MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐  (อ่าน 139419 ครั้ง)

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
นี่สินะที่เรียกว่า หลงระเริง

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  เดี๋ยวต้นข้าวก็จะรู้เองล่ะ ว่าวงการบันเทิงเขาเป็นยังไง อ่านๆดูเหมือนรุ่นพี่จะใช้ต้นข้าวเป็นบันไดสู่วงการเลย
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต้นข้าวนี่หลงพี่ตุ๊กมากเวอร์ ยอมเขาทุกอย่างเลยนะเธอ
ทีจิวนี่ยอมไม่ได้เลย คำพูดการกระทำนี่ขัดตาไปหมดด 
ขอต้นข้าวสมัยมัธยมกลับมาได้ไหม ตอนนั้นน่ารักมากเลยนะ
อ่านแล้วอินเบอร์แรงมากกกก

ออฟไลน์ ajkub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดตาม  ติดตาม และติดตาม

ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขัดใจต้นข้าว  :katai1:
ติดตามตอนต่อไป :katai5:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ต่างฝ่ายต่างไม่คุย

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง


          บ่ายวันรุ่งขึ้นหลังจากต้นข้าวซ้อมละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' ครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็ไปเข้าประชุมเตรียมงานจ๊อบ 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' ที่สำนักงานแห่งหนึ่งใกล้ๆ มหาวิทยาลัยต่อ

          ในการประชุม มีการออกความคิดเห็นเรื่องเพลงที่แดนเซอร์จะต้องออกมาเต้นประกอบเพลง ซึ่งบางเพลง ตัวศิลปินลูกทุ่งบางท่านจะมีหางเครื่องจากวงมาด้วย แต่บางท่านก็ไม่มีวงดนตรีลูกทุ่งเป็นของตัวเอง ทางผู้จัดก็จะหาแดนเซอร์ หรือนักแสดงมาประกอบเพลงนั้นๆ ให้

          เหมือนอย่างเพลง 'แรงงานข้าวเหนียว' ที่เนื้อเพลงจะพูดถึงผ้าไหมจากแดนอิสาน จะใช้แดนเซอร์ใส่ชุดราตรียาวและเดินลากผ้าไหมผืนยาวออกมาเดินสวนกันประกอบเพลง ต้นข้าวเป็นคนรับเรื่องนี้ โดยจะใช้แดนเซอร์รุ่นน้องที่แสดงละครเวทีด้วยกันมาแสดง โดยมีผ้าไหมผืนสวยที่ต้นข้าวได้ทำเรื่องขอสปอนเซอร์ไว้ให้แล้วมาใช้จริงๆ

          ประชุมเสร็จ ต้นข้าวกลับไปมหาวิทยาลัย เพื่อไปที่ห้องซ้อมละครเวทีอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะไปคอนเฟิร์มกับน้องนักศึกษาหญิงที่เป็นแดนเซอร์สองคนที่รับงานนอกนี้  แต่ต้นข้าวก็เดินสวนกับพี่ตุ๊กที่ออกมาจากห้องซ้อมละครก่อนพอดี

          "น้องต้นข้าว จะไปไหนครับ กินข้าวหรือยัง" พี่ตุ๊กทัก ดูหน้าตาไม่ค่อยสดใส

          "อ้าวพี่ตุ๊ก" ต้นข้าวยิ้มออกในครั้งแรกของวันที่ยุ่งเหยิงนี้ "จะเข้าไปหาอ้อย ที่เป็นแดนเซอร์ครับ จะคอนเฟิร์มเรื่องงานนอกที่รับไว้"

          "อ้อยไม่อยู่!" พี่ตุ๊กตอบแทนอย่างรวดเร็ว แล้วลดเสียงพูดลง "อ้อยบอกพี่ว่าไม่ค่อยสบายน่ะ กลับบ้านไปตั้งแต่ตอนซ้อมละครเสร็จน่ะ"

          "อ้าว...ยังไงดีเนี่ย" ต้นข้าวมองหน้าพี่ตุ๊กค้างอยู่

          "พี่ว่า ต้นข้าวเปลี่ยนตัวแดนเซอร์ที่ไปรับจ๊อบงานนอกลูกทุ่งอะไรนี่ดีกว่าไหม พี่กลัวอ้อยจะยังไม่หายป่วยน่ะ"

          "จะไม่หายทันได้ยังไงอะพี่ตุ๊ก ละครเวทีมิสซิสแฮริสของเราก็จะเริ่มแสดงรอบแรกวันมะรืนนี้แล้ว น้องก็ซ้อมกันไปหมดแล้ว ส่วนงานนอก งานลูกทุ่งนั้นอีกตั้งเกือบสองอาทิตย์ข้างหน้านะฮะ ยังไม่ได้ซ้อมเพลงเพิ่มเลย ป่านนั้นจะยังไม่หายป่วยอีกหรือ" ต้นข้าวเริ่มงง

          "เอ่อ..." พี่ตุ๊กเริ่มหลุกหลิก "เอาน่า พี่ว่าเปลี่ยนตัวอันที่เป็นงานจ๊อบลูกทุ่งนั่นดีกว่า ต้นข้าวจะได้สบายใจเนอะ มาๆ พี่จะไปช่วยเลือกคนใหม่เป็นเพื่อน"

          พี่ตุ๊กลากมือต้นข้าวเข้าไปในห้องซ้อม ซึ่งยังมีแดนเซอร์นั่งคุยเล่นอยู่ในนั้นหลายคน และเริ่มช่วยคัดเลือกแดนเซอร์หญิงคนใหม่อย่างที่ว่า จนเรียบร้อยอย่างที่ต้นข้าวต้องการ และพาต้นข้าวออกไปนั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารข้างๆ มหาวิทยาลัย ด้วยรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของต้นข้าวตลอดทั้งมื้ออาหารนั้น

--------------------

โรงละคร, หอประชุม AUA  ถนนราชดำริ

          ละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส' ของนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๓๔ ได้เริ่มเปิดม่านการแสดงแล้วที่โรงละคร AUA บนถนนราชดำริ ผู้เข้าชมและนักศึกษาต่างสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับตัวละครทุกตัว ได้รับชมฉากเมืองลอนดอนและเมืองปารีสอันตระการตา รวมทั้งบทเพลงต่างๆ ที่สอดแทรกในละคร การเต้นของนักแสดง ไฟ แสงสีเสียงที่สมบูรณ์แบบ เรียกเสียงตบมือดังอย่างกึกก้องในทุกรอบที่การแสดงจบลง

          ...............

          ๗ วันต่อมา จิวผู้ซึ่งเดินทางไปดูเครื่องจักรที่นครชัยศรีอีกครั้ง ได้กลับมาถึงโรงงานที่กรุงเทพฯ และได้รับโทรศัพท์จากพริก ซึ่งเป็นห่วงและสงสัยว่าทำไมจิวถึงไม่ได้มาดูละครเวทีที่ต้นข้าวแสดงเลย พริกจึงโทรชวนให้จิวมาดู และมาให้กำลังใจต้นข้าวในการแสดงรอบสุดท้าย พริกจะฝากบัตรไว้ให้ที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์หน้าโรงละคร โดยที่ต้นข้าวไม่รู้เรื่องที่พริกชวนจิวมาในรอบนี้

          จิวมาที่โรงละคร AUA ในเวลาที่ละครเริ่มแสดงพอดี ในมือถือช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ ตั้งใจจะมอบให้ต้นข้าวเมื่อการแสดงจบลง

          จิวได้ที่นั่งเกือบหลังสุดของโรงละคร และตั้งใจดูการแสดงทุกฉากอย่างไม่ให้คลาดสายตา โดยเฉพาะสองฉากที่ต้นข้าวออกแสดง ฉากแรกที่ต้นข้าวเล่น เป็นฉากการแสดงแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อ คริสเตียง ดิออร์ ต้นข้าวเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่นั่งชมการเดินแฟชั่นโชว์อยู่ในนั้น  และอีกฉากหนึ่ง เป็นฉากในสวนดอกไม้ใจกลางกรุงปารีส ที่ต้นข้าวต้องร้องเพลง La Vie En Rose ร่วมกันกับมิสซิสแฮริส มีฉากหลังเป็นหอไอเฟลอันมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ไกลๆ

          ต้นข้าวแสดงฉากนี้ได้ดี ถึงแม้ว่าตัวละครจะต้องแต่งให้ดูแก่ เพราะเป็นตัวละครชายที่อยู่ในวัยเกษียณแล้ว หากแต่น้ำเสียงที่สดใส ความตั้งใจ และประกายบางอย่างที่ออกมาจากต้นข้าว ทำให้จิวอมยิ้มและดีใจที่ต้นข้าวกำลังก้าวเข้าไปอยู่ใน 'วงการมายา' อีกขั้นหนึ่งแล้ว

          แต่เมื่อจิวนั่งมองต้นข้าวบนเวทีไปเรื่อยๆ จิวกลับตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งว่า ตนเองกับต้นข้าวเหมือนเริ่มห่างกันไปทุกที ทั้งระยะห่างของรูปแบบการใช้ชีวิต ระยะห่างของความชอบเฉพาะตัว ระยะห่างของเวลาสำหรับคนสองคน

          และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้นข้าวยิ่งก้าวสูงเข้าไปใกล้ขอบฟ้า เพื่อให้ถึงดวงดาวอย่างที่ต้นข้าวอยากจะเป็น ทำให้ระยะทางสู่ฝันของคนๆ หนึ่ง กลับเป็นถนนที่ไกลเกินเอื้อมของอีกคนหนึ่ง ที่จิวไม่มีวันจะก้าวเข้าไปเดินเคียงข้างได้เลย

          จิวก้มลงไปมองช่อกุหลาบในมือ แล้วถอนหายใจยาว

          ...............

          เสียงตบมือกึกก้องและยาวนานกว่าทุกรอบดังขึ้น เรียกภวังค์ของจิวให้กลับมาสู่ตัวอีกครั้ง บนเวทีดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย นักแสดงทั้งหมดออกมาโค้งขอบคุณบนเวที ผู้ชมบางส่วนที่เตรียมช่อดอกไม้มา เริ่มกรูกันไปที่หน้าเวทีเพื่อมอบช่อดอกไม้นั้นแก่นักแสดงหรือทีมงานที่ตนเองมาเป็นกำลังใจให้

          จิวลุกขึ้นยืนจากที่นั่งท้ายโรงละคร ในมือประคองจับช่อกุหลาบสีแดงอย่างทะนุถนอม  สายตามองอย่างชื่นชมไปที่ต้นข้าว ในใจนึกยินดีไปกับความสำเร็จครั้งนี้ของคนที่ตนรักด้วย และเริ่มเดินเบียดผู้ชมตรงไปหาที่หน้าเวทีเพื่อจะมอบช่อดอกไม้นี้ให้บ้าง

          ................

          ต้นข้าวหัวเราะอย่างมีความสุขบนเวที เมื่อการแสดงละครจบลง ไฟบนเวทีเปิดส่องสว่าง กระดาษสายรุ้งสีทองถูกโปรยลงมาจากเพดานเวทีเป็นประกายระยิบระยับ วงดนตรีออร์เคสตราหน้าเวทีบรรเลงเพลงจังหวะครึกครื้นส่งท้าย นักแสดงออกมาโค้งขอบคุณหน้าม่าน ต้นข้าวหันไปมองพี่ตุ๊ก ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันในฐานะนักแสดงนำ ส่งยิ้มให้ และพี่ตุ๊กก็หันมายิ้มตอบ รวมทั้งยกนิ้วโป้งชูให้ต้นข้าวด้วย

          ผู้ชมและเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมายื่นช่อดอกไม้ให้พี่ตุ๊กและต้นข้าวเป็นจำนวนมาก สองคนสลับกันก้มลงไปรับ ส่งยิ้มให้กัน เมื่อช่อดอกไม้เต็มอ้อมแขนของต้นข้าว พี่ตุ๊กก็เข้ามาช่วยแบ่งช่อดอกไม้จากมือเด็กหนุ่มไปวางเก็บให้หลังเวที แล้วออกมายืนคู่กันรับช่อดอกไม้ใหม่

          มีช่างภาพนับสิบขึ้นมารุมถ่ายรูปนักแสดงบนเวที พี่ตุ๊กดึงมือต้นข้าวเข้ามายืนข้างๆ เพื่อให้ถ่ายรูปด้วยกัน ทั้งสองเอามือโอบหลังกันและกัน ยิ้มกว้าง สายตาสู้แสงแฟลชจากกล้องที่ส่องประกายจ้า เหมือนมันกำลังปล่อยแสงสว่างวาบมาเปิด 'โลกแห่งมายา' อันน่าหลงไหล แม้จะต้องฝืนดวงตาจ้องรับแสงที่แสบแรงของมันก็ตาม

          แต่น่าเสียดายที่ว่าแสงขาวโพลนของแฟลช ได้บดบังภาพแห่ง 'โลกใบเดิม' ในความเป็นจริงตรงหน้าไปเสียสิ้น

          รวมทั้งบดบังภาพของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ตัวสูงคนหนึ่งทางด้านล่างเวที ที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือเก้ๆ กังๆ และหลังจากยืนชะเง้อมองขึ้นไปบนเวทีอยู่นาน หนุ่มหน้าตี๋ก็ตัดสินใจหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบๆ ด้วยความเจียมตน หายลับไปที่ทางออกหน้าประตูโรงละคร AUA นั้น

--------------------

          หลังจากโปรเจ็คละครเวทีจบลง ต้นข้าวก็ยุ่งกับเรื่องงานคอนเสิร์ต 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' ที่ไปรับจ๊อบมา ซึ่งมีทั้งการซ้อมของแดนเซอร์ การนัดแนะเรื่องคิวนักแสดงต่างๆ

          ต้นข้าวตั้งใจทำจ๊อบงานลูกทุ่งนี่เป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นงานใหญ่ระดับประเทศ หากงานออกมาสำเร็จงดงาม มันก็จะเป็นประวัติที่ดี สามารถใช้อ้างอิงได้เมื่อไปสมัครงานหลังจากเรียนจบ

          ส่วนเหตุผลที่สอง เด็กหนุ่มคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ศิลปินและดาราต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนหลายสิบคนพร้อมๆ กัน เช่น ราชาเพลงโห่ ราชินีลูกทุ่ง ราชาเพลงแหล่ หรือ ราชินีลำตัด รวมทั้งศิลปินแห่งชาติอีกจำนวนมาก

          และเหนือสิ่งอื่นใด คือต้นข้าวคิดว่าการได้เข้าไปจัดงานในเวทีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เป็นการบรรลุความฝันแล้วของงานบนเวที เพราะที่นี่คือสุดยอดของเทคโนโลยีทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการแสดง และมันพึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดใช้มายังไม่ถึง ๒ ปี ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะได้เข้าไปสัมผัสที่นี่

--------------------

          และแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นวันงานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔  แต่เช้าวันนี้ต้นข้าวหัวปั่นยังไม่หยุด อารมณ์เสียตั้งแต่เรื่องแดนเซอร์โทรมาที่บ้าน เพื่อต่อรองเรื่องสีของรองเท้าที่จะต้องใส่เต้นเพราะหาไม่ได้ตรงตามกำหนด หรือตัวประกอบโชว์หลายคนมาซ้อมบ่ายวันงานไม่ได้ จะขอซ้อมก่อนเปิดงาน ๑๕ นาทีได้ไหม  หรือช่างแต่งหน้าบางคนจะขอบัตรสต๊าฟเข้าหลังเวทีเพิ่มอีก นั่น นู่น นี่...

          แต่ที่อารมณ์หงุดหงิดมากกว่าสิ่งอื่น คือเช้านี้ต้นข้าวยังติดต่อพี่ตุ๊กไม่ได้ ทั้งๆ ที่นัดกันไว้แล้วว่าเที่ยงๆ วันนี้พี่ตุ๊กจะมาเจอ และมีบางสิ่งจะคุยกับต้นข้าว แต่ยังไม่ได้นัดสถานที่กัน ทำให้เด็กหนุ่มต้องนั่งรอรับโทรศัพท์พี่ตุ๊กก่อน

          ในเมื่อออกจากบ้านยังไม่ได้ ต้นข้าวจึงคิดว่าเตรียมความพร้อมของตัวเองสำหรับงานพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า ตั้งแต่เช็คความเรียบร้อยของชุดที่จะต้องใส่ เอกสาร สคริปต์ต่างๆ ไปจนถึงเรื่องบัตรจอดรถของตัวเองที่จะต้องติดไว้ที่หน้ากระจกรถสำหรับขับผ่านเข้าไปจอดในส่วนของทีมงาน แต่ปรากฎว่าต้นข้าวหาบัตรนี้เท่าไรก็ไม่เจอ

          เด็กหนุ่มผู้หัวเสียกับงาน พยายามนึกว่าเอามันไปเก็บไว้ที่ไหน มันเป็นบัตรบางๆ ใบเล็กเท่ากับนามบัตร พิมพ์หมายเลขทะเบียนรถของต้นข้าวและมีลายเซ็นฝ่ายอาคารศูนย์ประชุมฯ บนนั้น บัตรนี้ทางทีมงานมอบให้ไว้เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา

          ต้นข้าวลองค้นในกระเป๋าทุกใบ จนมาถึงกระเป๋าใส่กล้อง ค้นจนทั่วและถึงกับเททุกสิ่งออกมาดู จึงคิดได้ว่าเคยเทของออกมาแบบนี้แล้วครั้งหนึ่งที่บ้านจิวเร็วๆ นี้

          เด็กหนุ่มยกหูโทรศัพท์หมุนหมายเลขไปที่บ้านจิว

          "ฮัลโหล" เสียงจิวรับสาย

          "วันก่อนนี้ที่ไปถ่ายรูปรองเท้าให้ มีเอกสารอะไรตกอยู่ที่บ้านไหม" ต้นข้าวถาม

          "มี... มีกระดาษใบเล็กๆ หล่นอยู่สองแผ่น เก็บไว้ให้แล้ว" เสียงจิวดูเหนื่อยๆ

          "แล้วทำไมไม่โทรมาบอกว่ามีเอกสารตกอยู่" เสียงต้นข้าวเริ่มแข็งขึ้น

          เสียงพูดทางจิวเงียบไป  ต้นข้าวเลยกรอกเสียงลงไป "ไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหม เดี๋ยวจะเข้าไปเอานะ"

          แล้วต้นข้าวก็วางสายลงไปทันทีด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดมากขึ้น --เออ ลืมของไว้แทนที่จะโทรมาบอก โอ้ย หงุดหงิดโว้ย--

          เด็กหนุ่มหันรีหันขวาง จะเอายังไงดี พี่ตุ๊กก็ยังไม่โทรเข้ามาสักที โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับ แต่เรื่องบัตรจอดรถนี่ก็สำคัญ จะไปขอทำใหม่ก็เหมือนคนไม่มีความรับผิดชอบ คิดแล้วจึงตัดสินใจขับรถออกไปบ้านจิวเพื่อไปจัดการเรื่องบัตรจอดรถก่อนดีกว่า

          ระหว่างทางที่ขับรถ ต้นข้าวนึกเรื่องราวต่างๆ ไปตลอดทาง ทั้งเรื่องงานลูกทุ่งในวันพรุ่งนี้ รุ่นพี่ผู้รับงานนี้มาได้ย้ำนักหนาว่าให้ทำออกมาอย่างดีที่สุดและต้องไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ซึ่งเรื่องนี้ต้นข้าวและทีมงานทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดี

          หนุ่มน้อยนึกจินตนาการต่อไปถึงงานจบ จะต้องได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ควรจะต้องได้รับคำชื่นชมจากสื่อมวลชนทุกแขนง และงานครั้งนี้จะต้องเป็นตำนานเกียรติยศของเวทีลูกทุ่ง ที่จะถูกเล่าขานและจดจำไปอีกนานแสนนาน

          ต้นข้าวนึกไปถึงตอนเสร็จงานแล้ว และจะมีงานเลี้ยงฉลองทีมงานเบื้องหลัง ต้นข้าวจะควงคู่ไปในงานกับพี่ตุ๊ก ภาพที่เห็นจะต้องออกมางดงามและโดดเด่น ผู้กำกับเวทีหนุ่มอายุน้อยแต่ไฟแรง ควงคู่มากับนายแบบนักแสดงดาวรุ่ง ต้องเรียกแสงแฟลชจากสื่อมวลชนได้มากแน่ๆ หนุ่มน้อยนึกมาถึงตรงนี้แล้วอมยิ้ม

          ...............

          ในความคิดคำนึง และจินตนาการของต้นข้าวในขณะขับรถอยู่ทั้งหมดนี้...ไม่มีเรื่องราวของจิวอยู่ในนั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2017 03:07:49 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
คนลืมตัว..วัวลืมตีน


ทำได้แค่ต้องปล่อยมันไป
หลงระเริงให้เต็มที่
เมื่อคิดถึงตัว กลัวจะไม่มีตีนเมื่อไร
ก็จะซมซาน เซซังกลับมา

แต่จิวจะรับเหรอ?????

ถ้าเป็นเรา..ไปแล้วอย่ากลับมา
หุหุ

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ไปกันใหญ่แล้วต้นข้าว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ช่วงชีวิตหนึ่งของคน ที่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ฝันแต่ละคนเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน โอกาสที่จะทำให้ฝันเป็นจริงได้ก็ไม่ได้มาหาทุกคน มีโอกาสก็คว้าไว้ เหมือนต้นข้าวนี่แหละ เข้าใจต้นข้าวนะในเรื่องนี้

แต่นี่มันอะไรกัน เหมือนพึ่งเริ่มนับหนึ่ง ต้นข้าวก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมาจะเป็นขนาดไหน จิวทนได้สักเท่าไหร่ ต้นข้าวคงหลงระเริงแสงแฟลชมากมายจนลืมตัว

ไม่เป็นไร เราชอบดราม่า ฮี่ๆๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ตัวเธอ ไม่น่ารักเลยว่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 ทุกคนมีความฝัน เมื่อโอกาสเข้ามาหาก็ต้องคว้าไว้ แต่ต้องแลกกับความห่างจากคนรักนี่ มันได้อย่างต้องเสียอย่างจริงๆ บทเรียนของต้นข้าวมาแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ

















ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
คนลืมตัว..วัวลืมตีน


ทำได้แค่ต้องปล่อยมันไป
หลงระเริงให้เต็มที่
เมื่อคิดถึงตัว กลัวจะไม่มีตีนเมื่อไร
ก็จะซมซาน เซซังกลับมา

แต่จิวจะรับเหรอ?????

ถ้าเป็นเรา..ไปแล้วอย่ากลับมา
หุหุ

= ไม่เห็นแก่ความรักครั้งเก่าของเราสองเลยเหรอฮะ แงๆๆ

ไปกันใหญ่แล้วต้นข้าว

= น่าเสียดายจริงๆ ฮะ อยากจะร้องไห้

ช่วงชีวิตหนึ่งของคน ที่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ฝันแต่ละคนเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน โอกาสที่จะทำให้ฝันเป็นจริงได้ก็ไม่ได้มาหาทุกคน มีโอกาสก็คว้าไว้ เหมือนต้นข้าวนี่แหละ เข้าใจต้นข้าวนะในเรื่องนี้

แต่นี่มันอะไรกัน เหมือนพึ่งเริ่มนับหนึ่ง ต้นข้าวก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมาจะเป็นขนาดไหน จิวทนได้สักเท่าไหร่ ต้นข้าวคงหลงระเริงแสงแฟลชมากมายจนลืมตัว

ไม่เป็นไร เราชอบดราม่า ฮี่ๆๆ

= ที่นี่คือความฝัน คือสรวงสวรรค์อันวิไล นาทีนี้ต้นข้าวคงตามฝันแบบเกาะไม่ปล่อย แต่โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอเนอะ

ตัวเธอ ไม่น่ารักเลยว่ะ

= น่าเสียดายจริงๆ สิ่งที่มาบังตามันคือมายาลวงแท้ๆ

:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ

ทุกคนมีความฝัน เมื่อโอกาสเข้ามาหาก็ต้องคว้าไว้ แต่ต้องแลกกับความห่างจากคนรักนี่ มันได้อย่างต้องเสียอย่างจริงๆ บทเรียนของต้นข้าวมาแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ

= เป็นบทเรียนที่มีราคาแพงจริงๆ

......................

และขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะฮะ

*อีกสองตอน จะจบภาคมหาวิทยาลัยแล้ว


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง


          จิววางสายโทรศัพท์จากต้นข้าวเสร็จ ก็ถอนหายใจยาว จุดบุหรี่สูบและนั่งเหม่อลอยที่เก้าอี้ข้างโทรศัพท์นั้นอีกนาน จนในที่สุดเขาก็เดินขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเองบนชั้นสองของโรงงาน ซึ่งตอนนี้มีทั้งลังใส่ของ และกระเป๋าเดินทางหลายใบวางเกะกะอยู่ สำหรับเตรียมเก็บของเพื่อจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่เร็วๆ นี้

          เขาหยิบช่อกุหลาบบนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา มันเป็นช่อเดียวกับที่สองอาทิตย์ก่อนได้เอาไปที่โรงละคร AUA เพื่อจะมอบให้ต้นข้าวบนเวที แต่ได้เปลี่ยนใจจึงถือกลับมาบ้านด้วย

          ชายหนุ่มยกมันขึ้นมาดู เอามือจับกลีบกุหลาบที่บัดนี้แห้งเฉาโรยราไปแล้วอย่างทะนุถนอม แววตารื้นด้วยน้ำตาขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาตัดสินใจเอาช่อกุหลาบนั้นไปวางซ่อนบนหลังตู้เสื้อผ้า เรื่องบางอย่างเมื่อถึงเวลามันจะต้องเป็นไป ก็คงให้มันเป็นไป แต่จะขอเก็บความทรงจำไว้ในพื้นที่ส่วนตัวในซอกลึกสุด

          เขาเดินกลับไปที่ผนังข้างประตูห้องนอน ปลดรูปภาพที่แขวนอยู่ข้างๆ ประตูห้องลงมาดู มันเป็นรูปที่จิวและต้นข้าวเดินอยู่บนรางรถไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว  เขาตั้งใจว่าจะเตรียมหาอะไรมาห่อมันไว้ก่อน เพราะเวลาย้ายบ้าน กรอบรูปนี่จะเป็นสิ่งแรกๆ ที่จิวจะต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด เพื่อจะนำมันไปแขวนที่ห้องนอนใหม่

          จิวหันมองซ้ายขวาในห้อง เด็กหนุ่มเห็นว่ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เตรียมมาห่อกรอบรูป ไม่น่าจะพอ คงต้องซ้อนห่อหนาๆ หน่อยเพราะกลัวมันจะกระเทือนแตก เขาเลยตัดสินใจแขวนมันกลับคืนที่เดิมไปก่อน ขณะกำลังแขวนได้ยินเสียงรถยนต์จอดที่หน้าโรงงาน จึงรีบเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างแล้วชะโงกลงไปมองว่าเป็นรถต้นข้าวหรือเปล่า โดยไม่ทันดูว่ากรอบรูปนั้นถูกแขวนอย่างหมิ่นเหม่บนหัวตะปูที่ผนังห้องนั้น

          เด็กหนุ่มละสายตาจากหน้าต่าง เดินไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง หยิบกระดาษเล็กๆ สองแผ่นขึ้นมาเตรียมไว้ให้ต้นข้าว มันคือบัตรติดหน้ารถสำหรับจอดที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยแผ่นหนึ่ง และอีกแผ่นเป็นกระดาษโน้ตจดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งร่วงปลิวลงมาในวันที่ต้นข้าวเทกระเป๋ากล้องเพื่อหากลักฟิล์มถ่ายรูปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต้นข้าวยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนที่เปิดค้างไว้พอดี

          ทั้งสองยืนมองหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้โผเข้าหากัน ไม่ได้คิดจะเข้ามากอดกันอย่างคู่รักที่ไม่ได้เจอกันนานๆ จะพึงทำแก่กัน  และท้ายที่สุดจิวเป็นคนเปิดการสนทนาก่อน

          "เป็นยังไงบ้าง ละครเวทีดีไหม"

          ต้นข้าวยักไหล่แล้วตอบสั้นๆ "ก็ดี..."

          จิวจ้องหน้าต้นข้าวนิ่ง แสดงว่าต้นข้าวไม่รู้จริงๆ ว่าจิวก็ได้ไปดูต้นข้าวแสดงที่โรงละครด้วย  จิวเดินไปใกล้ ส่งกระดาษสองแผ่นนั้นให้ต้นข้าว

          "กระดาษที่ลืมตกไว้" จิวพูดไปงั้น เพราะไม่มีอะไรจะพูดต่อ

          "ขอบคุณนะ" ต้นข้าวพูดแบบอารมณ์เรียบๆ เฉยๆ และทำท่าจะหันหลังกลับ

          "เดี๋ยว ต้นข้าว" จิวเรียกต้นข้าวเบาๆ "มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราหรือเปล่า"

          ต้นข้าวมองหน้าจิว แล้วหลุบตาลงต่ำ "ไม่มีมั้งจิว เรายุ่งน่ะช่วงนี้ รายงานที่มหา'ลัยก็ยุ่ง งานนอกก็เยอะ แถมมีแต่ปัญหา"

          "ไม่ใช่ต้นข้าวไปมีคนใหม่ใช่ไหม" จิวถามต้นข้าวไปตรงๆ

          "ไม่มี!! จะไปมีอะไรที่ไหนล่ะ" เสียงต้นข้าวเปลี่ยนขึ้นมาทันที แววตามีประกายอย่างหนึ่งวูบขึ้นมา "ใครมันมาบอกอะไรอีกล่ะ"

          "ไม่มีใครมาบอกทั้งนั้นแหล่ะ จิวรู้สึกได้เองน่ะ"

          "ก็ดีแล้วนี่..." ต้นข้าวยักไหล่ พูดไว้แบบค้างๆ คาๆ

          จิวจ้องต้นข้าวนิ่งอีก แล้วตัดสินใจถามด้วยความเจ็บปวดใจในทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา

          "ช่วงนี้ต้นข้าวอาจจะดูยุ่งๆ ต้นข้าวอาจไม่ค่อยมีเวลาให้จิว ต้นข้าวอยากเป็นอิสระกับชีวิตไหม จะได้ทำตามความฝันให้สำเร็จโดยไม่ต้องพะวงเรื่องของเรา

          ...เราสองคนลองแยกกันสักพักไหม"

          จิวคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ คือต้องการหายไปจากความเย็นชาและความห่างเหินแบบนี้จากอีกฝ่าย เขารักต้นข้าวมาก และทนไม่ได้กับการเจ็บปวดค้างๆ คาๆ แบบนี้ สู้ปล่อยให้คนที่ตัวเองรักไปทำตามความฝันดีกว่า เด็กหนุ่มจะยังรู้สึกยินดีด้วยมากกว่า และตัวเองจะได้เจ็บน้อยลง

          --การผ่าตัดไปเลย ดีกว่าการค่อยๆ รักษา-- จิวคิด

          จากหน้าต่างห้องที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มีลมพัดโชยเข้ามาจนม่านหน้าต่างปลิวสะบัด แต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของคนในห้องดีขึ้น  ต้นข้าวมองตอบจิวด้วยสายตาวาวโรจน์

          "อย่าใช้คำพูดที่ดูดีเลยจิว ไม่ต้องลองแยกกันสักพักหรอก เราแยกกันขาดไปเลยก็แล้วกัน!"

          จิวมองต้นข้าวด้วยสายตาปนกันหลายอย่าง ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ กับอีกอารมณ์หนึ่งคือนึกดีใจ ถ้าต้นข้าวจะเป็นอิสระ แล้วสามารถไปตามฝันของตัวเองได้จริงๆ

          ต้นข้าวจ้องหน้าจิวแบบไม่ต้องการคำตอบ และเริ่มหันหลังจะออกประตูห้อง ลมแรงอีกวูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่างห้องที่เปิดกว้าง  มันพัดไปถึงประตูห้องนอนที่อ้าอยู่  กระแทกปิดเสียงดัง 'ปัง!!' ก่อนที่ต้นข้าวจะทันเดินออกไป

          แรงกระแทกของประตูที่ปิดแบบกระทันหันนั้น กระเทือนไปถึงกรอบรูปที่แขวนอย่างหมิ่นเหม่ รูปคู่ใบแรกของทั้งสอง มันตกลงมาแตกกระจายที่พื้นดังโครม! เพล้ง!!!

          ทั้งต้นข้าวและจิวก้มลงไปมองกรอบรูปที่แตกนั้นอย่างตกตะลึง แล้วต้นข้าวก็หันกลับมามองจิว ยิ้มแสยะด้วยมุมปากข้างหนึ่ง พร้อมกับทำเสียง "หึ หึ..." แล้วหันกลับไปเปิดประตูห้องอีกครั้ง เดินออกไป ปิดประตูเสียงดังกริ๊ก...ที่เบาแต่สั่นคลอนความรู้สึกของจิวผู้ซึ่งมองตามหลังแทบจะทะลุเลยบานประตูนั้นไป ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มโดยปราศจากอาการสะอื้น


--------------------


          ต้นข้าวขับรถออกมาจากบ้านจิวด้วยความคิดที่ว่างเปล่า มันเหมือนชาๆ ในหัวใจ ยังไม่มีความรู้สึกใดๆ ในตอนนี้ เขาเหลือบตามองขึ้นไปที่กระจกหน้ารถ ซึ่งตอนนี้มีบัตรจอดรถของหอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยติดไว้เรียบร้อยแล้ว งานสำหรับวันพรุ่งนี้ราบรื่นไปอีกเรื่อง

          ตอนนี้ยังเหลืออีกเรื่องหนึ่งที่คาอยู่ คือเขายังติดต่อพี่ตุ๊กไม่ได้ เพราะพี่ตุ๊กเกริ่นไว้ว่าวันนี้มีสิ่งสำคัญที่จะบอกต้นข้าว เด็กหนุ่มอมยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงตรงนี้ พี่ตุ๊กมีอะไรจะบอกหนอ เขานึกไปถึงเรื่องการยืนเคียงคู่กันของต้นข้าวและพี่ตุ๊ก มันไม่มีอะไรให้สงสัยเลย เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากๆ ระหว่างผู้อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงไฟแรง กับนักแสดงนายแบบหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เป็นดาวเด่นคนเก่งของมหาวิทยาลัย คิดแค่นี้ก็เหมือนหนทางสู่ดวงดาวเปิดประตูรออยู่ข้างหน้าแล้ว

          เด็กหนุ่มหันหัวรถโตโยต้าสีเหลืองเข้าจอดริมถนนพระรามสี่ แล้วลงจากรถไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หยอดเหรียญลงไปแล้วหมุนหมายเลขโทรศัพท์บ้านพี่ตุ๊ก พร้อมทั้งถอนหายใจอย่างโล่งอกที่พี่ตุ๊กเป็นคนรับสายเอง

          "น้องต้นข้าวขับรถมาใช่ไหมครับ น้องต้นข้าวไปรอพี่ที่ร้านอาหาร 'lost&found' ตรงแถวหน้ารามนะครับ ที่เราเคยไปกินด้วยกันมาครั้งหนึ่งแล้วน่ะ น้องต้นข้าวจำได้ไหม"

          เด็กหนุ่มรับคำ และรีบขับรถไปที่ร้านอาหารนั้นตามนัด กว่าจะถึงร้านก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ร้าน 'lost&found' เป็นร้านอาหารเล็กๆ อยู่ในตึกแถวขนาดสองห้องละแวกย่านรามคำแหง ตกแต่งอย่างอบอุ่น มีต้นไม้ประดับในร้านดูร่มครึ้มน่าสบาย โต๊ะเก้าอี้เป็นเครื่องหวายทาสีขาว ขายอาหารไทย และไอศกรีม เค้กต่างๆ

          ต้นข้าวสั่งเค้กและกาแฟร้อนมานั่งกินเล่นรอพี่ตุ๊กในร้านตรงมุมเงียบๆ มุมหนึ่งที่ตอนนี้แทบไม่มีลูกค้าในร้านเลย  สักพักพี่ตุ๊กก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง พี่ตุ๊กมีใบหน้าที่ไม่รื่นเริงอย่างเคย ต้นข้าวจำผู้หญิงคนนี้ได้แม่น เพราะเธอคือ 'อ้อย' รุ่นน้องนักแสดงแดนเซอร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แสดงละครเวทีของมหา'ลัยเรื่องที่ผ่านมาด้วยกัน และเป็นคนที่พี่ตุ๊กขอเปลี่ยนตัวไม่ให้แสดงในงานลูกทุ่งที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้

          ทั้งสองลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามต้นข้าว อ้อยยกมือขึ้นมาไหว้ต้นข้าวแล้วก้มหน้างุดลงไป พี่ตุ๊กเป็นคนเริ่มการสนทนาขึ้น

          "ที่พี่ชวนน้องต้นข้าวมาวันนี้ เพราะพี่อยากจะขอให้น้องต้นข้าวช่วยอะไรพี่หน่อยครับ"

          ต้นข้าวที่ตอนนี้ใจเต้นแรงขึ้นมา นั่งจ้องหน้าพี่ตุ๊กเหมือนรอฟังสิ่งนั้นอยู่

          "น้องต้นข้าวว่างใช่ไหมครับช่วงเย็นนี้" พี่ตุ๊กเอ่ยด้วยเสียงเบาๆ เหมือนกลัวโต๊ะข้างๆ จะได้ยิน

          "ว่างครับพี่ตุ๊ก" ต้นข้าวตอบ และแอบเหล่ตามองไปที่อ้อยอย่างสงสัย ว่ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย

          "คืองี๊ น้องอ้อยเนี่ยเป็นเมียพี่ เรามีอะไรกันแล้ว" พี่ตุ๊กอ้อมๆ แอ้มๆ ตอบ

          ต้นข้าวช็อก! อ้าปากค้างจ้องพี่ตุ๊กและอ้อยสลับกันไป

          "ตั้ง...ตั้ง แต่เมื่อไหร่" ต้นข้าวค่อยๆ ตั้งสติแล้วถามออกไป

          "ตั้งแต่เราเริ่มซ้อมละครมิสซิสแฮริสกันใหม่ๆ น่ะ น้องต้นข้าวโกธรพี่ไหม" พี่ตุ๊กพูดไปก้มหน้าไป

          คราวนี้ต้นข้าวจัดลำดับเหตุการณ์ได้ขึ้นมาทันที มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่ต้นข้าวเจอกับพี่ตุ๊กที่ห้องซ้อมละคร ไม่ว่าพี่ตุ๊กจะมีคิวซ้อมหรือไม่มี ก็จะเห็นพี่ตุ๊กอยู่กับกลุ่มพวกแดนเซอร์หญิงเหล่านี้เสมอ

          รวมทั้งงานนอกต่างๆ ที่ได้รับจากต้นข้าว พี่ตุ๊กซึ่งได้ไปร้องเพลงโชว์ จะผลักดันให้ใช้แดนเซอร์หญิงไปเต้นประกอบด้วยทุกงาน อ้อ...ผัวเมียช่วยกันทำงานสินะ มุมปากต้นข้าวเริ่มกระตุก

          "แล้วที่พี่นัดน้องต้นข้าวมาวันนี้ คือว่าพี่...พี่..จะขอยืมเงินต้นข้าวสักแปดพันบาท กับขอยืมรถน้องต้นข้าว ขับพาอ้อยไปทำแท้งที่คลินิกใกล้ๆ นี้เพื่อเอาเด็กออกน่ะ ตอนนี้อ้อยท้องได้สองเดือนแล้ว ส่วนน้องต้นข้าวก็นั่งรอที่ร้านอาหารนี้ก่อน พอพี่ไปส่งอ้อยเสร็จจากคลินิกแล้วพี่จะเอารถมาคืน" เสียงพี่ตุ๊กดังไม่เกินกระซิบ

          วินาทีนั้น ต้นข้าวเหมือนยืนๆ อยู่แล้วล้มฟาดลงไปกับพื้น แถมที่พื้นก็ร้อนเป็นไฟ นี่ยังไม่ทันตกนรกเลย ต้นข้าวก็เหมือนกำลังจะก้าวขาลงไปจุ่มในกระทะทองแดงแล้ว เหงื่อต้นข้าวแตกซิก ใบหน้าเปลี่ยนสีไปมาระหว่างสีแดงกับคล้ำดำ ขนหัวลุกกับสิ่งที่มนุษย์ชายหญิงสองคนผัวเมียนี้กำลังขอร้องกับตัวเอง

          "นรก!" ต้นข้าวแค่นเสียงลอดไรฟันออกมา

          "อะไรนะ น้องต้นข้าวว่าอะไรนะครับ" พี่ตุ๊กดูตกใจทำหน้าเหรอหรา

          "กูบอกว่า นรก! ให้พวกมึงไปลงนรกเถอะ"

          ต้นข้าวตะเบ็งเสียงดัง พนักงานในร้านที่กำลังเบื่อที่ไม่มีลูกค้าและง่วงเหงาหาวนอน ตกใจมาชะเง้อดู

         "น้องต้นข้าว! ทำไมพูดกับพี่แบบนี้" พี่ตุ๊กตกใจลุกขึ้นยืน ส่วนอ้อยก้มหน้าลงไปกับฝ่ามือแล้วร้องไห้

          ต้นข้าวลุกขึ้นมายืนบ้าง มือกำหมัดแน่น รับรู้ได้ถึงความปวดจากการกดของเล็บมือ แล่นพล่านขึ้นไปถึงสมองและหัวใจ

          "ทำไมกูจะพูดไม่ได้ ห่ะ พวกมึงสองตัวเชิญลงไปตกนรกกันเองเถอะ ไม่ต้องมาชวนกูลงไปร่วมกับมึง!!"

          "ไอ้ต้นข้าว!!! ไอ้ตุ๊ด!! มึงไม่ช่วยกูแล้วมึงจะมาด่ากูทำไม ห่ะ มึงนึกว่ากูพิศวาสมึงนักหรือไง" พี่ตุ๊กตะเบ็งเสียงไม่แพ้กัน

          ต้นข้าวคว้าได้แก้วกาแฟร้อนที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมา สาดไปที่หน้าของพี่ตุ๊ก ควันกรุ่นร้อนจัดของกาแฟลอยตามเป็นสาย แล้วเหวี่ยงแก้วกาแฟเปล่ากลับคืนลงไปที่โต๊ะ มันกระแทกจานรองแก้วแตกออกเป็นสองเสี่ยงดังเพล้ง  ช้อนคนกาแฟกระเด็นขึ้นไปหมุนคว้างกลางอากาศ อ้อยร้องกรี๊ดออกมาทั้งๆ น้ำตาอาบหน้า

          เด็กหนุ่มไม่รอให้เกิดอะไรขึ้นต่อ เดินกระแทกส้นเท้าออกจากร้าน ตรงไปที่รถ ติดเครื่องยนต์และขับออกไปด้วยความรวดเร็ว

          ถ้าหากจะอัดกาแฟพร้อมกันเข้าไปสิบแก้ว หัวใจของต้นข้าวยังไม่เต้นตูมตามขนาดนี้ ในความคิดของต้นข้าวตอนนี้ จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้แล้ว สมองมึนงง สับสนปนเปกันไปทุกเรื่อง ทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งความผิดพลาด ความสูญเสีย การถูกดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มันมากมายเกินไปแล้ว

          ต้นข้าวเร่งความเร็วรถขึ้นอีกไปทางถนนวิภาวดีรังสิต มีสถานที่เดียวที่จะต้องไป สำหรับคนที่เจ็บปวด และมืดบอดในชีวิตเมื่อยามที่หมดหนทางสำหรับเดินต่อ

          ที่นั่นคือ...บ้านเพื่อน


--------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2017 20:31:55 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ฮ่าาา เราสมน้ำหน้าต้นข้าวได้มั้ยอะ

นึกถึงตอนตัวเองจะเลิกกับแฟน แฟนทำแหวนหักครึ่ง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเออ

ออฟไลน์ 4life

  • R.I.P KT 5-5-13
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 995
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
เเหม ทำเป็นด่าคนอื่นจะทำเเท้ง เเกดีนักหนิอีต้น

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เสียใจจจ จิวพยายามรักษาความรักไว้ทุกทางแล้ว
ต้นข้าวคนน่ารักไปไหนนน เอะอะเหวี่ยงตลอดดดด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2017 14:08:37 โดย appattap »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  ทำไมของที่อยู่ใกล้ๆตัวเราๆถึงมองไม่เห็นค่า จะเห็นก็ต่อเมื่อมีปัญหา จะไปบ้านใครน่ะ ทำไมไม่รักจิวแล้วเหรอ
   รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
ฮ่าาา เราสมน้ำหน้าต้นข้าวได้มั้ยอะ

นึกถึงตอนตัวเองจะเลิกกับแฟน แฟนทำแหวนหักครึ่ง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเออ

= น่าสมน้ำหน้าจริงๆ 555+ ทำตัวเองแท้ๆ เนาะ

เเหม ทำเป็นด่าคนอื่นจะทำเเท้ง เเกดีนักหนิอีต้น

= ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหนเนอะ


เสียใจจจ จิวพยายามรักษาความรักไว้ทุกทางแล้ว
ต้นข้าวคนน่ารักไปไหนนน เอะอะเหวี่ยงตลอดดดด

= น่าสงสารจิวจริงๆ ฮะ และหวังว่าต้นข้าวคนเดิมคงจะกลับมาเนอะ จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคงจะเรียนรู้ได้แล้ว

:3123: :3123: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากๆ นะฮะ


  ทำไมของที่อยู่ใกล้ๆตัวเราๆถึงมองไม่เห็นค่า จะเห็นก็ต่อเมื่อมีปัญหา จะไปบ้านใครน่ะ ทำไมไม่รักจิวแล้วเหรอ
   รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

= นั่นสิฮะ มีเพชรเม็ดงามอยู่ในมือแท้ๆ

..................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBKlover





ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย


          พริกเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ 'คิดยังไง...คิดให้ต่าง' ของนักเขียนต่างประเทศรุ่นเก่าที่กำลังอ่าน เมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน และไม่นานเกินรอ เจ้าของรถก็มายืนอยู่หน้ารั้วบ้านแล้ว

          "ต้นข้าว" พริกอุทานออกมา "ไปไงมาไงกันนี่ ไม่บอกไม่กล่าว มาๆ เข้ามาก่อน"

          ต้นข้าวเดินมึนๆ เข้ามาในบ้านพริกโดยไม่พูดไม่จาใดๆ พอถึงโต๊ะในบ้านก็นั่งแหมะลงไป เอาศอกเท้าโต๊ะและเอามือทั้งสองขึ้นไปกุมหัว

          ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว กว่าต้นข้าวจะมาถึงบ้านพริกที่ถนนลาดปลาเค้า ก็ขับหลงหลายรอบ เพราะความที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ต้องเลี้ยวกลับรถหลายต่อหลายตลบ

          บ้านพริกเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวในซอยค่อนข้างลึก ในบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นร่มครึ้ม บรรยากาศเงียบเพราะเป็นหลังสุดท้ายก้นซอย ทว่าในบ้านเปิดไฟสีเหลืองนวลทั้งบ้านทำให้ดูอบอุ่น ไม่ได้ดูอ้างว้างแม้ว่าจะมีพริกอยู่บ้านเพียงคนเดียวตอนนี้

          "เป็นอะไรไปวะ ต้นข้าว" พริกนั่งจ้องต้นข้าวที่นั่งเอามือกุมหัวอยู่นาน จนต้องเอ่ยปากถาม "หรือเธอรู้เรื่องเอกแล้ว ?"

          คราวนี้ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นมามองพริกอย่างสงสัย และเปิดปากพูดเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้าบ้านมา "เรื่องเอก ? ทำไม เอกมันเป็นอะไรอีก"

          "อ้าว นึกว่าเธอรู้แล้วและจะมาคุยกันเรื่องนี้ที่บ้านชั้นนะนี่" พริกลดเสียงพูดลง

          "...เอก ตายแล้วนะ"

          ต้นข้าวผู้ซึ่งไม่ได้พร้อมที่จะรับฟังเรื่องเลวร้ายอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว แล้วจู่ๆ พริกก็พูดเรื่อง 'เอก ศักดิ์สิทธิ์' เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันกับต้นข้าวตั้งแต่มัธยมจนมาถึงมหา'ลัย มาตายปุบปับแบบนี้อีก ตอนนี้ต้นข้าวมีสภาพหน้าตาเหมือนคนโดนโลกทับใว้ทั้งใบ ใต้ตาเหี่ยวย่น ปากซีดเซียวอ้าเผยอ เหมือนคนตกใจอะไรตลอดเวลา มันเกือบจะมีอาการพะงาบๆ อยู่รอมร่อแล้ว ดูน่าสมเพชเวทนา

          "พอพ่อแม่ของเอกเห็นว่ามันป่วยหนัก หมอเมืองไทยบอกว่าไวรัสที่เรียกกันว่า HIV ตัวนี้ยังไม่มียารักษา เลยส่งไปรักษาที่อเมริกา แล้วจู่ๆ มันก็ปอดติดเชื้อ แล้วตายเมื่อวานนี้ที่โรงพยาบาลในอเมริกานั่น ชั้นโทรไปถามข่าวที่บ้านเอกมา ถึงได้รู้เนี่ย"

          พริกก็ไม่ทันคิดอะไร ไหนๆ เกริ่นขึ้นมาเลยพูดให้หมด แต่พอยิ่งพูดไป เริ่มเห็นต้นข้าวที่ทำหน้าเหมือนจะเป็นคนป่วยระดับโคม่าที่ต้องหามขึ้นรถหวอนำส่งโรงพยาบาลซะเอง

          สำหรับต้นข้าวแล้ว วันนี้มันสาหัสจริงๆ เรื่องของจิว มันเหมือนโดนฉีดยาชาวางยาสลบ มันอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก หัวใจไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ส่วนเรื่องพี่ตุ๊ก เหมือนโดนมีดผ่าตัดมาชำแหละหัวใจสดๆ แล้วพอมาเจอเรื่องเพื่อนตาย อันนี้ใจหายเหมือนวิญญาณที่เหลืออยู่น้อยนิดแทบจะปลิดปลิว

          "เฮ้ย ต้นข้าว เธอเป็นอะไร ไหวไหมนี่..." พริกเข้ามาเขย่าๆ ตัวต้นข้าว เอามืออังหน้าผาก

          "ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ใจเย็นๆ นะเธอ รอแป็บนะ ชั้นไปเอาน้ำอุ่นๆ มาให้เธอกิน นั่งนิ่งๆก่อนนะ"

          พริกเอามือแตะหลังต้นข้าวเบาๆ แล้วเดินไปหลังบ้าน ในใจนึกว่า --นี่ชั้นพูดเรื่องนี้ผิดเวลาหรือเปล่าหว่า มันเป็นอะไรของมัน หรือทะเลาะกับจิวมา--

          หลังจากพริกเอาน้ำอุ่นมาให้ต้นข้าวจิบ และนั่งใจเย็นรอให้ต้นข้าวสบายใจขึ้น เลิกเอามือกุมหัว จนกระทั่งต้นข้าวเริ่มเปิดปากเล่าในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้ ตั้งแต่เรื่องของจิว ไปจนถึงเรื่องของพี่ตุ๊ก

          .................

          "จัญไรแท้" พริกด่าออกมาเมื่อฟังเรื่องของพี่ตุ๊กจบลง "มันหลอกใช้เราเป็นบันไดตะกายดาวมาตลอดเลยนะนั่น ดีแล้วล่ะ จบๆ มันไปเถอะ ไม่ต้องไปคิดเรื่องของมันอีกต่อไป ไม่มีค่าอะไรให้จดจำ แล้วคราวหน้าคราวหลังก็อย่าเผลอใจกับเรื่องแบบนี้อีกนะ"

          "ส่วนเรื่องของจิว เฮ้อ..." พริกถอนหายใจยาว "จริงๆ เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของคนสองคนที่จะทำความเข้าใจกันเนอะ ชั้นก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวบางเรื่อง และไม่กล้าแนะนำอะไรกับเธอหรอก เพราะถ้าแนะนำไป บทจะเลิกกัน ชั้นก็เป็นบ่างช่างยุ หรือถ้ากลับมาคืนดีกัน ชั้นก็จะกลายเป็นหมา

          เอาเป็นว่าชั้นเคารพในการตัดสินใจของเธอ แต่ไหนๆ เธอก็เล่าแล้ว และเรื่องมันก็มาขนาดนี้แล้ว ชั้นก็ขอสารภาพอะไรอย่างหนึ่งกับเธอหน่อยแล้วกัน"

          "ยังมีอะไรที่เราไม่รู้เหรอ" ต้นข้าวเลิกคิ้วถาม สภาพหน้าตาที่บิดเบี้ยวจากความทุกข์ระทมตอนมาถึงบ้านใหม่ๆ เริ่มทุเลาลงบ้างแล้วหลังจากได้ระบายออกมา

          "จิวได้มาดูเธอแสดงละครเวทีมิสซิสแฮริสนะต้นข้าว ชั้นแอบโทรไปชวนจิวมาเองแหล่ะ ก่อนหน้านั้นไม่ใช่เพราะจิวไม่อยากมา แต่เขาต้องไปต่างจังหวัด และกลับมาทันดูรอบสุดท้ายพอดี ชั้นเป็นคนฝากตั๋วไว้ให้เองแหล่ะ แต่ชั้นเองก็ไม่ได้เจอจิววันนั้นนะ มัวแต่ยุ่งหลังเวที"

          ต้นข่าวเงียบอึ้งไป ไม่ได้พูดอะไรออกมา

          "จิวเค้ารักเธอมากนะต้นข้าว...วันนั้นชั้นก็เลยจัดให้ ชั้นอยากให้จิวมาเห็นในวันที่เธอทำอะไรสักอย่างออกมาสำเร็จตามฝันน่ะ ความสำเร็จก็เหมือนสายลม..." พริกพูดพร้อมกับทอดสายตาออกไปที่สวนข้างบ้านนอกหน้าต่าง

          ต้นข้าวหันไปมองหน้าพริกแบบ งงๆ ในคำสุดท้ายที่พริกพูดออกมา "คืออะไร ความสำเร็จก็เหมือนสายลม ?"

          "ก็คนเรานี่ไง เวลาทำอะไรสำเร็จไม่ว่าจะเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ได้ขึ้นรับถ้วย รับโล่ รับเสียงตบมือขนาดไหนก็ตาม ความสำเร็จนั้นก็เหมือนสายลม มันจะพัดผ่านเลยไป ยกเว้นแต่ว่าเรามีคนที่เรารักสักคนหนึ่ง อยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเรา และเราก็อุทิศความสำเร็จนี้ให้เขา นั่นแหล่ะ เราถึงจะรู้ว่าผลงานนั้นมันเสียงดังก้องและยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน"

          ................

          "ดีขึ้นแล้วนะเธอ" พริกถามต้นข้าว เมื่อเวลาผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง

          "อืม ดีขึ้นมากแล้ว ได้ระบายออกไปบ้าง ขอบใจเธอมากนะอีงู"

          "ไม่เป็นไรหรอกเราเพื่อนกัน แต่มันน่าจะดีกว่านี้นะ ถ้าพรุ่งนี้เธอไปทำงานใหญ่ โดยมีชั้น มีจิว มีเอก ไปนั่งตบมือให้กำลังใจเธอตอนจบงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันน่ะ"

          "นั่นสินะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ" ต้นข้าวพูดอย่างปลงๆ

          "เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ถ้าเรายังมีโอกาส เราควรทำสิ่งๆ ดีๆ และบอกรักคนที่เรารักบ้างเนอะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสบอกเหมือนกับ...เอก..." พริกมีสีหน้าที่เศร้าสลดลง

          ต้นข้าวหันไปมองหน้าพริก "ขอบใจจริงๆ นะอีงู เรารักเธอนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด"

          "ชั้นก็รักเธอ เพื่อน" พริกหันมายิ้มกว้างให้ต้นข้าว "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พรุ่งนี้เธอต้องทำงานมหกรรมลูกทุ่งสยามนี้ให้ออกมาดีที่สุด อย่าให้อะไรมากวนใจเธอ 'The show must go on'  ถ้าเธอยังเจ็บปวดใจจนเดินไม่ไหว ก็ให้คลานไป ถ้าเธอคลานไม่ไหว ให้กลิ้งไป ถ้ากลิ้งไปไม่ไหว ให้บอกชั้น ชั้นจะหามเธอไปเอง เพราะ การแสดงยังต้องดำเนินต่อไป"

          ต้นข้าวยิ้มให้พริก อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบ และมองตากันด้วยความเข้าใจ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายก่อนส่งเด็กหนุ่มคนเก่งขับรถกลับบ้าน

          "แต่อย่างน้อย เธอก็สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วล่ะต้นข้าว ตั้งแต่เธอมาบ้านชั้นคืนนี้ เล่าทุกอย่างให้ชั้นฟัง ชั้นยังไม่เห็นน้ำตาเธอสักหยด เธอเป็นคนใจแข็งมากนะ ชั้นนับถือหัวใจเธอจริงๆ เธอต้องทำงานพรุ่งนี้ให้สุดพลังเลยนะ"


--------------------


งานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔
หอประชุมใหญ่
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย


          วันที่ต้นข้าวรอและตั้งใจทำก็มาถึง เขาไปถึงศูนย์วัฒนธรรมตั้งแต่ ๙ โมงเช้า เพื่อประชุมลูกน้องทีมงานในส่วนของการกำกับเวที รับบรีฟจากโปรดิวเซอร์ เตรียมห้องแต่งตัวศิลปินและนักร้องต่างๆ ดูความพร้อมของอาหารและเครื่องดื่มทีมงาน ช่างแต่งหน้า-ทำผม

          กว่าจะประชุมและการเตรียมงานเสร็จในส่วนด้านหลังเวทีก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ต้นข้าวเดินขึ้นมายืนมองบนหอประชุมใหญ่ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยนี้ ตอนนี้มันยังโล่ง เพราะยังไม่เปิดประตูให้ผู้ชมเข้ามา มีเพียงพนักงานทำความสะอาดสองสามคนกำลังดูดฝุ่นพื้นพรมอยู่

          ต้นข้าวเดินเข้าไปใกล้หน้าเวที ตอนนี้มีผ้าม่านผืนมหึมาปิดอยู่ มันเป็นผ้าม่านปักลายที่งดงามวิจิตรมาก ออกแบบร่างโดยศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่ง ลวดลายที่เห็นเป็นภาพของพระพุทธเจ้า ท่ามกลางองค์เทพและเทวดาล้อมรอบเต็มทั้งผืน




          ผ้าม่านผืนนี้ผืนเดียวมีมูลค่าสูงถึง ๒๗ ล้านบาท! ต้องส่งไปทอและปักลายที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะในเมืองไทยยังไม่มีเครื่องทอผ้าชิ้นเดียวที่มีขนาดใหญ่มากโดยไร้รอยต่อแบบนี้ได้ รวมทั้งเทคนิคการปักลายที่วิจิตรพิสดารอลังการเช่นนี้

          หนุ่มน้อยยิ้มให้กับผ้าม่านผืนงาม นี่สินะ ความฝันตั้งแต่เด็กๆ ของเขา ที่ต้องการจะเข้ามาเปิดม่านแห่งโลกมายาใบนี้ ต้นข้าวเดินมาไกลจากความฝันหลังโรงงิ้วและโรงลิเกที่สร้างจากไม้ไผ่ในงานวัดไปมากแล้ว

          ไฟบนเพดานเริ่มหรี่ลง ประตูทางเข้าหอประชุมถูกเปิดออก แขกผู้มีเกียรติและคนในวงการเริ่มทยอยเข้าประจำที่นั่ง

          ...................

          "สแตนด์บายเพลงเปิดม่าน  ห้า - สี่ - สาม - สอง - ไป..."

          เสียงโปรดิวเซอร์สั่งเข้ามาในวิทยุสื่อสารของระดับหัวหน้าทุกฝ่าย  เพลงเปิดเวทีเริ่มบรรเลง ผ้าม่านผืนใหญ่อันวิจิตรค่อยๆ เลื่อนเปิดขึ้นไปด้านบน เผยให้เห็นเวทีที่ตกแต่งใน Theme ท้องทุ่งนาที่เปรียบเหมือนโลกแห่งเสียงเพลงลูกทุ่ง

          การแสดงบนเวทีเริ่มขึ้นแล้ว ศิลปินเพลงลูกทุ่ง ๔๐ ชีวิตที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศมารวมตัวกันบนเวทีนี้ ทุกเพศ ทุกวัยตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงรุ่นเก่า มีทุกสมญานาม

          ต้นข้าววิ่งวุ่นอยู่หลังเวที ควบคุมลูกน้องที่เป็น Backstage ให้จัดการคิวของนักร้อง และแดนเซอร์ หรือตัวประกอบให้เป็นไปอย่างราบรื่น บางคนใช้ไมค์ลอย บางคนใช้ไมค์มีสาย บางคนต้องมีขาตั้งไมค์

          บางศิลปิน ออกไปหน้าเวทีด้วยทางออกประตูซ้ายขวาปกติ บางคนเข้าซ้ายแต่ต้องออกขวา บางศิลปินก็ต้องขึ้นมาบนเวทีด้วยลิฟท์ไฮดรอลิค แล้วแต่สคริปต์ที่กำหนดไว้

          ...................

          งานดำเนินไปแล้วเกินครึ่งทาง  ต้นข้าวเดินสั่งลูกน้องไปรอบๆ หลังเวทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต้นข้าวส่งยิ้มให้กับศิลปินเพลงลูกทุ่งที่กำลังโด่งดังมาก คือ 'ราชินีลูกทุ่งคนปัจจุบัน' ซึ่งเป็นที่น่าเศร้าว่าในขณะนั้นเธอกำลังเป็นโรคเอสแอลอี หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ต้นข้าวช่วยดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้ ก่อนที่รุ่นน้องสต๊าฟจะพาเธอไปเตรียมตัวขึ้นเวที

          อีกแค่ไม่กี่เพลงงานก็จะจบลง ต้นข้าวเดินสวนและยิ้มให้กับนักร้องลูกทุ่งหญิงผู้ได้รับสมญานามว่า 'นักร้องขวัญใจลูกทุ่งเมืองย่าโม' ที่พึ่งร้องเพลงเสร็จกำลังกลับเข้าหลังเวที

          และยกมือสวัสดีกับศิลปินรุ่นใหญ่ 'แม่เพลงพื้นบ้านและเพลงอีแซว' รวมทั้งรับไมค์ที่ร้องเสร็จมาจาก 'นักร้องลูกทุ่งหญิงมหาบัณฑิตคนแรกของไทย' และ 'นักร้องสาวเสียงพิณแหบเสน่ห์ลูกคอเก้าชั้น' ฯลฯ

          ................

          ในความวุ่นวายของห้องแต่งตัวหลังเวทีนั้น ต้นข้าวสังเกตเห็นศิลปินเพลงลูกทุ่งสูงอายุท่านหนึ่งกำลังนั่งหวีผมอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ได้มีพี่เลี้ยงหรือช่างทำผมมาช่วย พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเป็นนักร้องระดับที่แฟนเพลงทุกคนเรียก 'คุณป้า' หรือ 'คุณแม่' ในสมญานามที่รู้จักกันทั้งประเทศว่า 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย'

          ต้นข้าวยืนมองอยู่สักครู่ อยู่ๆ ก็รู้สึกดีและศรัทธาในบุคลิกที่เรียบง่ายของคนที่ได้สมญานามที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น อีกทั้งเห็นว่านี่เป็นคิวสุดท้ายแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นต้องทำต่อ จึงบอกรุ่นน้องสต๊าฟที่กำลังจะพาศิลปินสูงอายุท่านนี้ลงไปที่ลิฟท์ไฮดรอลิคชั้นล่าง ว่าตนเองจะเป็นผู้ปล่อยคิวคนนี้ให้แทน

          ต้นข้าวเข้าไปแนะนำตัวว่าเป็นสต๊าฟ และเดินพาคุณป้านักร้องลงไปที่ลิฟท์ไฮดรอลิค หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า 'เวทียก' ซึ่งอยู่ด้านล่างใต้เวทีใหญ่ของหอประชุม

          มันมีลักษณะเหมือนลิฟท์โดยสารที่เลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นไปที่เวที มันโล่งๆ ไม่มีผนังกั้นทั้งสี่ด้าน ไม่มีประตูปิด มีเพียงแค่พื้นยกสูงขึ้นมานิดหน่อย ส่วนด้านบนเพดานที่อยู่เหนือขึ้นไปเป็นหลุมช่องว่างขนาดเดียวกัน และเมื่อไฮดรอลิคทำงาน ศิลปินจะถูกยกลอยขึ้นไปปรากฏตัวที่กลางเวทีข้างบนอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

          ต้นข้าวจูงคุณป้าให้ไปยืนรอที่จุดนั้น  เด็กหนุ่มส่งไมค์ลอยให้คุณป้า ส่วนตัวเองยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาแนบหู เพื่อรอฟังคำสั่งจากโปรดิวเซอร์ที่ห้องคอนโทรลด้านนอก

          คิวของเพลงนี้ที่ต้นข้าวจะต้องปล่อยคือ โปรดิวเซอร์จะให้สัญญาณดนตรีบรรเลง แล้วศิลปินจะร้องเพลงหนึ่งท่อนที่ชั้นใต้ดินนี้ก่อน ผู้ชมจะยังไม่เห็นตัว จนเข้าเนื้อเพลงท่อนที่สอง เขาจึงจะกดปุ่มไฮดรอลิคเพื่อส่งศิลปินท่านนี้ขึ้นไปที่กลางเวที

          ต้นข้าวสังเกตว่าตัวคุณป้าค่อนข้างจะสั่น มือที่จับไมค์ลอยนั้นไม่มั่นคง จับเปลี่ยนสลับมือไปมา ไหล่ห่อ งองุ้ม และยืนยุกยิกอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง มีสีหน้าที่กังวลใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองหลุมพื้นเวทีด้านบนบ่อยครั้ง ซึ่งตอนนี้มีศิลปินคนหนึ่งกำลังร้องเพลงอยู่ แต่มองไม่เห็นตัวเพราะต้องยืนอยู่ให้ห่างจากหลุมนี้ เห็นแต่แสงไฟบนเวทีวูบไปวูบมาในบางช่วง

          "ป้าตื่นเต้นจัง" ศิลปินท่านนั้นเอ่ยขึ้นกับต้นข้าว

          เด็กหนุ่มไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของผู้ที่ได้ชื่อเรียกขานกันทั้งประเทศว่า 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย' เพราะมองจากอายุที่มาก และประสบการณ์ในการอยู่บนเวทีของศิลปินท่านนี้แล้ว เขาคิดไปเองว่ามันควรจะต้องไม่มีการตื่นเต้นแล้วสินะ หรือคุณป้าจะกลัวการขึ้นไฮดรอลิค

          "ทำไมคุณป้าตื่นเต้นล่ะครับ" ต้นข้าวออกปากถามไป

          คุณป้ายิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ

          "ป้าตื่นเต้นทุกครั้งที่ขึ้นเวที" เธอพูดเสร็จก็ก้มลงมองชายเสื้อและเอามือจับๆ อย่างไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหน

          "ป้าตั้งใจร้องเพลงมาก จนตื่นเต้นทุกครั้งตอนกำลังจะเริ่มร้อง สามีของป้าคงตั้งใจดูป้าอยู่ ป้าไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง"

          "อ้อ ดีจัง สามีคุณป้ามาด้วยหรือครับ นั่งอยู่ไกลไหมครับ" ต้นข้าวได้ยินเหตุผลที่น่ารักแบบนั้นก็ยิ้มออกมา

          "ไม่หรอกค่ะ...สามีของป้าเสียไปนานแล้ว เขาคงมองป้าอยู่จาก 'ข้างบน' ป้าจะนึกถึงเขาทุกครั้งที่ร้องเพลงค่ะ "

          คุณป้ายิ้ม และเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหลุมพื้นเวทีอีกครั้งหนึ่ง มันสามารถมองสูงขึ้นไปได้ถึงเพดานของหอประชุม ที่ตอนนี้มีไฟส่องเวทีหลากสีแขวนอยู่ ดูจากสายตาเธอแล้ว คงมองเลยทะลุสูงขึ้นไปอีก อาจถึงบนฟ้า...

          ต้นข้าวชะงัก อึ้ง และนิ่งไป

          เสียงโปรดิวเซอร์สั่งผ่านวิทยุสื่อสารให้เตรียมตัว ตอนนี้เสียงเพลงข้างบนเมื่อสักครู่จบลงไปแล้ว มีเสียงพิธีกรกำลังพูดเข้าเพลงต่อไปคือเพลง "ด่วนพิศวาส"

          "สแตนด์บายเพลงด่วนพิศวาส  ห้า - สี่ - สาม - สอง..ไป" เสียงโปรดิวเซอร์สั่ง

          เสียงวงออร์เคสตราเริ่มบรรเลงดนตรี มีเสียงเอฟเฟคหวูดรถไฟเปิดดังยาว

          "หวูดดดด!!"

          คุณป้าที่เมื่อสักครู่ยืนยุกยิกๆ อย่างไม่มั่นใจ แต่ทันทีที่ดนตรีขึ้น เธอกลับยืนสงบตัวตรง วางขาสองข้างอย่างมั่นคง ลำคอยืดตั้งขึ้น สายตามองนิ่งแน่วแน่ไปข้างหน้า เหมือนมองเลยผ่านต้นข้าวไปอีกไกลแสนไกล มือยกไมค์โครโฟนขึ้นมารอพร้อมที่จะร้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างประหลาด ไม่มีภาพของคุณป้าที่ตัวสั่นกังวลและตื่นเต้นเหมือนตอนแรกอีกเลยแม้แต่น้อย

          ต้นข้าวมองเห็นราศีของความเป็น 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย' พุ่งออกมา  เด็กหนุ่มขนลุกซู่ นี่สินะคือ The show must go on ไม่ว่าจะมีสิ่งมากระทบอย่างไร การแสดงต้องดำเนินต่อไป

          "เสียง...รถด่วนขบวนสุดท้าย
          แว่วดังฟังแล้วใจหาย
          หัวใจน้องนี้แทบขาด"


          ..............

          เสียงอันทรงพลังและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินเพลงท่านนี้ ร้องประโยคนี้ต่อหน้าต้นข้าวคนเดียว...เพียงคนเดียว! เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่ยืนประจันหน้ากับเธอตรงชั้นใต้ดินนี้ ต้นข้าวรับรู้ได้ถึงเสียงพิเศษอันมหัศจรรย์ที่ครองใจคนอย่างยาวนานมาแล้วทั่วประเทศ

          และบัดนี้ เพลงนี้ มันกำลังเริ่มสะกิดใจต้นข้าวให้นึกถึง 'อะไร' บางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไป ภาพของรถไฟ ภาพของจิว เริ่มสลับกันเข้ามาในสมอง

          เมื่อจบเพลงท่อนนั้น ต้นข้าวกดปุ่มไฮดรอลิคเพื่อยกศิลปินขึ้นไปกลางเวที เด็กหนุ่มแหงนมองตามคุณป้าที่เริ่มลอยขึ้นไป จนพื้นเวทียกไปปิดสนิทกับเวทีข้างบน แสดงว่าศิลปินถึงกลางเวทีและปรากฏตัวกับผู้ชมในหอประชุมแล้ว เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวลงมาถึงชั้นใต้ดินที่เขายืนแหงนมองอยู่

          เสียงร้องเพลงท่อนต่อไปดังลอดลงมาถึงข้างล่าง

          "พี่จ๋าลาแล้ว
          น้องแก้วต้องจำนิราศ
          ดั่งถูกสายฟ้าฟาด
          หัวใจน้องจะขาดแล้ว"


          ................

          ประโยคหนึ่งในคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของคุณป้ายังก้องในหูต้นข้าว

          ---เขาคงมองป้าอยู่จาก 'ข้างบน' ป้าจะนึกถึงเขาทุกครั้งที่ร้องเพลงค่ะ---

          เด็กหนุ่มพึ่งสำนึกตัวเองได้เดี๋ยวนี้ แล้วตัวต้นข้าวล่ะ ใครคือแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจที่จะต้องนึกถึงในการลงมือทำสิ่งต่างๆ

          ความสำเร็จจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าเราไม่มีใครสักคนที่เรารัก และพร้อมจะอุทิศรางวัลจากผลงานอันยิ่งใหญ่ให้

          "หัวใจสั่นหวิว
          เมื่อต้องลมฉิวพัดแผ่ว
          เสียงหวูดรถดังแว่ว
          ฟังแล้วมันบาดใจ"


          ...............

          เด็กหนุ่มหวนรำลึกไปถึงเรื่องราวเมื่อนานแสนนานมาแล้ว มีเด็กชายวัยรุ่นสองคนกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานอยู่บนรถไฟเหาะในสวนสนุกแดนเนรมิต ในมือของต้นข้าวมีน้ำตาลสายไหมสีหวานที่จิวซื้อให้ และมีฉากหลังเป็นปราสาทในเทพนิยาย

          และครั้งหนึ่งกลางแดดยามบ่ายในจังหวัดกาญจนบุรี มีหนุ่มน้อยสองคนเดินเคียงคู่กันบนรางรถไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว มือทั้งสองเกี่ยวก้อยกัน มีเงาทอดยาวเป็นรูปหัวใจ เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่น ราวกับว่าโลกทั้งใบนี้มีกันอยู่เพียงสองคน

          ต้นข้าวนึกไปถึงตอนตัวเองกับจิวกอดกันแน่นบนขอบสะพานเหล็ก ขณะที่รถไฟเปิดหวูดดังสนั่นหวั่นไหว แล่นสะเทือนผ่านด้านหลังเป็นขบวนยาวเหยียด จิวกอดต้นข้าวไว้ และต้นข้าวเอามือปิดหูให้จิว ริมฝีปากทั้งสองแทบจะแตะกัน สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจ

          ตอนนี้ต้นข้าวไม่สามารถมองอะไรเห็นในชั้นใต้ดินนี่แล้ว เพราะน้ำตาเอ่อขึ้นมา กลบเต็มสองลูกตา แล้วค่อยๆ หยาดไหลลงมาที่แก้ม         

          "พี่จ๋าน้องขอลาก่อน
          ลาแล้วเคหาห้องนอน
          ที่เคยพักผ่อนอาศัย
          น้องเป็นผู้แพ้
          แพ้รักสุดหักห้ามใจ"


          ..............

          เขานึกไปถึงเช้าที่สดใสวันหนึ่ง ที่ตนเองไปรอรับจิวซึ่งกำลังกลับจากแก่งคอย ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ด้วยความตื่นเต้น ด้วยความเป็นห่วง ด้วยการอยากขอโทษ และด้วยความ 'คิดถึง' อย่างสุดหัวใจ จนได้รับอุบัติเหตุจากรถไฟครั้งนั้น ซึ่งจิวก็มาดูแลต้นข้าวที่บ้านทุกวันจนหายดี

          ต้นข้าวเริ่มสะอื้นหนักขึ้น เสียงสะอึกและลมหายใจติดขัดพาให้แข้งขาอ่อนเหมือนคนสิ้นแรง ต้องทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น น้ำตาไหลเป็นสายไม่หยุด เขาวางวิทยุสื่อสารลงกับพื้นพร้อมกับทิ้งกระดาษสคริปต์งานที่อยู่ในมือ

          "เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย
          บอกเตือนเหมือนกำหนดหมาย
          หยาดน้ำตาไหลนองหน้า"


          ..............

          น้ำตาต้นข้าวแทบจะเป็นสายเลือด กับการที่ได้สูญเสียสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไปแล้ว  มันแทบจะเรียกร้องให้กลับคืนมาไม่ได้  ไม่ต้องไปหวังถึงวันที่จะได้รับการให้อภัย... มันไม่มีทางมาถึง

          เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สติสุดท้ายของต้นข้าว หวนนึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับจิวในค่ำวันหนึ่งหน้าห้างมาบุญครอง แต่แล้วตัวต้นข้าวเองกลับเป็นคนทำลายมันให้แตกสลายลงไปในวันที่อารมณ์กระเจิดกระเจิงและหลงผิด

          สองมือต้นข้าวที่ยึดกับพื้นขณะทรุดนั่งเริ่มสั่นระริก เด็กหนุ่มสะอื้นอย่างแรงจนตัวโยน

          "ขออำลาแล้ว ดวงแก้วมณีล้ำค่า
          หากว่าแม้นชาติหน้า
          มีจริงค่อยเจอกัน"


          ..............

          เสียงเพลงจากราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทยร้องจบประโยคสุดท้าย ผ้าม่านบนเวทีผืนมหึมาที่ปักลายวิจิตรก็เลื่อนปิดลงมา เป็นสัญลักษณ์ว่าการแสดงสิ้นสุดลง ผู้ชมกว่า ๒,๐๐๐ คนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนและปรบมืออย่างกึกก้องยาวนานไปทั้งหอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้

          ความสำเร็จของงาน 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานในวงการลูกทุ่งไปอีกหลายสิบปี

          และลึกลงไปที่ชั้นใต้ดินของเวที หลังจากเสียงปรบมือจางลง ต้นข้าวผู้ซึ่งเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง โดดเดี่ยว และพ่ายแพ้ต่อจิตใจของตัวเอง ก็หมดสติล้มฟาดลงไปคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้นข้างเครื่องไฮดรอลิคนั้น



--- จบภาค มหาวิทยาลัย ---



--------------------


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-03-2017 01:04:11 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :o12: :o12:

เราเศร้าาาา โป้งคนเขียนเลย

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  ต้นข้าวหนอต้นข้าว เสียใจจนสลบไปเลย ยังไม่สายที่จะเริ่มใหม่กับจิวนะ บทเรียนต้องรู้
 
 ตอนใหม่จะมาเมื่อไหร่คับผู้แต่ง อยากอ่านไวๆ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2017 22:23:22 โดย GuoJeng »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
จิว ย้ายบ้านหนีไปเล้ยย

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
โอ๊ยยย น้ำตาซึมเลยย เหมือนชีวิตตัวเองบางส่วน คนเราเหมือเจอสิ่งใหม่ใจก็เปลี่ยนไม่สนใจคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ บางเลยย :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





--- ภาควัยทำงาน ---


ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด



          "เฮ้ย! ใครมานอนตายอยู่หน้าไฮดรอลิคนี่...โว้ย...ช่วยด้วยยยยย"

          เสียงดังโวยวายของชายหนุ่มคนหนึ่ง พูดเสียงลิ้นแบๆ แบบบอกยี่ห้อว่าไม่ใช่คนไทย ร้องสนั่นไปทั่วโรงงานนี้ และมีชายหนุ่มอีกคนวิ่งหน้าตั้งตามเข้ามาอย่างไว และทำท่าจะเข้ามายกร่างที่นอนนิ่งอยู่

          แต่ร่างที่ถูกโวยว่านอนตาย ก็กลับค่อยๆ เงยหัวขึ้นมาจากใต้ไฮดรอลิค ร่างนั้นเปลือยครึ่งท่อน ทำตาเหลือกไปเหลือกมา ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงมีใครวิ่งป่าราบแน่

          "ข้าเอง! เอ็งจะร้องโวยวายหาพระแสงอะไรวะ" คนพูดทำหน้างงๆ วงหน้ามีแววว่าหล่อเหลา คม ดูเป็นตี๋ใหญ่ที่น่าอบอุ่น แต่ตอนนี้เลอะมอมไปด้วยคราบน้ำมันเครื่อง มองจ้องไปที่หนุ่มสองคนที่ตื่นเต้นโวยวายอยู่

          "เสี่ยจิว!!!" หนุ่มสองคนร้องประสานเสียงออกมาพร้อมๆ กัน

          "เออ ข้าเอง นึกว่าผีหรือไงวะ" คนถูกเรียกว่าเสี่ยจิวค่อยๆ ชันตัวขึ้นมานั่งกอดเข่าอยู่หน้ารถไฮดรอลิคสำหรับยกของเล็กๆ มือข้างหนึ่งยังถือประแจเหล็กที่ซ่อมเครื่องจักรค้างอยู่

          "เห็นคนลงไปแก้ผ้านอนกองอยู่ หัวหายไปใต้เครื่อง ผมก็นึกว่าใครมาถูกข่มขืนตายตรงนี้" ชายหนุ่มคนแรกเกาหัวแกรกๆ "แล้วเสี่ยลงไปทำอะไรใต้นั้นล่ะ ทำไมไม่เรียกพวกผมมาดู"

          "เรียกเอ็งมาดู? ไอ้จอซูเอ้ย เอ็งจะทำเครื่องข้าพังซ้ำอีกล่ะสิ ระบบมันติดขัด เอ็งซ่อมเป็นหรือไง"

          "ไม่เป็นครับนาย" ไอ้จอซูตอบอ่อยๆ

          "ไม่เป็นก็อย่ามาสาระแน ไปโว้ย พวกเอ็งจะไปทำอะไรก็ไป ทั้งไอ้จอซู ทั้งไอ้มินเดืองห์ ข้าเครียดจะตายห่าอยู่แล้ว" เสี่ยจิวปัดมือไล่สองคนนี้ให้ออกไปพ้นๆ

          สิ้นเสียง ทั้งจอซู และมินเดืองห์ก็แผ่นแผล่วลับตัวออกไปจากโกดังเก็บของทันทีอย่างรู้ใจรู้อารมณ์เจ้านายของตัวดี

          เสี่ยจิวมองตาม ส่ายหัว แล้วค่อยๆ ยกตัวขึ้นยืน ชายหนุ่มอายุ ๓๒ ปี แต่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ดูแลตนเองดี อีกทั้งเจ้าตัวเป็นคนผิวขาวจัดจึงดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริง

          ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยกแขนเอาผ้าขนหนูสีขาวขึ้นมายกซับเหงื่อที่หลังคอ ในสภาพที่ไม่ได้สวมเสื้อ ทำให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนๆ หน้าอกกว้าง และเห็นกล้ามแขนเป็นลูกกล้ามน้อยๆ แต่ชัดเจนแบบคนทำงานหนัก ไม่ใช่กล้ามโอเวอร์แบบคนที่เล่นยิม เหงื่อเกาะพราวไปทั้งร่าง

          ชายหนุ่มโยนผ้าขนหนูพาดไว้ที่ราวข้างเครื่องไฮดรอลิค แล้วหยิบเสื้อกล้ามที่ถอดพาดไว้ขึ้นมาสวมแทน ก้าวยาวๆ ไปยังห้องทำงานข้างๆ โกดังนั้น

          มันเป็นห้องทำงานที่ไม่ใหญ่มาก ไม่ได้ดูหรูหราแต่ก็น่านั่งสบาย ติดแอร์เย็น เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งห้องใช้ไม้สักอย่างดี มีโซฟารับแขกอยู่มุมหนึ่งของห้อง และตรงข้ามเป็นโต๊ะทำงานที่มีเอกสารข้าวของอยู่รก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูทันสมัยตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะ นั่นคือคอมพิวเตอร์ ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เครื่องหนึ่ง

          ชายหนุ่มคือเจ้าของโรงงานรองเท้า T-Star ที่คนในโรงงาน รวมทั้งคนในละแวกบ้านแถวพุทธมณฑลสายสองนี่เรียกเขาว่า "เสี่ยจิว" หรือไม่ก็ "เสี่ยสมนึก" แล้วแต่ว่าจะติดต่อกันในลักษณะไหน

          เสี่ยจิวย้ายบ้านมาที่โรงงานแห่งนี้ได้สิบปีแล้ว อันที่จริงไม่ใช่ย้ายครั้งเดียวมานี่หรอก ก่อนหน้านี้เมื่อสิบปีก่อน การก่อสร้างโรงงานนี้ติดขัด เปิดไม่ได้ตามกำหนด แต่ทางบ้านเสี่ยจิวจำเป็นต้องย้ายออกจากสี่แยกบ้านแขกก่อน เพราะบอกขายไปแล้ว จึงต้องย้ายทั้งโรงงานไปอยู่ชั่วคราวที่ อ.นครชัยศรี นครปฐม อยู่สักเจ็ดแปดเดือน ถึงจะย้ายอีกครั้งมาที่พุทธมณฑลสายสองนี่ และช่วงย้ายครั้งนั้น ป๊าของเขาซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ก็เสียชีวิตลง ทำให้เขาซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวต้องสืบทอดต่อ

          ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึง ๒๕๔๒ มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการสื่อสารในเมืองไทยขนานใหญ่ ตั้งแต่การเปลี่ยนจากจำนวนหมายเลขโทรศัพท์บ้านจากเดิม ๖ ตัว มาเป็น ๗ ตัว และมาเพิ่มรหัสเขตเข้าไปอีกทีหลังกลายเป็นเลข ๙ ตัว รวมทั้งมีช่วงหนึ่งที่หมายเลขโทรศัพท์ในกรุงเทพฯ ขาดแคลน และมาซ้ำอีกด้วยการเปลี่ยนระบบของโทรศัพท์จากแบบหมุนหมายเลข มาเป็นระบบกดแป้นหมายเลขแทน

          รวมทั้งการเข้ามาของโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกๆ ทำให้โฉมหน้าของการติดต่อสื่อสารของไทยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองแทบจะพิมพ์เปลี่ยนระบบไม่ทัน ทำให้การติดต่อสื่อสารขาดช่วงไปบ้าง  เสี่ยจิวเอง ก็ขาดการติดต่อกับเพื่อนเก่าๆ ไปทั้งหมด ติดต่อได้แต่กับกลุ่มคู่ค้า และลูกค้าที่ต้องติดต่อกันทุกวันเท่านั้น

          นึกมาถึงตรงนี้เขาได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้องทำงาน จึงเงยมองไปเห็นเจ้าหนุ่มจอซู มาเคาะประตูหน้าห้องทำงานที่ไม่ได้งับประตูปิดไว้ดังแก๊กๆ ในมือกำลังประคองถาดเครื่องดื่มและของกินเล่นเข้ามาให้เขา

          เจ้าจอซู และมินเดืองห์ สองหนุ่มจากประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียง เสี่ยจิวเอามาเป็นผู้ช่วยเขาในโรงงาน ชายหนุ่มชวนทั้งสองมาจากนครชัยศรี และจริงๆ แล้วสองคนนี่ คือคนในอดีตที่ครั้งหนึ่งตอนเสี่ยจิวยังวัยรุ่น ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำนครชัยศรี และแอบเห็นวัยรุ่นชายพม่าสองคนมีอะไรกันริมแม่น้ำกลางวันแสกๆ ทำให้ชายหนุ่มเกิดอารมณ์ด้วย จนต้องช่วยตัวเองตามไปในครั้งนั้น

          สองคนนั้น คือจอซูและมินเดืองห์ในวันนี้นี่เอง หากแต่สองคนนี่ไม่ได้มีอะไรด้วยกันแล้ว มันเป็นแค่ความอยากลองของชีวิตวัยรุ่นเท่านั้น ส่วนในปัจจุบันมันทั้งสองก็อายุเข้าไปเกือบ ๓๐ แล้ว มันเหมือนเป็นพี่น้อง เหมือนเพื่อน และบางเวลาก็ต่อยตีกันด้วยซ้ำ จอซูตัวสูงใหญ่กว่า หน้าตาดีกว่า ส่วนมินเดืองห์เตี้ยกว่าหน่อย หน้าตาพื้นๆ ทั่วไป และมักมีแป้งทานาคา (ตะนัดคา) ประเป็นลายพร้อยที่แก้มสองข้างอยู่เสมอ

          .................

          "มีอะไรกินบ้างวะไอ้จอซู" เสี่ยจิวถาม

          จอซูเอาถาดวางลงบนโต๊ะ เอามือกวาดๆ เอกสารรกๆ บนโต๊ะไปกองข้างหนึ่งโดยไม่แคร์สายตาเจ้าของโต๊ะที่มองตามอย่างขวางๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

          "น้ำมะนาวปั่น กับลูกชิ้นชุบแป้งทอดครับเสี่ย ป้าคนขายเข็นรถผ่านหน้าโรงงานพอดี นานๆ เจอที เลยซื้อมาให้เสี่ยครับ" จอซูพูดไปก็ลำเลียงของออกจากถาดวางบนโต๊ะทำงานของเขา

          ชายหนุ่มมองตามจานที่กำลังถูกวางบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าจอซูนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร เจ้านั่นพอเห็นเจ้านายเฉยๆ ก็คิดว่าถูกใจแล้ว จึงหันหลังเดินออกจากห้องไป

          เสี่ยจิวนั่งเหม่อมองจานลูกชิ้นชุบแป้งทอดอยู่นิ่งๆ สักพัก แล้วหยิบมันขึ้นมาไม้หนึ่ง ชูขึ้นมองตรงหน้า ใจหวนนึกไปถึงเรื่องราวครั้งหนึ่งที่นานแสนนานมาแล้ว มีใครคนหนึ่งที่ชอบกินลูกชิ้นชุบแป้งทอดนี่หนักหนา ใครคนนั้นที่เขาไม่ได้เจอ และไม่ได้ติดต่อกันมาสิบปีเต็มนี่แล้ว แต่ไม่เคยที่จะลืมเลือนไปจากหัวใจเลย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก และครองตัวเป็นโสดมาจนทุกวันนี้ เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง

          เสี่ยจิวส่งลูกชิ้นใส่ปากไปลูกหนึ่ง เคี้ยวๆ กลืนลงไป แล้วมองลูกชิ้นที่เหลือ พร้อมกับเผลอเรียกชื่อใครคนนั้นที่อยู่ในความคิดคำนึงออกมา...

--------------------

          "คุณข้าวคะ"

          เลขาฯ และผู้ช่วยงานสารพัดอย่างเรียกชื่อมาจากหน้าห้องที่เขานั่งทำงานอยู่

          คุณข้าวเงยหน้าขึ้นจากสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง ที่เขากำลังพยายามหารายชื่อลูกค้าเก่าเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ หมายเลขโทรศัพท์และหมวดหมู่มันเปลี่ยนไปหมด ทำให้เขาหงุดหงิด แล้วเอ่ยตอบไป

          "ว่าไงอัญชุลี"

          "คุณสมชาย โทรมาถามว่างานพิธีเปิดตึกใหม่ตรงรัชดาฯ อยากให้คุณข้าวจัดงานให้อลังการแบบงานปิดสวนสนุกแดนเนรมิตเมื่อปีที่แล้วได้ไหมคะ แกไปงานนั้นมาแล้วชอบมาก"

          คุณข้าวทำตามองบนแรง เอามือขยี้หัวตัวเองจนผมยุ่งลงมารุ่ยร่ายที่หน้าผาก มันดูกระเซิง แต่ปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นดูอ่อนเยาว์ลงกว่าอายุ ๓๒ ที่แท้จริง

          "โอยยย บ้าป่าว นั่นมันงานปิดกิจการ แล้วนี่จะเปิดตึกใหม่ จะให้ทำแบบงานนั้นได้ไง โว้ยยย ตรูล่ะกลุ้ม!!"

          คุณข้าวเอามือสองข้างวางบนโต๊ะทำงาน หายใจแรง มองเขม็งไปที่หน้าห้อง ทำท่าเหมือนเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ  ทำให้อัญชุลีเลขาฯ ทำคอย่นทีหนึ่ง แล้วรีบผลุบหายกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเองทันที

          --อยากจะบ้าตาย--

          ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองเบาๆ  ตั้งแต่เขาเปิดบริษัท "สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง" มาสิบปีเต็มจนถึงวันนี้ ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ นี่ ไม่เคยเลยที่จะว่างเว้นจากการได้เจอลูกค้าที่มีความต้องการแปลกๆ บางครั้งก็พิศดารเกินเสียจนเขาไม่กล้ารับงาน แต่ถ้างานไหนมันแปลกแต่ท้าทายรูปแบบใหม่ๆ เขาก็ยินดีทำ เพราะเป็นการพัฒนาตนเองด้วย

          แต่ความแปลกของงาน บางทีก็เกือบทำให้เขาแทบไปไม่รอด เช่นเมื่อสองปีที่แล้ว ไปรับงานอีเว้นท์เปิดตัวศาลเจ้าใหม่ที่ยิ่งใหญ่ระดับจังหวัดๆ หนึ่ง ผู้จัดอยากได้ธูปปลอมใหญ่ๆ สูงเกินสิบเมตร หนักเป็นตัน ทั้งหมดสามแท่งมาตั้งหน้างาน ชายหนุ่มเถียงกันอยู่นาน แต่เจ้าของงานจะเอาให้ได้ ปรากฎว่าวันงานธูปนั้นถล่มลงมาทับคนที่มาเที่ยวงาน!! ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ! ชายหนุ่มแทบจะเอาหัวมุดลงไปในธูปแท่งนั้นแก้ความอับอาย แถมยังต้องเทียวขึ้นลงสถานีตำรวจเพื่อเคลียร์คดีเรื่องคนเจ็บอีกหลายรอบ

          แล้วนี่อะไรอีกนี่ คุณสมชายเจ้าของตึกที่รัชดาฯ จะให้เขาไปจัดงานเปิดตึกใหม่ที่จำหน่ายอุปกรณ์อิเลคโทรนิค แต่กลับจะเอางานแบบ 'แดนเนรมิต ฉันจะคิดถึงเธอ' ที่เป็นงานปิดกิจการสวนสนุกอย่างถาวร เพราะที่ดินหมดสัญญานั้น มันเป็นเรื่องเดียวกันที่ไหนเนี่ย!!

          ชายหนุ่มเอามือขยี้หัวอีกครั้งหนึ่ง แล้วตะโกนเรียกอัญชุลี ให้เข้ามาหาใหม่

          "คะ? คุณข้าว" อัญชุลีโผล่แต่หน้าเข้ามาครึ่งเดียว อีกครึ่งแอบหลังบานประตู เพราะเดาใจเจ้านายไม่ออก ยังไงซะก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อนดีกว่า

          "ไอ้กบ มันกลับมาหรือยังนี่ ใช้ให้ไปซื้ออะไรมากินตั้งนานแล้ว หายหัวไปไหนของมัน" คุณข้าวถาม หรี่ตามองอัญชุลีที่โผล่หัวมาครึ่งเดียว

          อัญชุลีหันไปมองด้านหลัง แล้วรีบพูดเสียงร้อนรน "อ้อ มาแล้วค่ะ คุณกบมาแล้ว"

          อัญชุลีเรียกกบว่า 'คุณกบ' เพราะจริงๆ กบก็เหมือนญาติห่างๆ ของคุณข้าวที่มาทำงานด้วยที่บริษัท ในตำแหน่ง 'เจเนอรัล-เบ๊' คือมั่วมันไปซะทุกเรื่อง ซึ่งก็ไม่มีใครถือสาอะไร แม้แต่คุณข้าวเอง แต่ไม่แน่ใจว่ารวมถึงวันนี้ด้วยหรือเปล่า...

          อัญชุลีหลีกทางอย่างหวาดๆ ให้กบเดินผ่านเข้าไปในห้อง และตัวเองก็แนบหัวแอบฟังอยู่อย่างนั้น

          "มาแล้ว มาแล้ว" เสียงกบเริงร่านำเข้าไปก่อน โดยไม่ได้ดูหน้าของคุณข้าว ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

          "มาแล้วเหรอ ไอ้ตัวดี ไหน ของกินของข้า" ชายหนุ่มถาม ตาจ้องไอ้กบเขม็ง

          "ไม่มี ไม่มีของกิน ได้แต่ไอ้นี่มา" กบพูด พลางหยิบลอตเตอรี่ ๒ ใบ วางตรงหน้าคุณข้าว ท่ามกลางลูกตาที่แทบถลนของอัญชุลีที่แอบดูอยู่หน้าห้อง

          "ลอตเตอรี่!!! มันคืออะไร ข้าบอกเอ็งให้ไปซื้อลูกชิ้นชุบแป้งทอดมาให้กิน แล้วนี่??" เสียงคุณข้าวตะเบ็งสูงขึ้น อัญชุลีหลับตาปี๋อยู่หลังประตู

          "อ้าว ก็พี่ข้าว เอ๊ย คุณข้าวบอกว่า ไปซื้อลูกชิ้นชุบแป้งทอดมาให้กินหน่อย ถ้าไม่มีให้ซื้ออะไรมาแทนก็ได้" ไอ้กบเล่าฉอดๆ

          ตอนนี้ ดวงตาคุณข้าวเบิ่งโตเกือบเท่าไข่ห่าน อัญชุลีค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดประตูห้องช้าๆ

          "ทีนี้ลูกชิ้นชุบแป้งทอดไม่มีขาย กบก็เลยซื้อลอตเตอรี่มาให้คุณข้าวอย่างที่บอก ว่าซื้ออะไรมาแทนก็ได้อะ" กบคนซื่อ เล่าตาใสแจ๋ว

          อัญชุลีปิดประตูห้องลงอย่างคนรู้งาน เพราะกลัวลูกหลงอะไรที่จะเขวี้ยงออกมาโดน พร้อมๆ กับเสียงตะโกนแว๊กๆๆ ของกบ ดังลอดออกมา เหมือนโดนบีบคอหรืออะไรสักอย่าง

          ...............

          อีกห้านาทีต่อมา อัญชุลีก็โดนเรียกกลับเข้าไปในห้องคุณข้าวอีกครั้ง ทีแรกก็เดินเข้าไปอย่างหวาดๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นคุณข้าวกำลังจัดเอกสารเรียงบนโต๊ะ เหมือนพร้อมจะเลิกงานแล้วสำหรับเย็นนี้ ส่วนกบ นั่งอยู่บนโซฟาอ่านการ์ตูน และผิวปากหงิงๆ เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยในห้องนี้

          "เตรียมรถไว้นะอัญชุลี เดี๋ยวออกไปกินข้าวกัน แล้วเลยไปหาอะไรดื่มกันหน่อย หัวจะระเบิดแล้ว เครียดโว้ย ของกินเล่นรองท้องก็ไม่มี" ประโยคหลังเขาบุ้ยหน้าไปที่ไอ้กบ

          "ค่ะคุณ" อัญชุลีรับคำ แบบคนที่อยู่กันมานาน และเข้าใจถึงอารมณ์ลักปิดลักเปิดของคุณข้าวแบบนี้มานานนม  เธอเป็นพนักงานรุ่นแรกตั้งแต่ชายหนุ่มก่อตั้งบริษัทนี้มาเมื่อสิบปีที่แล้ว อายุอ่อนกว่าคุณข้าว ๑ ปี และเป็นสาวโสดขาลุย หน้าตาเวลาแต่งจัดๆ ก็สวยเฉี่ยว ไว้ผมทรงบ๊อบเท ไม่เกี่ยงงาน บ้านก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ด้วย

          เลขาฯ เดินออกไปจัดของในเบาะหลังรถอัลฟ่าโรมิโอของคุณข้าวที่จอดหน้าออฟฟิต ที่นี่เป็นทั้งออฟฟิตและชั้นบนเป็นบ้านของคุณข้าวในตัวด้วย เขาย้ายมาเมื่อเกือบสิบปีก่อน มันอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะเหมือนเดิม หากถัดจากซอยบ้านเก่ามาหลายซอย แต่เพราะเป็นบ้านเดี่ยวอยู่ริมถนนและมีที่จอดรถเยอะ จึงสะดวกต่อการติดต่องานต่างๆ มากกว่าบ้านเก่า

          ส่วนบ้านเดิมนั้นขายไปแล้ว เพราะพ่อของเขาต้องย้ายไปรับตำแหน่งใหญ่ที่ต่างจังหวัดก่อนเกษียณ โดยแม่ของเขาตามไปกับพ่อด้วย เขาจึงอยู่บ้านใหม่คนเดียว และภายหลังจึงมีไอ้กบ ซึ่งเป็นญาติรุ่นน้อง อายุ ๒๗ ปี มาอยู่เป็นเพื่อนและช่วยวิ่งงานไปในตัว ถึงมันจะไม่ค่อยเอาไหน แต่ก็ยังถือว่ามีเพื่อนอยู่ดูแลบ้านด้วยกัน แถมเวลาหอบหิ้วติดสอยห้อยตามไปพบลูกค้า มันก็ดูโอเค เพราะไอ้กบก็จัดว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเหมือนกัน

          ...............

          หลังอาหารเย็นแถวถนนงามวงศ์วาน เวลาก็เข้าไปเกือบสองทุ่มแล้ว คุณข้าวสั่งให้ไอ้กบขับรถไปเรื่อยๆ เพื่อจะหาร้านเหล้าหรืออะไรสักอย่างนั่งดื่มแก้เซ็งจากเรื่องงาน แต่ตอนนี้รถก็ยังติดอยู่ เพราะเป็นคืนวันศุกร์ แถมถนนเหลือเลนเดียว เขาจึงนั่งเบื่อๆ ที่เบาะหลัง เอาหน้าแนบกระจก

          "มีเทปเพลงอะไรฟังบ้างนี่ในรถ" ชายหนุ่มถามลอยๆ

          "มีแต่เทปที่อัดไว้สำหรับซ้อมงานเลี้ยงของคุณหญิงอุ่นเรือนค่ะ"

          อัญชุลีตอบ หลังจากพลิกดูเทปคาสเซ็ตในมือไปมา คุณหญิงอุ่นเรือนคือลูกค้าคนหนึ่งที่มักให้งานคุณข้าวไปจัดบ่อยๆ แนวๆ งานคุณหญิงคุณนายในห้องจัดเลี้ยงโรงแรมหรู

          "อื่อ เปิดมาฟังซิ" เขาพูดแบบเบื่อๆ สายตาไม่ได้ละจากการมองเหม่อไปนอกกระจกรถ

          --แกร๊ก-- เสียงดันเทปเข้าไปในช่อง แล้วเพลง I will survive ของ Gloria Gaynor ก็ดังขึ้น

          "At first I was afraid
          I was petrified
          Kept thinking I could never live
          Without you by my side

          ตอนแรกฉันก็กลัวๆ
          รู้สึกหวาดหวั่นใจ
          คิดว่าตัวเองคงอยู่ไม่ได้แน่
          หากไม่มีเธอข้างกายแล้ว"


          ................

          ชายหนุ่มอมยิ้มให้กระจกรถ จริงสินะ เมื่อสิบปีที่แล้วเขาเกือบจะตายจริงๆ จากเรื่องราวของความรักตอนนั้น

          "Weren’t you the one
          who tried to hurt me
          with goodbye
          Did you think I’d crumble
          Did you think I’d lay down and die
          Oh no, not I

          I will survive

          ไม่ใช่เธอหรอกเหรอ
          ที่ทำร้ายฉันด้วยการบอกลา
          คิดล่ะสิว่าฉันจะย่ำแย่
          คิดใช่ปะว่าฉันจะทรุดลง และตายไป
          หึหึ...นั่นไม่ใช่ฉันหรอก

          ฉันต้องรอด"


          ...............

          ด้วยกำลังใจอันแข็งแกร่งของเขาเอง รวมทั้งความรักจากครอบครัว จากเพื่อนรอบข้าง ทำให้ 'ต้นข้าว' ในวันนั้น กลับลุกขึ้นมายืนและเติบโตในหน้าที่การงาน จนกลายมาเป็น 'คุณข้าวคนเก่ง' ที่คนในวงการเรียกขานอย่างทุกวันนี้ได้

          และจากความผิดพลาดในอดีต ชายหนุ่มไม่เคยหลงกล หรือไปเผลอใจให้ใครอีก ทั้งๆ ที่ต้องอยู่ในวงการมายา ท่ามกลางนายแบบรูปหล่อที่ต้องการไต่เต้า บทเรียนในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้วมันรุนแรงฝังใจ จนเขาไม่เคยพลาดกับใครอีกเลย และยังเป็นโสดจนทุกวันนี้

          "Oh as long as i know how to love
          I know I will stay alive
          I’ve got all my life to live
          I’ve got all my love to give
          And I’ll survive

          I will survive

          ตราบใดที่ฉันรู้วิธีการรัก
          ฉันรู้ว่าฉันจะอยู่ได้
          ฉันมีชีวิตที่ต้องใช้
          ฉันมีความรักที่จะต้องให้ต่อไปอีก

          ฉันจะเก็บความรักนี้
          เพื่อรอมอบให้กับคนที่รักฉันจริง"


          ...............

          "จิว"

          ชื่อนี้ลอดแผ่วออกมาจากปากชายหนุ่ม จนอัญชุลีที่นั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับไอ้กบคนขับ ต้องหันหลังกลับมาถาม

          "เมื่อกี้คุณข้าวพูดว่าอะไรนะคะ"

          "อ่อ เปล่าๆ ไม่ได้พูดอะไร" เขาเอามือขึ้นมาเสยผมแก้เก้อ "นี่ถึงไหนแล้วล่ะ จะไปดื่มร้านไหนดี"

          "ตรงนี้มันจะเลี้ยวไปบางบัวทองได้ เลี้ยวไหมฮะ หนีรถติด ตรงบางบัวทองมีร้านที่กบเคยไปเที่ยวกับเพื่อน แต่มันเป็นร้านเล็กๆ นะ" ไอ้กบเอี้ยวตัวมาบอกจากที่นั่งคนขับ

          "เออ ไปเถอะ ร้านบ้าอะไรก็ได้ เป็นเพิงกระต๊อบขายลาบเปิดไฟแดงๆ ยังได้เลยนาทีนี้ ขอให้มีเหล้าเบียร์กินเถอะ" ชายหนุ่มตอบอย่างเซ็งๆ

          ไอ้กบหัวเราะออกมา "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ พอนั่งไหวน่า ถึงไม่ได้หรูหราแบบในกรุงเทพที่คุณข้าวเคยไปประจำ แต่ลองเปลี่ยนบรรยากาศแบบบ้านๆ ดูบ้าง มันชื่อร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' ฮะ"

          "อื่อ" ชายหนุ่มรับคำสั้นๆ ขยับนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา แล้วนั่งเหม่อคิดอะไรต่อไปเรื่อยเปื่อย

--------------------

          "ทุ่มครึ่งเองหรือนี่ เบื่อโว้ยยย"

          เสี่ยจิววางช้อนส้อมลงกับจานข้าวที่พึ่งกินหมด แล้วบิดขี้เกียจแบบสุดตัว

          "เบื่อ งั้นคืนนี้ออกไปเที่ยวไหนดีครับเสี่ย วันนี้วันศุกร์ด้วย" ไอ้จอซูทำหน้าทะเล้นอยู่ข้างๆ โต๊ะกินข้าวในโรงงาน

          "งานการไม่ทำ หาแต่เรื่องเที่ยวนะเอ็งน่ะ" เสี่ยจิวหันไปมองขวางๆ "แต่ก็ดีเหมือนกัน ออกไปหาแป๊ะซะปลาช่อนกินแกล้มเหล้าดีกว่า ยิ่งเซ็งๆ เรื่องโรงงานอยู่ด้วย"

          ไอ้จอซู ก้มลงมองจานข้าวของเจ้านาย ที่เกลี้ยงจานบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นมาอ้อมๆ แอ้มๆ

          "เอ่อ ได้ข่าวว่าเสี่ยพึ่งกินข้าวหมดไปตะกี้..."

          "เรื่องสาระแนนี่ไม่มีใครเกินเอ็งเลยนะ แป๊ะซะมันเอาไว้กินแกล้มเหล้าเว้ย ห่านี่"

          จอซู เบี่ยงองศาที่ยืน กะให้พ้นรัศมีเท้าของเสี่ย แล้วหัวเราะแห่ะๆ

          "เอ็งไปเตรียมตัว ออกไปกินเป็นเพื่อนข้า ไปลองชวนไอ้มินเดืองห์ด้วยว่ามันอยากจะไปหรือเปล่า ถ้ามันไม่อยากไปก็ให้มันนอนเฝ้าโรงงานนี่ไป"

          "ครับนาย เอ่อ ว่าแต่จะไปร้านไหนครับ ผมจะได้ใส่เสื้อผ้าไปถูก" จอซูถาม

          "โอโห...ไปกินที่บับเบิ้ล ในโรงแรมดุสิตธานีมั้งเอ็งน่ะ ต้องใส่เสื้อผ้าไปให้ถูก แหม่ๆ เอ็งน่ะต้องถามข้า เพราะต้องไปเตรียมให้ข้า ไม่ใช่มาถามถึงชุดเอ็ง ห่านี่" เสี่ยจิวส่ายหัวดิก

          "แห่ะๆๆ" เสียงหัวเราะแห้งๆ ของหนุ่มจอซู

          "เอ็งจะไปใส่อะไรก็ใส่ไปไป๊ อย่าเดินแก้ผ้าไปเป็นพอ ไปร้านเล็กๆ ที่เคยไปน่ะ ร้านอะไรนะตรงบางบัวทอง"

          "ร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' ครับเสี่ย" จอซูรีบตอบ เพราะออกจะชอบร้านนี้อยู่เหมือนกัน

          "เออ น้อง คาราโอเกะ ลืมทุกที ไปๆ เตรียมเอารถออกด้วย"

          "คร้าบบบ เสี่ยยย" เจ้าตัวดีวิ่งปร๋อเข้าห้องตัวเองเพื่อเปลี่ยนชุดอย่างไว

--------------------


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 06:31:20 โดย กำปงพิราเทวี »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด