NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170674 ครั้ง)

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
หลังจากทุกอย่างคลี่คลาย มิวควรเดินสายทำบุญอะ
อุปสรรคเยอะเหลือเกินลูก ใจแกร่งมาก ฮือ /กอดดดดด

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ค้างงงง ต้องรออีกอังคาร ถึงรู้ว่าจบดีก็เถอะแต่กว่าตำรวจจะมาภพมิวก็น่วมพอดี

ทั้งกองถ่ายนี่มันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันทั้งนั้นเลย

ออฟไลน์ ah-chan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ลุ้นจนน้ำลายเหนียวแล้วเนี่ย จะรอดไหม จะเกิดอะไรขึ้นจะเจออะไร ณ จุดนี้ ผีไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่เป็นทีมงานของรายการทั้งหมด

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โอ้ยย พึ่งได้เข้ามาอ่าน ถ้าไม่มีเพื่อนแนะนำมาคงไม่รู้ว่ามีเรื่องสนุกๆแบบนี้อยู่
เราที่ไม่ได้เข้าเล้ามานานมากกกก
อ่านจากสี่ทุ่มจนถึงตีสาม แล้วก็ตื่นมาอ่านต่อพึ่งถึงตอนปัจจุบัน
สนุกมากกค่ะ ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้
ภพนายอย่าพึ่งตายนะ
มิวก็ รีบหนีออกจากที่นั่นไวๆเข้า
รออยู่นะคะ สู้ๆ

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เรื่องนี้หลอนมาก อ่านแล้วกลัวมาก
แต่หยุดอ่านไม่ได้เพราะสนุกมากและภาษาสวยมาก
ใช้เวลา3วันถ้วนในการอ่านทั้งหมด เพราะอ่านได้แค่ตอนกลางวัน
มิวคือน่าสงสารมาก เป็นเราคือสติแตกไปนานแล้วอะ
กำลังสงสัยว่าวิญญาณที่ช่วยนำทางมิวในป่าคือใคร
คุณศตวรรษ? วิญญาณที่มิวช่วยไว้? ลุงคำ?
คืนนั้นที่มิวเห็นลุงคำนี่ว่าวิญญาณแน่ๆแล้วอะ
แล้ววิญญาณทั้ง7ในบ้านหลังนั้นจะเลือกช่วยเหลือใคร
ครอบครัวที่ฆ่าตัวเอง หรือคนไม่รู้จักที่กำลังจะเป็นเหยื่อเหมือนตัวเอง
สำคัญสุดตอนนี้คือ ภพหายไปไหนแล้วว
รอค่าาา

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
กรีดร้องสุดพลังงงงง ทำไมน้องมิวเเกร่งเยี่ยงเน้ :ling1:
เป็นเราคงเอาปืนยิงตัวเองไปละล่ะฮือออออออ โอ๊ยเครียดดดด อยากอ่านต่อแว้ววววว

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
โอ้ยยยยยยย ลุ้นตลอดเวลาทั้งคนทั้งผี ภพไปอยู่ไหนแล้วนะ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ลุ้นตัวโก่งตามจริงๆ มิวจะหนีทันไหม นออ่าตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ระทึกมากกกกก โคตรลุ้นอะ ฮรือออ รออ่านต่อน้าาา มิวสู้ๆ!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ plugie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นเราคงบ้าไปแล้ว มิวเข้มแข็งจริงๆ :katai1:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่29

จากลา

                   
คุณเชื่อในเรื่องของโชคชะตาไหม?

โชคชะตาหรือดวงคือสิ่งที่ผูกกับชีวิตประจำวันของมนุษย์มาช้านาน ปลูกฝังถ่ายทอดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น มนุษย์หลายต่อหลายคนจึงเลือกที่จะฝากชีวิตของตนเองไว้กับความเชื่อต่างๆ โดยรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันเป็นเพียงอุบายที่หลอกล่อให้คนหนึ่งคนกล้าที่จะใช้ชีวิต แต่ทว่าเรื่องจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อถึงคราวที่มนุษย์ต้องเผชิญกับความสุขที่เปี่ยมล้น ชีวิตของพวกเขาก็จะเจอแต่เพียงความเรียบง่าย จนบางทีความทุกข์อาจเป็นสิ่งที่เขาโหยหา และเมื่อใดที่ถึงคราวดวงตก ชีวิตของพวกเขาก็จะเจอแต่ความหายนะที่หลั่งไหลกันเข้ามา หนักสุดอาจจะพรากชีวิตของพวกเขาให้ดับสูญ ดั่งเช่นผมในตอนนี้

แค่เพียงเปิดหน้าต่างออกมาเท่านั้น  ลูกบิดของประตูห้องก็ทำหน้าที่โดยการดันประตูให้เปิดออก ผมที่รับรู้ถึงภัยมาตั้งแต่แรกจึงสามารถประเมินได้ว่าการฝืนปีนออกไปอาจจะสร้างเรื่องให้ผมหนักกว่าเก่า พื้นใต้เตียงนอนซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักจึงกลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวให้ผมหลบซ่อนช่วงขาของใครคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ใครคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง รองเท้าของเขาก็รีบเดินไปหยุดที่หน้าต่างนานนับนาที คาดว่าเพราะยังไม่ทันได้ปิดมันอาจจะทำให้คนนั้นรู้สึกสงสัย ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับมามองตัวห้อง แล้วเดินไปหาร่องรอยการรื้อค้นไม่ต่างจากที่ผมทำตอนเดินเข้ามา

ช่วงหนึ่งที่เขาสำรวจร่องรอยวัตถุ ผมจำเป็นต้องกลั้นลมหายใจของตัวเอง เพราะเมื่อเขานั่งลงมา ยูนิฟอร์มและแผ่นหลังคุ้นตาก็ฉายแววความไม่ปลอดภัยทันที  ผู้ชายคนนั้นเป็นหนึ่งในทีมงานของรายการนี้ เขากำลังนั่งมองไปยังสิ่งของพวกนั้นด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ก่อนที่ร่องรอยของเลือดจะไปสะดุดตาเขา  ทำให้ร่างกายนั้นหยัดยืนขึ้นแล้วรีบเดินออกไปจากห้องโดยไม่ปิดประตูห้องให้สนิท

เผยให้เห็นช่วงขาโชกเลือดของใครคนหนึ่ง ยืนอยู่นิ่งภายใต้กรอบประตูห้องนอนนี้…

ปฏิกิริยาทางกายแสดงออกอย่างเดิมเหมือนทุกๆครั้งที่ผมเห็นวิญญาณ  ตาเบิกกว้าง ปากกัดแน่นจนกรามนูนออก ช่วงขาแขนเกร็งแน่นจนเจ็บปวด ลมหายใจถูกปล่อยออกมาอย่างแรงและแรงมากขึ้นเมื่อเท้าของใครคนนั้นขยับพาเรือนร่างของวิญญาณให้ก้าวเข้ามาในห้องแล้วมาสิ้นสุดอยู่เพียงปลายเตียงนี้ ก่อนที่วิญญาณนั่นจะยกขาขึ้นเตียงนอนที่ผมแอบอยู่แทน

จังหวะยุบยวบของเตียงนอนเริ่มนิ่งจนกลายเป็นเงียบสนิท  ผมเลยตัดสินใจกลิ้งตัวออกไปจากเตียงอย่างไวโดยที่เมื่อลุกยืนขึ้นได้ ด้านหลังของผมก็สัมผัสได้ถึงการจับจ้องมาทันที  ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปดูสิ่งที่ผมกลัว  กระนั้นเสียงอึกอักของวิญญาณก็เริ่มดึงความสนใจผมมากขึ้นไปเรื่อยๆ  จนเมื่อจับลูกบิดประตูได้ ความกล้าของผมจึงมากพอที่จะหันไปสบตากับสิ่งที่นอนอยู่บนเตียง

“มึงมาทำไม!!!”

เสียงตวาดลั่นบ้านทำให้ร่างกายผมกระตุก  บนเตียงนั้นมีร่างกายของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ ช่วงหัวและตัวปรากฎร่องรอยของกระสุนปืนหลายนัดที่ทำให้ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยเลือด  แววตาของเธอดุดันและแฝงไปด้วยความโกรธแค้นไม่น้อย  ฉะนั้นเมื่อเธอประสงค์ที่จะให้ผมเห็นและผมก็ทำตามแล้ว  ผมจึงค่อยๆเดินหนีออกมาทั้งที่ใจยังสั่นกลัว ก่อนจะดึงลูกบิดประตูให้ปิดสนิท โดยมีภาพสุดท้ายเป็นภาพของผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นมาจากเตียงแล้ววิ่งมาหยุดจ้องหน้าผมที่ช่องว่างอันน้อยนิดระหว่างประตู

ผมผวาจนร่างกายรีบผงะออก  หากแต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่ประตูบานนั้นดั่งคนที่กลัวมันจะเปิดขึ้นมาอีก  แต่เมื่อมองอยู่นานแล้วไม่พบการเคลื่อนไหว  ผมจึงเริ่มพาตนเองออกมาจากหน้าห้องนั้นแล้วรีบไปที่บันไดอย่างที่ต้องควบคุมสติตนเองไปด้วย  ใบหน้าสุดท้ายของผู้หญิงคนนั้นคือใบหน้าแบบเดียวกับที่ผมเห็นในรูปถ่ายใบแรก แสดงว่าในบ้านหลังนี้อาจไม่มีที่ว่างสำหรับคนเป็นอย่างผมอีกต่อไป   

การก้าวเท้าลงบันไดในแต่ละขั้นแบกรับทุกอารมณ์ของผมเอาไว้หมด  มือข้างหนึ่งต้องจับราวบันไดเอาไว้ให้มั่น มืออีกข้างก็นำมาลูบบริเวณหน้าอกเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด พื้นที่ชั้นหนึ่งของบ้าน มีคนจำนวน 6 คนนั่งกันอยู่นิ่งๆ สายตาของพวกเขาจ้องมองมาที่ผมเป็นอย่างไม่เป็นมิตรและไม่มีการกระพริบตาอย่างที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน 

เสียงดังของวัตถุที่แตกในคราแรกยามทีมงานเข้ามา  มันคือเสียงของกรอบรูปบานหนึ่งที่ตกลงมาแตกละเอียด โดยเมื่อถึงคราวที่ผมจะต้องก้าวผ่านหน้าวิญญาณพวกนั้นไปที่ประตู  ร่องรอยกระจกแตกจึงเบี่ยงเบนให้ผมหันไปมอง และพบว่าบุคคลที่นั่งมองผมอยู่ตรงนี้ทั้งหก  คือบุคคลที่มีใบหน้าประดับประดาไว้ในกรอบรูป  ฉะนั้นผมจึงต้องรีบยกมือขึ้นมาขอขมาแล้วก้าวขาออกจากตัวบ้านไปพร้อมกับบรรยากาศชวนอึดอัดและบีบคั้น

เมื่อวิ่งออกมาได้  ผมก็รีบย้อนกลับไปกำแพงหลังบ้านเพื่อปีนกลับเข้าสู่ป่าอีกครั้ง  ผมเชื่อว่าไอ้ภพจะต้องวิ่งย้อนกลับไปช่วยเหลือผม  อีกไม่นานนักตำรวจคงเดินทางมาถึง ผมจึงกล้าเสี่ยงพาตนเองกลับไปย้อนรอยชะตากรรม ทว่าเมื่อออกมาจากตัวบ้านได้ไม่เท่าไร  หน้าต่างที่ผมเผลอเปิดเอาไว้ก็ปิดตัวเสียงดังลั่น เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของคนในนั้นก่อนจะเงียบหายไป

พร้อมกับเสียงปืนลั่นที่ดังแทรกอากาศขึ้นมาแทน…

ฝูงนกกลางคืนที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ ต่างก็พากันบินหนีออกไปเร็วรี่ หลบหนีเสียงปืนไปตามสัญชาตญาณอันตรายของสัตว์ซึ่งแตกต่างกับผม ที่แม้จะรู้สึกกลัวและใจหายไม่ต่างไปจากสัตว์พวกนั้น แต่ช่วงขากลับรีบวิ่งมุ่งหน้าเข้าสู่เขตป่าอย่างไม่คิดชีวิต เพราะไม่รู้เลยว่าลูกกระสุนนัดนั้นมันถูกใช้ยิงเพื่อปลิดชีวิตของใคร

ป่าที่ผมเคยวิ่งหนีออกมานั้น นำเอาบรรยากาศเดิมๆให้กลับมา เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่อาจจะสนใจสิ่งพวกนั้นต่อไปได้อีก เสียงปืนที่เกิดขึ้นยังคงถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องอีกสองถึงสามนัด  เร่งฝีเท้าของผมให้วิ่งเข้าไปหาแหล่งกำเนิดเสียงด้วยการเคลื่อนไหวที่ต้องเงียบจนถึงขีดสุด

ไม่นานนักหลังจากที่ผมวิ่งเข้ามา  เสียงไซเรนรถตำรวจก็ดังคลอมาตามลมสร้างความเบาใจให้อีกเปราะหนึ่ง แต่ผมก็ยังคงไม่หยุดค้นหาเพราะคิดว่าตนเองเดินเข้ามาไกลเกินกว่าจะวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือ  ทั้งผมและไอ้ภพต่างคนต่างกำลังไม่ปลอดภัยและยึดถือความระแวงในใจของตนเองอยู่เสมอ  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกล้าวิ่งเข้าไปหากระสุน เพราะถ้าเสียงปืนนั่นไม่ได้มีไว้ใช้กับไอ้ภพ อย่างน้อยมันก็ต้องเรียกตัวไอ้ภพให้เข้าไปหาไม่ต่างจากที่ผมกำลังจะทำ

“ไง เอกภพ…วิ่งไปไหนซะแล้วหละ  ไม่ออกมาอยู่เล่นเกมด้วยกันอีกหน่อยเหรอ 555”

เสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับประโยคชักชวนของลุงมั่น ดึงให้ร่างกายของผมที่วิ่งอยู่ต้องหยุดลง แล้วเปลี่ยนเป็นการก้าวย่างเข้าไปใกล้อีกทีละนิด  ผมไม่รู้ว่าเสียงปืนที่เงียบไปก่อนหน้านั้น จะทันถึงหูเจ้าหน้าที่หรือเปล่า  แต่คาดว่าเรื่องราวที่ลูกสาวลุงคำได้แจ้งไว้คงนำให้เจ้าหน้าที่กระจายกำลังกันค้นหาอยู่  อีกทั้งชื่อของไอ้ภพเมื่อครู่ยังได้ทำให้ผมสนใจคำพูดของลุงมั่นมากขึ้น เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ไกลจากนี้นักจะต้องมีไอ้ภพหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่

“มิว  เอ็งหายไปไหน ลุงยังไม่ได้เล่นเกมกับเอ็งเลยนะ  รีบๆออกมาซะสิ เราจะได้เล่นกันต่อ”

ช่วงที่จับจ้องดูทิศทางของลุงมั่นอยู่นั้น ชื่อของผมที่ปรากฏออกมาก็ทำให้สันหลังลุกวาบ เสียงนั่นมันคือเสียงที่บ่งบอกว่าพร้อมจะฆ่าผมอยู่ตลอดเวลา มือของลุงมั่นข้างหนึ่งถือปืนจ่อไปยังที่ต่างๆอย่างหวาดระแวง ส่วนอีกข้างก็ใช้มันขว้างหินออกไปเพื่อเดาสุ่มถึงแหล่งที่ซ่อนตัวของพวกผม

เมื่อมั่นใจแล้วว่าตรงนี้ไม่มีไอ้ภพอยู่ ผมจึงรีบผละออกมาให้ห่างจากลุงมั่น แล้วเริ่มถอยตัวไปตามต้นไม้ต่างๆให้บดบังผมไว้  จนกระทั่งถึงจุดที่คิดว่าลุงมั่นคงไม่ได้ยิน ขาของผมจึงเริ่มออกวิ่งแล้วเดาทิศทางที่ไอ้ภพจะมุ่งหน้าออกไป  แต่ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะไปไหนไกล เสียงปืนและกระสุนก็พุ่งเข้าเฉียดแขนผมไปเพียงนิด กระทบต้นไม้จนกลิ่นเหม็นไหม้โชยผ่านจมูก และเมื่อหันกลับไป  ผมก็ได้เห็นลุงมั่นที่กำลังวิ่งตามมาพร้อมกับปืนที่ชี้เข้าหาผมอยู่เนืองๆ

“เจอแล้ว  5555 กูเจอมึงแล้ว  มาเล่นเกมกันเสียดีๆ อย่าให้ต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้”

คำพูดเย็นเยียบมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแผดลั่นน่าขยะแขยง  ดึงดันให้ผมต้องรีบวิ่งเปลี่ยนทิศทางไปอย่างไม่คิดชีวิต กฎเหล็กข้อหนึ่งสำหรับการหนีแบบพลางตัว คือผมจะต้องไม่ส่งเสียงร้องใดๆออกมาแม้ว่าตำรวจจะอยู่ใกล้ แน่นอนว่ามันสามารถบอกตำแหน่งผมได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้วนั้น บุคคลที่จะเข้าถึงตัวผมก่อนย่อมเป็นฆาตกร ไม่ใช่ตำรวจอย่างที่ฝัน 

ในใจผมภาวนาให้เสียงปืนเมื่อครู่เรียกตำรวจที่อยู่รายล้อมป่าให้เข้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น จนเมื่อถึงช่วงหนึ่งที่ลุงมั่นคลาดไปกับผม ทิศทางที่วิ่งจึงเปลี่ยนเป็นการหาทางออกแทน สุดท้ายเมื่อกำลังขาอ่อนแรงลง ผมจึงหยุดเดินนิ่งๆ ก่อนจะต้องตกใจสุดขีด เพราะมือหนาได้เข้ามากระชากร่างผมเข้าไปรัดกุมไว้

“ชู่ว์ อยู่นิ่งๆนี่กูเอง…ไอ้มิว”

เสียงเหนื่อยล้าปนหอบคุ้นหูของชายชื่อภพ  กล่อมให้ความตกใจของผมลดลงจนน้ำตาตีรื้นขึ้นมาด้วยความโล่ง  ไออุ่นของมันทำให้ผมต้องค่อยๆพลิกตัวกลับไปหาเพื่อให้เห็นกับตาว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่

“ภ…ภพ  ภพ มึงจริงๆใช่ไหม?  ฮึก  มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?  ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้”

“ไม่ต้องร้องไห้  กูไม่เป็นอะไร  กูกลับมาตามหามึงนั่นแหละ  มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ฮึก  กูไม่เป็นอะไรเลยภพ เราไม่เป็นอะไรแล้วนะ ตอนนี้ด้านนอกมีตำรวจมาล้อมไว้แล้ว เรารีบหนีออกจากป่ากันเถอะ”

ไอ้ภพพยักหน้าซ้ำ  ก่อนที่จะดันตัวผมให้ก้าวตามมันไปติดๆ  ความชำนาญทางของมัน เอื้อประโยชน์ให้กับเราทั้งคู่นัก  แต่ทว่ามันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิดเลย  เพราะท่วงท่าการเดินที่ดูลำบากบวกกับสีหน้าเจ็บแสบของมันทำให้ผมต้องประคองช่วยมันเอาไว้  พร้อมกับที่ต้องทนดูความทรมานของมันผ่านใบหน้า

“อดทนอีกนิดนะภพ  ใกล้ถึงตำรวจแล้ว  เดี๋ยวจะได้หาหมอแล้วนะ”พูดไปน้ำตาผมก็พาลจะไหลอีก  ความรู้สึกรักใครสักคนมากเป็นอย่างไร วันนี้ผมเข้าใจหมดทุกอย่าง  มันเจ็บแทนไปหมด แม้กายจะไม่เป็นแผลแต่ใจกลับปวดร้าวจนแทบคลั่ง

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก  กูวิ่งมาตั้งนานยังไหวอยู่เลย…มึงรู้เรื่องแผลกูด้วยเหรอ?”

“อืม กูเห็นหยดเลือดที่บ้านหลังนั้น กูไปหามึงมาแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่เจอ  ว่าแต่เสียงปืนในป่าตอนแรกมันไม่ได้โดนมึงใช่ไหม?”

“ไม่ทันโดนหรอก กูวิ่งไปเจอลุงมั่นเข้าพอดีเลยไหวตัวออกมาทัน  แต่นัดต่อจากนั้นกูไม่รู้ว่าเขายิงใครเพราะกระสุนไม่ได้พุ่งมาทางกู”

“ทั้งที่เขาก็วิ่งตามมึงมาอย่างนั้นหนะเหรอ?”

ไอ้ภพฉายแววตาไหววูบขึ้นมาทันทีหลังจบคำพูด ไม่ต่างไปจากผม เสียงปืนที่ดังแทบกระชั้นชิดไม่ได้ถูกยิงมาใส่ไอ้ภพอย่างเดียว  นั่นจึงเท่ากับว่าถ้าลุงมั่นไม่ได้เห็นวิญญาณเฉกเช่นผม กระสุนปืนนัดนั้นมันต้องเล็งวิถีไปที่คนอื่น ซึ่งก็ทำให้ผมนึกได้เพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ในป่าตามผม  ทีมงานที่เฝ้าไอ้ภพคงไม่ตัดสินใจตามเข้ามาเป็นแน่  ผมจึงต้องรีบเดินออกพร้อมกับที่ภาวนาให้ทีมงานสองคนนั้นรอดตาย  จะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นศพให้เกมสกปรกนี่อีกต่อไป

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งสลับกับหลบหลีกฝีเท้าของคนไปจนเกือบจะถึงทางออกจากป่า  สายตาของผมก็ไปปะทะกับรูปร่างของมนุษย์ซึ่งกำลังเดินอยู่ตรงหน้า  ครานั้นผมรีบดึงตัวไอ้ภพออกไปอย่างเร็วที่สุดเพราะคิดว่าอีกไม่นานหลังจากที่ตามร่างของคนนั้นไป มันจะต้องนำให้ผมไปถึงทางออก

“เดี๋ยวมิว  จะรีบวิ่งไปไหน?”ไอ้ภพร้องถามเสียงเบา แต่สายตากลับจ้องไปที่เส้นทางตรงหน้าด้วยความตึงเครียด

“ตามมาก่อนเถอะ กูเห็นวิญญาณใครสักคนตรงนั้น เขาเคยพากูออกจากป่านี้แล้วรอบหนึ่ง”ผมหยุดเท้าแล้วหันไปตอบไอ้ภพ  ก่อนจะหันไปมองยังร่างกายของคนที่เดิมเพราะกลัวว่าเขาจะหายไป แต่ทว่าร่างนั้นกลับยืนอยู่นิ่งตามเสียงผม มิหนำซ้ำ มันยังเดินย้อนกลับมาทางนี้อีกด้วย

“วิญญาณของใคร?”ไอ้ภพรีบหันมาถามอย่างร้อนรน

“กูไม่รู้ภพ กูเห็นแค่แผ่นหลังเขา”

“นั่นไม่ใช่วิญญาณ มิว…เพราะถ้าใช่ กูจะต้องไม่เห็น”

ปั้ง!!!

ลูกกระสุนพุ่งตรงมาที่พวกผมอย่างไม่ทันตั้งตัว  เฉียดแขนของไอ้ภพไปจนเลือดไหลซึมออกมาชุ่มแขนเสื้อ คราแรกวิถีกระสุนไม่ได้เข้าใกล้ไอ้ภพเลย แต่ด้วยอะไรสักอย่างมันจึงยื่นมือมาผลักผมออกจนกระสุนเฉียดมันแทน หน้าของไอ้ภพตอนนี้เจ็บปวดจนคล้ายจะล้มลง  ผมจึงต้องรีบวิ่งพาร่างกายของมันเดินหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใกล้ต้นไม้ พลางฟังเสียงของปืนที่ยิงข่มขู่ตามผมมาอีกหลายนัด พร้อมกับเสียงท้าทายของลุงมั่นซึ่งส่งออกมาอย่างมาดร้าย

“จะหนีกันอีกทำไม?  ไม่เหนื่อยกันหรือ  อุตส่าห์วิ่งเข้ามาหาลุงแบบนี้ ไม่น่าอ่อนแอกันนะ”

ไอ้ภพดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด  แผลเมื่อครู่ตามจริงคงไม่ได้ทำให้ใครเป็นหนักขนาดนี้  แต่เมื่อไอ้ภพวิ่งหนีมานานอีกทั้งยังมีแผลที่อื่นอีก  มันคงเริ่มใกล้อักเสบแล้วทำให้ไอ้ภพหมดแรงไปเสียดื้อๆ  ผมก้มหน้าพลางบ่นขอโทษมันซ้ำๆ  ความเป็นความตายที่ใกล้เข้ามา ไม่อาจทำให้ผมหนีต่อไปได้อีก สภาวการณ์รอบกายจึงไม่อาจรั้งผมเพื่อนอนรอความตายได้ ความคิดที่จะสู้ก็สั่งให้ผมลุกแยกตัวออกมาจากไอ้ภพ

“ผมไม่หนีแล้วครับ  ไหนๆลุงก็อยากเล่นเกมเต็มที่  ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดให้” ผมเดินออกมาจากที่ซ่อนท่ามกลางเสียงร้องห้ามของไอ้ภพ  สายตาของผมตอนนั้นต้องยอมทนมองกับเงาดำรอบตัวที่อยู่ตามต้นไม้ต่างๆ  ก่อนจะกลั้นใจฝืนเดินเข้าใกล้ลุงมั่นให้มากขึ้น

“โอ้โห  คราวนี้กล้าออกมาก่อนหรอ ได้ๆ เดี๋ยวลุงจะจัดเกมนี้ให้ดีที่สุดเองนะ”ลุงมั่นปรบมือให้ผมอย่างคนเสียสติ ก่อนที่ปืนจะชี้มาทางผม

“ลุงคิดว่าการจำลองความตาย มันจะมีตัวละครแค่ผมกับลุงอย่างนั้นเหรอครับ? อย่าลืมสิ ว่าความจริงมันต้องมีตำรวจ”

“ไหนละ ตำรวจอยู่ไหน? ลุงเห็นแค่เอ็งซึ่งกำลังจะตาย 555 อย่าถ่วงเวลาอีกเลย…มาเล่นเกมกับลุงเถอะ”

ผมยืนจ้องหน้าลุงมั่นนิ่ง  แขนทั้งสองข้างก็กำกันจนแน่น  ก่อนที่ดวงตาของผมจะปิดลงพร้อมน้ำตา แล้วปล่อยให้เสียงเหนี่ยวไกปืนทำงานไปด้วยหัวใจสั่นระรัว  ความเป็นความตายที่ผมตัดสินใจเสี่ยงนั้นกำลังจะทำให้ผมได้กลับไปสู่ถิ่นเดิมที่ผมจากมา แม้จะต้องแลกกับเสียงห้ามปรามของไอ้ภพ ที่ตอนนี้ยังคงส่งเสียงออกมาให้ใจผมเจ็บปวด

ปั้ง!!!

สิ้นสุดเสียงปืนนัดนั้น ร่างกายของผมทั้งร่างก็ล้มลงกระแทกพื้น ท่ามกลางการวิ่งกรูเข้ามาจับตัวลุงมั่นของเจ้าหน้าที่ เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นระยะอย่างทรมาน แต่ทว่านั่นไม่ใช่เสียงผม กระสุนปืนเมื่อครู่พุ่งสวนออกไปจากปืนอีกกระบอก สกัดกั้นเหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้น ชายหนุ่มผู้ใส่ยูนิฟอร์มคุ้นตาของรายการ คือคนที่เข้ามาผลักผมออกจากแนวกระสุนแล้วเป็นฝ่ายคุมเกมนี้แทน

ผมสังเกตเห็นความผิดปกติรอบตัวตรงนี้มาตั้งแต่ที่ดันไอ้ภพเข้ามาหลบ  เงาดำที่ผมว่าไว้ คราแรกผมนึกว่าเป็นวิญญาณอย่างที่ผมเคยเจอก่อนหน้า  แต่เมื่อเงานั้นยกมือให้สัญญาณกันแบบเงียบๆ  ผมถึงได้รู้ว่ารอบตัวผมเต็มไปด้วยตำรวจ การเบี่ยงเบนความสนใจของฆาตกรจึงเป็นการเสี่ยงที่ดีที่สุด เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่จัดการคนร้ายได้ไวขึ้น 

“ตรงนี้มีคนเจ็บครับ!!  ขอใครสักคนประสานงานเรียกรถพยาบาลเข้ามาตรงนี้ด้วย” เสียงตะโกนสั่งใช้อำนาจของผู้ชายที่ใส่ยูนิฟอร์มรายการ  ดังสั่งตำรวจกลุ่มนั้นหลังจากที่เขาวิ่งเข้ามาดูผมแล้วผละออกไปหาไอ้ภพ

“ค….คุณ!!!”

“ผมเองครับ  ไม่เจอกันเสียนานนะคุณมิว  แต่ว่าอย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้ครับ  รีบพาคุณภพออกไปก่อน”

ทีมงานของรายการคนนั้น สั่งให้ผมแบกไอ้ภพออกไปยังนอกเขตป่าก่อนที่เขาจะดึงรั้งให้ไอ้ภพไปนั่งบนรถพยาบาลซึ่งน่าจะมีการติดต่อมาเผื่อเอาไว้  ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลรีบเข้ามาหาไอ้ภพพร้อมทำการห้ามเลือดโดยทันที  โชคดีที่ว่าบาดแผลไอ้ภพไม่ได้ฉกรรจ์มากหรือมีกระสุนฝัง  ผมจึงโล่งใจไปได้ ก่อนจะปล่อยให้มันอยู่กับหมอแล้วเดินแยกออกมาหากลุ่มความวุ่นวายของตำรวจ

ที่รถของตำรวจตอนนี้  มีทีมงานของรายการอีกสองสามคนนั่งก้มหน้าหวาดกลัวความผิด ลุงมั่นถูกแยกออกไปเพื่อรอทำแผลจากกระสุนเมื่อครู่ สายตาของผมกวาดไปทั่วบริเวณเพราะรู้สึกได้ว่ายังคงเหลือทีมงานอีกสองคนซึ่งหายไปจากตรงนี้ ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปถามหาจากทีมงานคนนั้น ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำให้ผมถึงกับชะงัก

“ทีมงานสองคนนั้น  โดนยิงบาดเจ็บสาหัสครับ ตอนนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปก่อนแล้ว”

“เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

“อันนี้ผมตอบไม่ได้เลย  ยังไงก็ไปนั่งให้หายเหนื่อยก่อนนะครับ เดี๋ยวหลังจากนี้จะมีเรียกสอบปากคำ แต่ไม่ต้องตกใจไป ชื่อของทีมงานในรายการนี้ทั้งหมดจะต้องโดนสอบด้วยเหมือนกัน  ส่วนลุงมั่นก็จะต้องถูกดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายครับ”

“ทำไมคุณถึง…”

“ทำไมผมถึงรู้หนะเหรอครับ? เอาเป็นว่าก่อนที่ผมจะบอก ผมคงต้องขอให้คุณช่วยเหลือบางอย่างกับผมนะครับ”

“ช่วย? ผมช่วยอะไรได้ด้วยเหรอครับ”

“แน่นอนครับ ฟังอาจดูประหลาดหน่อย แต่ว่า…จำที่ผมเคยบอกได้ไหมครับ ว่าถ้าผมถามคำถามกับคุณอีกครั้งเมื่อไรคุณจะต้องตอบตามความจริงกับผม”

“คำถาม? อะไรเหรอครับ”

“คุณมิวครับ คุณเห็นผีหรือวิญญาณ…ใช่ไหม?”


เสียงดังจอแจของผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาจนระแวกบ้านหลังเดิมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แสงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นของฟ้าขอบวันนี้ ไม่ต่างไปจากในทุกๆวันที่ผมลืมตาขึ้น  หากแต่ว่าบรรยากาศที่ผมได้รับกลับไม่เหมือนเดิม  ทั้งผู้คนที่เนืองแน่นอยู่เต็มบ้าน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป ลุงมั่น  ตำรวจ หรือแม้กระทั่งนักข่าว  ได้เข้ามาดูการทำแผนรับสารภาพของลุงมั่น  พร้อมกับที่เวลานี้โครงกระดูกของมนุษย์มากมายได้ถูกนำมากองรวมกันไว้ที่พื้นที่หนึ่งด้านหลังบ้าน ตามการร้องขอของทีมงานท่าทางแปลกๆคนนั้น สร้างความผวาให้กับผู้ที่ยืนมุงการขุดค้นซึ่งยังไม่จบสิ้น

ทีมงานคนที่เข้ามาช่วยเหลือผมเมื่อคืน  คือทีมงานที่เคยไปหาน้ำเก้าวัดกับผม  เขาคนนี้คือคนที่พยายามจะถามผมอยู่ตลอดเวลาเรื่องการมองเห็นวิญญาณ ก่อนที่เขาจะหายไปตอนที่ผมต้องไปวัดสุดท้าย  น่าแปลกที่ตอนนั้นผมกลับรู้สึกได้ว่าทีมงานคนนี้แตกต่างกับทีมงานคนอื่นทั้งที่พฤติกรรมของเขาแทบจะไม่ต่างกันเลย  อาจจะเพราะท่าทางที่สุขุม ใบหน้าที่ซ่อนอารมณ์ไว้ หรือจะเพราะการพยายามเค้นข้อมูลที่ดูมีชั้นเชิงจนผมเกือบจะพลั้งปากบอกไปตั้งหลายครั้ง และความจริงที่ผมได้รับก็ทำให้ผมกระจ่างทุกข้อสงสัย

“ผมถามจริงๆนะครับ คุณเป็นใคร”ผู้เป็นเจ้าของข้อสงสัย หันหน้ากลับมามองผมด้วยรอยยิ้ม ขณะที่กำลังพาผมเดินย้อนกลับไปในป่า หลังจากที่ผมตัดสินใจตอบคำถามข้อนั้น

“อยากรู้จริงๆเหรอครับ?”

“ผมถามขนาดนี้ คงไม่อยากรู้เล่นๆหรอกครับ  คุณนี่กวนตีนยังไงก็อย่างนั้นเลยนะ”

“อ๊ะ! คุณด่าเจ้าหน้าที่แบบนี้ เดี๋ยวผมตั้งข้อหาให้คุณดีกว่า 555”

“หมายความว่าไง?”ผมขมวดคิ้วให้กับคำตอบติดตลกของเขา  พลางการรับรู้ก็ร้องบอกให้ผมรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้า

“ผม ร.ต.อ. ชัยมงคล ดำรงฤกษ์ รับหน้าที่เป็นตำรวจสายสืบให้กับคดีนี้ครับ แต่จะเรียกผมว่า เมฆ ก็ได้ ไหนๆเราก็สนิทกันแล้ว” 

ผมหยุดเดินต่อในทันที ตัวตนแฝงของทีมงานคนนั้นคือนายตำรวจยศสูงที่เข้ามาสืบคดีที่ได้รับมอบหมาย  พอผมได้คิดถึงคำพูดที่ด่าเขาเป็นว่าเล่น มันก็ทำให้รู้สึกขายขี้หน้ามากจนไม่กล้าสบตา  แต่กระนั้นคุณตำรวจคนสำคัญกลับมองว่าเป็นเรื่องตลกก่อนจะเดินมาลากผมให้ก้าวขาตาม พร้อมกับบอกจุดประสงค์ที่เขาต้องปิดบังและสาเหตุที่ทำให้เขาเข้ามาในรายการนี้

นายตำรวจหรือพี่เมฆ กล่าวให้ผมฟังว่า เมื่อหลายปีก่อนเขาได้รับการแจ้งความเรื่องคดีคนสูญหาย โดยไม่มีหลักฐานในการตามหาใดๆเลยนอกจากเวลาที่ผู้ตายออกไปจากบ้าน นั่นจึงเหมือนกับความสามารถที่เขามีถูกจำกัดเอาไว้  จนในปีถัดๆมาเขาก็ได้รับการแจ้งความแบบเดิมในช่วงเวลาเดียวกัน จึงทำให้เขาต้องนำทุกคดีมาตรวจสอบให้ละเอียดและพบว่าทุกคนที่สูญหายมีจุดร่วมอย่างเดียวกันคือเคยเข้าร่วมเกมนี้

เขาตัดสินใจที่จะรับอาสาดูแลคดีนี้แล้วเข้าร่วมกระบวนการสืบหาต้นตอการสูญหายทั้งหมดโดยการมาเป็นสายสืบ แฝงตัวเข้ามาในฐานะทีมงานของรายการเพื่อหาช่องโหว่ที่พอจะตรวจสอบได้  ซึ่งในปีแรกที่เขาเข้ามาทำนั้น ทุกอย่างถูกจำกัดกรอบไว้หมดโดยที่เขาไม่มีทางเลือก แต่กระนั้นเขาก็ยังมีสิทธิ์ที่จะได้ดูรายชื่อของทีมงานทั้งหมดที่อยู่ในรายการรวมถึงผู้ดูแลบ้านในแต่ละปีอีกด้วย และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงทางออกของคดีนี้

รายชื่อของทีมงานที่เขาเฝ้าสังเกตมาเป็นเวลานานนับสามปีทำให้เขาได้พบจุดน่าสงสัยอยู่สองจุด นั่นก็คือรายชื่อทีมงานทั้งหมดนั้น ทางเกมนี้จะเลือกให้ทีมงานชุดเดิมกลับมาทำอยู่เสมอ อาจมีเพิ่มเติมบ้างปีละคนสองคนหรือบางปีก็ไม่มีเลยสอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าแข่งขันในปีก่อนที่สูญหายไปอย่างชัดเจน แต่ถึงทีมงานจะเพิ่มมากขึ้น ตัวพี่เมฆก็ไม่ได้เห็นหน้าครบทุกคน เพราะต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ของตนเอง  อีกทั้งรายชื่อของผู้ดูแลบ้าน ตามปกติมันจะต้องเปลี่ยนไปทุกปีเนื่องจากรายการจะจ้างชาวบ้านระแวกนั้นแทนทีมงาน ซึ่งจุดสำคัญตรงนี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เพราะรายชื่อผู้ดูแลบ้านสามคนนั้น  จะมีเพียงหนึ่งชื่อที่ถูกใส่เข้ามาทุกครั้งแม้จะเปลี่ยนที่ท้าทายไปแล้ว

จวบจนปีที่ผมเข้ามา รายชื่อของผู้ดูแลบ้านก็ลดลงเหลือเพียงสอง หนึ่งในสองรายชื่อนั้นคือชื่อที่เคยมีอยู่ในทุกๆปี เขาจึงมั่นใจว่าไม่ลุงคำก็ลุงมั่น จะต้องมีใครสักคนที่เคยอยู่มาก่อนและค่อนข้างจะสำคัญกับเกมพอตัว ไม่เช่นนั้น ผู้จัดการเกมคงไม่ตัดสินใจเก็บเขาไว้และพาเขาเดินทางมากับทีมงานในทุกๆปี  เขาจึงพยายามที่จะจับผิดพฤติกรรมของลุงมั่นและลุงคำเอาไว้เพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น

“แล้วพี่เมฆ รู้สึกได้เมื่อไรครับว่าความผิดปกติมันไปอยู่ที่ลุงมั่น”

“พี่ลองทำเรื่องขอค้นประวัติในรายชื่อที่มีอยู่ในมือทั้งหมด แล้วพบว่ารายชื่อทีมงานบางคนนั้นถูกปลอมแปลงเข้ามา รวมถึงรายชื่อของลุงมั่นด้วย  พี่จึงพยายามจะตามหาทีมงานที่ถูกปลอมชื่อเข้ามาก่อน แต่ตามยังไงก็ไม่พบ ฉะนั้นพี่จึงเปลี่ยนไปเพ่งเล็งที่ผู้จัดการเกมแทน เพราะคิดว่าอำนาจลุงมั่นซึ่งเป็นแค่คนสวนคงไม่น่ามีมากพอ”

“พี่ตรวจสอบยังไงเหรอครับ”

.
.
.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“โปรเจคน้ำเก้าวัดนั่นไง ขอโทษนะ…แต่นั่นคือความคิดของพี่เอง”

หลังจากนั้นพี่เมฆก็บอกต่อว่า ขณะที่กำลังสงสัยลุงมั่นและพยายามหาตัวการหลักอยู่นั้น เขาก็ได้รับสายจากผู้จัดการเกมให้เข้ามาดูพวกผมสองคนในบ้าน  เพราะผู้จัดการเกมรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมของผมรวมถึงคำพูดที่ผมหลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ  ครั้งนั้นเขาจึงได้รู้ว่าผมเห็นวิญญาณได้ โดยในตอนแรกเขาก็ไม่ได้เชื่อ แต่พอพอมาแอบฟังบ่อยๆเขาก็ได้ค้นพบความจริงอีกหนึ่งอย่างคือ ผมกำลังตามหาความจริงแบบเดียวกับเขาและก็ดูเหมือนว่าผมจะรู้อะไรที่มากกว่าด้วย โปรเจคเก้าวัดนั่นจึงถูกเสนอขึ้นมา เพื่อให้ผมได้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น อีกอย่างเขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เพื่อเข้าหาตัวผมและติดต่อกับผู้จัดการเกมตลอด

“แล้วพี่หายไปไหนครับ  ในวันสุดท้ายของโปรเจคเก้าวัด”ผมหันไปถามตำรวจที่คิดว่าสนิท ด้วยน้ำเสียงที่ซึมลง  เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัว แม้การสลบจะเคยพรากความทรงจำหายไปแล้วครั้งหนึ่ง

“ก่อนอื่น พี่ขอโทษอีกครั้งนะ พี่ไม่คิดว่าวัดสุดท้ายจะทำให้เราเกือบตาย หลังจากที่พี่กลับมาแล้วพบว่าเรายังคงสลบอยู่  พี่นี่รู้สึกผิดมากเลยนะ  พี่เป็นตำรวจแต่ดันไม่สามารถให้ความคุ้มครองพยานอย่างเราได้  ที่สำคัญเราจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าพี่ไม่คิดโปรเจคนี้ขึ้นมา”

“เอาเถอะครับ  มันผ่านไปแล้ว ที่ผมสนใจตอนนี้คือพี่หายไปไหน? ไม่ได้ไปหาแม่ตามที่บอกไว้ใช่ไหม?”

“ครับ  พี่ไปตามหาผู้หญิงคนนั้น คนที่เรากับภพยืนคุยกันหน้าวัด พี่ได้ยินเขาคุยกับเราเรื่องบางอย่างที่พี่ยังไม่รู้ รวมถึงเรื่องที่มีทีมงานแอบเข้าไปด้วย”

“พี่ไม่แปลกใจเหรอ?  ที่ผมกับไอ้ภพรู้ข้อมูลพวกนั้นแล้วไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตกใจ”

“ถ้าพี่ไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่เราพลั้งปากพูดออกมาเสียก่อน  พี่ก็คงจะแปลกใจนั่นแหละ  ตอนที่พี่ไปสอบปากคำผู้หญิงคนนั้น ยอมรับว่าพี่ตกใจมาก เพราะเกมปีนั้นพี่ก็นั่งดูอยู่ด้วย แต่ไม่รู้เลยว่าตุ๊กตาตัวนั้นเป็นศพ พี่เลยกะว่าพอกลับมาจะเข้ามาคุยกับเราโดยตรงเลยเพื่อขอความช่วยเหลือ  แต่เราก็สลบไปก่อน แล้วพอฟื้นขึ้นมาบรรยากาศในเกมก็เปลี่ยนไป  ทีมงานที่ไม่ได้รับคำสั่งให้เข้ามาในบ้าน  ไม่มีสิทธิ์เข้ามาไม่ว่ากรณีใดก็ตาม”

ขาของผมเดินนำเจ้าหน้าที่และพี่ตำรวจไปยังบ่อน้ำในป่านั่น พลางฟังข้อมูลเพิ่มอีกว่า เกมกระดานดำที่ผมเขียนชื่อสกุลของครอบครัวหนึ่งลงไปตามคำสั่ง ทำให้เขาได้ข้อมูลตัวจริงของลุงมั่นทันทีหลังจากการนำไปสืบค้น เขาจึงเฝ้ามองผมด้วยความระแวงอยู่ตลอด  ในหัวก็หาทางป้องกันผมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้ที่เขานั่งดูภาพอยู่  สัญญาณภาพในบ้านก็ถูกตัดไปเสียดื้อๆ  พร้อมกับที่มีทีมงานกลุ่มหนึ่งถูกเรียกตัวไป 

ตอนแรกเขาคิดว่าทีมงานจะถูกเรียกไปแก้ปัญหา  แต่เพราะสัญญาณหายไปนานจนค่ำมืด  เขาจึงเริ่มไม่ไว้ใจแล้วรีบขับรถตามออกมา โดยเปลี่ยนสถานที่เป็นบ้านที่เขาคิดว่าน่าจะเก็บความจริงทั้งหมดของลุงมั่นไว้   และเมื่อเข้าไปในนั้นเขาก็พบเพียงร่องรอยการต่อสู้และรอยเลือด เขาเลยต้องรีบวิ่งออกมาประสานงานกับตำรวจ ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่กำลังมาพอดี  เขาจึงพาตนเองเข้าป่ารุดหน้าสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงก่อน โดยไม่คิดว่าหลังจากนั้นจะมีเสียงปืนดังขึ้น

“พอพี่เข้าไปตามเสียงปืน  พี่ก็พบร่างทีมงานสองคนนั้นนอนเจ็บอยู่  กำลังตรวจค้นจึงต้องแบ่งมาคุ้มครองสองคนนี้ ส่วนที่เหลือก็แยกไปค้นหาพวกเรา และทีมงานคนอื่นๆที่อาจเกี่ยวข้อง”

“ขอบคุณนะครับพี่  ว่าแต่พี่จะให้ผมพามาที่บ่อน้ำในป่าทำไมครับ?” ผมยืนมองบ่อน้ำตรงหน้า ฟังเรื่องราวการช่วยเหลือของผม ก่อนจะหันไปถามตามความสงสัย

“เรารู้ไม่ใช่เหรอ ว่าอะไรที่นอนรอความช่วยเหลืออยู่ใต้ผืนดินตรงนี้”


ผมมองหน้าตำรวจคนเก่งอย่างไม่เชื่อสายตา ผู้ชายคนนี้รู้ในทุกข้อมูลอยู่ตลอดเวลาแต่ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากคำสั่งขุดค้นในที่คนอื่นคงต้องหามูลความจริงที่มากกว่าคำพูดผม  เวลานี้เขาจึงได้โอกาสที่จะทำตามความต้องการตนเอง ก่อนจะยื่นธูปดอกหนึ่งให้ผม พร้อมกับคำสั่งที่ทำให้ผมต้องยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง

“วิญญาณผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกใต้ผืนดินนี้ โปรดแสดงตัวตนของพวกคุณอีกครั้ง ผมกำลังจะพาพวกคุณ…กลับบ้าน”

หลังจากเหตุการณ์ความผิดแปลกของธรรมชาติผ่านไป  สายตาของผมก็พบเจอกับร่างของวิญญาณที่ยืนกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆรอบบ่อน้ำแห่งนี้  ไม่นานนักคุณตำรวจก็พุ่งตัวเข้าไปขุดค้นตามคำชี้นำของผม และได้ขุดเอาโครงกระดูกส่วนต่างๆของมนุษย์ขึ้นมา แน่นอนว่ามันมีไม่ครบทั้งร่าง ตำรวจจึงต้องค่อยๆนำมาใส่ห่อผ้าไว้ให้ครบทุกชิ้น ใช้เวลาค้นหาอยู่นาน ผมก็มั่นใจแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่มีกระดูกหลงเหลืออยู่อีก  เส้นทางสุดท้ายจึงถูกผมขอร้องให้เขาพากลับไปที่บ้าน

ห้องน้ำชั้นบนคือเป้าหมายที่ผมและไอ้ภพพากันเดินตรงเข้ามาอย่างไม่รอช้าเพราะเราทั้งคู่ต่างรับรู้กันมาพักหนึ่งแล้วว่า สิ่งที่ถูกนำมาซุกซ่อนไว้ในบ้านหลังนี้คือกระดูกของคุณศตวรรษ และเป็นไปได้สูงว่าเขาจะต้องนอนหลับใหลอยู่เหนือฝ้าเพดานห้องน้ำ เพราะเสียงต่างๆรวมถึงการช่วยเหลือหลักๆแล้ว มันจะเกิดขึ้นมาจากตรงนี้

พี่เมฆ พยักหน้าให้ตำรวจหลายนายเดินไปเปิดฝ้าเพดานออก  แล้วจึงได้พบกับกล่องไม่เล็กไม่ใหญ่อันหนึ่งถูกวางไว้ท่ามกลางฝุ่นที่เกาะหนา  เมื่อกล่องถูกเปิด กลิ่นอับของกระดูกมนุษย์ก็โชยขึ้นไปทั่ว เสียงกรีดร้องตกใจดังระงมทั่วบ้าน ขัดกับใบหน้าของตำรวจที่เริ่มเคร่งเครียดมากขึ้น รวมถึงใบหน้าของฆาตกรที่ดูไม่สนใจ มิหนำซ้ำยังแผดเสียงหัวเราะขึ้นมาลั่นคล้ายกับเป็นเรื่องสนุก

“พลาดซะแล้ว 555 ลองไปขุดตรงพื้นด้านหลังด้วยไหม? เผื่อมีคนไปนอนรอความช่วยเหลือตรงนั้น”

เสียงหัวเราะไม่สลดของลุงมั่นทำเอาผมและไอ้ภพถึงกับต้องกำมือกันแน่น  ก่อนที่ตำรวจบางส่วนจะวิ่งไปยืนคุ้มกันลุงมั่นที่อาจโดนรุมประชาทัณฑ์จากพวกชาวบ้าว  เวลานั้นพี่เมฆและตำรวจก็รีบวิ่งไปกั้นบริเวณด้านหลังด้วยความรวดเร็วก่อนจะเริ่มขุดค้นพื้นดินตรงนั้น 

ชาวบ้านและนักข่าวยืนกันเนืองแน่นรอบเขตกั้น  จนผมและไอ้ภพต้องขอคุณตำรวจเข้าไปยืนด้านใน มองดูหลุมทั้งสามหลุมถูกขุดขึ้นมาพร้อมกระดูก ซึ่งเมื่อกองรวมกันแล้วมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากองในป่านั่น  ผมและไอ้ภพหันมาจ้องตากันด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีกระดูกถูกนำมาฝังไว้จริงๆ ที่สำคัญมันยังอยู่ใกล้ตัวแค่ปลายจมูก  ดังนั้นเมื่อตำรวจส่วนหนึ่งเคลื่อนตัวไปที่หลุมสาม มือของเราจึงจับกันไว้แน่น แววตาก็จับจ้องไปด้วยความสั่นไหว ก่อนที่เสียงร้องตกใจของทั้งตำรวจและชาวบ้านจะกรีดหัวใจของเราทั้งคู่ให้พังลง

ศพของลุงคำในสภาพที่เริ่มเน่าเปื่อยถูกยกขึ้นมาด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมกับวันสุดท้าย ก่อนที่ลุงคำจะหายตัวไป


เข่าของผมทรุดลงกระแทกพื้นอย่างแรงพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างทรมานจิตใจ หนำซ้ำความรู้สึกผิดที่ผมเคยคิดว่าลุงคำเป็นฆาตกรยังกลับมาซ้ำเติมให้ผมหมดเรี่ยวแรงมากขึ้น  ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายโดยมีไอ้ภพยืนน้ำตาไหลอยู่ข้างกันเงียบๆ  เวลานั้นความวุ่นวายก่อตัวขึ้นแทบทันที เพราะไม่มีใครคิดว่าจะเจอศพคนตายเพิ่ม  จนครู่หนึ่งที่ผมสงบลง แว่วเสียงเล็กๆของลุงคำก็ดังบีบคั้นหัวใจผมทันที

“มานี่เลยไอ้หนุ่ม  วันนี้เอ็งทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้เลยนะ  ขอให้เอ็งโชคดี ไม่เป็นอะไรไปก่อนจบเกมแล้วกัน  ลุงฝากบอกไอ้หนุ่มอีกคนด้วย  ลุงโคตรจะเป็นห่วงพวกเอ็งเลย”

แล้วลุงหละครับ? ทำไมถึงไม่อยู่…เพื่อรอจบเกมนี้ไปพร้อมกับพวกผม

สภาพศพของลุงคำที่ถูกขุดขึ้นมาพบว่าโดนฆ่าอย่าโหดเหี้ยม กะโหลกแตกจากการโดนทุบตี ในปากของลุงคำนั้นก็มีตะปูมากมายถูกใส่ลงไป พร้อมกับที่ส่วนหัวก็มีตะปูตอกไว้หนึ่งตัว จากคำสันนิษฐานพบว่านี่อาจเป็นความเชื่อที่ทำเพื่อไม่ให้วิญญาณจำใบหน้าฆาตกรได้หรือพูดชื่อฆาตกรออกไป 

เมื่อติดต่อญาติให้มารับศพลุงคำเสร็จ กองกระดูกทุกกองก็ถูกนำส่งเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปตรวจสอบหาดีเอ็นเอที่จะสามารถระบุอัตลักษณ์ของบุคคลได้  ลุงมั่นถูกตำรวจหลายรายล้อมไว้เพื่อทำแผนรับสารภาพการฆ่าลุงคำ ส่วนพวกผมได้รับการอนุญาตให้ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับกรุงเทพ โดยที่พี่เมฆจะรับอาสาพากลับไปส่ง ก่อนจะเรียกตัวมาสอบปากคำในภายหลัง

“พี่เมฆครับ…เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนหรอครับ? ถึงจะรู้ว่ากระดูกพวกนั้นเป็นของใครบ้าง” ผมร้องถามออกไปด้วยแววตาที่ทอดไกลไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย  หลังจากที่เราทั้งสามคนขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้พักใหญ่

“ถ้าเวลาแน่นอนพี่ตอบไม่ได้หรอก  การตรวจหาตัวตนผ่านดีเอ็นเอในกระดูกถือว่าหาได้ยากกว่าเส้นผมหรือเลือด ทางทีมที่ตรวจสอบจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรเลย”

“แล้วกระดูกที่ยังไม่ครบจะดำเนินการยังไงต่อหรอครับ”ไอ้ภพซึ่งนอนอยู่บนตักผมร้องถามขึ้นมาบ้าง

“ทางตำรวจก็ต้องสอบปากคำลุงมั่นนั่นแหละครับ ยังไงก็ต้องตามกลับมาให้มากที่สุด บางทีกระดูกที่อยู่ตรงนี้อาจจะยังไม่ครบตามจำนวนคนที่สูญหายก็ได้นะครับ”

“ครับ…พี่เมฆยังไงผมขอบคุณมากๆนะครับ  แล้วก็ขอโทษด้วยที่เคยพูดจาไม่เข้าหูพี่”แววตาไอ้ภพสื่ออกมาด้วยความรู้สึกผิด หากแต่ว่าคนรับกลับทำเพียงยิ้มให้เล็กน้อยแล้วส่ายหัวปลอบใจ

“ไม่ต้องไปพูดถึงหรอก เวลานั้นเป็นใครก็ต้องคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่  พวกเราทั้งสองคนต้องอยู่กับสถานการณ์ที่ทั้งกดดันและเสี่ยงต่อชีวิต  ร้อยทั้งร้อย ไม่มีทางไว้ใจใครได้หรอก”

การพูดคุยถึงเรื่องคดีความถูกพี่เมฆหยุดไว้เท่านั้น ก่อนที่จะหาเรื่องอื่นมาพูดคุยแทนเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกให้ผมและไอ้ภพ  ยอมรับเลยว่าใบหน้าที่ยิ้มออกไปนั้นมันไม่ใช่การยิ้มที่มาจากความรู้สึกทั้งหมด  เรื่องราวตลอดหลายวันที่ผ่านมารวมถึงเมื่อคืนนี้ ได้บั่นทอนกำลังกายและใจของผมลงไปมาก  ทั้งเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า เจ็บปวด และยิ่งก่อนออกมาผมได้เห็นศพของลุงคำด้วยตาของตนเอง  มันยิ่งทำให้ความรู้สึกของผมติดค้างไว้ที่บ้านหลังนั้น

รายทางที่รถของพี่เมฆขับพาผมกลับกรุงเทพ สะท้อนให้ภาพวันแรกของการเดินทางหวนกลับมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพบเจอไอ้ภพ  การได้เห็นใบหน้าของลุงมั่น หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มพูดคุยของคุณศตวรรษและลุงคำ ทำให้ตาของผมรื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  เวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์พาเรื่องราวอันแสนสาหัสมาพร้อมกับเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุข นั่นจึงทำให้ผมต้องนั่งเกร็งตัวไปเงียบๆ กัดปากที่พร้อมจะสั่นอยู่ตลอด ก่อนจะนั่งลูบหัวไอ้ภพที่นอนบนตักพลางจ้องมองใบหน้า บาดแผล ด้วยใจอันขื่นขม

“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ไปส่ง? เราขับรถได้แน่นะภพ”

“ไม่ต้องห่วงครับพี่  เจ็บแผลอยู่บ้างแต่ยังขับไหวครับ”

เราทั้งสองคนพาร่างกายอันบอบช้ำลงมาจากรถพี่เมฆ โดยไม่ลืมที่จะแลกเบอร์กับพี่เมฆไว้เพื่อใช้ติดต่อเรื่องคดีความหลังจากนี้
สถานที่นัดพบวันแรก ถูกผมยืนจ้องมองแทบไม่ละสายตา ครั้งนั้นมีทีมงานมากมายวิ่งกันให้วุ่น ก่อนที่เขาจะพาผมไปพบกับผู้ชายหน้าตาบูดเบี้ยวซึ่งนั่งไม่พูดไม่จากับคนอื่น  มาวันนี้ทุกอย่างกลับถูกทิ้งไว้ให้เป็นเพียงความทรงจำรสชาติหวานปนขม บาดจิตใจให้ท่วมท้นไปกับความรู้สึกต่างๆนานา แววตาใสซื่อของผมในตอนนั้น ไม่ได้รู้เลยว่าหลังจากที่รายการพาผมออกไปแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาจะกลายเป็นความสามารถซึ่งผมไม่ได้ร้องขอ

และความผูกพันกับผู้ชายข้างตัวซึ่งผม…ไม่อยากละทิ้ง

“จะให้กูไปส่งที่ไหน? บ้านกูหรือบ้านกู”เมื่อไอ้ภพขับรถออกมา มันก็ทำลายความเงียบและความตึงเครียดของเราทั้งคู่ด้วยคำถามกวนตีน หน้าตาย ตามแบบฉบับของมัน  เรียกรอยยิ้มของผมให้หันกลับไปมอง

“หืม? นั่นคือทางเลือกของกูเหรอ”

“อืม  กูให้มึงเลือกได้เท่านี้แหละ”

“งั้น…ก็บ้านมึง”


ไอ้ภพยิ้มออกมาเหมือนเด็กที่ได้ของเล่น  แล้วรีบขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนใหญ่ทอดยาวไปถึงบ้านของมัน เมื่อมาถึง ผมรีบจัดแจงเอาข้าวของทั้งหมดของผมและไอ้ภพลงจากรถ พร้อมกับไล่ให้คนป่วยข้างตัวไปชำระล้างร่างกายเท่าที่ทำไหว  เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นของผมกับมัน  ถูกนำไปซักให้สะอาดโดยฝีมือผม ก่อนที่จะเดินขึ้นไปหาไอ้ภพซึ่งกำลังนั่งเช็ดตัวด้วยท่าทีเงอะงะ เป็นเช่นนั้น ผมจึงแย่งผ้าบนมือมันมาเช็ดให้ แล้วจึงลากมันเข้าห้องน้ำเพื่อสระผม

“มิว เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆถึงมาทำอะไรแบบนี้ให้กู”ไอ้ภพถามขึ้นมาเสียงแผ่วขณะที่ผมกำลังสระผมให้มันอยู่  มือของผมถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มทำต่อไป พร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

“กูทำให้ไม่ดีหรือไง?  มึงกำลังเจ็บอยู่ ที่สำคัญเจ็บเพราะกูด้วย ยังไงกูก็ต้องดูแลมึง”

“ถ้าจะดูแลเพราะเหตุผลนั้นก็หยุด  กูช่วยมึงเพราะใจกูบอกให้ช่วย ไม่ได้ต้องการให้มึงมาเหนื่อยเพิ่มแบบนี้”

“เอาหน่า มึงเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ไหนจะแผล ไหนจะขับรถมา เรื่องแค่นี้กู…ดูแลให้ได้”

“ถ้าจะดูแล ก็อย่าทำเสียงแบบนั้นได้ไหม? มันเหมือนมึงจะจากกูไปตลอดชีวิต”


เสียงอ่อนทุ้มออดอ้อนของมัน ทำให้ภายในใจของผมเต้นรัวเป็นจังหวะ ใบหน้าขับสีแดงระเรื่อ ก่อนจะรีบสระผมให้มันจนเสร็จ แล้วจึงปลีกตัวออกมาทำธุระของตนเองบ้าง เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ ผมก็ขอเงินไอ้ภพเพื่อไปซื้ออาหารตามสั่งหน้าบ้าน เนื่องจากช่วงเวลาที่ไอ้ภพไม่อยู่ บ้านหลังนี้ก็แทบจะไม่ต่างกับบ้านร้างเลย

ผมตัดสินใจพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้านของไอ้ภพ ดูแลคนเจ็บให้แผลเริ่มดีขึ้น อาการของไอ้ภพเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเอาไว้ หลังจากที่มันนอนพักไปแล้วนั้น ตื่นขึ้นมาไอ้ภพก็มีไข้เล็กน้อย เพราะแผลมันอักเสบ การป้อนข้าวป้อนยาจึงเป็นหน้าที่ของผม อีกทั้งยังต้องคอยรับโทรศัพท์ของไอ้ภพอีกด้วย เมื่อข่าวของเราทั้งคู่เผยแพร่ออกไป คนรู้จักต่างก็พากันถามหาเพื่อจะมาดูความปลอดภัยของเรา ทั้งนี้ยังไม่รวมไปถึงการปฏิเสธสายของนักข่าวที่พยายามติดต่อเข้ามาสัมภาษณ์อยู่ตลอด จนผมต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่เมฆ

คนมากหน้าหลายตาต่างผลัดเปลี่ยนกันมาดูไอ้ภพเป็นว่าเล่น ช่วงนั้นผมจะแยกตัวไปเก็บของเยี่ยมต่างๆ เพื่อปล่อยเวลาสำคัญให้ไอ้ภพอยู่กับผู้คนเหล่านั้น  อีกแง่มุมของไอ้ภพที่ผมยังไม่เคยรู้ คือ มันมีเพื่อนเยอะมากขัดกับบุคลิกที่เข้าหายาก อีกทั้งดูท่าแล้วว่าจะเนื้อหอมพอตัว ผู้หญิงหลายคนเลยต่างพากันเข้ามาทำคะแนนในบ้าน สร้างความรำคาญใจให้กับผมต้องอดทนอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งวันนี้ที่กลุ่มเพื่อนสนิทของไอ้ภพเข้ามา ผมถึงได้รู้ว่าความอดทนของผมมันมีไม่พอ

“ไงไอ้ภพ เป็นไงบ้างวะมึง ไม่บอกอะไรพวกกูเลยนะ เล่นเอาเป็นห่วงกันแทบแย่”เพื่อนคนหนึ่งของไอ้ภพรีบวิ่งเข้ามาถามอาการจนไอ้ภพตกใจ แต่กระนั้นใบหน้าของมันกลับเปื้อนยิ้มเชิงขบขันในพฤติกรรมเพื่อนตัวเอง

“กูไม่เป็นอะไรหรอก แผลนี่ก็แห้งหมดแล้ว จะมีก็แต่คดีความที่ยังไม่จบ”

“ดีแล้ว ค่อยๆจัดการไป มึงอยากออกไปเที่ยวไหม? ไปดูสาวๆให้คลายเครียดแบบที่เคยทำกัน 555”ประโยคชักชวนทั่วไประหว่างเพื่อนก่อให้เกิดเสียงหัวเราะรายล้อมบ้าน แต่กลับสร้างความหดหู่ให้กับผมซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น

“กูไปไม่ได้หรอก มึงก็เห็นว่ากูไม่ได้อยู่คนเดียว”

“เออว่ะ น้องชื่อไรนะ  มิวใช่ไหม?  จะไปกับพวกพี่เปล่า ไปดูไอ้ภพหว่านเสน่ห์กัน เรื่องที่มันเป็นกระแสอยู่ตอนนี้จะได้ซาลงบ้าง  บอกตามตรงพี่เห็นแล้ว…แม่งไม่ชิน”เพื่อนไอ้ภพหันมาถามความเห็นผมด้วยเสียงเป็นมิตร หากแต่แววตาไม่ใช่ สิ่งที่เขาพยายามทำบ่งบอกให้รู้ว่า เขาไม่พอใจที่มีผมอยู่ตรงนี้ เนื่องจากกระแสของผมและไอ้ภพซึ่งเคยมี มันยังคงเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆจนเป็นที่พูดถึงไม่น้อยกว่าคดีความ

“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ จริงๆวันนี้ผมกำลังจะกลับบ้าน เชิญพวกพี่ไปดีกว่า”

ผมไม่รอให้ใครต่อใครพูดอะไรเสียดแทงหัวใจผมได้อีก  ขาของผมจึงรีบยืนขึ้นเพื่อไปเก็บข้าวของเตรียมออกจากบ้านหลังนี้ทันที  ไม่นานนักเสียงเปิดประตูห้องด้วยฝีมือไอ้ภพก็ตามมา พร้อมกับที่มือของมันก็มาจับข้อมือของผม หยุดการกระทำทุกอย่างเอาไว้

“มิว คุยกันให้รู้เรื่อง ไม่เห็นบอกกูว่าจะกลับ”แววตาฉายแววไม่เข้าใจไม่ต่างจากน้ำเสียง ร้องถามเพื่อหยุดความคิดผม

“กูตั้งใจไว้อยู่แล้ว โปรเจคจบกูยังไม่เสร็จ พอเห็นมึงหายดี กูก็ต้องกลับไปทำ”

“มึงก็รู้ว่ากูไปรับส่งมึงได้ เพราะคำพูดเพื่อนกูใช่ไหม? มึงถึงพยายามจะหนี มันไม่มีอะไรอย่างที่เพื่อนกูบอกเลย”

“ไม่เกี่ยวกับเพื่อนมึงหรอก อย่าเสียงดังไปมันจะไม่ดีกับตัวมึงนะ…กูกลับไปทำงานจริงๆ มันถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว”

“มิว…มึงจะกลับไปทำงานหรือไปไหนก็ได้ กูไม่ห้าม แต่ช่วยอยู่กับกูต่อได้ไหม? อย่าพยายามหนีกูทั้งที่มึงกำลังจะร้องไห้แบบนี้ กูเจ็บนะมิว  ขอร้องหละ”

“ทำตามที่กูขอเถอะภพ  เราสองคนมีหน้าที่ต้องสะสางให้เสร็จ มึงควรเอาวันลาที่เหลือไปหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดสำหรับน้องมึงตามความตั้งใจแรก  และเอาเวลานี้ไปทบทวนให้ดี ว่าที่อยากอยู่กับกูมันเพราะความรู้สึก หรือแค่ความเคยชิน”

“กูรั้งมึงไม่ได้เลยใช่ไหม? มึงอยากให้กูทำอะไรเพื่อยื้อมึงไว้ บอกมาได้ไหม?...กูจะทำให้”

เพราะน้ำเสียงของมันที่สั่นไหว ผมจึงต้องยื่นมือไปโอบกอดความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อปลอบให้มันรู้สึกดีขึ้น น้ำตาของมันเป็นสิ่งที่ยากต่อการทนมอง ผมจึงไม่อาจปล่อยไห้มันต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าผมหรือแม้กระทั่งเพื่อนของมัน ซึ่งตอนนี้ได้ขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าไอ้ภพคงทำอะไรไว้ข้างล่างก่อนขึ้นมา ผมจึงต้องผละออกจากตัวมันแล้วเดินผ่านใบหน้างุนงงของทุกคนเพื่อกลับไปยังที่เดิมของตัวเอง

“มิว กูไม่ให้ไป!! นี่มันเย็นแล้ว มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าจะต้องเจอกับอะไร”ไอ้ภพวิ่งลงบันไดมาคว้าข้อมือผม ส่งเสียงดังไปทั่วบ้านจนเพื่อนมันทุกคนต้องวิ่งตามลงมา

“ฮึก อย่าวิ่งแบบนี้ดิ เดี๋ยวแผลเปิดขึ้นมาจะทำไง”

“มึงก็ทำแผลให้กูสิ  อยู่ดูแลกูแบบเดิม…ไม่ได้เหรอ”

“ภพ ฮึก ฟังกูนะ…กลับไปทำตามเรื่องที่ติดค้างไว้ให้ดีก่อน อย่าให้ความพยายามที่ทำมามันสูญเปล่า  ถ้าสุดท้ายแล้ว โชคชะตามันพาเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เชื่อสิ ว่ากูจะไปไหนไม่ได้อีก รวมถึงมึงด้วย”

“มิว!!”

ผมยิ้มให้มันเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะกลั้นใจยกใบหน้าไปแนบแก้มของมันท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมอง  ประโยคที่ผมทิ้งท้ายไว้ ทำเอาตัวไอ้ภพแข็งทื่อ  ก่อนที่เพื่อนของมันจะวิ่งกรูกันมาพาไอ้ภพกลับเข้าบ้าน ท่ามกลางเสียงต่อว่าเพื่อนคนที่จุดประเด็นทั้งหมด ยามที่ตัวของผมเดินจากบ้านหลังนั้นออกมา


“มิวไปแล้วนะครับ…พี่ภพ”




*********************************************TBC********************************************

เอา ภพมิวตอนที่ทุกคนบอกว่าค้างคามาให้แล้วนะครับบบบบบบบ  55555
มาติดตามเอาใจช่วยกัน  ภพมิวต้องการกำลังใจเยอะๆนะครับ
ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ที่แชร์ ที่ติชมนิยายของผมมาจนถึงทุกวันนี้นะครับ  สำหรับตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว ยังไงผมขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งจากใจจริงๆครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโบคไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit


อ้อ!!! มีข่าวดีมากบอกนะครับ สำหรับใครที่สนใจหนังสืออยากเก็บไว้ ตอนนี้ภพมิว กำลังจะออกเป็นรูปเล่มกับ สำนักพิมพ์เพื่อนใจ แล้วนะครับ ไปติดตามกันได้ในเพจทาง Facebook นะครับ /// ฝากเปเยอะๆนะครับบบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-06-2017 20:48:40 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มิวววว อ่านแล้วใจคอไม่ค่อยจะดี เหมือนจะลาไปไกล

ออฟไลน์ Pumpkin

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ฉากที่ค่อยๆตามหาเหยื่อแต่ละรายของลุงมั่นนี่คือหดหู่สุดๆ คือลุงแกต้องจิตใจบิดเบี้ยวไปแค่ไหนเนี่ย นึกอยากจะรู้จุดเริ่มต้นเหมือนกันนะ เพราะเหมือนอ่านแล้วไม่ค่อยเคลียร์นักสำหรับที่มาที่ไปและการถือกำเนิดเกมบ้าๆนี่ขึ้นมา หรือเราอ่านตกหล่นหว่า 555


ท้ายตอนนี้นี่คือ อื้อหือ! เพื่อนภพนี่แบบออกตัวแรงมากกกกกก
อีกนิดนึงก็เหมือนจะว่าพูดว่า "เอ้าน้อง! รายการก็จบลงแล้ว ยังจะอยู่อีกเรอะ" ออกมาแล้วนะนั่น
แต่โดยรวมคือใจไม่ดียังไงไม่รู้ เพราะว่ามิวน่ะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แล้วมิวก็ดู.....แปลกๆ มันเหมือนที่ภพว่าเลย เหมือนมิวกำลังจะหายไป

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เพื่อนภพ คือ เหรี้ยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก   เป็นเรา เราตบปากแตกละ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
มิว อย่าพูดเป็นลางนะ อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีเลย  :hao5: เอาใจช่วยมิวภพมาตลอด จนเรื่องคลี่คลายแล้ว เหนื่อยมามากแล้ว อยากเห็นภพมิวมีความสุขบ้าง สงสารสุขภาพจิตน้องมิวเหลือเกิน
อย่า badend นะคะ :katai1:  :hao5:
อ่านถึงตอนพบศพลุงคำคือน้ำตาไหลตามเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2017 13:43:18 โดย rockiidixon666 »

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
เพื่อนภพปากพล่อย ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ!!!
มิวจะไปไหนนน พูดแบบนี้ใจไม่ดีนะ สงสารมิววว
เพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆมาแท้ๆ เอาใจช่วยนะคนดี!!!

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอเฉลยและเรื่องราวเบื้องหลังของลุงมั่นด้วยค่ะ คาใจมากกกก  ส่วนมิวหนูจะหนีพี่เขาไปไหนลูกกกก

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
นี่ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านจุดที่อ่านเรื่องนี้ตอนเที่ยงคืนมาได้ยังไง อะไรดลใจ5555
ไหนๆก้ใกล้จบแล้วว หลังจากทำร้ายมิวมาทั้งเรื่อง และทำคนอ่านหัวใจเกือบวายมาทุกตอน
คนเขียนคงไม่ใจร้ายด้วยการหักมุมจบbad endหรอกมั้งคะ...
ตอนนี้คือในบ้าน7ศพนั่นน่ากลัวมากอะ เหมือนเข้าไปแล้วไม่ได้รับการต้อนรับ
แถมยังไม่ได้อะไรเลยออกมาอีกต่างหาก เจ้าของบ้านก้ไล่ซะแรงเลย
ตอนขุดกระดูกนี่สะพรึงมาก ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้อะ
ลุงมั่นคือโรคจิตที่แท้ทรู ทั้งครอบครัวตัวเองยกบ้าน ทั้งสร้างเกมแบบนี้ ทั้งบรรดาคนทั้งหลายที่สังเวยไป
สงสารลุงคำกับคุณศตวรรษมาก ฉากของลุงคำคือสะเทือนใจ ลุงแกเป็นห่วงจริงๆอะ ละช่วยจนตัวเองตาย
พี่เมฆนี่ก้ว่าแล้วว่าแปลกๆดูรู้สึกได้ว่าไม่ได้เลวอะ แต่ก้น่าสงสัย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตำรวจ
สุดท้ายนี้สงสารภพมิวมาก เรื่องแย่ๆจบไปแล้วยังจะมีมารพจญ เพื่อนภพคือปากเสียมากอะ
ไม่รู้ว่าหวงเพื่อนหรือมีเหตุผลอะไรในการพูดกับคนที่พึ่งรู้จักและเจ้าของบ้านอนุญาติให้อยู่ด้วยแบบนี้
แทบจะไล่กันโต้งๆเลยอะ สงสารมิวมาก ทนมาเยอะ พอระเบิดออกมานี่ก้เตลิดเลย
มิวบอกลางี้คือเดาได้เลยว่าเจตนาคืออะไรอะ ตั้งใจจะหายไปเลยแน่ๆ
แต่ผลกระทบจากเกมนี่สิจะทำไง one way ticket ของจริงเลยย
รออีกทีอังคารหน้าา ยาวนานมากกก แต่รอบทส่งท้ายค่าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
สนุกมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
เรื่องเกมจบไปแล้วยังจะต่อเรื่องนี้อีกเร้อออออออ เจ้มจ้นจริง //เอาหัวโขก  :z3: :z3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออออ

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ในเรื่องนี้คนที่น่าสงสารที่สุดไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นมิวตั้งแต่เริ่มเกมส์จนจบ
มิวนี่โดนทุกอย่าง จนแยกไม่ออกแล้วไหนคนไหนวิญญาณแล้วที่สำคัญ
มิวจะมองเห็นไปจนตายไหม สงสารรรร ดึงมากอดปลอบบขวัญ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
มิวจะไปหนายยยยย
โอ้ยย ลุ้นจะยังไงต่อ ใกล้จบยังน่อ

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด อย่า Bad end น้องขอ พลีสสสส ให้พี่ภพน้องมิวได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแฮปปี้หวานแหววเหมือนตอนพิเศษวาเลนไทน์เถอะเจ้าค่า โฮรรรรรรรร //ฟาดหมอนทองใส่อิเพื่อนพี่ภพ
 :katai4: :katai1:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
เครียดมาทั้งเรื่องแล้ว ก็ยังไม่หยุดเครียดอีกหรอ จะแฮปปี้ไหม :ling1:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่30

ฝันร้าย


“มิว มึงช่วยมีสมาธิหน่อยได้ไหม? เดี๋ยวหัวหน้าฝ่ายมาตรวจงานแล้วจะโดนเด้ง”

เสียงกระซิบของเพื่อนสนิทปลุกผมให้ตื่นจากอาการเหม่อลอยพลางส่ายหน้าอย่างระอา เวลานี้ผมได้เปลี่ยนบทบาทจากนักศึกษาธรรมดามาเป็นพนักงานบริษัท แต่ยังคงอยู่ในช่วงทดลองงาน ดังนั้นชีวิตของผมช่วงนี้จึงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและค่อนข้างจะต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิ ไอ้วุฒิจึงพยายามให้กำลังใจและดึงผมกลับมาทุกครั้ง หลังจากที่ความเคยชินพาผมให้ยึดติดแต่เพียงอดีต ทั้งที่เวลาอยู่กับเพื่อนผมจะสามารถเฮฮาได้เป็นปกติ  แต่เมื่อใดที่อยู่คนเดียวภาพในหัวก็จะพาผมย้อนกลับไปมองเห็นแต่เพียงหน้าของไอ้ภพ

หลังจากที่จบเรื่องราวของรายการนั้นรวมถึงเรื่องราวของไอ้ภพ ผมก็พาตนเองกลับมายังโลกที่ผมเคยอยู่ ใช้ชีวิตอยู่กับการทำโปรเจคจบและความวุ่นวายตามแบบฉบับของนักศึกษาปีสุดท้ายจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน  ยอมรับเลยว่าทุกครั้งที่ผมต้องอยู่คนเดียว ผมจะไม่สามารถยั้งความคิดให้อยู่กับปัจจุบันได้เลย  ผมกลายเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงจนเพื่อนๆหลายคนถึงกลับแปลกใจ  เสียงซุบซิบนินทา จึงเกิดขึ้นหนาหูตลอด ทั้งบอกว่าผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผลพวงจากรายการ ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะยังลืมเหตุการณ์ร้ายๆไม่ได้  แต่ไม่มีใครที่รู้ทุกอย่างจริงจังเหมือนเพื่อนสนิทผมหรือก็คือเป็นรูมเมทคนใหม่ของผมเอง

ตั้งแต่ที่ข่าวของคดีลุงมั่นเผยแพร่ออกมานั้น ไอ้วุฒิมันก็รีบมาเฝ้าผมที่หอรอการกลับมาด้วยความเป็นห่วง ยิ่งช่วงแรกผมต้องไปอยู่กับไอ้ภพโดยไม่ได้ติดต่อกลับมา ไอ้วุฒิจึงยิ่งร้อนรนและพยายามเสาะหาที่อยู่ของผม  จนกระทั่งวันที่ผมแยกกับไอ้ภพและเดินเข้าหอ ไอ้วุฒิก็วิ่งเข้ามากอดผมไว้แน่นจนตกใจสติแทบหลุด แต่กระนั้นผมก็เลือกที่จะกอดปลอบมันพร้อมกับที่ปล่อยให้น้ำตาของตนเองไหลออกมาเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ยังติดค้างอยู่ในอก  ไอ้วุฒิไม่ถามอะไรผมอีกนอกเสียจากการพาไปเข้าลิฟท์เตรียมขึ้นห้อง หลังจากนั้นไอ้วุฒิก็ได้รู้ทันทีว่าพฤติกรรมของผม แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไร

“คุณจะไปชั้นไหนหรอครับ? หรือไปชั้นเดียวกับพวกผม”เมื่อผมกับไอ้วุฒิเข้ามายืนในลิฟท์ ผมก็หันไปถามกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ก่อนหน้า พร้อมกันนั้นผมก็เห็นว่าไอ้วุฒิรีบกดลิฟท์ขึ้นแล้วยืนนิ่งไปโดยไม่หันไปมองด้านหลังอีก

ผมยกไหล่ขึ้นไม่สนใจ หลังจากที่เธอคนนั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมาที่ผมนอกจากมองหน้า  ผมจึงหันกลับแล้วได้เห็นเหงื่อไอ้วุฒิซึมออกมาจนผิดปกติ เนื้อตัวมันเกร็งจนแทบสั่น จนกระทั่งมาถึงชั้นของผม ไอ้วุฒิก็รีบก้าวขาออกไปไม่รอช้าพร้อมหันมาสั่งให้ผมเดินตามมันอย่างไว  แต่อาจจะเพราะผมเหนื่อยเกินกว่าจะรีบผมจึงไม่สนใจนักแล้วค่อยๆเดินออกจากลิฟท์ ทว่ายังไม่ทันจะผ่านพ้นประตู เธอคนนั้นก็เงยหน้ามองผม แล้วพูดประโยคที่ทำให้โลกทั้งใบของผมพังลง

“คุณ…เห็นฉันด้วยเหรอคะ?”


ผมเดินกลับห้องตามไอ้วุฒิท่ามกลางคำถามเดิมที่ยังดังก้องตามมาจากลิฟท์ตัวนั้น  ด้วยความที่ไอ้วุฒิมีกุญแจห้องของผมอยู่ มันจึงกลับมาเปิดและนั่งจ้องหน้าผมทันทีที่เดินเข้าไป  ไม่ต้องรอให้เสียเวลา เสียงถากถางของไอ้วุฒิก็ร้องถามถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้น รวมถึงชีวิตของผมที่อยู่ในเกมทุกเรื่อง ตั้งแต่ข่าวลือที่บอกว่าผมเห็นผีหรือแม้กระทั่งข่าวซุบซิบที่เป็นต้นเหตุให้ผมต้องแยกตัวออกมาจากไอ้ภพ

“กูไม่เชื่อ!! มึงจะบอกว่ามึงคุยกับวิญญาณในลิฟท์อย่างนั้นเหรอ?”ไอ้วุฒิขึ้นโต้เถียงผมทันทีที่ผมยอมบอกความจริง

“แล้วมึงคิดว่าอยู่ดีๆ กูจะพูดกับลมหรือไง? หรือจะให้กูโกหกว่ากูพูดกับตัวเอง”

“เออๆ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน มาคุยกันเรื่องผู้ชายที่ชื่อภพนี่ดีกว่า”

“มีอะไร?”

“สรุปว่าที่ร้องไห้จะขาดใจให้ได้นี่คือคิดถึงเขาว่างั้น? แล้วทำไมไม่อยู่กับเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป จะทรมานตัวเองทำไม”

“ไม่รู้สิ กูก็คงอยากเห็นชีวิตมันเจออะไรที่ดีและเหมาะสมกับมันจริงๆมั้ง ถ้าถามว่าอยากแยกไหม? กูก็ไม่อยาก แต่จะให้มาเห็นแก่ตัวจนชีวิตมันโดนกรอบประเพณีบีบคั้น กูก็คงทำไม่ได้หรอก”

“แล้วทำไมไม่คิดว่าตัวเองคือคนที่เหมาะสมที่สุด”

“ความเหมาะสมบางทีมันก็ต้องมีอะไรหลายอย่างประกอบ สำหรับกูขนาดเพื่อนมัน กูยังไม่ถูกยอมรับ จะให้หน้าด้านอยู่ที่เดิมแล้วเห็นมันแตกหักกับเพื่อน คิดว่ากูจะทนได้เหรอ?…ว่าแต่มึงไม่แปลกใจเลยหรือไงที่เพื่อนมึงชอบผู้ชายไปแล้ว”

“ก็นิดหน่อย แต่กูคิดว่ามึงก็ต้องลำบากมาพอสมควรกว่าจะยอมรับได้ สำหรับกูมันก็แค่เคารพการตัดสินใจของมึงเท่านั้น”

“ขอบใจมึงมากๆนะ”

“อืม ส่วนไอ้เรื่องที่มึงเห็นผีนี่ สรุปจริงใช่ไหม?”

ผมยิ้มให้มันอยากตลกขบขันเพราะใบหน้าที่แสดงออกว่ากลัวจนสุดขีด ผมไม่ค่อยแปลกใจที่ไอ้วุฒิยังมีท่าทีเคลือบแคลงอยู่บ้างเพราะขนาดผมเองก็ยังไม่ค่อยอยากยอมรับ ผมจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติแล้วใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงข้อนี้ ชีวิตของผมหลังจากนั้นจึงผ่านไปอย่างเหนื่อยและทรมาน เพราะวิญญาณที่รายล้อมรอบกายต่างก็แวะเวียนมาหาผมจนทำให้นอนไม่ได้ หลายครั้งที่ผมต้องไปเรียนโดยแบกใต้ตาดำลึกไปด้วย นานเข้าไอ้วุฒิก็เริ่มเชื่อและเป็นฝ่ายเสนอตัวมานอนเป็นเพื่อนผม โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าผมเห็นอะไรให้เงียบเข้าไว้

ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่ผมเปิดเรียนเทอมสุดท้าย พี่เมฆก็ตามผมเพื่อเข้าไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีความของลุงมั่น  นั่นจึงทำให้ผมได้พบเจอไอ้ภพอีกครั้ง ด้วยสภาพที่ทำให้เห็นความต่างชัดเจน ไอ้ภพกลับมาให้ปากคำโดยใส่ชุดทำงานเรียบร้อย ผมที่เคยปล่อยปรกหน้าก็เซตขึ้นไปจนขับให้ใบหน้ามันหล่อขึ้น ดูมีภูมิฐาน ขัดกับผมที่ทุกอย่างยังคงเดิม เพียงแค่ใส่ชุดนักศึกษาเข้าไปเท่านั้น  อีกทั้งคราวนี้ยังเพิ่มไอ้วุฒิติดไปด้วยเพราะมันกลัวว่าผมจะต้องเจอกับอะไรที่คนอื่นไม่เห็นอีก

“นี่เหรอวะ พี่ภพของมึง หล่อฉิบหาย มึงปล่อยไปได้ไงวะ!!”ไอ้วุฒิโน้มตัวมากระซิบข้างหูผมเสียงเบา ต่อหน้าพี่เมฆและไอ้ภพที่หันมาจ้องเป็นสายตาเดียวกัน

“เงียบก่อนเหอะ! สวัสดีครับพี่เมฆ สวัสดีครับ…พี่ภพ”ผมรีบไหว้ทักทายคนทั้งคู่เพื่อไม่ให้เสียเวลา  พี่เมฆรับไหว้ผมด้วยความยิ้มแย้ม ต่างจากไอ้ภพที่เมินหนีแล้วนั่งลงทันที

พวกผมสองคนถูกซักถามถึงเรื่องราวต่างๆที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี  ก่อนที่พี่เมฆจะเริ่มเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของลุงมั่นเคยถูกสั่งฆ่าทั้งครอบครัว เนื่องด้วยปมขัดแย้งทางธุรกิจ ในวันที่เกิดเหตุลุงมั่นคือคนที่หนีออกมาได้แต่ก็โดนไล่ฆ่าชนิดที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะยังรอดตาย  พอตอนเช้ามีชาวบ้านโทรไปแจ้งเรื่องเสียงปืน ตำรวจเลยรีบรุดหน้าเข้าไปดูที่ก่อเหตุ แล้วก็พบเพียงเด็กชายที่ชื่อมั่น นั่งอยู่ท่ามกลางกองเลือดของคนในครอบครัว ใบหน้าเหม่อลอยเปื้อนน้ำตาเหมือนคนเสียสติ  ตำรวจทุกนายถึงกลับสลดในภาพที่เห็น แต่ก็ต้องมาตื่นตกใจเพิ่มเพราะรายงานที่ได้รับหลังจากที่มีคนไปพบศพหนึ่งในฆาตกรนอนตายอยู่ในป่าโดยฝีมือลุงมั่น จากหลักฐานของลายนิ้วมือที่ติดอยู่บนปืน

ลุงมั่นกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต ติดค้างอยู่แต่เเรื่องการแก้แค้น ศพที่ลุงมั่นฆ่าตายได้ ไม่มีใครรู้เลยว่าลุงมั่นใช้วิธีใดในการแย่งปืน ลุงมั่นบ่นออกมาเพียงอยากฆ่าคนที่เหลือทั้งน้ำตา คุณหมอเลยต้องใช้การเยียวยารักษาอยู่เป็นสิบปีเพื่อให้ดีขึ้น และอาจจะเป็นเคราะห์ดีที่ลุงมั่นยังมีญาติที่อื่น เขาจึงนำลุงมั่นกลับไปรับเลี้ยงดูอย่างดี ซึ่งอาชีพของคนที่รับเลี้ยงนั้นก็คือการทำรายการโทรทัศน์ในสมัยนั้น ตำรวจคาดว่านี่อาจเป็นต้นแบบที่อาจทำให้ลุงมั่นจดจำวิธีทดแทนเรื่องที่ติดค้างในหัว

“นั่นหมายความว่า เงินที่ลุงมั่นเสนอมาคือมีไว้ใช้หลอกล่อพวกโลภมากให้เข้าเกม แล้วจึงตามไล่ฆ่าเพื่อชดเชยความต้องการในใจของตนเองในอดีตหรอครับ?”

“ถูกต้องแล้วหละ ลุงมั่นเป็นโรคทางจิตก็เพราะฝังใจในเรื่องนี้มาก จนไม่สามารถควบคุมการนึกคิดของตนเองได้เลย”

พอมาที่เรื่องของรางวัลหรือเงินที่เป็นตัวล่อ  พี่เมฆบอกว่า จำนวนเงินปีนี้ค่อนข้างสูง เพราะลุงมั่นใช้สถานที่ตายของครอบครัวตนเองเป็นสถานที่จัดรายการ นั่นจึงเหมือนว่าความต้องการเบื้องลึกของลุงมั่นกำลังจะได้สะสางทั้งหมดในปีนี้  รายการเลยอัดฉีดเงินไม่อั้น หลอกล่อให้คนโลภที่สุดเข้ามา ส่วนเรื่องเงินทั้งหมดนั่น ลุงมั่นได้รับเงินปันส่วนจากกิจการครอบครัวมาตลอดชีวิตโดยที่ไม่มีใครให้ลุงมั่นทำอะไร อีกทั้งมรดกของครอบครัวลุงมั่นยังมากพอที่จะให้มาทำอะไรแบบนี้

“พวกเรารู้ไหม? ว่าจริงๆแล้ว พวกเราทั้งสองคนไม่ได้บังเอิญถูกสุ่มเข้าไปหรอกนะ”

“หมายความว่าไงครับ”ไอ้ภพส่งแววตาตรึงเครียดกลับไปให้พี่เมฆทันทีที่เขาพูดจบ

“สำหรับภพ ทางรายการได้มีการสืบประวัติและพบว่าเป็นพี่ชายของผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งซึ่งออกจากรายการไปเพราะเสียสติ ลุงมั่นเลยตัดสินใจเลือกภพเข้ามาเพราะอยากให้ภพโดนมากกว่าที่น้องสาวโดน  ส่วนมิว ลุงมั่นเลือกเข้ามาเพราะเรามีประวัติการเข้าร่วมเกมโชว์ต่างๆ ไหวพริบที่เรามีจึงกลายเป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่ไปถูกใจลุงมั่นเข้า”

“แล้วทีมงานพวกนั้นหละครับ?”

“กว่า 80% ของทีมงานไม่มีใครรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำงานให้ใคร จะมีเข้าทางหน่อยก็เป็นเพียงทีมงานซึ่งถูกปลอมแปลงชื่อเข้ามาพวกนั้น พวกเขาเคยเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมรายการทั้งสิ้น และรู้วิธีหาทางเอาตัวเองรอดจึงเลือกเข้ามาทำงานให้  หัวหน้าทีมงานคนนั้นก็คือหนึ่งในทีมงานกลุ่มนี้”

เราทั้งคู่พยักหน้ารับรู้เรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่ผมและไอ้ภพจะรวมเงินของตนเองเพื่อฝากให้พี่เมฆนำไปมอบแก่ครอบครัวลุงคำตามความตั้งใจ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นพวกเราทุกคนก็ขออนุญาตพี่เมฆกลับ โดยที่ผมกับไอ้ภพไม่มีใครได้พูดอะไรกันเลย เนื่องจากเมื่อแยกตัวกันออกมา ไอ้ภพก็กลับไปที่รถและขับออกไปทันที

ภาพที่รถของไอ้ภพเคลื่อนตัวออกไปทำให้ใจของผมรู้สึกสั่นไหว แผ่นหลังที่ไม่เคยเดินหนีผม ได้สร้างความเจ็บปวดจนน้ำตาพร้อมไหลออกมาได้ทุกเมื่อ แต่พอได้คิดถึงสิ่งที่ตนเองเลือกแล้วนั้น ผมก็ไม่มีสาเหตุที่จะต้องโกรธไอ้ภพ สิ่งที่ผมกำลังเผชิญคือสิ่งที่ควรและผมต้องยอมรับ นั่นจึงทำให้ผมได้ปล่อยไอ้ภพและคืนอิสระให้มันตามที่ผมต้องการก่อนจากมา

กาลเวลาพากายและใจของผมให้เดินหน้า เรื่องความคิดถึงไอ้ภพจึงค่อยๆคลายลงไปบ้างตามจำนวนความเครียดที่ถาโถมเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน  ความกวนของไอ้วุฒิและงานที่เพิ่มพูนมากขึ้นได้ทำให้ผมไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นมากนัก รวมถึงเรื่องคำนินทาหนาหูเกี่ยวกับผมซึ่งกระจายไปทั่ว ข่าวท่าทีที่ผิดแปลกไปของผมทำให้คนใน ม. นำไปวิเคราะห์กันเองอย่างเป็นสนุกสนาน จากแค่คิดว่าผมยังคงติดค้างกับรายการ ก็เริ่มกล่าวถึงเหมือนว่าผมเป็นบ้า คิดไปเองเรื่องผีเรื่องวิญญาณ จนผมต้องสร้างกำแพงป้องกันตนเองมากขึ้น แต่สุดท้ายผมก็ได้เจอบุคคลหนึ่งที่ทำให้กำแพงผมพังลง

ช่วงนั้นผมต้องไปทำงานและค้นคว้าที่หอสมุดของมหาลัย  ด้วยความที่เอาแต่หางาน ผมจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าท้องฟ้าภายนอกได้เปลี่ยนสีไปแล้ว กว่าที่จะรู้สึกตัว ทั้งหอสมุดก็มีเพียงเสียงประกาศเตรียมปิดหอสมุดแล้วเท่านั้น ผมจึงรีบเก็บของทั้งหมดแล้วเดินไปยืนรอลิฟท์ซึ่งกำลังลงมาจากชั้นบน เมื่อเปิดเข้าไปร่างกายผมถึงกับต้องชะงัก เพราะในลิฟท์ตัวนั้น มีเพียงนักศึกษาชายสองคนยืนอยู่ แต่ทว่าที่ด้านหลังของนักศึกษาชายคนหน้าสุด กลับมีผู้หญิงอีกคนยืนประชิดหลังด้วยแววตาอาฆาต

ผมหลับหูหลับตาเดินเข้าไปในลิฟท์โดยมีสายตาของผู้หญิงคนนั้นจ้องมาไม่กระพริบ  ด้านในสุดของลิฟท์จึงกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่พลางอาการสั่นกลัวของตัวผมได้ ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ทำเพียงกดโทรศัพท์เล่นไปมา ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่นี่กำลังไม่ปลอดภัย จนลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง ผู้ชายคนหน้าสุดก็เดินออกไปโดยมีผู้หญิงคนนั้นตามไปด้วย เป็นเช่นนั้น ผมจึงต้องรีบก้าวตามออกไปบ้างเพราะต้องการที่จะเดินทางกลับหอให้ไวที่สุด

“ถ้าไม่อยากเห็นอีก  ก็อย่าพึ่งเดินออกไปจะดีกว่าครับพี่มิว” เสียงเรียกของผู้ชายด้านหลังสุด หยุดช่วงขาของผมในทันที ก่อนจะหันไปสบตาแล้วถามถึงสาเหตุที่เขาห้ามผม

“หมายความว่าไง?  เรารู้จักพี่ด้วยเหรอ”

“ข่าวของพี่ดังไปทั่ว ม. แบบนี้ยังไม่คนไม่รู้จักพี่อีกเหรอครับ 555”

“แล้วเราเชื่อด้วยหรือไง?”

ผู้ชายคนนั้นทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วดันให้ผมออกจากลิฟท์ไปพร้อมกัน  ตลอดทางผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาและพบว่า เราสองคนมีชะตากรรมไม่ต่างกัน เขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งต่างคณะกับผม ที่ต้องทนอยู่กับสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นมาทั้งชีวิต เรื่องราวคำนินทาที่เขาได้ยินจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจผมมากขึ้น แต่ด้วยเพราะไม่มีลู่ทางเข้าหาผม  เหตุการณ์เมื่อครู่จึงกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะทำให้เขาสร้างความมั่นใจให้ผมได้

“ผมรู้ว่ายังไงพี่ก็ไม่มีทางชินได้เร็วแน่ ขนาดผมยังต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะยอมรับ เรื่องผีเรื่องวิญญาณพวกนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้เมินไปเถอะครับ ไม่มีใครที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ตลอดเวลา”

จากนั้นไม่นานนักชีวิตของผมก็ละทิ้งจากบทบาทความเป็นนักศึกษาไป  เหลือเพียงแต่ผู้ชายตกงานคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนสนิทลากพาไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆ จนกระทั่งพวกเราทั้งคู่ถูกเรียกตัวเข้าไปทดลองงานในสถานที่แห่งหนึ่ง ด้วยเงินเดือนที่สูงพอตัว บวกกับเป็นสายงานที่พวกเราจบกันมา ผมและไอ้วุฒิจึงไม่รอช้าที่จะตอบรับและยังคงยืนยันที่จะเช่าห้องอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง 

ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตวัยทำงาน รอบกายของผมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไอ้วุฒิมักจะมองผมด้วยสายแปลกๆอยู่บ่อยครั้งเวลาที่ผมเผลอ และไม่ใช่แค่มันเท่านั้น คนอื่นในบริษัทรวมถึงผู้คนที่เดินสวนกันอยู่ด้านนอกก็ทำไม่ต่างกัน ผมจึงทำได้แต่เพียงไม่สนใจ เพราะพยายามถามความจริงหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่มีใครสักคนพยายามจะตอบผมนอกจากการเบี่ยงประเด็นชวนพูดคุยเรื่องอื่น จนผมต้องปลงและดำเนินชีวิตเรื่อยมาจนถึงวันนี้

หลังจากผมโดนไอ้วุฒิเรียกสติให้กลับมาทำงานเมื่อตอนบ่าย ผมก็รีบพาตนเองให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่ได้รับ ไม่นานนักไอ้วุฒิก็ขอตัวออกไปที่อื่นก่อนโดยอ้างว่ามีธุระ ทิ้งให้ผมทำงานต่อและกลับห้องคนเดียว แม้จะทำให้ผมแปลกใจไปบ้างกับอาการรีบร้อนขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าเป็นข้อดีที่จะทำให้ผมมีเวลาไปเที่ยว พอตกเย็นผมจึงขอปลีกตัวไปเดินเล่นในห้างคนเดียวตามประสาคนที่ไม่มีอะไรทำหลังเลิกงาน

บรรยากาศรอบตัวผมเปลี่ยนไปทันทีที่เดินเข้าสู่ตัวห้าง หลายคนในนั้นต่างก็จับจ้องมาที่ผมด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน บางคนมองหน้าผมแล้วยิ้มให้ บางคนมองหน้าแล้วทำเพียงสงสัย สร้างความอึดอัดใจให้ผมจนต้องหาทางหนี และเมื่อร้านหนังสือชื่อดังปรากฎตัวอยู่ตรงหน้า ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปเพื่อหาหนังสือที่ทำให้ตนผ่อนคลาย  ทว่าเมื่อเข้ามาได้ สายตาของผมก็ถูกหยุดอยู่ที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ตีแผ่ข่าวของคดีความมาจนถึงตอนนี้ เผยเบื้องลึกที่หนังสือพิมพ์อื่นไม่เคยทำ

ผมมองเนื้อหาข่าวสลับกับรูปในภาพไปด้วยขอบตาร้อนผ่าว เป็นเวลานานแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาสนใจเรื่องความรู้สึกตนเองที่ละเลยไป  ภาพแตกๆในหนังสือพิมพ์ ฉายชัดภาพของชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ แม้จะไม่ละเอียดมากแต่ผมก็เดาได้ว่าผู้ชายสองคนนั้นคือผมและไอ้ภพ  ใจของผมตอนนั้นเหมือนโดนบีบเอาไว้จนปวดไปหมด ผมจึงหยิบหนังสือพิมพ์นั่นติดมือมาแล้วเดินไปจ่ายเงิน พลางความคิดก็ได้แต่ภาวนาให้โชคชะตาพาไอ้ภพกลับมาหาผมเสียที 

และมันก็เกิดขึ้นจริง….


“Happy Birthday โว้ย!! ไอ้มิว มีความสุขมากๆนะมึง  ตกใจเลยปะ?”

ไอ้วุฒิกระโจนเข้ามาหาผมทันทีที่เปิดประตูห้อง พร้อมกันนั้นมันก็ดึงพลุกระดาษจนผมถึงร้องออกมา เสียงหัวเราะมากมายดังประสานอาการสติหลุดของผม  ก่อนที่ตัวผมเองจะเริ่มยิ้มและหัวเราะตามไปกับเขาบ้าง เนื่องจากในห้องนอนของผมตอนนี้ถูกประดับประดาไว้ด้วยเครื่องตกแต่งจัดปาร์ตี้เล็กๆ พร้อมไฟสีสวยให้ห้องแปลกตายิ่งขึ้น

“นี่วางแผนกันมานานแค่ไหนเนี่ย 555 ขอบคุณมากๆนะ”

“ก็นานพอที่จะทำให้กูรู้ว่า มึงลืมวันเกิดตัวเอง”

ไอ้วุฒิเล่าให้ฟังว่ามันวางแผนกับพี่ในแผนกรวมถึงเพื่อนสนิทพวกผมหลายวันเพื่อจะจัดงานให้ เนื่องจากทุกคนให้ความเห็นว่าเรื่องราวที่ผมเคยเจอมามันยังไม่เคยถูกบำบัดด้วยความสุขเลยสักครั้ง  งานวันนี้ทุกคนจึงตั้งใจอย่างมากที่จะช่วยเยียวยาให้ผมกลับมาเป็นปกติ ดังนั้นจึงผมยิ้มให้กับทุกคนเชิงขอบคุณ แม้จะรู้ว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่ว่าไว้

“เอ้า อธิษฐานเร็วเพื่อน อยากได้อะไร อยากขออะไร ก็ทำซะ”

ไอ้วุฒิยื่นเค้กที่มีแสงเทียนประดับมาให้ผม หลังจากการร้องเพลงวันเกิดเสร็จสิ้น สร้างรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนหน้าผมจนแก้มแทบปริ  เมื่อชั่วโมงก่อนผมได้รับสายจากพี่เมฆโทรเข้ามาหาผมเพื่ออวยพรวันเกิด ผมจึงแอบสอบถามความเป็นไปของไอ้ภพเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้คุยกัน แต่คำตอบก็ไม่ต่างจากหลายๆครั้งนัก ผมจึงเลิกสนใจแล้วหันมาจดจ่ออยู่กับงาน โดยที่ตอนนี้ แสงเทียนซึ่งกำลังจะถูกผมเป่าดับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ได้ทำให้กายของผมหยุดค้างไว้

ความร้อนของเปลวเทียนตรงนี้ได้นำภาพในอดีตหวนคืนสู่ปัจจุบันกาล เวลานั้นผมกับมันก็ต้องนั่งท่ามกลางแสงสว่างแค่เปลวเทียนเหมือนกัน จะต่างก็แค่บรรยากาศที่รายล้อม น่าแปลกที่เมื่อนึกถึง ใจของผมกลับสั่นไหวและรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมจึงต้องรีบสลัดความคิดตนเองทิ้งแล้วเป่าเทียนทั้งหมดจนห้องแห่งนี้มืดสนิท

“กูว่าห้องมืดแบบนี้ เรามาเล่าเรื่องผีกันดีกว่าไหม? บรรยากาศแม่งได้”

เมื่อเวลาเป่าเค้กจบลง เกมจำนวนมากมายก็ถูกเสนอขึ้นมาเล่น แต่ทว่าเกมที่ทุกคนสนใจมากที่สุดกลับเป็นการเล่าเรื่องผีซึ่งมีเพียงผมคนเดียวคัดค้าน ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างรีบพากันนั่งล้อมวงโดยไม่ลืมลากผมให้นั่งลงมาด้วย พร้อมกับที่เพื่อนคนแรกก็เริ่มเล่าเรื่องผีจนขนในกายทุกคนลุกชัน ผมนั่งฟังแต่ละเรื่องไปด้วยตาที่รื้นขึ้นและต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะต้องสะกดน้ำตาตนเองเอาไว้ เพราะไม่อาจบอกใครได้เลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำ มันยิ่งทำให้ภาพของไอ้ภพตราตรึงแน่นอนอยู่ในหัว

“มาเลยครับไอ้มิว ตามึงแล้ว กูรู้ว่ามึงมีเรื่องให้เล่าเยอะมาก”ไอ้วุฒิสะกิดผมจนกายสะดุ้งขึ้น ก่อนจะมีสายตาของทุกคนจ้องมาอย่างคาดหวัง

“เรื่อง…เรื่องของกู มีอยู่ว่า คือ มีผู้ชายคนหนึ่ง คือ”

“พอๆ เล่าตะกุกตะกักแบบนี้ใครจะฟังรู้เรื่องวะ เดี๋ยวกูลุกไปเปิดรายการเล่าผีให้ฟังเองดีกว่า”

เพื่อนสนิทของผมรีบบ่ายเบี่ยงเรื่องเล่าทั้งหมดทันทีจนผมถึงกับต้องหันไปมองหน้า ไอ้วุฒิทำแค่ยิ้มให้ผมเล็กๆแล้วเดินไปเปิดคลิปวีดีโอจากเว็บไซต์ ก่อนที่เสียงการพูดคุยกันในนั้นจะทำให้ผมนิ่งค้างไปอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยห้ามไม่ได้อีก

“มาที่สายถัดไปกันนะครับ คาดว่าหลายคนคงรู้จักบุคคลผู้เป็นเจ้าของสายนี้ดี เพราะเขาคือผู้รอดชีวิตมาจากรายการ horror house ซึ่งพึ่งจะจบคดีไปนะครับ วันนี้เขาจะมาบอกเล่าอะไรให้เราฟัง มาฟังพร้อมกันเลยนะครับ…สวัสดีครับ คุณเอกภพ

“ครับ สวัสดีครับ”

“วันนี้คุณจะมาบอกเล่าเรื่องราวอะไรให้พวกเราฟังกันเหรอครับ เกมซ่อนหา? มันหมายถึงอะไรครับ”

“มันเป็นประสบการณ์ที่พวกผมสองคนต้องเจอในเกมแต่คืนครับ วันนี้ผมจะลองเอาเรื่องผีในคืนแรกมาเล่าให้ฟัง”

“งั้นเชิญคุณเอกภพได้เลยครับ”

“ก่อนอื่น ผมคงต้องบอกก่อนนะครับว่านี่ไม่ใช่ประสบการณ์ของผมโดยตรง  มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่เข้าร่วมรายการด้วยกันกับผมครับ  เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า…”

หลังจากนั้นเสียงเล่าเนื้อความสลับกับเสียงกลัวของดีเจก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คลิปแรกที่ผมได้ยินเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกมที่ผมต้องทำพิธีเปิดเนตรรวมถึงต้องเล่นซ่อนหา จนเมื่อคลิปนี้จบลง วีดีโอถัดไปก็เล่นขึ้นอย่างอัตโนมัติ เพลย์ลิสต์ที่ไอ้วุฒิเปิดให้ผมฟัง มันได้เก็บเอาเรื่องราวการเล่าเรื่องผีของไอ้ภพในรายการไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เกมแรกจนกระทั่งวันหนีตายซึ่งไอ้ภพพึ่งจะสิ้นสุดการเล่าไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ผมนั่งฟังไปทั้งน้ำตานองหน้า สะกดห้องแห่งนี้ให้มีแต่เสียงสะอึกสะอื้นของผมจนเพื่อนหลายคนต้องเข้ามาปลอบเอาไว้ เนื้อความที่ไอ้ภพถ่ายทอดนอกจากเรื่องผีที่ผมเจอแล้วนั้น มันยังบอกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละเกมว่าตอนนั้นมันเป็นอย่างไร  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่น ไอ้ภพไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากผม มันพยายามย้ำออกมาทุกอย่าง แม้กระทั่งความต้องการที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นแทน บทส่งท้ายที่ผมได้ยินของทุกคลิป จึงมีแต่คำพูดเดิมๆซึ่งสามารถกรีดใจของผมให้เจ็บเจียนตาย

“เอาหละครับคุณภพ  เรื่องของคุณมีผู้ชมส่งมาบอกว่าหลอนสิบกะโหลกเยอะเลยนะครับ  ไม่ทราบว่าเรื่องผีในป่านี่เป็นเรื่องสุดท้ายแล้วหรือเปล่าครับ?”

“ครับ หลังจากนั้นผมก็ถูกช่วยให้รอดออกมาได้”

“น่าเสียดายจังเลยนะครับที่คุณจะไม่มีเรื่องดีๆมาเล่าอีกแล้ว ผมขอถามคุณกลับดีกว่า ถ้าให้โอกาสอีกหนึ่งครั้งในการตัดสินใจเข้าร่วมรายการนั้น คุณจะยังเข้าร่วมไหมครับ?”

คำถามของพิธีกรดึงให้ใบหน้าของทุกคนหันกลับไปจ้องรอลุ้นกับคำตอบ หลังจากที่ไอ้ภพฟัง มันก็หายเงียบไปนานนับครึ่งนาที จนกระทั่งคำตอบของมันได้เริ่มขึ้น ทุกคนในห้องต่างก็ต้องก้มหน้าพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมพร้อมกัน

“อย่างที่ผมเคยบอกในทุกๆครั้งนะครับ ว่าสาเหตุที่ผมมาเล่า ก็เพราะผมต้องการระบายความคิดถึงต่อผู้เป็นเจ้าของเรื่อง  ผมกับเขาเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว  ครั้งสุดท้ายเขาจากผมไปทั้งน้ำตา ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้าเขาได้ฟัง เขาจะกลับมาหาผมด้วยรอยยิ้ม  ฉะนั้นถ้าผมมีโอกาสที่จะเลือกอีกครั้ง  ผมก็ยังจะเข้าร่วมครับ ถ้ามันจะทำให้ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเขา แม้สุดท้ายตอนจบ…อาจเป็นผมที่ตาย

“งั้น อย่างเคยนะครับ ผมจะให้พื้นที่คุณตรงนี้ในการตามหาเขา”

“มิว กูไม่รู้ว่าตัวกูทำอะไรผิด มึงถึงเดินจากกูไปทั้งแบบนั้น ถ้ามึงได้ฟังรายการนี้อยู่ ได้โปรดรับฟังแล้วเข้าใจกูว่า กูไม่ได้อยากอยู่กับมึงเพราะความเคยชิน กูอยากอยู่กับมึงเพราะกูเลือกแล้วว่าใครคือคนที่กูพร้อมจะอยู่ด้วย กลับมาหากูได้ไหม? ชีวิตกูไม่มีความสุขเลย กูจะนั่งรอมึงอยู่ที่ร้าน XX ใกล้กับสถานที่นัดพบนะ รอ…เหมือนอย่างที่เคยรอมาตลอด”

“น่าเศร้าเลยนะครับ ยังไงผมขอเอาใจช่วยให้คุณเจอกับเขาไวขึ้นนะ แล้ววันนี้ไม่พูดประโยคนั้นแล้วหรอครับ?”

“ผมยังมีเวลาอยู่เหรอครับ?”

“ถือว่าครั้งสุดท้ายแล้วกัน เชิญคุณภพได้เลยครับ”

“ขอโอกาสให้กูอีกสักครั้งได้ไหม? คำสัญญาของกูมันยังมีไว้เพื่อมึงเสมอ กูพร้อมจะรอ พร้อมจะทำทุกอย่างเท่าที่มึงต้องการ ขอเพียงแค่มึงกลับมาหา เว้นแต่ว่า มึง…จะไม่กลัวผีแล้ว”

คล้ายกับความรู้สึกถูกหยุดเอาไว้  สิ่งที่ผมเคยทำต่อมันกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ทำให้ผมละอายใจ ใบหน้าของทุกคนในห้องต่างจับจ้องมาที่ผมอย่างสงสาร ไอ้วุฒิจึงเดินกลับมาดึงผมไปกอดปลอบเอาไว้ พร้อมกับการปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเป็นเพื่อนผม

.
.
.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“มิว เค้กก้อนนี้ไม่ใช่เพียงของขวัญที่กูอยากให้ แต่มันเป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าตอนนี้มึงไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วนะ  ความคิดความอ่านมึงต้องโตขึ้น  คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาย่อมตัดสินใจได้ว่าอะไรที่ควรจะทำเพื่อตนเอง”

“กูควรทำยังไง ฮึก”

“ปิดสมอง แล้วใช้หัวใจมึงนำทางซะ อย่างน้อย ก็ให้มันได้ตัดสินว่า ใครที่เป็นเจ้าของมันจริงๆ”


2 เดือนถัดมา…


กลิ่นข้าวต้มโชยผ่านจมูกผมไปจนท้องไส้เริ่มส่งสัญญาณประท้วง วันนี้หลังจากที่ตื่นนอนผมก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้ากันการหิวที่จะเกิดขึ้นระหว่างวัน และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนั้น ผมจึงเดินออกจากครัวไปตรวจความเรียบร้อยของถังสังฆทานบนโต๊ะอีกครั้ง จนเห็นแล้วว่าไม่ได้ลืมหรือมีอะไรขาดหาย หน้าที่อย่างสุดท้ายของผมจึงผลักดันให้ผมกลับไปที่ห้องนอนแล้วทำการปลุกบุรุษขี้เซาให้ตื่นขึ้น

“ภพ ไอ้ภพ!! ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าว”

ผมนั่งเขย่าตัวมันอยู่ข้างๆเตียง พลางจ้องใบหน้างุ้มงออย่างขัดใจยามโดนรบกวนการนอนหลับ เมื่อคืนไอ้ภพต้องทำงานอยู่ดึกดื่น มันจึงได้นอนไปเมื่อช่วงใกล้เช้าเท่านั้น ตามความจริงผมก็ต้องการให้มันนอนพักผ่อนร่างกายต่อไปอีก แต่ในเมื่อมันอุตส่าห์ขับรถพาผมไปเลือกของสังฆทาน ผมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปลุกมันให้ลุกขึ้นไปตามแผนการที่เราทั้งคู่วางเอาไว้

“ขออีกสิบนาที”เสียงงัวเงียตอบกลับมา ทั้งที่ตายังลืมไม่ขึ้น

“ไม่ได้  ตื่นได้แล้วไอ้ภพ มึงจะไปตอนพระท่านจำวัดหรือไง ลุกได้แล้ว”

“อืม ขออีกนิดเดียวนะ”

“พี่ภพ…ตื่นได้แล้วครับ”

เมื่อทำอย่างไรไอ้ภพก็ไม่มีทางตื่น ผมจึงก้มหน้าไปพูดประโยคนั้นที่ข้างหู ตาของไอ้ภพจึงเปิดขึ้นมาโดยทันที ก่อนที่วงแขนของมันจะเกี่ยวร่างกายของผมให้ลงไปนอนด้วยพร้อมส่งสายตาไม่พอใจมาให้ แต่กระนั้นผมกลับมองว่าเป็นภาพที่น่าตลกเสียมากกว่า มือข้างหนึ่งของผมจึงยื่นขึ้นไปนวดคลายที่หัวคิ้วให้ ก่อนจะนอนรอรับฟังคำบ่น

คำว่าพี่ ถือเป็นคำต้องห้ามสำหรับไอ้ภพ มันบอกกับผมว่าทุกครั้งที่ได้ยิน มันจะพาให้นึกถึงตอนที่ผมเดินจากไป มันจึงแสดงอาการไม่พอใจทุกครั้งที่ผมแหย่หรือแกล้งเล่น  แต่ถึงมันจะโมโหผมมากแค่ไหน มันก็ต้องยอมทนฟังบ้าง เพราะถ้าผมไปในที่สาธารณะกับมันแล้วมีคนรู้จักไอ้ภพอยู่ ผมก็ต้องเรียกมันว่าพี่เพื่อที่จะให้เกียรติมัน ต่อหน้าคนที่มองพวกเราสองคนกลับมาด้วย 

“เรียกอย่างนี้ทำไม? อยากโดนดีหรือไงมิว”

“555 ก็มึงไม่ตื่นเอง ไปอาบน้ำได้แล้ว…เดี๋ยวจะสายนะครับ”

ไม่ทันพูดจบ ไอ้ภพก็ยื่นใบหน้าของตนเองมาจูบที่หน้าผากผมแผ่วเบาอย่างที่มันต้องทำในทุกๆวัน  ผมไม่รู้ว่าการกระทำของมันเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ตั้งแต่ที่ผมเดินกลับเข้ามาหามันอีกครั้ง ไอ้ภพก็พยายามที่จะดูแลผมทุกอย่างชนิดที่ว่ามันจะไล่ให้ผมไปลาออกจากงาน  ตอนนั้นผมต้องเถียงกับมันบ้านแตกเพราะผมไม่อาจอยู่เฉยๆเพื่อให้มันหาเลี้ยงผมได้แน่

คำพูดที่ไอ้วุฒิกล่าวกับผม มันทำให้วันต่อมาผมต้องนั่งรถฝ่าวิญญาณตามรายทางไปยังสถานที่นัดพบโดยไม่สนว่าตอนนั้นจะเริ่มมืดแล้ว  วีดีโอที่ไอ้วุฒิเปิดให้ฟังครั้งแรก มันระบุเอาไว้ว่าไอ้ภพโทรเข้าไปหารายการ หลังจากที่ผมกับมันแยกย้ายจากการให้ปากคำไปได้เพียงสามวัน เท่ากับว่ามันได้มารอผมอยู่ในร้านนั้นเป็นเดือนๆโดยที่ผมไม่มีทางได้รู้ เนื่องจากตัวผมแทบไม่ได้เปิดอินเทอร์เน็ตเล่นอีกเลยตั้งแต่ได้กลับมา

ผมรีบลงจากรถเดินหาร้านที่ไอ้ภพนัดเอาไว้ ก่อนจะพบว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมยืนอยู่เท่าไรนัก แต่ทว่าไฟในร้านกลับปิดหมดคล้ายกับร้านปิดทำการไปแล้ว ตอนนั้นความรู้สึกผมย่ำแย่จนไม่อยากเดินต่อ แต่เพราะคิดว่าไอ้ภพอาจจะยังรอผมอยู่ ผมจึงตัดสินใจก้าวต่อไป และได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มคุ้นตา ซึ่งกำลังนั่งทอดสายตาออกไปยังถนนอย่างไม่รู้จุดหมาย จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของผมดังเข้าไปใกล้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นจึงหันกลับมาพร้อมตาที่เบิกกว้างขึ้น

ไม่มีเสียงเรียก ไม่มีการทักทาย ไอ้ภพก็วิ่งตรงเข้ามาหาผมพร้อมกับกระชากเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ช่วงหน้าของมันซบลงไปบนไหล่ผม ก่อนที่ความรู้สึกอุ่นชื้นจะเกิดขึ้นลงบนสาบเสื้อ ตัวของไอ้ภพสั่นไหวเพียงเล็กน้อย มือของผมเลยเอื้อมขึ้นไปกอดปลอบมันไว้ แล้วจึงซบหน้าลงบนไออุ่นที่ร่างกายผมปรารถนามาตลอด

“จะนั่งจ้องหน้ากูอีกนานไหม? ทำไมไม่พูดอะไรเลย”ผมหยั่งเชิงถามมัน เนื่องจากตั้งแต่ได้เจอกันจนมันพาผมมาที่ร้านอาหารใกล้บ้าน  ไอ้ภพก็ยังไม่พูดอะไรนอกจากการนั่งจ้องหน้าผม

“คิดถึง”

“คิดถึง? คำเดียวเองเนี่ยนะ…เฮ้อ ตั้งแต่ในบ้านร้างนั่นแล้วนะภพ ที่มึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาก่อนถ้ากูไม่พูด เอางี้ ครั้งนี้กูจะยอมเล่านิทานให้มึงฟังก่อนแล้วกัน”ผมก้มหน้าบ่นออกไปทั้งที่หัวใจเต้นรัว คำพูดคำเดียวสั้นๆสะกิดให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว อาจจะเพราะสายตาหวานเยิ้มนั่นด้วยที่ทำให้ตัวของผมแทบทรุดลงบนโต๊ะ

“นิทาน?”

“อืม…มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ต้องเข้าไปร่วมเล่นเกมในรายการที่กะจะฆ่าให้เขาตาย ตลอดการแข่งขันเขาต้องใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกายผู้ชายอีกคนท่ามกลางความสามารถที่เขาไม่ต้องการ จากแค่เคยชินมันจึงเริ่มกลายเป็นความผูกพันที่ทำยังไงก็ตัดไม่ได้  เมื่อเขารอดชีวิตกลับมาเขาก็เป็นอันต้องแยกจากผู้ชายคนนั้น เพราะต้องการให้อีกฝ่ายได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกตนเอง ว่ากล้าพอไหมที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา นั่นดูเหมือนกล้าหาญใช่ไหม? แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ชีวิตของเขาแทบไม่มีความสุข เวลาว่างเขาก็ได้แต่นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆที่ทำให้เขายิ้ม และที่สำคัญนะ เขาคนนั้นยังคงกลัวผี กลัวสัมผัสแปลกๆเหมือนเดิม รอคอยแต่เพียงให้ชายคนเดิมหวนกลับมา”

“แล้วตอนจบเป็นไง?”

“ตอบไม่ได้หรอก เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมเล่านิทานให้ฟัง”

“งั้นก็รีบกินข้าว เดี๋ยวกูจะพากลับไปฟังตอนจบของนิทานนั่นเอง”

บรรยากาศเดิมๆระหว่างกินข้าวเริ่มกลับมาจนทำให้ความรู้สึกของผมเหมือนถูกเติมเต็มไปด้วยสิ่งที่ขาดหาย  ไอ้ภพนั่งกินไปพลางลอบมองผมไปด้วยอย่างผิดลักษณะ ต่างจากผมที่มักจะแอบจ้องมองมันเป็นประจำอยู่เสมอ ตั้งแต่ในบ้านร้างหลังนั้น  จนแม้กระทั่งตอนที่เรานั่งข้างกันไปในรถตอนนี้

“แอบมองแบบนี้ไม่เบื่อหรือไง? มันก็มีแต่หน้าเดิมๆ”ไอ้ภพขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้าน ก่อนจะหันใบหน้าของมันให้ผมจ้องมองเต็มๆตา

“แล้วมึงหละ แอบจ้องกูมากๆไม่เบื่อหรือไง?”

“ไม่เบื่อหรอก ไม่เคยเบื่อเลย ต่อให้ต้องจ้องทั้งชีวิต กูก็ไม่เบื่อ”

“เอ่อ…ภพ!! มึงไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า? ทำไมอยู่ดีๆมาพูดอะไรแบบนี้”

ผมอึ้งไปกับแววตาทอดหวานที่สื่อถึงผม ก่อนจะแสร้งถามมันไปเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าและมุมปากที่เริ่มยกยิ้มขึ้นมา แต่ผมยังยืนยันคำเดิมกับที่ถามไปเมื่อครู่ เนื่องจากไอ้ภพค่อนข้างเปลี่ยนไปมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน  ไอ้ภพมีนิสัยกวนๆแฝงอยู่ อันนี้ผมเข้าใจและรับรู้มาด้วยตนเอง แต่ไอ้ภพโหมดที่ปากตรงกับใจนี่ผมรับไม่ทัน เพราะถ้ามันไม่โกรธหรือกำลังอ่อนแอ มันไม่มีทางที่จะบอกความรู้สึกออกมาเด็ดขาด

“เขินรึไง? มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากให้พูดความรู้สึกออกมาก่อน”

รอยยิ้มปิดท้ายก่อนลงจากรถแทบจะทำให้ผมละลายหายไปกับเบาะ  อานุภาพการทำลายล้างของไอ้ภพยังคงสูงและพร้อมจะจัดการผมได้ทุกเมื่อที่ได้เห็นมันยิ้มหรือหัวเราะ  มันเดินนำผมเข้าไปในบ้าน เปิดไฟจนสว่าง เผยให้เห็นพื้นที่ซึ่งเคยสะอาด รกไปด้วยเศษกระดาษหรืองานที่มันขนกลับมาทำ

“โห งานยุ่งขนาดนี้ยังมีเวลาไปโทรเล่าเรื่องผีอีกนะ..แล้วนี่อะไร เอาหนังสือพิมพ์มาตัดเล่นทำไมเนี่ย”

ไอ้ภพยิ้มน้อยๆให้กับผมก่อนที่จะแยกตัวไปยังโต๊ะทำงานซึ่งตั้งไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไรนัก  หยิบสมุดเล่มหนาขึ้นมาพร้อมกับลากกีตาร์ที่ผมไม่เคยเห็นติดมือมาด้วย  มันสั่งให้ผมนั่งลงอยู่ตรงโซฟากลางบ้าน แล้วจึงไปลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งด้านหน้าผม  ก่อนที่สมุดบนมือไอ้ภพนั้นจะถูกจับยัดลงบนมือผมแทน

“ลองเปิดอ่านดูนะ ตอนจบของนิทาน มันอยู่ในนั้นแหละ”

ไอ้ภพพูดทั้งที่นั่งจับสายกีตาร์ไปเรื่อยๆ นำให้คิ้วของผมเลิกสูงด้วยความสงสัย แล้วจึงตัดสินใจเปิดสมุดพวกนั้นดู  เนื้อความข้างในทำผมตาค้างไปพร้อมใจที่เต้นรัว น้ำตาเริ่มไหลซึมขึ้นมาคลอหน่วย จนมือที่ถือสมุดสั่นไปหมด

ภาพตัดปะรูปผมจากในกระดาษหนังสือพิมพ์รวมทั้งภาพที่แอบถ่ายผมจากระยะไกล ถูกนำมาแปะไว้ในกระดาษทีละหน้าพร้อมคำบรรยายที่กล่าวถึงความรู้สึกของมันที่มีต่อตัวผม  วินาทีนั้นผมต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นทุกครั้งที่หน้าสมุดค่อยๆพลิกไป  ไอ้ภพพยายามถ่ายทอดทุกอย่างออกมาตั้งแต่วันแรกที่เราสองคนได้พบกัน ผ่านมุมมองทางความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้ ภาพแอบถ่ายรูปของผมคือสิ่งที่บอกว่าไอ้ภพ ไม่เคยห่างไปจากผมเลย  มันพยายามใช้เวลาส่วนหนึ่งติดตามผมโดยไม่แม้แต่จะเข้าหาหรือทักทาย

“ถ้าคิดถึงกู…ทำไมไม่เข้าไปหา ไม่เห็นหน้ากูหรือไงว่ามันไม่มีความสุข”

“เพราะกูไม่เคยรู้เลยว่ามึงเป็นอะไร ทำไมถึงหนีกูไปทั้งอย่างนั้น…กูเลยไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปหา กูกลัวจะทนไม่ได้ถ้ามึงจะหนีกูไปอีก”

“เลยโทรไประบายในรายการผีอย่างนั้นเหรอ คิดว่าเท่รึไง”ผมเงยหน้ามองมันด้วยอารมณ์ที่รู้สึกผิด เสียงของมันดูเลื่อนลอยและเจ็บปวดมากยามที่กล่าวถึงตอนนั้น ผมจึงต้องหาทางเพื่อแก้ไขความรู้สึกของไอ้ภพตอนนี้

“เท่ไม่เท่ไม่รู้หรอก ความพอใจของกูมีเพียงการรับรู้ว่ามันพามึงกลับมาได้”

ผมยิ้มให้กับความคิดแบบเด็กๆของมัน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษที่กลั่นออกมาจากใจมากที่สุด ไอ้ภพมองหน้าผมแล้วจึงยิ้มขึ้นมาทั้งตาและปาก บ่งบอกให้ผมรับรู้ว่ามันมีความสุขมากที่ได้อยู่ข้างกันกับผม จนครู่หนึ่งที่เราต่างนั่งกุมมือให้อารมณ์ของทั้งคู่สัมผัสกัน ไอ้ภพก็ยื่นมือเข้ามาเปิดไปยังหน้าหนึ่งซึ่งมีเพียงรูปตัดแปะไว้พร้อมแววตาที่หม่นแสง มันเป็นรูป ของผมและไอ้วุฒิที่กำลังเดินกลับออกจากสถานที่นัดสอบปากคำ

“กูเจ็บนะ…ทุกครั้งที่เห็นรูปนี้”

“มันไม่มีอะไรหรอกนะภพ ผู้ชายในรูปเขาคือเพื่อนสนิทของกู เป็นคนที่คอยอยู่ข้างกู ในวันที่กูกลายเป็นตัวประหลาดของมหาลัย”

“กูรู้แล้วหละ แต่รู้ไหม? พอได้ยินมึงพูดแบบนี้ กูยิ่งอิจฉาเขา หน้าที่นั้นกูยังอยากทำมันทุกเวลานะ”

“ไม่ต้องอิจฉาหรอกภพ สิ่งที่เพื่อนกูทำมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะในรูปนี้หรือในอดีตที่ผ่านมา พวกกูก็อยู่ข้างกันมาเสมอ แต่สำหรับมึง มันเป็นสิ่งพิเศษ เพราะกูไม่สามารถไปเคียงข้างใครอย่างที่ทำกับมึงได้อีก”

“ไม่ต้องมาพูด แล้วมองกูแบบนั้น  กูเขิน…อยากรู้ไหมว่าทำไมหน้านี้มันถึงไม่มีตัวหนังสือเขียนไว้?”

“อืม  ทำไมถึงเว้นไว้หละ?”

“เพราะที่ว่างตรงนั้นมันมีไว้ให้มึง ได้เขียนความจริงที่จะลบความเจ็บปวดของกู”

ไอ้ภพเลื่อนใบหน้าเข้ามากระซิบข้างหูจนทำให้กายผมร้อนผ่าว วันนี้หัวใจผมต้องเต้นถี่จากการกระทำของไอ้ภพไปไม่รู้กี่ร้อยครั้ง และดูเหมือนว่าไอ้ภพจะจับสัมผัสอาการเขินอายของผมได้ มันจึงไม่รอช้าที่จะคว้าเอากีตาร์ตัวโปรดขึ้นมา แล้วเริ่มบรรเลงเมโลดี้เพลงรักหวานหูหลายต่อหลายเพลงที่สะกดให้ตาของผมจ้องมองเพียงแต่หน้าของมัน

“Would you be my nightmare?”

หลังจากท่วงทำนองสุดท้ายของเพลงหมดไป ไอ้ภพก็ลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าใกล้ๆผม ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มชวนฝันจะถามคำถามให้ผู้ฟังรู้สึกไม่เข้าใจ  ความหมายของมันไม่อาจสร้างภาพชวนเพ้อให้ผมตอบตกลงมันไปโดยไม่ทันได้คิด

“ฝันร้าย? หมายถึงอะไรอย่างนั้นเหรอ”ผมขมวดคิ้วถามเสียงแผ่ว ก่อนที่ริมฝีปากเปื้อนยิ้มของมันจะเริ่มคลายข้อสงสัย

“เวลาที่คนเราฝัน หลายคนก็อยากจะเห็นสิ่งดีๆที่เกิดขณะหลับ แต่พอลืมตาขึ้น เกือบทุกคนมักจะจำไม่ได้ว่าเขาฝันถึงอะไร ซึ่งต่างจากฝันร้ายที่ถึงจะไม่อยากเจอแค่ไหน พอได้ลองฝันไปแล้ว มันก็ต้องติดหัวติดตาไปตลอดแม้กระทั่งเราตื่นขึ้น  ไม่ต่างไปจากมึง ที่แรกเริ่มกูก็ไม่ได้อยากเจอหน้า พอได้มาอยู่ด้วยกัน มึงก็กลายมาเป็นภาพที่ติดหัวอยู่ตลอด แม้ครั้งหนึ่งมึงจะทำให้กูตื่นโดยการเดินจากไป”

“ถ้ามันไม่ดีต่อใจมึงขนาดนั้น จะอยากได้ความฝันนั้นกลับมาอีกทำไม?”

“เพราะกูรู้ว่าอะไรที่กูต้องการ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นฝันร้ายที่สร้างเรื่องราวให้กูมากมาย แต่กูก็ยังอยากจะฝัน เพื่อสานต่อทุกอย่างให้จบ”

“แน่ใจแล้วใช่ไหม? ว่าปลายทางสุดท้ายจะอยากทิ้งมันไว้กับกู”

“อืม ปลายทางของกู…มันมีแค่มึงมาตั้งนานแล้ว”

คำพูดสุดท้ายของไอ้ภพได้ทำให้โลกของผมกลับมาเป็นปกติ  เหตุการณ์ตอนวันเกิด เป็นเรื่องที่ทุกคนจงใจให้เกิดขึ้น เนื่องจากทุกคนได้ฟังเรื่องราวการตามหาและเริ่มเดาได้ว่าผมเป็นอะไร ไอ้วุฒิจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาช่วยเหลือผม จนทำให้วันนี้พวกผมสองคนมีโอกาสได้กลับมาทำบุญด้วยกันอีกครั้งหลังจากที่จบรายการนั้นมา

“ร้อนเหรอ มึงอยากกลับเลยไหม?”ผมหันไปถามไอ้ภพที่นั่งทอดสายตาไปเงียบๆ หลังจากที่พากันมานั่งให้อาหารปลา

“หืม? เปล่าหรอก กูแค่นึกถึงตอนที่มึงกับกูไปหาน้ำเก้าวัด จำได้ไหม? มันจะมีอยู่วัดหนึ่งที่มีบึงแบบนี้ ตอนนั้นกูอยากพามึงไปนั่งให้อาหารปลาแบบนี้มากเลย”

“วันนี้ก็พามาแล้วไง ไม่ต้องคิดมากเป็นคนแก่แล้วนะ”

ผมหัวเราะให้กับท่าทีแปลกๆของมัน ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่พึ่งบอกว่าไม่ร้อน เหงื่อมากมายไหลซึมออกมาจนชุ่มใบหน้า   กระดาษทิชชู่ในกระเป๋าจึงถูกผมหยิบขึ้นมาซับเอาน้ำใสๆออกไปจากหน้ามันโดยอัตโนมัติ รั้งให้ใบหน้าของมันหันกลับมามอง พลางขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชิดกัน

“หยุดเลย ภพ นี่ในวัดในวามึงจะมาทำอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?”ผมขยับใบหน้าถอยห่างออกมาได้เพียงนิด เนื่องจากไอ้ภพใช้มือของตนเองมารั้งเอาไว้

“แล้วไง ตอนกูช่วยมึงกลับมา กูก็ทำในวัดเหมือนกัน”

“มึงทำอะไรกู?”

ไอ้ภพยักไหล่เบาๆอย่างไม่สนใจ ก่อนที่ใบหน้าของมันจะเลื่อนเข้ามากระซิบประโยคบางอย่างที่ข้างหูผม หลังจากนั้นลมหายใจของผมก็ถูกช่วงชิงไปโดยไอ้ภพทันที รสจูบที่ไอ้ภพมอบให้ไม่ได้ดูดดื่มหรือเร่าร้อนอย่างในหนัง หากแต่มันกลับส่งผ่านความรู้สึกมาให้ผมได้ทั้งหมด หวานหอมเสียจนร่างกายผมไม่ต่างกับถูกผนึกให้อยู่ข้างกายไอ้ภพไปชั่วนิรันด์


“ถ้าอยากรู้…ก็คอยดูแล้วกัน”






THE END

เอาตอนสุดท้ายของภพมิว มาให้แล้วนะครับ  ยอมรับเลยว่าผมค่อนข้างใจหายที่ต้องเขียนคำว่า The end แทนคำว่า TBC
แต่ถึงอย่างไร เกมชีวิตของภพมิว ก็ต้องฝ่าฟันกันไปต่อ พวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้เล้าแห่งนี้ เดินขนานไปกับการใช้ชีวิตของทุกคน  ฉะนั้น หากวันใดที่ทุกคนคิดถึงความทรหดของคู่นี้ ก็ให้เข้ามาเจอกันในนี้นะครับ ไม่ก็ซื้อหนังสือได้ 55555

ก่อนอื่นเลย ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนเป็นอย่างมากนะครับ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้นิยายเรื่องเเรกในชีวิตของผมเต็มไปด้วยความทรงจำมากขนาดนี้  หลายคนคือนักอ่านที่ผมคุ้นหน้ามาตั้งแต่ลงตอนแรกและอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนสุดท้าย หลายคนคือนักอ่านหน้าใหม่ที่เข้ามาให้กำลังใจผมมากขึ้นเรื่อยๆ  ขอขอบคุณเป็นอย่างมากนะครับ มันเป็นกำลังใจให้ผมมากเลย ส่วนคำชมต่างๆ ผมจะเก็บมาเป็นกำลังใจในการเขียนงานเรื่องต่อๆไปนะครับ  ผมยังมีข้อผิดพลาดอีกมาก  สัญญาเลยว่า ถ้ามีโอกาสได้เขียนเรื่องหน้าอีกครั้ง ผมจะทำให้ดีกว่าเดิม จะพัฒนาภาษาให้แข็งขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ

ตอนสุดท้ายนี้ ผมตั้งใจเขียนออกมาให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนคำติชมของทุกคน ถูกใจไม่ถูกใจยังไง ขอโทษนะครับ ผมเชื่อว่าสำหรับตอนจบแบบนี้มันดีสำหรับคนทั้งคู่แล้วครับ 

รักนักอ่านทุกคนมากๆครับ
P-Rawit


ลืมบอกครับ  5555  ผมจะมีตอนพิเศษลงเว็บให้อีกตอนนะครับ  มารอดูกันว่าจะเป็นเรื่องราวของอะไร ส่วนที่เหลือจะอยู่ในหนังสืออีกสามตอนนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2017 21:04:01 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีมากๆๆ เลย ขอบคุณคนแต่งมากๆ เลยนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านกัน
คือชอบมาก ติดมาก แบบ จดจ่อรอให้ถึงวันอังคาร
ลุ้นไปตลอดเรื่อง ขอบคุณจริงๆ สำหรับนิยายเรื่องนี้ค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด