MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐  (อ่าน 139398 ครั้ง)

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้าวได้รับบทเรียน แต่จิวก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยังไงก็อยากให้จิวรักกับคนอื่นดีกว่า เอาจริงๆ ไม่ชอบคนโลเล
แล้วยังทำท่าน่าเกลียดตอนเลิกกันอีก ยอมใจ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
:3123: :pig4: :3123:

= ขอบคุณมากฮะ


เราก้อยังตามอ่านมาเรื่อยๆนะ

รอจิวเจอข้าว.   

 :katai2-1:  :katai2-1:   :katai2-1:  :katai2-1:

= ขอบคุณมากฮะ มาลุ้นๆ ให้เจอกันไวไวเนอะ


:3123: ได้อ่านต่อแล้ว

= มาแล้ว มาแล้ว อิอิ


:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ


:L2: :pig4:

คิดถึงมากๆเลย คุณคนเขียนสบายดีไหม ขอบคุณกับตอนนี้
ทุกคนก็ดิ้นลนกันไป
ลุ้นเขาจะได้เจอกันในงานไหม กบ นี่จะเป็นกามเทพไหม เราคิดไปแล้ว

= คนเขียนสบายดีฮะ ขอบคุณมากๆ นะฮะ ส่วนคุณ Billie ก็สบายดีเนอะ น่ารักที่สุด เดาทางเก่งฮะ อิอิ


ติดตามอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ดีเยี่ยมครับ ^^ o13

= ขอบคุณมากๆ จากใจจริงนะฮะ


มีพนักงานหญิงมาทำงานแล้วต่อไปไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารล่ะนะ 555
 จิวกับข้าวจะได้เจอกันแล้ว ลุ้นไปก่อนเลย 555  รออ่านตอนต่อไป
  ดีใจที่ได้อ่านอีก ขอเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งผ่านเรื่องต่างๆได้โดยง่ายนะคับ

= ดีใจที่ผู้อ่านไม่ทิ้งกันไปไหนเช่นกันจ้า ลุ้นๆ กันเนอะฮะ จะเจอกันหรือยังสองหนุ่มนี่ อิอิ ขอบคุณคุณมากเลยนะฮะ


คิดถึงจิวกับต้นข้าววว คิดถึงคนแต่งด้วยย
อีกไม่นานจะได้เจอกันแล้วนะ คิดถึงจริงๆ

= คิดถึงคุณผู้อ่านเช่นเดียวกันจ้า น่ารักที่สุด ขอบคุณมากนะฮะ


ลืมไปเลยว่าเคยรักกัน
ให้เป็นความฝันที่แค่คุ้นเคย

ยังโกรธแทนจิวไม่หาย
คนอะไรใจโลเล

ชิสสสสสสสส

= แงๆๆๆ //ร้องไห้  สงสารต้นข้าวเถิดนะฮะ อิอิอิอิ


ข้าวได้รับบทเรียน แต่จิวก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

= ขอให้อดีตเป็นบทเรียนเนอะ แต่ไม่รู้จะสายไปหรือเปล่าอ่า ขอบคุณมากนะฮะ


ยังไงก็อยากให้จิวรักกับคนอื่นดีกว่า เอาจริงๆ ไม่ชอบคนโลเล
แล้วยังทำท่าน่าเกลียดตอนเลิกกันอีก ยอมใจ

= แงๆๆ สงสารต้นข้าวด้วยเถิด นะฮะ ให้โอกาสนะ นะ นะ


........................


และขอบคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง


          วันนี้คุณข้าวมีนัดกับเพื่อนเก่าที่สตูดิโอแห่งหนึ่งแถวรังสิต เพื่อจะไปแคสติ้งนางแบบและนายแบบวัยรุ่น มาแต่งคอสเพลย์ชุดญี่ปุ่นในงานอีเว้นท์ที่ MBK

          อันที่จริงในบริษัทของเขาเองก็มีนายแบบและนางแบบในสังกัดอยู่มาก แต่มันก็หน้าซ้ำๆ เดิมๆ แถมจะเป็นแนวหน้าตาไทยๆ เสียส่วนใหญ่ด้วย ไม่ค่อยมีที่ดูออกแนวญี่ปุ่นเท่าไร และอีกอย่างหนึ่ง เพื่อนของเขาคนนี้ก็ได้ขอร้องมาว่าให้ช่วยป้อนงานเด็กๆ ของเธอบ้าง เพราะบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ใช้เด็กรุ่นเยาว์นี้น้อย ไม่ค่อยมีงานให้มากเท่ารุ่นใหญ่

          ชายหนุ่มล็อครถที่ขับมาเองโดยที่ไม่มีอัญชุลีหรือกบตามมาด้วยเหมือนอย่างเคย เขาแหงนมองขึ้นไปที่ป้ายชื่อบริษัทอันใหญ่โตทันสมัย 'WORK ONE' คือชื่อบริษัทที่เพื่อนเขาทำงานอยู่

          "อ้าว ข้าว...มาแล้วหรือ" เสียงใสทักมาจากประตูหน้าของสตูดิโอนั้น

          "พริก..." เขาร้องทักกลับไป

          ใช่แล้ว พริก คือเพื่อนของเขา เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยที่ยังติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่

          พริกในวันนี้ เป็นสาวใหญ่เต็มตัว ทรงผมยังคงหยิกฟูเต็มหัว ย้อมสีน้ำตาลแดงดูทันสมัย แต่งตัวภูมิฐานขึ้น พริกแต่งงานมีสามีแล้วและยังไม่มีลูก แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็คือนางไม่ได้ใส่รองเท้าที่มีสายรัดรูปงูอย่างที่เคยชอบ  มันเปลี่ยนเป็นรองเท้าคัทชูส้นสูงแทน ดังนั้นชื่อที่เรียกกันเล่นๆ ว่า 'อีงู' จึงเลือนหายไปกับกาลเวลาหมดแล้ว

          "มาเร็ว น้องๆ มานั่งรอกันครบแล้ว เลือกตามสบายเลยนะ" พริกจับแขนชายหนุ่มพาเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

          พริกทำงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายแคสติ้งนักแสดง หน้าห้องทำงานของพริกจึงกว้างกว่าปกติ เพราะต้องรองรับนักแสดงและผู้ที่อยากจะก้าวขึ้นสู่ดวงดาวครั้งละหลายๆ คน ชายหนุ่มมองเข้าไปเห็นคนที่มารอคัดเลือกจำนวนมากทั้งหนุ่มและสาว พริกพาคุณข้าวเดินลึกเข้าไปสุดห้อง มีห้องเล็กๆ ประตูปิดมิดชิดซ้อนอยู่ในนั้นอีกที

          "เธอนั่งเลือกนายแบบนางแบบในห้องทำงานเรานี่ล่ะ ใช้อย่างละเท่าไรนะ ชายสิบหญิงสิบหรือเปล่า เลือกไปให้ครบเลยนะ" พริกชี้ไปที่เก้าอี้ในห้องของตนเองให้ชายหนุ่มไปนั่ง

          "อ้าว แล้วเธอจะไปไหนล่ะ ไม่ได้ช่วยกันเลือกหรือ"

          "อื่อ เรามีประชุมความพร้อมรายการใหม่ที่จะออนแอร์พรุ่งนี้น่ะ เธอเลือกตามสบายเลย อีกสักชั่วโมงเราถึงจะกลับออกมา"

          "โอเค ขอบใจนะพริก" เขาส่งยิ้มให้เพื่อนรัก แล้วลงนั่งไปที่เก้าอี้

          .................

          ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเกือบชั่วโมงในการเลือกนายแบบและนางแบบ วันนี้มีคนมารอแคสติ้งเกือบหกสิบคน ซึ่งเขาจะใช้จริงแค่ยี่สิบคน โดยคัดจากรูปร่างหน้าตาให้ไปในแนวญี่ปุ่น ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องขาว หมวย และสวย ส่วนผู้ชายก็สูง หุ่นดี และตี๋หล่อ โดยเรียกเข้ามาสัมภาษณ์และดูตัวในห้องเล็กๆ นี้ทีละคน ซึ่งตอนนี้คัดได้เกือบครบจำนวนที่ต้องการแล้ว

          จนมาถึงคิวนายแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องและปิดประตูตามหลังอย่างเรียบร้อย หนุ่มน้อยคนนี้หน้าตาดี ตี๋ ขาว สูง หล่อ คุณข้าวเงยขึ้นไปแวบแรกถึงกับใจเต้นแรง เพราะนายแบบคนนี้หน้าตาคล้ายใครคนหนึ่ง ที่ยังคงอยู่ในใจเขาตลอดมา เพียงแต่คนนี้ดูเด็กกว่า และดูมีความกล้ามากกว่า ดูพร้อมที่จะตะกายดาวโดยไม่มีข้อแม้

          --นี่มันจิว ตอนอวตารกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นเลยนะเนี่ย-- ชายหนุ่มแอบคิด ตาเป็นประกายวาว ซึ่งนายแบบก็สังเกตเห็นแววตาของเขาอยู่เหมือนกัน

          "สวัสดีครับพี่" นายแบบตี๋หล่อทักขึ้นก่อน เพราะเห็นผู้ที่จะคัดเลือกเขานั่งมองตะลึงตาค้างอยู่

          "สวัสดีครับน้อง นั่งสิ ชื่ออะไรน่ะเรา"

          "เอื้อครับ ชื่อเอื้อ" คนตอบพร้อมยิ้มฟันขาว หน้าใส

          "สูงเท่าไรครับ" ชายหนุ่มถาม ตาก้มลงไปมองใบกรอกประวัติของนายแบบ

          "๑๘๓ ครับพี่"

          ชายหนุ่มเงยขึ้นจากเอกสาร มองไปที่นายแบบอย่างละเอียด จนไปสะดุดเข้ากับรอยเล็กๆ ตรงหน้าอกของนายแบบที่พ้นร่มผ้าของเสื้อออกมา

          "นั่นรอยสักหรือเปล่าครับ น้องสักมาด้วยเหรอ งานนี้มันงานวัยรุ่นใสๆ ไม่ควรมีรอยสักนะ"

          "ครับพี่" เด็กหนุ่มก้มลงมองอกเสื้อของตนเอง "แต่รอยเล็กนิดเดียวนะครับ ใช้รองพื้นกลบได้"

          "ไหนลองถอดเสื้อให้พี่ดูหน่อยสิ" ชายหนุ่มบอกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการคัดเลือกนายแบบหรือนักแสดง ที่ต้องถอดเสื้อดูรูปร่างกันให้ชัดๆ

          "ได้ครับพี่" นายแบบตี๋หล่อรับคำอย่างรวดเร็วและไม่มีอิดออด เขาถอดเสื้อเชิร์ตที่ใส่มาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียน อกกว้าง และกล้ามเนื้อชัด ซึ่งก็จริงตามที่พูดในเรื่องรอยสัก มันเป็นรอยเล็กๆ นิดเดียวเป็นรูปนกกำลังบิน

          และก่อนที่คุณข้าวจะพูดว่าอะไรต่อ นายแบบก็ได้ทำสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว คือหันไปกดล็อคประตูห้อง แล้วถอดกางเกงลงไปกองที่ปลายเท้า  คราวนี้ผิวที่ขาวจัดก็สว่างโพลงไปทั้งตัว มีแค่กางเกงในสีดำตัวเล็กจิ๋วเพียงตัวเดียวซึ่งแทบจะห่อปิดอะไรที่ขนาดเขื่องไม่มิด แถมยังใสและบาง สามารถมองทะลุได้ไปถึงไหนต่อไหน ท่ามกลางการอ้าปากค้างของคนที่นั่งมองอยู่

          "เฮ้ย..." เขาอุทานออกมา

          นายแบบผู้เปลือยแทบจะหมดทั้งตัว จ้องตาชายหนุ่ม และยิ้มให้

          "พี่ครับ ผมพูดตรงๆ นะครับ เรารู้กันสองคน พี่จะทำอะไรกับตัวผมก็ได้ครับ ขอเพียงแค่ผมได้งานนี้ หรือไม่ก็งานอื่นๆ ในบริษัทของพี่ก็ได้ครับ ผมอยากดัง" นายแบบกึ่งเปลือยพูดหน้าตาเฉย และเริ่มเอามือคลึงเบาๆ ที่เป้าตัวเอง

          ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ กวาดตามองนายแบบตั้งแต่เส้นผมลงไปถึงปลายเท้า

          ---มันจะไม่มีวันนั้น มันจะไม่มีเรื่องนั้นแน่ๆ--- เขาคิดในใจ

          ในอดีต ถึงเขาจะเคยทำผิดพลาดไป เคยทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวด และพลัดพรากกันไปแบบที่ไม่รู้ว่าวันใดจะได้พบเจอกันอีก แต่ ณ วันนี้ วันที่เขาเติบโตขึ้นมาก มันเลยช่วงเวลาเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาแอบกินเล็กกินน้อยลับหลัง ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มีใครอยู่เคียงข้างเป็นเจ้าของก็ตามที

          และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะมีนายแบบหล่อๆ หรือแม้กระทั่งดาราชายวัยรุ่นที่กำลังจะเริ่มดัง ต้องการไปให้สุดถึงดวงดาว เสนอตัวขอหลับนอนแลกกับการได้งานจากเขา เพียงเพราะเขาเป็นออร์กาไนซ์เซอร์มือทอง มีงานดังๆ และได้ออกข่าวสังคมต่างๆ เยอะมาก แต่ชายหนุ่มก็ได้ปฏิเสธคนเหล่านั้นทุกคนไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์

          ถ้าให้เลือก เขาก็อยากกลับไปมีคนที่รักคนเดียว ยาวนาน มั่นคง และพร้อมที่จะจับมือกันทั้งในยามหลับหรือยามตื่น กุมมือให้กำลังใจกันไปทั้งตอนที่ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือในตอนที่ผิดพลาดล้มเหลวมากกว่า ไม่ใช่การฉวยโอกาสด้วยตำแหน่งหน้าที่แบบนี้ แม้ว่ามันจะล่อตาล่อใจขนาดไหนก็ตาม

          ชายหนุ่มจ้องไปที่กลางลำตัวของตี๋หล่อในร่างเกือบเปลือยนี้อีกครั้ง มันมีสิ่งหนึ่งที่นูน ปูดโปนโดดเด่นสะดุดตาออกมาจากกลางลำตัวหนุ่มหล่อคนนี้ เขาส่งยิ้มให้ แล้วเอ่ยตอบนายแบบไปอย่างเยือกเย็นว่า

          "น้องมีสะดือจุ่นเกินไป ไม่ผ่านครับ กรุณาใส่เสื้อผ้าแล้วกลับบ้านได้ เชิญครับ..."

          .................

          คุณข้าวกับพริกลงมานั่งจิบกาแฟและคุยกันตามประสาเพื่อนรักที่ร้านกาแฟเล็กๆ ข้างบริษัทของพริกเองหลังจากเสร็จงานและเสร็จการคัดเลือกนายแบบนางแบบเรียบร้อยแล้ว

          "ขอบใจนะข้าว ที่ช่วยๆ เอาเด็กเราไปใช้งานบ้าง ไม่งั้นมันไม่มีงานกัน วันหน้าวันหลังเด็กมันจะได้มาหาเราง่ายๆ เวลาเราเรียกมัน"

          "อื่อ ไม่เป็นไรพริก เพราะของสังกัดเราก็ไม่ค่อยมีรุ่นเล็กหน้าตี๋ๆ หมวยๆ ซะด้วยล่ะ ก็ต้องหาใหม่อยู่ดี" ชายหนุ่มมองหน้าพริกยิ้มๆ และเขาก็ตัดสินใจไม่ได้เล่าให้พริกฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานเมื่อสักครู่ด้วย

          "แต่ช่วงนี้ก็หานายแบบนางแบบง่ายล่ะ คนตกงานกันเยอะ ธุรกิจแย่กันไปหมดเลยตั้งแต่ฟองสบู่แตกปี ๔๐ เนี่ย เธอน่ะยังดีนะข้าว เธอได้งานอีเว้นท์จากหน่วยราชการ ห้างใหญ่ๆ และงานการกุศลพวกคุณหญิงคุณนายซะเยอะ เธอไม่ค่อยโดนกระทบอะไรมาก"

          "มันก็มีบ้างแหล่ะ เอกชน เถ้าแก่ ห้างร้านเล็กๆ โรงงานต่างๆ โดนกันระนาวเลยนี่" เขาพูดพร้อมกับยักไหล่ ทำปากเบะๆ

          "ใช่ๆๆ เธอเคยได้ยินไหมล่ะ ที่เสี่ยเจ้าของธุรกิจต้องหมดตัวตอนฟองสบู่แตก แล้วต้องปิดโรงงานออกมาเดินเร่ขายขนมปังแซนวิชริมถนนน่ะ ยามรุ่งเรืองก็เฟื่องฟูลอย ยามถดถอยก็อย่ากลัวจม" พริกยังไม่ทิ้งนิสัยหยอดคำคม

          "เคยได้ยินสิ ก็น่าชื่นชมเขานะ สู้ชีวิตดี" ชายหนุ่มมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างร้านกาแฟ

          ทั้งสองคนนั่งนิ่งๆ อยู่สักครู่ใหญ่ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ จนกระทั่งพริกเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า

          "ข้าว เราถามเธอตรงๆ เธอไม่คิดจะมีแฟนใหม่เหรอ"

          คนถูกถามหันไปมองหน้าเพื่อนรัก แล้วตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า "ไม่อะ"

          พริกหัวเราะเบาๆ "เธอไม่เคยลืมสินะ เธอยังหวังว่าจะได้เจอจิวอยู่อีกหรือ มันผ่านมาสิบกว่าปีแล้วนะ เธอก็ไม่เคยมีเบอร์ติดต่อหรือรู้ข่าวคราวเค้าเลย เธอยังคิดถึงจิวอยู่หรือ"

          "คิดถึงสิ...คิดถึงมาก..." ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วลง ดวงตารื้น ดูชุ่มฉ่ำน้ำเป็นประกาย มันเป็นส่วนผสมของอาการกึ่งจะร้องไห้และกึ่งจะเปี่ยมไปด้วยความสุข

          "ถึงเราจะได้เจอ ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับการให้อภัยหรือเปล่านะ เราทำเรื่องเลวๆ กับจิวไว้มาก แต่เราก็หวังว่าจะได้เจออีกอยู่ดี ถึงแม้จะได้เห็นแค่เพียงแวบเดียวแล้วจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม" เขาพูดต่อ เหมือนรำพึงกับตัวเอง

          พริกวางมือลงบนมือชายหนุ่มเบาๆ "เราเอาใจช่วยเธอนะ ข้าว"

          --------------------

          เสี่ยจิวหันซ้ายหันขวา พับปึกธนบัตรปึกใหญ่ในมือใส่ลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวยาวๆ ออกมาจากโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง ที่ไกลจากโรงงานพอสมควร

          สิ้นเดือนนี้ เขาหมุนเงินไม่ทันสำหรับจ่ายค่าแรงลูกน้องในโรงงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน เช็คที่ได้มาก็ขึ้นเงินไม่ได้บ้าง เด้งบ้าง จึงจำเป็นต้องพึ่งบริการจากโรงรับจำนำนี้ไปก่อน โดยถอดสร้อยทองหนัก ๑๐ บาทที่ใส่ประจำวางไว้

          ---ไว้เศรษฐกิจดี ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่นะลูก--- เขานึกปลอบใจตัวเอง แล้วขับรถกลับไปที่โรงงาน

          .................

          "เอาเว้ย เงินเดือนออก มาเซ็นรับกันไปให้ไว ก่อนข้าจะเปลี่ยนใจเบี้ยว ไม่จ่าย" เสี่ยจิวร้องเรียกลูกน้องขณะที่ตนเองนั่งอ่อนแรงอยู่บนโต๊ะทำงาน

          จอซู มินเดืองห์ ลำไย และคนงานอีกสองสามคนยืนต่อแถวอยู่หน้าโต๊ะของเขา ทุกคนรู้ถึงปัญหาการเงินของเขา จึงมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

          "ไหวไหมครับ...เสี่ย" จอซู คนอยู่แถวหน้าสุด บอกกับเขาเบาๆ น้ำเสียงไม่เหมือนลูกน้องกับเจ้านาย แต่มันเป็นน้ำเสียงแห่งความห่วงใยเหมือนคนในครอบครัวโดยแท้

          "สบายมากเว้ย อย่าห่วง เสี่ยจิวซะอย่าง" เขาฝืนทำเสียงร่าเริง

          "ถ้าเสี่ยติดขัดจริงๆ บอกพวกผมนะครับ ช่วยอะไรได้ผมจะช่วย" จอซูยังส่งความห่วงใยมาอีก

          "เออๆ ขอบใจเว้ยจอซู" เขาขอบคุณมันจากใจจริงๆ

          "เอ้านี่ ส่วนเงินในซองใหญ่นี้รอไว้จ่ายค่ายาง PVC ที่ข้าสั่งไปอีกโรงงานหนึ่งให้ผลิตในส่วนที่จะเอาลายสกรีนน่ารักๆ มาแปะหัวรองเท้าแตะรุ่นใหม่ ก็ลองทำดูตามที่ลำไยแนะนำมาแหล่ะ ข้าลองไปก่อนสองพันชิ้น ก็ออกมาน่ารักดีนะ ได้เห็นกันแล้วนี่"

          "ครับนาย" จอซูรับซองใหญ่นั้นไป

          "ส่วนนี่ ค่าไฟ เออ ทำไมค่าไฟเดือนนี้ไม่เพิ่มวะ คือเราไม่ได้เดินเครื่องจักรมาหลายเดือนก็จริง แต่มีลำไยมาอยู่เพิ่ม ค่าไฟก็ไม่ยักกะขึ้นเนอะ ดีแล้ว ช่วยๆ กันประหยัด"

          คราวนี้เป็นมินเดืองห์ก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าแทนจอซู เด็กหนุ่มจูงมือลำไยขึ้นมาด้วย

          "เสี่ยครับ ผมมีอะไรจะสารภาพ" มินเดืองห์พูดเสียงอ่อยๆ

          เสี่ยจิวจ้องมองไปที่ทั้งคู่อย่างสังหรณ์ใจพิกล

          "คือลำไยไม่ได้แยกไปนอนห้องต่างหากอย่างที่เสี่ยสั่งหรอกครับ จริงๆ แล้วลำไยนอนห้องเดียวเตียงเดียวกับผมมาตั้งแต่คืนแรกเลย"

          "ไอ้ห่า ข้าว่าแล้ว แทงหวยไม่เคยถูกแบบนี้" เสี่ยจิวอุทานออกมาอย่างไม่ประหลาดใจเท่าไรนัก เพราะมันมีแววมาอยู่แล้ว

          "แล้วยังไงเธอ ลำไย เธอโอเคไหม" เขาถามไปที่ฝ่ายหญิง

          "หนู หนู...เต็มใจค่ะเสี่ย" ลำไยก้มหน้างุด เห็นใบหน้าแดงระเรื่อ "หนูก็ชอบพี่เดืองห์เขาเหมือนกัน"

          ชายหนุ่มมองหนุ่มสาวคู่นี้ด้วยรอยยิ้ม ช่างเถอะ...เขาคิด คนมันได้รักกัน อยากอยู่ด้วยกัน จะมาไกลกันจากไหน ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนในชีวิต แต่ถ้าพรหมลิขิตวางไว้แล้วว่าต้องมาอยู่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน โลกมันก็เหวี่ยงให้เข้ามาพบเจอกันเองแหล่ะ โดยเฉพาะสำหรับคู่นี้ โลกเหวี่ยงถวายมาให้ถึงใต้หลังคาเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

          "เอาเถอะ อยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว ช่วยกันทำมาหากินก็แล้วกัน ไว้ข้ามีตังค์อีกหน่อย จะเลี้ยงโต๊ะจีนฉลองให้นะ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันล่ะ" ชายหนุ่มถือโอกาสให้พรคู่บ่าวสาวซะเลย

          "การให้อภัย เป็นของขวัญที่สูงค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์" เสี่ยผู้ช้ำรักพูดเบาๆ ไม่แน่ใจว่าพูดให้คู่บ่าวสาวตรงหน้า หรือรำพึงกับตัวเขาเอง...

          --------------------

          คุณข้าวขับรถยนต์เข้าไปจอดที่โรงจอดรถในบ้าน เห็นไฟเปิดไว้น้อยดวง ลูกน้องในบริษัทคงกลับบ้านไปหมดแล้ว เขาลงจากรถแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในตัวบ้าน

          หนุ่มเจ้าของบริษัทเดินผ่านห้องทำงานของตัวเอง เห็นประตูเปิดแง้มไว้ จึงผลักบานประตูเข้าไป หันไปกดปุ่มเปิดไฟในห้อง โดยยังไม่ได้หันหน้าออกไปจากผนัง ไฟในห้องสว่างขึ้น รวมทั้งผนังตรงหน้าก็สว่างให้เห็นรูปหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังตรงนี้ มันเป็นรูปขาวดำที่เขากับจิวถ่ายด้วยกันสมัยวัยรุ่น แต่เห็นแค่ด้านหลัง จับมือกันเดินบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี

          คุณข้าวส่งยิ้มให้รูปบนผนัง แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขา ได้เห็นถุงกระดาษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาเอามือไปคลำๆ นอกถุง สัมผัสได้ว่ามันคือรองเท้าฟองน้ำคู่หนึ่ง พลางนึกในใจว่าครั้งนี้ไอ้เจ้ากบทำงานที่สั่งให้หาได้รวดเร็วดี

          ชายหนุ่มดึงรองเท้าคู่นั้นออกมาจากถุงกระดาษ มันมีห่อพลาสติกห่อไว้อีกชั้นหนึ่ง เขาแกะมันออกมา ทิ้งถุงลงไปในถังขยะ แล้วนั่งมองมันอยู่

          มันเป็นรองเท้าฟองน้ำกึ่ง PVC เป็นรองเท้าแตะแบบสวม หรือที่เรียกว่าสลิปเปอร์ มันมีพื้นสีน้ำเงิน และตรงที่สวมเป็นลายทางสีน้ำเงินสลับสีขาว

          ชายหนุ่มเพ่งมองแล้วเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ทำไมเขามีความรู้สึกเหมือนเคยเข้าใกล้รองเท้าแบบนี้มาก และยิ่งตอนดึงออกมาจากถุงพลาสติก กลิ่นของมันคุ้นยิ่งกว่าคุ้น มันเหมือนว่าเขาเองเคยไปนอนอยู่ในโรงงานและได้กลิ่นแบบนี้ทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ

          ---โรงงานรองเท้าฟองน้ำตราสามดาวของป๊าจิว!!!---

          จู่ๆ ชื่อนี้ก็เข้ามาในหัวของเขา หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวังเต้นตึกตัก เขาค่อยๆ พลิกรองเท้าเพื่อดูด้านหลัง เขาหวังใจจะเห็นตราของบริษัทรองเท้านี้ มันควรจะต้องพิมพ์นูนขึ้นมาว่า "ตราสามดาว" เหมือนที่เขาเคยเห็นที่บ้านจิว

          แต่แล้วเขาก็ต้องใจแป้วลงไปทันที เมื่อเห็นชื่อยี่ห้อด้านหลังพื้นรองเท้า มันเป็นลายพิมพ์นูนเหมือนกัน แต่พิมพ์ไว้ว่า

          "T-Star"

          "มันไม่ใช่ตราสามดาว" เขาถอนหายใจออกมา ใจที่เต้นตุบๆ เมื่อสักครู่เริ่มกลับเข้าสภาพเดิม ก็พอดีกับกบ เดินถือไม้กวาดเข้ามาในห้องพอดี เหมือนจะมาทำความสะอาดห้อง

          "อ้อ กลับมาแล้วหรือฮะ ลืมบอกไปครับคุณข้าว กบได้รองเท้ามาแล้ว ถ้าเลือกแบบแล้วชอบอันไหน ก็สั่งกบซื้อได้เลยนะฮะ ได้ราคาโรงงานเลย" กบบอกด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ

          "เลือกแบบ?" เจ้านายของกบเสียงสูงขึ้นมาทันที "เลือกแบบอะไร มีอยู่คู่เดียวนี่นะเว้ย"

          "อ้าว คู่เดียวหรือ แสดงว่าลืมอีกคู่อยู่ในอีกถุงนึง เดี๋ยวกบวิ่งไปเอามาให้ในห้องกบนะฮะ" กบพูดแล้ววิ่งอย่างไวออกไปจากห้อง

          ....................

          ลำไยกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องทำงานของเสี่ยจิว คืนนี้เสี่ยขึ้นไปนอนเร็ว ตอนหัวค่ำเธอเห็นเสี่ยจิวนั่งเหม่อลอยกินเบียร์หลายขวดอยู่ที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว แล้วบ่นว่าปวดหัว จึงขึ้นไปนอนไว

          ลำไยใช้ไม้ขนไก่ปัดทำความสะอาดมาถึงโต๊ะทำงานของเสี่ย เธอเห็นสิ่งผิดปกติวางอยู่ผิดที่ผิดทางบนโต๊ะ จึงเดินอ้อมไปที่หลังโต๊ะแล้วหยิบมันขึ้นมาดู มันคือกระปุกหมูออมสินที่ทำมาจากกระดาษ ทาสีแดงและมีลายดอกไม้เชยๆ วาดอยู่บนหลังมัน ซึ่งตอนที่ลำไยหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ จึงเห็นว่ามันเริ่มจะมีสีซีดจางลงไปบ้างแล้ว เหมือนผ่านกาลเวลามานาน และมีสภาพเหมือนได้รับการหยิบจับอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่สภาพใหม่เอี่ยมเหมือนของโชว์ที่วางเก็บงำอย่างดีในตู้โดยไม่ได้แตะต้อง

          ลำไยหันหน้ากระปุกหมูเข้าหาตัว จ้องมองหน้าหมูออมสินนั้นตรงๆ แล้วยิ้มออกมา นี่เอง เป็นที่มาในไอเดียของเสี่ยจิวกับรองเท้าแตะล็อตใหม่ที่กำลังไปวางขายตามคำแนะนำของเธอเอง ว่าควรจะทำแบบน่ารัก แนวญี่ปุ่นกุ๊กกิ๊ก

          อดีตสาวหน้าเทา มองไปที่ชั้นวางของด้านหลังโต๊ะ เธอจำได้ว่าปกติมันวางอยู่บนนั้น เสี่ยจิวคงหยิบหมูออมสินนี้ลงมา แล้วยังไม่ได้เก็บขึ้นไป

          ลำไยวางไม้กวาดขนไก่ลงบนโต๊ะทำงาน เพื่อที่จะเขย่งเอื้อมสองมือเอากระปุกหมูออมสินนี้ขึ้นไปเก็บวางที่เดิมบนชั้นที่ค่อนข้างสูง โดยไม่ทันเห็นว่าปลายไม้กวาดขนไก่ไปเขี่ยโดนหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเสี่ยจิว เผยอหลุดออกจากแท่นวาง

          .....................

          ไอ้กบวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านาย พอมาถึงก็วางถุงกระดาษอีกถุงให้บนโต๊ะ พร้อมขยับไม้กวาดที่ถือไว้ในมือ

          "คุณข้าวเลือกดูอีกคู่ฮะ แต่กบว่าคุณน่าจะชอบอันนี้ มันน่ารักดี แล้วยังไงจะเอากี่คู่ก็บอกนะฮะ กบจะไปซื้อให้ที่โรงงานเลย" พูดจบเด็กหนุ่มก็ใช้ไม้กวาด กวาดพื้นไปเรื่อยๆ จนออกจากห้องไป

          เขามองที่ถุงอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ดึงมันออกมา มันอยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งเหมือนคู่แรก แต่คราวนี้ รองเท้าคู่นี้มันเป็นสีแดง

          เมื่อแกะซองพลาสติกเสร็จ ชายหนุ่มเห็นรองเท้าแตะสีแดงคู่นี้ชัดๆ แล้วก็ตกตะลึง นั่งอึ้งมองรองเท้าอยู่นาน จนค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่ส่วนหัวของรองเท้า

          มันเป็นรองเท้าแตะแบบสวม พื้นสีแดง และส่วนที่สวมก็เป็นสีแดง แต่มีแผ่น PVC อีกชิ้นหนึ่งติดซ้อนอยู่บนแผ่นสวม ยึดกันแค่ตรงกลาง ปลายสองข้างขยับไปมาได้ มันสกรีนและตัดเป็นลายหน้าหมูสีแดง บนหัวและใบหูของหมูนั้น สกรีนเป็นลายดอกไม้เล็กๆ ทำให้รองเท้าแตะคู่นี้ดูเป็นรองเท้าหน้าหมู น่ารัก คิขุ แบบญี่ปุ่น และชายหนุ่มก็คุ้นเคยกับลายหมูแบบนี้มาแล้วกว่า ๑๗ ปี!!

          "ลายหน้าหมูกระดาษออมสินสีแดง! และโรงงานรองเท้าแตะ!!"

          มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็เขาเองที่เป็นคนให้หมูออมสินนี้กับลูกชายเจ้าของโรงงานรองเท้าเมื่อในอดีต  สองอย่างนี้จะมาบังเอิญอยู่ในของสิ่งเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้...ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรง มันเต้นตุบตับจนแทบจะปะทุระเบิดออกมานอกทรวงอก ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา

          ทำไมเขาถึงได้คิดช้านะ 'สามดาว' มันก็มีคำว่า 'star' อยู่ในนั้นไง ส่วนตัว T มันก็อาจจะย่อมาจาก Three ที่แปลว่าสาม ก็ได้ บ้านจิวอาจจะเปลี่ยนชื่อโรงงานให้ทันสมัยแล้วก็ได้นี่นา

          เหมือนคิดอะไรออก เขาก้มลงตะกุยไปที่ถังขยะ คว้าหยิบถุงพลาสติกที่ห่อรองเท้านี้ขึ้นมา มันมีสติ๊กเกอร์สีขาวเล็กๆ และพิมพ์รายละเอียดของสินค้าแปะเอาไว้ว่า

          สินค้า : รองเท้าแตะยี่ห้อ T-Star
          ชนิด : สีแดง รุ่นหน้าหมู เบอร์ ๖
          ราคา : ๑๕๐ บาท
          วิธีใช้ : สำหรับสวมเท้าเท่านั้น
          ข้อควรระวัง : ห้ามนำไปสวมหัว
          สถานที่ผลิต : ๗๐ พุทธมณฑลสาย ๒
          ผู้ผลิตและจำหน่าย : สมนึก แซ่จิว
          ติดต่อ : ๐๒ ๕๘๘๔๖๑๑
          BARCODE : |||||| | ||||| || |||||| | |||||

          ตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว มันหยุดนิ่ง แล้วมันก็เต้นใหม่ แล้วหยุดนิ่งสลับกันอยู่แบบนั้น ใจนึกขอบคุณโลกใบนี้ ที่เหวี่ยงเรื่องอันมหัศจรรย์นี่กลับลงมาให้เขา

          กว่าจะรวบรวมสติที่เตลิดไปได้ ก็อีกเกือบห้านาที คุณข้าวยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา มือสั่นริกๆ เหงื่อซึมไปทั่วหน้าและแผ่นหลัง เขาตั้งสติกดหมายเลขติดต่อที่พิมพ์อยู่บนป้ายสินค้าลงไป แล้วแนบกระบอกโทรศัพท์แน่นกับใบหู

          "ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด..."


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2017 14:06:31 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เออ คลาดกันเข้าไป ปีนี้ไม่ต้องเจอกันหรอก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :ling1: :katai1: :katai1:

ลำไยยยยยยยยยยยยยย ทำดีมาตลอดเลย ทำไมมาทำเป็นนี้กับเสี่ยจิวววววว
จิครายยยยยยยย

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
บวก1 ให้ความเห็น#364 จริงมาก อ่านกันมาข้ามปี แต่ยังสติลรออ่านอย่างอดทน555

ออฟไลน์ kratair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เมื่อไรจะได้เจอกันละเนี้ยยย :z3: :z3:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ฟ้าคงยังไม่เห็นใจ
ทั้งจิว ทั้งข้าว เลยยังต้องรอกันต่อไป

ยังไงก็ขอให้น้อยกว่า "แต่ปางก่อน" ก็พอนะ

ฟ้าล่ะก็ ช่วยปรานีสองนี้ได้แล้ว
ทรมานกันมาเกินพอ
ซิกๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนบนฟ้า ยังอยากทดสอบต่อ ยังไม่อยากให้เจอกันหรือไง
จิว ข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

รองเท้าแตะลายหมูออมสินคงน่ารัก น่าใส่ น่าจะขายดีนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คนที่ตื่นเต้นกว่าต้นข้าวคือคนอ่านค่าาา
อีกนิดเดียวจะเจอแล้วววว หัวร้อนนิดๆ 55555

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
อ่านไปลุ้นไป  โอ้ยยยย! ทำไมคลาดกันตลอดเลย ลุ้นมากอะ 555
  รออ่านตอนต่อไปนะคับ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย


          คุณข้าววางหูโทรศัพท์ลงอย่างขัดใจ ทำเสียงจิ๊จ๊ะ พลางนึกใจว่าคงจะสายไม่ว่าง หรือไม่ก็หมดเวลาทำงานแล้ว ที่นั่นจึงยกหูโทรศัพท์ออก ช่างมัน พรุ่งนี้ค่อยโทรใหม่ แต่ตอนนี้เขามีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้กบนี่ก่อน

          "กบ กบ...ไอ้กบ มานี่ซิ" ชายหนุ่มตะโกนออกไปนอกห้องทำงาน

          "คร้าบ คุณ" เสียงเจ้ากบเข้ามาพร้อมๆ เจ้าตัว ในมือยังถือไม้กวาดค้างอยู่

          "นั่งสิ มีอะไรจะถามหน่อย" เขาชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน

          "เอ็งรู้จักกับเจ้าของโรงงานรองเท้านี้เหรอ" เจ้านายกบเริ่มเปิดคำถาม

          กบหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเงยขึ้นมาตอบเสียงราบเรียบธรรมดา "ไม่รู้จักฮะ กบจะไปรู้จักเจ้าของโรงงานได้ไง กบก็แค่ไปหาซื้อรองเท้ามาให้คุณข้าวเฉยๆ"

          "ไปซื้อมาจากไหน รองเท้าสองคู่นี่"

          "เอ่อ...ซื้อที่ห้าง MBK Center ฮะ มีบูทรองเท้าเล็กๆ ขายอยู่ที่ชั้นล่าง" กบตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก

          "อย่ามา...ไอ้กบ เมื่อกี้เอ็งยังพูดอยู่แหม่บๆ ว่าเลือกคู่ไหนเดี๋ยวเอ็งจะไปซื้อให้ที่โรงงานในราคาโรงงานเลย โรงงานบ้านเอ็งตั้งอยู่ที่บูทเล็กๆ ในห้างเหรอ" เจ้านายกบเสียงเข้มขึ้น

          "ง่า...อันที่จริง กบเอาตัวอย่างรองเท้ามาฟรีๆ จากคนที่อยู่ในโรงงานรองเท้านั่นฮะ" กบค่อยๆ อ้าปากคายเรื่องออกมาเสียงอ่อยๆ แหบแห้งเหมือนคนขาดน้ำ

          "ได้มาฟรีๆ!" คราวนี้เสียงชายหนุ่มสูงเต็มสูบ "แล้วเอ็งไปรู้จักสนิทกันอีท่าไหนกับคนในโรงงานนั่น ถึงขนาดให้รองเท้ากันมาฟรีๆ ห๊า?"

          "เอ้า ไอ้กบ นี่น้ำ" ชายหนุ่มส่งขวดน้ำเปล่าขวดเล็กๆ บนโต๊ะไปให้กบ "กินน้ำซะให้สบายใจ แล้วเล่าทุกอย่างมาให้ข้าฟังซิ นี่ข้าไง คุณข้าวของเอ็งนะ นอกจากเป็นเจ้านายแล้ว ข้ายังมีศักดิ์เป็นน้าของเอ็งด้วยนะ ไม่ใช่คนอื่น เล่ามา!!"

          กบกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เปิดขวดน้ำที่รับมากรอกใส่ปาก แล้วเริ่มต้นเล่าให้เจ้านายฟังทั้งหมด

          ................

          เมื่อสองเดือนก่อน หลังจากคืนนั้นที่กบได้เจอกับจอซูในร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' ช่วงที่คุณข้าวกำลังจะเข้าไปเที่ยว แล้วเกิดแขกในร้านตีกันเสียก่อน ซึ่งทั้งคู่ต่างรู้สึกถูกชะตาซึ่งกันและกัน และได้แลกเบอร์กันไว้

          วันรุ่งขึ้น กบได้โทรไปหาจอซู และพูดคุยกันถูกคอขึ้นไปอีก จึงโทรจีบกันทุกวัน ครั้งละนานๆ ส่วนใหญ่จะเป็นตอนกลางคืน เพราะจอซูจะต้องแอบใช้โทรศัพท์ในโรงงาน หรือเครื่องพ่วงจากห้องทำงานของเจ้าของโรงงาน

          และมีหลายครั้งที่ทั้งสองแอบไปนัดเจอกัน นัดเที่ยวเล่นกัน ตัวกบเองก็อาศัยช่วงที่คุณข้าวออกไปประชุม หรือออกไปคุยกับลูกค้าข้างนอก ส่วนจอซูก็ใช้ช่วงที่ออกจากโรงงานไปส่งรองเท้าบ้าง ไปตามร้านของเอเย่นต์บ้าง จึงไม่มีใครรู้สึกผิดสังเกต

          ทั้งกบและจอซูเข้ากันได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ซึ่งก็บ้าๆ บอๆ ห่ามๆ พอกัน มองหน้าก็รู้ใจกันทั้งคู่

          และเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทั้งสองเป็นชายหนุ่มสองคนที่แสนธรรมดา ไม่ได้เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ผมเผ้ากระเซิง แต่งตัวก็ออกไปทางเชยๆ เสื้อผ้าขาดเปื่อยเป็นรูในระดับที่คนงานใส่กัน  สะพายกระเป๋าเป้พลาสติกที่ขายตามตลาดนัด เงินทองก็ไม่ได้มีติดตัวอะไรมากมาย ขึ้นรถเมล์ ยืนกินเกี๊ยวแห้งรถเข็นข้างถนน แทบจะเป็นคนชายขอบของสังคมเลยด้วยซ้ำ

          ดังนั้น เมื่อไม่มีหน้ามีตาใดๆ ในสังคม ไร้คนเฝ้ามอง ทั้งสองหนุ่มจึงสามารถทำอะไรอิสระได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวใครจะมาคิดถึงตัวพวกเขาเองว่าอะไรยังไง...         

          วันหนึ่ง กบและจอซูมาเดินเล่นกันที่ตลาดนัดแถวบางบัวทอง เดินดูเสื้อผ้ามือสองกันกระหนุงกระหนิง กบเห็นเสื้อยืดมือสองจากโรงเกลือตัวหนึ่งลายสวยดีจึงอยากซื้อให้จอซูใส่ ซึ่งมันก็ไม่กี่สิบบาท แต่จอซูยืนยันว่าไม่เอา เสียดายเงิน แต่พูดจบเจ้าจอซูก็ตรงดิ่งไปที่แผงขายหนวดปลาหมึกปิ้งไม้ละห้าบาท ซื้อมาตั้งสี่ไม้เป็นเงินยี่สิบบาท กลับไม่ยักกะเสียดายเงิน แถมยังมานั่งยองๆ กินอยู่ตรงข้างคลองเล็กๆ หลังตลาดบางบัวทองนั้นอีกด้วย

          "กินสิ กินสิ" เสียงจอซูตะแหง่วๆ อยู่ข้างๆ พลางเอามือดึงชายเสื้อที่ย้วยๆ ของกบให้นั่งลงข้างๆ ตาม

          "เอ้า ป้อน" จอซูหันมายิ้มปากแทบฉีก ในปากยังเคี้ยวหนวดปลาหมึกอยู่เลย มือก็ส่งไม้จิ้มหนวดปลาหมึกแห้งๆ ผอมๆ แต่ดูฉ่ำน้ำจิ้มรสเผ็ดจัดมาให้ถึงริมฝีปากของกบ

          กบยิ้มตอบ สั่นหน้าดิกๆๆ "ไม่เอา เผ็ด"

          "กินสิ นะนะ กินเป็นเพื่อนหน่อย อ่ะ ชิ้นเดียว อ้าปากเร็ว" จอซูยังไม่ละความพยายาม กบเห็นแล้วก็นึกขันในท่าทาง เออเนอะ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ อายุจะสามสิบเข้านี่แล้ว บทจะอ้อนขึ้นมา อายุหรือรูปร่างมันไม่เกี่ยวจริงๆ อยู่ที่ใจล้วนๆ

          กบอ้าปากรับหนวดปลาหมึกผอมๆ นั่นเข้าปากจากมือคนป้อน เคี้ยวตามหยับๆ ทำตาเป็นประกายใส่จอซู

          ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นหญ้าเน่าตรงริมคลองส่งกลิ่นอับๆ มาจางๆ น้ำสีเข้มเกือบดำดูสกปรกในคลองเล็กๆ กำลังไหลเอื่อยๆ ตามกระแสลม บนผิวน้ำมีถุงพลาสติก ขวดน้ำพลาสติกเก่า และซากใบตองห่อขนมที่เริ่มเปื่อยเน่าลอยไหลมาตามน้ำ สายลมพัดปอยเส้นผมรุ่ยร่ายตกลงมาที่หน้าผากของจอซู กบเอื้อมมือไปลูบเบาๆ ที่เส้นผมนั่น แล้วปัดมันให้เข้าที่

          จะเป็นริมแม่น้ำแซนในปารีสที่แสนโรแมนติก หรือริมคลองบางแพรกที่บางบัวทอง ถ้าสำหรับหัวใจของคนสองคนที่รู้สึกดีต่อกัน เข้าใจกัน และกำลังจะก่อเกิดเป็นความรักแล้ว สายน้ำทุกแห่งมีคุณค่าแห่งการจดจำเท่ากันหมด ไม่เกี่ยวกับมูลค่าหรือที่ตั้งของมันว่าอยู่ส่วนไหนของโลก

          จอซูนั่งเอามือเท้าคางข้างหนึ่ง มืออีกข้างพยายามโยนหินก้อนเล็กๆ ข้างตัวให้ลงไปที่ปากกระป๋องนมที่ลอยน้ำมาติดอยู่ที่ง่ามไม้ริมตลิ่ง ลงบ้างไม่ลงบ้าง เสียงดัง ป๊อก ป๊อก...

          "กบ" เสียงจอซูเรียกขึ้น

          "หืม" กบขานรับ โดยไม่ได้หันไปมอง แต่ตาจ้องจับอยู่ที่ปากกระป๋องนมที่อีกฝ่ายกำลังโยนหินเล็กๆ ลงไปในนั้นอยู่

          "ถ้าเสี่ยเจ้านายของเราเลิกทำโรงงานแล้ว หรือโรงงานเจ๊งไป นายยังจะคบเราแบบนี้อีกไหม"

          "อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมเราถึงจะไม่คบกับนายต่อล่ะ ตอนเราขอเบอร์ หรือคุยกันครั้งแรก เราก็ไม่ได้รับรู้นะว่านายจะทำงานโรงงานอะไรกับใคร หรือจะมีงานอะไรทำหรือเปล่า" กบหันไปจ้องหน้าอีกฝ่ายจริงจัง

          "จริงๆ นะ" จอซูยิ้มฟันขาว "เราขอบใจนายมากนะ เรารู้สึกดีกับนายมากๆ เลย เราอยากเจอกับนายไปนานๆ"

          "จริงสิ" กบเน้นเสียง

          หลังจากนั้นมีเสียงดัง ตูม!! จากอิฐก้อนหนึ่งที่กบโยนลงไปที่กระป๋อง แทนหินก้อนเล็กๆ ที่จอซูพยายามโยนอยู่ กระป๋องจมหายลงไปใต้น้ำ น้ำดำๆ ในคลองกระเด็นมาโดนทั้งสองคน เสียงจอซูโวยวายลั่น พร้อมๆ เสียงหัวเราะของกบ แล้วทั้งคู่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งหัวเราะเสียงดังไล่กันอย่างครึกครื้นริมคลองนั่น

          ..............

          "พอๆๆ เบรคๆๆ หยุดเล่าตรงนี้ก่อน" เสียงคุณข้าวดังขัดจังหวะการเล่าของกบ

          "ง่ะ..." กบสะดุดพรืด แววตาเคลิ้มฝันกลับมาสู่สภาพเดิม

          "เว่อร์จริงๆ ไวไฟกันเหลือเกินนะ เจอกันในร้านคาราโอเกะแป็บเดียว จีบกันเป็นแฟนแล้ว" เจ้านายหนุ่มของกบประชดให้

          "ก่อนจะเล่าต่อ เอาเรื่องสำคัญก่อน ตั้งแต่เอ็งคบกับ เอ่อ ใครนะ จอซงจอซูอะไรเนี่ย ชื่อยังกะพวกชนเผ่าที่ลงมาจากยอดดอยแถบเมาะตะมะ เมาะลำเลิงเลย  เค้าเป็นลูกน้องเจ้าของโรงงานรองเท้าหรือ"

          "ใช่ฮะ" กบตอบเสียงอ่อยๆ แต่แอบขำในใจที่คุณข้าวประเมินสภาพทางภูมิศาสตร์ของถิ่นที่อยู่แฟนตัวเองจากชื่อได้ถูกต้อง

          "แล้วเอ็งเคยเจอกับเจ้าของโรงงานไหม ว่าเค้าเป็นใคร หน้าตายังไง"

          "ไม่เคยเจอฮะคุณข้าว"

          "แสดงว่าคืนนั้นที่ร้านน้องคาราโอเกะ เจ้าของโรงงานที่เป็นเจ้านายของแฟนเอ็งก็นั่งอยู่ในร้านหรือ" ชายหนุ่มถาม พร้อมนึกไปถึงคืนนั้นแล้วใจเต้นรัวขึ้นมาซะเฉยๆ อย่างนั้น --นี่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เองหรือจิว--

          "ใช่ฮะ เหมือนจอซูจะบอกแบบนั้น แต่กบไม่ได้เจอนะฮะ มีคนตีกันในร้านซะก่อนที่จะเดินไปถึงโต๊ะ"

          "นั่นสิ ข้าก็เกือบจะเจอเหมือนกัน" ชายหนุ่มพูดเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง

          "อะไรนะฮะ คุณข้าวพูดว่าอะไรนะ คุณข้าวจะไปเจอใคร" เจ้ากบจับต้นชนปลายคำพูดเจ้านายไม่ถูก

          "อ่อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร เอ้าถามต่อ แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาสองเดือนนี้ เอ็งเคยไปที่โรงงาน หรือเคยเจอเจ้าของโรงงานหรือเปล่า มีเถ้าแก่หรือลูกชายเถ้าแก่อยู่ที่นั่นไหม"

          "ไม่ฮะ ไม่เคยเจอเลย จอซูยังไม่เคยพาไปถึงโรงงานฮะ ยกเว้นแต่ว่าถ้าคุณข้าวจะซื้อรองเท้าเอามาใช้งานครั้งนี้แหล่ะ กบถึงจะได้ไปเอารองเท้าที่โรงงานเลย เพราะคุยกับจอซูไว้แล้ว อ้อ...แต่เท่าที่ได้ยิน มีแต่คนที่ถูกเรียกว่า 'เสี่ย' คนเดียวในโรงงานนะ ไม่มีคำว่าเถ้าแก่หรือลูกชายอะไรฮะ"

          "อ้อ งั้นรึ แปลกจัง แล้วเมื่อกี้เอ็งเล่าว่า จอซูมันจะตกงาน โรงงานจะปิดหรือ ทำไม เกิดอะไรขึ้น"

          "ผมก็ไม่รู้ฮะ จอซูมันพูดแค่นี้ เท่าที่กบเล่าไปแล้วฮะ"

          เจ้ากบเริ่มงงกับเจ้านาย นึกในใจว่าก็แค่จะซื้อรองเท้าแตะมาใช้ในงานอีเว้นท์ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเกิดจะมาสนใจเจ้าของโรงงานอะไรนี่ขึ้นมา ถามเสียยังกับว่าจะตามหาใครที่พลัดพรากจากกันไปแน่ะ

          "เป็นแฟนกันประสาอะไรไม่รู้เรื่อง เอางี้นะ เป็นคำขาดจากข้า พรุ่งนี้เอ็งต้องพาเจ้าจอซูอะไรเนี่ยมาที่นี่ ข้าจะถามอะไรมันหน่อย บอกมันว่าห้ามไปบอกใครนะ แล้วข้าจะอนุญาตให้เอ็งสองคนคบกันได้อย่างเปิดเผย"

          "ได้ฮะ" กบยิ้มแล้วรีบรับคำ นึกดีใจกับประโยคสุดท้ายของเจ้านายด้วย

          "เอ๊ะเดี๋ยวก่อนไอ้กบ ถามอีกนิดนะ แล้วเคยได้ยินแฟนชาวดอยของเอ็งพูดไหม ว่า เสี่ยอะไรนั่นที่โรงงานน่ะ มีแฟนหรือยัง มีเมียหรือแต่งงานหรือเปล่า เขาเคยพูดให้ฟังไหม" ชายหนุ่มแอบถามเข้าประเด็นที่อยากรู้สุดๆ

          "ง่า...ไม่นะฮะ เท่าที่ฟัง เหมือนเจ้านายของจอซูอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินเรื่องเจ้านายผู้หญิงหรืออะไรอื่น กบว่าน่าจะโสดมั้งฮะ ถึงไปเที่ยวคาราโอเกะได้บ่อยๆ แถมจอซูยังเล่าว่าต้องเป็นคนหาซื้อกับข้าวกับปลาให้นายเค้ากินด้วย แสดงว่าไม่มีเมียคอยดูแลแน่ๆ ฮะ"

          ชายหนุ่มได้ยินประโยคนั้นก็ฉีกยิ้มถึงใบหู แล้วบอกกับกบว่า "ดีแล้ว ขอบใจ เอ็งไปนอนได้แล้วล่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ไปตามแฟนเอ็งมาหาข้าที่นี่แต่เช้าแล้วกัน"

          เขาโบกมือให้กบออกไปจากห้อง แล้วตัวเองก็นั่งมองโทรศัพท์อยู่สักครู่ นึกในใจว่าตื่นมาพรุ่งนี้เช้าจะลองโทรไปหาจิวอีกที แต่คงไม่กล้าคุยอะไรหรอกนะถ้าจิวเป็นคนรับสายขึ้นมา เพียงแต่เขาอยากได้ยินเสียงของจิวเฉยๆ ให้แน่ใจ

          คิดแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มให้โทรศัพท์ แล้วเดินไปปิดไฟและออกจากห้องทำงาน เพื่อขึ้นไปห้องนอนตัวเอง

          --------------------

          เช้านี้เสี่ยจิวตื่นนอนเร็ว เขาอ้าปากหาวหวอดๆ เดินลงมาข้างล่าง หันซ้ายหันขวาไม่เห็นใคร นึกในใจว่านี่มันโรงงานร้างหรือเปล่าหว่า ลูกน้องไปไหนกันหมด

          "จอซู มินเดืองห์ ลำไยเว้ย ไปไหนกันหมด" เขาตะโกนไปรอบๆ ตัว

          "คร้าบ คร้าบ มาล่ะครับ เสี่ยจะกินอะไรครับ" คนที่โผล่มาคือจอซู วันนี้แต่งตัวสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ ผมเผ้าหวีเรียบร้อย

          "เอากาแฟมาแก้วเดียวพอ"

          ชายหนุ่มสั่งแบบเบื่อๆ จอซูคิดในใจ เออเนาะ เราก็ไม่น่าถาม เพราะเสี่ยกินแบบนี้ทุกวัน นี่ถ้าเสี่ยมีแฟนกะเขาบ้างสักคน แฟนเสี่ยคงจัดการให้เสี่ยแล้ว ไม่ต้องรอให้เรามาถามซ้ำให้เบื่อเล่นแบบนี้ทุกวันสินะ แล้วเมื่อไรเสี่ยจะมีแฟนสักทีหว่า เป็นโสดมาสิบกว่าปีนี่แล้ว เห็นว่างขึ้นมาก็ยืนจ้องแต่กรอบรูปขาวดำอะไรสักอย่างที่แขวนบนผนังห้องนอน เหมือนเป็นรูปเด็กผู้ชายสองคนจูงมือกันเดินบนรางรถไฟ แล้วอย่างนี้จะมีเวลาไปหาแฟนได้ยังไง

          เสี่ยจิวมองไปที่จอซูตั้งแต่หัวจนถึงรองเท้า "แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนแต่เช้า?"

          จอซูก้มลงไปทำเสียงอะไรอุบอิบในลำคอ แล้วเงยหน้าขึ้นตอบเจ้านายตัวเองด้วยความจริงเพียงครึ่งเดียว "จะเอารองเท้าไปให้ลูกค้าใหม่ดูฮะ เห็นว่าจะสั่งไปใช้งานอะไรก็ไม่รู้"

          เสี่ยหนุ่มใหญ่หน้าตี๋มองหน้าจอซู ทำหน้าเหมือนกำลังประเมินลูกน้องตัวเองว่ามันมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า เพราะพักนี้มันออกจากบ้านบ่อยๆ ตกดึกก็คุยแต่โทรศัพท์ หรือมันจะมีความรักหว่า หน้าตาก็ดูสดใสขึ้น

          "เออ ไปเถอะ" เขาพยักหน้าให้ พร้อมนึกในใจว่าช่างมัน มีความรักก็ดีเหมือนกัน เขาเองยังอยากมีบ้างเลย และสักพักเขานึกอะไรออกขึ้นมา

          "เอ้อเดี๋ยวๆ จอซู"

          "ครับนาย" จอซูหยุดรอฟังคำสั่ง

          "เอ็งได้จดเบอร์โทรบริษัทที่รับซื้อของมือสองไว้อยู่ใช่ไหม โทรไปให้ที ให้เขาเข้ามาตีราคาของในโรงงานตอนบ่ายวันนี้หน่อย ข้าจะทยอยขายอุปกรณ์ในโรงงานนี้ออกไปบ้างล่ะ หรือให้เขาโทรกลับมาที่เครื่องในห้องทำงานข้าก็ได้" ชายหนุ่มพูดแล้วก็ถอนใจ

          "ครับนาย" หนุ่มชาวดอยรับคำด้วยหน้าตาเสียดายและนึกเศร้ากับชะตากรรมของโรงงานที่จะเกิดขึ้นไม่แพ้กัน

          .................

          เสี่ยจิวเดินเข้ามาในห้องทำงานของตนเอง เพื่อจะมานั่งตรวจเอกสารต่างๆ และจะนั่งรอกินกาแฟที่นี่เลย

          เมื่อเขานั่งลงบนโต๊ะ ตาเหลือบไปเห็นหูโทรศัพท์วางกระเดิดออกจากแป้นวาง  ก็นึกในใจ สงสัยใครมาทำอะไรบนโต๊ะแล้ววางหูโทรศัพท์ไม่สนิท เขาจึงเอามือไปจับวางลงไปให้เข้าที่ และทันทีที่วางลงไปในตำแหน่งที่มันควรอยู่ เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังสวนขึ้นทันที เสี่ยจิวสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าสายจะเข้ารวดเร็วขนาดนั้น เขายกหูขึ้นมาแล้วกรอกเสียงลงไป

          "ฮัลโหล สมนึกพูดครับ"

          ปลายสายเงียบ ได้ยินเสียงบรรยากาศโดยรอบอยู่แผ่วๆ แสดงว่าโทรศัพท์ไม่ได้ขัดข้อง เพียงแต่ไม่มีคนพูด

          "ฮาโหล ฮาโหล..." เขาย้ำเสียงลงไปอีก

          เงียบ คราวนี้เป็นเสียงลมหายใจแรงแว่วเข้ามาในสาย

          "ฮัลโหล ฮัลโหล นั่นจากบริษัทรับซื้อของมือสองหรือเปล่าครับ ฮัลโหลๆๆ" ชายหนุ่มถามเพราะคิดว่าจอซูคงโทรไปตามเรื่องบริษัทรับซื้อของมือสองแล้ว เขารอฟังคำตอบอย่างใจเย็น เอามือตบๆ เครื่องโทรศัพท์เหมือนสงสัยว่าเครื่องข้างในมันมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า

          ปลายสายยังไม่มีเสียงพูดอยู่ แต่คราวนี้เขาได้ยินเสียงลมหายใจแรงดังฟืดฟาดเป็นจังหวะอย่างชัดเจน

          หรือเป็นพวกโรคจิต เซ็กส์โฟน!! ชายหนุ่มคิด นี่เกิดอารมณ์กันแต่เช้าเลยหรือ ใกล้เสร็จแล้วสิเนี่ยถึงครางเสียงกระเส่าเชียว

          เขาจับกระบอกโทรศัพท์ออกจากหู แล้วจ้องมองมัน ก่อนจะกรอกเสียงอันดังมากลงไปว่า

          "ไอ้โรคจิต!!!"

          แล้วเขาก็วางสายโครมลงไปกับเครื่องโทรศัพท์ จนโต๊ะทำงานกระเทือน!!

          --------------------

          คุณข้าวสะดุ้ง ถอนโทรศัพท์ออกจากหูอย่างรวดเร็ว หลับตาปี๋! --หูแทบแตก-- เขาแอบขำในใจ โดยที่ยังหายใจหอบจากความตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงของจิวเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี หัวใจของชายหนุ่มเต้นตูมตามจนแทบทะลุออกมา ตอนจิวรับสายครั้งแรก เขาเกือบเผลอร้องอุทานออกมาแล้วด้วยซ้ำ ดีที่เอามืออุดปากทัน

          'จิว จิว...' ชายหนุ่มท่องชื่อนี้ในใจ นี่จิวจริงๆ ด้วย เขาคิดถึงจิวจริงๆ คิดถึงอย่างไม่รู้จะเปรียบเปรยว่าอะไรดี

          คนอารมณ์ดีผิวปากออกมาโดยไม่รู้ตัว เดินออกจากโต๊ะที่วางโทรศัพท์แต่เหมือนไม่ได้เดิน กลับเหมือนตัวลอยละล่องออกไปแบบเท้าไม่ติดพื้น มองอะไรรอบตัวในบ้านวันนี้ดูสดใสไปหมด เขาเดินไปที่ครัว เปิดกาน้ำร้อนเพื่อจะชงกาแฟกิน แถมนึกในใจด้วยว่าป่านนี้จิวจะกินกาแฟแก้วแรกของวันหรือยังนะ จิวชอบกาแฟดำไม่ใส่คอฟฟี่เมท ใส่น้ำตาลช้อนครึ่ง เหมือนทุกครั้งที่เขาเป็นคนชงให้จิวกินตอนอยู่ด้วยกันที่บ้านโดยที่ไม่ต้องถาม

          เขาหยิบแก้วกาแฟเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน จิบกาแฟไปแล้วเริ่มเขียนสคริปต์ของงานญี่ปุ่น J-Trends in Town 2001 ที่จะมีขึ้นที่ลานห้าง MBK Center ไปพลางๆ เขียนเสร็จจะได้ส่งให้อัญชุลีเอาไปพิมพ์ต่อไป เพราะงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว และตอนสายๆ กบจะพาแฟนมาเพื่อให้เขาซักถามข้อมูลเรื่องจิว เดี๋ยวจะไม่มีเวลาทำงานเอา

          แถมวันนี้เขายังอารมณ์ดีมาก หัวสมองแล่นฉิว ทุกสิ่งทุกอย่างดูโล่งปลอดโปร่งไปหมด ยิ่งเขียนยิ่งเพลิน เขียนสคริปต์งานญี่ปุ่นในกระดาษ A4 แต่ทำไมเหมือนมีดอกซากุระร่วงโปรยปรายลงมาบนหัวตลอดเวลาก็ไม่รู้ ปากก็ฉีกยิ้มคนเดียวจนปวดแก้มไปหมดแล้ว

          จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เขาละสายตาจากเอกสารตรงหน้า นึกออกว่าใกล้เวลาที่กบจะพาเจ้าจอซูจอซ่วงอะไรนั่นมาแล้ว เขายังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย จึงวางมือจากงาน แล้วรีบกลับขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสองเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน

          --------------------

          กบลากมือแฟนตัวเองให้เข้ามาในบ้าน หากก่อนเข้าประตู จอซูได้เห็นป้ายชื่อบริษัทของคุณข้าวที่ติดไว้บนกำแพงว่า 'สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง' แล้วก็นึกแปลกใจ เออหนอ ทำไมเจ้านายตัวเองชื่อเสี่ยสมนึก แต่กลับไม่ได้ใช้ชื่อเก๋ๆ แบบนี้มาตั้งชื่อบริษัท แต่ที่นี่กลับใช้ชื่อแบบนี้ สงสัยเจ้าของบริษัทของกบคงชื่อสมนึกเหมือนกัน

          "เดี๋ยวๆ กบ ใจเย็นๆ เราตื่นเต้นไปหมดแล้ว เจ้านายกบจะถามอะไรเราน่ะ ที่ตามเรามาวันนี้" จอซูทำหน้าเลิ่กลั่ก

          "ไม่มีอะไรหรอก เค้าถามอะไรก็ตอบไปตามความจริงก็แล้วกัน อย่างที่บอกไง ถ้าตอบเค้าดีๆ คุณข้าวจะโอเคกับเรื่องการคบกันของเราสองคนน่ะ" กบยิ้มให้จอซู พร้อมลูบหลังเบาๆ ปลอบใจ

          "แล้วนายรู้ไหม ทำไมคุณข้าวของนายนี่ ถึงอยากจะรู้เรื่องของเสี่ยจิวเจ้านายเรา" จอซูยังคาใจ

          "เออ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เคยพยายามคิด แต่ก็หาคำตอบไม่เจอ ว่าสองคนนี่เค้าจะไปสัมพันธ์กันอีท่าไหน แต่เหมือนประมาณว่ากำลังตามหาใครสักคนที่พลัดพรากกันไปนาน แล้วอยากจะรู้ความเป็นไปในปัจจุบันน่ะ" กบอธิบายยืดยาว

          "แปลกจริง" จอซูรำพึงเบาๆ ทำหน้าครุ่นคิด "หรือเค้าเป็นศัตรูคู่แค้น จะมาหลอกถามข้อมูลไปล้างแค้นอะไรกันหรือเปล่า จะมีไล่ล่ายิงกันตายไหม"

          กบหัวเราะพรืดออกมา "จะบ้าเร๊อะ คุณข้าวของเราไม่ใช่คนแบบนั้น เรียบร้อย หล่อ หน้าตาดีจะตายไป หงิมๆ แบบนั้นจะไปยิงใครได้ อีกอย่างเค้าก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหน ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก"

          "ถ้าไม่ใช่ศัตรู ก็ต้องเป็นคนเคยรู้จักเก่า จะว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน ก็ถามกันเองตรงๆ ไปได้เลยนี่ จะมาถามผ่านเราทำไม" จอซูหันมองไปรอบๆ บ้าน "หรือจะเคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน?"

          กบหันควับมาทันที "เออเนอะ ลืมคิดประเด็นนี้ไปจริงๆ มันจะเป็นไปได้ไหมหว่า มิน่าล่ะตอนถามอะไรต่ออะไรจากเรา ก็มีพูดอะไรแปลกๆ ลอยๆ เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"

          ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาถึงห้องทำงานของคุณข้าวแล้ว กบเคาะประตูก่อนแล้วเปิดแง้มเข้าไป แต่ไม่มีเจ้าของห้องอยู่ในห้องนั้น

          "อ้าว คุณข้าวไปไหน" กบอุทานออกมาเบาๆ แล้วเปิดประตูกว้างออกไป เดินนำจอซูเข้ามากลางห้อง "มา เข้ามานั่งรอในห้องนี้ก่อน แอร์เย็นๆ เดี๋ยวคุณข้าวคงลงมา"

          จอซูเดินตามกบผ่านประตูเข้ามา แล้วหันหลังกลับไปเพื่อปิดประตูห้องให้ พองับประตูปิดสนิทสายตาก็เห็นรูปๆ หนึ่งใส่กรอบแขวนบนผนังข้างประตูนั้น

          มันคือรูปขาวดำของเด็กผู้ชายสองคนที่จูงมือเดินหันหลังบนรางรถไฟ เงาที่ทอดลงมาที่พื้นเป็นรูปหัวใจ มันแสนจะชินตาจอซูอย่างที่สุด!!!

          ก่อนหน้าที่ลำไยจะเข้ามาทำงานในโรงงาน เขาเองนี่แหล่ะที่เป็นคนทำความสะอาดห้องนอนเสี่ยจิว ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม รวมทั้งเช็ดถูรูปที่ใส่กรอบแขวนบนห้องนอนเสี่ยจิวด้วย รูปที่เสี่ยจิวชอบเผลอจ้องมองเหม่ออยู่บ่อยๆ

          และตอนนี้รูปนั้นมันอยู่ที่นี่!! ไม่ใช่สิ กรอบที่ใส่มันคนละแบบกัน แต่รูปข้างในน่ะเหมือนกัน เหมือนอัดขยายมาจากฟิล์มเดียวกันเลยล่ะ ใช่...มันเป็นรูปที่เหมือนกันของสองบ้าน

          ต่อให้มาจากยอดเขาปลายดอย หรือจะมาจากสถาบันที่เก่งสุดของโลก ถ้าเป็นคนที่มีหัวใจ ต้องตีความเรื่องนี้ออกทุกคน เจ้าของสองบ้านนี้คือคนสองคนในรูป และคนในรูปคู่นี้ต้องเป็นแฟนกัน!

          จอซูยิ้มออกมาคนเดียว ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าเจ้าของบ้านนี้จะซักถามเขาเรื่องอะไร และคำตอบที่เขาควรจะเล่าคืออะไร

____________________

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 06:22:33 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

เอ้ยยยยยยยยยยยย อีกนิดหนึ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 10:31:09 โดย Billie »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่ะ.  เขาใกล้จะเจอกันแล้วซินะ

รอลุ้นอยู่น้าาาา

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

....

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โลดสดใสขึ้นมาเลยนะต้นข้าววว
รอติดตามตอนต่อไปค่าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านตอนหน้า ข้าวอาบน้ำนานมาก 555

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เค้าสองคนจะเจอกันแล้วใช่ไหม
รอลุ้นตอนหน้า จัดมา..เจอกันเหอะนะ

จิวจะได้เลิกเหงา ซะที..ซะที

ส่วนต้นข้าว เค้าคนนี้คงจะไม่เหงาอะไร
..หรอกมั้ง..
หุหุ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :ling1:


อยากอ่านมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
วันนี้มาลงหรือเปล่าาาาาาาาาาาาาาาาาาานะ

ออฟไลน์ MyMine104

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮือออออออออเป็นเรื่องที่น่ารักมากกกกก เราชอบนะความรักในยุคนั้นเสียดายเกิดช้าไปนิดเดียว :pig4:

ออฟไลน์ kratair

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอเวลาที่จะได้เจอกันนน :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ajkub

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รูปที่จิวกับข้าว ไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแคว กาญจนบุรี
เด็กชายสองคนจับมือกัน แล้วครูถ่ายภาพเอาไว้
กลายมาเป็นสื่อที่ทำให้สองคนพลัดพรากกันกลับมาเจอกัน มันยอดมากกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน


          ตลอดสองชั่วโมงหลังจากนั้น คุณข้าวก็ได้รับรู้ถึงความเป็นมาของเสี่ยจิวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการย้ายที่อยู่โรงงานรองเท้ามาแล้วสองครั้ง เรื่องป๊าของเสี่ยจิวที่ป่วยหนักและเสียไปแล้ว เรื่องธุรกิจโรงงานที่ตอนนี้เริ่มจะไม่ดี เผลอๆ อาจจะเจ๊งถึงกับต้องปิดกิจการโรงงานได้

          รวมทั้งเรื่องการครองตัวเป็นโสดมาตลอดสิบปีโดยที่ไม่วอกแวกหรือเหลียวแลใครเลย เหมือนว่าเสี่ยแกมีใครในใจอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครในโรงงานเคยเห็น วันๆ ก็ยืนจ้องแต่รูปๆ หนึ่งที่แขวนในห้องนอน รูปขาวดำของเด็กหนุ่มสองคนบนรางรถไฟ จอซูเล่าโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเป็นรูปเดียวกับที่แขวนอยู่ข้างประตูในห้องคุณข้าวห้องนี้ด้วย

          เรื่องนี้ทำให้คุณข้าวนั่งฟังแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนกบและจอซูสังเกตเห็นได้

          "แล้วเสี่ยของเธอ ไม่มีพลาดสักครั้งเลยเหรอ มีคนมาจีบบ้างไหม" ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง

          "ไม่มีเลยครับคุณข้าว มีบางครั้งลูกค้าสาวใหญ่มาติดต่อเรื่องรองเท้า ถึงขนาดชวนไปเที่ยวทะเลบ้าง ชวนไปนอนคอนโดพัทยาบ้าง แลกกับออร์เดอร์รองเท้าหลายแสน เสี่ยยังไม่เคยไปเลยฮะ เสี่ยจิวไว้ตัวมากในเรื่องนี้"

          จอซูเล่าให้ชายหนุ่มมั่นใจ เพราะประเมินดูแล้วจากการพูดคุยและเห็นหลักฐานจากภาพถ่าย คุณข้าวคนนี้แหล่ะน่าจะเป็นตัวจริงเสียงจริงของเสี่ย ที่อุตส่าห์ครองตัวเป็นโสดมาจนทุกวันนี้

          "แล้ว เอ่อ...เอ่อ ถ้าไม่ใช่สาวๆ แล้วเคยมีหนุ่มๆ มาเกาะแกะเสี่ยของเธอบ้างไหม" คุณข้าวลองเช็คดูทุกทาง เผื่อพลาด

          จอซูหัวเราะระรื่นออกมา "ไม่มีหรอกครับ ปกติเสี่ยหน้าดุจะตาย วันๆ ไม่ค่อยยิ้มกับใครเขา ใครที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ล่ะฮะ"

          คุณข้าวมองดูจอซูยิ้มระรื่น แล้วนึกในใจว่าเจ้าหนุ่มชาวดอยคนนี้ก็หน้าตาหล่อคมสันเข้าทีเหมือนกันนะ ยิ่งนั่งคู่กันกับเจ้ากบ มันก็ดูเป็นคู่ที่สมกันดีเหมือนกัน เพราะกบมันก็เป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่แล้วเหมือนนึกอะไรออก ชายหนุ่มจึงถามสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่เช้าแล้วว่า

          "เออนี่ เมื่อเช้าข้าโทรไปหาเสี่ยเจ้านายเธอ เห็นเขาพูดเหมือนว่ากำลังจะนัดบริษัทขายของมือสองเข้ามาโรงงานหรือ เขาจะเรียกเข้ามาทำไม"

          "อ๋อ ผมลืมเล่าไปฮะ เมื่อเช้าเสี่ยใช้ให้ผมโทรตามบริษัทเข้ามาประเมินราคาเครื่องจักรบางอย่างในโรงงาน เสี่ยจะทยอยขายออกไปบ้างฮะ เพื่อจะพยายามยื้อให้โรงงานอยู่รอดนานที่สุด" จอซูเริ่มทำหน้าม่อย แววตาเริ่มเศร้า

          "แล้วมันจะรอดไปนานแค่ไหนกัน" คุณข้าวเริ่มน้ำเสียงจริงจัง "ขายแล้วจะเอาเครื่องจักรที่ไหนมาผลิตรองเท้าต่อล่ะ"

          "ก็ไม่มีหรอกครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเสี่ยเขาจะคิดยังไง จะปิดโรงงานไปเลยหรือเปล่า หรือแค่จะรอขายรองเท้าในโกดังหกพันคู่นี้ให้ออกไปหมดก่อน"

          ชายหนุ่มนั่งนิ่งใช้ความคิดอยู่สักครู่ ตาก้มลงมองไปที่เอกสารบนโต๊ะตัวเอง อ่านชื่อหัวกระดาษที่พิมพ์ชื่อบริษัท 'สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง' เขาอ่านแต่เฉพาะคำว่า สมนึก สมนึก หลายรอบ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ชะโงกข้ามโต๊ะทำงานไปใกล้จอซู

          "ช่วยอะไรข้าหน่อย" น้ำเสียงเขาจริงจัง

          "ครับคุณข้าว" จอซูตั้งใจฟังคำขอนั้น

          "หมุนโทรศัพท์ไปเดี๋ยวนี้เลย โทรไปหาไอ้บริษัทรับซื้อของมือสองที่ว่านั่น บอกว่ายกเลิกบ่ายนี้ ไม่ต้องเข้าไปตีราคาแล้ว"

          จอซูมองหน้าคุณข้าวนิ่ง แล้วเหมือนตัดสินใจได้ เขาจะเชื่อคุณข้าว คนที่เขาพึ่งรู้จักนี้ด้วยแรงสังหรณ์ในทางที่ดีอย่างบอกไม่ถูก มันต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่

          เด็กหนุ่มยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา กดหมายเลข จนมีคนรับสายจึงกรอกเสียงลงไปว่า "ขอยกเลิกนัดที่จะเข้ามาที่โรงงาน T-Star บ่ายนี้ฮะ แล้วจะติดต่อไปใหม่"

          คุณข้าวยิ้ม "ดีมาก เอาล่ะ เอ็งกลับไปเตรียมตัวได้ บ่ายนี้ถ้ามีบริษัทรับซื้อของมือสองอีกเจ้าหนึ่งหน้าตาแปลกๆ เข้าไปที่โรงงานก็อย่างงล่ะ"

          "ครับคุณข้าว" จอซูรับคำ ในใจเริ่มเดาอะไรได้ลางๆ

          "อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถือซะว่าการมาวันนี้เอ็งก็ได้ผลงานด้วยนะ ข้าขอสั่งรองเท้าฟองน้ำคละแบบคละรุ่นมาก็ได้ หนึ่งพันคู่ พรุ่งนี้เอามาส่งแล้วเก็บเงินสดไปได้เลย"

          "หนึ่งพันคู่!!" คราวนี้เจ้ากบและจอซูร้องออกมาพร้อมกัน

          กบตาเหลือก "คุณข้าวจะเอาไปทำอะไรฮะตั้งพันคู่ งานที่เราจะใช้ มันใช้แค่ยี่สิบคู่เอง"

          "เอาน่า" คุณข้าวยิ้ม "แต่ห้ามไปบอกเสี่ยจิวนะ ว่าข้าเป็นคนสั่งซื้อ บอกว่านายหมานายแมวอะไรเป็นคนซื้อก็ได้ และไม่ต้องไปพูดเลยนะเรื่องที่เรามาเจอกันวันนี้ เอาตามนี้นะ เอ็งกลับไปได้แล้ว บ่ายนี้เห็นอะไรแปลกๆ ที่โรงงาน ก็อย่าทักออกมาล่ะ แล้วว่างๆ มาเที่ยวหาเจ้ากบที่นี่ได้ตลอดเวลา ข้าอนุญาต เอ็งจะมานอนค้างคืนเลยก็ได้ กบมันคงอยากให้เอ็งมาค้างอยู่หรอก"

          ทั้งกบและจอซูมองหน้ากัน มือที่วางใต้โต๊ะแอบมากุมกันแน่น

          "ครับคุณข้าว เสี่ยคงดีใจที่ระบายสต๊อกรองเท้าในโกดังออกไปได้บ้าง" จอซูยิ้มฟันขาว ดูสดชื่นขึ้นมาทันที ยกมือขึ้นไหว้เขา "งั้นผมลาละนะฮะ"

          ชายหนุ่มเดินไปส่งจอซูที่หน้าห้องทำงาน ยืนมองดูเด็กหนุ่มสองคนจูงแขนหน้าตาระรื่นออกไปจากห้องแล้วอมยิ้มออกมา มันเหมือนมองอดีตของตัวเองจริงๆ

          ..................

          แผนของเขาที่ตั้งใจไว้ก็คือ จะแอบปลอมตัวไปเป็นบริษัทตีราคาเครื่องจักร แทนบริษัทตัวจริงที่จอซูโทรไปเมื่อเช้า เพื่อถ่วงเวลาไว้ไม่ให้จิวขายมันไป  เขาจะได้มีเวลาช่วยเหลือจิวจากธุรกิจที่กำลังจะเจ๊งนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้ได้ ก่อนจะสูญเสียเครื่องจักรหรือโรงงานไปทั้งหมด

          เขาปิดประตูห้องทำงาน ตามองไปที่รูปแขวนบนผนัง แล้วพูดกับตัวเองออกมาเบาๆ

          "เรากำลังทำตามสัญญาข้อสุดท้ายแล้วนะจิว เมื่อใดก็ตามที่เธอล้ม เราจะเป็นคนดึงมือเธอกลับขึ้นมาให้เอง ไม่ว่าตอนนี้เธอจะให้อภัยเราในสิ่งที่เราเคยทำผิดกับเธอหรือไม่ก็ตาม"

          .................

          คุณข้าวเริ่มแผนที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที เขาเดินกลับไปที่โต๊ะ ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพริกเพื่อนรัก บอกให้เข้ามาหาที่บ้านนี่หน่อย มีเรื่องด่วน

          วางสายเสร็จ เขาเดินออกไปนอกห้อง ไปที่ส่วนหน้าของออฟฟิต ตรงไปที่โต๊ะของอัญชุลี เลขาฯ ของเขาที่กำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ เพื่อสั่งให้ต่อโทรศัพท์ขอนัดเพื่อนเก่าแก่สมัยมัธยมของเขาที่ชื่อ 'ราชา' พร้อมทั้งบอกให้อัญชุลีเตรียมเอารถออก

          --------------------

          ช่วงบ่ายของวันนี้เสี่ยจิวว่างจัด เพราะกว่าจะถึงเวลาที่นัดกับบริษัทตีราคาของมือสองที่ให้เจ้าจอซูนัดไว้ ก็อีกเป็นชั่วโมง และวันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะจอซูได้กลับมาบอกว่ามีลูกค้าออร์เดอร์รองเท้าฟองน้ำเป็นจำนวนถึงหนึ่งพันคู่ พอได้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเดือนนี้แล้ว

          ชายหนุ่มจึงมานั่งเล่นหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองบนโต๊ะทำงาน นั่งผิวปากและเริ่มกดปุ่มหมุนหมายเลขต่อโมเด็มเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางสายโทรศัพท์

          ต๊อด ต๊อด อ๊อด อ๊อด ตื๊ด ตื๊ด...

          กว่าโมเด็มจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็แทบจะขาดใจ แถมช่วงลุ้น ต้องมีการแอบกลั้นหายใจด้วย เพราะกลัวว่าถ้าหายใจแรง เน็ตจะหลุด!!

          ในที่สุดอินเทอร์เน็ตความเร็ว 56Kbps ก็เชื่อมต่อสำเร็จ เสี่ยจิวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดีไม่ขาดใจตายไปเสียก่อนในขณะที่กลั้นหายใจตอนต่อโมเด็มนั้น

          อันที่จริงอินเทอร์เน็ตนี้ก็เป็นของใหม่ในเมืองไทยไม่เกินห้าหกปีนี้เอง เสี่ยจิวจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะลูกค้าต่างประเทศที่ติดต่อส่งออกรองเท้าของเขาจะใช้การสื่อสารด้วยอีเมล หรือที่เรียกว่าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เสี่ยจิวจึงเพลิดเพลินกับการทดลองสมัครอีเมลแอดเดรสมันซะทุกผู้ให้บริการที่มีในขณะนั้น เช่นยะฮูเมล ไชโยเมล และไทยเมล

          ในขณะที่เสี่ยจิวเพลิดเพลินกับการเปิดดูเวปไซต์ขายของต่างๆ เช่น ประมูลดอทคอม ตลาดดอทคอม และไทยตำบลดอทคอมอยู่นั้น ก็มีรถปิคอัพกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้าโรงงาน เขามองเห็นได้จากทางหน้าต่างห้องทำงาน จึงตะโกนเรียกจอซู

          "จอซูโว้ย ไปดูซิใครมา ใช่บริษัทที่จะมาตีราคาของหรือเปล่า"

          ..................

          คุณข้าวนั่งเบียดอยู่บนรถกันสามคน มีเขา มีพริก และมีอัญชุลีซึ่งเป็นผู้ขับรถคันนี้มา รถปิคอัพไดฮัทสุคันนี้คุณข้าวขอยืมมาจากพนักงานที่ทำฉากต่างๆ ให้กับบริษัทของเขา เป็นรถไว้สำหรับขนอุปกรณ์ประกอบฉากในงานอีเว้นท์ต่างๆ มันมีที่นั่งแค่ตอนเดียวด้านหน้า ทั้งสามจึงต้องนั่งเบียดกันมาอย่างทุลักทุเล

          "เอ้านี่ คลุมหัวไว้ซะ" ชายหนุ่มส่งผ้าขาวม้าดูเก่ามอซอผืนหนึ่งให้พริก และในมือตัวเองก็ถือไว้อีกผืนหนึ่ง

          "โอ้ย ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากมากเรื่องแบบนี้นะ ก็ลงจากรถเดินเข้าไปหาซะก็หมดเรื่อง" พริกแอบบ่นเบาๆ แต่ก็รับเอาผ้าผืนนั้นมาคลุมหัว ทำจมูกฟุตฟิต

          "ซักแล้วน่า คลุมๆ ไปเถอะ" ชายหนุ่มหัวเราะกับท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเพื่อนสาวรุ่นใหญ่ ก่อนที่ตนเองจะเอาผ้าขาวม้าอีกผืนขึ้นมาคลุมหัวตัวเองบ้าง แถมตวัดชายด้านหนึ่งพาดไปที่ไหล่อีกฝั่งหนึ่ง ดูเหมือนคนงานตัดอ้อยเต็มที่ แล้วหยิบแว่นกันแดดสีดำสนิทขึ้นมาใส่

          "ไหนลองบอกเหตุผลมาซิต้นข้าว ว่าทำไมเธอถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ มาแอบดูจิวเขาแบบนี้หือ นี่เธอพยายามค้นหาบ้านช่อง หาทางติดต่อเขามาเป็นสิบปี พอเจอแล้วกลับทำได้แค่มาแอบดูนี่นะ ทำเป็นคนสมัยก่อนไปได้ ไม่ได้เห็นหน้าแฟน มาแอบมองหลังคาก็ยังดี" พริกถามแบบยาวเหยียด

          "โธ่พริก เธอก็รู้นี่ วันที่เราลาจากจิวมา เราทำไม่ดีกับเขาไว้ขนาดไหน ไปบอกเลิกเขาถึงบ้าน ไปทำหน้าทำตาใส่เขา ปิดประตูกระแทกกรอบรูปในห้องนอนเขาตกลงมาแตกอีก จิวไม่ต่อยเราในวันนั้นก็บุญแล้ว ไหนจะเรื่องเราไปมีกิ๊กกับคนอื่นอีก แล้วนี่จะให้เราจู่ๆ เดินดุ่มๆ ลงจากรถเข้าไปหาจิว ไปกอด ไปหอม ไปคุกเข่าขอโทษงั้นเหรอ มันง่ายไปไหม ตลกล่ะ!"

          พริกจ้องหน้าชายหนุ่ม "เออ เอาเถอะ ชั้นก็ตามความคิดเธอไม่ทันจริงๆ เอาไงเอากัน ชั้นล่ะอยากจะรอดูช่วงเวลานั้นจริงๆ ว่าตอนเธอสองคนโผเข้าหากัน มันจะโรแมนติกขนาดไหนนะ"

          "มันจะไม่โรแมนติกหรอกพริก โตๆ กันแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น แต่เมื่อนาทีนั้นมาถึง เธอคอยดูเถอะพริก วันที่เรากับจิวโผเข้าหากัน ฉากนั้นมันต้องยิ่งใหญ่อลังการ สมกับการจากลากันมาเป็นสิบปีแน่ๆ"

          "ลิเกมากๆ" พริกบ่นอุบอิบในลำคอ

          ชายหนุ่มหัวเราะกับคำบ่นเบาๆ ของพริก แล้วหันไปหาอัญชุลีที่นั่งขำเจ้านายสองคนอยู่

          "เอ้า ลงไปได้แล้วอัญชุลี จะมานั่งยิ้มขำอะไรล่ะ อย่าให้แผนแตกล่ะ เธอต้องทำเนียนว่าเป็นคนมาจากบริษัทตีราคาของมือสองนะ อย่าให้ถูกจับได้ล่ะ ส่วนฉันสองคนคือคนงานที่ติดรถเธอมาด้วย เข้าใจไหม"

          "ค่ะคุณ" อัญชุลีรับคำ ขยับปกเสื้อให้เข้าที่ ให้ดูเป็นการเป็นงานหน่อย ที่คอคล้องกล้องฟิล์มถ่ายรูปคอมแพ็คตัวเล็ก ซึ่งซักซ้อมท่าทางคำพูด และแผนการนี้กันมาจากที่บ้านเป็นอย่างดีแล้ว ก็พอดีกับที่จอซูเดินออกจากประตูโรงงานตรงมาที่รถ

          "มาหาใครครับ อ้าว...คุณขะ...วว"

          คำสุดท้ายของจอซูขาดหายไป เมื่อเห็นหน้าคนในรถที่คลุมผ้าขาวม้าชัดๆ เด็กหนุ่มก็มีอาการขำพรืดออกมา

          "จุ๊ๆๆๆ" เสียงคุณข้าวร้องเตือน

          "อ้อ มาจากบริษัทตีราคาของมือสองนี่เอง เชิญๆๆ ครับเชิญ" ขณะที่พูด เด็กหนุ่มชาวดอยยังไม่หายขำ ตาเป็นประกายสนุก

          .............

          "ใครมาน่ะจอซู"

          เสียงดังดูมีอำนาจดังขึ้นด้านหลัง ทุกคนหันขวับไปมอง เสี่ยจิวซึ่งเดินตามหลังจอซูออกมา กำลังเดินมาใกล้รถแล้ว

          คนที่ตั้งตัวได้คนแรกคืออัญชุลี นางรีบเปิดประตูออกจากรถด้านคนขับ แล้วเดินอ้อมมายืนบังที่ประตูรถอีกฝั่งทันที ปิดภาพอีกสองคนในรถไว้ครึ่งหนึ่ง

          "สวัสดีค่ะ ดิฉันอัญชุลี มาจากบริษัท เอ่อ เอ่อ รับตีราคาของเก่า เอ๊ย ของมือสองค่ะ" เลขาฯ คนหัวไวรีบแนะนำตัว แต่แอบมีตะกุกตะกักบ้าง

          "อ้อ ครับ เชิญด้านในครับ มาคนเดียวหรือครับ" เจ้าของโรงงานหนุ่มยิ้มกว้าง เอี้ยวตัวมองเข้ามาในรถ เห็นเหมือนมีคนงานนั่งคลุมหัวใส่แว่นลับๆ ล่อๆ อยู่สองคนในรถ

          "ค่ะ มากับเด็กคนงานขนของ ปล่อยเค้าไว้ในรถนี่แหล่ะค่ะ" อัญชุลีเอี้ยวตัวเอาสะโพกมาบังหน้าต่างรถให้มากขึ้นอีก

          เสี่ยจิวฉีกยิ้มตาตี่แทบปิดมิด เห็นเป็นขีดเล็กๆ สองขีดบนใบหน้าเข้ามาให้ทางหน้าต่างรถ แล้วผายมือให้อัญชุลี

          "โอเค งั้นเชิญเข้าไปดูเครื่องจักรที่จะขายในโรงงานเลยครับ"

          ................

          พริกมองตามเสี่ยจิว อัญชุลี และจอซูเดินหายเข้าไปในโรงงาน แถมก่อนจะลับตาไป เจ้าจอซูยังแอบหันมองมาทางรถแล้วยิ้มแบบรู้กันให้อีกแน่ะ

          หญิงสาวหันกลับมองมาที่เพื่อน กำลังจะอ้าปากบอกถึงการที่ได้เห็นจิวในรอบสิบปี แต่ก็ต้องยั้งปากไว้แค่นั้น

          เพราะภาพที่เห็นบนใบหน้าของต้นข้าวตอนนี้ พริกบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออารมณ์อะไร ต้นข้าวจ้องค้างนิ่งไปที่ประตูโรงงาน หน้าซีดขาว อีกสักพักมันก็สลับแดงเรื่อๆ เหมือนผิวเด็กหนุ่มที่ซนๆ ตอนออกไปวิ่งกลางแดด และในแววตาตอนนี้ เหมือนมีประกายวาวๆ ของน้ำตารื้นอยู่ที่ขอบตา

          ต้นข้าวก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอารมณ์ตัวเองตอนนี้มันคืออะไร นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงจิวก่อนที่จะเห็นตัว ความรู้สึกคุ้นเคยที่ผ่านมาสิบปี มันเหมือนพึ่งจะผ่านมาเมื่อวานนี้เอง คนเคยอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน คุยกัน หัวร่อต่อกระซิกกัน ตอนที่จิวนอนหนุนตักต้นข้าวแล้วต้นข้าวก้มลงไปฟังจิวคุยเสียงหงุงหงิง หรือแม้แต่เสียงแผ่วกระซิบรำพันตอนอยู่กันสองคนในห้องนอน มันยังติดอยู่ในหูของเขา

          แล้วยิ่งตอนที่จิวเอี้ยวหน้าเข้ามาใกล้หน้าต่างรถ รอยยิ้มจนตายิบหยีนั้นมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ในช่วงเวลาของอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าต้นข้าวจะทำอะไร แกล้งจิว ขัดใจจิว หรือแม้แต่จะทำดีกับจิว จิวก็มีรอยยิ้มยิบหยีแบบนี้ให้ต้นข้าวเสมอ และเมื่อต้นข้าวเห็นรอยยิ้มนี้ทีไร ก็ใจอ่อน ยอมทุกสิ่งทุกอย่างให้จิวเสมอมาเหมือนกัน

          มันเป็นรอยยิ้มและเสียง ในช่วงเวลาที่ทั้งสองเคยใช้มันร่วมกัน

          สิบปีจะว่านานก็นานสำหรับคนที่มีความทุกข์ แต่สิบปีมันก็ประเดี๋ยวเองสำหรับคนมีความรัก สุดแล้วแต่ ณ เวลานั้นเจ้าของหัวใจอยู่ในอารมณ์ไหน ห่างไกลกันแค่ไหนก็เหมือนใกล้แค่คืบ

          สิบปี...แห่งความคิดถึง วันนี้ต้นข้าวได้เห็นหน้าจิวแล้ว ทำไมนะ ทำไมหน้าของต้นข้าวถึงรู้สึกร้อนๆ และแน่นๆ จนแทบจะระเบิด นี่หรือเปล่าที่คนโบราณชอบเปรียบเปรยเวลาคนดีใจ หรือสุขใจในเรื่องอะไรมากๆ 'หน้าจะบานเป็นจานเชิง' แบบนี้นี่เอง

          ต้นข้าวหลับตาที่มองค้างตามหลังจิวลง หยดน้ำตาที่คลออยู่เมื่อสักครู่ก็ไหลหยดลงมาที่แก้ม ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกที แล้วหันไปมองหน้าพริก ส่งยิ้มให้ มันเป็นยิ้มทั้งน้ำตา

          "คิดถึงมาก..." ต้นข้าวพูดกับพริกแผ่วๆ

          พริกไม่ได้ตอบอะไร เอามือลงไปกุมมือต้นข้าว บีบที่มือเบาๆ อย่างเพื่อนที่เข้าใจเพื่อน

          ...................

          อัญชุลีได้แสดงบทบาทของตัวแทนจากบริษัทรับตีราคาของมือสองในโรงงานได้เป็นอย่างดี สมกับที่ทำงานกับคนในแวดวงมายาอย่างคุณข้าว

          เสี่ยจิวเชื่อตามที่อัญชุลีบอก ราคาเครื่องจักรที่อัญชุลีประเมินคร่าวๆ ให้เป็นเลขกลมๆ นั้นก็เป็นที่น่าพอใจ เขาน่าจะเคลียร์หนี้ได้หมด และอัญชุลีย้ำหลายรอบว่าห้ามให้ใครมาตีราคาอีก ให้รอจากเธอคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสองเดินออกมาจากโรงงานและมาใกล้รถแล้ว

          "มันจะนานไหมครับ ผมก็ต้องรีบใช้เงิน" เสี่ยจิวถาม

          "ไม่น่านานนะคะ ราคาจะส่งมาให้ก่อน พร้อมทั้งรายชื่อคนรับซื้อ เราจะเป็นคนกลางให้ค่ะ" อัญชุลีทำท่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ตาแอบจ้องเข้าไปที่รถ คนสองคนในผ้าคลุมจ้องตาไม่กระพริบมาทางเสี่ยจิวนี้อยู่

          "ดีครับ ส่งมาเร็วหน่อยก็ดี"

          "อ้อ เสี่ยจิวคะ จะให้ทางเราส่งใบเสนอราคามาทางไหนดีคะ ทางแฟกซ์หรือทางอีเมล" อัญชุลีหยุดถามอยู่ข้างๆ รถ

          "แห่ะๆ เบอร์โทรศัพท์ของแฟกซ์ผมโดนตัดไปแล้ว ไม่ได้จ่ายตังค์เขา ส่งเป็นไปรษณีย์มาได้ไหมครับ" เสี่ยจิวเกาหัวแกรกๆ

          "ไปรษณีย์ช้าไปค่ะ ส่งทางอีเมลดีกว่าไหมคะ เสี่ยเคยใช้อีเมลหรือเปล่า"

          "มีครับมี ผมพึ่งหัดเล่น ได้ลองสมัครไว้สองสามอีเมลแล้ว กว่าจะสมัครได้ ยุ่งยากน่าดูเลย ต้องมั่วๆ เอา ใส่ชื่อมั่วซั่วไปหมด" ชายหนุ่มพูดเขินๆ

          จากมุมมองของคนในรถ ภาพที่จิวเขิน ทำเอาคนที่นั่งคลุมหัวในรถเขินตามไปด้วย แม้ไม่รู้เรื่องว่าข้างนอกคุยอะไรกัน ถ้าเสียงหัวใจของต้นข้าวมีเครื่องขยายเสียง ป่านนี้คงดัง ตุบ ตุบ ตุบ ไปทั่วทั้งพุทธมณฑลสายสองนี่แล้ว

          "มาครับ ผมจะจดอีเมลแอดเดรสของผมให้"

          เสี่ยจิวรับสมุดโน้ตเล็กๆ มาจากอัญชุลี จดยิกๆ ลงไปในหน้าว่างๆ แล้วส่งกลับคืนให้ หญิงสาวก้มลงไปอ่าน ทำหน้าประหลาดใจ

          "เอ๊ะ เสี่ยเป็นคนพม่าหรือคะ พึ่งรู้" อัญชุลีแอบเหลือบตามองมาที่คนข้างในรถ สีหน้าดูขำๆ

          "เปล่านี่ครับ คนไทยนี่แหล่ะ ทำไมครับ" ชายหนุ่มหน้าตี๋ทำหน้าเหรอหรา

          "อ้าว ก็ชื่อเสี่ยในอีเมล เขียนว่า 'มิสะโยอู ตันข่วย' นี่คะ ดิฉันก็นึกว่าชื่อพม่า" อัญชุลีพูดหน้าตาเฉย แต่ลึกๆ ในใจแทบจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมา

          เสี่ยจิวหัวเราะเสียงดังออกมาตายิบหยีเป็นประกาย ส่วนต้นข้าวในรถซึ่งไม่รู้เรื่องที่ข้างนอกยืนพูดกัน ได้แต่แอบมองตาม ก็พลอยอมยิ้มไปกับท่าทางของจิวด้วย

          "ผมพึ่งหัดสมัครอีเมล นี่ชื่อแฟนของผมครับ" เสี่ยจิวหน้าแดง

          "อ่อ ค่ะ" อัญชุลีทำเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ ตามองมาทางคุณข้าวในรถ แล้วหันกลับไปยกมือไหว้ชายหนุ่ม

          "งั้นดิฉันลาล่ะค่ะ คนงานที่รอในรถคงร้อนแย่แล้ว ดิฉันจะรีบส่งราคาให้นะคะ"

          "เชิญครับ ขอบคุณมากนะครับ"

          เสี่ยจิวยิ้มอยู่ข้างรถ และยืนส่งจนรถแล่นออกไปพ้นโรงงาน

          --------------------

          "โอโห" เสียงพริกร้องโวยออกมา เมื่อรถพ้นเขตโรงงานแล้ว พร้อมๆ กับเหวี่ยงผ้าขาวม้าที่โพกหัวออก

          "โอโหอะไรของเธอ" ต้นข้าวหันไปถาม โดยที่หน้ายังบานเป็นจานเชิงอยู่ ริมฝีปากมีแต่รอยยิ้ม

          "โอโหเธอนั่นแหล่ะต้นข้าว ทำไมไม่ถอดจิตเข้าไปสิงในตัวจิวเขาเลยล่ะ จ้องมองเข้าไปซะขนาดนั้น จะกินเข้าไปทั้งตัวแล้วนะ แหม่ หมั่นไส้จริง" พริกค้อน ทำตาปะหลับปะเหลือก

          "หึหึหึ" ต้นข้าวขำออกมา

          "เอ่อ คุณข้าวคะ" อัญชุลีขัดจังหวะขึ้นมาเบาๆ

          "ว่าไงอัญ มีอะไรที่เธอยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังอีกไหม"

          ชายหนุ่มถามเลขาฯ ซึ่งจริงๆ อัญชุลีก็รู้แผนนี้ทั้งหมด รวมทั้งรู้ถึงความสัมพันธ์ของเสี่ยจิวกับคุณข้าวนี้บ้างแล้ว

          "อัญว่า คุณข้าวสบายใจได้เลยค่ะ ผลของมันต้องออกมาสำเร็จดังใจแน่ๆ"

          "รู้ได้ไง!" สองเสียงประสานพร้อมกัน ทั้งคุณพริกและคุณข้าว

          อัญชุลีส่งสมุดโน้ตให้คุณข้าว ทั้งสองแย่งเอาไปดูเหมือนเด็กๆ แย่งของเล่นกัน

          "เสี่ยจิวบอกว่า ชื่ออีเมลแอดเดรสนี้คือชื่อแฟนเขาค่ะ 'มิสะโยอู ตันข่วย' อัญว่าเขาไม่มีวันลืมแฟนของเขา" อัญชุลียิ้มประหนึ่งเหมือนเป็นผู้ส่งมอบซองประกาศผลรางวัลแห่งชัยชนะให้

          ทั้งคุณพริกและคุณข้าวสะกดอ่านออกเสียงอีเมลแอดเดรสของเสี่ยจิวออกมาพร้อมกัน...และตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังคิกคัก

          MiSsYoU_TonKao@thaimail.com

          "คิดถึง ต้นข้าว" !!!!!!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2017 08:56:22 โดย กำปงพิราเทวี »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด