้ชิดได้มากกว่านี้อีก” น้ำเสียงเบาบางคล้ายจะไกลออกไป  ทำเอาตาของผมอุ่นร้อนขึ้น ก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ตัวมันอีกครั้ง เพื่อย้ำชัดให้แน่ใจว่าคนที่มันร้องเรียกหา ยังคงอยู่กับมันที่เดิม

“พูดมากขึ้นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย พี่ภพของกู 5555 อย่าห่วงเลยภพ กูคือมิว ยังไงมันก็คือคนเดิมวันยันค่ำ กูยังคงกลัว  กูยังคงผวา กูยังคงโหยหาร้องเรียกแต่มึง ในทุกครั้งที่กูต้องดาหน้าสู้กับสิ่งที่มึงมองไม่เห็น  แต่ในที่แบบนั้น เราสองคนถูกจับแยกกัน  ในหัวของกูนอกเหนือจากความกลัวแล้ว มันต้องเพิ่มความคิดบางอย่างขึ้นมาด้วย”

“ความคิด?  ความคิดอะไร?”

“กูคิดว่า…จะทำยังไงเพื่อเข้มแข็งให้ได้เจอหน้ามึงอีกครั้ง เข้มแข็งเพื่อให้กูได้เห็นว่ามึงจะปลอดภัยและกลับมาหาความจริงในบ้านหลังนี้ได้ นั่นเพราะกูไม่รู้เลย ว่าครั้งสุดท้ายของกูมันจะเป็นเมื่อไร”

“มิว…กูเคยบอกแล้วใช่ไหม? ว่าเมื่อถึงครั้งสุดท้ายของมึงเมื่อไร นั่นก็จะเป็นครั้งสุดท้ายของกูเหมือนกัน บางอย่างนำเราสองคนให้เริ่มเกมนี้มาด้วยกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะจบมัน  เราก็ต้องจบไปพร้อมกัน”

ไอ้ภพไม่เงยหน้ามาพูดคุยกับผมสักประโยค แต่ก็เห็นได้ว่าใบหูของมันแดงกล่ำไม่ต่างจากผม สร้างภาพให้ใจของผมสั่นระรัวอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะความกลัว  ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากข้างกายผม เป็นเหมือนยารักษาชั้นดีที่ทำให้ผมมีแรงฮึดสู้ต่อ พร้อมกับหลักฐานทางวาจาที่พึ่งได้ยินมาเต็มสองรูหู

“มิว ในเมื่อตอนนี้เรารู้กันแล้วว่าลุงคำเป็นเบื้องหลังของเกมนี้  เราจะทำยังไงเพื่อที่จะหาหลักฐานมางัดข้อได้”ไอ้ภพพูดขึ้นหลังจากที่ผมกับมันทานข้าวเสร็จและมานั่งบนเตียงในห้องเตรียมจะนอน

“กูคิดว่าบ้านหลังนั้นที่มึงเจอ จะต้องมีหลักฐานสักอย่างที่จะยืนยันตัวบุคคลได้  ที่สำคัญนะภพ กูคิดว่าป่านนี้ผู้จัดการเกมตัวจริงคงรู้แล้วหละ ว่าหัวหน้าทีมงานได้บอกความจริงออกมา  ถ้าลุงคำคือฆาตกรตัวจริง เขาจะต้องมาหาเราในบ้านเย็นนี้แน่ๆ”

“เขาก็ต้องมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่หรอก คราวนี้ เขาจะต้องมาพร้อมกับสาเหตุที่ยังเก็บมึงไว้ในเกมและพยายามจะเอากูออกไป  เมื่อถึงตอนนั้นกูจะหยิบโทรศัพท์ของแกที่ลืมไว้มาโทรแจ้งตำรวจให้เอง”

“ว่าแต่ทำไมมึงถึงพูดเหมือนรู้อยู่แล้วว่าลุงคำจะมา เขากลับมาแล้วเหรอ?”

“รู้สิ  เมื่อคืนก่อน กูเห็นลุงคำมาด้อมมองๆพวกเราอยู่ตรงหน้าต่างในครัวด้านล่าง  เพียงแต่ตอนนั้นกูยังไม่ได้บอกมึง”

“ทำไมไม่รีบบอก  กูจะได้ลงไปถามให้มันรู้เรื่องตั้งแต่ตอนนั้น”

“เอาตรงๆกูไม่กล้า  เพราะเรื่องของพี่สาวดลยาที่เคยบอกไว้ว่าน้องตนเองเดินไปเปิดประตูตามเสียงเรียก  ก่อนที่จะโดนบีบบังคับให้ออกทันที  ตอนนี้ชีวิตเราสองคนขึ้นอยู่กับความไม่แน่ไม่นอนทั้งสิ้น  จากต้องเล่นเกมในบ้าน ก็ต้องระหกระเหินไปโดนเขาเชือดที่อื่น  จากคนที่ไว้ใจก็กลับกลายมาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง  กูถึงไม่กล้าจะฟันธง ว่าถ้ามึงออกไปเปิดประตูเจอลุงคำในยามวิกาลอีกครั้ง  มึงจะสามารถอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อีก”

.
.
.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“มาถึงขั้นนี้แล้ว กูเริ่มจะคิดแล้วนะว่าเงินรางวัลสี่แสนที่เกมเตรียมไว้ให้  มันจะพิเศษยังไงกันแน่”

“อย่างน้อยหนึ่งในความพิเศษนั้น มันก็คือการนำเราสองคนเข้ามาล่าท้าวิญญาณในที่ที่เคยเกิดเรื่องราว โดยมีผู้เป็นเจ้าของคือฆาตกรตัวจริง”

“กูไม่นอนแล้วดีไหม?  มันปั่นป่วนแบบบอกไม่ถูก กูอยากออกไปที่บ้านหลังนั้นใจแทบขาดแล้วเนี่ย”

“อย่าดีกว่าภพ  นอนหลับสักตื่นแล้วกันค่อยออกไปหาความจริง  เราสองคนแทบหมดแรงแล้วนะ”

“อืม แล้วแผลมึงเป็นไงบ้างที่หัวเข่าหนะ?”

“นี่เหรอ  กูอาบน้ำล้างเศษฝุ่นเศษอะไรไปแล้ว  มันไม่ได้ลึกมากหรอก  อีกอย่างก็ทายาแล้วด้วย ไม่ต้องห่วง”

“งั้นมึงก็รีบนอนได้แล้ว  พักผ่อนเยอะๆ มึงเหนื่อยมามากแล้ว”

“มันมีแค่กูรึไงที่เหนื่อย  ไม่ต้องทำตัวเป็นพ่อพระเอก ล้มตัวลงนอนได้ละ เครียดมากๆหน้าแก่ก่อนวัยออกไปหาเมียมีลูกแบบที่มึงต้องการไม่ได้นะ”

การขู่ที่ทำให้ใจผมรู้สึกเจ็บขึ้นมานำให้ไอ้ภพนอนลงได้ แต่สายตาของมันกลับตวัดขึ้นมองผมด้วยความรวดเร็ว  กระนั้นผมกับแสร้งหัวเราะและไม่สนใจที่จะเก็บมาคิด  ก่อนจะหันหน้าเข้าหน้าอกมันด้วยท่านอนท่าประจำอย่างเคย พลางในหัวก็คิดถึงแต่คำพูดตนเองและรู้สึกผิดที่ต้องพูดความจริงออกไป

ยิ่งเกมถูกเปิดโปงมามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเท่ากับว่าระยะเวลาที่ผมจะได้อยู่ในบ้านหลังนี้เริ่มใกล้จะหมดลง หากผมและไอ้ภพมีชีวิตรอดกลับไป  ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะตักตวงความสุขในบ้านนี้ให้เต็มตื้น ก่อนจะปล่อยให้ไอ้ภพไปตามหาทางและอิสระของตนเอง  มันเคยบอกผมว่ามันอยากมีลูก  มันอยากมีครอบครัวทดแทนสิ่งที่มันเคยเสีย  ด้วยใจที่รู้ว่ารักมันมาก  ผมจึงไม่อาจรั้งมันไว้ได้ และเตรียมปล่อยให้เรื่องทั้งหมดขึ้นกับโชคชะตาอีกครั้ง

อากาศร้อนอบอ้าวยามบ่าย สอดแทรกทำลายความฝัน ปลุกชายหนุ่มผู้ง่วงงันให้ตื่นจากนิทรา…

ผมสะลืมสะลือตื่นขึ้นมาทั้งที่หนังตายังคงปิด  อากาศในหน้าหนาวไม่อาจช่วยให้การนอนหลับสบายขึ้นได้เลย ประเทศไทยที่มีแต่ฤดูร้อนเช่นนี้ ทำให้การวาดฝันที่จะนอนยาวๆของผมเป็นอันต้องล้มลง  แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ผมตัดสินใจลืมตา  ที่ว่างอุ่นร้อนข้างตัวนั่นต่างหากที่เป็นดั่งนาฬิกาปลุกชั้นดี สะกิดให้ความรู้สึกตัวของผมกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง

ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่นานสองนานจนเมื่อสติรับรู้ได้ว่าตนไม่ได้นอนอยู่บนเตียงที่หอ ร่างกายก็ดีดพรวดลุกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว หากแต่แววตายังคงปิดสนิท  ก่อนที่จะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วหันไปมองหาไอ้ภพทุกที่ในห้องนอนพลางใช้ประสาทสัมผัสทางหูฟังแว่วเสียงที่อาจเกิดขึ้นด้านล่าง และเมื่อพบว่าทุกอย่างในบ้านนิ่งสนิทเกินไป ผมถึงได้รีบวิ่งลงมาดูความว่างเปล่าที่เกิดขึ้น

ไอ้ภพคงรีบลุกออกจากเตียงไปก่อนผมตื่นไม่นานนัก เพราะไออุ่นของมันยังคงรายล้อมอยู่รอบบ้าน  ใจของผมตอนนี้เริ่มเป็นกังวลแบบบอกไม่ถูก แม้จะรู้ว่าไอ้ภพมันเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้สองครั้งแล้วโดยไม่มีปัญหาตามมาทั้งๆที่มีกล้องมาติดเพิ่มไว้  หากแต่เรื่องราวที่ผมพึ่งจะได้รับรู้ กลับทำให้พฤติกรรมเดิมๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจจะปลอดภัยได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวที่ผมยังหายใจ

โต๊ะตัวยาวหน้าตู้หนังสือกลายเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายที่ดึงผมให้เข้าไปนั่งพัก  ลางสังหรณ์แปลกๆที่ตื่นขึ้นมาพร้อมผมส่งสัญญาณบางอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้ขึ้นมาจนใจกระตุกวูบ  มือและเท้าของผมต่างก็อยู่ไม่นิ่ง เดินวนหยิบจับสิ่งของในบ้านไปมาคล้ายกับต้องการให้การกระทำพวกนั้นบรรเทาความคิดในหัวให้เบาลงไปบ้าง จนสุดท้ายเมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีทางกลับเป็นปกติได้แน่จนกว่าจะเห็นหน้าไอ้ภพ  หนังสืออ่านเล่นจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเปิดฆ่าเวลาไปพลางๆแทน

ไม่รู้ว่าเพราะเสียงนาฬิกาที่ตีบอกเวลาครบชั่วโมงมาได้สามครั้งหรือเป็นเพราะเรื่องราวของลุงคำที่ทำให้สมองของผมตอนนี้ต้องทำงานอย่างหนัก หลังจากที่ผมอ่านหนังสือไปด้วยความทรมานใจจนเสร็จสิ้นไปหลายเล่ม  ภารกิจที่ผมต้องทำในคืนนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอ่านแทน  โดยเนื้อความด้านในสามารถทำให้ใจของผมสั่นกลัวไปมากกว่าเดิม ยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผมอ่าน  ไม่ใช่เพราะมันเป็นการท้าทายที่โหดร้ายทารุณ  หากแต่หนังสือเล่มที่อยู่ถัดจากเกมกระดานดำ กลายเป็นหนังสือที่ภายในระบุไว้เพียงเกมๆเดียวทุกเล่ม อย่างกับรู้ว่าเหตุการณ์วันนี้จะเกิดขึ้น  และที่สำคัญนั้น เกมที่พวกผมต้องเล่นกันยังเป็นเกมที่พวกผมเคยทำกันมาแล้วครั้งหนึ่งในบ้านนี้

ผมรีบปิดหนังสือและเหวี่ยงมันกลับเข้าตู้แบบเดิมโดยไม่รีรอ  ใจของผมตอนนี้รู้สึกสั่นระทึกพาลให้น้ำตาจะไหล หางตาของผมก็เอาแต่จับจ้องไปที่นาฬิกาพร้อมความกังวลที่ตีตื้นขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว  อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้จะเป็นเวลาเดดไลน์ที่บังคับให้พวกผมสองคนอาศัยอยู่แต่เพียงในบ้าน นั่นจึงหมายความว่าหากไอ้ภพกลับมาไม่ทัน มันจะถูกบังคับออกทันทีโดยไม่ต้องใช้ข้อแม้สักข้อเดียวอย่างคราวที่ผ่านๆมา

ไอ้ภพ….มึงหายไปอยู่ไหน
 

ผมเดินวนเวียนในบ้านนี้ด้วยความลังเล  ใจด้านหนึ่งก็สั่งให้ผมวิ่งออกไปหาไอ้ภพ  แต่ใจอีกด้านกลับสั่งให้ผมอยู่นิ่งๆตรงนี้เพราะบางทีไอ้ภพอาจจะกำลังรีบกลับมา  และถ้าช่วงที่ผมตัดสินใจปีนออกไปเป็นช่วงที่แขกคนสำคัญมาที่บ้าน นั่นอาจจะทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง  เพราะนอกจากเราจะหลีกเลี่ยงกล้องไม่ได้แล้วนั้น เราอาจจะต้องมานั่งหาเหตุผลเพื่อปกป้องการกระทำลับหลังของพวกเราโดยมีพยานบุคคลรู้เห็นเพิ่มไปด้วย

เสียงรถมอเตอร์ไซต์คันเก่าที่ร้องดังมาแต่ไกล  ยับยั้งทุกความคิดที่กำลังฟุ้ง  ก่อนที่สองขาของผมจะวิ่งตรงเข้าครัวเพื่อเสแสร้งทำเป็นหยิบจับอาหารไปเรื่อย  เสียงเปิดประตูและฝีเท้าที่เกิด กำลังทำให้ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าวันนี้ลุงคำจะเข้ามาหาผมด้วยไม้ไหน หรือมีอะไรที่แกเตรียมจะเข้ามาสะสาง

“อ้าว? ไอ้หนุ่มวันนี้เอ็งทำกับข้าวเร็วนะ”เสียงแหบแห้งของคนแก่ดังขึ้นเรียกที่ด้านหลัง นำให้ร่างกายของผมหยุดนิ่งคล้ายคนโดนตีจนชาไปทุกสัดส่วน

“ล…ลุงมั่น  วันนี้เวรลุงเข้ามาหรอครับ?”

“เวรอะไร?  เอ็งเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย 555 ลุงมาทำแทนลุงคำเฉยๆ  ไม่ได้จัดวงจัดเวรอะไรทั้งนั้นแหละ”

“หมายความว่าไงครับ  ลุงคำยังไม่กลับมาอย่างนั้นเหรอ?”

“หืม  ลุงคำแกกลับมาได้ด้วยเหรอ  เห็นบอกจะไปหาลูก”

“อ…เอ่อ ผมนึกว่าแกกลับมาแล้วเสียอีก”

ลุงมั่นยิ้มบางๆให้ผมพลางส่ายหัว  ก่อนที่แกจะหยิบจับอะไรเข้าตู้เย็นของแกไปอย่างอารมณ์ดี  เสียงฮัมเพลงมากมายเกิดขึ้นเพลงแล้วเพลงเล่าขัดกับใบหน้าผมที่ยังคงเต็มเต็งไปด้วยความเครียด  ในหัวก็เอาแต่ภาวนาให้ไอ้ภพกลับมาเร็วๆ เนื่องด้วยหากมันช้าไปมากกว่านี้ มันอาจจะไม่ได้กลับเข้าบ้านหลังนี้อีก

“เออ  แล้วนี่ไอ้หนุ่มอีกคนไปไหนรึ  ลุงยังไม่เห็นหน้าเลย”

“คือว่ามัน….มันกำลัง”

“มันออกไปข้างนอกอีกแล้วหละสิ” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบข้ออ้างออกไป  เสียงลุงมั่นก็ดังแทรกขึ้นมาเรียบๆราวกับรู้ว่าไอ้ภพมันอยู่ที่ไหน  เรียกให้ใบหน้าของผมเงยขึ้นและสบตากับลุงมั่นพร้อมด้วยแววตาสั่นๆ

“ลุงรู้ด้วยเหรอครับ?”

“เขาก้รู้กันหมดนั่นแหละ  กล้องที่ติดไว้ด้านหลังมันก็ถ่ายติดนะ  แล้วที่ลุงถามก็กะจะถามเผื่อมันกลับเข้ามาแล้ว”

“ยัง…ยังเลยครับลุง  ไม่รู้ว่าครั้งนี้มันหายไปไหน  ไปนานกว่าทุกๆครั้งเลย”

“เฮ้อ…เวรกรรม  ลุงก็เตือนแล้ว ป่านนี้โดนทีมงานลากกลับไปแล้วมั้ง”

“ยังหรอกครับ!!!...ผมเชื่ออย่างนั้น ถ้าทีมงานจะเอากลับเขาจะต้องพามันกลับมาเอาเสื้อผ้าของมันด้วย ผมเป็นห่วงกลัวว่ามันจะโดนสัตว์หรืออะไรเลวร้ายในป่านั่นมากกว่า”

“เอาเถอะๆ  เอ็งเอาเวลาไปห่วงเกมคืนนี้ดีกว่า  ยังไงซะเรื่องที่มันออกไปนอกบ้านก็ไม่มีใครคิดจะเอาผิดอยู่แล้ว  ส่วนเรื่องที่เอ็งกังวลลุงจะโทรไปถามทางรายการให้ว่าจะเอาไง เผื่อจะได้ยืดเวลาเดดไลน์ออกไปได้อีก”

ผมยิ้มขอบคุณน้อยๆให้แก่ลุงมั่น แล้วจึงรีบวิ่งขึ้นห้องไปพร้อมกับขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าว  หน้าต่างห้องนอนยามนี้ถูกผมยืนนิ่งพลางใช้สายตาสอดส่องไปแต่ป่าด้านหลัง  ในใจก็พะว้าพะวงกลัวไปหมด  ไอ้ภพไม่เคยเหลวไหลหรือกล้าทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวได้นานขนาดนี้  แม้กระทั่งวันแรกที่มันเข้ามา มันก็ยังรีบกลับเข้ามาหาผม  แล้วทำไมวันนี้มันถึงได้ถูกป่ากลืนหายไปเลย  ไม่มีวี่แววที่จะบ่งบอกการกลับมาอย่างที่เคยเป็น

ขอบเตียงนอนคือที่พึ่งพิงของผม  มือทั้งสองข้างกอบกุมกันไว้ด้วยความเครียด  เข็มนาฬิกาเริ่มเดินไปเรื่อยอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับใจผมที่รู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  หางตาของผมนั้นเอาแต่จดจ้องไปที่โทรศัพท์เครื่องหนารุ่นเก่าเก็บ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบมันเอาไว้อย่างชั่ง จวบจนเมื่อท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท ผมถึงได้ตัดสินใจลงมาข้างล่างและเตรียมหาหนทางหนีออกไปจากบ้านนี้

“ไปทำอะไรมานานสองนานเลยหละ  เป็นห่วงไอ้ภพเหรอ?”

“ก็ครับ…มันยังไม่กลับบ้านเลย  ไม่รู้จะโดนอะไรในป่านั่นหรือเปล่า แล้วนี่ลุงยังไม่กลับอีกเหรอครับ?”

“ฟังดีๆนะ  ตอนนี้ภพเพื่อนเอ็ง มันกำลังถูกทีมงานจับตัวและสอบสวน เรื่องที่มันหนีไปที่บ้านด้านหลัง  ส่วนเรื่องที่ลุงยังไม่กลับก็อยู่รอเพื่อจะบอกเอ็งนั่นแหละ  เห็นเอ็งดูกังวลลุงเลยไม่กล้าเรียก ให้เอ็งลงมาเองดีกว่า”

“บ้านด้านหลัง?  ทีมงานเขารู้ได้ไงครับว่าไอ้ภพไปที่นั่น”

“ลุงก็ไม่รู้หรอก  ลุงรู้แค่เขาบอกว่าไปเจอไอ้ภพกำลังปีนเข้าบ้านพอดีเลยต้องสอบสวน เพราะบ้านหลังนั้นเป็นบ้านคนอื่นด้วย  มันจะเสียมาถึงรายการ”

“แบบนั้นเหรอครับ”ผมยืนหน้าซีดปากสั่น กังวลจนใจหาย  ขอบตาของผมตอนนี้เริ่มกลับมาร้อนอีกครั้งเพราะความเป็นห่วงและความกลัวที่เกิดขึ้นท่วนท้นหัวใจผม

“ระหว่างนี้เอ็งอยากกินข้าวหรือทำอะไรก่อนหรือเปล่า?  อีกไม่นานเอ็งก็ต้องเล่นเกมแล้ว”

“เกมนี้มันเล่นดึกได้นี่ครับ  ผมเคยเล่นกันมาก่อน  ลุง…ไม่ต้องห่วงนะ”

“ลุงรู้  แต่ว่าก็อยากให้เอ็งเตรียมพร้อม  ไม่อยากให้เอ็งเครียด  กลัวจะพาเสียกันหมด”

“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ  ผมกินอะไรไม่ลงหรอก  เปลี่ยนมาเป็นให้ลุงเล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ไอ้ภพฟังได้ไหมครับ?”

“อะไรกัน นี่มันยังไม่เล่าให้เอ็งฟังรึ”

“ก็…ยังครับ”

หลังจากนั้นเรื่องราวที่ผมเคยฟังมาแล้วรอบหนึ่งก็ถูกถ่ายทอดออกมาซ้ำอีกรอบ  ตั้งแต่เรื่องของบ้านหลังนี้รวมไปถึงเรื่องเด็กชายกับห้องพิมพ์ดีดนั่นด้วย  โดยเรื่องแรกที่เป็นประวัติบ้าน เนื้อหาทั้งหมดเล่าเหมือนกับไอ้ภพอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ทว่าเรื่องสองกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกอย่างถูกเพิ่มเติมขึ้นมาจนเนื้อกายของผมสั่นพร่า  ขนในกายลุกชันจากความน่ากลัวที่ทวีคูณมากกว่าเดิม อาจจะเพราะผมได้ฟังเนื้อเรื่องเต็มของมันด้วย ผมถึงได้รู้สึกว่าไอ้ภพไม่น่าพลาดเหตุการณ์สำคัญไป ไม่เช่นนั้นผมกับมันอาจจะไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเกมนานถึงเพียงนี้

“น่ากลัวใช่ไหมหละ  จะว่าไปก็ทำให้ลุงนึกถึงคำเพื่อนเอ็งเลยนะ  มันเคยบอกว่าเด็กนี่ตายเพราะความโง่ของตนเองแล้วเอ็งหละ คิดว่าไง?”

“คิดแบบเดียวกับมันครับ  เขาโง่ที่กลัวไปเองทั้งๆที่ผีตนนั้นมันทำอะไรเขาไม่ได้มาตั้งแต่แรก การฆ่าตัวตายไม่น่าใช่คำตอบสุดท้าย”

“นั่นแหละ มันถึงได้มีคำพูดที่ว่า  เรื่องไหนที่ไม่เกิดกับตนเอง เราทุกคนก็กล้าหมด  แล้วนี่…เอ็งจะเริ่มเกมกี่โมงหละ ลุงจะได้กลับ”

“จริงๆลุงกลับเลยก็ได้นะครับ  ผมอยู่เล่นเกมคนเดียวได้  แต่ไหนๆลุงก็รอมาถึงขนาดนี้แล้ว ช่วยอยู่เล่นเกมๆหนึ่งฆ่าเวลากับผมได้ไหม?”

“เกม?  เกมอะไรเหรอ”

ลุงมั่นยืนจ้องหน้าผมด้วยความไม่เข้าใจ  ริมฝีปากบางของผมจึงต้องยิ้มให้กำลังใจลุงมั่น พร้อมกับที่ขาของผมก็เริ่มเดินไปจัดแจงพิธีกรรมทุกอย่าง  ธูปหนึ่งดอกถูกนำขึ้นมาจุดไว้พร้อมเทียนหนึ่งเล่ม  ก่อนที่ผมจะดึงแขนลุงมั่นให้มานั่งหน้าเทียนเล่มนั้น แล้วจึงเดินไปปิดไฟในบ้าน ปล่อยให้ความมืดมิดโอบล้อมชะตาชีวิตสุดท้ายของผมไว้ยามที่พิธีกรรมต่อจากนี้จะเป็นการเปิดโปงฆาตกร

ผมยืนหลับตานึกถึงหน้าไอ้ภพ  ก่อนที่ตนเองจะก้มลงจนสุดเพื่อหยิบสิ่งของที่อยู่ใต้นั้น  กระดานผีถ้วยแก้วคือสิ่งที่ผมนำกลับมาเล่นอีกครั้งเพื่อให้ไม่ผิดสังเกตจนเกินไป  แต่ทว่าระหว่างที่มือกำลังดึงรั้งกระดานออกมานั้น ไอเย็นรอบกายก็ก่อตัวห้อมล้อมผม พร้อมมีมือของใครสักคนยื่นไปดันวัตถุที่วางไว้ด้านในสุดออก  เผยให้เห็นวัตถุแวววับสีเงินอีกอย่างนอนนิ่งอยู่ในนั้น

ปืนพกขนาดเหมาะมือนอนนิ่งอยู่ข้างกายผม…ใต้ชั้นหนังสือ

ตาของผมเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความสั่นกลัว  เหงื่อกาฬแตกพล่านออกมาจนเหนอะหนะ  ใจของผมเต้นแรงจนคล้ายว่ามันจะหลุดออกมาจากอก  แต่กระนั้นผมก็เลือกที่จะสลัดอาการพวกนั้นทิ้งแล้วเดินถือกระดานกลับมาตั้งหน้าลุงมั่น  โดยไม่ลืมที่จะท่องคาถาเหมือนอย่างเคยแล้วจึงได้เปิดปากอัญเชิญวิญญาณที่เคยมาเรียกร้องหาความจริงกลับเข้าสู่ตัวบ้านหลังนี้

“วิญญาณที่เคยปรากฏตัวในบ้านหลังนี้ เพื่อเรียกร้องหาความจริงบางอย่าง ได้โปรดกลับเข้ามาในแก้วนี่อีกครั้ง”

ทันทีที่เอ่ยจบ  เทียนในบ้านก็ดับวูบอย่างเร็วพลัน  ลมหอบใหญ่พัดสร้างความปั่นป่วนอยู่รอบนอกบ้านรวมถึงไอเย็นมากมายก็หอบเอาความรู้สึกเก่าๆกลับเข้ามากระทบผม  บอกให้รู้ว่านี่อาจเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกได้ว่าวิญญาณเหล่านั้นได้กลับเข้ามาแล้ว ดังนั้นคำถามที่ต้องเอ่ยกับผีถ้วยแก้วจึงไม่เกิดขึ้น นอกเสียจากการข้ามไปทำพิธีกรรมอย่างอื่น

“ลุงครับ ช่วยผลัดกันเล่าเรื่องผีกับผมนะครับ โดยที่เรื่องแรกที่ลุงเล่าขอเป็นเรื่องเด็กชายกับห้องพิมพ์ดีดนะ  ผมอยากฟังอีกรอบ”

“อีกแล้วเหรอ?  แต่เอาเถอะ ไหนๆเรื่องนี้ลุงก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง จะเล่าให้เอ็งฟังอีกรอบก็ได้ อย่าเบื่อแล้วกัน”

“เบื่อไม่ได้หรอกครับลุง  มัน…ค่อนข้างน่ากลัว  แล้วหลังจากผมให้สัญญาณ ลุงก็เริ่มเล่าเลยนะครับ”

สัญญาณที่ผมว่าเกิดขึ้นทันทีหลังผมบอก  เสียงแก้วกระทบกำแพงดังบาดหูจนผมกับลุงมั่นสะดุ้ง  ผมรีบพยักหน้าหน้าให้ลุงมั่นเล่าเรื่อง  ก่อนที่สายตาอันสั่นไหวจะสังเกตเห็นร่างกายจำนวนมากของมนุษย์ที่ต่างก็ย่างกรายเข้ามานั่งเบียดจ้องหน้าผมด้วยแววตาเรียบๆ  จ้องมอง…เพื่อรอเวลาที่ผมจะได้บอกความจริงแก่พวกเขา

“สาเหตุที่ทำให้เด็กคนนั้นฆ่าตัวตาย  ไม่ใช่แต่เพียงจดหมายที่ระบุวันตายเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาได้รับ  อาจจะเพราะเพื่อนแกล้งหรืออะไรก็ตาม  แต่เนื้อความในนั้นมันก็ทำให้เขาจิตตกจนอยู่บนโลกนี้ต่อไปไม่ได้”

“มัน…เขียนว่าอะไรเหรอครับลุง”

“ยินดีต้อนรับสู่นรกภูมิ”

แค่เพียงลุงมั่นเปล่งกระแสเสียงสุดท้ายออกมา  หน้าของวิญญาณที่จ้องผมอยู่ต่างก็หันขวับไปทันที เสียงอื้ออึงของวิญญาณเริ่มแสดงอาการอาฆาตออกมาจนแม้แต่ผมยังนั่งนิ่งติดพื้นไม่ได้  ผมรู้สึกกลัวจนต้องค่อยๆถอยหลังออกมาเตรียมหาทางหนี  และมองเพียงใบหน้าของลุงมั่นที่จ้องมองผมด้วยความแคลงใจ  จนผมเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา  ปากของแกถึงได้เริ่มเหยียดยิ้มร้ายชนิดที่ทำให้ลมหายใจผมกระตุก


“ร…รู้แล้วใช่ไหม?  ว่าใครที่เป็นฆาตกร”







******************************************TBC***********************************************
เอาตอนที่27 มาส่งแล้วนะครับ  มาดูกันว่าการคาดเดาที่ผ่านๆมาจะมีใครเดาถูกกันบ้าง :mew3:
สำหรับในตอนนี้  เราคงต้องมานั่งสวดมนตร์ช่วยลุ้นไปกับมิวและภพด้วยกันนะครับ ใกล้จะถึงฝั่งฝันของเขาละ
ขอบคุณทุกการติดตาม การแชร์ หรือคำติชมต่างๆด้วยนะครับ  มันสร้างกำลังใจให้ผมมากๆเลย
เหมือนเดิมครับ ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ
แล้วมาพูดคุนกันได้ทั้งในเล้าแห่งนี้และใน #Nightmaregame นะครับ
เจอกันอาทิตย์หน้า
P-Rawit


*คอมเมนต์ที่บอกผมเรื่องช่วงการเปลี่ยนผ่านตัวละคร  ผมจะขึ้นบอกให้ในตอนถัดไปนะครับ (ถ้ามี) ส่วนตอนที่ผ่านมาคงต้องรอเคลียร์ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนนะครับ  ผมถึงจะแก้ให้ใหม่ได้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุงคำก็คงตายไปแล้วสินะ หรือยังไง โอ้ยยยยยยยย สับสน

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โอยย ลุ้นทุกตอนจริงๆค่ะ ภาวนาให้มิวภพปลอดภัย :hao5:

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านมา 27 ตอนไม่ช่วยทำให้ชินกับความน่ากลัวได้เลย ภพไม่อยู่ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ จับฆาตรกรให้ได้นะ แค้นนนนน!!

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ลับลวงพลางมาก! ห่วงภพก็ห่วง แต่คาดว่าต้องนี้มิวน่าจะเดือดร้อนกว่า :ling3:

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ฮือออ ภพอยู่ไหนนนนนน :mew5:


อย่างน้อยก็รู้ที่เก็ปืนแล้วนะมิว มีสตินะ  :hao5:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้ผีช่วยจัดการด้วย

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
เอ้าเฮ้ย! หลังหักเลยค่ะ โดนหลอก 5555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ที่จริงเป็นลุงมั่นเหรอออ

ลุงคำกลับมาได้ด้วยเหรอ ประโยคนี้คือแสดงว่าลุงคำ......  :katai1:

ออฟไลน์ Lili405

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ว่าแล้วว่าไม่ใช่ลุงคำ (มีแววว่าลุงคำไม่อยู่แล้ว TT)
เหมือนลุงมั่นจะไม่เห็นผีใช่มั้ย? แล้วคนที่เลื่อนปืนมาให้มิวคือคุณศตวรรษรึป่าวถ้าให้เดา
ก่อนที่ลุงมั่นจะทำอะไรมิวอยากให้พวกผีๆช่วยจัดการแทนจัง

โอ๊ย นี่ต้องรอไปอีกอาทิตย์หรอ ม่ายยยยยยย :katai4:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Shipหายแล้ว ไอเราก็เข้าใจผิดว่าลุงคำเป็นฆาตกร จุดใต้ตำตอนี่เอง คุณผีทั้งหลายช่วยด้วยยยย
ปล.ลุงคำอาจไปอยู่ใต้รากมะม่วงแล้วแน่แท้ :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ supernaturalgay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1
ว่าแล้วเชียวต้องเป็นลุงมั่น  ตะหงิดใจตั้งแต่แกโดนทำร้ายให้ภพเห็นแล้ว  แถมยังใจดีแอบบอกที่ซ่อนกล้องให้รู้อีก  จุดตะหงิดใจสำคัญอีกอย่างคือมีแค่ลุงมั่นคนเดียวที่มาเป็นธุระจัดการเรื่องลงต้นไม้ทั้งหมดในบ้าน  (แต่ก็ไม่กล้าเม้นได้แต่รอให้ไรเตอร์เฉลย)
ส่วนตอนที่มิวเห็นปืน  เราเดาว่าตอนที่ภพกับมิวเห็นลุงคำมาค้นบ้านตอนนั้นถ้าไม่มาค้นหาปืนก็ต้องมาซ่อนปืนไว้ 

โอย....อยากให้เอาตอนใหม่มาลงอ่านไว้ๆจังเลย :katai1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จริงๆสงสัยลุงมั่นที่สุดในเรื่อง พอมาเจอลุงคำตอนที่แล้วทำเขวมาก  :hao7:

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอยยยย ลุ้น กลัวก็กลัว ลุ้นก็ลุ้น
ขอให้ภพกับมิวปลอดภัยนะ

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ที่บอกว่าลุงคำกลับมาได้ด้วยหรอนี่คือแกฆ่าลุงคำไปแล้วใช่มั๊ยยยย :katai1:

เอะใจแต่แรกแล้วว่าลุงมั่นน่าสงสัย :z6:

ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ากลัวมาก นี้ยอมรับเลยว่าต้องอ่านข้ามบ้างเพราะอ่านไม่ไหว :ling3:
ลุงมั่นน่าสงสัยจริง น่าสงสัยมานานแล้ว ในขนาดที่ลุงคำเราเฉยๆ แล้วทีมงานคือกวนตีนเสมอต้นเสมอปลายมาก แอบสะใจมากตอนทีมงานเจอดีไปสองคน ตามจริงนี้อยากให้เจอหมด :fire:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2017 00:09:25 โดย plugie »

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รีบมาต่อเร็ว อยากรู้แล้ว
 :ling1:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่28

เกมสุดท้าย


ท่ามกลาง…ความมืดมิดของตัวบ้าน  ท่ามกลางไอเย็นของอากาศช่วงเหมันต์ฤดูยามค่ำคืน ท่ามกลางดวงจันทร์ที่ทอแสงพอให้ความสว่างและท่ามกลางวิญญาณซึ่งอัดแน่นไปด้วยความแค้น ทุกอย่างบันดาลให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้เป็นใจให้ร่างกายของชายหนุ่มคนหนึ่งสั่นเทิ้มและกดดันไปพร้อมๆกัน  แววตาคู่คมที่จับจ้องมองมาราวกับผู้กุมชะตาชีวิต กำลังฉายแววมรณะให้บุคคลที่ยืนเป็นเหยื่อรู้สึกหมดทางหนี อีกทั้งรอยยิ้มฉาบยาพิษนั่น ยังทำให้ภายในใจร่ำร้องหาหนทางที่จะนำพาชีวิตเขาผ่านพ้นเกมสุดท้ายตรงนี้ไป

“ฆาตกร?...เอ็งกำลังพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ”

ประโยคคำถามเหมือนไม่เข้าใจตอบรับคำบอกเล่าผมกลับมาคล้ายเป็นคู่สนทนา  ทั้งที่จริงประโยคที่ผมบอกออกไปนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายจะให้ลุงมั่นหรือฆาตกรตัวจริงรับฟัง  แต่ทว่าในเมื่อลุงมั่นไม่ได้มองเห็นในสิ่งเดียวกับผม นั่นจึงทำให้ประโยคเมื่อครู่กลายเป็นประโยคลอยๆที่ดันไปเข้าหูของบุคคลที่เป็นฆาตกรตัวจริงทันที

“ลุง…ลุงทำแบบนี้ทำไม ลุงเอาผมกับไอ้ภพมาในที่แห่งนี้ทำไม  ลุงจะฆ่าพวกเราอีกอย่างนั้นเหรอ?”

“ฆ่า? ฆ่าอะไรเหรอ  เอ็งกังวลถึงไอ้ภพจนจิตตกไปแล้วอย่างนั้นรึ”

น้ำเสียงที่ดูไม่ทุกข์ร้อนยามที่ผมกล่าวหา ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าลุงมั่นกำลังใช้กลบางอย่างเพื่อหลอกล่อให้ผมตายใจ เกมที่ผมตัดสินใจทำอยู่นี้แน่นอนว่ามันเสี่ยงกับชีวิตผม  แต่ถ้าหากผมไม่ทำ ผมจะหาหลักฐานชิ้นสำคัญมาผูกมัดฆาตกรไม่ได้เลย นั่นจึงหมายความว่า ผมไม่ได้พึ่งจะรู้ตัวตนของลุงมั่นหลังจากตอนฟังนิทานปรัมปรา หากแต่ผมรู้ล่วงหน้ามาตั้งแต่ที่ขาของผมยังไม่ได้สัมผัสพื้นชั้นหนึ่งของบ้านหลังนี้เสียด้วยซ้ำ

ช่วงที่ผมอยู่บนห้องและเฝ้ารอเพียงการปรากฏตัวของไอ้ภพ  เรื่องราวบางอย่างมันได้สะกิดให้ผมระแวดระวังที่จะใช้ชีวิตอยู่ข้างกายลุงมั่น คำพูดที่เอ่ยถึงลุงคำ มันไม่ใช่ประโยคที่คนทั่วไปใช้ยามที่ใครสักคนไม่อยู่  กลับมาได้ด้วยเหรอ มันคือประโยคเพชฌฆาตที่ร้อยทั้งร้อยต้องรู้ว่า บุคคลที่อ้างถึงไม่ได้มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว

แน่นอนว่าแค่ประโยคสั้นๆประโยคเดียวไม่อาจตีราคาชีวิตของใครได้  ผมจึงต้องลองมองหาวิธีอื่นเพื่อที่จะระบุตัวตนแฝงของอีกคนแทน  ช่วงที่ลุงมั่นบอกกับผมว่าจะโทรหาทีมงานนั้น ผมต้องแสร้งลงมาจากห้องเงียบๆแล้วเดินเข้าไปแอบฟังบทสนทนานั่น  ก่อนจะพบว่าน้ำเสียงที่ลุงมั่นใช้กับคู่สายได้เปลี่ยนไปเป็นต่ำลง  คุ้นหูผมจนคล้ายจะเป็นคนในคลิปเสียงฆาตรกรรมของคุณศตวรรษ  แต่ทว่าหลักฐานที่ยืนยันตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นประโยคคำสั่งสุดท้ายที่ผมได้ฟัง

จับตัวมันไว้ก่อน  ถ้าจัดการทางนี้เสร็จเมื่อไร…จะเข้าไป

ลางสังหรณ์ที่ผมเคยรู้สึกได้ตอนไปวัดสุดท้าย  มันคือลางของความตาย โดยที่ตอนนั้นนอกจากผมจะสลบไปมันก็ไม่ได้มีใครตายอย่างที่ผมสัมผัสได้  วันนั้นเป็นวันที่ลุงคำเดินเข้ามาคุยกับผมว่าจะกลับบ้าน  โทรศัพท์ของลุงคำที่ลืมเอาไว้จึงกลายเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะบอกความจริงข้อนี้แก่ผม  หลังจากที่ผมแน่ใจแล้วว่าลุงคำอาจไม่ใช่ฆาตกรดังที่ทีมงานพลั้งปากพูด  ผมจึงตัดสินใจเปิดเครื่อง แล้วปล่อยให้เวลานำพาเสียงโทรศัพท์แผดลั่นไปทั่วห้อง

“พ่อ!!! พ่อไปอยู่ไหน  พ่อหายไปไหน  หนูติดต่อพ่อไม่ได้เลย  ฮึก”

เสียงร่ำร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังตะโกนขึ้นมาทันทีหลังจากผมตอบรับ  วินาทีนั้นใบหน้าของผมซีดเผือดลงทันตาเห็น  มือที่กอบกุมมือถือเครื่องนี้ไว้ก็สั่นแรงจนต้องใช้มืออีกข้างมาดันช่วย  น้ำตาของผมตีรื้นขึ้นมาอย่างคนที่กำลังเสียใจอย่างรุนแรง  จนเมื่อสติคือหนทางสุดท้ายที่ผมต้องมี  การสอบถามจึงกลายเป็นข้อต่อรองชั้นดีที่จะเปิดหนทางการมีชีวิตรอดครั้งนี้ให้แก่ผม

“ผม…ไม่ใช่ลุงคำหรอกครับ ผมชื่อมิวเป็นผู้เข้าแข่งขันในเกมที่ลุงคำเข้ามาทำงานให้ครับ ลุงคำเคยลืมโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ตอนวันที่บอกจะไปหาคุณ”

“แล้วคุณเห็นพ่อฉันไหมคะ  พ่อฉันได้กลับมาเอาโทรศัพท์อีกไหม?”

“ผมไม่เห็นเลยครับ  ลุงคำ…ไม่ได้กลับมาหาผมอีกเลย”

“ฮึก  พ่อฉันไปไหนคุณพอรู้ไหมคะ  ฉันติดต่อพ่อไม่ได้เลย”

“ผมไม่รู้หรอกครับ…แต่สัญญาว่าจะช่วยคุณหา  เพียงแต่ตอนนี้คุณช่วยอะไรผมก่อนได้ไหมครับ  ผมกำลังไม่ปลอดภัย”

หลังจากการคุยโทรศัพท์กับคนที่คิดว่าจะเป็นลูกสาวลุงคำ ผมก็เดินลงมาที่ชั้นล่างแสร้งว่าพึ่งจะลงมาจากห้อง ความไม่มั่นใจต่างๆต้องถูกเก็บเข้ากรุความกลัวไปก่อน เพราะวินาทีที่ผมต้องเผชิญกับลุงมั่นซึ่งกำลังตีสีหน้าว่าเป็นห่วงผม ผมจำเป็นที่จะต้องเดินตามเกมไปอย่างช่วยไม่ได้  และเพื่อไม่ให้ร่างกายผมสั่นกลัวจนผิดสังเกต  ผมจึงลองให้ลุงมั่นเล่าเรื่องราวที่ไอ้ภพเคยฟังอีกครั้ง  โดยไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นสมบูรณ์ที่สามารถรัดกุมลุงมั่นได้เป็นอย่างดี

“ลุงมั่นครับ  เวลานี้อย่าปกปิดอะไรอีกเลย ยอมรับความจริงและมอบตัวเถอะครับ”ผมพูดกล่อมไปทั้งที่ใจสั่นพร่า  รู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรลุงมั่นก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองเคยทำหรือพึ่งจะทำมา

“เอ็งเพ้อเจ้อเรื่องอะไรอยู่  ลุงงงไปหมดแล้ว…จะให้ลุงมอบตัว? มอบตัวเรื่องอะไรหรอ?”

“หยุดโกหกเสียที!!! ผม…เคยคิดมาตลอดว่าทำไมถึงไม่เคยมีใครชนะเกมนี้ไปได้  จนตัวเองได้เข้ามาเล่น ผมถึงได้รู้ว่าบุคคลที่เข้ามา ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้จัดการเกมทั้งหมดแม้ว่าเขาจะขอกลับออกไปแล้ว”

“แล้วยังไง?”

“ไม่ยังไงหรอกครับ  แต่เผื่อลุงจะไม่รู้ คลิปเสียงคุณศตวรรษที่ลุงอุตส่าห์ส่งมา คงไม่รู้สินะครับว่าคุณศตวรรษไม่ได้พูดแค่นั้น  เขาบอกความจริงผมทุกอย่างแล้ว

ใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง สามารถกระตุ้นให้ผมมองหาทางรอดออกไปจากตรงนี้  ประตูหน้าและหลังที่พอจะเป็นทางออกให้แก่ผมล้วนต้องวิ่งผ่านลุงมั่นไปทั้งสิ้น  เรื่องโกหกหน้าตายจึงถูกผมหยิบขึ้นมาหลอกใช้เพื่อพรางตาและเบนความสนใจทั้งหมดไปที่เรื่องราวที่ผมกุขึ้นแทน  แน่นอนว่าทุกการกระทำของผมถูกห้อมล้อมด้วยวิญญาณของผู้ที่เคยเข้าร่วมเกมนี้  ซึ่งทำอะไรลุงมั่นไม่ได้ไปกว่าการจดจ้องด้วยความอาฆาต เพราะลุงมั่นสัมผัสอะไรได้ไม่เหมือนผม อีกทั้งสาเหตุที่ลุงมั่นสามารถทำให้วิญญาณพวกนี้จำหน้าฆาตกรไม่ได้ก็คงเป็นอีกอย่างที่ป้องกันแกอยู่

“คิดจะโกหก…อย่างนั้นเหรอ? เครื่องดักฟังที่ติดไว้กับทีมงานทุกคนไม่น่าทำพลาดนะ  หึ  ไอ้ศตวรรษมันโง่ที่ไม่รู้เรื่องราวตรงนั้น  สมควรแล้วหละที่มันจะตายไป”คำพูดช้าๆย้ำให้ผมฟังชัดทุกถ้อยคำ ตระหนักให้ผมรู้ว่าลุงมั่นตอนนี้กำลังโกรธจัดจนลืมที่จะควบคุมความคิดของตนเอง

“แล้วลุงมั่นผู้เป็นแค่คนสวน  ไม่เคยสันทัดด้านคอมพิวเตอร์  ไม่เคยดูรายการของพวกผม  ทำไมคุณลุงถึงรู้ได้หละครับว่าคุณศตวรรษเป็นใคร  แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาตายไปแล้ว”

คล้ายกับเกิดช่องว่างระหว่างผมและลุงมั่นทันที  ความเงียบงันที่ทำให้ได้ยินเสียงของหัวใจสั่นระรัว  นำพาให้ใบหน้าซึ่งหย่อนคล้อยไปตามวัยของลุงมั่นยกยิ้มขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม  ดวงตาของแกนั้นก็จับจ้องมาที่ผมคล้ายกับหมดความอดทนที่จะเก็บตัวตนต่อไปได้อีก  ยิ่งไปกว่านั้นจากที่แกโยกโย้หาเรื่องเบี่ยงประเด็นกับผมไปเรื่อย  ลุงมั่นก็เริ่มขยับกายออกห่างจากผมแล้ววนไปที่ตู้หนังสือคล้ายกับจะไปหยิบของสำคัญซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

“หยุดอยู่ที่เดิมเลยครับ…ลุงมั่น” ปืนที่เคยถูกซ่อนไว้ถูกผมหยิบติดตัวมาพร้อมกับกระดาน และในเวลานี้มันก็ถูกยกขึ้นจ่อไปที่ร่างกายของลุงมั่นราวกับหาทางป้องกันตนเอง

“รู้ที่ซ่อนมันแล้วเหรอ?  เร็วดีนี่”ลุงมั่นหันตัวกลับมาจ้องปืนบนมือผมนิ่ง แล้วพูดประโยคที่ทำให้คนฟังรู้สึกไม่ไว้ใจ

“ไอ้ภพ  อยู่ไหน?”ผมเค้นเสียงตัวเองออกไปให้เข้มขึ้น ข่มความกลัวทั้งหมด ไม่สนใจแม้ว่าลุงมั่นจะไม่สะทกสะท้านกับการขู่ของผมแม้แต่น้อย

“ก็บอกไปแล้วนี่  มันอยู่ที่บ้านหลังนั้นนั่นแหละ  แต่ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้…มันจะเป็นหรือตาย”

ร่างกายของผมตอนนี้คงเหมือนโดนหยุดเวลาเอาไว้  น้ำเสียงของลุงมั่นที่เอ่ยออกมาไม่ได้กำลังโกหกผมอยู่แน่  วินาทีที่ผมต้องดิ้นรนหนีตายอยู่ตรงนี้ มันเป็นวินาทีเดียวกับที่ไอ้ภพต้องหนีตายไม่ต่างกัน ปืนที่มือของคุณศตวรรษเผยให้ผมเห็นจึง ถูกใช้เพื่อจ่อไปที่ลุงมั่นอย่างไม่ลดละ พร้อมกับใช้จังหวะนี้เป็นช่องทางที่ทำให้ผมเดินเบี่ยงออกไปยังประตูด้านหลังได้  แต่ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวผ่านพ้นเศษแก้วที่แตกไว้ของตนเอง  กระสุนปืนก็พุ่งออกมาจากปืนอีกกระบอกสกัดกั้นทิศทางที่จะเปิดประตูรอดตายของผม

“อะไรกัน ลุงยังไม่ทันบอกให้เริ่มเกมคืนนี้เลย เอ็งก็เริ่มแล้วอย่างนั้นหรือ”

คำพูดเย็นๆดังคลอมาพร้อมกับร่างกายของลุงมั่นซึ่งค่อยๆก้าวเดินเข้ามาหาผมอย่างไม่รีบนัก  ปลายกระบอกปืนจ่อเข้ามาที่หัวผมชัดเจนจนคล้ายกับว่าถ้าผมขยับออกเพียงนิดเดียว ลูกกระสุนคงไม่รอช้าที่จะฝังเข้าไปในขมับผม  ครานั้นผมเอาแต่มองวิญญาณซึ่งรายล้อมอยู่รอบตัว  พลางในใจก็ร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างคนสิ้นคิด  แน่นอนว่าวิญญาณพวกนั้นไม่ได้นิ่งเฉยที่จะช่วยผม หากแต่อะไรสักอย่างกลับกั้นพวกเขาไว้ไม่ให้เข้าตัวลุงมั่นได้เลยนอกเสียจากการส่งเสียงโกรธเกรี้ยวเพื่อถามถึงสาเหตุที่ลุงมั่นฆ่าเขาตาย

“คิดเหรอ ว่าปืนบนมือจะมีกระสุน เอ็งน่าจะอ่านเกมคืนนี้แล้วนี่ ทำไมยังไม่รู้หละ ว่ามันเตรียมไว้เพื่อใช้ประกอบฉาก”

“ลุงมั่น  อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ ฮึก อย่าทำอย่างนี้อีกเลย  พวกผมไปทำอะไรให้ลุงอย่างนั้นเหรอ”

เรื่องราวที่ดำเนินอย่างกับหนังฆาตกรรม เดินเรื่องมาถึงจุดที่ฆาตกรรั้งตัวผมให้เข้าไปหา  ก่อนที่ปลายกระบอกปืนซึ่งยังมีกลิ่นดินปืนลอยอบอวลอยู่จะถูกใช้มาลูบไปทั่วใบหน้าของผม  แขนข้างหนึ่งของลุงมั่นล็อกคอผมไว้อย่างแน่นจนเกือบจะหายใจไม่ออก  น้ำตาของผมไหลออกมาบางๆเพราะคิดได้ว่าความอ่อนแอไม่คู่ควรกับการร้องขอเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ

“อะไรกัน  นึกว่าจะเก่งกว่านี้นะ ลุงอุตส่าห์เก็บพวกเอ็งไว้มาจนถึงวันนี้ เอ็งไม่ควรมีสภาพแบบนี้นะ หึ ท่าทางสอดรู้สอดเห็นแบบพวกเอ็งมันน่าจะส่งกลับไปเล่นเกมที่อื่น ว่าไหม?  แต่ไหนๆเกมปีนี้มันก็พิเศษอยู่แล้ว ลุงเลยคิดว่าเก็บพวกเอ็งไว้เล่นที่นี่เลยก็น่าสนุกดี”

“ลุง…อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะครับ  มันจะมีประโยชน์อะไร ผมก็แค่คนที่เข้ามาขอเล่นเกมเท่านั้น”แม้น้ำตาจะเริ่มเหือดแห้ง แต่สัญชาตญาณมันก็ยังกระตุ้นให้ผมสั่นไหว  ความกลัวที่มีมากเกินไปไม่อาจอัดแน่นอยู่ภายใต้ความนิ่งเฉยได้อีก

“มีประโยชน์สิ  ลองคิดตามลุงนะ รายการที่มีผู้เข้าร่วมหนึ่งคนต้องเป็นบ้าออกไปเพราะเพ้อเจ้อว่าเห็นผี กับอีกหนึ่งสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะผิดกติกาเกม  มันน่าจะทำให้รายการสนุกขึ้นนะ แล้วพอตำรวจเข้ามาถามหาเบาะแสมันก็ไม่มีใครตอบได้นอกจากกล้องที่เห็นเพียงไอ้เอกภพหลบหนีออกไป  พยานปากเอกทั้งหลายเช่นเอ็งก็ไม่มีความสามารถพอที่จะตอบ”

“แต่แล้วไง ในเมื่อผมก็ไม่ได้เป็นบ้า ยังไงเสียพยานปากเอกมันก็ยังเป็นผม!!!” เมื่อใช้น้ำเย็นเข้าลูบไม่ได้  อารมณ์ต่างๆในตัวของผมก็ปะทุขึ้นมาอย่างเก็บไม่อยู่ ชนิดที่ว่าสิ้นสุดปลายเสียงความตายอาจเข้ามาทักทายผมทันที

“ลุงถึงต้องลากเอ็งมาเล่นเกมนี้ไง  จะได้เรียนรู้ที่จะสงบปากสงบคำไว้บ้าง”

“เกมนั่นหนะเหรอ  ลุงลืมไปแล้วหรือไงว่าผมเคยเล่นกันมาแล้ว ต่อให้ต้องเล่นอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังต้องชนะและมีชีวิตรอดกลับไป”

“อืม งั้นไหนลองแสดงให้เนียนกว่านี้หน่อยสิ  เผื่อการจำลองเหตุการณ์ฆาตกรรมนี่จะเหมือนจริงขึ้น”

ลุงมั่นรัดคอผมแน่นขึ้นกว่าเดิมมาก  ปากกระบอกปืนจากที่เคลื่อนไปรอบๆหัวผมก็มาจ่อแน่นิ่งอยู่ตรงขมับ  ผมซึ่งพยายามดิ้นออกจากการรัดกุมทำได้เพียงแค่กระแทกกระทั้นบางส่วนของลุงมั่นเท่านั้น  จนได้ยินเสียงลุงมั่นเริ่มนับเวลาถอยหลังพร้อมกับเสียงหัวเราะเย็นๆเริ่มปล่อยออกมา  ดวงตาของผมถึงได้เบิกโพลงแล้วเริ่มที่จะดิ้นพล่านหนักขึ้น พลางในใจก็เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากวิญญาณตลอดเวลา

“ช่วย….ช่วยผมด้วย  ผมอุตส่าห์ช่วยพวกคุณ  ช่วยผมด้วย!!”

“ช่วย?  เรียกหาใครอย่างนั้นเหรอ?”


การร้องตะโกนของผมนั้นสามารถหยุดช่วงการนับไปได้  แต่นั่นก็ทำให้ผมต้องมารับฟังคำถามคล้ายการกระซิบซึ่งจงใจพูดใกล้หูของผมจนขนลุก  ลุงมั่นตอนนี้เหมือนกับคนหวาดระแวงอย่างหนัก ปืนที่เคยชี้ผมก็เปลี่ยนเป็นหันไปกวาดทั่วบริเวณบ้านทำให้ผมได้เห็นทันทีว่า บริเวณที่เคยเนืองแน่นไปด้วยวิญญาณ บัดนี้กลับไม่มีหลงเหลืออยู่รอบกายผมเลยสักตนเดียว

ผมยืนน้ำตาคลอทุกครั้งที่แรงเหวี่ยงของลุงมั่นจับผมหันไปทั่ว  เหงื่อที่ขมับซึ่งไหลออกมาโดนผมนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้แกกำลังเครียดและกดดันไม่ต่างไปจากผม  จนครู่หนึ่งที่แกเริ่มคลายอาการกลัวลง เสียงกดชักโครกบนบ้านชั้นสองก็ดังลั่นขึ้นมา นำให้ร่างกายทั้งของผมและลุงมั่นหยุดนิ่งพลางสายตาก็จับจ้องไปที่บันไดชั้นสองพร้อมกัน หากแต่แววตาที่แสดงออกนั้นสื่อกันไปคนละแบบ

“นั่นเสียงใคร”เสียงทุ้มดุดันดังขึ้นคล้ายจะถามผม หากแต่ปลายเท้าของลุงมั่นกลับค่อยๆเดินดันผมให้มุ่งตรงสู่ชั้นสอง

“กูถามว่านั่นเสียงใคร!!!!”


ลุงมั่นตวาดก้องไปทั้งชั้น ข่มให้บรรยากาศมืดหม่นตามหัวใจของแก  เสียงชักโครกที่เกิด หายไปตั้งแต่ผมยืนอยู่ชั้นล่าง แต่เสียงเคาะประตูห้องนั้นกลับดังขึ้นมาแทน เป็นสัญญาณที่เรียกหาให้ลุงมั่นเดินเข้าไปพบกับสิ่งที่กำลังท้าทายคนเป็นด้านใน

“ล…ลุงมั่นครับ  อย่าเปิด บ้านหลังนี้มันไม่มีใครเลยนะครับ เสียงนั่นอาจจะเป็นผีที่ผมเชิญมาก็ได้”

“เงียบ!! ผีอย่างนั้นเหรอ หึ มันจะไปสู้อะไรใครได้ แค่ห้ามไม่ให้ตัวเองตายมันยังทำไม่ได้เลย”ลุงมั่นหันมาตะคอกผม ก่อนที่ปืนจะกดแน่นเข้าสู่ขมับผมซ้ำๆจนเจ็บรัดไปทั่วหัว

“ลุง…ไม่เห็นอย่างที่ผมเห็น  ใช่ว่าเขาจะทำอะไรลุงไม่ได้นะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู ว่าผีหรือคนที่แน่จริงกว่ากัน”

สิ้นคำพูดลบคำสบประมาทผม  ลุงมั่นก็คลายมือออกจากคอ แล้วเดินไปเปิดประตูห้องน้ำให้อ้ากว้าง  เผยให้เห็นภายในห้องน้ำที่เคยว่างเปล่าอัดแน่นไปด้วยมวลความแค้นของวิญญาณซึ่งก็จ้องมาที่ลุงมั่นอย่างไม่ลดละ  แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นยังทำให้ผมรู้สึกถึงความกลัวและไม่ปรารถนาที่จะมอง  หากแต่ว่าร่างของวิญญาณตนหนึ่งซึ่งกำลังเดินแยกออกมาจากกลุ่มนั้นได้ทำให้ผมจ้องมองเขาดั่งถูกสะกด เพราะเค้าโครงใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น

ใบหน้าของคุณศตวรรษ…

ปั้ง!!!

ประตูห้องน้ำที่ปิดกระแทกอย่างแรงต่อหน้าผมนั้น  กำลังกักขังลุงมั่นซึ่งประมาทเดินเข้าไปตรวจหาคนอยู่ภายในนั้นแล้วทิ้งให้ตัวประกันอย่างผมยืนอยู่ข้างนอก  ไม่ต้องรอให้ผีหรือใครก็ตามมาสั่งให้ผมหนี เพราะทันทีที่เห็นว่าประตูกำลังปิด ขาของผมก็ถอยออกมาอย่างเร็วพลัน  แต่กระนั้นก็ยังคงจ้องมองแต่ใบหน้าของคุณศตวรรษที่ได้ขยับปากอ้าสั่งให้ผมหนีออกไปจากบ้านนี้  แม้ลับหลังไม่กี่วินาที เสียงปืนจะยิงรัวเข้าใส่ประตูบานนั้น

ผมหันระวังหลังอยู่ตลอด  นั่นจึงทำให้ผมเห็นว่าประตูครัวที่ผมพึ่งจะวิ่งผ่านออกมาได้ไม่นาน กำลังมีมือจำนวนไม่น้อยเลื่อนมาปิดมันเอาไว้  ถ่วงเวลาให้ผมสามารถปีนขึ้นกำแพงแล้วเดินย้อนเส้นทางของไอ้ภพเข้าไปในป่า โดยไม่สนใจแม้ว่ามันจะมืดทึบหรือเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสผืนดินตรงนี้

เสียงปืนนัดสุดท้ายที่ดังขึ้นในบ้านกระตุ้นให้ขาของผมสับเข้าไปในป่าลึกเร็วขึ้น  ใช้ม่านมืดของค่ำคืนบดบังการเคลื่อนไหวของผมจากการเข้าหาของลุงมั่น  เศษกิ่งไม้หรือความชื้นแฉะของดินคืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางกั้นการวิ่งหนีของผม  จนความสนใจต้องเบี่ยงไปจับจ้องแต่พื้นต่ำเพื่อเพ่งหาสิ่งของอันตรายรวมถึงสัตว์เล็กๆ  จนไม่ได้ดูรอบกายหรือสำนึกแก่ตัวเองเลยว่า  ก่อนผมออกมาผมได้ท่องคาถาเชิญใครต่อใครเอาไว้

แกร๊บ


ทุกการขยับขาวิ่งไปเรื่อยๆนั้น ปรากฏเสียงการก้าวเท้าของใครสักคนดังขึ้นรอบกาย จังหวะของมันนั้น ไม่ได้เร่งฝีเท้าตามผมเลยสักวินาทีเดียว หากแต่มันก็สามารถก้าวทันตามผมคล้ายกับคนที่วิ่งขนานกันมาตั้งแต่กำแพงบ้านหลังนั้น  จากที่ผมวิ่งอยู่ จึงเริ่มเปลี่ยนมาเดินและก้าวเท้าให้เงียบที่สุด เพราะไม่รู้เลยว่า เสียงเหยียบใบไม้แห้งนั้นเกิดขึ้นจากฝีเท้าของใคร

ความไม่ชำนาญเส้นทางกลายมาเป็นบ่วงผูกคอของผมเอาไว้อีกครั้ง  ความมืดมิดที่ไม่อำนวยต่อการมองเห็น นำให้ผมต้องคลำทางไปเรื่อยๆโดยคิดอยู่เสมอว่าป่าแห่งนี้แท้จริงแล้วมีทางออก  หากผมยังคงก้าวเท้าต่อไปก็อาจจะเจอเส้นทางนั้น แต่กระนั้นดวงตาของผมก็ไม่สามารถอ้าได้จนสุดเพราะจิตสำนึกได้ย้ำเตือนถึงเรื่องราวคราที่ผ่านๆมา มันอาจจะทำให้ผมต้องเจอกับวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีด้วย

“เฮ้ยลูกพี่  มาถูกทางแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าพาผมหลงนะ”

“เออ  ถูกทางสิวะ ป่านี่มันก็แค่ป่ากั้น  มึงเดินตรงไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอบ้านหลังนั้นเอง”

“แหม่พี่ นี่เราก็เดินวนมาสักพักแล้วนะ  อีกอย่างพี่ก็ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นคุมตัวไอ้หน้าหล่อนั่นอย่างเดียว  พวกมันจะไหวเหรอ”

“ไหวไม่ไหวก็ช่างมันเถอะ  ไม่ใช่เรื่องของเรา ประเด็นที่กูลากมึงมา ก็เพราะกูต้องการจัดการไอ้ที่อยู่ในบ้านนั่นมากกว่า เกมเมื่อคืนแม่งเล่นกูแสบนัก  อีกอย่างผู้จัดการเกมเขาก็กำลังจะจัดการมัน  กูนี่อยากจะเห็นทั้งหน้าผู้จัดการเกมและไอ้เหี้ยนั่นจังว่าตอนนี้แม่งจะเป็นไง ดีไม่ดี ผู้จัดการเกมเขาจะเพิ่มเงินให้กูกับมึงด้วยเพราะเราไม่ต้องให้เขาออกแรง”

ผมยืนกลั้นหายใจหลับตานิ่งอยู่ข้างต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง  เสียงของทีมงานคุ้นหูได้เล็ดลอดเข้ามาตั้งแต่ที่ผมยังไม่เจอตัวของพวกเขา  หัวหน้าทีมงานที่คงจะไปพักฟื้นจิตใจแล้วนั้น  เดินย้อนกลับไปยังบ้านที่ผมพึ่งจะจากมา พร้อมกับที่ปากของเขาก็พูดคุยถึงเรื่องสกปรกที่คิดจะกระทำต่อผม  แต่ว่าในข้อเสียนั่นย่อมบอกข้อดีแก่ผมด้วย เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นได้บอกที่ซ่อนไอ้ภพและยืนยันให้ฟังว่ามันยังมีชีวิตอยู่

เมื่อเสียงหัวเราะเบาๆของคนสองคนกลืนหายไปกับป่า  ผมก็ได้ตัดสินใจวิ่งหนีออกไปอีกครั้ง พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนที่ยังคงตามมาไม่เลิกจนความสนใจถูกดึงให้มองหาไปทีละนิด  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ใช่คน หากแต่ว่าด้านดีของจิตใจมันก็ยังบอกให้ผมคิดถึงวิญญาณที่เคยขอความช่วยเหลือผมทั้งหลาย  เขาอาจจะเดินตามมาเพื่อคุ้มครองผม

บรรยากาศในป่าตอนนี้เริ่มเย็นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ  แว่วเสียงของใบไม้เสียดสีก็สร้างความรู้สึกให้ค่ำคืนในนี้ดูหลอนหัวมากขึ้น ไอ้ภพเคยบอกผมว่าป่าแห่งนี้มันไม่ได้ทึบมากมาย  แต่แล้วทำไมเมื่อผมเป็นฝ่ายที่เริ่มเดินหาเองนั้น ความมืดมิดถึงได้ปกคลุมไปทั่ว จะว่าเป็นเพราะตอนกลางคืนก็ไม่น่าใช่  เพราะก่อนออกมา แสงของพระจันทร์มันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีอยู่

จากเสียงการเดินเหยียบใบไม้แห้งที่ได้ยิน เริ่มค่อยๆกลายเป็นเสียงกวดฝีเท้าเพื่อเข้าใกล้ผมยิ่งขึ้น สร้างความไม่แน่ใจว่าท่ามกลางการเคลื่อนไหวของวิญญาณจะมีเสียงของมนุษย์ตัวจริงตามมาหรือไม่  ดังนั้นสัญชาตญาณการป้องกันตัวเองจึง สั่งให้ผมก้าวขาให้เบาที่สุดเข้าไว้เพื่อป้องกันตนเองจากสิ่งเร้าพวกนั้น ความมืดที่บดบังผมจากสิ่งภายนอกคล้ายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ผมไม่เป็นจุดสนใจ  แต่นั่นก็หมายถึงว่าผมก็ไม่สามารถมองเห็นใครต่อใครได้เลย แม้บางทีฆาตกรอาจจะอยู่ไม่ห่างผมแล้วก็ตาม

ยิ่งเดินหนีเข้าป่าลึกไปมากเท่าไร ทางออกก็ยิ่งเลือนหายออกไปมากเท่านั้น  ผมยืนหอบตัวโยนอยู่เกือบกลางป่า มองหาแต่เพียงแสงสว่างที่อาจเป็นทางออก แต่นอกจากต้นไม้ขึ้นเรียงรายแล้วนั้น  ผมก็ไม่พบสิ่งอื่นใดเลย  นอกจากการปล่อยให้สัมผัสของผมไหวเอนไปตามเสียงหัวเราะเย็นๆของมนุษย์ เสียงการเคลื่อนตัวรอบกาย  เสียงบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ยืนอยู่เพียงผู้เดียว ความรู้สึกนึกคิดยามนี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นคำสั่งให้ผมยอมรับและทำใจกล้าที่จะเดินต่อโดยไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

.
.
.
(ต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
การเดินคลำทางของผมผ่านไปด้วยความยากลำบาก ยาวนานจนรู้สึกปวดไปทั้งเท้า ความพยายามในการปลอบใจตัวเองถดถอยลงไปเรื่อยๆ ใจของผมเต้นแรงเพราะความกลัวผสมกับความเหนื่อยล้า เนื่องด้วยไม่เคยย่างกรายเข้ามาสัมผัสผืนป่า ผมจึงไม่อาจรู้เลยว่าไอ้ภพต้องใช้เวลานานเท่าไรในการพาตัวเองออกไปที่อื่น ฉะนั้นผมจึงต้องฝืนพาตัวเองหนีต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย  หลบซ่อนตัวจากเสียงหวดใบไม้ใบหญ้าหรือเสียงตะโกนข่มขู่ผมที่แว่วมาตามความมืดในป่าแห่งนี้

เมื่อร่างกายไม่อาจฝืนหนีต่อไปได้ ผมจึงต้องยืนปาดเหงื่อพักการหายใจหอบแรงอยู่นิ่งๆ จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่สามารถหาทางออกจากป่านี้ได้เลย ยิ่งเดินไปมากเท่าไรความวังเวงและความเงียบยิ่งโผล่มาทักทายผมมากเท่านั้น  คล้ายกับว่าถ้ายังไม่เช้า ผมก็ยังจะต้องเผชิญกับบรรดาการหลอกหลอนสารพัดสิ่งที่เกิดขึ้นทุกชั่วขณะลมหายใจผม  แม้ตอนนี้ผมจะมองไม่เห็นมัน แต่สัญชาตญาณมันก็บอกมาตลอดว่าวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีได้ทำการติดตามและบดบังเส้นทางของผมมาได้ครู่ใหญ่แล้ว  จนกระทั่งเสียงหนึ่งที่ปลุกสติผมให้กลับมา ผมถึงได้ละความสนใจจากอันตรายพวกนั้นแล้วจดจ่ออยู่แต่เพียงการสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

“ส..สวัสดีครับ”

“คุณมิว!!! นั่นคุณยังปลอดภัยอยู่ใช่ไหมคะ?”

“ครับ ผมยังปลอดภัยอยู่  ตอนนี้วิ่งหนีออกมาซ่อนตัวแล้วครับ”

“ดีจังเลยค่ะที่คุณยังปลอดภัย  ส่วนเรื่องที่คุณขอไว้ไม่ต้องห่วงนะคะ  ฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ว่าใครก็นิ่งเฉยไม่ได้ยามที่เห็นคนอื่นตกระกำลำบาก  ว่าแต่เรื่องพ่อของฉัน…มันจะเกี่ยวกับฆาตกรคนนั้นไหมคะ  ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย”

“อย่าพึ่งคิดมากนะครับ  ถ้าตราบใดที่เรายังหาลุงคำไม่เจอ เราก็ต้องหวังว่าเขาจะไม่พัวพันกับสิ่งพวกนี้  อะไรที่เรายังมองไม่เห็น ก็ให้คิดไปก่อนนะครับว่ามันไม่มีอยู่จริง”

ผมเดินกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ปิดปากคุยโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา พูดคุยกับคู่สายโดยที่สายตาต้องมองผ่านความมืดไปยังที่ต่างๆอย่างร้อนรน  คำพูดที่ใช้ปลอบโยนลูกสาวลุงคำ แน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้เผื่อเธอคนเดียว ผมยังใช้มันเพื่อปลอบใจตัวผมเองด้วย เนื่องจากตอนนี้การแตกหักของใบไม้แห้งได้กรูกันเข้ามาตามหลังผม พร้อมกับการเปล่งเสียงร้องออกมาบาดหู  หลอกหลอนให้ขนในร่างกายผมลุกชัน พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวจนเกือบคุมสติของตนไว้ไม่ได้

หลังจากที่ผมรอการติดต่อกลับมาของลูกสาวลุงคำ  ผมได้ทำการขอความช่วยเหลือโดยการให้เธอคนนั้นถือสายแล้วอัดบทสนทนาที่จะได้ยินต่อจากนั้นเอาไว้ให้หมด  เพราะผมในตอนนั้นรู้แล้วว่าใครคือฆาตกรที่แท้จริง  เมื่อได้เจอลุงมั่นผมจึงต้องทำทุกอย่างให้ลุงมั่นส่งเสียงหรือพูดคุยกับผมเพื่อกลบเสียงสัญญาณในสายที่อาจเล็ดลอดออกมาได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ผมโดนปืนจ่อหัว สัญญาณจากปลายสายคงถูกตัดไปตอนนั้น ก่อนที่ลูกสาวลุงคำจะโทรแจ้งตำรวจให้ผมทันทีเนื่องจากผมไม่เคยรู้ที่อยู่ของบริเวณนี้ ต่างจากเธอที่ลุงคำอาจเคยบอกเอาไว้

“คุณมิวคะ  ตอนนี้อยู่กับเจ้าหน้าที่แล้วใช่ไหมคะ  เสียงพูดคุยดังลั่นเชียว”

จังหวะที่ผมถือสายพูดคุยกับเธอไปพลางๆอยู่นั้น  ประโยคที่ทำให้ผมต้องหยุดช่วงขาก็เกิดขึ้น  ท่ามกลางป่าปิดรอบตัวผม ไม่อาจมีใครอยู่ใกล้ตัวได้เลยนอกจากฆาตกรซึ่งกำลังไล่ล่า  แน่นอนว่าผมคงไม่โง่พอที่จะไปถือสายโทรศัพท์ข้างฆาตกร  เสียงพูดคุยหนาหูที่ลูกสาวลุงคำได้ยินจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้  จากความสนใจที่อยู่ปลายสาย ผมจึงต้องเบี่ยงเบนทั้งหมดมาที่รอบตัวแทน แล้วพบว่าคำพูดของเธอคนนั้นมีมูลความจริง

ดวงตาของผมค้นพบว่าภายใต้ความมืดมิดรอบตัว  มีเงาของมนุษย์เกิดขึ้นอยู่ทั่ว  บางร่างกำลังยืนจ้องมานิ่งๆ แต่กลับอีกหลายร่างกำลังค่อยๆเดินฝ่าความมืดเข้ามาหาผม  เสียงพึมพำรอบป่าจึงเริ่มกระทบโสตประสาทชัดขึ้นเรื่อยๆ  แต่นั่นอาจจะไม่เท่าความรู้สึกที่ว่าด้านหลังผมตอนนี้มีกลุ่มคนยืนเบียดเสียดกันแน่น  พลางกระซิบประโยคที่ทำให้ผมไม่กล้าหันกลับไปเผชิญ

เดินในป่าคนเดียวแบบนี้  ไม่กลัวผีหรอ


มือของผมตัดสายลูกลุงคำทิ้งไปเสียดื้อๆ  ก่อนจะรีบพาใบหน้าที่กำลังเริ่มมีน้ำตาไหลเอ่อก้มหน้าเดินหนีสัมภเวสีเหล่านั้น แน่นอนว่ามือของผมสั่นจนต้องเกร็งเอาไว้แน่น ขาที่ย่างก้าวไปทีละนิดก็อ่อนแรงลงจนแทบล้ม ความมืดที่เป็นปราการชั้นดีนั้นทำให้ผมมองเห็นความตายไม่ชัดนัก แต่ทว่าเมื่อใดที่ผมต้องผ่านบริเวณที่มีแสงเล็ดลอดมาได้บ้าง  เมื่อนั้นสายตาของผมก็จะพบกับบางอย่างที่เกิดขึ้นทุกครั้งบนต้นไม้โดยไม่ต้องเห็นชัดก็เดาได้ว่ามันเกิดขึ้นบนต้นไม้ทุกต้นที่ผมผ่าน

มันเป็นเงาดำของมนุษย์ที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปยังกิ่งไม้สูงชัน  

ความเร็วในการปีนของเงานั่นจี้ปมความกลัวของผมจนต้องเร่งฝีเท้า  ไม่ได้สนใจเลยว่ากิ่งไม้แห้งที่แตกหักจะกลายเป็นต้นกำเนิดเสียงชั้นดีที่อาจล่อเป้าให้ฆาตกรและทีมงานเข้าหา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง  เพราะหูของผมนอกจากจะรับรู้การเคลื่อนไหวของวิญญาณ ผมยังสามารถจับการพูดคุยด้วยความเร่งรีบของกลุ่มคนซึ่งกำลังวิ่งมายังจุดที่ผมกำลังหนี

ความต้องการมีชีวิตรอดสั่งให้ผมวิ่งหนีให้ไวที่สุด แต่กระนั้นความไม่ชำนาญทางยิ่งทำให้ทุกอย่างดูแย่  เสียงการกวดฝีเท้าพร้อมการตะโกนไล่หลังผม  เกิดขึ้นแทบจะประชิดตัวจนผมไม่สามารถจะเคลื่อนกายต่อไปได้อีก เนื่องจากเสียงฝีเท้าของตนเองจะยิ่งนำความตายเข้าใกล้ผมมากขึ้น เวลาแบบนั้นผมต้องรีบหาที่หลบซ่อนตัว ก่อนจะไปพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งสามารถบดบังร่างกายของผมได้พอควร

“กูว่ามันอยู่แถวนี้แหละ เสียงวิ่งของมันพึ่งจะเงียบไปนี่เอง”ไม่ใช่เสียงของลุงมั่น  หากแต่เป็นเหนื่อยหอบหัวหน้าทีมงานที่พึ่งจะเดินสวนผมไปบ้านหลังนั้น  คาดว่ามันคงวิ่งย้อนกลับไปจนเจอตัวลุงมั่น ก่อนจะแยกกันตามหาตัวผม

“แล้วจะเอายังไงดีพี่  มืดแบบนี้หาค่อนข้างยากเลยนะ”

“มึงเอามีดมาหรือเปล่า ลองฟันไปให้ทั่วพงหญ้าหรือแม้กระทั่งต้นไม้  มันหาที่หลบอื่นไม่ได้หรอก”

หลังจากการตกลงเสร็จสรรพ  ผมซึ่งยืนหลบอยู่ไม่ห่างจากนั้นมากนัก ต้องรีบยกมือขึ้นมาปกปิดเสียงลมหายใจของตนเอง  หัวใจผมสั่นระทึกเนื่องจากการกลัวตาย  ดวงตาผมหลับแน่น พร้อมกับที่มืออีกข้างก็ยกขึ้นมากอดปลอบตนเองไว้  ไม่นานนักเสียงถางป่าหญ้ารอบบริเวณก็เริ่มขึ้น อีกทั้งก้อนหินจำนวนไม่น้อยก็ถูกหยิบโยนออกไปไม่ระบุตำแหน่งคล้ายกับการเสี่ยงโชคว่ามันจะไปกระทบให้ผมส่งเสียงร้องออกมาตอนไหน

ร่างกายผมสะดุ้งทุกครั้งที่เสียงเหล่านั้นคืบคลานมาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ  ภายในใจได้แต่ขอร้องให้วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าแห่งนี้คุ้มครอง  ผมไม่รู้ว่าการกระทำสิ้นคิดแบบนี้จะช่วยชีวิตผมได้หรือเปล่า  แต่ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมสัมผัสกับวิญญาณได้มันก็ทำให้ผมรู้ว่าการร้องขอของผมไม่ได้เป็นม่าย เนื่องจากจู่ๆในป่าแห่งนี้ก็เกิดลมกรรโชกจนใบไม้ไหว หยุดพฤติกรรมของมนุษย์ทุกคนไว้แค่เท่านั้น

“พี่…มันเกิดอะไรขึ้น”เสียงลูกน้องของหัวหน้าทีมงานถามออกมาเสียงเบา แต่ยังสัมผัสถึงอารมณ์ที่ไหวเอนตามบรรยากาศ

“มึงคิดมากไปหรือเปล่า มัน…ก็แค่ลมพัด”

“จะใช่หรือพี่  จากที่พี่เล่าให้ผมฟัง ไม่ใช่ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะทำอะไรอีกนะ”

“มึงหุบปากไปซะ  มันทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้หรอก ครั้งก่อนมันโชคดีที่มีน้ำเก้าวัดต่างหาก”

น้ำเสียงไม่มั่นใจของหัวหน้าทีมงานดังสั่งลูกน้อง ก่อนที่พวกนั้นจะลงมือเร่งค้นหาตัวผมกันจ้าละหวั่น  ตัวของผมต้องค่อยๆก้มลงคลานเลียบพื้นเปลี่ยนที่อยู่ตนเองไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่แค่เพราะกลัวทีมงานพวกนั้น แต่เพราะเสียงของวิญญาณที่ไล่ตามผมมาเหมือนกันได้ทำให้ผมไม่กล้าแม้จะอยู่ในจุดเดิม  จนการคลานของผมมาสิ้นสุดอยู่ตรงบริเวณหนึ่ง ผมก็ต้องรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นประชิดต้นไม้ใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว  เพราะสายตาได้เข้าไปกระทบกับเท้าเปล่าของคนซึ่งยืนขวางทางไว้

อยู่นิ่งๆ

คำกล่าวที่หยุดร่างกายของผมไว้ได้ทันที บอกพร้อมกับที่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตัดหน้าผมออกไปอีกทาง โดยแค่พักเดียวเท่านั้นทีมงานที่ไล่ตามผมอยู่ก็แห่แหนกันวิ่งตามวิญญาณตนนั้นไปในทันที  ผมยืนลูบหน้าอกของตนเองเพราะเกร็งอย่างหมดแรง  ไม่สนใจแม้ว่ารอบกายจะยังคงมีเงาดำของวิญญาณตนอื่นโผล่พ้นสายตา  แต่ทว่าความต้องการพักกายกลับถูกหยุดยั้งไว้แค่นั้น  เพราะเสียงๆหนึ่งที่ตามผมมาทุกครั้งที่ผ่านต้นไม้ได้ทำให้หัวใจของผมกลับมาสั่นไหวด้วยความตกใจอีกครั้ง

เสียงเชือกฟางได้กระตุกพาร่างของมนุษย์ตกลงตรงหน้าผมอย่างแรง ปรากฏใบหน้าของหญิงสาวที่อืดบวดจนส่งกลิ่นเหม็นเน่าแสบจมูก ลิ้นจุกปาก กำลังหมุนวนรอบเชือกนั้นไปมา ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะหยุดลงจ้องหน้าผม พร้อมส่งรอยยิ้มหลอนประสาท ทักทายเหยื่อคนแรกของวัน

ผมรีบวิ่งออกจากตรงนั้นพร้อมกัดปากกลั้นเสียงร้องของตนเองเต็มที่ ใจส่วนหนึ่งก็นึกโมโหวิญญาณซึ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือที่ไม่มาปกป้องผมตรงนี้  แต่อีกใจก็กล่าวโทษตนเองที่ไม่คิดเรื่องการอัญเชิญวิญญาณในบ้านนั้นให้ดี  เพราะความเคยชินที่ช่วงหลังๆผมไม่ค่อยได้เจอวิญญาณในบ้านนั้นมากเท่าไรนัก คาดว่าคงเป็นเพราะการช่วยเหลือจากคุณศตวรรษ ผมจึงละเลยที่จะสนใจ จนลืมไปเสียสนิทว่าทุกตารางพื้นที่ของผืนป่าแห่งนี้มันไม่ได้จำกัดกรอบการมาของใคร ฉะนั้นวิญญาณทั้งหลายจึงหลั่งไหลมาตามเสียงเรียกของผมจนแน่นขนัด

ผมต้องดิ้นรนหาทางออกอย่างไม่คิดชีวิต และอาจจะเพราะเสียงโวยวายในใจของผม เส้นทางที่อยู่ตรงหน้าจึงไม่ได้มีเพียงต้นไม้อีกต่อไป  เนื่องจากตอนนี้มันปรากฏร่างกายของใครคนหนึ่งเดินนำอยู่ ซึ่งไม่ว่าผมจะวิ่งไปให้ทันอย่างไรก็ไม่เป็นผล  ผมจึงต้องแอบวิ่งตามไปอย่างเงียบๆและเสี่ยงที่จะเชื่อใจว่าเขามาดี

ไม่นานนักผมก็วิ่งทะลุเขตป่าออกมาได้  พร้อมกับที่วิญญาณซึ่งนำผมมาก็สูญหายไปด้วย  ช่วงหนึ่งก่อนที่ผมจะพ้นตัวป่ามานั้น อะไรบางอย่างได้ดลให้ผมหันไปมองแล้วพบเจอกับบ่อน้ำที่ไอ้ภพเคยบอกไว้  แต่ทว่ามันกลับไม่น่าสนใจเท่าแว่วเสียงๆหนึ่งที่ร่ำร้องหาผมมาตามความมืด จนสะกิดหัวใจของผมให้แกว่งไป 

เมื่อเดินออกมา ผมต้องใช้สายตากวาดไปทั่วบริเวณเพื่อหาที่ตั้งของบ้านที่มีลักษณะเดียวกันกับบ้านที่ผมอยู่  ก่อนจะพบว่าไม่ห่างกับจุดที่ผมยืนเท่าไรนักมีบ้านของคนตั้งไว้ อีกทั้งลักษณะของมันยังคับคล้ายคับคลารูปแบบที่ไอ้ภพเคยบอก  ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งตรงไปและเตรียมหาทางเข้าสู่บ้านหลังนั้น

แทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อผมแอบเข้ามา  บริเวณบ้านหลังนี้จะเงียบจนเหมือนไม่มีใครอยู่  ประตูของบ้านเปิดอ้าทิ้งไว้จนไม่คิดว่าทีมงานที่กักตัวไอ้ภพจะประมาทได้ขนาดนั้น  ผมซุ่มแอบมาตลอดทางก่อนที่จะมองเข้าไปยังตัวบ้านเพื่อมองหาความแน่ใจ  จนได้เห็นกรอบรูปจำนวนเจ็ดรูปที่ติดเอาไว้บริเวณกำแพง ผมถึงมั่นใจว่าที่แห่งนี้คือบ้านหลังที่ไอ้ภพบอกจริงๆ ก่อนจะพาตนเองเข้าตัวบ้านไปด้วยความเงียบ โดยไม่แม้แต่จะได้สังเกตเห็นความผิดปกติในนี้

บุคคลในกรอบรูปทั้งเจ็ดที่ติดไว้ กำลังไล่สายตามองตามหลังแขกคนใหม่ซึ่งรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของเขา

บ้านหลังนี้ไม่เหลือใครเลยอย่างที่คิด ผมจึงตัดสินใจค่อยๆเดินสำรวจอย่างเบาแรงที่สุดเพราะกลัวว่าทีมงานหรือใครสักคนจะแอบซ่อนตนเองไว้  จนเมื่อเดินมาถึงบริเวณชั้นสอง ห้องที่เปิดอ้าอยู่ห้องหนึ่งก็ดึงดูดให้ผมเดินเข้าไป แล้วพบกับสิ่งของวางระเกะระกะหล่นทั่วพื้นคล้ายกับมีการต่อสู้ก่อนที่ผมจะเข้ามาเพียงไม่กี่นาที แต่ทุกอย่างที่ว่ามามันก็ไม่ได้น่าสนใจไปกว่าร่องรอยบางอย่างที่หยดอยู่ทั่วพื้น นำให้ผมต้องนั่งลงไปสัมผัสพร้อมกับใจที่ร่ำร้องออกมาว่าทรมาน

“ล…เลือด”

ผมยกมืออันสั่นไหวขึ้นมากระทบแสงให้ชัดขึ้น สีแดงสดของมันทำให้น้ำตาของผมเริ่มเอ่อขึ้นมา ก่อนที่จะไล่สายตาตามหยดเลือดไปแล้วเห็นว่ามันสิ้นสุดที่หน้าต่างบ้านชั้นสอง ครานั้นทั้งตัวของผมสั่นไหวและรู้สึกใจหายจนแทบคลั่ง  ชั้นสองของบ้านหลังนี้มันไม่ได้ต่ำพอที่จะให้คนกระโดดลงไปได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสูงจนหนีออกจากทางหน้าต่างไม่ได้เลย  เลือดที่ผมเห็นยืนยันชัดเจนว่ามันต้องเป็นของไอ้ภพ  แต่ทว่าถ้าไอ้ภพบาดเจ็บอยู่นั้นการโดดลงไปคงทำให้มันเจ็บมากขึ้นไม่น้อย

ผมกำมือของตนเองเอาไว้แน่น โดยมีหยดน้ำอุ่นจากตาไหลตกกระทบฝ่ามือไปเป็นระยะ  ความเป็นความตายที่พรากเอาตัวของผมและไอ้ภพคลาดกันเพียงไม่กี่นาที  สร้างความปวดร้าวให้ผมอย่างสาหัส จนไม่คิดว่าผมจะสามารถดึงเอาแรงกายครั้งสุดท้ายมาใช้เพื่อควานหาในสิ่งที่ไอ้ภพพยายามมาก่อนหน้านั้น

ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพจะหยิบอะไรออกไปได้มากน้อยขนาดไหน  แต่ร่องรอยของการรื้อค้นได้ทำให้ผมมุ่งสายตาเข้าไปยังที่เดิมซึ่งไอ้ภพนำทางให้เอาไว้  ท่ามกลางสิ่งของจำนวนไม่น้อยที่ไอ้ภพคงหยิบขึ้นมาป้องกันตนเอง  ได้มีใบนัดเก่าๆตกหล่นอยู่สองถึงสามใบ  ข้างกันนั้นก็มีรูปถ่ายสองใบตกอยู่ด้วย  ความน่าสนใจของมันมีเท่ากันทั้งคู่ แต่ถึงอย่างไรผมก็เลือกที่จะหยิบใบนัดนั้นขึ้นมาอ่านก่อน  และพบว่ามันคือใบนัดรักษาของผู้ป่วยทางจิตที่ระบุชื่อของใครคนหนึ่งไว้ พร้อมกับนามสกุลคุ้นตา

"อดุลกรไกรเลิศ"

ผมอ่านนามสกุลนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อต้องการให้ตนเองแน่ใจ จนเมื่อมั่นใจแล้วว่ามันเปลี่ยนไปไม่ได้ ผมจึงรีบละสายตามามองรูปถ่ายอีกสองใบบนมือ  ก่อนที่รูปถ่ายนั่นจะไขข้อข้องใจทั้งหมดทันที 

รูปถ่ายใบแรกคือรูปถ่ายของครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนในรูป  ทุกคนนั้นอยู่ร่วมกันตามประสาพ่อแม่ลูก ยิ้มแย้มให้กล้องคล้ายกับมีความสุขที่สุดในชีวิต  ส่วนรูปใบที่สองนั้น เป็นรูปถ่ายของอีกครอบครัวซึ่งก็ยิ้มแย้มให้กล้องไม่แพ้กัน  แต่ทว่าจุดบอดของรูปนั้นกลับเป็นใบหน้าของชายหนุ่มวัยเกือบยี่สิบคนหนึ่ง ที่นอกจากจะไม่ได้ดูสนิทกับครอบครัวนี้แล้ว  ใบหน้าของเขายังไม่แสดงรอยยิ้มใดๆออกมา  บอกให้ผมรู้ว่าทั้งสองภาพนี้มีจุดร่วมกันอยู่หนึ่งอย่าง คือเด็กผู้ชายคนนั้นที่แม้จะห่างวัยกันพอสมควร แต่ด้วยโครงของใบหน้าได้ยืนยันชัดเจนว่าเขาคือคนเดียวกัน จะต่างก็แค่กาลเวลาที่พรากรอยยิ้มเขาออกไป  และที่สำคัญใบหน้านั้นยังคุ้นตาผมมากจนรูปในมือสั่น เพราะผู้ชายคนนั้นคือคนที่พยายามจะฆ่าผมในบ้านอีกหลังหนึ่ง

เพล้ง!!!

ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บหลักฐานเข้ากระเป๋า  เสียงวัตถุในบ้านก็ตกลงมาแตกพร้อมๆกับที่ต่อมาประตูด้านล่างก็ปิดตัวเสียงดังลั่น  ใบหน้าของผมรีบหันไปจับจ้องประตูห้องซึ่งยังคงปิดเอาไว้ เหงื่อในกายไหลซึมออกมาเพราะความตื่นตระหนก พลางหูก็เริ่มฟังเสียงฝีเท้าที่วิ่งขึ้นบนตัวบ้านอย่างเร็ว ผมไม่มีเวลาให้ตกใจนานกว่านี้ สมองของผมต้องรีบประมวลหาทางออกอื่น จนหันไปเห็นรอยเลือดบนพื้นนั่น ขาทั้งสองข้างจึงไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตามไปยังหน้าต่างเตรียมกระโดดหนีเฉกเช่นไอ้ภพเคยทำก่อนหน้า



แต่ทว่า…มันกลับไม่ทัน





*************************************************TBC****************************************
เอาตอนที่ 28 มาส่งแล้วนะครับ  ใกล้เข้ามาเรื่อยๆนะแล้วสำหรับภพมิว  ยังไงฝากลุ้นและติดตามกันต่อนะครับ
ขอบคุณทุกการแชร์ ทุกการติดตาม และทุกคำติชมนะครับ  สร้างกำลังใจให้ผมได้เรื่อยๆเลย อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ
เหมือนเดิมเน้อ  ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหล สามารถบอกผมโดยตรงได้ครับ ผมพยายามหาคำผิดอยู่แล้ว แต่อาจเกิดความผิดพลาดได้ ยังไงขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ
รักนักอ่านทุกคนนะครับ
เจอกันอาทิตย์หน้า
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2017 15:40:57 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
โอ๊ยยยยยย ลุ้นจนเยี่ยวเหนียวหมดแล๊ววววววววววววววววววววววววว  :ling1:

อย่าเป็นอะไรไปนะ T^T

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ลุ้นมากกกกก  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยย อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันอังคารอีก
ลุ้นมากกกก

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ้ยยยยยย อ่านแล้วก็กลั้นหายใจตลอด :ling3:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด  :hao7:  55555 ลุ้นตัวเกร็งทุกบรรทัดค่ะ  ขอให้ภพมิวปลอดภัยด้วยเถิดดด :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2017 02:50:48 โดย rockiidixon666 »

ออฟไลน์ ρℓuto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ต่อเลยได้ไหมมม ค้างมากๆ ตื่นเต้นไปหมด

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
เยี่ยวเหนียวแล้วจ้าาาาาาาา ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนนี้ยังมีอะไรให้ลุ้นอยู่ตลอด เนื้อเรื่องเข้มข้นจนเริ่มหนืด(ฮา)  และคงเป็น1ในนิยายที่ไม่มีนักอ่านคนไหนอยากจะช่วยตรวจคำผิดเพราะจะอ่านอีกก็กลัวอีก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คุณศตวรรษออกจากบ้านมาช่วยได้ไหมคะ ไม่ใช่มิวไม่ไหวนะ เราเนี่ยไม่ไหวแล้ว อะไรจะโหดร้ายขนาดนี้ ทั้งผีทั้งคนทั้งลุง  :ling3:

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มิวนี่โครตเข้มแข็ง ทำไมทำกับมิวได้ขนาดนี้ สงสารร
คือแบบจิตใจต้องเข้มแข็งมากขนาดไหน ทั้งผีทั้งคน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด