MBK❤lover
ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน บ่ายวันนี้มีซ้อมละครของคณะฯ ต้นข้าวมาถึงห้องซ้อมพอดีกับเวลานัด พอเข้าห้องไปเห็นพี่ตุ๊กนั่งอยู่ก่อนแล้วข้างๆ กลุ่มแดนเซอร์ พี่ตุ๊กส่งยิ้มมาให้พร้อมยกมือขึ้นมาโบก หนุ่มน้อยโบกมือตอบแล้วลงไปนั่งฟังรุ่นพี่ที่กำลังจะเริ่มบรีฟการซ้อมแอคติ้งวันนี้
"วันนี้เราจะซ้อมแอคติ้งในหัวข้อการบิ้วอารมณ์ในเรื่องของ '
ความรัก' นะน้องๆ" รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ผู้กำกับเริ่มเปิดการซ้อม
"เดี๋ยวพวกพี่จะจับฉลากสุ่มการจับคู่ของนักแสดงขึ้นมา แล้วซ้อมแบบวันก่อนในการพูดประโยคเดียวแล้วบิ้วอารมณ์ทางด้านความรักขึ้นมาให้ได้นะฮะ ขอให้อินกับคำพูดที่พูด และนึกไปถึงเรื่องที่กำลังพูดด้วย" ผู้ช่วยผู้กำกับเสริมขึ้นมา
ผลการจับฉลากก็ออกมาต้นข้าวได้สุ่มจับคู่บิ้วอารมณ์กับพี่ตุ๊ก หนุ่มน้อยแอบดีใจลึกๆ ส่วนพี่ตุ๊กก็ส่งยิ้มมาให้
ต้นข้าวกับพี่ตุ๊กถูกสั่งให้นั่งประจันหน้ากัน ห้ามใช้มือหรือส่วนใดของร่างกายแตะต้องกันในขณะบิ้วอารมณ์ ให้ใช้แต่คำพูดประโยคเดียวและการบิ้วด้วยสายตาที่ส่งความรู้สึกให้กันเท่านั้น และประโยคที่ต้องพูดนั่นคือ "
ผมรักคุณ"
"นักแสดงคนอื่นๆ ขอให้อยู่ในความเงียบนะครับ ขอให้ใช้สมาธิด้วย เอ้า เริ่มต้นได้..."
พี่ตุ๊กนั่งจ้องหน้าต้นข้าว ยิ้มน้อยๆ ในใบหน้า และเริ่มเอ่ยคำพูดตามที่ได้รับความสั่ง
"ผมรักคุณ"
ต้นข้าวจ้องหน้าและเอ่ยตอบ "ผมรักคุณ"
"ผมรักคุณ"
"ผมรักคุณ"
........
ต้นข้าวลองพยายามนึกถึงจิว แต่ตอนนี้กลับนึกไม่ออก ใบหน้าที่มาแทนในใจตอนนี้มันกลายเป็นหน้าของพี่ตุ๊กไปแทน ทำไมเป็นแบบนี้นะ หรือเพราะเด็กหนุ่มคิดว่าจิวเป็นของตายอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรตื่นเต้นให้นึกถึง
"ผมรักคุณ"
"ผมรักคุณ"
"ผมรักคุณ" ทั้งคู่ยังคงบิ้วคำพูดนี้ใส่กันต่อไปเรื่อยๆ
...........
ต้นข้าวลองพยายามนึกว่าจิวเคยพูดแบบนี้กับตนเองหรือเปล่า เด็กหนุ่มนึกสงสัยแบบลางเลือนว่าที่ปลายสะพานที่ทอดยาวไปในทะเลที่อ่าวลุงหวัง บนเกาะเสม็ดครั้งแรกนั้น จิวเคยจ้องหน้าแล้วพูดบอกรักแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่านะ
"ผมรักคุณ" พี่ตุ๊ก ทำตาหยาดเยิ้มใส่
"ผมรักคุณ" ต้นข้าวยิ้มตอบ
...........
ต้นข้าวมองหน้าพี่ตุ๊กที่อยู่ตรงหน้า ทำไมเวลาพี่ตุ๊กพูดคำนี้ พี่ตุ๊กดูเท่ ดูน่ามองมากจริงๆ
"ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กพูดซ้ำ ยิ้มฟันขาวสะอาด
"ผมรักคุณ" ต้นข้าวยิ้มตอบ เห็นฟันขาวแวววาวไม่แพ้กัน
ต้นข้าวนึกจินตนาการไปถึงตอนละครเรื่องนี้ออกทำการแสดงและมาถึงตอนจบ เด็กหนุ่มนึกภาพว่าพี่ตุ๊ก ซึ่งแสดงเป็นพระเอกดัง ออร่าแรง เท่ กำลังจับมือต้นข้าว ชูขึ้นสูง แล้วก้มลงต่ำขอบคุณผู้ชมที่ปรบมือให้ หนุ่มน้อยนึกไปถึงว่าบีบมือพี่ตุ๊กแน่น...
"ผมรักคุณ" ต้นข้าวทำตาหยาดเยิ้มขณะกำลังพูด
"ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กมองลึกเข้าไปในตาต้นข้าว หมือนสะกดจิตให้หัวใจหวั่นไหว
"ผมรักคุณ" ต้นข้าวเสียงแผ่วลง เหมือนพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน
"ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กกระซิบแผ่วตอบ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ต้นข้าว
" ผม รัก คุณ " พี่ตุ๊กพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
" ผ ม รั ก คุ ณ " ต้นข้าวพูดอ้อยสร้อยกลับไป
" ผม - รัก - คุณ " พี่ตุ๊กย้ำชัดๆ ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ต้นข้าวมากขึ้นอีก คราวนี้มันจะติดกันอยู่แล้ว
" ผม ผม ผม..รัก คุณ" ต้นข้าวหลับตาลงพริ้ม
" ผม รัก คุ...." ปากพี่ตุ๊กสัมผัสแผ่วจนเกือบแตะริมฝีปากต้นข้าวแล้ว ลมหายใจร้อนกระทบกัน
"คัท...หยุด พอครับน้อง เยี่ยมมาก" ผู้กำกับสั่งหยุดการซ้อมแอคติ้ง
"น้องๆ ตบมือหน่อยครับ คู่นี้บิ้วอารมณ์รักออกมาได้ดีมาก จำความรู้สึกทางการแสดงนี้ไว้นะครับน้องๆ"
...............
กว่าต้นข้าวจะสงบสติจากการแอคติ้งที่ดูสมจริงสมจัง และใจเต้นแรงนั้นลงได้ก็อีกเป็นชั่วโมงถัดมา พริกเข้ามานั่งคุยเป็นเพื่อนด้วย เพราะพริกก็ได้ดูการซ้อมเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา
"เธอแสดงจริงจังไปเปล่า" พริกเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้
"ไม่นี่ ก็เรียกอารมณ์ตามที่ผู้กำกับบอกไง" ต้นข้าวตอบแบบยังมีอารมณ์อึนๆ อยู่ในสมอง
"ถ้าเธอสองคนแสดงสมจริงขนาดนี้ มีหวังได้ตุ๊กตาทองกันเป็นโหลแล้วมั้ง เมื่อกี้เกือบจะจูบกันจริงๆ แล้วนะ"
"ไม่หรอกน่า ผู้กำกับห้ามแตะตัวกันนะ"
"ชั้นเห็นเธอหลับตาพริ้มเลยนี่" พริกพูดแบบหมั่นไส้
ต้นข้าวไม่ได้ตอบอะไร แต่มองไปอีกทาง ใจคิดไปถึงการซ้อมเมื่อกี้ ความรู้สึกมันเหมือนจะส่งให้จูบกันจริงๆ อย่างที่อีงูบอกนั่นแหล่ะ นึกแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบที่หน้า เหมือนเลือดจะสูบฉีดขึ้นมามากกว่าปกติ ใจเต้นตุบตับขึ้นมา และกลีบกุหลาบกำลังเริ่มโปรยบนหัวอีกแล้ว
พริกจ้องหน้าต้นข้าวนิ่งๆ แล้วถามขึ้น "แล้วจิวเป็นไงบ้าง ไม่เห็นค่อยมาหาเธอที่มหา'ลัยเลย และพักนี้เธอก็ไม่ค่อยพูดถึง"
หนุ่มน้อยเงียบลงไปอีก ก่อนจะตอบพริก
"ก็ไม่มีอะไร จิวยุ่งๆ น่ะ เห็นว่าป๊าไม่ค่อยสบายด้วย ลื่นล้มในห้องน้ำตอนเมา"
"อุ๊ต่ะ!" พริกอุทานอย่างตกใจ "แล้วเป็นอะไรมากไหม"
"ไม่รู้สิ ไม่น่าเป็นอะไรมากนะ ไม่เห็นจิวว่ายังไงเลย ไม่หือไม่อือ แถมกำลังจะย้ายบ้านย้ายโรงงานไปที่อื่นด้วยนะ ไม่บอกกันสักคำ"
ต้นข้าวตอบพริก สายตามองเหม่อไปข้างหน้า สีหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ
"เธอคบกับจิวมากี่ปีแล้วนะต้นข้าว" พริกถาม
"กำลังจะเข้าปีที่เจ็ดนี้ล่ะ" เด็กหนุ่มตอบเนิบๆ
"
เจ็ดปีคัน!!"
พริกอุทานออกมาลอยๆ พร้อมจ้องหน้าต้นข้าว
"คืออะไรเจ็ดปีคัน" ต้นข้าวงงกับคำนี้
"มันคือทฤษฎี '
Seven Year Itch - เจ็ดปีคัน' ที่บอกว่าใครที่เป็นแฟนกัน ๗ ปี หากไม่ได้แต่งงาน หรือถ้าไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ต้องมีเหตุให้เลิกรากัน หรือไม่ก็จะแอบไปมีกิ๊กกับคนอื่นน่ะ"
"ไม่รู้สิ" ต้นข้าวหันมามองหน้าพริก "ก็เราจะแต่งงานกันได้ยังไง เป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นะ"
"มันไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องแต่งงานกันไง มันอาจหมายถึงการได้อยู่ร่วมกัน การทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตร่วมกันไรงี้ด้วย เค้าเรียกว่า
อาถรรพ์ ๗ ปี แต่ถ้าใครผ่านมันได้ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่...ก็ ๗ ปีแล้วจบ!"
"ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่รู้แล้วล่ะ ตามเวรตามกรรมเถอะ" ต้นข้าวพูดอย่างปลงๆ
"เธอไม่คิดเสียดายเวลาเหรอ"
"มีเวลาสำหรับทำอะไรใหม่ๆ อีกตั้งเยอะ" ต้นข้าวโต้คำคมกับพริกบ้าง
--
แต่มันคงไม่ใช่ช่วงเวลาดีๆ อันแสนพิเศษสุดเหมือนที่ผ่านมาหรอก--
คราวนี้พริกไม่ได้พูดออกมาแล้ว แค่แอบนึกในใจ และภาวนาขอให้ทุกสิ่งมันผ่านไปด้วยดีเถอะ
..........
"เออ นี่เธอก็ยุ่งวุ่นวายกับการซ้อมละครเวทีและวุ่นรับจ๊อบข้างนอกเนี่ย สังเกตอะไรหรือเปล่า เรื่องเพื่อนเราน่ะ" พริกนึกอะไรขึ้นมาได้หลังจากนั่งกันนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่
"ใคร เพื่อนคนไหนเป็นอะไรเหรอ"
คราวนี้คนฟังหน้าตาตื่น เพราะที่ผ่านมาก็วุ่นวายเรื่องรับงานจริงๆ และมัวแต่ใส่ใจกับเรื่องของพี่ตุ๊กด้วย จึงไม่ได้สังเกตใครคนอื่นรอบตัวเลย
"เอก เพื่อนเราน่ะ มันลาออกจากมหา'ลัยแล้วนะ" พริกหน้าสลดลงไปเมื่อพูดถึง
"อ้าว ไม่ได้สังเกตเลย นานยัง ทำไมอะ มันมีปัญหาอะไรกับใครหรือ มันก็เรียนดีนี่"
"คือ...เอกมัน..." พริกหันมาจ้องหน้า แล้วเอามือมาจับแขนต้นข้าว "ต้นข้าว เธอน่ะโชคดีฉิบ..."
ต้นข้าวจ้องหน้าพริกเขม็ง เหมือนจะเค้นหาคำตอบ แต่พอจะนึกอะไรออกได้ลางๆ แล้ว
"เอกมันติดโรคร้ายแรงน่ะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หมอบอกว่าเป็นไวรัสที่ไม่มีทางรักษา นี่ทางบ้านเลยให้ลาออก แล้วจะส่งไปรักษาตัวที่อเมริกา" เสียงพริกเริ่มสั่นเครือ
ต้นข้าวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คำพูดของน้าเดียร์บนดาดฟ้าเมื่อหลายปีมาแล้ว แว่วเข้ามา...
--
ที่เล่านี่ คือจะเตือนว่า มันเป็นไวรัสใหม่ ที่เริ่มระบาดในคู่รักเพศชายเสียเป็นส่วนใหญ่ที่เมืองนอก ดังนั้นเธอต้องรู้จักป้องกันตัว เขาว่าทางเลี่ยงคือ ควรจะรักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนแฟนบ่อยๆ และต้องใส่ถุงมีชัยทุกครั้งด้วยนะ --
--------------------
การซ้อมละครเวทีเรื่อง "
ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" เริ่มงวดเข้ามา ใกล้เวลาที่จะแสดงจริงเต็มที่แล้ว ต้นข้าวเริ่มยุ่งหัวปั่นขึ้นมาก ทั้งการเรียนปกติ ทั้งการซ้อมละครเวที และเหมือนช่วงนี้จะ 'ดวงขึ้น' ในเรื่องของเส้นทางบันเทิง เพราะมีจ๊อบงานนอกเข้ามาหาเรื่อยๆ ทั้งจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว หรือการบอกต่อๆ ของคนที่เคยร่วมงานด้วย
และที่พัฒนาไปอีกเรื่องหนึ่ง คือความสัมพันธ์ของต้นข้าวและพี่ตุ๊กมีมากขึ้น พี่ตุ๊กเข้าใกล้ชีวิตต้นข้าวมากขึ้น กินข้าวกลางวันที่มหา'ลัยพร้อมกันแทบทุกวัน และทุกๆ วันพี่ตุ๊กจะซื้อขนมนมเนย ของกินต่างๆ มาฝากหนุ่มน้อยตอนซ้อมละครเสมอ
ต้นข้าวก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าตนเองรักพี่ตุ๊กหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันเหมือนมีสิ่งยึดเหนี่ยวใหม่ๆ ในหัวใจ มีสิ่งใหม่เติมเข้ามาในชีวิต และสิ่งนั้นมันเหมือนเป็นตัวแทนลึกๆ ของความฝันของตนเองด้วยคือ '
เงาแห่งวงการบันเทิง' ที่แฝงอยู่ในตัวของคนๆ หนึ่งแบบที่พี่ตุ๊กเป็น ที่ต้นข้าวไม่ได้เจอในตัวคนอื่น
ทุกครั้งที่พี่ตุ๊กขึ้นแสดง ทุกครั้งที่พี่ตุ๊กร้องเพลง ต้นข้าวจะจับตามองอย่างมีความสุข บางครั้งก็เผลอยิ้มกับภาพที่พี่ตุ๊กกำลังเขินอายบนเวทีเมื่อได้รับเสียงตบมือในขณะที่แสดงอะไรสักอย่างจบลงและหันมามองทางตนเองเสมอ ต้นข้าวก็นึกไปเองว่า พี่ตุ๊กอุทิศเสียงตบมือนั้นให้ตนเอง ในฐานะที่เป็นกำลังใจเบื้องหลังอันสำคัญ
..............
มีงานจ๊อบข้างนอกงานหนึ่ง ที่ต้นข้าวได้รับต่อมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่จบไปแล้วและไปเข้าทำงานในบริษัทนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่นที่กำลังฮิตเป็นอันดับต้นๆ ในตอนนั้น ในตำแหน่ง รอง บก.หน้าแฟชั่น
ครั้งนั้น รุ่นพี่คนนี้เดินทางไปเชียงใหม่หลายวัน แต่ดันมีงานเปลี่ยนตัวนางแบบขึ้นปกที่ถ่ายไปแล้ว เพราะนางแบบเก่ามีข้อสัญญาที่รับไม่ได้ ทำให้ต้องถ่ายนางแบบคนใหม่ซ่อมด่วนเพื่อให้ทันตีพิมพ์ปกใหม่ และรุ่นพี่คนนี้ ได้โทรทางไกลมาให้ต้นข้าวไปเป็นสไตล์ลิสควบคุมการถ่ายทำแทนตัวเอง ในเซ็ตแฟชั่นนางแบบใหม่ขึ้นปก รวมทั้งแฟชั่นนายแบบแทรกในหน้าเล็กๆ ที่แนะนำร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งถ่ายพร้อมกันในวันเดียวเลย รุ่นพี่คนนี้เชื่อใจในฝีมือของต้นข้าว และเคยเห็นการทำงานที่ผ่านมาของต้นข้าวอยู่
แน่นอนที่สุด เมื่อต้นข้าวได้รับความไว้วางใจจากรุ่นพี่ บก.แฟชั่น จึงมีอำนาจเต็มที่ในการคัดเลือกนางแบบและนายแบบ เมื่อหนุ่มน้อยเล่าเรื่องความภูมิใจกับงานที่ได้รับความมอบหมายนี้ให้จิวฟัง จิวกลับดูเฉยๆ เพราะไม่ได้ติดตามเรื่องแฟชั่นและไม่เคยซื้อหนังสือเล่มนี้อ่าน ต้นข้าวจึงต้องเงียบและไม่รู้จะเล่าอะไรต่อ
แต่สำหรับพี่ตุ๊ก ทันทีที่รู้ข่าวนี้ ก็ดูตื่นเต้นไปกับต้นข้าวด้วย และรีบมารอต้นข้าวที่ห้องซ้อมแต่เช้า พร้อมกับเอารูปถ่ายที่พี่ตุ๊กเคยถ่ายไว้ตามห้องภาพต่างๆ มาให้ต้นข้าวดู ว่าพี่ตุ๊กพอจะเป็นนายแบบในการถ่ายเซ็ตนั้นได้หรือเปล่า
"ไหวไหมครับน้องต้นข้าว" พี่ตุ๊กทำเสียงอ้อน
"ก็ดีนะครับ เค้ากำลังอยากได้นายแบบหน้าใหม่ด้วย เพราะงบไม่มาก จึงไม่น่าจะเรื่องมากยุ่งยากอะไร และเซ็ตของนายแบบมันเป็นคอลัมน์เล็กๆ ข้างในเอง" ต้นข้าวพลิกดูรูปพี่ตุ๊กในมือไปมา
"ให้พี่ได้ถ่ายเซ็ตนี้ไปก่อน แล้วครั้งหน้าน้องต้นข้าวก็ค่อยให้พี่ขึ้นปกดีไหม" พี่ตุ๊กยิ้ม หน้าตาใสกระจ่าง
.......................
ต้นข้าวผ่านงานจ๊อบที่ได้รับมานั้นไปด้วยดี พี่ตุ๊กได้ถ่ายแบบประกอบในคอลัมน์แนะนำร้านอาหารนั้นได้สมดังใจ รูปออกมาสวย พี่ตุ๊กดูดีในเสื้อผ้าของห้องเสื้อ 'Fi Produce' จากตึกชาญอิสระ และมีรูปหนึ่งต้องถอดเสื้อที่ริมสระว่ายน้ำของร้านอาหารนั้น พี่ตุ๊กมีรูปร่างและกล้ามเนื้อที่ดีมาก ลูกค้าที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชอบแฟชั่นเซ็ตนี้ และกล่าวชมต้นข้าวไปทางต้นสังกัดนิตยสารด้วย
ส่วนนางแบบคนใหม่ที่จะมาขึ้นปก ทางสปอนเซอร์เสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่ขึ้นปกเป็นคนส่งนางแบบหน้าใหม่มาให้จากโมเดลลิ่งเล็กๆ โมฯ หนึ่ง ซึ่งต้นข้าวก็เห็นชอบด้วย และตกลงเลือกนางแบบคนนี้ทันที พอแต่งหน้าทำผมแล้วก็มีแต่คนในกองถ่ายตกตะลึง เพราะออกมาดูดีมาก นางแบบหน้าใหม่คนนี้หน้าตาออกไปทางลูกครึ่งฝรั่ง แต่งหน้าออกมาแล้วสวยเหมือนใบหน้าของภาพเขียน 'โมนาลิซ่า' ที่โด่งดังในฝรั่งเศสเลยทีเดียว
ในช่วงพักเบรคกองถ่ายแฟชั่นช่วงกลางวัน ต้นข้าวพานางแบบหน้าใหม่คนนี้ไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ ริมคลองหลอดใกล้ๆ กับกองถ่ายเพราะดูน่าสงสาร มาคนเดียวไม่มีเพื่อนหรือญาติมาด้วย นั่งกินข้าวไปก็ร้องไห้ไป น้ำตาไหลหยดแหม่ะๆ เล่าให้หนุ่มน้อยคนเก่งฟังถึงความระทมในชีวิตที่ไม่มีพ่อแม่ มีแต่ยายแก่ๆ ที่เลี้ยงดูมา ที่อยากเข้าวงการบันเทิงเพราะอยากมีเงินไปเลี้ยงดูยาย เธออยากจะสวยที่สุดบนปกนี้ เพราะนี่เป็น '
โอกาสแรกในชีวิต' ของเธอแล้ว และต้นข้าวคือคนที่จะมอบสิ่งนั้นให้แก่เธอได้
ซึ่งต้นข้าวคนเก่งก็ทำจ๊อบนั้นออกมาอย่างดีที่สุด หน้าปกนิตยสารเล่มนั้น เมื่อวางแผงแล้วสะดุดตาด้วยรูปโคสอัพหน้านางแบบโนเนมคนนี้เต็มหน้าปก สวย ล้ำยุค และใหม่สดในวงการ
--
และอีก ๓๐ ปีต่อมา ต้นข้าวยิ่งภูมิใจมากขึ้นอีก เมื่อนางแบบโนเนมไร้ญาติคนนั้นกลายเป็นดาราหญิงที่ดังมาก และท้ายที่สุดกลายไปเป็นผู้จัดละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีนิสัยที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการ --
--------------------
หลังจากปิดจ๊อบนิตยสารนั้นแล้ว ต้นข้าวมีจ๊อบอีกสองจ๊อบ จ๊อบหนึ่งเป็นงานข้างนอกที่ระดับใหญ่มาก จะมีขึ้นในอีกเกือบเดือนหนึ่งข้างหน้า งานนี้ได้รับต่อมาจากรุ่นพี่อีกคนเหมือนกัน คืองาน "
มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔" ที่เวทีหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ต้นข้าวจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม Back Stage ในส่วนของศิลปินและนักแสดง จึงมีการประชุมเตรียมงานเครียดหลายครั้งล่วงหน้า
และอีกงานหนึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นก่อน เป็นงานภายในมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบการถือกำเนิดมหา'ลัย ซึ่งจัดใหญ่ มีการแสดง มีดนตรี คอนเสิร์ต และการประกวด "Mr. & Miss Diamond 1990"
ในงานครบรอบของมหาวิทยาลัยนี้ ต้นข้าวจะต้องดูแลในเรื่องของการแสดงต่างๆ ร่วมกับรุ่นพี่อีกสองคน แต่ด้วยความสนิทสนมส่วนตัว ต้นข้าวก็ดันให้พี่ตุ๊ก ได้ขึ้นร้องเพลงบนเวทีงานมหา'ลัยครั้งนี้ด้วย จำนวน ๔ เพลง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการโปรโมทละครเวทีของคณะนิเทศศาสตร์
พี่ตุ๊กดีใจที่ได้รู้ว่าตนเองต้องขึ้นร้องเพลง แต่ความจริงแล้วพี่ตุ๊กเองแหล่ะที่เป็นคนกล่อมให้ต้นข้าวเสนอชื่อพี่ตุ๊กเข้าไปในการแสดงครั้งนี้ เมื่อตัวเองได้ร้องแล้วก็ได้ขอร้องต้นข้าวให้เพิ่มกลุ่มแดนเซอร์ในละครให้มาร่วมเต้นประกอบเพลงของพี่ตุ๊กในงานนี้ด้วย โดยอ้างว่าจะได้ดูยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งต้นข้าวก็จัดให้ได้ตามนั้น
ช่วงหลังๆ ต้นข้าวเอาใจพี่ตุ๊กมาก และพี่ตุ๊กเองก็เอาอกเอาใจต้นข้าวมากขึ้นไปอีก ทั้งคำหวาน คำชม ขนม อาหารการกิน และกลับบ้านก็โทรหาทุกคืน
งานของมหาวิทยาลัยครั้งนั้นประสบความสำเร็จไปด้วยดี ทุกสิ่งราบรื่น ผู้หลักผู้ใหญ่และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกล่าวชื่นชมงานกันเกรียวกราว
และมีเรื่องน่ายินดีด้วยว่าในงานนี้ ต้นข้าวทำจดหมายในนามของมหาวิทยาลัย เชิญ "เจ้าทางเหนือ" ไฮโซฯ ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการออกงานสังคม งานตัดริบบิ้นเปิดร้าน และมักเป็นกรรมการประกวดในเวทีต่างๆ มาเป็นกรรมการตัดสิน Mr. & Miss Diamond 1990 ครั้งนี้ด้วย และเมื่อจบงาน ท่านได้ชื่นชมต้นข้าวในเรื่องการจัดงาน และชมว่าต้นข้าวเป็นคนหนุ่มที่เก่ง มีอนาคตทางการงานที่ดี และมีรูปร่างที่ดีมากๆ
--------------------
บ่ายวันหนึ่ง ต้นข้าวเสร็จจากการประชุมเตรียมงานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔ ที่ใกล้จะถึงแล้ว และประชุมเครียดขึ้นทุกที เพราะจะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ ในงานจะมีศิลปินเพลงลูกทุ่งในเมืองไทยจำนวนมาก และมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น บางท่านก็ไม่ขออยู่ห้องแต่งตัวห้องเดียวกัน บางท่านยืนร้องเพลงติดกันไม่ได้ ขอให้มีคนยืนคั่น บางท่านก็สบายๆ จัดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
ประชุมเสร็จอย่างหงุดหงิด เด็กหนุ่มกลับมาบ้าน และได้รับโทรศัพท์จากจิวที่โทรเข้าบ้านมาพอดี จิวขอให้ต้นข้าวมาที่บ้านจิว เพื่อช่วยให้ถ่ายรูปรองเท้าฟองน้ำรุ่นใหม่ด่วน เพราะกล้องถ่ายรูปของโรงงานจิวเสีย ต้องรีบส่งฟิล์มไปล้างและอัดรูปส่งให้เอเย่นต์ต่างจังหวัดสำหรับออร์เดอร์งานล็อตใหม่นี้
ต้นข้าวรับปากจิว เพราะใจหนึ่งก็คิดว่าไม่ค่อยได้เจอกันหลายอาทิตย์แล้ว ไปหาสักหน่อยก็ดี และอีกอย่างหนึ่งก็อยากช่วยงานจิวด้วย งานบ้านจิว ในทางครอบครัวก็เหมือนคนบ้านเดียวกัน เป็นเรื่องที่ต้นข้าวควรไปช่วยอยู่แล้ว จึงขับรถไปบ้านจิวที่ฝั่งธนฯ โดยที่ใจยังหงุดหงิดติดค้างกับงานจ๊อบอันวุ่นวายหลายเรื่องประดังกันเข้ามา ซึ่งต้นข้าวอยากจะทำมันทั้งหมดให้ออกมาดีที่สุด
..................
"หน้ามุ่ยเชียว งานยุ่งเหรอ" จิวถามต้นข้าวเมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในโรงงานรองเท้าของป๊าจิวแล้ว
"ยุ่ง"
"แล้วรู้เรื่องเอกแล้วใช่ไหม" จิวชวนคุยอีก
"รู้แล้ว!"
ต้นข้าวตอบสั้นๆ ใจกำลังนึกถึงว่าพรุ่งนี้ต้องมีซ้อมละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' ครั้งสุดท้ายก่อนแสดงจริงแล้ว และเย็นๆ ต้องประชุมงานมหกรรมลูกทุ่งฯ อีก ส่วนมือก็เปิดกระเป๋ากล้องถ่ายรูป สะละวนควานหากลักฟิล์มในนั้นไปมา
"ละครเวทีเป็นไงบ้าง ใกล้ขึ้นแสดงแล้วสิ" จิวยังถามด้วยความใจเย็น ตามองดูคนหงุดหงิดที่กำลังควานหาของในกระเป๋าแบบหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่
"ที่ผ่านมาโทรมาเล่าก็ไม่เห็นจะสนใจ แล้ววันนี้จะมาถามทำไม"
ต้นข้าวตอบเสียงสะบัด --นี่กลักฟิล์มมันกลิ้งไปไหนนะ ควานหาไม่เจอสักที--
ต้นข้าวอึดอัดขัดใจกับการหาของไม่เจอ จึงคว่ำเททั้งกระเป๋ากล้อง ซึ่งหลังๆ มาเหมือนเป็นกระเป๋าใส่ของจุกจิกสารพัดประโยชน์ด้วย ของในนั้นกลิ้งตกลงมา มีทั้งปากกา ดินสอสี กระดาษโน๊ต บทละครที่พับครึ่งยับยู่ยี่ กระดาษเนื้อเพลง และกล่องเล็กๆ ใส่ของจุกจิกอีกหลายกล่อง รวมทั้งกลักฟิล์มที่จะต้องใช้ ร่วงลงมาด้วย
"อ้าว...อารมณ์เสียอะไรมาเนี่ย" จิวมองต้นข้าวหาของด้วยสายตาสงสัย
"จะให้ถ่ายอะไร เอามาวางสิ" ต้นข้าวสั่งจิว หลังจากเอาฟิล์มบรรจุลงกล้องถ่ายรูปเรียบร้อย และหมุนเฟืองกล้องเสียงดังแกรกๆ
จิวหยิบรองเท้ารุ่นใหม่ของโรงงานที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะ เป็นรองเท้าแตะแบบสวม ส่วนที่เป็นพื้นรองเท้าและสายคาดเป็นสีเหลืองแปลกตา
"สวยไหม สีใหม่เลยนะเนี่ย ในท้องตลาดไม่มีใครทำกัน มีทั้งหมด ๗ สีไม่ซ้ำกันเลย" จิวเล่าอย่างภูมิใจ
ไม่มีคำตอบหรือคำพูดจากต้นข้าว มีแต่เสียง 'แชร็กๆๆ' ของชัตเตอร์กล้อง เด็กหนุ่มถ่ายรูปรองเท้าด้วยความรวดเร็ว มือแทบไม่ได้จับหรือขยับรองเท้าบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทางเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่อจิวเห็นว่าต้นข้าวไม่พูดอะไร จิวก็ไม่พูดอะไรต่อ พอถ่ายคู่แรกเสร็จ จิวก็หยิบคู่ต่อๆ ไปขึ้นมาวางเปลี่ยนให้ถ่าย จนครบ ๗ คู่
"หมดล่ะ" จิวหันมาบอกต้นข้าว "ทีนี้ถ่ายรูปจิวถือรองเท้านี่หน่อย ป๊าจะส่งไปให้เอเย่นต์ต่างจังหวัดดูด้วย เพื่อแนะนำตัวว่าต่อไปต้องติดต่อกับจิวนี้ จะได้รู้จักหน้าตาไว้ก่อน เวลาไปหาที่ต่างจังหวัดจะได้สะดวกตรงที่ว่าเคยเห็นรูปกันมาก่อนแล้ว ป๊ากลัวใครจะมาสวมรอยเก็บตังค์ค่ารองเท้าน่ะ"
"ยืนถือสิ" ต้นข้าวสั่งจิว ตายังไม่ได้เงยขึ้นมามอง เพราะมัวแต่เปลี่ยนเลนส์กล้องอยู่
จิวก้าวเข้ามายืนระยะหน้ากล้อง เอามือเดียวหอบรองเท้าแตะ ๗ คู่ ๗ สี ขึ้นมาอุ้มไว้ตรงหน้าอก ไม่รู้จะทำท่าอะไร เก้อๆ ขึ้นมา เลยเอามือหนึ่งขึ้นมาเสยผมแบบเก้ๆ กังๆ เข้าไปอีก เหมือนคนไม่คุ้นชินกับการถ่ายรูปหรืออยู่ต่อหน้ากล้อง
"ทำท่าอะไรนี่ ทำไมมันวุ่นวายทุเรศทุรังแบบนี้" ต้นข้าวตวาดจิว
จิวอ้าปากค้าง งงกับอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของต้นข้าว
"แล้วจะให้ทำท่ายังไง ก็บอกสิ คนไม่รู้นี่
ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงนี่นะ"
เหมือนคำพูดมาจี้ใจดำ เหมือนคำพูดที่กระทบหอกแหลมที่กำลังปักติดหลังของต้นข้าวอยู่ เหมือนคนที่มีแผล สะกิดนิดก็แสบ คำพูดที่เคยแซวกันเล่นระหว่างแฟนโดยไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้มันกลับกลายเป็นคำพูดที่เหมือนมาจับผิดกัน ประชดประชันกันไปแล้ว
"ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงก็ไม่ต้องถ่าย!!"
ต้นข้าวพูดกระแทกเสียง แล้วกดชัตเตอร์ถ่ายรูปจิวลงไป 'แชร็ก' เดียว รูปเดียว จิวยังอ้าปากค้าง มือยังเกาหัว แถมเผลอๆ รูปนั้นหลับตาด้วยซ้ำ
จิวยืนอึ้งไม่มีคำพูดจะพูด มือที่หอบรองเท้าฟองน้ำ ๗ คู่ ปล่อยให้ตกลงไปที่พื้นข้างตัว ต้นข้าวหมุนกรอฟิล์มกลับ แล้วเปิดฝาหลังกล้องดึงฟิล์มออกมาวางกระแทกบนโต๊ะ
"เอ้า...เอาไปล้างอัดรูปเองนะ กลับก่อนล่ะ"
--------------------