แ ฟ น ดี ดี 1/2 (จบ) ❤ เบื้องหน้าของผมนั้น เป็นผู้ชายหุ่นเท่ห์เร้าใจ ถึงแม้จะสวมเสื้อยืดราคาไม่ถึง 200 จากคลองสานก็ไม่สามารถปิดบังความหล่อแบบออริจินอลของเขาได้ ผมเส้นเล็กตัดสั้นสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสีทอง ผิวก่ำแดด สันกรามคม ขนตายาวหนาเป็นแพช้อนขึ้นมองแทบสยบลมหายใจคน ทั้งหมดทั้งมวลเหมือนรูปปั้นทูตสวรรค์ที่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ทูตสวรรค์กำลังดื่มชามะนาวที่น้ำแข็งละลายด้วยท่าทางบาดตาบาดใจ
พระเจ้าครับ ถ้าผมกำลังฝันอยู่ ก็ช่วยถีบผมแรงๆสักครั้งให้ได้สติทีเถอะ
ผมน่ะไม่คิดเลยนะว่-
พลั่ก!
“เหี้ย!” ผมสบถ เงยหน้าที่คว่ำลงบนโต๊ะอย่างกระทันหันขึ้นมองเจ้าของมือที่ตบลงมากลางหัวด้วยแรงกี่นิวตันก็ช่างมันเถอะ แม่งเจ็บ!
“ตบกูทำไมเนี่ย”
“น้ำลายจะหยดใส่สมุดแล้ว” ทูตสวรรค์สามสิบสี่วินาทีของผมได้กลายร่างเป็นเรดเดวิลไปซะแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าเลยมีแค่ผู้ชายปากหมาบ้าอำนาจที่คบหาเป็นแฟนมาได้ปีกว่าเท่านั้น
จะด้วยความตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ด้วยวาจาก็ดี หรือด้วยใจก็ดี อะไรที่เข้าครอบงำสติสัมปชัญญะของผมในวันนั้นกันนะ ถึงได้ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ผมหวังอยากให้ชีวิตกลับไปเรื่อยเปื่อยอย่างเก่าจัง
“เจ็บอ่ะ” จริงๆก็ไม่ได้เจ็บมากมายเท่าไหร่ แต่การมีความรักมักจะทำให้คนอ่อนแอ ผมอ่านเจอจากในทวิตเตอร์ “ตบกูบ่อยขนาดนี้ ถ้าสมองกูกระทบกระเทือนจะทำยังไง สมองไหลอ่ะรู้จักป่ะ”
“ให้มันไหลออกมาก็ดี กูจะได้กรอกไอ้ที่ฉลาดๆกลับเข้าไปให้มึงแทน”
ปาก... ปาก ปากคอเราะร้ายเกินไปแล้ว! เห็นว่าตัวเองเรียนเภสัชหน่อยทำเป็นฉลาดมากเลยเหรอไง โถ่ ไอ้เลิศวิชาการ ไอ้บ้านมีฐานะ ไอ้หน้าตานายแบบกางเกงยีนส์อะเบอร์คอมบี้
“ไม่ติวแล้วได้มั้ย ปวดตาด้วย หิวข้าว”
ผมทำเสียงหงอยหลังจากได้แต่ทำหน้าพะงาบๆต่อปากต่อคำไม่ออกตอนที่โดนด่า ยินหรี่ตามอง มันดูเหมือนกำลังชั่งใจว่า จะยอมตามใจผมดีหรือเปล่าหนอ มองหน้าผมสลับกับชีทบนโต๊ะ
สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นมาบนโลกนอกจากแมลงสาบก็วิชาแคลคูลัสนี่แหละมั้ง ฟัคยู
“ทำข้อนั้นให้เสร็จก่อน เหลือแค่ข้อเดียวเอง”
อยากจะตะโกนใส่หน้าว่า แค่ข้อเดียว พ่อง แต่ก็ทำได้แค่ “จ้า”
มีแฟนอะไรก็ดีไปหมด กินข้าวก็ไม่ต้องจ่ายเอง รถก็ไม่ต้องขับเอง ขนาดอาบน้ำยังไม่ต้องอาบเอง เอ้ย ไม่ใช่ โตแล้วก็ต้องอาบน้ำเองสิ
เสียอย่างเดียว แฟนผมโหดไปหน่อย
วันนี้นัดกันมาติวหนังสือ ในความหมายของผมคือต่างคนต่างติวเงียบๆอยู่ในมุมของตัวเอง แต่ในมุมของตัวเองนั้นมนุษย์เพอร์เฟคแมนคงจะเข้าใจว่าคือการเคี่ยวเข็ญผมทำโจทย์แคลนี่แหละ
“เทคสมการผิดแล้วน่ะ”
“หือ?”
“ดูดีๆ”
อ่า
ดูตรงไหนวะแม่ง ฮือออออ เสียงเริ่มต่ำแบบข่มอารมณ์อีกแล้ว
“ตรงไหน...”
“ยกกำลังสองลบเอ็กซ์”
หน้าผมมันคงแสดงออกไปว่า ไหนวะ ชัดเจนเกินไปมั้ง คนนั่งตรงข้ามถึงจ้องตาเขม็งขนาดนั้น พี่ไม่ไหวแล้วอย่าโหดกับพี่
“มึงทำโจทย์แบบนี้มาหลายข้อแล้วนะเพล ไม่เข้าสมองบ้างเลยเหรอ”
“อ่า มันเยอะเกินจำอะไรไม่ได้แล้ว มึงก็รู้ว่ากูโง่” ผมรีบยกมือไหว้ก่อนที่จะโดนด่า
“รู้ว่าโง่ก็ตั้งใจหน่อย คะแนนเก็บยิ่งน้อยๆอยู่ สอบครั้งล่าสุดมึงเลยมีนมานิดเดียวเองนะ”
“มีนสูงจะตาย” ไอ้พวกที่ทำได้มันเป็นบ้า
“รู้ว่าสูงก็พยายามกว่านี้สิ”
“ไม่เอฟหรอกน่า ถึงเอฟ ปีหน้าก็ลงใหม่ได้ ไม่เห็นสนใจเลย”
“พนัท” เสียงเรียกชื่อจริงหนักๆทำให้ผมหดคอ
“ก็มันยาก หัวกูขี้เลื่อยขนาดนี้จำได้เท่านี้ก็บุญแล้ว...”
“ทำไมต้องเคี่ยวกูด้วย”
วันนี้ผมทำโจทย์เยอะกว่าที่เรียนมาทั้งเทอมรวมกันอีกมั้ง ยินมันถอนหายใจเฮือกใส่หน้าผมแล้วพยักหน้าเบา
“อือ พอแค่นี้ก็ได้ เก็บของเถอะ” สั่งไปอย่างนั้นแหละ พอเอาเข้าจริงคนที่แบกทั้งสมุดชีท แล็ปท็อปของผมให้ก็เป็นยินอยู่ดี ผมมีหน้าที่แค่เดินตัวลีบตามตูดอีกคนต้อยๆ
เปิดประตูรถเข้ามานั่งเรียบร้อย ยินดีเอี้ยวตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้
.
.
.
.
ตั้งแต่มาถึงร้านอาหารจนกระทั่งสั่งอาหารมา อีกคนก็นั่งกินเงียบๆไม่หือไม่อือใดใดเลย ผมพยายามตักนู่นตักนี่ให้ก็ยังนิ่ง ขนาดแก้วเบียร์ยังน่ามองกว่าหน้าผมเลยคิดดู จ้องอยู่นั่นแหละ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนเป็นอากาศไปแล้ว
ปูนึ่งรสชาติเป็นยังไงลิ้นก็สัมผัสไม่รู้รส ผมนั่งไหล่ตกมองจานข้าวเหมือนหมาหงอย เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นง้อยินยังไงดี เอาจริงๆยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโดนโกรธเรื่องอะไร
หรือเพราะเรื่องผมคิดเลขไม่ได้ แค่นั้นอ่ะนะ?
หรือจะสะสมมาจากวันที่ผมไปซื้อน้ำ แล้วคิดเลข 17+29 ไม่ออก
หรือวันที่ผมขับรถไปชนต้นไม้ข้างทางเพราะมัวแต่มองตุ๊กตาอันใหม่ที่ซื้อมาห้อยกระจกมองหลัง
หรือวันที่ผมไปเล่นบาสแล้วโดนเด็กมัธยมชนล้มข้อมือหัก
หรือว่า... โว้ย! เยอะเกินไปแล้ว
ก็คิดนะว่าตัวเองโง่ แต่ก็ไม่น่าจะโง่ขนาดนี้หรือเปล่าวะ
“ยิน...”
“?”
“สัตว์อะไรไม่มั่นใจในตัวเอง”
คนถูกถามขมวดคิ้ว คงไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆผมถึงถามขึ้น ขนาดผมเองยังไม่รู้เลยว่า ประโยคที่จะอ้าปากขอโทษมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
“ยอม”
“ไม่ ต้องทายก่อน”
“ม้า”
“ไม่ใช่”
“เป็ด”
“ไม่ ยอมยัง”
“ยอม”
“หอยไง หอยเปล่าฮื้อ? ฮ่าๆๆๆ” ผมเฉลยแล้วก็ปล่อยก๊ากมุกตัวเองจนตัวงอ แต่ก็ต้องค่อยๆเฟดเสียงตัวเองเพราะยินทำไงนะ
เหรอ ก็มองผมเหมือนมองอะไรสักอย่างที่ไร้อนาคตสิ้นหวังอ่ะ
นิ่งสนิท....
นี่ใช่ไหมที่มาของประโยค มุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียด
“ไม่ขำเหรอ”
“...”
อา อยากกดส่งสัญญาณขอตัวช่วย ปกติผมเล่นมุขตลก ต่อให้ขำหรือไม่ขำยินก็มีรีแอคชั่นด้วยกับผมตลอด อย่างน้อยก็หัวเราะหึหึในลำคออะนะ ไม่ใช่มองดูด้วยสายตาว่างเปล่าขนาดนี้
พี่ผิดมากเหรอที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร ; ;
เข้าสู่โหมดหงอยตามเดิมก็ได้ ผมนั่งเล็มอาหารตรงหน้าไป แอบเหลือบตาขึ้นเหล่มองคนที่นั่งจิบเบียร์เป็นพักๆ
คนจะหล่อ ยังไงก็หล่อวันยังค่ำ ถึงแม้โกรธกันก็ยังดูหล่ออยู่ดี ความจริงข้อนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
“โอ๊ะ!”
ผมสะดุ้งดึงมือออกแทบไม่ทัน
“มึงนี่มันโง่จนละสายตาไม่ได้เลยนะ”
ยินสบถ เอามือผมกดกับเสื้อเชิ้ตสะอาดของตัวเองจนเลือดซึมที่เสื้อเป็นวง
แอบเหล่มองคนตรงข้ามหน้านิ่งขมวดคิ้วไม่หาย “ไม่เห็นเจ็บเลยโดนหัวกุ้งแทงนิดเดียว เลือดไหลไปงั้น” ผมพูดหวังจะคลายบรรยากาศ กลายเป็นคนนั่งตรงข้ามหน้าตึงกว่าเดิม อึมครึมยิ่งกว่าอะไร
“...”
หลังจากนั้นก็ไม่มีประโยคสนทนาระหว่างเราทั้งคู่อีก ถึงตอนออกมาจากร้านก็ยังไม่มองหน้ากัน ผมก็ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์มือถืออย่างเดียว
พอมาถึงห้อง ยินดีหายเข้าไปในครัวสักพักเข้าห้องน้ำ ผมเดินมานั่งจ๋องอยู่หน้าโทรทัศน์ รายการอะไรที่ฉายอยู่ก็ดูไม่เข้าหัว นั่งมองมือตัวเองอยู่นาน
จะว่าไปแล้ว ที่ยินชอบบ่นว่าผมเวลาที่ผมทำผิด มันจะไม่สนใจ เพิกเฉยไปก็ได้ แต่พอเป็นเรื่องของผมแล้วกลับใส่ใจทุกอย่าง นี่หวังดีถึงขนาดติวให้ทั้งที่วันจันทร์หน้าตัวเองก็มีสอบ แถมยังไม่ได้เรียนวิชาเดียวกับที่ผมเรียนด้วยซ้ำ แต่ผมกลับไปพูดแบบไม่ใส่ใจไปแบบนั้น ลองนึกว่าเป็นตัวเองโดนเข้าจะทำยังไง จะอดโกรธได้เหรอ
บางครั้งผมยังคิดเลยว่า เผลอๆความอดทนของผมอาจจะมีไม่เท่านี้ด้วยซ้ำ
ตอนเดินออกมาหาน้ำกินที่ครัว เปิดตู้เย็นมาเจอกล่องกรรเชียงปูร้านที่ไปกินมาเมื่อตะกี้แช่อยู่ก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ ยินซื้อมาตอนไหนก็ไม่รู้
แม่ง...
ผมโคตรแย่
อาบน้ำจัดการตัวเองเสร็จจึงเดินเข้าไปในห้อง ยินดีนั่งอ่านสไลด์หันหลังอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ มองแผ่นหลังกว้างเหยียดตรงของแฟนด้วยความรู้สึกผิดที่หน่วงในอก
เดินสาวเท้าเข้าไปหาคนตั้งใจอ่านหนังสือหน้าดำคร่ำเครียด
“?”
“ขอโทษ” ผมพูดเสียงอู้อี้อยู่กับมือที่แนบกระพุ่มไหว้ไปกับหลังอีกฝ่าย ยินหันตัวมาหาแต่ไม่ได้พูดอะไรจึงพูดต่อ
“ขอโทษเรื่องที่หอสมุด ที่พูดไม่ดีใส่ ขอโทษที่ปากเสีย”
“ไม่ตั้งใจพูดให้มึงเสียน้ำใจจริงๆ”
“ขอโทษนะ”
ผมพูดจบแล้วแต่ยินดีนิ่งไม่ตอบคำ เสียงถอนหายใจทำให้ผมใจหายวาบไปแล้วเกือบครึ่ง
“กูไม่ตั้งใจจริงๆ ตอนที่พูดไปกูไม่ทันคิด ถ้าเกิดว่า”
“ไม่ได้โกรธมึงเรื่องนั้นหรอก” ยินถอนหายใจอีกรอบ มองหน้าผมจริงจัง “ที่กูโกรธคือ เรื่องสอบมันเป็นเรื่องของตัวมึงเองแท้ๆ ทำไมมึงถึงไม่ใส่ใจเลยต่างหาก”
“แล้วอีกเรื่อง ดูมึงพูดแต่ละอย่าง มันน่าโกรธไหม ลองนึกว่าถ้าพ่อแม่มึงมาได้ยิน จะเสียใจแค่ไหน ที่ส่งมึงเรียนแล้วลูกตัวเองไม่ตั้งใจเลยสักนิด แต่ละอย่างทำก็เป็นเล่นไปหมด นี่ขนาดกูไม่ได้เป็นพ่อแม่มึงด้วยซ้ำ กูได้ยินแบบนั้นยังโกรธ มึงต้องหัดนึกถึงความรู้สึกคนอื่นบ้าง โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ ทำอะไรก็คิดบ้าง อย่าเอาแต่สนุก”
“กูขอโทษนะยิน ขอโทษนะ”
“เลิกกราบได้แล้ว” คนพูดดันหน้าผมออกจากบ่าเสียงยังแข็ง “กูไม่โกรธแล้ว ถ้ารู้สึกผิดก็ไปอ่านหนังสือนู่น โจทย์ในสมุดก็ทำให้มันเข้าใจ”
ผมเดินคอตกมาที่กระเป๋าตามคำสั่ง เปิดเอาโจทย์แบบฝึกหัดกับกระดาษออกมาทำบนเตียง ไม่อยากจะยอมรับเลยว่ายินมีอิทธิพลกับความรู้สึกผมขนาดนี้ แค่โดนว่า ผมก็หงอยหูตกหางตูบ
ก็แน่ล่ะ ตั้งแต่คบกันมายินดีด่าผมแบบนี้จริงจังก็ครั้งแรกเลย เทียบไม่ได้กับที่ชอบบ่นว่าบ่อยๆสักนิด
พี่สะเทือนใจจังเลย
.
.
.
.
เพราะว่าวันจันทร์นี้ยินมีสอบ ดังนั้นผมเลยต้องระเห็จตัวเองกลับมาอยู่บ้านชั่วคราวด้วยไม่อยากกวนสมาธิของอีกคน เพราะตั้งแต่คบกัน ก็แทบไปอยู่กินที่ห้องยินไปแล้ว พอกลับมาอยู่บ้านตัวเองแล้วรู้สึกไม่คุ้นเอาซะเลย กลิ่นก็แปลก อะไรก็แปลก
ขับรถมาเรียนเองก็ยังรู้สึกแปลก
ยิ่งตอนที่เสียบกุญแจสตาร์ทรถแล้วเงียบกริบ นี่ยิ่งรู้สึกแปลกไปกันใหญ่เลย ... แต่ว่า มันไม่น่าใช่ละ
ผมนั่งทบทวนว่าครั้งล่าสุดที่เอารถคันนี้ออกมาขับนั้นเป็นเมื่อไหร่ แล้วครั้งล่าสุดที่เอาเข้าศูนย์เช็คสภาพล่ะมันเมื่อไหร่กัน ก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เพราะเล่นเอานานจนลืม
ตายโหง
ทั้งที่แดดร้อนเปรี้ยงมาทั้งวันแต่พอฟ้ามือก็ลมแรงฟ้าร้องเหมือนฝนจะตก เลิกเรียนทุ่มกว่า คนก็กรูกันออกมา กว่าผมจะเดินอ้อยอิ่งตามคนอื่นมาลานจอดรถก็เคว้งคว้างไร้ผู้คนแล้ว
จะว่าไปเสียงลมพัดใบไม้สีกันโคตรน่ากลัวเลยเนี่ย
ผมเปิดกระโปรงรถก้มๆเงยๆดูเครื่องยนต์อยู่นานกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าดูไปก็เท่านั้นเพราะผมไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์เลยสักนิด จะเสียตรงไหนก็ดูไม่รู้อยู่ดี
ควานหาเบอร์โทรอู่ซ่อมไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ตรงไหน
“น้อง! รถเสียเหรอ”
เฮือก!
ตกใจหมดแม่ง!
ผมเงยหน้าขึ้นจากมือถือเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนมองอยู่ ชุดเหมือนยามที่อีกคนใส่ทำให้ผมรู้สึกโล่งอก พี่แกคงเป็นยามแถวนี้มั้ง
“เห็นรถน้องจอดอยู่คันเดียวเลยเข้ามาดู ฝนก็จะตกแล้ว เป็นไรมั้ย” พลเมืองดีเอ่ยถามต่อ
“รถดับสตาร์ทไม่ติดครับ”
“อ้าวทำไงอ่ะ น้ำมันหมดหรอ”
ผมส่ายหน้า มองไปเห็นรถเขาจอดเปิดไฟเลี้ยวอยู่ข้างทางออก
“น้ำมันมีแต่สตาร์ทไม่ติดเฉยๆเลยอ่ะพี่ สงสัยเพราะไม่ได้ขับนาน”
เขามองซ้ายมองขวาเหมือนหาอะไร ดูลุกลี้ลุกลนพิกล แล้วหันมาถามผม “มีสายพ่วงแบตมั้ยน้อง เดี๋ยวลองจั๊มสตาร์ทดูให้” ว่าแล้วก็กวักมือเรียกเพื่อนที่อยู่ในรถตัวเองมาช่วยดูอีกคน จะว่าไปแต่ละคนนั้นแต่งตัวมิดชิดใส่หมวกแก็ปเหมือนกันทั้งสองคนเลย
ผมปล่อยให้พวกเขาดูเครื่อง จะเดินไปหาสายพ่วงที่กระโปรงหลังมาให้ ยินโทรมาพอดีเลยกดรับเอาบ่าหนีบโทรศัพท์มือถือไว้กับหู มือก็เปิดท้ายรถหาสายพ่วงแบตเตอรี่
“ฮัลโหล”
(อยู่ไหน เลิกเรียนหรือยัง)
“เลิกแล้ว แต่ว่ายังอยู่ที่คณะอยู่เลย รถเสีย”
(ทำไมไม่โทรหากู นี่สองทุ่มแล้วเสียตั้งแต่ตอนไหน)
“ตอนเลิกเรียนออกมาก็สตาร์ทไม่ติดแล้วอ่ะ”
(อยู่ตรงไหน รออยู่นั่นแหละเดี๋ยวกูไปหา โทรตามช่างหรือยัง)
“ตอนนี้อยู่ที่ลานจอดรถหลังตึกเรียนเก่า มึงเดี๋ยวโทรกลับนะ เอาสายพ่วงแบตก่อน” ผมกดตัดสายเพราะถือโทรศัพท์ไม่ถนัด
“... ผมมีแต่สายสั้นอ่ะพี่ ไม่รู้จะใช้ดะ เฮ้ย! พี่เอาคอมผมออกมาทำไมอ่ะ”
พอเดินออกมาด้านหน้าเห็นผู้ชายหนึ่งในสองกำลังถือคอม 15 นิ้ว สีเทาสเปซเกรย์ของผมอยู่ อีกคนกำลังเปิดประตูรถผมค้นของ หันมาเห็นผมยืนหน้าโง่อยู่ ก็ควักมีดขึ้นมาโชว์
...ชิบหาย สภาพแบบนี้ไม่ใช่พลเมืองดีแล้วล่ะ โจรชัดๆ นี่ผมกำลังถูกโจรปล้น!
แล้วจะปล้นทำไมไม่ปล้นตั้งแต่แรกจะมาหลอกให้ผมหาสายไฟทำไมให้เหนื่อยอะ งงมากเลย งงในงง
“พี่ เอ่อ...พูดกันดีๆ เก็บมีดเถอะ”
“เงียบ! อย่าพูดมาก ไม่งั้นกูแทงไส้แตก” มันเอามีดชี้หน้า บอกได้คำเดียวว่าโคตรเหี้ย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งมีประสบการณ์เสี่ยงชีวิตครั้งนี้ครั้งแรกนี่แหละ ผมก็ยืนค้างเป็นหุ่นเลยสิ มีดใหญ่ประมาณมีดอีโต้ได้ ไอ้ตายโหง
“ในรถแม่งไม่มีอะไรเลยว่ะ” ไอ้โจรผอมตะโกนบอก พยายามงัดแงะช่องเก็บของคอนโซลรถ พอได้ยินแบบนั้นไอ้ตัวอ้วนเลยหันมาเค้น
“เอากระเป๋าเงินมา ของมีค่าอะไรเอามาให้หมด” สาบานเลยว่าเป็นประโยคแบบที่ได้ยินบ่อยในทีวี “ขับบีเอ็มหลังคาแก้วอย่างหรูเลยนะมึง ให้กูได้อะไรที่สมน้ำสมเนื้อหน่อยเถอะนะ”
ผมโยนกระเป๋าเงินไปให้ “นาฬิกาด้วย” มันชี้มาที่นาฬิกาเรือนเงินในข้อมือ
กระเป๋าตังค์มีเงินอยู่สามร้อยได้มั้ง แต่บัตรแบล็คการ์ดที่พ่อเพิ่งให้สามเดือนก่อนนี่สิ แล้วนาฬิกา Breguet นั่นเรือนละ1.6ล้าน โอยตายแล้ว ต้องโดนพ่อด่าไฟลุกแน่ๆ
พอเห็นผมทำท่าทางอิดออดมันก็ทำท่าหลังมือใส่ “เร็วๆสิวะ ลีลาจังเด็กห่านี่ เดี๋ยวกูตบตาหลุด สร้อยข้อมือ โทรศัพท์มือถือด้วย นั่นด้วย นั่นอีก...”
“เป็นเด็กเป็นเล็กทีหลังอย่าใช้ของแพงอีกล่ะ จำไว้เป็นบทเรียน” มันชี้หน้าสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพากันวิ่งขึ้นรถขับออกไป ทิ้งเสียงหัวเราะเยาะไว้ให้ผมฟังต่างหน้า
บัดซบแท้ ขนาดรองเท้ายังเอาของผม ไอ้ชิบหาย
ผมยืนเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ร้อนเท้าแทบกระโดด พื้นแม่งยังไม่หายร้อนจากอากาศตอนกลางวันเลยด้วยซ้ำ
อยากโทษว่าเป็นเพราะอะไรสักอย่างที่ทำให้ต้องมาเจอชีวิตแบบนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโทษอะไร ผมมันโง่นิ ผมนึกไม่ออกหรอก
“เพล!”
พอหันไปเห็นยินวิ่งมาน้ำตาผมที่กลั้นไว้ก็แตกทันที ฮือออ รองเท้าผมอ่า
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม!”
ยิ่งเขย่าบ่าผมยิ่งแหกปากเสียงดัง ยินดีตกใจทำอะไรไม่ถูก จะด่าจะกอดผมยกใหญ่ ยิ่งปลอบผมก็ยิ่งร้อง
“เป็นอะไร เงียบ อย่าร้อง เจ็บตรงไหน เป็นอะไร”
“ร้อนเท้า ฮือ”
.
.
.
.
ยินดีตัวโตกว่าผมมาก และมีแผ่นหลังกว้างขวางที่ดูเหมือนจะสามารถแบกทุกอย่างไว้ได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นมันจึงแบกผมขึ้นขี่หลังอย่างไม่สะทกสะท้าน หรือ จริงๆ อาจจะหนักมากแต่ไม่อยากแสดงออกให้ผมใจเสียมากกว่าเดิม
ต้องขอบคุณที่ยินจอดรถไว้ที่ไกลๆโรงพัก ผมเลยได้มีโอกาสขี่หลังอุ่นหนา เอาหน้าซบแผ่นหลังอุดมกล้ามเนื้อแข็งทำตัวสำออยเหมือนสาวน้อยถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจรุนแรงก็ไม่ปาน
“สร้อยโครมฮาร์ทที่มึงให้ก็โดนเอาไปด้วย” ผมส่งเสียงอู้อี้ อยากสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆเอากลิ่นอุ่นเหมือนไอแดดของยินดีเข้าปอดถ้าไม่ติดว่าจะทำให้ดูเหมือนคนโรคจิต
“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่” ยินพูดเสียงนิ่ง กระชับข้อพับขาผมอีกทีเพราะเลื่อนจะตก “ซื้อให้ใหม่ทุกอย่างเลย ไม่ต้องร้อง”
อันที่จริงนะ ผมหยุดร้องมานานแล้วแหละ ยินมันไม่ทันไม้สำออยของผมหรอก ถึงแบบนั้นก็อดบ่นออกไปไม่ได้
“นาฬิกาอันนั้นแพงด้วย เพิ่งใส่สามสี่ครั้งเอง”
“เคยบอกแล้วว่าอย่าประโคมใส่อะไรเยอะแยะมันอันตราย มึงก็ไม่ฟังเลย นี่ยังดีนะมันไม่ฆ่าแล้วค่อยปล้น ไม่งั้นก็นอนไส้ทะลักอยู่ตรงนั้นไปแล้ว”
โหพูดอะไรวะ ไม่เป็นมงคลเลยไอ้นี่
“ความรวยมันห้ามกันไม่ได้นิ เกิดมารวยก็ผิดเหรอ”
“เหนื่อยว่ะ ด่าอะไรก็ไม่สำนึก”
“หา ด่าตอนไหนอ่ะ”
“เฮ้อ”
“เฮ้ออะไร”
“เฮ้อมึงไง สมองส่วนเหตุผลมันเสื่อมไปแล้วหรือเกิดมาไม่เคยมี” “ต่อมสำนึกถูกผิดก็พิการ ทำอะไรถึงไม่เคยผ่านสมองก่อน”
คำด่าแต่ละอย่างนี่ผู้หญิงปากจัดหลายคนร้องไห้ได้เลยนะ พูดจาแต่ละคำออกมา
ผมเนียนๆฟังยินบ่นบ้างไม่ฟังบ้างจนเงียบไปเองถึงได้เอ่ยขึ้น
“บางอย่างก็ไม่เห็นต้องใช้สมองเลย เช่น รักมึงไง ใช้ใจอย่างเดียวล้วนๆ” ว่าเสียงยานคางเพราะคางเกยอยู่ที่บ่าหนั่นแน่นของยินดี
“กูก็คงไม่ได้ใช้สมองเหมือนกัน เพราะถ้าใช้ คงไม่มารักไอ้คนโง่ๆแบบมึงแน่” โอย เย็นชาจังเลย
“กูจริงจังนะเพล ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า อย่าตัดสายกูแบบนั้น ห่วงจะตายตอนที่หามึงไม่เจอ”
“ขอโทษ คราวหลังจะระวังตัวมากขึ้นแล้ว”
“...รู้มั้ยกูน่ะคิดว่าตัวเองโชคดีมากๆเลยที่ได้มึงเป็นแฟน ยินทั้งฉลาด นิสัยก็โอเค ยิ่งได้คบก็ยิ่งรักมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นถ้าไม่ได้มึงมาคงจะเสียดายมากเลย” คิดว่าจะคอยสังเกตเผื่อจะเห็นยินมันเขินกับประโยคหวานของผมจนม้วนต้วน ถึงไฟรอบด้านจะมืดจนมองเห็นแต่ลูกตากันก็เถอะ
“เหรอ”
“จริงๆ”
“แล้วกลับไปนอนบ้านทำไมตั้งหลายวัน ถ้าบอกว่ารักกูนัก”
ยินดีหยุดเดิน หันข้างน้อยๆเพื่อมองผม ซึ่งมันคงจะหันได้เท่านั้นอ่ะนะ
ท่าทางตัดพ้อต่อว่านี่คืออะไร ผมเข้าใจว่ายินโกรธผมนี่ แล้วประโยคเหมือนน้อยใจที่ผมกลับไปนอนบ้านนี่คืออะไร
“ก็วันนั้นมึงทำหน้าเหมือนจะบีบคอกู เลยนึกว่าโกรธ ไม่กล้าวุ่นวายกลัวมึงโกรธมากกว่าเดิม”
“ก็บอกแล้วว่าไม่โกรธแล้ว”
“จะรู้ได้ไง พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย ถามคำตอบคำ”
“กลัวอดไม่ได้ด่ามึงไปอีกหรอกถึงไม่พูด ...วันนี้จะกลับห้องได้หรือยัง”
“กลับเลย” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด ถึงเตียงที่บ้านถึงจะยิ่งใหญ่อลังการก็ไม่อุ่นละมุนเท่าเตียงที่ห้องยินหรอก ความรู้สึกมันต่างกันมากๆ “วันนี้อาบน้ำด้วยกันเนอะ ดูสิ กูเดินจนเท้าพองหมดเลย ขาก็ปวดด้วย”
“สำออย”
ทำไมแฟนปากร้ายแบบนี้ว้า ผมหอมหูหอมหัวมันด้วยความหมั่นเขี้ยว
“เพลอย่าซน”
“อะไร”
“จั๊กจี้ เดี๋ยวปล่อยลง ให้เดินเองเลย”
“จริงๆมึงไม่ต้องแบกกูก็ได้นะ ถ้ากูตัวหนัก” ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ
“เหรอเพลเหรอ” ยินทำเสียงระอาใส่ “แล้วขาที่หนีบเอวกูแน่นแบบนี้คือไม่ต้องแบกก็ได้เหรอ”
“อื้ม ฮ่าๆ”
“กวนตีน
.
.
.
.
.
“อ...อะ ยะ ยิน” ผมผวาเฮือกหาที่ยึด ความรู้สึกอึดอัดผสมวาบหวามแผ่ซ่านขึ้นตามสันหลัง มือข้างหนึ่งใช้ดันท้องน้อยอีกคนไว้ไม่ให้ขยับเคลื่อนตามใจง่ายๆ
“เดี๋ยว ยะ อย่าเพิ่ง”
“อื้อ อย่าเพิ่งขยับ มัน อึก... ลึก” เพราะนั่งซ้อนตักกันทำให้ทั้งสองส่วนเชื่อมต่อลึกซึ้งมากกว่าครั้งไหน ถ้าขยับตอนนี้ผมขาดใจแน่
“เพล คลายหน่อย”
“ฮือ” ผมส่ายหัวที่ปะอยู่กับบ่าอีกคน ยินหัวเราะกึกๆอยู่ข้างหู มือลากลูบตามแนวสีข้างไปที่สะโพก เคล้นคลึงจนผมสั่นไปทั้งตัว
“หมั่นเขี้ยว” ผมเจ็บจี๊ดจากการถูกขบกัดที่หัวไหล่ ยินดีแม่งพออยู่บนเตียงโคตรหื่นเลย ไอ้หน้าดุท่าทางเย็นชานั่นหลอกลวงชัดๆ
“คลายหน่อยเพล เกร็งแบบนี้ก็ทำต่อไม่ได้ดิ” ยินกดจูบตามไหปลาร้ามาถึงลาดไหล่บางทีก็หยุดขบจนผมสะท้าน “นอนเฉยๆก็ดีอยู่แล้ว ไม่ชอบเหรอ” ยินยิ้มส่งมาให้ คว้าแขนผมไปไล่จูบตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงฝ่ามือ แต่ผมดันรู้สึกขัดใจ ความพยายามเป็นคนควบคุมทำให้ไม่อยากยอมแพ้ยกตัวขึ้นเกือบหลุดแล้วทิ้งตัวลงครอบส่วนนั้นทั้งหมดในคราวเดียว รู้สึกจี๊ดจนถึงก้านสมอง
“อึก!”
คล้ายเส้นความอดทนมาถึงจุดสุด ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกดันลงกับที่นอน ยินกดผมแทบจะจมลงไปในฟูก มือใหญ่ควานหาหมอนนิ่มมารองใต้เอวให้ก่อนเริ่มขยับเป็นคนควบคุมจังหวะด้วยตัวเอง ยินเหมือนตบะแตกไปแล้ว
พอผมครางตรงไหน ก็ตามมากดย้ำๆตรงนั้นจนดิ้นพล่านไปด้วยความวาบหวาม ได้แต่บิดเร้าตามสัมผัสหนักเบาที่เดาทางไม่ได้นั้น
เสียงครางผะแผ่วเกินกลั้น หัวใจเต้นรัวเหมือนจะขาดใจ
สุดท้ายก็ลงท้ายด้วยการอาบน้ำเป็นรอบที่สอง ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแบบหมดสภาพของแท้ เหนื่อยจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยาย ปล่อยให้ยินจับเท้าพลิกดูนั่นนี่ไปตามเรื่อง บางทีก็รู้สึกสบาย แต่บางทีก็เย็นๆแสบๆ พอเคลิ้มจะหลับก็มีมือเข้ามาลูบหัวลูบผมให้
เออ ถ้าผมตื่นอยู่คงจะลุกขึ้นโวยวายไปแล้ว ใครมันให้จับเท้าแล้วมาจับหัวกัน
“ฮื่อ รำคาญ”
“อย่าถีบผ้าห่ม”
“อือ” ผมลากเสียงอู้อี้ คนจะนอนมาชวนคุยเนอะ
สัมผัสนุ่มหยุ่นประทับลงบนหน้าผากลงมาที่เปลือกตาและข้างแก้ม ผมเปิดเปลือกตาขึ้นมองคนก่อกวน
“นอนไปดิ มองหน้าอะไร”
“มองคนจะลักหลับ เลยระวัง”
“ไม่ทำหรอก รอบเดียวก็แดงไปทั้งตัวขนาดนี้แล้ว ถ้าทำอีกกลัวมึงขาดใจตาย”
“ความผิดมึง”
“อือ ยอม”
“มีความสุข...”
ผมยิ้มกว้างให้ เลื่อนไปจูบแก้มคนปากร้ายแต่ก็ตามใจ ใช้มือลูบไล้ตามสันคิ้วเรียงตัวสีอ่อนจนไปถึงขมับ
ยินดึงมือผมไปหอม ทำเอาจั๊กจี้จนหลุดหัวเราะ
“...กูรักมึงมากนะ ถึงจะโง่แต่อยากให้พยายามเข้าใจเรื่องนี้ด้วย”
ในความมืดสลัว ผมยิ้มให้ ยินดีก็ยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มที่จริงใจและอบอุ่นที่สุดที่ผมเคยเห็นไม่ว่าจากใครก็ตาม
ผมจูบลงบนหน้าผากแกล้งทำเสียง จ๊วบ ดังๆให้เปียกน้ำลายชื้น ยินก็จูบตอบผมบนจมูก จูบแล้วจูบอีกจนผมหลับไปทั้งยังยิ้มเต็มแก้มอยู่แบบนั้น
ไม่เห็นต้องพยายามเลย ความรักของยินดีน่ะ เข้าใจง่ายที่สุดในโลกอยู่แล้ว ถึงผมจะโง่ แต่ก็รู้นะว่ารัก The End
จบแล้วค่า เย่!
ตอนนี้มีฉากบนเตียงด้วย เขินและลังเลมาก555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องรักของผู้ชายที่นอกจากรวยแล้วก็ไม่เก่งอะไรเลย หวังว่าจะทำให้ยิ้มได้บ้างเนอะ
ขออวยพรปีใหม่ล่วงหน้าให้คนอ่านได้เจอแฟนดีดีเป็นของตัวเองกันนะคะ
ไว้เจอกันใหม่คราวหน้าค่ะ