MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐  (อ่าน 139381 ครั้ง)

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๒๙ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว


         วันแห่งการจบภาคเรียนของนักศึกษาปี ๒ ก็มาถึง ซึ่งในเทอมหน้าเป็นการขึ้นปี ๓ ต้นข้าวก็ต้องแยกคลาสเรียนกับเพื่อนๆ ที่ต่างคนต่างเลือกสาขาวิชาเอกของแต่ละคนไป หนุ่มน้อยยังยืนยันเลือกอย่างที่ตั้งใจไว้คือสาขาการละคร ซึ่งมีเพื่อนเลือกสาขาเดียวกันนี้อีกสองคน คนแรกคือพริกหรืออีงู เพราะเธอว่าอยากไปเป็นผู้เขียนบท ไหนๆ ชีวิตก็มาทางคำคมซะแล้วนี่ ก็ใช้ประโยชน์ของมันเลยแล้วกัน และอีกคนคือคุณนายอ้อม เธอว่าเธออยากเป็นนางเอก

         ส่วนเอก เลือกสาขาประชาสัมพันธ์ และสมพล เลือกสาขาวิชาโฆษณา เท่ากับเพื่อนๆ กลุ่มเดิมที่เรียนมาด้วยกันถึงปีสอง ต่อจากนี้เวลาเข้าเรียนและกิจกรรมต่างๆ ก็แทบไม่ตรงกันเสียแล้ว

         ในกลุ่มที่สนิทกันทั้งหมดไปฉลองการปิดภาคและฉลองการสิ้นสุดปี ๒ ด้วยการไปเกาะเสม็ดอีกครั้งหนึ่ง ต้นข้าวพาจิวไปด้วย มีสมพลพาแฟนผู้หญิงจากคณะบัญชีไป ส่วนพริก และเอก ไปแบบเดี่ยวๆ ทั้งคู่ โดยเอกให้เหตุผลว่าแจ๊สบินกลับไปอังกฤษแล้ว ส่วนพริกเป็นที่แน่นอนว่านางยังหาแฟนไม่ได้

         ที่เกาะเสม็ด หลังจากที่ต้นข้าวและจิวเคยมาเมื่อเกือบ ๓ ปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย คือบ้านพักเริ่มดีขึ้นบ้าง มีมุ้งลวดโดยไม่ต้องกางมุ้ง และเริ่มมีห้องน้ำในตัวบ้านพัก แต่ต้องซื้อน้ำเพิ่มเองทีละตุ่มถ้าใช้ตุ่มแรกหมด การไปเสม็ดครั้งนี้ราบรื่น ทุกคนสนุกสนานกันดี มีเสียงหัวเราะกันระหว่างเพื่อนฝูงตลอดวัน ตกค่ำก็ตั้งวงดื่มเหล้า ร้องเพลงเล่นกีตาร์เคาะถังน้ำแข็งไปตามเรื่อง

         อ้อ...มีการเปลี่ยนแปลงอีกเรื่องหนึ่งอยู่นิดหน่อย คือเสม็ดคงจะคลายมนต์ขลังของประโยคที่ว่า "เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย" ไปบ้างแล้วสำหรับจิวและต้นข้าว

         เพราะครั้งนี้เมื่อหนุ่มน้อยทั้งสองโตขึ้น และจากค็อกเทล "ลองไอส์แลนด์" แก้วแรกที่ต้นข้าวได้สัมผัสที่เดอะพาเลซ ต้นข้าวก็กินเหล้าได้ลื่นขึ้น หนักขึ้น ส่วนจิวไม่ต้องพูดถึง จัดว่าระดับตัวพ่อ เพราะไม่ใช่ว่าจิวจะได้แค่ "ของดี" ขนาดเขื่องน่าอิจฉาที่พ่อให้มาเท่านั้น แต่ป๊าของจิวยังมอบมรดกเรื่องความเมาติดมาให้ด้วย

         ดังนั้นเมื่อกลับเข้าห้องนอนหลังจากดื่มเหล้าแสงโสมหมดไปหลายกลม สองหนุ่มก็นอนเปลือยกายกอดกันตัวกลมดิก แต่เป็นการแข่งกันนอนกรน! เสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงคลื่นซัดสาด ไม่มีกระต๊อบที่โยกแทบพัง ไม่มีทะเลซัดแตกฟองขาวขุ่นที่ปลายหัวคลื่นซ้ำๆ หลายรอบ ส่วนจิ้งหรีดเรไรยามดึกที่เคยกรีดร้องประสานเสียง คืนนี้รู้สึกว่าเสียงแหบแห้งลงไปพิกล คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเร้าใจ

         แต่ไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ว่าทั้งสองไม่รักกัน หากแต่ต้นข้าวกับจิวเหมือนเป็นชีวิตคนๆ เดียวกันไปแล้วในเวลานั้น ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงใจต่อกัน การลองผิดลองถูกและการเรียนรู้ในโลกความจริง มันคัดเลือกให้ว่าใครคือของแท้ หรือใครมาเป็นพญามารที่แค่ผ่านเข้ามา "ลองของ" เท่านั้น

         หลายเรื่องในชีวิตต้องแก้ปัญหาด้วยการวางแผนที่ซับซ้อน แต่ขณะเดียวกันบางเรื่องก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย มันเข้ามาแล้วมันก็จากไปเมื่อเวลาอันสมควร

         เหมือนอย่างกรณี "พี่เป้อร์" ที่จู่ๆ พอเรียนจบปี ๔ ในปีนี้ ก็ออกจากมหาวิทยาลัย หายไปจากชีวิตต้นข้าวด้วยความโล่งใจ หลังจากพี่เป้อร์เพียรพยายามเทียวไล้เทียวขื่อกับต้นข้าวมาตลอด พอไม่มีอะไรคืบหน้า และตัวต้นข้าวเองก็ไม่ได้เล่นด้วยมากไปกว่านี้ พอพี่เป้อร์จบการศึกษาแล้ว ก็จบกันเพียงเท่านั้น ต้นข้าวไม่เคยให้เบอร์ติดต่อหรือที่อยู่ใดๆ ไว้ทั้งสิ้น

         การเรียนรู้ครั้งนี้ของต้นข้าว เหมือนยืนมองฟ้าผ่ากลางทะเล มันผ่าแวบๆ อยู่ไกลๆ จนคล้ายกับว่ามันทำอะไรเราไม่ได้ แต่บางมุมกลับเหมือนมันใกล้มาก จนอยากวิ่งหนีแสงและเสียงที่ดังกัมปนาท หากก็ยังอยากฝืนยืนรอดูให้ถึงที่สุด ว่ามันจะฟาดฟันไปถึงไหน ยึกยักอยู่อย่างนั้น

         แต่สรุป...มันก็แค่ผ่าเปรี้ยงลงมาแล้วจางหาย

         ชีวิตต้องดำเนินต่อไป และ 'พญาวสวัสดีมาร' ผู้ชอบ 'ลองของ' ก็ไม่ได้มีแค่ตนเดียว ดังนั้นความมั่นคงของจิตใจก็ยังต้องมีบททดสอบต่อ  เช่นในอีกสามอาทิตย์ถัดมาหลังกลับจากเกาะเสม็ดนี้...

--------------------------------

         "ต้นข้าว คืนนี้ว่างหรือเปล่า" เอกถามขึ้นในช่วงพักเที่ยง หน้าตาดูหงอยๆ พิกล

         "ทำไมหรือ ก็ว่างอยู่นะ จิวไม่ได้มาหาวันนี้" ต้นข้าวเงยหน้าจากจานข้าวผัด หันไปมองเอก

         "เบื่อ เซ็ง อยากไปเที่ยว" เอกยักไหล่ขึ้นข้างหนึ่ง ตาหลุบมองต่ำ

         "เป็นอะไรหรือ เล่าให้เราฟังได้นะเว้ยเอก" ต้นข้าวเห็นว่าท่าทางไม่ค่อยเป็นเรื่องปกติแล้ว

         เอกนั่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง คราวนี้ตามองเหม่อไปข้างหน้า ต้นข้าวเห็นเอกยังไม่พร้อมจะเล่า  จึงตักข้าวใส่ปากตัวเองเคี้ยวกินรอไปได้อีกสามคำ เอกถึงเปิดปากพูดออกมา

         "เราเลิกกับแจ๊สแล้วล่ะ"

         ต้นข้าวหยุดตักข้าวใส่ปาก วางช้อนลง "อ้าว ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

         "ไม่รู้ว่ะ พูดยาก มันสะสมมาเรื่อยๆ ล่ะนะ แต่เราไม่ได้เล่าให้ใครฟังเอง คงเพราะต่างคนต่างเจ้าชู้มั้ง"

         คราวนี้หนุ่มน้อยผู้รับฟังแทบจะรวบช้อนส้อมเลิกกิน ผลักจานออกไปห่างตัว "ทั้งเอก ทั้งแจ๊ส นี่นะเจ้าชู้!! เราไม่เคยเห็นจะมีวี่แววเลย"

         "ก็เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังไง แจ๊สเองก็อยู่ไกล ปีนึงกลับมาเจอกันกี่ครั้งเอง คงไปมีแฟนใหม่ที่ลอนดอนด้วย  ความรู้สึกระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม เราสัมผัสได้น่ะ"

         "อ้าว แล้วเอกเองล่ะ ไปเจ้าชู้ตอนไหน" ต้นข้าวยังสงสัยเรื่องเอก เพราะก็ดูเป็นคนเรียบร้อย ไว้ตัวพอสมควร หรือมันจะเข้าตำรา --เห็นเงียบๆ แอบฟาดเรียบสินะ-- คิดมาถึงตรงนี้แล้วไม่กล้านึกต่อ

         "ต้นข้าวรู้จักอาร์มไหม อาร์ม เดือนคณะของปีเรา ที่หล่อๆ ตัวใหญ่ๆ เป็นนักรักบี้ของทีมมหา'ลัยน่ะ"

         ต้นข้าวจำคนชื่ออาร์มได้ อันที่จริงแทบทุกคนที่เรียนในรุ่นเดียวกันก็ต้องรู้จักอาร์ม เพราะอาร์มเคยเป็นเดือนของคณะนิเทศฯ ตอนปีหนึ่ง ต้นข้าวก็เคยดูแลให้อาร์มตอนประกวด หาสปอนเซอร์ชุดจากร้าน POLICE ให้ใส่ เป็นคนรูปร่างดีแบบนักกีฬารักบี้ และภายหลังมีชื่อเสียงทางการเป็น "นักรัก" ประจำรุ่น พูดง่ายๆ ว่าเจ้าชู้ และ "ง่าย" ในเรื่องบนเตียงกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

         "เราเคยนอนกับอาร์มแล้ว..." เอกสารภาพเสียงเบา

         --กูว่าแล้ว-- ต้นข้าวแอบทำตาเหลือกมองบน  แต่รีบกลับมาปรับหน้าให้นิ่ง แล้วถามต่อ

         "นอนแล้วยังไงล่ะ แจ๊สจับได้เหรอไง"

         "อื่อ แล้วทีนี้แจ๊สมันไปแอบทำความรู้จักกับอาร์ม ตอนที่เราพาแจ๊สมาที่มหา'ลัยนี่ครั้งนึง แล้วมันก็แอบไปนอนด้วยกัน"

         --พอกันทั้งคู่!!!-- ต้นข้าวหันข้าง แอบทำตาเหลือกมองบนแรงกว่าเมื่อกี้ คราวนี้ตาดำหายขึ้นไปเลย เห็นแต่ตาขาว!

         "เวรกรรม..." ต้นข้าวไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีกว่านั้น "แล้วนี่จะทำยังไง"

         "ก็ช่างแมร่ง จบก็จบ" เอกสรุปง่ายๆ ทำหน้านิ่งๆ ตามบุคลิก สมกับเป็นคนง่ายๆ (กับหลายๆ คน) จริงๆ

         "แล้วก็เลยจะชวนเราไปเที่ยวแก้เซ็งคืนนี้ ว่างั้น ?" ต้นข้าวเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นถาม

         "นะ ไปนะ อยากไปที่นั่น เราเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง" สายตาเอกดูมีความหวังขึ้นมาทันที

         "แล้วตกลงมันคือที่ไหนล่ะ ไปเดอะพาเลซอีกเหรอ" ต้นข้าวก็ไม่ค่อยรู้ที่เที่ยวแบบอื่นมากเท่าไหร่ รู้จักแต่แนวเธคฯ ไม่กี่ที่

         "ไม่ใช่เธค เอาเหอะน่า เดี๋ยวพาไปเอง รับรองเด็ดสะระตี่" เอกทำตาวิบวับ "สองทุ่มครึ่งไปเจอกับเราที่หน้า เซเว่น-อีเลฟเว่น ที่เปิดใหม่ตรงหัวมุมซอยพัฒพงษ์ บนถนนสุรวงศ์นะ"

         เอกหมายถึง 7-11 ที่พึ่งเปิดใหม่เป็นสาขาแรกในประเทศไทย เป็นจุดนัดหมายที่ใครๆ จะไปถนนนั้นต้องรู้จัก เพราะเป็นร้านขายของจิปาถะหลายอย่าง และเปิดไฟสว่างทั้งวันทั้งคืน คนในกรุงเทพฯ ตื่นเต้นกับความแปลกใหม่ของมันมาก

         "ก็ได้ เดี๋ยวจะโทรชวนจิวไปด้วยนะ"

         "อย่าๆ" เอกรีบจับข้อมือต้นข้าวกดไว้ ทำท่าเหมือนกับว่าต้นข้าวจะหยิบเครื่องโทรศัพท์บนอากาศขึ้นมาหมุนเบอร์ทันทีตอนนั้น

         "ไม่ต้องบอกจิวได้ป่ะ เราไปกันเองสองคนสนุกกว่านะ นะ..."

         "เฮ้ย..." ต้นข้าวยกมือขึ้นเกาหัวแทน "แล้วมันคือที่เที่ยวอะไรน่ะ ทำไมเอาจิวไปด้วยไม่ได้"

         "เอาน่า" เอกลดเสียงพูดลง ทำตาล่อกแล่ก เหมือนกำลังแอบลักลอบทำการใหญ่ "รับรองสนุก ที่แบบนี้เค้าไม่พกแฟนไปด้วยหรอก"

         "เอางั้นนะ" ต้นข้าวทำหน้ากังวล ในใจยังคิดว่าจะโทรบอกจิวยังไงดีหว่า

         "ตามนี้แหล่ะ เจอกัน สงสารเพื่อนผู้อกหักหน่อยเถอะ" เอกทำหน้าทำตาน่าสงสาร เรียกคะแนนจากเพื่อนเพิ่มอีกหน่อยนึง

         ........................

         ตอนเย็นต้นข้าวกลับถึงบ้าน นึกหาคำพูดอยู่นานที่จะโทรศัพท์ขอจิวออกไปเที่ยวกลางคืนกับเอก โดยที่จิวไม่ต้องไปด้วย แต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่าก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นก็พอ จะนึกหาเรื่องทำไม

         "ฮัลโหล จิวเหรอ" หนุ่มน้อยกรอกเสียงลงไปเมื่อมีคนรับปลายสาย

         "อื่ม กลับถึงบ้านแล้วเหรอ คืนนี้จิวไม่ได้เข้าไปหานะ และน่าจะไม่ได้เจอกันจนอีกสองสามวันเลยล่ะ เพราะต้องไปนครชัยศรีเรื่องโรงงานกับป๊า ขอโทษทีนะ"

         --อ้าว เรื่องมันก็ง่ายขึ้นแล้วสิเนี่ย-- ต้นข้าวโล่งใจขึ้น

         "จิว คืนนี้เอกมันจะชวนเราไปเที่ยว คงจะชวนไปดื่มน่ะ มันเซ็ง มันอกหัก มันเลิกกับแจ๊สแล้วนะ"

         "เฮ้ย! เหรอ เป็นไปได้ยังไง" เสียงปลายสายดูตกใจจริงๆ

         ต้นข้าวเล่าให้จิวฟังเท่าที่ได้ยินจากปากเอกเมื่อตอนกลางวันจนครบหมดทุกประโยค และได้ยินปลายสายถอนหายใจยาว

         "เฮ้อ ทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เสียดายเวลาจัง" จิวพูดแบบปลงๆ "แต่เดี๋ยวก่อน แล้วนี่จะชวนไปไหนกัน"

         ต้นข้าวต้องอธิบายจิวอีกครู่ใหญ่ ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าไปที่ไหน รู้แต่ว่าน่าจะเป็นที่โปรดปรานของเอก

         .......กว่าต้นข้าวจะได้วางหูจากจิว ก็กินเวลาอีกเกือบ ๑๕ นาที เพราะจิวได้พร่ำบ่น สั่งเสีย บังคับ ขู่ ดุ ประชด และชี้ให้เห็นถึงการไปเที่ยวในที่ๆ ไม่รู้จัก คืออะไรก็ไม่รู้ ระวังอย่าให้ใครมาจีบ ห้ามให้เบอร์โทรกับใคร ใครยื่นอะไรให้อย่าไปรับ อย่าชนแก้วมั่ว อย่าฝากแก้วเหล้ากับคนอื่น เข้าห้องน้ำให้ระวัง เวลายืนฉี่ให้เอามือปิดๆ ไว้บ้าง...บลา บลา บลา...

         .................

         สองทุ่มครึ่งคืนนั้น ต้นข้าวมายืนรอเอกที่หัวมุมถนนพัฒพงษ์ตัดกับถนนสุรวงศ์ หนุ่มน้อยไม่ได้เดินเข้าไปใน 7-11 หรอก เพราะร้านค่อนข้างเล็กและมีลูกค้าที่กำลังเห่อของใหม่อยู่ในนั้นจำนวนมาก มีคนเดินเข้าเดินออกผลักประตูกระจกเปิดปิดตลอดเวลา มีสุนัขจรจัดผอมๆ ตัวหนึ่ง นอนซังกะตายอยู่หน้าประตู ตอนนี้มันกำลังเงยจ้องหน้าต้นข้าวนิ่งอยู่

         "ต้นข้าว" เอกทักขึ้นมาก่อนถึงตัว "มานานยัง ไปกัน"

         คืนนี้เอกแต่งตัวซะหล่อ ใบหน้าดูมีความสุขดี ไม่มีวี่แววของความเศร้าเหมือนเรื่องราวที่ได้ยินตอนเที่ยงเลยสักนิด แสดงว่าสถานที่จะเข้าไปเที่ยวนี่มันต้องน่าสนใจสำหรับเอกมากจริงๆ

         เอกพาต้นข้าวเดินข้ามถนนสุรวงศ์มาอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินลัดเข้าซอยไปอีกหน่อย จนมายืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นแคบๆ มืดๆ ตรงซอกตึก มีป้ายเล็กๆ เขียนไว้ว่า "ทไวไลท์ อะโกโก้บาร์"

         ต้นข้าวอ่านชื่อแล้วหันไปมองหน้าเอก

         "เหอะน่า มาเถอะ" เอกดึงมือต้นข้าว แล้วพาก้าวเร็วๆ ขึ้นบันไดแคบๆ นั่นไป

         ชั้นบนมีขนาดเหมือนชั้นสองของห้องแถวทั่วไป ค่อนข้างมืด มีเก้าอี้แบบสตูลที่นั่งเดี่ยวๆ วางอยู่เต็มห้อง ไม่มีโต๊ะ เหมือนว่าให้ลูกค้านั่งอย่างเดียว เพื่อดูการแสดงบนเวทีเล็กๆ ติดริมผนังด้านหนึ่งของห้อง หน้าเวทีมีขนาดไม่เกิน ๔ เมตร มีเคาเตอร์บาร์ผสมเครื่องดื่มตั้งยาวอยู่ตลอดหน้าเวที

         บนเวทีมีเสาแสตนด์เลส ๔ เสาตั้งห่างกันเป็นระยะ ไฟพาร์เก่าๆ โทรมๆ ที่แขวนอยู่บนเพดานกำลังส่องไฟสีมลังมเลืองลงไปที่บนเวที ที่มีหนุ่มน้อยทั้งแบบรูปร่างกำยำ และมีทั้งแบบผอมบาง ใส่กางเกงในตัวเดียวเต้นยึกยักๆ โยกเล่นอยู่กับเสาแสตนด์เลส ๔ คน

         ต้นข้าวอ้าปากบ๋อ! หันไปมองหน้าเอกอีกรอบหนึ่ง ซึ่งเอกก็ยิ้มให้พร้อมยักคิ้วขึ้นข้างนึงเป็นทำนองว่าชอบมะ!

         "ทำไมไม่บอกว่าชวนมาแบบนี้" ต้นข้าวกระซิบเบาๆ กับเอก

         "บอกก่อนแล้วจะมาด้วยกันเหรอ" เอกหัวเราะหึหึ

         .................

         "รับเครื่องดื่มอะไรดีฮะ" เสียงกัปตันของบาร์เดินมาถามถึงตรงเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่ง

         "เบียร์สองขวดครับ" เอกหันไปตอบกัปตันคนนั้น แล้วหันมากระซิบต้นข้าว "กินเบียร์น่ะปลอดภัยสุด ไม่ต้องกลัวเหล้าปลอมหรือใส่ยา"

         ต้นข้าวทำตาโต --มันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ--

         ..................

         "เอ้าชนขวด!!" คนอกหักชูขวดเบียร์ขนาดเล็กที่มีปลอกโฟมห่อรอบขวดสำหรับถือกันความเย็น มาชนกับขวดของต้นข้าว "สนุกให้ลืมแมร่ง..."

         ต้นข้าวแม้จะยังตื่นๆ อยู่กับสถานที่รูปแบบที่ไม่เคยมาก่อนเลยอย่างนี้ แต่ใจหนึ่งก็สงสารเอก คงต้องการเพื่อนสักคนมาอยู่ข้างๆ เพื่อดับทุกข์ ก็เลยชนขวดเบียร์ดื่มตามไปด้วยเพื่อสร้างความสนุกให้เพื่อน

         เบียร์ขวดเล็กผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งขวด บนเวทีเริ่มเปลี่ยนอารมณ์ไฟ เด็กหนุ่มในกางเกงในตัวเดียวลงจากเวทีไปหมดแล้ว เสียงพิธีกรสาวประเภทสองซึ่งเป็นรุ่นป้าๆ ประกาศดังเจื้อยแจ้ว

         "เอาล่ะค่ะ มาถึงช่วงเวลาโชว์ตัวของน้องๆ กันแล้ว รีบเล็งเอาไว้ ชอบคนไหนกระซิบจองกับกัปตันไว้เลยนะคะ"

         บนเวทีเด็กหนุ่มอีกกลุ่มเดินขึ้นมายืนเรียงพร้อมกัน ๘ คน คราวนี้ทุกคนไม่ได้ใส่อะไรเลย เปลือยหมด และส่วนกลางลำตัวพองอวดเรียกแขกเต็มที่!!

         ต้นข้าวแทบสำลักเบียร์ที่พึ่งจิบเข้าไปอึกใหญ่ นี่เป็นเรื่องใหม่ของเด็กหนุ่มที่ได้เห็นเด็กผู้ชายเปลือยกายแข็งแรงชูชันมายืนรวมกันมากๆ แบบนี้ ใจต้นข้าวเต้นตึกตัก...

         เด็กหนุ่มเปลือยสี่คน เดินก้าวข้ามจากบนเวทีมายืนที่เคาเตอร์บาร์ด้านหน้า ลูกค้าแถวหน้ารีบยกแก้วเครื่องดื่มของตัวเองที่วางไว้บนเคาเตอร์นั่นหนีออกอย่างเร็ว คราวนี้มันไกล้ชิดคนดูมากถึงขนาดจะทิ่มตา หรือฟาดหัวได้เลยล่ะ เสียงพิธีกรบรรยายสรรพคุณอีก

         "ชอบไหมคะ ชอบคนไหนก็จับได้ คลึงได้ ดูดได้ ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้วคร่า~"

         ต้นข้าวขำพรืดกับคำบรรยายของพิธีกรรุ่นป้านั้น แทบจะสำลักเบียร์อีกรอบ บอกไม่ถูกว่าขณะนั้นมีอารมณ์แบบไหน มันปนเปกันไปหมด จะว่ามีอารมณ์ก็มี จะว่าขำก็ขำ อีกใจหนึ่งก็นึกสงสารเด็กหนุ่มเหล่านั้น ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นจำนวนมาก

         เด็กหนุ่มเหล่านี้เวียนกันขึ้นมาโชว์ตัว (และโชว์ "ของ") จนครบเกือบสามสิบคน เสียงเชียร์ เสียงตบมือ และเสียงครางฮือเมื่อมีบางคนที่พ่อให้มามันใหญ่โตโอฬารเกินเพื่อนเดินขึ้นมาบนเวที เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังระงมแทบกลบเสียงเพลงสนิท เอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ตบมือให้กับหนุ่มเปลือยบนนั้นหลายคนเมื่อเดินผ่านหน้า

         เมื่อเพลงจบ ทุกคนลงจากเวทีหมด เหลือแค่นายแบบหนุ่มหล่อหน้าตาดีเปลือยกายเพียงคนเดียว คราวนี้กัปตันเดินเอาลูกโป่งสองสามลูก มาแจกให้ลูกค้าชูถือไว้สูงๆ บังเอิญหนึ่งลูกมาอยู่บนมือลูกค้าที่นั่งติดกับต้นข้าวเลย หนุ่มน้อยมองตามด้วยความสงสัย

         บนเวที นายแบบหนุ่มเริ่มหันหลังแล้วโก้งโค้งลง ในมือถือหลอดไม้ซางอันเล็กๆ ยาวประมาณคืบกว่าๆ เอาปลายข้างหนึ่งสอดเข้าไปในร่องด้านหลังตรงบั้นท้ายของตัวเอง แล้วส่ายเล็งหลอดไม้ซางนั่นไปมา เหมือนปืนที่กำลังเล็งหาเป้า

         "ปุ๊งงง!!!" เสียงลูกโป่งในมือของลูกค้าข้างๆ ต้นข้าวแตกระเบิดด้วยลูกดอกอันเล็กๆ ที่ปลิวมาจากปลายไม้ซางนั่น พร้อมกับเสียงตกใจของต้นข้าวที่หลุดปากร้องออกมา "เอิ๊บบบบ~!!" จนเอกผู้ซึ่งนั่งถัดไปต้องหัวเราะขำออกมา

         --เฮ้ย-- ทำได้ไง ต้นข้าวคิดในใจหลังจากตั้งสติได้ แอบอายเล็กน้อยที่เผลอร้องตกใจออกมาแบบนั้น ดีที่ลูกค้าแน่น นั่งติดๆ กัน เลยไม่ได้เป็นที่สังเกตเท่าไร

         อันที่จริงกว่าต้นข้าวจะรู้เบื้องหลัง ก็อีกหลายปีต่อมา ว่าไม้ซางนั่นไม่ได้ยิงลูกดอกออกมาเพราะลมเบ่งจากบั้นท้ายของหนุ่มนั่นหรอก แต่มันแอบมีปุ่มสปริงกดเพื่อยิงลูกดอกมากระทบลูกโป่ง เทคนิคนี้หากินในบาร์เมืองไทยไปได้อีกหลายสิบปี

         ..................

         ตอนนี้บนเวทีเปลี่ยนเป็นโชว์คาบาเร่ต์จากสาวประเภทสองแล้ว ในชุดกี่เพ้าจีนสีแดงสด นักแสดงสวย แต่งหน้าเข้มปากแดงจัด กำลังลิปซิ้งค์เพลง "หนี่ เจิ่น เมอ ซัว (เธอเคยพูดกับฉันไว้ว่าอย่างไร)" ของ เติ้ง ลี่ จวิน อยู่

         "กัปตัน" เสียงเอกเรียกพนักงาน ดึงความสนใจจากต้นข้าวให้หันไปมอง

         "ตามน้องบอย เบอร์ ๑๒ ให้ผมด้วยครับ" แล้วเอกหันมาหาต้นข้าว "ต้นข้าวล่ะ จะเรียกเบอร์อะไร ชอบคนไหน"

         ต้นข้าวส่ายหัวดิก "ไม่อ่ะ..."

         "เหอะน่า เรียกมานั่งคุยกันเล่นๆ ไม่อ็อฟออกไปก็ไม่เป็นไร" เอกหันไปบอกกัปตันให้เสร็จสรรพ "งั้นตามน้องอ้น เบอร์ ๕ มาด้วยอีกคนฮะ ให้เพื่อนผม"

         "หึ๋ย! ไม่เอาไง" ต้นข้าวตกใจ

         "น่า นั่งคุยกับน้องเป็นเพื่อนเราหน่อย" เอกทำหน้าสบายอกสบายใจ เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด

         ต้นข้าวทำหน้ามุ่ย แต่ก็ไม่อยากขัดเพื่อน

         น้องบอยที่เดินมาสวัสดีเอก เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี แนวเข้มๆ ผิวสองสี ตอนนี้เปลี่ยนใส่กางเกงขาสั้นแล้ว ไม่ได้เปลือยแบบบนเวที มีเบอร์ ๑๒ ติดอยู่ที่ขอบกางเกง ท่าทางการทักทาย เหมือนเคยคุ้นหรือรู้จักกันกับเอกมาก่อนแล้ว

         ส่วนน้องอ้น หนุ่มน้อยเบอร์ ๕ ที่เอกเรียกให้ต้นข้าว จะว่าเอกมันตั้งใจหรือยังไงไม่รู้ น้องมีใบหน้าตี๋ ขาว ผอมโปร่งมาเลยทีเดียว ถอดเสื้อ ใส่แต่กางเกงขาสั้นเหมือนกันกับน้องบอย ต้นข้าวไม่ได้สังเกตเห็นน้องคนนี้มาก่อนตอนอยู่บนเวที

         น้องอ้น ยิ้มนำเข้ามาก่อน ตาตี่ยิบหยีมีประกายซุกซน พอยกมือไหว้เสร็จ ก็นั่งลงตัวแทบติดกัน เอามือวางลงบนต้นขาต้นข้าว บีบเบาๆ แล้วพูดเสียงเก๊กหล่อกับต้นข้าวว่า

         "พี่หล่อจัง เป็นดาราหรือเปล่าครับ คืนนี้พี่ออกไป 'เที่ยว' กับผมต่อนะครับ..."


--------------------------------


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 03:19:14 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
มารไม่มา
บารมีไม่เกิด

ถ้าสติเตลิด
ตัณหาก็จะเกิด

แล้วแย่งกันสลัดผ้า
ผลัดกันเปิด เชิดมังกร

..ตะลุ่งตุ้งแช่..

ดี๊ยยยดียยย เอ๊ะ หรือว่าไม่ดี
หุหุ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๐ : คำรักในคืนหลอกลวง


         อยู่ดีๆ ใครมาชมกันแบบนั้นก็ต้องมีเขินบ้างล่ะ ต้นข้าวมองหน้าอ้น หนุ่มน้อยเบอร์ ๕ แล้วหัวเราะหึหึ

         "ปากหวานจังนะเรา"

         "อ้าว ก็จริงๆ นี่ครับพี่" อ้นลากเก้าอี้เข้ามาชิดขึ้นอีก

         "พี่พึ่งมาครั้งแรกเหรอฮะ ผมไม่เคยเจอที่นี่เลย"

         "ใช่ พี่พึ่งเคยมาครั้งแรก ปกติพี่ไม่ชอบเที่ยวแบบนี้" ตาต้นข้าวตอนนี้มองขึ้นไปบนเวที นางโชว์กำลังเปลี่ยนเป็นโชว์ตลกเพลงลูกทุ่ง

         "ผมนี่โชคดีจัง ที่ได้เจอกับพี่คืนนี้ พี่เหมือนพระมาโปรดผมเลยนะเนี่ย" อ้นจ้องหน้าต้นข้าวไม่วางตา

         ต้นข้าวหันกลับไปมองอ้นบ้าง "ทำไม โชคดีเรื่องอะไรเหรอ"

         อ้นเริ่มตีหน้าเศร้า "ก็ผมนึกว่าคืนนี้จะเน่าซะแล้วสิครับ ผมกลัวไม่มีเงินไปรักษาแม่ แม่ผมป่วยนอนอยู่ที่บ้าน"

         ---มันเป็นเรื่องที่ควรจะคุยกับคนแปลกหน้าไหมเนี่ย--- ต้นข้าวคิดในใจ

         อ้นเห็นต้นข้าวเฉยๆ กับประโยคนั้น คราวนี้จึงจับมือต้นข้าวมากุมไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ ดึงมาวางที่กลางลำตัวตนเองเลย อ้นใส่กางเกงขาสั้นมากสีขาว เนื้อผ้าค่อนข้างบาง สัมผัสของมือที่วางลงไปลึกไปถึงไหนต่อไหน จับได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยล่ะ

         ต้นข้าวก้มลงไปมองตามมือตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองอ้น ส่งยิ้มให้เบาๆ แล้วค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกจากกลางเป้านั้น เอามาประคองขวดเบียร์ที่ดื่มอยู่แน่นไว้ทั้งสองมือ ---ดูสิว่าคราวนี้มันจะทำอะไรอีกได้---

         ต้นข้าวหันไปมองที่เอกบ้าง เอกผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้ติดกัน และมีหนุ่มน้อยที่ชื่อบอยเบอร์ ๑๒ กำลังยืนกอดเอกจากทางด้านหลังแน่น ทั้งลำตัวสนิทแนบไปกับแผ่นหลังของเอก ไม่ต้องคิดเลยว่าอะไรต่ออะไรในตัวมันจะไปถูหลังคนนั่งที่โดนกอดอยู่บ้าง

         เอกหัวเราะร่าเริง ดูมีความสุขมากในคืนนี้ ความทุกข์ระทมที่เกิดจากเรื่องแจ๊ส คงละลายหายไปพร้อมๆ กับเบียร์ขวดที่สองหรือสามที่สั่งมากินเพิ่มแล้วล่ะ เสียงหัวเราะต่อกระซิกที่เอกเงยหน้าขึ้นไปคุยกับบอย บอกให้รู้ว่าตอนนี้สองคนเหมือนเข้าไปนั่งคุยกันในตู้เล็กๆ อะไรสักตู้ที่ปิดประตูสนิท โลกนี้มีกันสองคน ไม่มีใครมาเกี่ยวข้อง

         ต้นข้าวนั่งเบื่ออยู่อีกพักใหญ่ๆ ไหนจะต้องรับฟังอ้น ซึ่งกำลังเล่าถึงความทุกข์ระทมต่างๆ ของชีวิตตัวเองที่เจอ เรื่องแม่ที่ป่วย เรื่องพ่อไม่เหลียวแล เรื่องน้องชายที่ไม่ตั้งใจเรียน พร้อมทั้งย้ำอยู่นั่นแล้วว่าโชคดีที่เจอต้นข้าวในคืนนี้ อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ อยู่ค้างคืนด้วยเลยได้ไหม นั่น นู่น นี่...

         "กลับเถอะ" ต้นข้าวหันไปสะกิดเอก

         "อ้าว อยากเอาแล้วเหรอ" เอกหันมาหัวเราะเอิ้กอ้ากด้วย หน้าเริ่มแดง ลิ้นเริ่มพันกันแล้ว

         "บอย ไปบอกกัปตันว่าเช็คบิล รวมทั้งค่าออฟคืนนี้ของบอยกับอ้นด้วยนะ" เอกเงยขึ้นไปบอกเด็กของตัวเอง ฝ่ายนั้นยิ้มร่า แล้วรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง

         "หึ๋ย...ออฟอ้นไปด้วยทำไม เราไม่เอานะ" ต้นข้าวตกใจที่เอกสั่งเด็กไปแบบนั้น

         "เหอะน่า เราจัดการให้ เราเลี้ยงค่าออฟ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่มาเที่ยวเป็นเพื่อนเราคืนนี้น่ะ ไม่ต้องอายหรอก สบายๆ อย่าคิดมาก" เอกโบกมือไปมา

         ต้นข้าวรู้แหล่ะ ว่าบ้านเอกมีฐานะดี จะเลี้ยงอีกสองสามคนก็ได้ แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ไง

         "เราจ่ายไปแล้ว จ่ายแล้วก็เอาๆ ไปเถอะ ขำๆ"

         ---ใครจะไปขำด้วย เรื่องแบบนี้--- แล้วนี่มันคือเด็กบาร์ เด็กขายบริการด้วยเนี่ยนะ

         "งั้นผมไปเปลี่ยนชุดเลยนะครับ แล้วผมยืนรอหน้าประตูข้างล่างนะ" เสียงอ้น เบอร์ ๕ บอกมา ต้นข้าวจะอ้าปากบอกว่าไม่ต้อง ก็ไม่ทันแล้ว ---เฮ้อ เอาไงดีวะเนี่ย---

         "ป่ะ ไปกัน" เอกลุกขึ้นยืน เซเล็กน้อย รับเงินทอนจากกัปตัน และทิปกลับไปด้วยแบ็งค์ร้อย กัปตันแทบจะปูพรมแดงให้ตอนขากลับ

         ทั้งสองคนเดินลงมาจากชั้นสอง ก็พบกับเด็กหนุ่มบาร์สองคนนั่นยืนรออยู่แล้ว ในชุดใหม่ที่เหมือนจะออกไปเที่ยวปกติ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้มีอาชีพอะไร

         เอกเดินไปจูงมือเด็กของตัวเอง แล้วหันมาบอกต้นข้าวซึ่งยืนทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น

         "เราแยกกันตรงนี้นะ เราจะไปที่ห้องน้องบอย ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม"

         ต้นข้าวยิ่งทำหน้าเหวอหนักขึ้น อะไรกันวะนี่ นี่กูมาทำอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ คิดจบก็หันไปมองหน้าอ้น ซึ่งเหลือยืนอยู่คนเดียว กำลังจ้องมองต้นข้าวรออยู่แล้วด้วยสายตาหวานเยิ้ม

         "งั้นเราไปกันเถอะครับพี่ พี่เอารถมาหรือเปล่าครับ"

         ต้นข้าวพยักหน้ารับอย่าง งงๆ ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วตอนนี้ ได้แต่เดินนำอ้นไปที่จอดรถในซอยโรงแรมมณเทียรข้างๆ นั้น

         "รถพี่สวยจัง" อ้นบอกในขณะที่เข้ามานั่งเบาะข้างในรถต้นข้าว พร้อมกวาดตามองไปทั่วทั้งในรถ "เราจะไปนอนคุยกันที่ไหนดีครับ"

         มือของอ้นเริ่มไว ขณะที่ต้นข้าวกำลังเข้าเกียร์ถอยออกมาจากซองจอด อ้นก็เริ่มเลื้อยมือมาที่ต้นขาของต้นข้าวทันที

         "เฮ้ย อย่า..." ต้นข้าวตกใจ เพราะมือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือกำลังสาละวนกับการเปลี่ยนเกียร์รถอยู่ อ้นหัวเราะเสียงดัง แต่ไม่ได้ถอนมือออกจากขาชายหนุ่ม

         "ผมมีความสุขที่สุดเลยที่อยู่กับพี่ในคืนนี้" เจ้าเด็กอ้นนั่นเริ่มทำตาเคลิ้มฝัน หันมามองต้นข้าวแล้วก็เลยเอนหัวมาซบไหล่ต้นข้าวทั้งๆ ที่กำลังขับรถอยู่แบบนั้น

         "นั่งดีๆ พี่ขับรถไม่ถนัด"

         ต้นข้าวยักไหล่ข้างที่อ้นมาซบพิงแรงๆ ให้หัวเจ้าเด็กนั่นกระเด้งออก ตอนนี้ต้นข้าวเลี้ยวเข้าถนนราชดำริแล้ว ตั้งใจจะขับกลับบ้านโดยจะผ่านไปทางประตูน้ำเข้าถนนวิภาวดี ในใจก็คิดว่าจะปล่อยเจ้าอ้นลงตรงไหนดี

         "พี่ชอบแบบไหนครับ ผมทำให้พี่ได้หมดเลยนะ" เจ้าเด็กอ้นนี่ยังไม่ละความพยายาม

         "เอ่อ..." ต้นข้าวก็ไม่รู้จะตอบเรื่องนี้ยังไง เอาเข้าจริงๆ ต้นข้าวก็ไม่เคยมีอะไรกับคนอื่นเลยตั้งแต่โตมา มีแฟนแค่จิวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่เริ่มรู้จักกับความรัก จึงรู้สึกแปลกๆ บ้างที่ต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับคนที่พึ่งรู้จัก จึงรีบพูดตัดบทเปลี่ยนเรื่องออกไป จะได้จบๆ สักที

         "แล้วนี่อ้นบ้านอยู่ไหนนี่ พี่จะไปส่ง"

         อ้นหันมายิ้มเจื่อนๆ "ห้องเช่าผมอยู่แถวประตูน้ำครับ แต่ผมพาพี่ไปห้องผมไม่ได้ เพราะแม่ผมนอนป่วยหนักอยู่ที่ห้องอะ"

         "ไม่ใช่ พี่หมายถึงพี่จะแวะไปส่งอ้นกลับห้อง ไม่ใช่ว่าพี่จะขึ้นไปกับอ้นที่บนห้อง" นี่มันคิดกันไปคนละเรื่องเลยนี่นะ ต้นข้าวนึกในใจ

         "อ้อ ฮะ แต่แถวประตูน้ำ มีโรงแรมถูกๆ นะครับ เราไปเปิดห้องที่นั่นกันก็ได้ครับ" อ้นยังพล่ามไปคนละเรื่องต่ออีก

         "ผมรู้สึกรักพี่จังเลย"

         ต้นข้าวหันไปมองหน้าอ้นชัดๆ อีกที --เออเนาะ คนเราพึ่งเจอกันก็บอกรักกันง่ายๆ งี๊ก็มีด้วย--

         ต้นข้าวรู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมรถติดไฟแดงนานจัง ตอนนี้รถมาจอดรอไฟแดงอยู่ที่แยกหลังสวน นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว ปกติรถโล่งแทบจะขับซิ่งได้ หันไปมองรอบรถซ้ายขวา คนขับรถทุกคันข้างๆ ทำหน้าเซ็งๆ อยู่หลังพวงมาลัยรถกันหมด

         "รถติดอะไรหว่า" ต้นข้าวพูดลอยๆ ออกมา

         "ติดก็ดีสิครับ"

         "ดียังไง เบื่อ พี่อยากกลับบ้านแล้ว บ้านพี่ยังอีกไกล"

         "เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไง" พูดจบอ้นก็เอามือมากุมมือต้นข้าวที่จับค้างอยู่บนเกียร์รถ ลูบไปลูบมาเบาๆ

         ต้นข้าวเหนื่อยที่จะคุยด้วย เพลียที่จะคิดอะไรต่อแล้ว จึงปล่อยให้ไอ้เด็กอ้นนี่มันลูบมืออยู่แบบนั้น ส่วนตัวเองก็หลับตาเอนตัวพิงเบาะ ทำท่าอยากจะหลับๆ ไปแล้วตื่นมาให้พ้นจากตรงนี้

         นาฬิกาผ่านไปอีก ๔๐ นาที รถยังไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อน นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วล่ะ ต้นข้าวได้ยินเสียงรถหวอจำนวนมากวิ่งเปิดไซเรนอยู่ไกลๆ หันมองไปนอกรถ เจ้าของรถหลายคนดับเครื่องยนต์ แล้วออกจากรถมายืนสูบบุหรี่อย่างหงุดหงิดริมถนนราชดำรินี้บ้างแล้ว หันกลับไปมองอ้น กำลังหลับอยู่บนเบาะ ต้นข้าวคิดในใจ ---ไหนบอกรักอย่างโน้นอย่างนี้ ไหนบอกอยากอยู่ด้วยกันนานๆ แต่ชิงหลับไปก่อนแล้วนี่นะ---

         ต้นข้าวลองหมุนปุ่มวิทยุ จะลองเปิดฟังเผื่อมีข่าวอะไรออกอากาศ ปรากฎว่าเหมือนคลื่นวิทยุถูกรบกวน ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อยู่ใจกลางกรุงเทพแท้ๆ แต่เสียงที่ออกมาจากวิทยุเหมือนเรานั่งรถออกไปต่างจังหวัดไกลๆ แล้วคลื่นวิทยุไปไม่ถึง ส่งเสียงโครกครากอยู่อย่างนั้น ต้นข้าวเลยปิดวิทยุ เจ้าอ้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี

         "โห รถยังไม่เคลื่อนเลยหรือพี่ นี่กี่โมงแล้ว" อ้นคว้าข้อมือของต้นข้าวมาพลิกดูนาฬิกา มันเป็นเวลา ๕ ทุ่มกว่า เลยอุทานเสียงดังออกมา

         "ตายห่า!! จะเที่ยงคืนแล้ว"

         อ้นหันไปมองริมถนนนอกรถ เห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ริมถนนไม่ไกล มีคนยืนต่อคิวอยู่สัก ๗-๘ คน ก็หันมาบอกต้นข้าวอย่างร้อนรนว่า "พี่มีเหรียญหยอดตู้โทรศัพท์ไหม ขอหน่อย ผมจะโทรไปหาแม่ว่าแกเป็นยังไงบ้าง แกนอนป่วยอยู่คนเดียว"

         ต้นข้าวก้มลงไปค้นหาเหรียญในช่องใส่ของหน้ารถ นึกในใจว่าดีเหมือนกัน ให้มันโทรไปหาใครก็โทรไป จะได้ไปพ้นๆ ซะที แต่เหรียญที่หยิบติดมือขึ้นมาเป็นเหรียญ ๕ บาทกับเหรียญ ๑๐ บาท ซึ่งในประเทศไทยพึ่งจะผลิตเหรียญสองชนิดนี้ใช้ครั้งแรกเมื่อสักปีกว่านี่เอง ถือว่ายังเป็นของใหม่อยู่ ทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะยังไม่ได้รองรับเหรียญนี้

         "เอ้านี่ มีแค่สามบาท" ต้นข้าวควานหาเหรียญบาทจนเจอ อ้นรีบรับเหรียญบาทนั่นไป แล้วลงจากรถเพื่อเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ ต้นข้าวคิดในใจ ---ขอให้มันโทรไปหาแม่มัน แล้วรีบกลับๆ ไปเหอะ---

         ...................

         ต้นข้าวเอาคางเกยกับพวงมาลัยรถ เอานิ้วเคาะที่พวงมาลัยรถเป็นจังหวะอย่างไร้ความหมาย ตามองเหม่อไปที่เจ้าเด็กอ้นเบอร์ ๕ นั่น ซึ่งกำลังยืนรอคิวหน้าตู้โทรศัพท์อย่างกระสับกระส่าย

         ป่านนี้จิวจะเป็นยังไงบ้างนะ จะหลับหรือยัง จะตื่นมาหิวกลางดึกหรือเปล่า จะมีคนต้มมาม่าอย่างที่ชอบให้กินไหม ไม่รู้เดินทางไปที่นครชัยศรีจะลำบากลำบนอย่างไร และขากลับมาคงจะปวดเมื่อยหลังน่าดู เดี๋ยวเจอกันต้นข้าวจะนวดหลังให้จิวดีกว่า จิวเป็นคนเก่งนะ ช่วยงานป๊าที่โรงงานได้ทุกอย่างเลย อีกหน่อยก็คงได้เป็นเจ้าของโรงงานทำรองเท้าฟองน้ำ 'ตราสามดาว' ต่อจากป๊าแหล่ะ

         ต้นข้าวคิดถึงจิวจัง...

         .....................

         "ฮัลโหล" อ้นกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เมื่อปลายสายมีคนรับแล้ว

         "ไอ้เหี้ยอ้น มึงอยู่ไหนแล้ว" เสียงแหลมๆ ของผู้หญิงปลายสายแว่วออกมา

         "รถยังติดอยู่ตรงราชดำริเลย ยังไม่ได้ขึ้นโรงแรมเลย" เสียงอ้นอ่อนลง

         "มึงนี่นะ โง่จริง ทำไมมึงไม่พาเข้าโรงแรมจิ้งหรีดแถวที่ทำงานมึง มึงจะนั่งรถออกมาทำไมให้โง่ ห่ะ!!"

         "..............."

         "แล้วนี่มึงรู้ไหม ข่าวออกว่ามีไฟไหม้ รถมันก็ติดสิ ลูกมึงก็ร้องอยู่นั่นล่ะ กูเป็นเมียมึงนะไม่ใช่ขี้ข้า นี่มึงขึ้นห้องน้ำแตกกับแขกไปกี่รอบแล้ว นมกระป๋องลูกมึงหมดแล้วนะ"

         "ยังไม่ได้แตกสักรอบนึง มาเจอไอ้เหี้ยนี่ ซวยฉิบหาย ไม่รู้ดัดจริตอะไรของแมร่งมัน จะพาไปขึ้นห้องแถวประตูน้ำอีก เรื่องมากฉิบหาย"

         "มึงก็ไปอ้อนๆ มันหน่อย ตอแหลบอกรัก บอกชอบมันไปเยอะๆ พวกตุ๊ดพวกเกย์นี่มันโง่จะตายห่า มึงงัดของๆ มึงออกมาจากกางเกงขี้คร้านมันก็พร้อมจ่ายให้มึงเยอะๆ เพราะไอ้นั่นของมึงมันก็อันไม่ใช่น้อยๆ นี่"

         "กูตอแหลว่ารักมันไปหลายรอบแล้ว ท่าทางมันโง่ๆ เหมือนไก่อ่อนคงหลอกได้แหล่ะ แต่กูว่าเดี๋ยวกูทิ้งมันดีกว่า รถแมร่งติดไม่ขยับนาน เสียเวลาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย ไปจับแขกคนใหม่ดีกว่านะมึง อย่างน้อยกูก็ได้ค่าออฟจากร้านมาฟรีๆ แล้ว ไม่ต้องเสียน้ำกับมันด้วย"

         "ดีแล้ว มึงไถตังค์ค่าเสียเวลามันมา แล้วไปหาแขกโง่ๆ คนใหม่เหอะ เอาตังค์กลับมาเยอะๆ หรือมึงจะขโมยกระเป๋า ขโมยนาฬิกา หรือของอะไรในรถของมันมาด้วยก็ได้ นี่แม่ของมึงก็ออกไปเล่นไพ่ข้างห้องอีกแล้ว เห็นพูดเสียงดังว่าคืนนี้จะไถตังค์มึงอีก มึงเตรียมไว้ให้แม่มึงด้วยเถอะ กูรำคาญ"

         "เออ เออ เท่านี้นะ เดี๋ยวกูไปตอแหลมันก่อน"

         "เดี๋ยวๆ ไอ้อ้น แล้วเวลามึงเข้าโรงแรมไปกับลูกค้ามึงเนี่ย อย่าลืมปิดไฟมืดๆ นะโว้ย เดี๋ยวพวกมันเห็นแผลบนไอ้นั่นมึง ว่ามึงเป็นโรคหงอนไก่กับหนองใน เดี๋ยวแขกจะด่าแม่มึงอีก"

         "เออ กูรู้แล้วน่า กูเอาถุงมีชัยมาด้วย กูจะรีบสวมปิดแผลไม่ให้เห็น...กูวางหูเท่านี้นะ บาย"

         ........................

         เสียงเปิดประตูรถ ทำให้ต้นข้าวสะดุดหยุดนึกถึงเรื่องของจิว หันกลับมามองคนที่กำลังผลุบเข้ามานั่งในรถข้างๆ

         "พี่ แม่ของผมท่าทางไม่ค่อยดีแล้วอ่ะ ผมขอกลับก่อนได้ไหมครับ"

         ต้นข้าวถอนหายใจเฮือก! "เอาสิ แต่รถติดแบบนี้จะไปยังไงล่ะ"

         "เดี๋ยวผมเดินไปเรื่อยๆ ครับ เดี๋ยวเจอรถสามล้อก็เรียกกลับห้องได้ ดีกว่าติดอยู่แบบนี้อ่ะ"

         ต้นข้าวพยักหน้า "อืม ดี รีบกลับไปดูแม่เถอะ"

         "พี่ครับ แต่ผมก็ชอบพี่จริงๆ นะครับ ผมถูกชะตากับพี่ จริงๆ ผมอยากนอนกอดพี่ทั้งคืนเลย" เจ้าเด็กอ้นนั่นถูมือไปมา

         ต้นข้าวหัวเราะหึหึ

         "พี่ครับ ผมขอค่ารถกลับบ้านสักห้าร้อยได้ไหมครับ" อ้นโพล่งออกมา

         "ห้าร้อย!!" ต้นข้าวอุทานออกมา นึกในใจว่าจริงๆ ก็พอจะรู้มาบ้างว่าถ้าออฟเด็กออกมาจากบาร์แล้ว นอกจากค่าออฟที่จ่ายให้ร้าน พอนอนกับเด็กเสร็จก็ต้องทิปให้เด็กอีกประมาณ ๓๐๐-๕๐๐ บาท แล้วแต่ความพอใจ แต่นี่ยังไม่ได้มีอะไรกันเลยไง

         "นะ พี่นะ ช่วยผมหน่อย แม่ผมป่วย..."

         "อ่ะ เอาไปๆๆ" ต้นข้าวเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินส่งให้ นึกในใจจะได้จบๆ พ้นๆ ไปซะที

         เจ้าเด็กอ้นเบอร์ ๕ คว้าเงินจากมือต้นข้าวอย่างเร็ว พร้อมกับหลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง "ขอบคุณครับพี่ ผมรักพี่นะ" แล้วก็เปิดประตูรถลงไป

         ต้นข้าวมองตามผ่านกระจกส่องหลัง อ้นเดินไปทางด้านหลัง คือทางที่ผ่านมา ไม่ใช่ทางที่จะตรงไปประตูน้ำอย่างที่ปากว่า ต้นข้าวถอนหายใจดังเฮือก! เสียงคำพูดสุดท้ายยังก้องในหู "ผมรักพี่นะ"

         และตอนนี้ต้นข้าวก็พึ่งนึกอะไรออกอีกอย่างหนึ่งว่าตั้งแต่เอกเรียกเด็กคนนี้มาให้ที่โต๊ะ จนถึงคำบอกรักเดี๋ยวนี้จากปากก่อนแยกจากกัน เด็กคนนี้ไม่เคยถามต้นข้าวเลยสักคำว่าต้นข้าวชื่ออะไร!!

         คำรักที่พูดตามลมลอยๆ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามกันนี่นะ

         ต้นข้าวหันไปมองบนเบาะนั่งข้าง เพราะเห็นอะไรแวบๆ สีชมพูมากระทบตาจากซอกเบาะ เจ้าเด็กอ้นนั่นคงทำตกไว้ตอนลุกเข้าๆ ออกๆ จากรถ

         หนุ่มน้อยหยิบมันขึ้นมา เป็นซองพลาสติกใสเล็กๆ ข้างในมองเข้าไปเห็นเป็นถุงมีชัย (ถุงยางอนามัย) ของกระทรวงสาธารณสุข ๒ ชิ้นในซองตะกั่วที่ยับยู่ยี่ หักพับ และดูเก่าจนหวาดเสียวว่าถุงยางในนั้นจะหมดอายุ หรือทะลุไปแล้วหรือเปล่า และสิ่งของอีกชิ้นในถุงนั้นคือตลับสีชมพูเล็กๆ มีคราบน้ำใสๆ เกรอะกรังตามขอบฝา ดูสกปรกและผ่านการปิดเปิดใช้งานหลายรอบ ต้นข้าวเดาว่ามันน่าจะเป็นสารหล่อลื่น (KY) ที่ใช้ตอนจะมีเพศสัมพันธ์ ชนิดแบบแบ่งจากหลอดใหญ่ใส่ลงตลับพกพา

         ต้นข้าวเปิดประตูรถแง้มนิดหนึ่ง หย่อนถุงพลาสติกทั้งถุงนั้นลงไปบนพื้นถนน แล้วปิดประตูรถดังปัง เหมือนกลัวว่าเชื้อโรคจะตามกลับขึ้นมาบนรถด้วย

         หนุ่มน้อยเริ่มรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า โชคดีมากๆ ที่รถมาติดอย่างหนักหนาสาหัสในกลางดึกคืนนี้ และมีความรู้สึกว่าการรอคอยที่รถจะเริ่มวิ่งต่อได้ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

         ....................

         ต้นข้าวใช้เวลารอคอย และขยับรถทีละน้อยบนถนนเส้นนั้นไปอีกชั่วโมงครึ่ง และต้องเลี้ยวอ้อมออกไปอีกหลายถนน จนถึงบ้านที่แจ้งวัฒนะเมื่อใกล้ตีสอง รวมใช้เวลาบนถนนถึงสี่ชั่วโมง

         เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อต้นข้าวตื่นขึ้นมาที่บ้าน จึงได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้รถติดอย่างสาหัสเมื่อคืนบนถนนราชดำริ

         และคงจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ต้นข้าว หรือคนในกรุงเทพฯ อีกจำนวนมากต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน กับการพาดหัวข่าวตัวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันนั้น

         "รถแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่!! โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ในวันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๓ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น."


--------------------------------


         หมายเหตุ : รำลึก ๒๗ ปี เหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่  http://news.mthai.com/general-news/386513.html


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 03:19:44 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
   โหหหให้ทิปไป100บาท สมัยนั้นถือว่าเยอะมาก ก้วยเตี๋ยวถ้วยหนึ่งยังไม่ถึง25บาทเลยอะ 555
  ข้าวทำถูกแล้ว ตอนอ่านนี่ลุ้นว่าข้าวจะนอกใจจิวรึป่าว เห้ออโล่งใจไปเลยข้าวคิดถึงจิวคนเดียว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
 ** หายไปนานมาก คิดถึงเรื่องนี้มาก มารออ่านทุกวัน ดีใจที่มาวันนี้คับ**
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2017 00:41:02 โดย GuoJeng »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ดีใจ คุณนักเขียนกลับมาแล้ว เราก็รอ
ดีใจรอบสองที่ยังไม่ได้รับมาม่า จิตมั่นๆไว้ข้าว

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ดีใจที่กลับมาต่อแล้ว รอนานมากๆๆ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
น้ำก็ไม่แตก
เสือกขอเงินกูไปแดกตั้ง 500

ไอ่หงอนแถมหนอง
หุหุ


ดูดิ๊..ต้นข้าวยังคิดถึงแต่หน้าจิวคนเดียว
นี่ดิ ถึงจะเรียกว่ารักแท้ อิอิ

ดราม่าอะไร..ไม่มีหรอกอ่ะเรื่องนี้
เน๊าะ คนแต่ง

บวกๆๆๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
   โหหหให้ทิปไป100บาท สมัยนั้นถือว่าเยอะมาก ก้วยเตี๋ยวถ้วยหนึ่งยังไม่ถึง25บาทเลยอะ 555
  ข้าวทำถูกแล้ว ตอนอ่านนี่ลุ้นว่าข้าวจะนอกใจจิวรึป่าว เห้ออโล่งใจไปเลยข้าวคิดถึงจิวคนเดียว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
 ** หายไปนานมาก คิดถึงเรื่องนี้มาก มารออ่านทุกวัน ดีใจที่มาวันนี้คับ**

= ทิปร้อยนึงนี่เดินเป็นเจ้าพ่อได้เลยฮะ อิอิ //ขอบคุณมากนะฮะที่ติดตามต้นข้าวและจิว ดีใจเช่นกันคร้าบ


 
 :L2: :pig4:

ดีใจ คุณนักเขียนกลับมาแล้ว เราก็รอ
ดีใจรอบสองที่ยังไม่ได้รับมาม่า จิตมั่นๆไว้ข้าว

= ช่วงที่ผ่านมามีงานเข้าพอดี เลยแวบหายไปเล็กน้อยฮะ ขอบคุณมากฮะที่ยังรักกัน


 
ดีใจที่กลับมาต่อแล้ว รอนานมากๆๆ

= ขอบคุณมากๆ นะฮะ คนอ่านก็น่ารักที่สุด


 
น้ำก็ไม่แตก
เสือกขอเงินกูไปแดกตั้ง 500

ไอ่หงอนแถมหนอง
หุหุ


ดูดิ๊..ต้นข้าวยังคิดถึงแต่หน้าจิวคนเดียว
นี่ดิ ถึงจะเรียกว่ารักแท้ อิอิ

ดราม่าอะไร..ไม่มีหรอกอ่ะเรื่องนี้
เน๊าะ คนแต่ง

บวกๆๆๆๆๆๆ

= ถ้าเป็นสมัยนี้ (ถ้าไปเที่ยวบาร์โฮส) ก็ต้องบอกว่า "เสียเป็นแสน ปลายแขนไม่ได้แตะ" 55555+

ส่วนเรื่องดราม่า ไม่มี๊...(เสียงสูง) ชีวิตใครจะไปดราม่าใช่ไหมฮะ มีแต่โรยด้วยกลีบกุหลาบทั้งนั้น อิอิ //โอ้ย หนามกุหลาบตำมือ!!


 --------------------------------


และขอบคุณผู้อ่านท่านอื่นทุกท่านด้วยฮะ น่ารักที่สุด


ปล. ช่วงหลังๆ ทำไมตัวหนังสือในเวปนี้ เวลาอ่านผ่านมือถือตัวมันเล็กลงอ่า


 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๑ : เรื่องของจิว


         สามวันหลังจากที่ต้นข้าวออกไปเที่ยวบาร์กับเอก จิวก็กลับมาจากนครชัยศรี และวันนี้ได้นัดเจอกับต้นข้าวที่ห้างมาบุญครอง ในร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์  ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดห่างไกลจากโต๊ะอื่นๆ มีไอศกรีมเอิร์ธเควกจานโตวางอยู่ตรงหน้า

         "รสนี้อร่อยดี" ต้นข้าวพูดหลังจากเอาช้อนตักไอศกรีมเข้าปาก แล้วเลียปลายช้อนอย่างอร่อย

         "ไหนๆ ชิมหน่อย"

         จิวชะโงกหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้แล้วมองหน้า  ต้นข้าวเลยต้องเอาช้อนของตัวเองตักไอศกรีมรสเมื่อกี้ยื่นไปป้อนใส่ปากจิว

         "อืม อร่อย" จิวหลับตาพริ้ม ทำหน้ามีความสุข ต้นข้าวป้อนให้แค่ครึ่งช้อน แต่รู้สึกอร่อยเหมือนได้กินไอศกรีมทั้งถังใหญ่ๆ

         "อร่อยจริงอ๊ะ" ต้นข้าวอมยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แล้วเอาปลายช้อนขึ้นมาเลียๆ เศษไอศกรีมที่ติดอยู่อีกครั้ง จิวมองตามปลายลิ้นสีชมพูนั้น แล้วหัวเราะหึหึ

         "มันอร่อยตรงที่ทำแบบนั้นมั้ง เห็นแล้วอยากจะกัดให้ลิ้นขาดเลย"

         "บ้า" คราวนี้ต้นข้าววางช้อนลง เปลี่ยนเรื่องคุย

         "แล้วเป็นยังไงบ้าง ไปนครชัยศรีงวดนี้"

         "ก็ดี ป๊าจะสั่งซื้อเครื่องฉีดพลาสติกทำพื้นรองเท้าแตะรุ่นใหม่ ไม่ใช่เป็นฟองน้ำแล้ว คราวนี้เป็นเนื้อ PVC ทันสมัยขึ้น เครื่องจะมาส่งเดือนหน้านี้ล่ะ"

         "ดีจังเลย แล้วมันยุ่งยากไหม" หนุ่มน้อยผู้อยากรู้เรื่องกิจการของบ้านแฟนถามต่อ

         "ขั้นตอนไม่แตกต่างจากตอนทำรองเท้าฟองน้ำของเก่านะ เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุแค่นั้นเอง แต่มีข้อดีคือมันออกแบบรองเท้าใหม่ๆ ได้อิสระขึ้น น่าจะขายได้หลากหลายกลุ่ม หลายตลาดมากขึ้นน่ะ"

         "ดีจัง" ต้นข้าวพูดซ้ำอีกทีแล้วตั้งคำถามต่อ "ตอนนี้ก็ยุ่งกันทั้งบ้านเลยสิ"

         "ก็ยุ่งนะ ต้องเตรียมพื้นที่วางเครื่อง แต่คนที่จะยุ่งสุดน่าจะเป็นจิวนี่ล่ะ เพราะป๊าจะให้จิวลงไปทำเรื่องนี้เต็มตัวเลย แถมให้ออกแบบเองด้วย"

         ต้นข้าวหน้ามุ่ยลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้  เพราะเดาทางได้ว่า 'เวลาของเรา' มันต้องหายไปแน่ๆ กับการที่จิวจะต้องลงไปทำกิจการที่บ้านเต็มตัว พอจิวเห็นต้นข้าวทำหน้าแบบนั้น ก็เอามือขึ้นมาขยี้ผมต้นข้าวอย่างปลอบใจ

         "จะทำหน้าอย่างนั้นไปทำไมล่ะหือ ต้นข้าวคิดถึงก็มาหาจิวที่โรงงานสิ หรือถ้าจิวว่างก็ต้องไปหาต้นข้าวที่บ้านอยู่แล้ว ไม่ได้จากกันไปไหนสักหน่อย"

         ต้นข้าวพยายามฝืนยิ้มแห้งๆ ให้จิว เอาสองมือขึ้นไปจับมือจิวที่กำลังขยี้ผมตัวเองอยู่ให้หยุด แล้วกดมือให้คาไว้บนหัวแบบนั้น พูดเสียงอ่อยๆ "ก็คนมันคิดถึงนี่"

         จิวดึงมือออกจากหัวต้นข้าว ก้มคงไปควานหาของใต้โต๊ะ ปากก็พูดว่า

         "คิดถึงก็กินนี่ไปก่อน ซื้อส้มโอนครชัยศรีมาฝาก อร่อยจัง เห็นแล้วคิดถึงอยากซื้อมาให้"

         "หูย...ลงทุนนะเนี่ย แบกส้มโอเป็นลูกๆ มาเดินห้างด้วยเหรอ" ต้นข้าวหัวเราะขำ

         "เฮ้ย ใครจะแบกมาเป็นลูกล่ะ" จิวเงยหน้าขึ้นมองต้นข้าว ดวงตาพราวระยับไปด้วยความเอ็นดู แล้วดึงกล่องทัพเพอร์แวร์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ "แกะมาให้แล้ว ในกล่องนี่ไง"

         ต้นข้าวยิ้มกว้างขึ้น เอื้อมมือจะไปหยิบ

         "เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ลูกนี้อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ ลืมชิม" จิวดึงกล่องทัพเพอร์แวร์กลับมาใกล้ตัว ต้นข้าวเอื้อมมือคว้าไปไม่ทัน  จิวเปิดฝากล่องหยิบส้มโอ ของฝากขึ้นชื่อจากนครชัยศรีสีนวลสวยขึ้นมากัดกินไปคำหนึ่ง แล้วทำหน้าเหมือนกินของเปรี้ยวจัดเข้าไป ทำตาหยีจนใบหน้าที่ออกจะตี๋หล่อนั้นเหลือดวงตาอยู่เป็นขีดเล็กๆ สองขีด

         "ทำไม เปรี้ยวเหรอ" ต้นข้าวมองลูกกระเดือกจิวที่วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ตามการกลืนของส้มโอชิ้นนั้น ส่วนตัวเองก็แอบกลืนน้ำลายตามเมื่อจินตนาการถึงความเปรี้ยวของมัน

         จิวไม่ตอบ แต่กัดส้มโอเข้าไปอีกคำหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วมองหน้าต้นข้าวนิ่งอยู่

         "ตกลงจะซื้อมาฝาก หรือซื้อมากินเอง หา..."

         ต้นข้าวยังพูดไม่ทันจบดี ส้มโอครึ่งชิ้นที่ถูกกัดชิมไปแล้ว ก็เข้ามาอยู่ที่ปากต้นข้าวอย่างนิ่มนวล คนป้อนจ้องตาต้นข้าวแบบขำๆ พูดเบาๆ "เคี้ยวดูเองว่าอร่อยไหม"

         ต้นข้าวทำหน้าพิกลที่จู่ๆ ก็ถูกป้อนส้มโอให้แบบไม่ตั้งตัว เอามือประคองปลายชิ้นส้มโอที่คาอยู่ในปาก แล้วลองเคี้ยวตามจิวบอก ในใจตั้งธงไว้แล้วว่ามันต้องเปรี้ยวแน่ เตรียมจะทำหน้ายู่ยี่ตามจิวอยู่แล้วเชียว แต่พอเคี้ยวเข้าไปจริงๆ มันกลับมีรสหวาน กรอบ อร่อย และฉ่ำ

         "อร่อยนี่..." ต้นข้าวพูดอ้อมแอ้ม ส้มโอยังถูกเคี้ยวอยู่เต็มปาก

         "แน่นอนอยู่แล้ว ใครเป็นคนซื้อล่ะ แหม...ว่าแต่ลองอีกชิ้นซิ" จิวเปิดฝากล่อง แต่ยังไม่ทันหยิบ คนนั่งตรงข้ามมือไวกว่า คว้ามาได้ทั้งกล่องเอามากอดไว้

         "พอเหอะ จะซื้อมาฝาก หรือจะซื้อมากินเอง หา?"

         จิวทำหน้าปูเลี่ยนๆ ยกมือเกาหัวแกรกๆ บ่นอุบอิบ "ขอชิมอีกชิ้นก็ไม่ได้"

         "ไม่ให้!!" เสียงประกาศิตขั้นเด็ดขาดจากหนุ่มน้อยหน้าตาดีตรงหน้า จิวมองหน้าแล้วนึกในใจ ถ้าจะหน้าตาดีขนาดนี้ ตรูยอมก็ได้ นี่นั่งมองหน้ามาห้าหกปียังไม่รู้เบื่อเลย

         หลังจากจิวตักไอศกรีมจากถ้วยตรงหน้ากินไปอีกสองคำแก้เขิน ก็ถามต้นข้าวในเรื่องการเรียนของต้นข้าวบ้างว่าที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง เพราะจิวก็ไม่ได้ตามไปหาหลายวันแล้ว

         ต้นข้าวเล่าให้จิวฟังถึงการเรียนภาคการละคร เล่าถึงวิชาที่ต้องขึ้นเรียน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวิชาในทางปฏิบัติทั้งสิ้น ห้องเรียนคือห้องซ้อมละคร ไม่ก็เวทีบนหอประชุม เรียนการออกเสียง เรียนการแอ็กติ้ง เรียนเรื่องฉาก ศึกษาเรื่องสีของฉากและสีของเสื้อผ้าที่มีผลต่ออารมณ์ตัวละคร ศึกษาประวัติศาสตร์การละครยุโรป และเล่าให้จิวฟังถึงโปรเจคใหญ่ของคณะฯ ที่กำลังเตรียมตัวกันอยู่ คือการทำละครเวทีประจำปี ซึ่งปีนี้จะทำเป็นละครเพลง

         "ละครเพลงเนี่ยนะ มันไม่ยากไปเหรอ เล่นเรื่องอะไรอ่ะ" จิวสงสัย

         "เรื่อง -ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส- น่ะ เอาบทมาแปลงเป็นละครเพลง"

         "อ๋อเหรอ ดีจัง จิวชอบหนังสือเรื่องนี้มากๆ อ่านซ้ำหลายรอบแล้ว ของพอล กาลลิโค ใช่ป่ะ ที่เป็นเรื่องของแม่บ้านรับจ้างทำความสะอาดตามบ้านในลอนดอนที่ชื่อ 'มิสซิสแฮริส' ที่ต้องการจะเก็บเงินหลายร้อยปอนด์ซื้อชุดราตรียาวจากห้องเสื้อ 'คริสเตียง ดิออร์' ที่แพงมากๆ ในช็อปที่ฝรั่งเศสน่ะ"

         "ใช่ๆๆ นั่นแหล่ะ เรื่องนั้น เพราะความฝันไม่มีวันแก่ และไม่มีวันหมดอายุ - ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" ต้นข้าวตาเป็นประกายที่จิวก็รู้จักเรื่องนี้

         "แล้วต้นข้าวแสดงเป็นบทอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะแต่งหญิงแสดงเป็นมิสซิสแฮริส?"

         ต้นข้าวเงื้อกล่องทัพเพอร์แวร์ ทำท่าจะเขวี้ยงใส่คนที่นั่งตรงข้าม แต่นึกเสียดายว่าส้มโออร่อย จึงลดมือวางลง "บ้า..."

         "ล้อเล่นน่า" จิวหัวเราะเสียงดัง "แล้วจริงๆ แสดงเป็นบทอะไร"

         "ยังไม่รู้เลย ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคนทำเบื้องหลัง พวกทำฉากหรือทำชุดหรือเปล่า แต่ถ้าลองแคสติ้งการแสดงผ่าน ก็อาจได้บทแสดงบ้างน่ะ แต่คงไม่ใช่ตัวหลักๆ เพราะอาจารย์อยากให้คนเรียนภาคการละครโดยตรงให้ทำงานเบื้องหลังเป็นทีมงานมากกว่าไปแสดงเอง" ต้นข้าวอธิบายยืดยาว

         "ดีแล้ว ถ้าแสดงเมื่อไร จิวจะไปนั่งดูต้นข้าวแสดงทุกรอบเลยนะ" จิวพูดยิ้มๆ

         "ขอบคุณนะ" ต้นข้าวยิ้มตอบกลับให้จิว แล้วค่อยๆ แง้มเปิดกล่องทัพเพอร์แวร์ยื่นส่งให้ "อ่ะ ให้ชิมส้มโออีกชิ้นนึง"

         จิวหัวเราะจนตาหยีอีกครั้งนึง "ไม่เป็นไร ต้นข้าวเก็บไว้กินเถอะ จิวซื้อมาฝากจะมาแย่งกินทำไม ที่บ้านยังมีอีกหลายลูก"

         ....................

         จิวกับต้นข้าวเดินเคียงกันลงมาจากชั้นสามของห้างมาบุญครอง กล่องทัพเพอร์แวร์ที่ใส่ส้มโอถูกเก็บลงถุงผ้าเรียบร้อย และจิวเป็นคนถือของทั้งหมดนี้ให้ต้นข้าว

         "เดี๋ยวตอนกลับต้นข้าวไม่ต้องขับรถไปส่งจิวที่บ้านนะ เพราะจะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา กว่าต้นข้าวจะขับกลับไปแจ้งวัฒนะอีกตั้งไกล"

         "จริงๆ อยากไปส่ง แล้วนอนค้างบ้านจิวด้วย แต่พรุ่งนี้มีเรียนเช้า เสียดายจัง คิดถึง..." ต้นข้าวพูดเสียงอ่อยๆ หน้าม่อยๆ

         "ไว้ให้ว่างๆ ก่อนเถอะ บ้านจิวไม่ได้หายไปไหน" จิวยกมือขึ้นมาโอบไหล่ต้นข้าว อมยิ้มและมองตาต้นข้าวด้วยความเข้าใจในคำว่า 'คิดถึง' นั้น

         "เออ แล้ววันก่อนโน้นที่โทรมาบอกว่าจะไปเที่ยวกลางคืนกับเอกน่ะ เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม" จู่ๆ จิวก็ถามต้นข้าวขึ้นมา

         ต้นข้าวสะอึกไปนิดหนึ่ง รีบเรียบเรียงคำพูดในใจอยู่สักครู่ แล้วจึงเล่าให้จิวฟังตามความเป็นจริงโดยละเอียดทั้งหมดด้วยความบริสุทธิ์ใจ และจิวก็ตั้งใจฟังทุกคำพูดอย่างนิ่งๆ

         "...ดีนะ ที่รถติดซะก่อน ถึงได้พ้นๆ มาได้นี่ เสียไปห้าร้อย แม้แต่ปลายก้อยยังไม่ได้เฉี่ยวกันเลย" ต้นข้าวเล่าทิ้งท้ายขำๆ

         จิวฟังอย่างเงียบๆ ทั้งสองคนเดินมาเกือบถึงอาคารจอดรถของมาบุญครองแล้ว

         "จิว ให้ไปส่งไหม" ต้นข้าวถามจิว เมื่อเห็นว่าจิวเงียบๆ ไป

         "ไม่อะ"

         "จิวเป็นอะไรหรือเปล่า โกรธเราหรือที่ไปเที่ยวแบบนั้นน่ะ"

         ไม่มีคำตอบจากจิว สักพักจิวก็ส่งถุงผ้าที่ใส่ทัพเพอร์แวร์ให้ต้นข้าว "กลับล่ะนะ" แล้วจิวก็หันหลังเดินกลับ

         "................"

         "เดี๋ยวจิว!!" ต้นข้าวร้องเรียกและรีบเดินตามมาจนทัน เอามือคว้าแขนจิวไว้ "อย่าพึ่งไป เราขอโทษ โกรธเราหรือที่เราไปแบบนั้นอะ"

         จิวหยุดเดินและหันมามองต้นข้าวนิ่งๆ

         "เราขอโทษ เราขอโทษนะ เราไม่ได้อยากไปที่แบบนั้นเลย" ต้นข้าวละล่ำละลักที่จะอธิบายจิว

         "ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่" จิวตอบต้นข้าวเสียงเรียบ หน้านิ่งๆ

         "ไม่ได้ว่า แต่ไม่คุยกับเรา เอาแต่เดินหนีแบบนี้เหรอ จิวคบกับเรามาหลายปี ยังไม่รู้จักเราอีกเหรอ เราไม่มีวันไปนอนมีอะไรกับคนแปลกหน้าแน่ๆ จิวก็รู้นี่"

         เรื่องนี้ทำไมจิวจะไม่รู้ ต้นข้าวเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งสวนทางกันกับบุคลิกลักษณะภายนอกมาก ต้นข้าวเป็นคนหน้าตาดี มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ที่ผ่านมามีคนพยายามจะเข้าหาต้นข้าวอยู่เรื่อยๆ แต่ต้นข้าวไม่เคยเล่นด้วยจนเกินเพื่อนหรือเป็นได้แค่คนรู้จัก  จิวรู้ว่าต้นข้าวเป็นคนที่มีเซ็กส์ยาก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้านี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย

         ต้นข้าวนับถือ 'ความรัก' มากกว่าเรื่องเซ็กส์ ต้นข้าวชอบอารมณ์ของการเป็นแฟน ต้นข้าวชอบการ 'ปลูกต้นรัก' ต้นข้าวชอบอารมณ์ของการกุ๊กกิ๊กอ้อยสร้อยมากกว่าการขึ้นเตียง จิวรู้ แต่ในครั้งนี้จิวก็บอกตนเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมต้องมีปฏิกิริยาแบบนั้นกับต้นข้าว หรือจิวจะรักต้นข้าวมากเกินไป จิวจะหวงต้นข้าวมากเกินไป จนจิวไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ในเรื่องแบบนั้น

         "ต้นข้าวกลับบ้านไปเถอะ ไว้ค่อยคุยกัน" จิวทิ้งท้ายไว้ประโยคสุดท้ายแล้วเดินออกมาจากลานจอดรถ ปล่อยให้ต้นข้าวอ้าปากค้างอย่างงุนงง และเจือไปด้วยความเสียใจ

--------------------------------

         จิวเดินเข้าซอยบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ลมเย็นๆ ที่พัดตีเข้าใบหน้าจากหน้าต่างรถเมล์เมื่อสักครู่ ทำให้ความขุ่นมัวบรรเทาลงไป พอเปิดประตูบ้านเข้าไปก็ได้ยินเสียงป๊าเรียกมาจากในห้องทำงานของป๊า

         "อานึก เข้ามาหาป๊าหน่อย"

         "ครับป๊า" จิวเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานของป๊า ซึ่งเต็มไปด้วยเอกสาร กระดาษ หนังสือ และแผงลูกคิดสำหรับคำนวณตัวเลขสองแผง

         "ลื้อทำไหวแน่นะ รองเท้า PVC รุ่นใหม่เนี่ย" ป๊าถอดแว่นสายตายาวออกวางบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงาน ยืดเท้ายาวออกไป เอาสองมือกุมไว้ที่พุงป่องๆ ของป๊า

         "ไหวสิป๊า เครื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร จะยากก็ตรงที่ต้องออกแบบรองเท้าแบบใหม่มากกว่าน่ะ ว่าจะโดนใจพวกซับพลายเออร์ที่จะรับไปขายหรือเปล่าแค่นั้น" จิวอธิบายป๊า

         "ดีแล้ว ก็ลองไปเรื่อยๆ ลื้อก็หาหนังสือแฟชั่นมาดูเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวก็นึกแบบออกแหล่ะ"

         "ครับป๊า นี่ก็พยายามดูเรื่อยๆ มีตัดๆ รูปถ่ายแฟชั่นรองเท้าในนิตยสารเก็บไว้บ้างแล้ว"

         "เออดี เหนื่อยหน่อยนะ" ป๊ามองจิวด้วยสายตาที่อ่อนโยน "ตั้งใจทำในวันที่ป๊ายังยืนไหว ลื้อจะได้เก่งๆ วันหนึ่งข้างหน้าโรงงานนี้ก็เป็นของลื้อคนเดียว"

         "ป๊าก็ พูดอะไรแบบนั้น ป๊าแข็งแรงจะตาย"

         ป๊าจิวหัวเราะเอิ้กอ้าก "ป๊ายังฟิตปั๋งโว้ย...ก็ช่วยกันทำไปอย่างนี้ล่ะ จนกว่าลื้อจะมีใครมาเป็นคู่คิดคู่ครองช่วยลื้อในวันข้างหน้า..."

         ป๊าทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ป๊าหยุดคำพูดไว้แล้วเปลี่ยนเรื่อง "แล้วนี่ต้นข้าวหายไปไหน ทำไมพักนี้ไม่มาเที่ยวหาที่บ้าน"

         ชื่อนี้เรียกความรู้สึกถึงคนหนีเที่ยวบาร์เกย์เมื่อสักชั่วโมงที่แล้วกลับคืนมาอีก จิวทำจมูกย่นทีนึงด้วยความหมั่นไส้ แล้วตอบป๊า

         "ต้นข้าวกำลังยุ่งน่ะป๊า เห็นว่าตอนนี้กำลังจะทำละครเรื่องใหม่ในมหา'ลัย คงต้องให้ว่างๆ ก่อน แต่เมื่อกี้นึกก็ไปเจอกันมา พึ่งแยกกันน่ะป๊า"

         "อ้อ ดีแล้ว" ป๊ามองแบบยิ้มๆ "มีเพื่อนดีๆ มีคนดีๆ ก็อย่าขาดการติดต่อกันนะ" ป๊าเน้นเสียงคำว่า -คนดีๆ- เป็นพิเศษ "วันหน้าเรายิ่งย้ายบ้านไปไกลออกไปอีก กลัวจะห่างกัน"

         พอป๊าพูดเรื่องจะย้ายบ้านแล้วจิวก็ใจหาย ยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ต้นข้าวฟังเลย ว่าป๊ามีโครงการจะย้ายโรงงานหรือบ้านนี้ ไปอยู่ไกลถึงพุทธมณฑลสายสอง เพราะป๊าไปได้ที่ดินมาซึ่งกว้างกว่าที่นี่มาก สามารถขยายโรงงานรองเท้าแตะให้ใหญ่ขึ้นได้ในอนาคต

         "เราจะย้ายไปเมื่อไรนะป๊า" จิวเคยแกล้งทำเป็นลืมๆ เรื่องย้ายบ้าน เพราะไม่อยากคิดถึงวันนั้น แต่ตอนนี้แกล้งไม่ได้ล่ะ เพราะป๊าพูดเรื่องนี้บ่อยขึ้นแล้ว

         "อั้วก็ยังไม่รู้ ไหนจะต้องก่อสร้างมันอีก มันเป็นที่ดินเปล่า ที่ยังไม่ได้ถมดินเลย คงสักสองสามปีมั้ง ไว้จะพาลื้อไปดู"

         "ฮะป๊า" จิวเสียงอ่อยลง "ไม่อยากย้ายไปเลย รู้สึกว่ามันไกลมากๆ"

         "เอาน่า โรงงานตราสามดาวของเรามันต้องเจริญรุ่งเรืองสิวะ สู้ๆ กันโว้ยไอ้นึก" ป๊าบิ้วอารมณ์อนาคตน่าดู

         "เออป๊า" จิวพึ่งนึกออกว่าจะพูดกับป๊าหลายทีแล้ว "ชื่อบริษัทหรือชื่อโรงงานนี่ ถ้าให้นึกเป็นคนดูแล นึกขอเปลี่ยนชื่อมันนิดหน่อยได้ไหมป๊า"

         "เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ ชื่อนี้ตั้งมาตอนป๊าหนุ่มๆ ป๊าฝันเห็นดวงดาวสามดวงนะโว้ย"

         "เปลี่ยนแค่จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษแค่นั้นเองป๊า มันจะได้ทันสมัยขึ้น สมัยนี้เขานิยมสินค้ามาจากเมืองนอกนะ"

         "ลื้อจะเปลี่ยนเป็นอะไร"

         "เป็นจาก ตราสามดาว เป็น บริษัท ทรี-สตาร์ (Three Star) น่ะป๊า มันจะได้ดูเป็นสากลหน่อย ยกระดับโรงงานเราขึ้นมา ดีป่ะ"

         ป๊านิ่งคิดไปชั่วครู่ "ตามใจลื้อ ดีเหมือนกัน เพราะมันก็ความหมายเดิมล่ะนะ"

         "แต่นึกขออีกอย่างนึงนะ คือมันชื่อ Three Star ก็จริง แต่เวลาเขียนหรือเวลาทำโลโก้ นึกจะใช้ตัวย่อว่า T-Star เฉยๆ นะ ไม่เขียนแบบเต็ม แต่เวลาเสียงอ่านมันออกเสียงแบบเดียวกัน"

         "เออ เข้าท่าดีนี่ ก็ฟังดูล้ำสมัยดี ตามใจลื้อเถอะ บริษัทของลื้อ" ป๊าพูดไปยิ้มไป คงภูมิใจในตัวลูกชายที่จะสานต่อกิจการครอบครัวได้แน่ๆ

         ป๊าเริ่มขยับขึ้นนั่งตัวตรง เอามือกวาดเอกสารและแผงลูกคิดให้ออกไปกองข้างโต๊ะ อีกมือก้มลงไปหยิบขวดเหล้าชีวาสที่เหลือครึ่งขวดขึ้นมาวางแทน

         "มีธุระอะไรกับป๊าอีกไหม" ป๊าเลิกคิ้วสีเทาๆ ข้างหนึ่งขึ้น แล้วกระดกอีกมือที่ถือแก้วเปล่าใบหนึ่งให้เห็น เหมือนเป็นสัญญาณเตือนเด็กหนุ่มสมนึกลูกรัก ว่าต่อไปเป็นเวลาส่วนตัวของป๊าล่ะนะ

         "ไม่มีล่ะป๊า ขอบคุณนะเรื่องชื่อบริษัทที่ให้เปลี่ยน นึกจะไปอาบน้ำล่ะ อ้อ ดื่มให้มันน้อยๆ หน่อยนะป๊า" จิวพูดยิ้มๆ

         "เหอะน่า ค่ำลงมันหนาวเหน็บเข้ากระดูก ไร้แม่หญิงใดมาเคียงข้าง มันก็ต้องร่ำสุราแบบนี้ล่ะ" ป๊าหัวเราะเอิ้กอ้าก

         "ยังไม่ทันเมาเลย สำนวนเป็นหนังจีนกำลังภายในเชียว" จิวพูดกับตัวเองพึมพัม ส่ายหัว แล้วเดินออกจากห้องทำงานป๊าไป

         ....................

         จิวกดเปิดสวิตช์ไฟบนห้องนอน ไฟกลางห้องเปิดสว่างมองเห็นทุกอย่าง เหนือสวิตช์ไฟบนผนังห้องแขวนกรอบรูปๆ หนึ่งขนาดฟุตกว่า ข้างในเป็นรูปถ่ายขาวดำบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี กลางภาพเป็นเด็กชายสองคนเดินหันหลังคู่กันบนรางรถไฟ จับมือกันชูสูง เงาในภาพที่ทอดลงมาบนรางเป็นรูปหัวใจ

         ตี๋หล่อถอดเสื้อออกแล้วเอาไปแขวนที่ฝาตู้เสื้อผ้า ถอดกางเกงขายาวออกเปลี่ยนเป็นกางเกงใส่สบายๆ ขาสั้น ลงไปกึ่งนั่งกึ่งเอนตัวบนเตียง ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจไปมาซ้ายขวา พอหันไปทางหัวเตียงเห็นกระปุกหมูออมสินกระดาษสีแดงบนโต๊ะข้างเตียง ก็หยิบมันขึ้นมาดู

         มันยังไม่มีเศษตังค์ใส่ในกระปุกนั้น มันยังเบาและว่างเปล่าอยู่ คนรับกระปุกนี้มาไม่ได้หมายใจว่าจะเอาไว้หยอดเงินหรอก แต่จิวตั้งใจไว้ว่ามันคือสัญลักษณ์เติมใจจากคนๆ หนึ่ง ที่มอบไว้ให้อีกคนหนึ่ง พร้อมกับคำสัญญาตอนที่อยู่หน้าห้างมาบุญครอง ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้อยู่เคียงข้างกัน จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามเมื่อคนหนึ่งล้ม จะได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ร่วมกัน และคงจะมีความทรงจำที่ดีมากมาย มากล้นเกินกว่าที่จะหยอดลงไปในกระปุกหมูออมสินนี้ได้

         .....................

         และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่ต้นข้าว หรือป๊าของจิวเองที่พึ่งคุยแยกกันมาสักครู่ ว่าความหมายจริงๆ ของตัว T ในชื่อบริษัท T-Star ที่จิวขอเปลี่ยน จิวตั้งใจจะให้ความหมายของตัว T คือตัวย่อของชื่อ 'ต้นข้าว' ต่างหาก ไม่ใช่ Three ที่แปลว่าสาม!!

         ใช่! ต้นข้าว, ดวงดาวเพียงหนึ่งเดียวของจิว

         จิวอยากให้ชื่อของต้นข้าวเข้ามาอยู่บนชื่อโรงงาน และอยู่บนโลโก้ของจิว มันจะได้เป็นเหมือนแสงดาวนำทางให้จิวสู้ต่อไปบนธุรกิจที่จะต้องทำในวันข้างหน้าด้วยความเหนื่อยยาก

         และถ้าวันไหนที่จิวประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ขึ้นมา ชื่อของคนๆ เดียวที่อยู่บนโลโก้นี่แหล่ะ คือคนที่จิวจะอุทิศความสำเร็จและผลงานอันน่าภาคภูมินั้นให้ ในฐานะที่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ในชีวิต

         จิวกอดกระปุกหมูออมสินกระดาษสีแดงนี้ไว้ในอ้อมแขน หลับตาลงพักสายตา ตั้งใจว่าสักครู่ค่อยลงไปอาบน้ำ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2017 03:20:09 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:


อยากได้จิวววววววววววววว
โดนต้นข้าวตบ


คิดถึงคนเขียนจัง สบายดีไหม ยุ่งๆหรือเปล่า ลงไม่บ่อยเหมือนเคย

รอติดตามต่อไป

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ต้นข้าว แบ่งจิวให้พี่มั่งเน้อ สลับวันกันก็ได้ ผู้ชายคนนี้รักจริงหวังแต่งอะ เค้าชอบ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
จิวไม่ได้โกรธต้นข้าวที่ไปเที่ยวบาร์ แค่เคืองเฉยๆ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน
และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ
จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ..
จากนี้ทุกลมหายใจ..ฉันคือเธอ..
#มากกว่ารัก โรส ศิรินทิพย์

จิวกับต้นข้าว
ต่างก็เป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน

เพราะความรักไม่มีเพศ
รักก็คือรัก มันก็แค่นั้นเอง
LOVE

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ขำต้นข้าว ตอนถามเอกเรื่องต่างคนต่างเจ้าชู้แล้วถามต่อ
ต้นข้าวแอบทำตาเหลือกมองบน  แต่รีบกลับมาปรับหน้าให้นิ่ง
พอรู้ว่าทั้งคู่ต่างนอนกับอาร์ม --พอกันทั้งคู่!!!
ต้นข้าวก็หันข้างแอบทำตาเหลือกมองบนแรงกว่าเมื่อกี้
คราวนี้ตาดำหายขึ้นไปเลย เห็นแต่ตาขาว! กร๊ากกกกก
จิวหวงต้นข้าวมากกกก เลย สั่งเสียซะ
ไม่ค่อยชอบเอกเลย ชวนต้นข้าวไปที่อโคจรแบบนี้
ไม่บอกที่ๆไปกับต้นข้าว แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้บอกจิว
เพื่อนแบบนี้มีแต่ชวนไปเสียอนาคต
ดีแล้วที่ต้นข้าวไม่วอกแวก แล้วหลุดพ้นจากเด็กขายช่างป้อยอ โป้ปด
แล้วที่ดีที่สุดคือไม่ไปที่ถนนเกิดเหตุแก๊สระเบิด โชคดีจริงๆ
ทำให้เห็นว่ายังไงไม่ควรเที่ยวยามวิกาลจริงๆ
เรื่องไปเที่ยว ต้นข้าวอุตส่าห์เล่าตามความจริง
แต่ยังไงจิว ก็เคือง ก็คนรักของเรานี่นะ
ถึงไม่ได้ทำอะไร แต่ใจก็อดหวง อดห่วง อดโกรธไม่ได้
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
       
         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2017 00:16:00 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
:L2: :L1: :pig4:


อยากได้จิวววววววววววววว
โดนต้นข้าวตบ


คิดถึงคนเขียนจัง สบายดีไหม ยุ่งๆหรือเปล่า ลงไม่บ่อยเหมือนเคย

รอติดตามต่อไป

= ผู้เขียนสบายดีจ้า มีจ๊อบเข้านิดหน่อย เลยยุ่งไปนิดฮะ แห่ะๆๆ
ปล. จิวน่ารักมากเนอะ


ต้นข้าว แบ่งจิวให้พี่มั่งเน้อ สลับวันกันก็ได้ ผู้ชายคนนี้รักจริงหวังแต่งอะ เค้าชอบ

= จิวน่ารักเนอะ แย่งจิวกันดีกว่า 555+


จิวไม่ได้โกรธต้นข้าวที่ไปเที่ยวบาร์ แค่เคืองเฉยๆ

= รักมากก็หวงมากเนอะ เค้ารักของเค้า ^^


เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน
และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ
จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ..
จากนี้ทุกลมหายใจ..ฉันคือเธอ..
#มากกว่ารัก โรส ศิรินทิพย์

จิวกับต้นข้าว
ต่างก็เป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน

เพราะความรักไม่มีเพศ
รักก็คือรัก มันก็แค่นั้นเอง
LOVE

= เลยต้องไปหาเพลง มากกว่ารัก นี่ฟังเลย 555+


ขำต้นข้าว ตอนถามเอกเรื่องต่างคนต่างเจ้าชู้แล้วถามต่อ
ต้นข้าวแอบทำตาเหลือกมองบน  แต่รีบกลับมาปรับหน้าให้นิ่ง
พอรู้ว่าทั้งคู่ต่างนอนกับอาร์ม --พอกันทั้งคู่!!!
ต้นข้าวก็หันข้างแอบทำตาเหลือกมองบนแรงกว่าเมื่อกี้
คราวนี้ตาดำหายขึ้นไปเลย เห็นแต่ตาขาว! กร๊ากกกกก
จิวหวงต้นข้าวมากกกก เลย สั่งเสียซะ
ไม่ค่อยชอบเอกเลย ชวนต้นข้าวไปที่อโคจรแบบนี้
ไม่บอกที่ๆไปกับต้นข้าว แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้บอกจิว
เพื่อนแบบนี้มีแต่ชวนไปเสียอนาคต
ดีแล้วที่ต้นข้าวไม่วอกแวก แล้วหลุดพ้นจากเด็กขายช่างป้อยอ โป้ปด
แล้วที่ดีที่สุดคือไม่ไปที่ถนนเกิดเหตุแก๊สระเบิด โชคดีจริงๆ
ทำให้เห็นว่ายังไงไม่ควรเที่ยวยามวิกาลจริงๆ
เรื่องไปเที่ยว ต้นข้าวอุตส่าห์เล่าตามความจริง
แต่ยังไงจิว ก็เคือง ก็คนรักของเรานี่นะ
ถึงไม่ได้ทำอะไร แต่ใจก็อดหวง อดห่วง อดโกรธไม่ได้
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
       
       

= ผู้อ่านคนนี้อ่านได้ลึกซึ้ง อ่านได้ละเอียดจริงๆ นับถือๆ //น่ารักที่สุดเลยฮะ +1


......................


และขอบคุณผู้อ่านที่ผ่านเข้ามาทุกท่านด้วยนะฮะ

 :fire: *ดราม่ามาแล้ว งานเข้าแล้วอ่า /me ปวดใจ T_T


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๒ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม


        สองสามอาทิตย์หลังจากนั้น ต้นข้าวยุ่งกับการออดิชั่นละครเพลง 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' รวมทั้งประชุมทีมงานต่างๆ เกี่ยวกับละครของภาคฯ เรื่องนี้ด้วย จนมีเวลาเจอกับจิวน้อยมาก อย่างดีก็ได้แค่โทรหาหรือรับสายที่บ้านสองสามครั้ง เพราะตัวจิวเองก็ยุ่งกับงานโรงงานใหม่ เครื่องฉีดพลาสติกทำรองเท้าใหม่ที่บ้านเหมือนกัน
        ผลสรุปของการประชุมและออดิชั่น ต้นข้าวก็ผ่านการแคสตัวแสดง ได้ขึ้นแสดงในบทตัวละครตัวหนึ่งชื่อ 'มาร์ควิส เดอ ชาสซาญ' ที่จะมีบทบาทในฉากเมืองปารีสอยู่สองฉากด้วย

        อีงูหรือพริก ได้ทำละครเพลงเรื่องนี้ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้เขียนบท ส่วนเอกกับสมพล ซึ่งไม่ได้เรียนภาควิชาละคร แต่อยู่ในคณะนิเทศฯ เหมือนกัน ก็ต้องมามีส่วนร่วมในละครคณะฯ ประจำปีนี้ด้วย โดยดูแลในส่วนของโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้ละครตามสาขาที่เรียน


        ......................

        "แล้วเธอจะไหวเหรอต้นข้าว ได้บทสำคัญที่ต้องทั้งแสดง ทั้งต้องร้องเพลงในละครด้วย ต้องฝึกสองอย่างเลย" อีงูถามขึ้น

        "ไหวดิ" ต้นข้าวตอบคำถามของพริก "ออกแค่สองฉากเอง ฉากใหญ่ฉากนึงคือฉากแฟชั่นโชว์ในละคร ฉากนั้นไม่มีร้องเพลง กับอีกฉากเป็นฉากชมสวนกับมิสซิสแฮริส อันนี้แหล่ะต้องร้องเพลงนึง ถ้าจะเหนื่อยก็เหนื่อยตอนซ้อมนี่ล่ะ เพราะต้องเวิร์คช็อปหนักเท่าๆ กันทุกตัวละครน่ะ"

        "คุณนายอ้อมเลยได้ขึ้นแสดงด้วยสมใจเลยนะ ในบท 'นางบัทเทอร์ฟิลด์' เป็นเพื่อนของมิสซิสแฮริสที่ลอนดอน" พริกพูดขำๆ "เออ แล้วคนแสดงที่เป็นพระเอก 'นายอองเดร โฟเวล' เป็นใครนะ ชั้นไม่เคยเจอมาก่อนเลย"

        "อ๋อ ชื่อพี่ตุ๊ก แกอยู่ปีห้าแล้ว เรียนยังไม่จบ เพราะแกเคยดรอปเรียนไว้เป็นปีตอนป่วยหนัก แล้วเพื่อนแกไปชวนแกให้ลองมาออดิชั่นละครนี้ แล้วผ่านน่ะ"

        "อยู่ตั้งปีห้าแล้วนี่นะ แก่ฉิบ"

        "เฮ้ย ไม่ได้ดูแก่ แต่ยังดูดีอยู่เลยนะ แกเซอร์ๆ ดี เป็นคนเงียบๆ ไม่ใช่คนดังอะไร ไม่ได้ทำกิจกรรม ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก"

        "ไม่มีใครรู้จัก ไม่ดังในมหา'ลัย ไม่เคยร่วมกิจกรรม แล้วทำไมทีมงานถึงเลือกเข้ามาแสดงเป็นตัวเอกล่ะ" พริกสงสัย เพราะตอนออดิชั่นนักแสดง พริกไม่ได้เข้าร่วมด้วย

        "พี่เขามีประกายออร่าดี ตอนอยู่ข้างล่างดูงั้นๆ แหล่ะ แต่พอขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วเจิดจรัสโดดเด่นมากๆ ร้องเพลงบนเวทีได้ดีเพราะละครเรื่องนี้ต้องร้องเพลงกันทั้งเรื่อง แถมเป็นคนถ่ายรูปขึ้นอีกต่างหาก ถ่ายทำโปสเตอร์โปรโมทละครได้เจ๋งเลยล่ะ" ต้นข้าวเล่าด้วยประกายตาวิ้งๆ แปลกๆ

        พริกจับตามองต้นข้าวอยู่ และรู้สึกว่ามีอะไรพิกลๆ อยู่ในชั่ววินาทีของประกายตานั้น แต่ยั้งปากไว้ไม่ได้พูดอะไรอย่างที่อยากพูด กลับไปพูดเรื่องอื่น...

        "ผีเสื้อมันโบกปีกสวยๆ บินผ่าน มันก็แค่บินผ่าน..."

--------------------

        หลายวันต่อมาต้นข้าวนั่งคุยอยู่กับกลุ่มนักแสดง ซึ่งแต่ละคนกำลังออกความเห็นกันอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับฉากบนเครื่องบิน ว่าจะทำอย่างไรให้ดูเป็นการนั่งบนเครื่องบินจริงๆ บนเวที ต้นข้าวเมื่อยจากการนั่งถกความเห็น จึงมองเหม่อพักสายตาไปบนเวทีที่มีนักแสดงบางส่วนกำลังซ้อมอยู่

        ตอนนั้นบนเวที พี่ตุ๊ก-ผู้รับบทพระเอกของเรื่องกำลังยืนคุยสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักแสดงที่เป็นแดนเซอร์ในฉากๆ หนึ่ง พี่ตุ๊กยืนอยู่ตรงกลางเวที ไฟโคมบนเพดานเวทีส่องตรงลงกลางตัวพี่ตุ๊กพอดี กลุ่มหมู่มวลแดนเซอร์นั่งฟังพี่ตุ๊กคุยอยู่รอบๆ ตัว พี่ตุ๊กเลยเป็นจุดเด่นมากบนเวทีนั้น

        พี่ตุ๊กเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แขนยาว ขายาว คอยาวรับกับไหล่ลาด หน้าเล็ก ผิวขาว จมูกได้รูป และปากมีรอยยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ผมค่อนข้างยาวปรกต้นคอ และด้านหน้ายาวเป๋มาปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง เจ้าตัวต้องคอยสะบัดคอบ่อยๆ เพื่อให้ผมปัดออกไปจากใบหน้า พี่ตุ๊กนุ่งกางเกงยีนส์สีมอมๆ ตัวโคร่งและแทบจะหลุดตูด ใส่เสื้อยืดสีขาวแขนกุดรัดรูปโชว์ให้เห็นหน้าท้องที่แบนราบ สำหรับสายตาของต้นข้าวแล้ว พี่ตุ๊กดูเท่มากๆ

        ต้นข้าวมองภาพนั้นเพลิน มันมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ลึกๆ ในใจหนุ่มน้อยตั้งแต่เลือกที่จะลงเรียนทางด้านการแสดงละครแล้ว นั่นคือการนิยมชมชื่นในบุคคลที่มี 'ออร่า' ในตัวเอง บุคคลที่มีความโดดเด่นและเหมือนจะ เกิดมาเพื่อเป็นดาว โดยเฉพาะ สิ่งนี้มันสร้างหรือประดิษฐ์ขึ้นมาไม่ได้ มันจะออกมาเองเป็นลักษณะเฉพาะตัวของคนๆ นั้น รวมทั้งพรสวรรค์ในการร้องเพลงที่ดีด้วยอีกต่างหาก พี่ตุ๊กจึงเป็นคนๆ หนึ่งที่เข้าลักษณะแบบนี้ ต้นข้าวพึ่งจะมาจับตามองพี่ตุ๊กหลังจากที่ได้ผ่านการแคสตัวนักแสดงเข้ามานี่เอง

        ต้นข้าวสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาเขี่ยด้านหลังจึงหันไปมอง

        "อ้าว อีงู" ตอนนี้ต้นข้าวพึ่งเห็นว่ากลุ่มที่นั่งคุยกันแยกย้ายไปแล้ว มีนั่งคุยตกค้างกันอีกแค่สองสามคนไกลออกไป

        "มานั่งเหม่อลอยอะไรตรงนี้" พริกมองตามต้นข้าวขึ้นไปบนเวที และเห็นพี่ตุ๊กอยู่บนนั้น

        "เปล่า มองไปเรื่อยเปื่อยน่ะ" ต้นข้าวหันมาดึงมือพริกในนั่งลงข้างๆ "ของฝ่ายเธอเสร็จแล้วเหรอ ประชุมเขียนบทน่ะ"

        "ยัง พักเบรคก่อนน่ะ ตกลงเรื่องแก้บทกันไม่ได้" พริกยักไหล่ขึ้นข้างหนึ่ง "เมื่อกี้เดินสวนกับไอ้เอก มันก็มาประชุมเรื่องการทำโฆษณาละครเรื่องนี้ด้วยนี่ เธอได้เจอมันหรือเปล่า"

        "ไม่เจอ ไม่ค่อยได้เจอเลยพักนี้ จิวก็เคยเคืองๆ มันอยู่ ตอนมันพาเราไปเที่ยวออฟเด็กที่บาร์ทไวไลท์น่ะ จำได้ป่ะ" ต้นข้าวถาม

        "ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ" พริกหัวเราะเสียงดัง "จิวยังโทรมาด่าเราเลย ว่าปล่อยให้เพื่อนทำแบบนี้ได้ยังไง เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอแท้ๆ แล้วอีกอย่าง ต้องจำได้แม่นสิเพราะคืนนั้นมันเป็นวันรถแก๊สระเบิดไง ข่าวออกจะดังไปทั่วประเทศ"

        ต้นข้าวได้ยินเรื่องที่ว่าจิวโทรมาด่ากับพริกด้วยก็รู้สึกผิดจริงๆ "อีงู เราขอโทษนะที่ทำให้เธอโดนจิวบ่นน่ะ"

        "หู้ย ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนกัน อย่าคิดมาก เรื่องมันแล้วไปแล้ว ช่างเถอะ ว่าแต่สารภาพมาซะดีๆ ว่าจริงๆ แล้วคืนนั้นน่ะแอบไปทำอะไรมาหรือเปล่า" พริกยักคิ้วหลิ่วตาอย่างมีเลศนัย

        "เฮ่ยยย ยังไม่รู้จักเราดีพอหรือไง เราไม่เอาหรอก" ต้นข่าวทำท่าขนลุกขนพอง "รังเกียจ"

        "แซวเล่น รู้น่า แหม เธอมันนักปลูกต้นรัก ปลูกสวนสตรอเบอรี่ใช่มะ ไม่ใช่แนวลากขึ้นห้องไปปั่มป้าม" พริกหัวเราะออกมาแล้วถามต่อ

        "เออ ว่าแต่ไอ้เอกเมื่อกี้ที่เราเจอ มันไม่สบายหรือป่วยอะไรหรือเปล่าวะ ทำไมพักนี้มันโทรมๆ ผอมซูบลงไปเยอะเลย หน้าตาดำหมองคล้ำ ดูเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง"

        "เหรอ ไม่รู้สิ มันยังไม่หายอกหักจากแจ๊สมั้ง ก็พักนี้เราไม่ค่อยได้เจอมันไง" ต้นข้าวตอบพริก แต่สายตาเริ่มมองไปบนเวทีอีกแล้ว

        "ต้นข้าว พักนี้จิวหายไปไหนอะ ไม่เห็นมาหาเธอเหมือนเคย" พริกชวนคุย แต่ตามองตามขึ้นไปบนเวทีอย่างหวั่นๆ ในใจอย่างไรพิกล

        "จิวไม่ว่างน่ะ" ต้นข้าวยิ้มตอบแบบไม่มีอะไร "ที่บ้านจิวยุ่งเรื่องธุรกิจใหม่ คงสักพักแหล่ะกว่าจะอยู่ตัวน่ะ"

        "แต่ก็คุยกันอยู่ใช่ไหม" พริกยังกังวลแทน

        "คุยสิ คุยกันล่าสุดจิวโทรมาที่บ้านเมื่อห้าหกวันที่แล้วน่ะ"

        "ตั้งห้าหกวัน!! เชียวเหรอ" พริกตกใจ

        ต้นข้าวหัวเราะใส "บางวันโทรมาเราหลับไปก่อนก็มี ไม่ได้ลงไปคุย เพราะเหนื่อยจากมหา'ลัยนี่ด้วยไง ซ้อมหนัก รายงานก็เยอะ หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลย"

        "เธอไม่คิดว่า เอ่อ...มันแปลกๆ หรือ แฟนกันไม่ค่อยคุยกัน" พริกขยี้เรื่องนี้ต่ออย่างไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ

        "ไม่นี่" ต้นข้าวหน้าตาตื่น "ไม่เห็นแปลกอะไรเลย เราคบกับจิวมาตั้งหลายปีแล้วนะ รู้ใจกันทุกเรื่อง ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอกันหลายๆ วันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย"

        พริกไม่ได้ตอบอะไรต้นข้าว แต่ในใจนึกว่า --มีอะไรแน่นอน บนสิ่งที่คิดว่าแน่นอนในชีวิตนี้บ้าง--

--------------------

        เช้าวันต่อมาก่อนออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย ต้นข้าวโทรไปหาจิวที่บ้าน คุยทักทายกันตามปกติ แต่น้ำเสียงจิวบ่งบอกว่ายุ่งน่าดู เพราะเรื่องการควบคุมเม็ดสีของพลาสติก PVC ตอนจะฉีดลงไปในแม่พิมพ์มันละเอียดอ่อน สีจะเพี้ยนเอาง่ายๆ ถ้าควบคุมแรงอัดความร้อนไม่ดีพอ

        ต้นข้าวฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างในเรื่องเครื่องยนต์กลไก จึงไม่มีคำถามใดๆ ต่อ แต่ก็ทนฟังจิวเล่าจนจบ พอจิวเล่าจบต้นข้าวก็เล่าเรื่องของตัวเองบ้างในเรื่องของละคร เล่าถึงการซ้อม จิวก็ฟังต้นข้าว แต่ก็ไม่มีคำถามใดๆ เหมือนกัน เพราะจิวก็ไม่มีความรู้เรื่องการแสดงเหล่านี้

        ต้นข้าวเล่าเรื่อยเปื่อยมาถึงว่าต้องร้องเพลงบนเวทีในฉากหนึ่งของละคร และตนเองยังท่องเนื้อเพลงไม่ได้หมด เพราะเนื้อเพลงเป็นภาษาฝรั่งเศส

        "เพลงอะไรหรือ" เสียงตามสายจิวถามมา น้ำเสียงเรียบๆ เรื่อยเปื่อย

        "เพลง La vie en Rose - ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ น่ะจิว"

        "อือ" เสียงจิวตอบมาสั้นๆ

        "อยากฟังไหม จะร้องให้ฟัง เพลงเพราะนะ ความหมายดีมากๆ เลย La vie en Rose โลกนี้เป็นสีชมพู มีแต่ความรัก เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ" ต้นข้าวพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับเพลง

        "เอ่อ...ต้นข้าว เท่านี้ก่อนนะ เทอโมมิเตอร์ในเครื่องฉีดพลาสติกร้องเตือนล่ะ เครื่องมันเป็นอะไรหรือเปล่าไม่รู้" เสียงจิวดูเนือยๆ "ไว้คุยกันนะต้นข้าว ไปเรียนดีๆ ล่ะ ขับรถไปดีๆ อย่าขับเร็วนะ หาอะไรกินด้วย อย่าปล่อยให้ท้องว่าง เดี๋ยวจะปวดท้องเอา"

        "กริ๊ก"

        เสียงวางสายโทรศัพท์จากจิว...พร้อมกับอารมณ์ของต้นข้าวที่กำลังอยากจะร้องเพลงให้ฟังสะดุดกึก

        ....................

        บ่ายวันนั้น ต้นข้าวมาถึงห้องซ้อมก่อนคิวซ้อมของตัวเอง เพราะวิชาเรียนถูกยกเลิกไปคาบหนึ่งทำให้เหลือเวลาว่าง พอมาถึงห้องซ้อมละคร บนเวทีมีแดนเซอร์กำลังซ้อมเต้นกันอยู่ ต้นข้าวเห็นคุณนายอ้อมกำลังเดินผ่านไปห้องซ้อมอีกห้องหนึ่ง นางหันมาพยักหน้ายิ้มให้ต้นข้าวแทนคำทักทายจากระยะไกล

        ต้นข้าวเห็นว่าตัวเองว่างอยู่ เลยเดินตามคุณนายอ้อมเข้าไปนั่งดูอีกกลุ่มหนึ่งซ้อมกันบ้าง วันนี้ในห้องซ้อมนี้กำลังทำการเวิร์คช็อปเรื่องการแอคติ้ง ในหัวข้อที่ต้องการให้นักแสดงดึงอารมณ์จริงๆ มาใช้บนเวที

        หนุ่มน้อยไปนั่งดูอยู่ในมุมหนึ่งของห้องซ้อม ครูสอนให้จับคู่นักแสดงแบบสุ่มมาหนึ่งคู่ เป็นนักแสดงชายทั้งคู่ ให้ยืนประจันหน้ากัน แล้วให้พูดประโยคเพียงประโยคเดียวกันใส่กันเป็นเวลานานๆ โดยให้ค่อยๆ ใส่อารมณ์ลงไปเรื่อยๆ และประโยคบังคับของคู่นี้คือ "กูเกลียดมึง"

        นักแสดงทั้งสองซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันยืนประจันหน้ากัน แล้วต่างคนต่างพูดใส่กันว่า "กูเกลียดมึง" ซ้ำๆ กัน แรกๆ ก็พูดเบาๆ แต่พอพูดซ้ำกันมากๆ ของเริ่มขึ้น อารมณ์เริ่มมา คำว่า "กูเกลียดมึง" จึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเมื่อผ่านไปเกือบ ๑๐ นาที มันจึงกลายเป็นแผดเสียงใส่กันอย่างรุนแรง และนักแสดงเริ่มโผเข้าหากันจะต่อยกันแล้ว

        ครูฝึกสอนและเพื่อนนักแสดงที่เฝ้าระวังอยู่แล้ว รีบเข้าไปแยกนักแสดงทั้งคู่ และพาไปสงบสติอารมณ์กันครู่ใหญ่กว่าจะให้กลับเข้ามาในห้องเหมือนเดิม ให้จับมือกัน พร้อมกับให้จำความรู้สึกนี้ไปประยุกต์ใช้ในการแสดงบนเวทีด้วย

        ต้นข้าวดูไปขนลุกไป การซ้อมแบบนี้มันเรียกอารมณ์ได้จริงๆ เลยนะนี่ เดี๋ยวถ้าถึงเวลาที่ต้นข้าวต้องเวิร์คช็อปแบบนี้บ้างจะเป็นยังไงนะ

        หนุ่มน้อยห่อไหล่ เอามือกอดอกตัวเองแล้วสั่นเบาๆ แบบขนลุก อารมณ์บนเวทีมันขลังแบบนี้เอง

        ................

        ต้นข้าวเดินไปหยิบบทของตัวเองขึ้นมานั่งท่องอยู่ที่เก้าอี้โรงละครแถวหลัง บทของต้นข้าวจะต้องมีร้องเพลงๆ หนึ่งในฉากสวนดอกไม้ด้วยกันกับตัวละครมิสซิสแฮริส นี่ยังท่องเนื้อเพลงไม่จบเลย หนุ่มน้อยก้มหน้าก้มตาท่องบทอยู่จนเพลิน

        "น้องต้นข้าว" เสียงเรียกมาจากข้างๆ ต้นข้าวเงยขึ้นไปมอง

        "พี่ตุ๊ก" ต้นข้าวเรียกชื่ออย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

        "พี่หยิบส้มมาฝาก ฝ่ายสวัสดิการละครซื้อมาเป็นเข่งเลย ซ้อมสักเดือนนึงจะกินหมดหรือเปล่าไม่รู้"

        พี่ตุ๊กพูดพร้อมรอยยิ้มบนหน้า และนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ต้นข้าว ส่งส้มสามลูกวางลงไปบนตักของต้นข้าว เพราะมือต้นข้าวถือบทละครอยู่

        ต้นข้าวก้มตามลงไปมองส้มที่หว่างขาตัวเอง "ขอบคุณมากฮะพี่ตุ๊ก"

        "เบื่อจัง ตอนนี้ยังใช้เวทีไม่ได้เลยเพราะแดนเซอร์ซ้อมฉากเต้นอยู่ แล้วนี่ต้นข้าวท่องบทหรือครับ" พี่ตุ๊กมองลงมาที่บทในมือต้นข้าว "ซ้อมอ่านต่อบทกันกับพี่ไหม"

        "ผมกำลังท่องเนื้อเพลง La vie en Rose อยู่ฮะ ต้องร้องในฉาก ยังท่องไม่ได้เลย"

        พี่ตุ๊กสะบัดคอให้เส้นผมที่ตกลงมาด้านหน้าเปิดออก เห็นดวงตาลุกวาว น้ำเสียงตื่นเต้น

        "โอว เพลงของนักร้องผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส 'เอดิท เพียฟ' เพลงนี้เพราะเนอะ พี่เห็นในลิสรายการชื่อเพลงทุกเพลงของละครเรื่องนี้แล้ว ยังนึกอยู่เลยว่าบทของใครจะได้ร้องเพลงนี้ แต่มันร้องยากนะ มันเป็นบทเพลงสัญลักษณ์แห่งความรักไปแล้ว"

        "ยากมากฮะ เลยต้องพยายามอยู่นี่ แถมยังต้องปรับคีย์ให้เป็นคีย์เสียงผู้ชายอีก ร้องตามจากต้นฉบับไม่ได้เลยเพราะเสียงสูงมากฮะ" ต้นข้าวดีใจที่มีคนชอบเพลงนี้เหมือนกัน

        "มาซ้อมร้องด้วยกันมา พี่ก็ว่างๆ วันนี้พี่มีซ้อมคิวเดียวเอง เบื่อๆ อยู่พอดี" พี่ตุ๊กขยับหันตัวเข้าหาต้นข้าวให้ถนัดขึ้นจนตัวทั้งสองคนแทบจะติดกัน

        "ผมขึ้นต้นก่อนนะ" ต้นข้าวเริ่มร้องท่อนแรก

        "Des yeux qui font baisser les miens,

        สายตาที่จ้องมองมาที่ฉัน

        Un rire qui se perd sur sa bouche

        เสียงหัวเราะที่ค่อยๆ จางหายไปจากมุมปากของเขา"


        ...............

        พี่ตุ๊กร้องต่อท่อนที่สอง...

        "Voilà le portrait sans retouche

        นั่นแหละคือสิ่งที่แสดงตัวตนที่แท้จริง

         De l’homme auquel j’appartiens.

        ของคนรักในฝันของฉัน"


        ................

        "โห...เก่งนี่" พี่ตุ๊กหยุดร้อง ทำตาโต และพูดออกมาดังๆ ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น "ต้นข้าวร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสได้ดีเลยนะ ยอดเยี่ยมมาก"

        "ขอบคุณครับพี่ตุ๊ก" ต้นข้าวยิ้มอายๆ กับคนที่ตนเองนึกนิยมในออร่าความเป็นดาวมาพูดชม "ฝึกนานเหมือนกันฮะ ซ้อมร้องในห้องน้ำที่บ้านทุกวันเลย"

        "ดีแล้ว แต่ให้สำเนียงออกหวานกว่านี้หน่อย เพราะเพลงนี้ถือว่าเป็นแนวโลกสวยเว่อร์ๆ" พี่ตุ๊กพูดไปขำไป ยกมือกางนิ้วยาวเรียวสวยแบบศิลปินขึ้นมาเสยผมตัวเองที่ตกลงมาปิดหน้าในมาดเท่

        "คนแต่งเพลงนี้ เอดิท เพียฟ ไม่รู้แต่งเข้าไปได้ยังไง ชีวิตคนแต่งรันทดแทบจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว แต่แต่งออกมาได้โลกสวยขนาดนี้"

        "นั่นสิฮะ ผมยังชอบมากๆ เลย ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ" ต้นข้าวหันไปยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายให้พี่ตุ๊ก

        "La Vie En Rose ไม่ใช่หมายถึงชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบนะ แต่หมายความว่า ชีวิตขณะที่ตกอยู่ในห้วงรัก ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีชมพูเหมือนสีกลีบกุหลาบ" พี่ตุ๊กเล่าต่อพร้อมกับรอยยิ้มอันเป็นบุคลิกของตน

        "ถ้าจะพูดตรงๆ มันน่าจะประมาณว่า ช่วงเวลาขณะรัก ที่มีกลีบกุหลาบโปรยบนหัวต่างหากนะน้องต้นข้าว"

        ---กลีบกุหลาบโปรยบนหัว--- ต้นข้าวสะดุดประโยคนี้ จริงสินะ!! ครั้งหนึ่งเมื่อเกือบเจ็ดปีที่แล้ว เมื่อต้นข้าวเริ่มคบกับจิวใหม่ๆ ต้นข้าวเคยมีความรู้สึกนี้ ต้นข้าวเคยเหมือนกับเดินแล้วพื้นนิ่มดังปูพรม และมีกลีบกุหลาบโปรยลงมาบนหัวในทุกก้าวย่าง แต่ความรู้สึกนั้นมันจางเลือนลาง และเนิ่นนานมาแล้ว

        บัดนี้ความรู้สึกของกลีบกุหลาบที่โปรยลงหัวนั้น มันเหมือนจะกลับมาหาต้นข้าวอีกครั้งหนึ่ง ณ ขณะที่นั่งซ้อมร้องเพลงอยู่กับพี่ตุ๊กเพลงนี้...

--------------------

https://m.youtube.com/watch?v=Zt7y8y1Axcs&feature=youtu.be
*Edith Piaf - La Vie en Rose Original 1945 Album Remastering

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2017 00:49:06 โดย กำปงพิราเทวี »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เวลาก็ผ่านไปนาน
ความรักของต้นข้าวกับจิว ก็เช่นกัน
จะไม่ค่อยหวาน ตื่นเต้นในกันและกันแล้ว
ยิ่งช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างมีอะไรๆเข้ามา
ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้มแข็ง ก็จะเกิดการอ่อนไหว
หวั่นไหวกับสิ่งใหม่ๆ คนใหม่ๆ
ชักห่วงต้นข้าวละ ยิ่งชอบๆคนมีออร่าอยู่ด้วย
จะดราม่าขนาดไหนกัน  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ zenesty

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต้นข้าวมองพี่ตุ๊กเหมือนคนมองแบบปลื้มๆ
แต่มาเศร้าคำพูดของพริกที่มันเหมือนดูมีอะไร
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะค้าาา
 :sad4:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 สมัยนั้นภาษาฝรั่งเศสบูมมากๆ ขนาดในโรงเรียนพาณิชยการยังมีการสอนอะ ดูสมัยนี้สิ เป็นไปตามโลกหมุนจริงๆ
   เอาละสิต้นข้าว ยังไงกับรุ่นพี่แล้วจิวล่ะ  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ nonaness

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮ็อยยยยยอ่านเรื่องนี้ละคิดถึงสมัยเด็กๆเลย
นี่ก้เคยปล่อยเต่าที่วัดประยูรเคยกินขนมกุฎีจีน
นั่นมันถิ่นเราเลยเมื่อ10กว่าปีก่อน นี่เรียนรร.คอนแวนท์ในซอยนั้น
เดินทุกวันในตลาดนกกระจอกก็ของกินเยอะเลย55555555555555555
ละทุกวันนี้ก็ยังกินสเต็กร้านสอาดตรงสี่แยกบ้านแขก โครตหร่อย!

เอาเป็นว่าคนเขียนแต่งดีมากๆค่ะทำให้เราอินไปกับเหตุการณ์สมัยก่อนที่เราลืมไปแล้ว
อินกับความรักบริสุทธิ์ใรยุคเทคโนโลยีไม่เฟื่องฟูของจิวกับต้นข้าว
นี่อ่านไปอมยิ้มไปแทบทุกตอน เค้าจีบกันด้วยความจริงใจจริงๆค่ะซิส>_______<


ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
เวลาก็ผ่านไปนาน
ความรักของต้นข้าวกับจิว ก็เช่นกัน
จะไม่ค่อยหวาน ตื่นเต้นในกันและกันแล้ว
ยิ่งช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างมีอะไรๆเข้ามา
ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้มแข็ง ก็จะเกิดการอ่อนไหว
หวั่นไหวกับสิ่งใหม่ๆ คนใหม่ๆ
ชักห่วงต้นข้าวละ ยิ่งชอบๆคนมีออร่าอยู่ด้วย
จะดราม่าขนาดไหนกัน  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= มันคือเรื่องของจิตใจมนุษย์โดยแท้เลยนะฮะ จะมั่นคงแข็งแกร่ง หรืออ่อนยวบ วันเวลาจะเป็นผู้สอนให้เองเนาะ //ขอบคุณมากๆ จ้า

:pig4: :pig4: :pig4: :3123:

= ขอบคุณมากนะฮะ

:hao5: :hao5: :hao5:

= ขอบคุณมากจ้า

ต้นข้าวมองพี่ตุ๊กเหมือนคนมองแบบปลื้มๆ
แต่มาเศร้าคำพูดของพริกที่มันเหมือนดูมีอะไร
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะค้าาา
 :sad4:

= จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหนอ ขอบคุณมากๆ นะฮะ

สมัยนั้นภาษาฝรั่งเศสบูมมากๆ ขนาดในโรงเรียนพาณิชยการยังมีการสอนอะ ดูสมัยนี้สิ เป็นไปตามโลกหมุนจริงๆ
   เอาละสิต้นข้าว ยังไงกับรุ่นพี่แล้วจิวล่ะ  รออ่านตอนต่อไปคับ

= เพื่อนหลายคน เรียนภาษาฝรั่งเศสกันเยอะเลยฮะสมัยมัธยม ฮิตจริงๆ //ขอบคุณมากนะฮะที่ติดตามกัน

ฮ็อยยยยยอ่านเรื่องนี้ละคิดถึงสมัยเด็กๆเลย
นี่ก้เคยปล่อยเต่าที่วัดประยูรเคยกินขนมกุฎีจีน
นั่นมันถิ่นเราเลยเมื่อ10กว่าปีก่อน นี่เรียนรร.คอนแวนท์ในซอยนั้น
เดินทุกวันในตลาดนกกระจอกก็ของกินเยอะเลย55555555555555555
ละทุกวันนี้ก็ยังกินสเต็กร้านสอาดตรงสี่แยกบ้านแขก โครตหร่อย!

เอาเป็นว่าคนเขียนแต่งดีมากๆค่ะทำให้เราอินไปกับเหตุการณ์สมัยก่อนที่เราลืมไปแล้ว
อินกับความรักบริสุทธิ์ใรยุคเทคโนโลยีไม่เฟื่องฟูของจิวกับต้นข้าว
นี่อ่านไปอมยิ้มไปแทบทุกตอน เค้าจีบกันด้วยความจริงใจจริงๆค่ะซิส>_______<

= ลืมเรื่องตลาดนกกระจอกไปเลย 555+ อดบรรจุลงไปในเรื่องซะนี่ ตลาดสำคัญตรงพื้นที่นั้นซะด้วย อิอิ //ขอบคุณมากๆ จ้า สำหรับคำคอมเม้นต์ น่ารักที่สุด


........................


*ดราม่าหนักหน่วง ถ้ารักกันจริง อดทนอีกนิด ให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปให้ได้นะฮะ สู้ๆๆ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน


          บ่ายวันนี้มีซ้อมละครของคณะฯ ต้นข้าวมาถึงห้องซ้อมพอดีกับเวลานัด พอเข้าห้องไปเห็นพี่ตุ๊กนั่งอยู่ก่อนแล้วข้างๆ กลุ่มแดนเซอร์ พี่ตุ๊กส่งยิ้มมาให้พร้อมยกมือขึ้นมาโบก หนุ่มน้อยโบกมือตอบแล้วลงไปนั่งฟังรุ่นพี่ที่กำลังจะเริ่มบรีฟการซ้อมแอคติ้งวันนี้

          "วันนี้เราจะซ้อมแอคติ้งในหัวข้อการบิ้วอารมณ์ในเรื่องของ 'ความรัก' นะน้องๆ" รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ผู้กำกับเริ่มเปิดการซ้อม

          "เดี๋ยวพวกพี่จะจับฉลากสุ่มการจับคู่ของนักแสดงขึ้นมา แล้วซ้อมแบบวันก่อนในการพูดประโยคเดียวแล้วบิ้วอารมณ์ทางด้านความรักขึ้นมาให้ได้นะฮะ ขอให้อินกับคำพูดที่พูด และนึกไปถึงเรื่องที่กำลังพูดด้วย" ผู้ช่วยผู้กำกับเสริมขึ้นมา

          ผลการจับฉลากก็ออกมาต้นข้าวได้สุ่มจับคู่บิ้วอารมณ์กับพี่ตุ๊ก หนุ่มน้อยแอบดีใจลึกๆ ส่วนพี่ตุ๊กก็ส่งยิ้มมาให้

          ต้นข้าวกับพี่ตุ๊กถูกสั่งให้นั่งประจันหน้ากัน ห้ามใช้มือหรือส่วนใดของร่างกายแตะต้องกันในขณะบิ้วอารมณ์ ให้ใช้แต่คำพูดประโยคเดียวและการบิ้วด้วยสายตาที่ส่งความรู้สึกให้กันเท่านั้น และประโยคที่ต้องพูดนั่นคือ "ผมรักคุณ"

          "นักแสดงคนอื่นๆ ขอให้อยู่ในความเงียบนะครับ ขอให้ใช้สมาธิด้วย เอ้า เริ่มต้นได้..."

          พี่ตุ๊กนั่งจ้องหน้าต้นข้าว ยิ้มน้อยๆ ในใบหน้า และเริ่มเอ่ยคำพูดตามที่ได้รับความสั่ง

          "ผมรักคุณ"

          ต้นข้าวจ้องหน้าและเอ่ยตอบ "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ"

          ........

          ต้นข้าวลองพยายามนึกถึงจิว แต่ตอนนี้กลับนึกไม่ออก ใบหน้าที่มาแทนในใจตอนนี้มันกลายเป็นหน้าของพี่ตุ๊กไปแทน ทำไมเป็นแบบนี้นะ หรือเพราะเด็กหนุ่มคิดว่าจิวเป็นของตายอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรตื่นเต้นให้นึกถึง

          "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ" ทั้งคู่ยังคงบิ้วคำพูดนี้ใส่กันต่อไปเรื่อยๆ

          ...........

          ต้นข้าวลองพยายามนึกว่าจิวเคยพูดแบบนี้กับตนเองหรือเปล่า เด็กหนุ่มนึกสงสัยแบบลางเลือนว่าที่ปลายสะพานที่ทอดยาวไปในทะเลที่อ่าวลุงหวัง บนเกาะเสม็ดครั้งแรกนั้น จิวเคยจ้องหน้าแล้วพูดบอกรักแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่านะ

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊ก ทำตาหยาดเยิ้มใส่

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวยิ้มตอบ

          ...........

          ต้นข้าวมองหน้าพี่ตุ๊กที่อยู่ตรงหน้า ทำไมเวลาพี่ตุ๊กพูดคำนี้ พี่ตุ๊กดูเท่ ดูน่ามองมากจริงๆ

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กพูดซ้ำ ยิ้มฟันขาวสะอาด

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวยิ้มตอบ เห็นฟันขาวแวววาวไม่แพ้กัน

          ต้นข้าวนึกจินตนาการไปถึงตอนละครเรื่องนี้ออกทำการแสดงและมาถึงตอนจบ เด็กหนุ่มนึกภาพว่าพี่ตุ๊ก ซึ่งแสดงเป็นพระเอกดัง ออร่าแรง เท่ กำลังจับมือต้นข้าว ชูขึ้นสูง แล้วก้มลงต่ำขอบคุณผู้ชมที่ปรบมือให้ หนุ่มน้อยนึกไปถึงว่าบีบมือพี่ตุ๊กแน่น...

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวทำตาหยาดเยิ้มขณะกำลังพูด

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กมองลึกเข้าไปในตาต้นข้าว หมือนสะกดจิตให้หัวใจหวั่นไหว

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวเสียงแผ่วลง เหมือนพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กกระซิบแผ่วตอบ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ต้นข้าว

          " ผม  รัก  คุณ " พี่ตุ๊กพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ

          " ผ ม รั ก คุ ณ " ต้นข้าวพูดอ้อยสร้อยกลับไป

          " ผม - รัก - คุณ " พี่ตุ๊กย้ำชัดๆ ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ต้นข้าวมากขึ้นอีก คราวนี้มันจะติดกันอยู่แล้ว

          " ผม ผม ผม..รัก คุณ" ต้นข้าวหลับตาลงพริ้ม

          " ผม รัก คุ...." ปากพี่ตุ๊กสัมผัสแผ่วจนเกือบแตะริมฝีปากต้นข้าวแล้ว ลมหายใจร้อนกระทบกัน

          "คัท...หยุด พอครับน้อง เยี่ยมมาก" ผู้กำกับสั่งหยุดการซ้อมแอคติ้ง

          "น้องๆ ตบมือหน่อยครับ คู่นี้บิ้วอารมณ์รักออกมาได้ดีมาก จำความรู้สึกทางการแสดงนี้ไว้นะครับน้องๆ"

          ...............

          กว่าต้นข้าวจะสงบสติจากการแอคติ้งที่ดูสมจริงสมจัง และใจเต้นแรงนั้นลงได้ก็อีกเป็นชั่วโมงถัดมา พริกเข้ามานั่งคุยเป็นเพื่อนด้วย เพราะพริกก็ได้ดูการซ้อมเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา

          "เธอแสดงจริงจังไปเปล่า" พริกเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้

          "ไม่นี่ ก็เรียกอารมณ์ตามที่ผู้กำกับบอกไง" ต้นข้าวตอบแบบยังมีอารมณ์อึนๆ อยู่ในสมอง

          "ถ้าเธอสองคนแสดงสมจริงขนาดนี้ มีหวังได้ตุ๊กตาทองกันเป็นโหลแล้วมั้ง เมื่อกี้เกือบจะจูบกันจริงๆ แล้วนะ"

          "ไม่หรอกน่า ผู้กำกับห้ามแตะตัวกันนะ"

          "ชั้นเห็นเธอหลับตาพริ้มเลยนี่" พริกพูดแบบหมั่นไส้

          ต้นข้าวไม่ได้ตอบอะไร แต่มองไปอีกทาง ใจคิดไปถึงการซ้อมเมื่อกี้ ความรู้สึกมันเหมือนจะส่งให้จูบกันจริงๆ อย่างที่อีงูบอกนั่นแหล่ะ นึกแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบที่หน้า เหมือนเลือดจะสูบฉีดขึ้นมามากกว่าปกติ ใจเต้นตุบตับขึ้นมา และกลีบกุหลาบกำลังเริ่มโปรยบนหัวอีกแล้ว

          พริกจ้องหน้าต้นข้าวนิ่งๆ แล้วถามขึ้น "แล้วจิวเป็นไงบ้าง ไม่เห็นค่อยมาหาเธอที่มหา'ลัยเลย และพักนี้เธอก็ไม่ค่อยพูดถึง"

          หนุ่มน้อยเงียบลงไปอีก ก่อนจะตอบพริก

          "ก็ไม่มีอะไร จิวยุ่งๆ น่ะ เห็นว่าป๊าไม่ค่อยสบายด้วย ลื่นล้มในห้องน้ำตอนเมา"

          "อุ๊ต่ะ!" พริกอุทานอย่างตกใจ "แล้วเป็นอะไรมากไหม"

          "ไม่รู้สิ ไม่น่าเป็นอะไรมากนะ ไม่เห็นจิวว่ายังไงเลย ไม่หือไม่อือ แถมกำลังจะย้ายบ้านย้ายโรงงานไปที่อื่นด้วยนะ ไม่บอกกันสักคำ"

          ต้นข้าวตอบพริก สายตามองเหม่อไปข้างหน้า สีหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ

          "เธอคบกับจิวมากี่ปีแล้วนะต้นข้าว" พริกถาม

          "กำลังจะเข้าปีที่เจ็ดนี้ล่ะ" เด็กหนุ่มตอบเนิบๆ

          "เจ็ดปีคัน!!"

          พริกอุทานออกมาลอยๆ พร้อมจ้องหน้าต้นข้าว

          "คืออะไรเจ็ดปีคัน" ต้นข้าวงงกับคำนี้

          "มันคือทฤษฎี 'Seven Year Itch - เจ็ดปีคัน' ที่บอกว่าใครที่เป็นแฟนกัน ๗ ปี หากไม่ได้แต่งงาน หรือถ้าไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ต้องมีเหตุให้เลิกรากัน หรือไม่ก็จะแอบไปมีกิ๊กกับคนอื่นน่ะ"

          "ไม่รู้สิ" ต้นข้าวหันมามองหน้าพริก "ก็เราจะแต่งงานกันได้ยังไง เป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นะ"

          "มันไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องแต่งงานกันไง มันอาจหมายถึงการได้อยู่ร่วมกัน การทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตร่วมกันไรงี้ด้วย เค้าเรียกว่า อาถรรพ์ ๗ ปี แต่ถ้าใครผ่านมันได้ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่...ก็ ๗ ปีแล้วจบ!"

          "ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่รู้แล้วล่ะ ตามเวรตามกรรมเถอะ" ต้นข้าวพูดอย่างปลงๆ

          "เธอไม่คิดเสียดายเวลาเหรอ"

          "มีเวลาสำหรับทำอะไรใหม่ๆ อีกตั้งเยอะ" ต้นข้าวโต้คำคมกับพริกบ้าง

          --แต่มันคงไม่ใช่ช่วงเวลาดีๆ อันแสนพิเศษสุดเหมือนที่ผ่านมาหรอก--

          คราวนี้พริกไม่ได้พูดออกมาแล้ว แค่แอบนึกในใจ และภาวนาขอให้ทุกสิ่งมันผ่านไปด้วยดีเถอะ

          ..........

          "เออ นี่เธอก็ยุ่งวุ่นวายกับการซ้อมละครเวทีและวุ่นรับจ๊อบข้างนอกเนี่ย สังเกตอะไรหรือเปล่า เรื่องเพื่อนเราน่ะ" พริกนึกอะไรขึ้นมาได้หลังจากนั่งกันนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่

          "ใคร เพื่อนคนไหนเป็นอะไรเหรอ"

          คราวนี้คนฟังหน้าตาตื่น เพราะที่ผ่านมาก็วุ่นวายเรื่องรับงานจริงๆ และมัวแต่ใส่ใจกับเรื่องของพี่ตุ๊กด้วย จึงไม่ได้สังเกตใครคนอื่นรอบตัวเลย

          "เอก เพื่อนเราน่ะ มันลาออกจากมหา'ลัยแล้วนะ" พริกหน้าสลดลงไปเมื่อพูดถึง

          "อ้าว ไม่ได้สังเกตเลย นานยัง ทำไมอะ มันมีปัญหาอะไรกับใครหรือ มันก็เรียนดีนี่"

          "คือ...เอกมัน..." พริกหันมาจ้องหน้า แล้วเอามือมาจับแขนต้นข้าว "ต้นข้าว เธอน่ะโชคดีฉิบ..."

          ต้นข้าวจ้องหน้าพริกเขม็ง เหมือนจะเค้นหาคำตอบ แต่พอจะนึกอะไรออกได้ลางๆ แล้ว

          "เอกมันติดโรคร้ายแรงน่ะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หมอบอกว่าเป็นไวรัสที่ไม่มีทางรักษา นี่ทางบ้านเลยให้ลาออก แล้วจะส่งไปรักษาตัวที่อเมริกา" เสียงพริกเริ่มสั่นเครือ

          ต้นข้าวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คำพูดของน้าเดียร์บนดาดฟ้าเมื่อหลายปีมาแล้ว แว่วเข้ามา...

          -- ที่เล่านี่ คือจะเตือนว่า มันเป็นไวรัสใหม่ ที่เริ่มระบาดในคู่รักเพศชายเสียเป็นส่วนใหญ่ที่เมืองนอก ดังนั้นเธอต้องรู้จักป้องกันตัว เขาว่าทางเลี่ยงคือ ควรจะรักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนแฟนบ่อยๆ และต้องใส่ถุงมีชัยทุกครั้งด้วยนะ --

--------------------

          การซ้อมละครเวทีเรื่อง "ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" เริ่มงวดเข้ามา ใกล้เวลาที่จะแสดงจริงเต็มที่แล้ว ต้นข้าวเริ่มยุ่งหัวปั่นขึ้นมาก ทั้งการเรียนปกติ ทั้งการซ้อมละครเวที และเหมือนช่วงนี้จะ 'ดวงขึ้น' ในเรื่องของเส้นทางบันเทิง เพราะมีจ๊อบงานนอกเข้ามาหาเรื่อยๆ ทั้งจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว หรือการบอกต่อๆ ของคนที่เคยร่วมงานด้วย

          และที่พัฒนาไปอีกเรื่องหนึ่ง คือความสัมพันธ์ของต้นข้าวและพี่ตุ๊กมีมากขึ้น พี่ตุ๊กเข้าใกล้ชีวิตต้นข้าวมากขึ้น กินข้าวกลางวันที่มหา'ลัยพร้อมกันแทบทุกวัน และทุกๆ วันพี่ตุ๊กจะซื้อขนมนมเนย ของกินต่างๆ มาฝากหนุ่มน้อยตอนซ้อมละครเสมอ

          ต้นข้าวก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าตนเองรักพี่ตุ๊กหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันเหมือนมีสิ่งยึดเหนี่ยวใหม่ๆ ในหัวใจ มีสิ่งใหม่เติมเข้ามาในชีวิต และสิ่งนั้นมันเหมือนเป็นตัวแทนลึกๆ ของความฝันของตนเองด้วยคือ 'เงาแห่งวงการบันเทิง' ที่แฝงอยู่ในตัวของคนๆ หนึ่งแบบที่พี่ตุ๊กเป็น ที่ต้นข้าวไม่ได้เจอในตัวคนอื่น

          ทุกครั้งที่พี่ตุ๊กขึ้นแสดง ทุกครั้งที่พี่ตุ๊กร้องเพลง ต้นข้าวจะจับตามองอย่างมีความสุข บางครั้งก็เผลอยิ้มกับภาพที่พี่ตุ๊กกำลังเขินอายบนเวทีเมื่อได้รับเสียงตบมือในขณะที่แสดงอะไรสักอย่างจบลงและหันมามองทางตนเองเสมอ ต้นข้าวก็นึกไปเองว่า พี่ตุ๊กอุทิศเสียงตบมือนั้นให้ตนเอง ในฐานะที่เป็นกำลังใจเบื้องหลังอันสำคัญ

          ..............

          มีงานจ๊อบข้างนอกงานหนึ่ง ที่ต้นข้าวได้รับต่อมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่จบไปแล้วและไปเข้าทำงานในบริษัทนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่นที่กำลังฮิตเป็นอันดับต้นๆ ในตอนนั้น ในตำแหน่ง รอง บก.หน้าแฟชั่น

          ครั้งนั้น รุ่นพี่คนนี้เดินทางไปเชียงใหม่หลายวัน แต่ดันมีงานเปลี่ยนตัวนางแบบขึ้นปกที่ถ่ายไปแล้ว เพราะนางแบบเก่ามีข้อสัญญาที่รับไม่ได้ ทำให้ต้องถ่ายนางแบบคนใหม่ซ่อมด่วนเพื่อให้ทันตีพิมพ์ปกใหม่ และรุ่นพี่คนนี้ ได้โทรทางไกลมาให้ต้นข้าวไปเป็นสไตล์ลิสควบคุมการถ่ายทำแทนตัวเอง ในเซ็ตแฟชั่นนางแบบใหม่ขึ้นปก รวมทั้งแฟชั่นนายแบบแทรกในหน้าเล็กๆ ที่แนะนำร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งถ่ายพร้อมกันในวันเดียวเลย รุ่นพี่คนนี้เชื่อใจในฝีมือของต้นข้าว และเคยเห็นการทำงานที่ผ่านมาของต้นข้าวอยู่

          แน่นอนที่สุด เมื่อต้นข้าวได้รับความไว้วางใจจากรุ่นพี่ บก.แฟชั่น จึงมีอำนาจเต็มที่ในการคัดเลือกนางแบบและนายแบบ เมื่อหนุ่มน้อยเล่าเรื่องความภูมิใจกับงานที่ได้รับความมอบหมายนี้ให้จิวฟัง จิวกลับดูเฉยๆ เพราะไม่ได้ติดตามเรื่องแฟชั่นและไม่เคยซื้อหนังสือเล่มนี้อ่าน ต้นข้าวจึงต้องเงียบและไม่รู้จะเล่าอะไรต่อ

          แต่สำหรับพี่ตุ๊ก ทันทีที่รู้ข่าวนี้ ก็ดูตื่นเต้นไปกับต้นข้าวด้วย และรีบมารอต้นข้าวที่ห้องซ้อมแต่เช้า พร้อมกับเอารูปถ่ายที่พี่ตุ๊กเคยถ่ายไว้ตามห้องภาพต่างๆ มาให้ต้นข้าวดู ว่าพี่ตุ๊กพอจะเป็นนายแบบในการถ่ายเซ็ตนั้นได้หรือเปล่า

          "ไหวไหมครับน้องต้นข้าว" พี่ตุ๊กทำเสียงอ้อน

          "ก็ดีนะครับ เค้ากำลังอยากได้นายแบบหน้าใหม่ด้วย เพราะงบไม่มาก จึงไม่น่าจะเรื่องมากยุ่งยากอะไร และเซ็ตของนายแบบมันเป็นคอลัมน์เล็กๆ ข้างในเอง" ต้นข้าวพลิกดูรูปพี่ตุ๊กในมือไปมา

          "ให้พี่ได้ถ่ายเซ็ตนี้ไปก่อน แล้วครั้งหน้าน้องต้นข้าวก็ค่อยให้พี่ขึ้นปกดีไหม" พี่ตุ๊กยิ้ม หน้าตาใสกระจ่าง

          .......................

          ต้นข้าวผ่านงานจ๊อบที่ได้รับมานั้นไปด้วยดี พี่ตุ๊กได้ถ่ายแบบประกอบในคอลัมน์แนะนำร้านอาหารนั้นได้สมดังใจ รูปออกมาสวย พี่ตุ๊กดูดีในเสื้อผ้าของห้องเสื้อ 'Fi Produce' จากตึกชาญอิสระ และมีรูปหนึ่งต้องถอดเสื้อที่ริมสระว่ายน้ำของร้านอาหารนั้น พี่ตุ๊กมีรูปร่างและกล้ามเนื้อที่ดีมาก ลูกค้าที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชอบแฟชั่นเซ็ตนี้ และกล่าวชมต้นข้าวไปทางต้นสังกัดนิตยสารด้วย

          ส่วนนางแบบคนใหม่ที่จะมาขึ้นปก ทางสปอนเซอร์เสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่ขึ้นปกเป็นคนส่งนางแบบหน้าใหม่มาให้จากโมเดลลิ่งเล็กๆ โมฯ หนึ่ง ซึ่งต้นข้าวก็เห็นชอบด้วย และตกลงเลือกนางแบบคนนี้ทันที พอแต่งหน้าทำผมแล้วก็มีแต่คนในกองถ่ายตกตะลึง เพราะออกมาดูดีมาก นางแบบหน้าใหม่คนนี้หน้าตาออกไปทางลูกครึ่งฝรั่ง แต่งหน้าออกมาแล้วสวยเหมือนใบหน้าของภาพเขียน 'โมนาลิซ่า' ที่โด่งดังในฝรั่งเศสเลยทีเดียว

          ในช่วงพักเบรคกองถ่ายแฟชั่นช่วงกลางวัน ต้นข้าวพานางแบบหน้าใหม่คนนี้ไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ ริมคลองหลอดใกล้ๆ กับกองถ่ายเพราะดูน่าสงสาร มาคนเดียวไม่มีเพื่อนหรือญาติมาด้วย นั่งกินข้าวไปก็ร้องไห้ไป น้ำตาไหลหยดแหม่ะๆ เล่าให้หนุ่มน้อยคนเก่งฟังถึงความระทมในชีวิตที่ไม่มีพ่อแม่ มีแต่ยายแก่ๆ ที่เลี้ยงดูมา ที่อยากเข้าวงการบันเทิงเพราะอยากมีเงินไปเลี้ยงดูยาย  เธออยากจะสวยที่สุดบนปกนี้ เพราะนี่เป็น 'โอกาสแรกในชีวิต' ของเธอแล้ว และต้นข้าวคือคนที่จะมอบสิ่งนั้นให้แก่เธอได้

          ซึ่งต้นข้าวคนเก่งก็ทำจ๊อบนั้นออกมาอย่างดีที่สุด หน้าปกนิตยสารเล่มนั้น เมื่อวางแผงแล้วสะดุดตาด้วยรูปโคสอัพหน้านางแบบโนเนมคนนี้เต็มหน้าปก สวย ล้ำยุค และใหม่สดในวงการ

          -- และอีก ๓๐ ปีต่อมา ต้นข้าวยิ่งภูมิใจมากขึ้นอีก เมื่อนางแบบโนเนมไร้ญาติคนนั้นกลายเป็นดาราหญิงที่ดังมาก และท้ายที่สุดกลายไปเป็นผู้จัดละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีนิสัยที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการ --

--------------------

          หลังจากปิดจ๊อบนิตยสารนั้นแล้ว ต้นข้าวมีจ๊อบอีกสองจ๊อบ จ๊อบหนึ่งเป็นงานข้างนอกที่ระดับใหญ่มาก จะมีขึ้นในอีกเกือบเดือนหนึ่งข้างหน้า งานนี้ได้รับต่อมาจากรุ่นพี่อีกคนเหมือนกัน คืองาน "มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔" ที่เวทีหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ต้นข้าวจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม Back Stage ในส่วนของศิลปินและนักแสดง จึงมีการประชุมเตรียมงานเครียดหลายครั้งล่วงหน้า

          และอีกงานหนึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นก่อน เป็นงานภายในมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบการถือกำเนิดมหา'ลัย ซึ่งจัดใหญ่ มีการแสดง มีดนตรี คอนเสิร์ต และการประกวด "Mr. & Miss Diamond 1990"

          ในงานครบรอบของมหาวิทยาลัยนี้ ต้นข้าวจะต้องดูแลในเรื่องของการแสดงต่างๆ ร่วมกับรุ่นพี่อีกสองคน แต่ด้วยความสนิทสนมส่วนตัว ต้นข้าวก็ดันให้พี่ตุ๊ก ได้ขึ้นร้องเพลงบนเวทีงานมหา'ลัยครั้งนี้ด้วย จำนวน ๔ เพลง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการโปรโมทละครเวทีของคณะนิเทศศาสตร์

          พี่ตุ๊กดีใจที่ได้รู้ว่าตนเองต้องขึ้นร้องเพลง แต่ความจริงแล้วพี่ตุ๊กเองแหล่ะที่เป็นคนกล่อมให้ต้นข้าวเสนอชื่อพี่ตุ๊กเข้าไปในการแสดงครั้งนี้ เมื่อตัวเองได้ร้องแล้วก็ได้ขอร้องต้นข้าวให้เพิ่มกลุ่มแดนเซอร์ในละครให้มาร่วมเต้นประกอบเพลงของพี่ตุ๊กในงานนี้ด้วย โดยอ้างว่าจะได้ดูยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งต้นข้าวก็จัดให้ได้ตามนั้น

          ช่วงหลังๆ ต้นข้าวเอาใจพี่ตุ๊กมาก และพี่ตุ๊กเองก็เอาอกเอาใจต้นข้าวมากขึ้นไปอีก ทั้งคำหวาน คำชม ขนม อาหารการกิน และกลับบ้านก็โทรหาทุกคืน

          งานของมหาวิทยาลัยครั้งนั้นประสบความสำเร็จไปด้วยดี ทุกสิ่งราบรื่น ผู้หลักผู้ใหญ่และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกล่าวชื่นชมงานกันเกรียวกราว

          และมีเรื่องน่ายินดีด้วยว่าในงานนี้ ต้นข้าวทำจดหมายในนามของมหาวิทยาลัย เชิญ "เจ้าทางเหนือ" ไฮโซฯ ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการออกงานสังคม งานตัดริบบิ้นเปิดร้าน และมักเป็นกรรมการประกวดในเวทีต่างๆ มาเป็นกรรมการตัดสิน Mr. & Miss Diamond 1990 ครั้งนี้ด้วย และเมื่อจบงาน ท่านได้ชื่นชมต้นข้าวในเรื่องการจัดงาน และชมว่าต้นข้าวเป็นคนหนุ่มที่เก่ง มีอนาคตทางการงานที่ดี และมีรูปร่างที่ดีมากๆ

--------------------

          บ่ายวันหนึ่ง ต้นข้าวเสร็จจากการประชุมเตรียมงานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔ ที่ใกล้จะถึงแล้ว และประชุมเครียดขึ้นทุกที เพราะจะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ ในงานจะมีศิลปินเพลงลูกทุ่งในเมืองไทยจำนวนมาก และมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น บางท่านก็ไม่ขออยู่ห้องแต่งตัวห้องเดียวกัน บางท่านยืนร้องเพลงติดกันไม่ได้ ขอให้มีคนยืนคั่น บางท่านก็สบายๆ จัดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น

          ประชุมเสร็จอย่างหงุดหงิด เด็กหนุ่มกลับมาบ้าน และได้รับโทรศัพท์จากจิวที่โทรเข้าบ้านมาพอดี จิวขอให้ต้นข้าวมาที่บ้านจิว เพื่อช่วยให้ถ่ายรูปรองเท้าฟองน้ำรุ่นใหม่ด่วน เพราะกล้องถ่ายรูปของโรงงานจิวเสีย ต้องรีบส่งฟิล์มไปล้างและอัดรูปส่งให้เอเย่นต์ต่างจังหวัดสำหรับออร์เดอร์งานล็อตใหม่นี้

          ต้นข้าวรับปากจิว เพราะใจหนึ่งก็คิดว่าไม่ค่อยได้เจอกันหลายอาทิตย์แล้ว ไปหาสักหน่อยก็ดี และอีกอย่างหนึ่งก็อยากช่วยงานจิวด้วย งานบ้านจิว ในทางครอบครัวก็เหมือนคนบ้านเดียวกัน เป็นเรื่องที่ต้นข้าวควรไปช่วยอยู่แล้ว จึงขับรถไปบ้านจิวที่ฝั่งธนฯ โดยที่ใจยังหงุดหงิดติดค้างกับงานจ๊อบอันวุ่นวายหลายเรื่องประดังกันเข้ามา ซึ่งต้นข้าวอยากจะทำมันทั้งหมดให้ออกมาดีที่สุด

          ..................

          "หน้ามุ่ยเชียว งานยุ่งเหรอ" จิวถามต้นข้าวเมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในโรงงานรองเท้าของป๊าจิวแล้ว

          "ยุ่ง"

          "แล้วรู้เรื่องเอกแล้วใช่ไหม" จิวชวนคุยอีก

          "รู้แล้ว!"

          ต้นข้าวตอบสั้นๆ ใจกำลังนึกถึงว่าพรุ่งนี้ต้องมีซ้อมละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' ครั้งสุดท้ายก่อนแสดงจริงแล้ว และเย็นๆ ต้องประชุมงานมหกรรมลูกทุ่งฯ อีก ส่วนมือก็เปิดกระเป๋ากล้องถ่ายรูป สะละวนควานหากลักฟิล์มในนั้นไปมา

          "ละครเวทีเป็นไงบ้าง ใกล้ขึ้นแสดงแล้วสิ" จิวยังถามด้วยความใจเย็น ตามองดูคนหงุดหงิดที่กำลังควานหาของในกระเป๋าแบบหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

          "ที่ผ่านมาโทรมาเล่าก็ไม่เห็นจะสนใจ แล้ววันนี้จะมาถามทำไม"

          ต้นข้าวตอบเสียงสะบัด --นี่กลักฟิล์มมันกลิ้งไปไหนนะ ควานหาไม่เจอสักที--

          ต้นข้าวอึดอัดขัดใจกับการหาของไม่เจอ จึงคว่ำเททั้งกระเป๋ากล้อง ซึ่งหลังๆ มาเหมือนเป็นกระเป๋าใส่ของจุกจิกสารพัดประโยชน์ด้วย ของในนั้นกลิ้งตกลงมา มีทั้งปากกา ดินสอสี กระดาษโน๊ต บทละครที่พับครึ่งยับยู่ยี่ กระดาษเนื้อเพลง และกล่องเล็กๆ ใส่ของจุกจิกอีกหลายกล่อง รวมทั้งกลักฟิล์มที่จะต้องใช้ ร่วงลงมาด้วย

          "อ้าว...อารมณ์เสียอะไรมาเนี่ย" จิวมองต้นข้าวหาของด้วยสายตาสงสัย

          "จะให้ถ่ายอะไร เอามาวางสิ" ต้นข้าวสั่งจิว หลังจากเอาฟิล์มบรรจุลงกล้องถ่ายรูปเรียบร้อย และหมุนเฟืองกล้องเสียงดังแกรกๆ

          จิวหยิบรองเท้ารุ่นใหม่ของโรงงานที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะ เป็นรองเท้าแตะแบบสวม ส่วนที่เป็นพื้นรองเท้าและสายคาดเป็นสีเหลืองแปลกตา

          "สวยไหม สีใหม่เลยนะเนี่ย ในท้องตลาดไม่มีใครทำกัน มีทั้งหมด ๗ สีไม่ซ้ำกันเลย" จิวเล่าอย่างภูมิใจ

          ไม่มีคำตอบหรือคำพูดจากต้นข้าว มีแต่เสียง 'แชร็กๆๆ' ของชัตเตอร์กล้อง เด็กหนุ่มถ่ายรูปรองเท้าด้วยความรวดเร็ว มือแทบไม่ได้จับหรือขยับรองเท้าบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทางเลยด้วยซ้ำ

          ในเมื่อจิวเห็นว่าต้นข้าวไม่พูดอะไร จิวก็ไม่พูดอะไรต่อ พอถ่ายคู่แรกเสร็จ จิวก็หยิบคู่ต่อๆ ไปขึ้นมาวางเปลี่ยนให้ถ่าย จนครบ ๗ คู่

          "หมดล่ะ" จิวหันมาบอกต้นข้าว "ทีนี้ถ่ายรูปจิวถือรองเท้านี่หน่อย ป๊าจะส่งไปให้เอเย่นต์ต่างจังหวัดดูด้วย เพื่อแนะนำตัวว่าต่อไปต้องติดต่อกับจิวนี้ จะได้รู้จักหน้าตาไว้ก่อน เวลาไปหาที่ต่างจังหวัดจะได้สะดวกตรงที่ว่าเคยเห็นรูปกันมาก่อนแล้ว ป๊ากลัวใครจะมาสวมรอยเก็บตังค์ค่ารองเท้าน่ะ"

          "ยืนถือสิ" ต้นข้าวสั่งจิว ตายังไม่ได้เงยขึ้นมามอง เพราะมัวแต่เปลี่ยนเลนส์กล้องอยู่

          จิวก้าวเข้ามายืนระยะหน้ากล้อง เอามือเดียวหอบรองเท้าแตะ ๗ คู่ ๗ สี ขึ้นมาอุ้มไว้ตรงหน้าอก ไม่รู้จะทำท่าอะไร เก้อๆ ขึ้นมา เลยเอามือหนึ่งขึ้นมาเสยผมแบบเก้ๆ กังๆ เข้าไปอีก เหมือนคนไม่คุ้นชินกับการถ่ายรูปหรืออยู่ต่อหน้ากล้อง

          "ทำท่าอะไรนี่ ทำไมมันวุ่นวายทุเรศทุรังแบบนี้" ต้นข้าวตวาดจิว

          จิวอ้าปากค้าง งงกับอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของต้นข้าว

          "แล้วจะให้ทำท่ายังไง ก็บอกสิ คนไม่รู้นี่ ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงนี่นะ"

          เหมือนคำพูดมาจี้ใจดำ เหมือนคำพูดที่กระทบหอกแหลมที่กำลังปักติดหลังของต้นข้าวอยู่ เหมือนคนที่มีแผล สะกิดนิดก็แสบ  คำพูดที่เคยแซวกันเล่นระหว่างแฟนโดยไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้มันกลับกลายเป็นคำพูดที่เหมือนมาจับผิดกัน ประชดประชันกันไปแล้ว

          "ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงก็ไม่ต้องถ่าย!!"

          ต้นข้าวพูดกระแทกเสียง แล้วกดชัตเตอร์ถ่ายรูปจิวลงไป 'แชร็ก' เดียว รูปเดียว จิวยังอ้าปากค้าง มือยังเกาหัว แถมเผลอๆ รูปนั้นหลับตาด้วยซ้ำ

          จิวยืนอึ้งไม่มีคำพูดจะพูด มือที่หอบรองเท้าฟองน้ำ ๗ คู่ ปล่อยให้ตกลงไปที่พื้นข้างตัว ต้นข้าวหมุนกรอฟิล์มกลับ แล้วเปิดฝาหลังกล้องดึงฟิล์มออกมาวางกระแทกบนโต๊ะ

          "เอ้า...เอาไปล้างอัดรูปเองนะ กลับก่อนล่ะ"

--------------------


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2017 03:03:17 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
แรกรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน
เรียนรู้วันนี้ เพื่อวันข้างหน้าจะได้รักกันมากขึ้น สาเหตุที่อาจจะมาเพราะ ไม่พูด ไม่คุย ไม่เคลีย คิดว่ารู้ใจกันที่สุด แต่จริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้ใจคนอื่นทุกเรื่อง

แต่อ่านตอนนี้แล้ว ขอตบต้นข้าวสักทีได้มั้ย ตบเสร็จชั้นจะรวบตัวจิวมาซบอก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :angry2: :z6:

เอาต้นข้าวไปเก็บด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด