MBK❤lover
ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา เสี่ยจิวเงยหน้ามองเหม่อไปที่โทรทัศน์ตรงหน้า ภาพในจอกำลังนำเสนอข่าวซ้ำๆ มาสองสามวันแล้ว ในเหตุการณ์เครื่องบินถูกผู้ก่อการร้ายบังคับเครื่องให้บินไปชนกับตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ บนเกาะแมนฮัตตั้น นครนิวยอร์ก ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ แล้วทั้งสองตึกนั้นก็ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาคนทั้งโลก
ใช่ รวมทั้งถล่มใส่ธุรกิจรองเท้าของเสี่ยจิวด้วย เพราะเสี่ยจิวตั้งความหวังเรื่องส่งออกไว้มาก สัญญาครั้งนี้กำลังจะได้เซ็นภายในสองอาทิตย์นี้แล้วเชียว กลับต้องมาพังทลายลงไปพร้อมๆ กับตึกแฝดนั่น
เสี่ยจิวเริ่มทำตาแดงๆ อันนี้จริงเขาเกือบจะฟื้นตัวได้แล้วจากภาวะ 'ต้มยำกุ้ง' หรือตอนฟองสบู่แตก เมื่อปี ๒๕๔๐ สามปีก่อน เครื่องจักรต่างๆ ในโรงงานนี้ต้องนำเข้ามาทั้งนั้น ดีที่ว่าได้ออเดอร์ลูกค้าจากไต้หวันมาล็อตใหญ่ล็อตหนึ่ง ถึงรอดช่วงนั้นมาได้
"แล้วตอนนี้ล่ะ...กูตายแน่ โอย" เสี่ยจิวตาแดงๆ เอามือขึ้นขยี้ผมตัวเอง เมื่อนึกถึงภาวะการเงินในตอนนี้ของโรงงานรองเท้า T-Star ของเขา
................
"เสี่ยๆๆ มีคนมาถามหาเสี่ยหน้าโรงงาน" ไอ้มินเดืองห์ชะโงกหน้าเข้ามาตะโกนบอกชายหนุ่มหน้าห้องทำงาน ทำหน้าตื่นๆ
"ใครวะ ลูกค้าหรือ" ชายหนุ่มถาม หน้าตาดูมีความหวังขึ้นมา
"ไม่น่าใช่นะเสี่ย เสี่ยลองคุยดูแล้วกัน" ไอ้มินเดืองห์มีประกายตาแปลกๆ
ชายหนุ่มเดินตามมินเดืองห์ออกมาที่หน้าโรงงาน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ มาด้วย ฝ่ายหญิงคนนั้นพอมองเห็นเสี่ย ก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ
"สวัสดีค่ะเสี่ย จำหนูได้ไหมคะ"
"เอ่อ..." เสี่ยจิวเริ่มคลับคล้ายคลับคลา หญิงสาวคนนี้ดูคุ้นๆ --ไม่น่าใช่--
"หนูไง ลำไยไงคะ ที่เราเจอกันในร้านน้องคาราโอเกะ"
"เฮ้ยยย" ชายหนุ่มอุทานออกมา มิน่าว่าคุ้นๆ
แต่เป็นเพราะว่าลำไยในวันนี้ ไม่ได้ทาแป้งขาวหน้าลอยหนาเตอะแบบเมื่อคืนนั้นแล้ว เผยให้เห็นผิวธรรมชาติ ซึ่งค่อนข้างจะดูดีกว่า ไม่ได้ดูเป็นสาวกร้านโลกเริงราตรีแบบตอนนั้น และอยู่ในชุดแต่งตัวแบบหญิงสาวบ้านๆ ทั่วไป จึงดูเป็นหญิงสาวสามัญธรรมดาที่ค่อนข้างจะดูดี เรียบร้อย
"แล้วไปไงมาไง ทำไมมาถึงนี่ได้" ชายหนุ่มถาม พร้อมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ กัน
"ก็หนูโทรหาคุณจอซูไงคะ เขาให้เบอร์หนูไว้คืนนั้นค่ะ"
"ไอ้จอซู!! ฮึ่มๆ" ชายหนุ่มครางออกมา "แล้วยังไงนี่ เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า มาถึงนี่"
"เอาง่ายๆ เลยนะคะ หนูจะมาขอเสี่ยทำงานที่นี่ค่ะ หนูขนเสื้อผ้ามาแล้ว" ลำไยพูดพร้อมทั้งส่งยิ้มหวาน
ชายหนุ่มเอามือขึ้นก่ายหน้าผาก ทำตาเหลือกขึ้นข้างบน ลำไยมองตามแล้วแอบอมยิ้มพลางนึกในใจ 'คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดีไปหมดเนอะ ทำตาเหลือกยังดูดี'
"โอย จะมาทำงานอะไร โรงงานจะเจ๊งอยู่แล้วนี่ ออเดอร์ก็ไม่มี"
"ให้หนูทำอะไรก็ได้ค่ะ ทำความสะอาด ทำกับข้าว ซักผ้าอะไรก็ได้ หนูไม่อยากทำงานกลางคืนแล้วค่ะ" ลำไยเขย่าแขนชายหนุ่ม "ช่วงแรกๆ หนูยังไม่เอาเงินเดือนก็ได้ค่ะเสี่ย"
เสี่ยจิวมองหน้าลำไยอย่างใช้ความคิด ก็ดีเหมือนกันนะ ที่นี่มีแต่ผู้ชายล้วน งานการข้าวของก็ไม่เรียบร้อยตามประสาผู้ชาย ถ้ามีคนงานผู้หญิงมาเป็นแม่บ้านบ้างมันก็น่าจะเรียบร้อยขึ้น
"นึกซะว่าให้ชีวิตใหม่หนูแล้วกันนะคะเสี่ย หนูเห็นเสี่ยเอาหัวปลาช่อนแป๊ะซะกลับบ้าน หนูก็คิดได้ว่าเสี่ยต้องเป็นคนมีความคิดดี มีหัวคิดทางธุรกิจที่ดี หนูเลยมาขอเป็นที่พึ่งค่ะ"
"เอา...จะเอางั้นก็ได้ แต่ชั้นจะไม่ใช้งานเธอฟรีๆ หรอกนะ เธอก็พักที่นี่ได้ มีห้องพักคนงานเหลือเฟือ อาหารการกินก็กินด้วยกันที่นี่เป็นกงสี ส่วนเงินเดือนเธอ ช่วงแรกชั้นจะให้เธอครึ่งหนึ่งก่อน ไว้โรงงานดีขึ้นชั้นจะเพิ่มให้นะ ตกลงไหม"
ลำไยยิ้มกว้างออกมา ผวาเข้ามาพนมมือขอบคุณแทบจะถึงตักของชายหนุ่ม เสี่ยจิวสะดุ้งเฮือกรีบเอามือกุมกลางตักตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของมินเดืองห์ที่ยืนมองขำอยู่
"เอ้า ไอ้มินเดืองห์ เอ็งพาลำไยไปห้องพักด้านหลังนะ ขาดเหลืออะไรในห้องพักก็ไปหยิบเอามาใช้จากโกดังเก็บของแล้วกัน และไปชี้ให้ลำไยดูด้วยว่าต้องทำอะไรที่นี่บ้าง"
"ครับเสี่ย" มินเดืองห์รับคำ พร้อมทั้งพาลำไยเดินไปทางด้านหลังโรงงาน
ชายหนุ่มมองตาม พร้อมทั้งส่ายหัวไปมาน้อยๆ เออเนาะ ชะตาชีวิต... เรื่องไม่ได้คาดคิดมันก็เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ไอ้เรื่องที่ตั้งใจคิด มันกลับทำไม่ได้ และเหมือนจะไม่มีวันเกิดขึ้น
เหมือนเรื่องคนรัก เรื่องแฟน เรื่องคนที่อยากให้มายืนเคียงข้างในวันที่เขาล้มเหลว ผิดหวัง สิ้นสูญ เขาก็อยากให้มีใครสักคนมายืนอยู่ด้วย พร้อมให้คำปรึกษา หรือแม้แต่แค่จับมือเขาเบาๆ พร้อมกับกระซิบว่า ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ
เสี่ยจิวคิดถึงใบหน้าใครคนหนึ่งเหลือเกิน คิดถึง และคิดถึง
--------------------
คุณข้าว เดินก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องประชุมบนชั้น ๗ ห้าง MBK หลังจากมารับบรีฟงานอีเว้นท์จากทางห้างที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า ชายหนุ่มได้งานอีเว้นท์หลายงานจากที่นี่มาก่อนแล้ว จนวางใจใช้งานกันเรื่อยๆ งานเล็กบ้างงานใหญ่บ้างแล้วแต่วาระโอกาส
ห้างนี้พึ่งเปลี่ยนชื่อจาก 'ศูนย์การค้ามาบุญครอง' มาเป็น 'MBK Center' เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง รวมทั้งเปลี่ยนวัสดุรอบตึก จากหินอ่อนทั้งตึก กลายมาเป็นวัสดุสีเงินแวววาวรอบตึก ดูล้ำสมัยในเวลานั้นมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงห้างครั้งใหญ่เพื่อต้อนรับ 'ปีมิลเลนเนียม' หรือปี Y2K ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมา
ชายหนุ่มเดินออกมาถึงนอกตึก ตั้งใจว่าจะมาดูลานกว้างด้านข้างศาลพระภูมิของห้าง ที่จะเป็นที่ตั้งของกิจกรรมอีเว้นท์นั้น ซึ่งตอนนี้มีวัยรุ่นมาเล่นเสก็ตบอร์ดกันอยู่เป็นกลุ่มๆ
เขาเดินวนๆ อยู่แถวนั้นสักครู่ พยายามจะคิดว่าจะมีลูกเล่นอะไรในกิจกรรมนั้นดี แล้วเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเดินออกไปทางซอยด้านข้าง หลังตึก
ซอยนี้ ครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว เขาเองแหล่ะที่เป็นคนชวนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง มานั่งมองตึกมาบุญครองที่กำลังก่อสร้างเกือบเสร็จตรงนี้ แต่ปัจจุบันนี้มันกลายเป็นถนนเล็กๆ ที่ไว้สำหรับให้รถยนต์ของลูกค้าเลี้ยวเข้ามาเพื่อขึ้นอาคารจอดรถของห้าง
ชายหนุ่มพยายามมองหาที่ตั้งของม้านั่งยาวที่เคยมานั่งด้วยกัน แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมา ๑๗ ปีแล้ว มันจึงไม่เหลือสภาพนั้นโดยสิ้นเชิง มันมีแต่เพิงเล็กๆ ตรงปากซอย ที่มีวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างจับจองพื้นที่อยู่หลายคัน
คุณข้าวแหงนมองตึกขึ้นไปในตำแหน่งที่คิดว่าใกล้เคียงที่สุดกับในอดีต ภาพที่เห็นบนอาคารห้าง มันก็เปลี่ยนไปทั้งหมด 'นครหินอ่อนใจกลางเมือง' มันหายไปหมดแล้ว ในปี พ.ศ. นี้ ใครกันจะมาปูผนังอาคารด้วยหินอ่อนล้วนๆ มันไม่มีแล้ว มันตกยุค พ้นสมัย และไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป
ภาพที่เห็น มันคือวัสดุสีโลหะเงินเป็นมันวาว เรียงเส้นกราฟฟิคล้อมรอบตึกอย่างล้ำสมัย ส่วนหน้าของตึกด้านสี่แยกปทุมวัน มีตัวอักษรชื่อตึกแบบสมัยใหม่ใหญ่โต เขียนว่า 'MBK' ดูวัยรุ่น ดูเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ไม่ได้ดูสง่าแบบขรึมๆ โบราณ เหมือนครั้งแรกที่สร้างแล้ว
แต่ถึงภาพจะเปลี่ยนไปเพียงใด ตัวบุคคลก็ยังเป็นคนๆ เดิม หัวใจดวงเดิม และเมื่อเขากลับมายืนอยู่ที่เดิมตรงนี้ ความทรงจำครั้งเก่าต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมา ชายหนุ่มยังนึกถึงรอยจูบที่บริสุทธิ์แรกของชีวิต ณ ตรงนี้ พร้อมๆ กับคำมั่นสัญญาของเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งจับเข่าจ้องหน้ากันอยู่...
---แว่น สัญญากะกูก่อนนะ มึงกับกูต่างคนก็ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้ สัญญาก่อนนะว่าเราจะลองเดินไปด้วยกัน จับมือกันไป ผิดถูกช่างมัน ถ้ามึงมองไม่เห็น กูก็จะจูงมึง และถ้าวันไหนกูล้ม มึงก็ดึงกูขึ้นนะแว่น สัญญานะ---
"อื่อ สัญญา" คุณข้าวเผลอรับคำออกมาเบาๆ
"คุณข้าวคะ!! มาอยู่ตรงนี้เอง เดินหาตั้งนาน แล้วนี่คุณข้าวพูดอยู่กับใครคะ"
เสียงแหลมๆ หนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นมา ชายหนุ่มสะดุ้งและหันกลับไปมอง อัญชุลี เลขาฯ ของเขาเองที่ยืนอยู่ข้างหลัง และตอนนี้นางกำลังทำหน้าตื่นเหรอหรา พร้อมทั้งชะโงกหัวไปมามองหาอะไรสักอย่าง
"เอ่อ อ้อ ปะ เปล่าๆ" ชายหนุ่มทำหน้าเก้อๆ พร้อมเอามือขึ้นเกาหัว "มีอะไรอัญชุลี"
"เปล่าค่ะ เห็นเดินออกมาจากห้องประชุม ชุลีเลยเดินตามมาที่ลานจัดงาน แต่ไม่ทัน เดินวนหาตั้งนาน จนมาเจอนี่ล่ะค่ะ"
"อ้อ ดีแล้ว เอาเอกสารมาหมดแล้วใช่ไหม งั้นก็กลับกันเถอะ" ชายหนุ่มพยายามทำหน้าปกติ
อัญชุลีเดินนำฉับๆ ไปทางอาคารจอดรถ ก่อนหันหลังกลับชายหนุ่มแหงนขึ้นไปมองอาคารห้างอีกครั้ง แสงแดดยามเย็นส่องเฉียงมากระทบวัสดุสีเงินรอบอาคาร MBK สะท้อนแสงแวววาว เขาพูดออกมาเบาๆ
"ตอนที่เกิดเรื่องรถไฟชนหัวลำโพง เราต้องปิดตา มองอะไรไม่เห็น เธอก็ช่วยจูงช่วยดูแลเราแล้ว แต่เราสิ ยังไม่ได้ทำตามสัญญาของเธอให้ครบเลย เราสัญญานะจิว...เรายังสัญญา"
--------------------
ห้องทำงานในโรงงานรองเท้านั้นไม่ได้เปิดแอร์เหมือนอย่างเคย แต่กลับมีพัดลมมาตั้งอยู่แทนที่ ไม่ใช่เพราะอากาศมันเย็นอยู่แล้วหรอก แต่เจ้าของกลัวเปลืองค่าไฟ ถึงแม้จะต้องนั่งเหงื่อแตกซ่ก ต้องถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีดำตัวเดียวก็ตาม แต่กล้ามเนื้อที่พ้นเสื้อออกมา มันก็ทำให้เป็นภาพที่น่ามองมากสำหรับลำไย ที่ทำความสะอาดห้องไป แอบชำเลืองมองกล้ามแขนของเสี่ยจิวไป
ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ตาเหม่อลอย และเปลี่ยนท่านั่งบ่อย บางทีก็ยกมือขึ้นมาประสานบนหัวบ้าง บางทีก็ปิดหน้าฟุบลงไปบนโต๊ะก็มี ลำไยชักใจคอไม่ค่อยดี คิดเตลิดไปถึงว่าเจ้านายใหม่ตัวเองจะถึงกับลุกขึ้นมาผูกคอตายหรือเปล่า ด้วยสาเหตุจากธุรกิจไม่ดี หรือไม่ก็อยู่ดีๆ จะเปิดลิ้นชักหยิบปืนออกมาจ่อเปรี้ยงเข้าที่หัวเหมือนในหนัง
"เสี่ยจิวคะ เสี่ยจิว" นางค่อยๆ เรียก
ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมามอง ทำสีหน้าเหมือนมีคำถามว่าอะไร
"เสี่ยอยากกินอะไรไหมคะ ลำไยจะออกไปซื้อมาทำให้ หรือจะกินแป๊ะซะปลาช่อนก็ได้ ลำไยทำเป็น เอาไหมคะ"
เสี่ยจิวยิ้มออกมาที่มุมปาก "จะบ้าเร๊อะ ถึงขนาดจะต้องทำแป๊ะซะปลาช่อนในบ้าน หม้อฟงหม้อไฟอะไรเราก็ไม่มี ไม่เอาเว้ย"
"แห่ะๆๆ ค่ะเสี่ย"
คราวนี้ชายหนุ่มเลยนั่งมองค้างอยู่แบบนั้น นั่งมองลำไยเช็ดโซฟาในห้องทำงานเขา ดูหน่วยก้านการทำงานก็ไม่เลว ไม่ได้เช็ดแบบลวกๆ แต่ตั้งอกตั้งใจถูแม้กระทั่งในซอกข้างๆ สักพักเขาก็เห็นไอ้มินเดืองห์เดินถือถังน้ำมาเปลี่ยนให้ลำไย ไอ้มินเดืองห์เห็นเขาจ้องมองอยู่ก็ยิ้มแห้งๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร กลับนั่งยองๆ ลงไปคุยซุบซิบกับลำไยแทน
'มันชักจะยังไงยังไงวะ คู่นี้' ชายหนุ่มคิดในใจ
"ไอ้มินเดืองห์" เขาเรียกลูกน้องคนสนิท
"ครับนาย"
"ไอ้จอซูมันไปไหน พักนี้ไม่เห็นหน้าเห็นตา"
"เอ่อ ผมเห็นมันนั่งคุยโทรศัพท์ครับนาย ไม่รู้คุยกับใคร พักนี้คุยเยอะมาก ดึกดื่นยังนอนโทรคุยอยู่เลย"
"เหอะ!! ญาติบนดอยมันคงมีธุระมากสินะ ถึงต้องคุยขนาดนั้น" ชายหนุ่มประชดเข้าให้
มินเดืองห์ไม่ได้ตอบอะไรเจ้านาย จนเขาเอ่ยขึ้นมาอีก "เออ แล้วนี่รองเท้าแตะในสต๊อกเราที่เก็บในโกดังเหลืออยู่เท่าไร"
"ประมาณสักหกพันคู่ครับ" มินเดืองห์ตอบเสียงค่อยๆ
"หา!!! เหลืออีกหกพันคู่!" ชายหนุ่มทำตาเหลือก
"ครับ หกพันคู่ ส่วนใหญ่เป็นเบอร์ของผู้หญิง และมันเป็นสีแดงด้วย ขายยากครับ"
"ก็สีแดงทางฝรั่งอเมริกามันชอบนี่หว่า นี่ทำขึ้นมาเพื่อส่งออก ตายๆๆ ขายไม่ออก เงินข้ากองอยู่ในโกดังครึ่งล้านบาทเลยนะนั่น"
มินเดืองห์ก็ไม่รู้จะตอบเจ้านายว่าอย่างไร ได้แต่กลอกตาไปมา แถมตัวเจ้านายเอง ก็เอามือเกาหัวแกรกๆ มากขึ้น จนหัวยุ่งไปหมดแล้ว
"เอ่อ เสี่ยคะ" ลำไยเรียกมาเบาๆ
"ว่าไง" เสี่ยจิวขานรับโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
"ลำไยมีญาติเปิดร้านขายรองเท้าที่ห้างมาบุญครอง เป็นล็อคเล็กๆ ให้ลำไยเอารองเท้าไปฝากเค้าวางขายไหมคะ"
"เค้าเปลี่ยนชื่อเป็น MBK Center แล้วเธอ ไม่ได้ชื่อห้างมาบุญครองแล้ว โอ้ย แล้วมันจะช่วยอะไรได้เนี่ย จะขายได้กี่คู่กัน" เสี่ยจิวทำหน้าสิ้นหวัง
ลำไยนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ หันไปมองหน้ามินเดืองห์เป็นระยะ แล้วค่อยๆ อ้อมๆ แอ้มๆ บอกกับเสี่ยจิวว่า
"เสี่ยคะ คืองี้ หนูก็เป็นผู้หญิง รักสวยรักงาม ตามบ้านนอกที่หนูจากมา เค้าก็ชอบแต่งตัวสีแปร๊ดๆ สดๆ กันนะคะ แต่มันต้องออกน่ารักๆ สมกับผู้หญิงหน่อย"
"แล้วยังไงต่อ" คราวนี้ชายหนุ่มเริ่มสนใจ และเงยหน้าขึ้นมามองลำไยอย่างจริงๆ จังๆ
"คือว่า คือ...รองเท้าในโกดังนั่นหนูไปเห็นมาแล้ว มันเป็นสีแดงไซส์ผู้หญิงก็จริง แต่มันเป็นแบบสวมหัว ไม่ใช่แบบรองเท้าแตะหนีบ แถมตรงแถบที่สวมมันเป็นลายทางแดง-ขาว อีก มันดูแข็งไปค่ะ คนไทยบ้านนอกๆ อย่างพวกหนูไม่น่าจะชอบ ตอนนี้เค้าฮิตแบบดาราหญิงญี่ปุ่นใส่กันค่ะ"
เสี่ยจิวและมินเดืองห์มองจ้องไปที่ลำไยอย่างทึ่งๆ ชายหนุ่มถึงกับนึกดีใจที่รับลำไยมาทำงานด้วย เพราะอย่างน้อยที่สุดนางก็ช่วยออกความเห็นบ้าง ไม่เหมือนไอ้สองคนนี่ที่อยู่ด้วยกันมานาน มันทำงานดีก็จริง แต่ไม่ได้มีไอเดียสำหรับช่วยคิดอะไรเลย
"แล้วจะให้ข้าทำยังไงดี" เสี่ยจิวถามเอาจริงเอาจัง
"เสี่ยลองเปลี่ยนแค่ตรงแถบที่สวมได้ไหมคะ ส่วนตรงพื้นรองเท้าก็เอาไว้แบบนั้น เปลี่ยนตรงที่สวม เค้าเรียกอะไรหนูก็ไม่รู้ แต่ทำให้มันเป็นลายน่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก หวานแหววแบบญี่ปุ่นหน่อย จะขายดีมากนะคะ จะเป็นลายหมูหมากาไก่การ์ตูนอะไรก็ได้ค่ะ"
ลำไยแนะนำเสร็จก็ยิ้มให้ชายหนุ่ม และพร้อมกันนั้นนางก็ทำความสะอาดห้องทำงานนี้เสร็จพอดี จึงเริ่มเก็บไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วมาถือไว้ โดยมีเจ้ามินเดืองห์กุลีกุจอช่วยหิ้วถังน้ำและถุงขยะเดินตามกันออกไปต้อยๆ
ชายหนุ่มมองตามหลังคนทั้งสองไปอย่างครุ่นคิด คำแนะนำของลำไยก็มีประโยชน์ เขามาคิดๆ แล้วก็จริงอย่างที่นางว่า เพราะแต่เดิมเขาผลิตรองเท้าแตะรุ่นนี้ออกมาก็เพื่อจะส่งออกไปแถบอเมริกา แต่ในเมื่อธุรกิจพังไปพร้อมๆ กับตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ก็ควรต้องหันมาเปลี่ยนเป็นตลาดเอเซียแทน และตอนนี้เทรนด์นิยมก็เป็นญี่ปุ่นที่กำลังครองโลกอยู่ด้วย
เสี่ยจิวหมุนเก้าอี้ที่นั่งทำงานไปข้างหลัง ตามองขึ้นไปที่ชั้นวางของติดผนัง บนนั้นประดับไปด้วยกรอบรูปต่างๆ มีหิ้งวางพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง มีโล่ประกาศเกียรติคุณจำพวกผู้ส่งออกยอดเยี่ยมประดับอยู่ รวมทั้งตุ๊กตุ่นตุ๊กตาที่ระลึกต่างๆ
เสียงลำไยที่แนะนำเมื่อกี้ยังแว่วอยู่ในหู ---ทำให้มันเป็นลายน่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก หวานแหววแบบญี่ปุ่นหน่อย จะเป็นลายหมูหมากาไก่การ์ตูนอะไรก็ได้ค่ะ---
ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วๆ บนชั้นวางของ แล้วสายตาก็ไปปะทะกับของสิ่งหนึ่งบนนั้น มันถูกวางไว้นานจนลืม แต่ตอนนี้มันโดดเด่นจนเหมือนมีประกายของเรื่องราวอะไรบางอย่างพุ่งออกมา ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหยิบมันมาถือไว้ในมือ
--------------------
คุณข้าวนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะที่ทำงานแบบสบายๆ มันคือโต๊ะอเนกประสงค์ ที่เป็นทั้งโต๊ะอาหารได้ เป็นโต๊ะประชุมก็ได้ รวมทั้งเป็นโต๊ะนั่งเล่นไพ่ยามว่างก็ได้เช่นกัน เพราะนี่เป็นทั้งออฟฟิต และเป็นบ้านของคุณข้าวไปในตัว
วันนี้ทางบริษัทของคุณข้าวมีประชุมย่อยๆ กันในหัวข้องานอีเว้นท์ที่จะจัดขึ้นในลานกิจกรรมของห้าง MBK ผู้เข้าประชุมจึงมีคุณข้าวเป็นหัวหน้าประชุม มีอัญชุลี เลขาฯ และผู้ช่วย มีหนุ่มๆ อีกสองคนที่เป็นฟรีแลนซ์ในเรื่องการทำฉากและเวที รวมทั้งอีกคนหนึ่งเป็นแผนกไฟและเครื่องเสียง
"แล้วนี่กบไปไหน ทำไมยังไม่มาประชุม" คุณข้าวหันซ้ายหันขวา มองหาเจ้าคนที่ว่า
"เห็นนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ค่ะ คุยตั้งนานแล้ว ไม่วางสายสักที สองสามวันนี้คุณกบคงมีงานคุยกับลูกค้าเยอะมั้งคะ" อัญชุลีประเมินเอาจากสิ่งที่เห็น
"ลูกค้าบ้าอะไรล่ะ กบมันมีหน้าที่คุยกับลูกค้าซะที่ไหนล่ะ เธอก็พูดไปเรื่อยเปื่อย" ชายหนุ่มเอ็ดอัญชุลีแบบไม่จริงจังนัก
"แต่ช่างมันเถอะ มาๆ เริ่มกันเลย เอาเรื่องงานที่ MBK ก่อนนะ ที่คุยค้างไว้ เราตกลงเป็นงานแนวญี่ปุ่นนะ ในชื่องาน J-Trends in Town 2001 มีออกบูทขายของเกี่ยวกับญี่ปุ่น มีแต่งคลอสเพลย์แบบเด็กญี่ปุ่น มีแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าแนวญี่ปุ่นนะ มา...ว่ากันเป็นหัวข้อเลย"
.................
หลังจากการประชุมอันยาวนานเกือบสามชั่วโมงจบลง ผู้เข้าประชุมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน คุณข้าวเดินออกมาที่ห้องรับแขก เห็นกบกำลังวางสายโทรศัพท์พอดี ชายหนุ่มทำตาขวางขึ้นมาทันที
"เฮ้ยๆๆ นี่มันยังไงกัน งานการไม่ช่วยทำเลยหรือไงไอ้กบ ห่ะ!!"
กบเงยขึ้นมองหน้าคุณข้าว แล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ก้มหน้างุดลงไปต่อ
"จะคุยโทรศัพท์อะไรนักหนา งานวุ่นวายมากหรือยังไง โทรหาใครเนี่ย" ชายหนุ่มยังไม่จบ
"เปล่าครับคุณข้าว" กบตอบตะกุกตะกัก "กบโทรคุยกับเพื่อนครับ"
ชายหนุ่มหน้าเขียวขึ้นมาทันที "คุยกับเพื่อน!! เอ็งคุยกับเพื่อนสามชั่วโมงตั้งแต่ก่อนข้าเข้าประชุม จนจบสามชั่วโมงเนี่ยนะ ห๊า!!"
กบหัวเราะแห่ะๆ ไม่ตอบอะไร
"มานี่ ตามมานี่ มาที่ห้องทำงานข้าหน่อย" พูดจบชายหนุ่มก็เดินนำไปที่ห้องทำงานของตนเอง
ห้องทำงานของคุณข้าวใน 'บริษัท สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง' ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านตัวเอง อยู่ห้องหน้าสุดของบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ่มองออกไปเห็นสวนหย่อมน้อยๆ ข้างบ้านได้ ข้าวของในห้องทำงานตกแต่งแบบร่วมสมัย ดูสบายๆ แต่ตอนนี้ค่อนข้างรกไปด้วยแฟ้มเอกสารต่างๆ รวมทั้งโมเดลตัวอย่างรูปแบบเวทีหลากหลายกองสุมอยู่
"เมื่อกี้ประชุมมา เรื่องรายละเอียดของงานเดี๋ยวเอ็งไปถามเอาจากอัญชุลีแล้วกัน แต่ที่ข้าอยากได้ก่อนตอนนี้ คือช่วงคลอสเพลย์ของเด็กๆ ที่จะให้แต่งตัวแบบญี่ปุ่นนี่ ทางห้างไม่ให้ใส่เกี๊ยะไม้แบบญี่ปุ่น เพราะเค้าว่าจะทำให้พื้นห้างเค้าเป็นรอย" คุณข้าวร่ายยาวเรื่องงานให้กบฟัง ทำตาปริบๆ
"เอ็งไปเดินหาซื้อตัวอย่างรองเท้าแตะ พื้นเป็นฟองน้ำน่ารักๆ มาหน่อย แบบที่ใส่กับชุดญี่ปุ่นได้น่ะ และพื้นห้างจะได้ไม่เป็นรอยด้วย ทำได้ไหม เรื่องแค่นี้"
"โอ้ย สบายมากครับคุณข้าว" กบรับคำแทบจะทันที คุณข้าวชะงักเงิบไปชั่วขณะ
"อะไรของเอ็ง ทำไมรับคำง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ ปกติใช้ให้ไปทำอะไร เห็นลีลาโยกโย้อิดออดอยู่นั่นแล้ว นี่กินยาอะไรผิดไปหรือเปล่า"
กบหัวเราะหน้าใสนำมาก่อน "หายห่วงครับเรื่องรองเท้านี้ เดี๋ยวสายๆ พรุ่งนี้ผมเอาตัวอย่างมาให้ดูเลยหลายๆ แบบ จะเอาสักร้อยคู่ก็ยังได้"
"เออ ให้มันจริงอย่างปากว่าเถอะ อย่าขี้คุยให้มันมากนัก ปกติไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราวอะไร จะมามั่นใจอะไรกับเรื่องรองเท้าแตะเนี่ย พิลึกคนจริงๆ เอ็งนี่ ไปไป๊ ไปได้แล้ว ข้าจะพิมพ์งานต่อ"
คุณข้าวมองตามกบ ญาติผู้น้องที่เดินผิวปากอารมณ์ดีออกไปจากห้องทำงานตัวเองแล้วส่ายหัวเบาๆ --มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ก็ดีเหมือนกัน--
ชายหนุ่มก้มลงไปมองเอกสารที่กำลังร่างอยู่ อ่านชื่อห้าง MBK บนหัวกระดาษนั่น แต่ไม่ได้นึกไปถึงงานที่จะจัดขึ้นที่นั่นหรอก กลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองไปยืนระลึกถึงความหลังตรงข้างอาคารของห้างเมื่อเย็นวันก่อน
เขากำลังคิดถึง...คิดถึงจริงๆ