MBK❤lover
ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง วันนี้คุณข้าวมีนัดกับเพื่อนเก่าที่สตูดิโอแห่งหนึ่งแถวรังสิต เพื่อจะไปแคสติ้งนางแบบและนายแบบวัยรุ่น มาแต่งคอสเพลย์ชุดญี่ปุ่นในงานอีเว้นท์ที่ MBK
อันที่จริงในบริษัทของเขาเองก็มีนายแบบและนางแบบในสังกัดอยู่มาก แต่มันก็หน้าซ้ำๆ เดิมๆ แถมจะเป็นแนวหน้าตาไทยๆ เสียส่วนใหญ่ด้วย ไม่ค่อยมีที่ดูออกแนวญี่ปุ่นเท่าไร และอีกอย่างหนึ่ง เพื่อนของเขาคนนี้ก็ได้ขอร้องมาว่าให้ช่วยป้อนงานเด็กๆ ของเธอบ้าง เพราะบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ใช้เด็กรุ่นเยาว์นี้น้อย ไม่ค่อยมีงานให้มากเท่ารุ่นใหญ่
ชายหนุ่มล็อครถที่ขับมาเองโดยที่ไม่มีอัญชุลีหรือกบตามมาด้วยเหมือนอย่างเคย เขาแหงนมองขึ้นไปที่ป้ายชื่อบริษัทอันใหญ่โตทันสมัย 'WORK ONE' คือชื่อบริษัทที่เพื่อนเขาทำงานอยู่
"อ้าว ข้าว...มาแล้วหรือ" เสียงใสทักมาจากประตูหน้าของสตูดิโอนั้น
"พริก..." เขาร้องทักกลับไป
ใช่แล้ว พริก คือเพื่อนของเขา เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยที่ยังติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่
พริกในวันนี้ เป็นสาวใหญ่เต็มตัว ทรงผมยังคงหยิกฟูเต็มหัว ย้อมสีน้ำตาลแดงดูทันสมัย แต่งตัวภูมิฐานขึ้น พริกแต่งงานมีสามีแล้วและยังไม่มีลูก แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็คือนางไม่ได้ใส่รองเท้าที่มีสายรัดรูปงูอย่างที่เคยชอบ มันเปลี่ยนเป็นรองเท้าคัทชูส้นสูงแทน ดังนั้นชื่อที่เรียกกันเล่นๆ ว่า 'อีงู' จึงเลือนหายไปกับกาลเวลาหมดแล้ว
"มาเร็ว น้องๆ มานั่งรอกันครบแล้ว เลือกตามสบายเลยนะ" พริกจับแขนชายหนุ่มพาเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง
พริกทำงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายแคสติ้งนักแสดง หน้าห้องทำงานของพริกจึงกว้างกว่าปกติ เพราะต้องรองรับนักแสดงและผู้ที่อยากจะก้าวขึ้นสู่ดวงดาวครั้งละหลายๆ คน ชายหนุ่มมองเข้าไปเห็นคนที่มารอคัดเลือกจำนวนมากทั้งหนุ่มและสาว พริกพาคุณข้าวเดินลึกเข้าไปสุดห้อง มีห้องเล็กๆ ประตูปิดมิดชิดซ้อนอยู่ในนั้นอีกที
"เธอนั่งเลือกนายแบบนางแบบในห้องทำงานเรานี่ล่ะ ใช้อย่างละเท่าไรนะ ชายสิบหญิงสิบหรือเปล่า เลือกไปให้ครบเลยนะ" พริกชี้ไปที่เก้าอี้ในห้องของตนเองให้ชายหนุ่มไปนั่ง
"อ้าว แล้วเธอจะไปไหนล่ะ ไม่ได้ช่วยกันเลือกหรือ"
"อื่อ เรามีประชุมความพร้อมรายการใหม่ที่จะออนแอร์พรุ่งนี้น่ะ เธอเลือกตามสบายเลย อีกสักชั่วโมงเราถึงจะกลับออกมา"
"โอเค ขอบใจนะพริก" เขาส่งยิ้มให้เพื่อนรัก แล้วลงนั่งไปที่เก้าอี้
.................
ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเกือบชั่วโมงในการเลือกนายแบบและนางแบบ วันนี้มีคนมารอแคสติ้งเกือบหกสิบคน ซึ่งเขาจะใช้จริงแค่ยี่สิบคน โดยคัดจากรูปร่างหน้าตาให้ไปในแนวญี่ปุ่น ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องขาว หมวย และสวย ส่วนผู้ชายก็สูง หุ่นดี และตี๋หล่อ โดยเรียกเข้ามาสัมภาษณ์และดูตัวในห้องเล็กๆ นี้ทีละคน ซึ่งตอนนี้คัดได้เกือบครบจำนวนที่ต้องการแล้ว
จนมาถึงคิวนายแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องและปิดประตูตามหลังอย่างเรียบร้อย หนุ่มน้อยคนนี้หน้าตาดี ตี๋ ขาว สูง หล่อ คุณข้าวเงยขึ้นไปแวบแรกถึงกับใจเต้นแรง เพราะนายแบบคนนี้หน้าตาคล้ายใครคนหนึ่ง ที่ยังคงอยู่ในใจเขาตลอดมา เพียงแต่คนนี้ดูเด็กกว่า และดูมีความกล้ามากกว่า ดูพร้อมที่จะตะกายดาวโดยไม่มีข้อแม้
--นี่มันจิว ตอนอวตารกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นเลยนะเนี่ย-- ชายหนุ่มแอบคิด ตาเป็นประกายวาว ซึ่งนายแบบก็สังเกตเห็นแววตาของเขาอยู่เหมือนกัน
"สวัสดีครับพี่" นายแบบตี๋หล่อทักขึ้นก่อน เพราะเห็นผู้ที่จะคัดเลือกเขานั่งมองตะลึงตาค้างอยู่
"สวัสดีครับน้อง นั่งสิ ชื่ออะไรน่ะเรา"
"เอื้อครับ ชื่อเอื้อ" คนตอบพร้อมยิ้มฟันขาว หน้าใส
"สูงเท่าไรครับ" ชายหนุ่มถาม ตาก้มลงไปมองใบกรอกประวัติของนายแบบ
"๑๘๓ ครับพี่"
ชายหนุ่มเงยขึ้นจากเอกสาร มองไปที่นายแบบอย่างละเอียด จนไปสะดุดเข้ากับรอยเล็กๆ ตรงหน้าอกของนายแบบที่พ้นร่มผ้าของเสื้อออกมา
"นั่นรอยสักหรือเปล่าครับ น้องสักมาด้วยเหรอ งานนี้มันงานวัยรุ่นใสๆ ไม่ควรมีรอยสักนะ"
"ครับพี่" เด็กหนุ่มก้มลงมองอกเสื้อของตนเอง "แต่รอยเล็กนิดเดียวนะครับ ใช้รองพื้นกลบได้"
"ไหนลองถอดเสื้อให้พี่ดูหน่อยสิ" ชายหนุ่มบอกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการคัดเลือกนายแบบหรือนักแสดง ที่ต้องถอดเสื้อดูรูปร่างกันให้ชัดๆ
"ได้ครับพี่" นายแบบตี๋หล่อรับคำอย่างรวดเร็วและไม่มีอิดออด เขาถอดเสื้อเชิร์ตที่ใส่มาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียน อกกว้าง และกล้ามเนื้อชัด ซึ่งก็จริงตามที่พูดในเรื่องรอยสัก มันเป็นรอยเล็กๆ นิดเดียวเป็นรูปนกกำลังบิน
และก่อนที่คุณข้าวจะพูดว่าอะไรต่อ นายแบบก็ได้ทำสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว คือหันไปกดล็อคประตูห้อง แล้วถอดกางเกงลงไปกองที่ปลายเท้า คราวนี้ผิวที่ขาวจัดก็สว่างโพลงไปทั้งตัว มีแค่กางเกงในสีดำตัวเล็กจิ๋วเพียงตัวเดียวซึ่งแทบจะห่อปิดอะไรที่ขนาดเขื่องไม่มิด แถมยังใสและบาง สามารถมองทะลุได้ไปถึงไหนต่อไหน ท่ามกลางการอ้าปากค้างของคนที่นั่งมองอยู่
"เฮ้ย..." เขาอุทานออกมา
นายแบบผู้เปลือยแทบจะหมดทั้งตัว จ้องตาชายหนุ่ม และยิ้มให้
"พี่ครับ ผมพูดตรงๆ นะครับ เรารู้กันสองคน พี่จะทำอะไรกับตัวผมก็ได้ครับ ขอเพียงแค่ผมได้งานนี้ หรือไม่ก็งานอื่นๆ ในบริษัทของพี่ก็ได้ครับ ผมอยากดัง" นายแบบกึ่งเปลือยพูดหน้าตาเฉย และเริ่มเอามือคลึงเบาๆ ที่เป้าตัวเอง
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ กวาดตามองนายแบบตั้งแต่เส้นผมลงไปถึงปลายเท้า
---มันจะไม่มีวันนั้น มันจะไม่มีเรื่องนั้นแน่ๆ--- เขาคิดในใจ
ในอดีต ถึงเขาจะเคยทำผิดพลาดไป เคยทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวด และพลัดพรากกันไปแบบที่ไม่รู้ว่าวันใดจะได้พบเจอกันอีก แต่ ณ วันนี้ วันที่เขาเติบโตขึ้นมาก มันเลยช่วงเวลาเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาแอบกินเล็กกินน้อยลับหลัง ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มีใครอยู่เคียงข้างเป็นเจ้าของก็ตามที
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะมีนายแบบหล่อๆ หรือแม้กระทั่งดาราชายวัยรุ่นที่กำลังจะเริ่มดัง ต้องการไปให้สุดถึงดวงดาว เสนอตัวขอหลับนอนแลกกับการได้งานจากเขา เพียงเพราะเขาเป็นออร์กาไนซ์เซอร์มือทอง มีงานดังๆ และได้ออกข่าวสังคมต่างๆ เยอะมาก แต่ชายหนุ่มก็ได้ปฏิเสธคนเหล่านั้นทุกคนไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์
ถ้าให้เลือก เขาก็อยากกลับไปมีคนที่รักคนเดียว ยาวนาน มั่นคง และพร้อมที่จะจับมือกันทั้งในยามหลับหรือยามตื่น กุมมือให้กำลังใจกันไปทั้งตอนที่ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือในตอนที่ผิดพลาดล้มเหลวมากกว่า ไม่ใช่การฉวยโอกาสด้วยตำแหน่งหน้าที่แบบนี้ แม้ว่ามันจะล่อตาล่อใจขนาดไหนก็ตาม
ชายหนุ่มจ้องไปที่กลางลำตัวของตี๋หล่อในร่างเกือบเปลือยนี้อีกครั้ง มันมีสิ่งหนึ่งที่นูน ปูดโปนโดดเด่นสะดุดตาออกมาจากกลางลำตัวหนุ่มหล่อคนนี้ เขาส่งยิ้มให้ แล้วเอ่ยตอบนายแบบไปอย่างเยือกเย็นว่า
"น้องมีสะดือจุ่นเกินไป ไม่ผ่านครับ กรุณาใส่เสื้อผ้าแล้วกลับบ้านได้ เชิญครับ..."
.................
คุณข้าวกับพริกลงมานั่งจิบกาแฟและคุยกันตามประสาเพื่อนรักที่ร้านกาแฟเล็กๆ ข้างบริษัทของพริกเองหลังจากเสร็จงานและเสร็จการคัดเลือกนายแบบนางแบบเรียบร้อยแล้ว
"ขอบใจนะข้าว ที่ช่วยๆ เอาเด็กเราไปใช้งานบ้าง ไม่งั้นมันไม่มีงานกัน วันหน้าวันหลังเด็กมันจะได้มาหาเราง่ายๆ เวลาเราเรียกมัน"
"อื่อ ไม่เป็นไรพริก เพราะของสังกัดเราก็ไม่ค่อยมีรุ่นเล็กหน้าตี๋ๆ หมวยๆ ซะด้วยล่ะ ก็ต้องหาใหม่อยู่ดี" ชายหนุ่มมองหน้าพริกยิ้มๆ และเขาก็ตัดสินใจไม่ได้เล่าให้พริกฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานเมื่อสักครู่ด้วย
"แต่ช่วงนี้ก็หานายแบบนางแบบง่ายล่ะ คนตกงานกันเยอะ ธุรกิจแย่กันไปหมดเลยตั้งแต่ฟองสบู่แตกปี ๔๐ เนี่ย เธอน่ะยังดีนะข้าว เธอได้งานอีเว้นท์จากหน่วยราชการ ห้างใหญ่ๆ และงานการกุศลพวกคุณหญิงคุณนายซะเยอะ เธอไม่ค่อยโดนกระทบอะไรมาก"
"มันก็มีบ้างแหล่ะ เอกชน เถ้าแก่ ห้างร้านเล็กๆ โรงงานต่างๆ โดนกันระนาวเลยนี่" เขาพูดพร้อมกับยักไหล่ ทำปากเบะๆ
"ใช่ๆๆ เธอเคยได้ยินไหมล่ะ ที่เสี่ยเจ้าของธุรกิจต้องหมดตัวตอนฟองสบู่แตก แล้วต้องปิดโรงงานออกมาเดินเร่ขายขนมปังแซนวิชริมถนนน่ะ ยามรุ่งเรืองก็เฟื่องฟูลอย ยามถดถอยก็อย่ากลัวจม" พริกยังไม่ทิ้งนิสัยหยอดคำคม
"เคยได้ยินสิ ก็น่าชื่นชมเขานะ สู้ชีวิตดี" ชายหนุ่มมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างร้านกาแฟ
ทั้งสองคนนั่งนิ่งๆ อยู่สักครู่ใหญ่ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ จนกระทั่งพริกเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า
"ข้าว เราถามเธอตรงๆ เธอไม่คิดจะมีแฟนใหม่เหรอ"
คนถูกถามหันไปมองหน้าเพื่อนรัก แล้วตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า "ไม่อะ"
พริกหัวเราะเบาๆ "เธอไม่เคยลืมสินะ เธอยังหวังว่าจะได้เจอจิวอยู่อีกหรือ มันผ่านมาสิบกว่าปีแล้วนะ เธอก็ไม่เคยมีเบอร์ติดต่อหรือรู้ข่าวคราวเค้าเลย เธอยังคิดถึงจิวอยู่หรือ"
"คิดถึงสิ...คิดถึงมาก..." ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วลง ดวงตารื้น ดูชุ่มฉ่ำน้ำเป็นประกาย มันเป็นส่วนผสมของอาการกึ่งจะร้องไห้และกึ่งจะเปี่ยมไปด้วยความสุข
"ถึงเราจะได้เจอ ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับการให้อภัยหรือเปล่านะ เราทำเรื่องเลวๆ กับจิวไว้มาก แต่เราก็หวังว่าจะได้เจออีกอยู่ดี ถึงแม้จะได้เห็นแค่เพียงแวบเดียวแล้วจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม" เขาพูดต่อ เหมือนรำพึงกับตัวเอง
พริกวางมือลงบนมือชายหนุ่มเบาๆ "เราเอาใจช่วยเธอนะ ข้าว"
--------------------
เสี่ยจิวหันซ้ายหันขวา พับปึกธนบัตรปึกใหญ่ในมือใส่ลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวยาวๆ ออกมาจากโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง ที่ไกลจากโรงงานพอสมควร
สิ้นเดือนนี้ เขาหมุนเงินไม่ทันสำหรับจ่ายค่าแรงลูกน้องในโรงงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน เช็คที่ได้มาก็ขึ้นเงินไม่ได้บ้าง เด้งบ้าง จึงจำเป็นต้องพึ่งบริการจากโรงรับจำนำนี้ไปก่อน โดยถอดสร้อยทองหนัก ๑๐ บาทที่ใส่ประจำวางไว้
---ไว้เศรษฐกิจดี ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่นะลูก--- เขานึกปลอบใจตัวเอง แล้วขับรถกลับไปที่โรงงาน
.................
"เอาเว้ย เงินเดือนออก มาเซ็นรับกันไปให้ไว ก่อนข้าจะเปลี่ยนใจเบี้ยว ไม่จ่าย" เสี่ยจิวร้องเรียกลูกน้องขณะที่ตนเองนั่งอ่อนแรงอยู่บนโต๊ะทำงาน
จอซู มินเดืองห์ ลำไย และคนงานอีกสองสามคนยืนต่อแถวอยู่หน้าโต๊ะของเขา ทุกคนรู้ถึงปัญหาการเงินของเขา จึงมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
"ไหวไหมครับ...เสี่ย" จอซู คนอยู่แถวหน้าสุด บอกกับเขาเบาๆ น้ำเสียงไม่เหมือนลูกน้องกับเจ้านาย แต่มันเป็นน้ำเสียงแห่งความห่วงใยเหมือนคนในครอบครัวโดยแท้
"สบายมากเว้ย อย่าห่วง เสี่ยจิวซะอย่าง" เขาฝืนทำเสียงร่าเริง
"ถ้าเสี่ยติดขัดจริงๆ บอกพวกผมนะครับ ช่วยอะไรได้ผมจะช่วย" จอซูยังส่งความห่วงใยมาอีก
"เออๆ ขอบใจเว้ยจอซู" เขาขอบคุณมันจากใจจริงๆ
"เอ้านี่ ส่วนเงินในซองใหญ่นี้รอไว้จ่ายค่ายาง PVC ที่ข้าสั่งไปอีกโรงงานหนึ่งให้ผลิตในส่วนที่จะเอาลายสกรีนน่ารักๆ มาแปะหัวรองเท้าแตะรุ่นใหม่ ก็ลองทำดูตามที่ลำไยแนะนำมาแหล่ะ ข้าลองไปก่อนสองพันชิ้น ก็ออกมาน่ารักดีนะ ได้เห็นกันแล้วนี่"
"ครับนาย" จอซูรับซองใหญ่นั้นไป
"ส่วนนี่ ค่าไฟ เออ ทำไมค่าไฟเดือนนี้ไม่เพิ่มวะ คือเราไม่ได้เดินเครื่องจักรมาหลายเดือนก็จริง แต่มีลำไยมาอยู่เพิ่ม ค่าไฟก็ไม่ยักกะขึ้นเนอะ ดีแล้ว ช่วยๆ กันประหยัด"
คราวนี้เป็นมินเดืองห์ก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าแทนจอซู เด็กหนุ่มจูงมือลำไยขึ้นมาด้วย
"เสี่ยครับ ผมมีอะไรจะสารภาพ" มินเดืองห์พูดเสียงอ่อยๆ
เสี่ยจิวจ้องมองไปที่ทั้งคู่อย่างสังหรณ์ใจพิกล
"คือลำไยไม่ได้แยกไปนอนห้องต่างหากอย่างที่เสี่ยสั่งหรอกครับ จริงๆ แล้วลำไยนอนห้องเดียวเตียงเดียวกับผมมาตั้งแต่คืนแรกเลย"
"ไอ้ห่า ข้าว่าแล้ว แทงหวยไม่เคยถูกแบบนี้" เสี่ยจิวอุทานออกมาอย่างไม่ประหลาดใจเท่าไรนัก เพราะมันมีแววมาอยู่แล้ว
"แล้วยังไงเธอ ลำไย เธอโอเคไหม" เขาถามไปที่ฝ่ายหญิง
"หนู หนู...เต็มใจค่ะเสี่ย" ลำไยก้มหน้างุด เห็นใบหน้าแดงระเรื่อ "หนูก็ชอบพี่เดืองห์เขาเหมือนกัน"
ชายหนุ่มมองหนุ่มสาวคู่นี้ด้วยรอยยิ้ม ช่างเถอะ...เขาคิด คนมันได้รักกัน อยากอยู่ด้วยกัน จะมาไกลกันจากไหน ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนในชีวิต แต่ถ้าพรหมลิขิตวางไว้แล้วว่าต้องมาอยู่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน โลกมันก็เหวี่ยงให้เข้ามาพบเจอกันเองแหล่ะ โดยเฉพาะสำหรับคู่นี้ โลกเหวี่ยงถวายมาให้ถึงใต้หลังคาเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
"เอาเถอะ อยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว ช่วยกันทำมาหากินก็แล้วกัน ไว้ข้ามีตังค์อีกหน่อย จะเลี้ยงโต๊ะจีนฉลองให้นะ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันล่ะ" ชายหนุ่มถือโอกาสให้พรคู่บ่าวสาวซะเลย
"การให้อภัย เป็นของขวัญที่สูงค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์" เสี่ยผู้ช้ำรักพูดเบาๆ ไม่แน่ใจว่าพูดให้คู่บ่าวสาวตรงหน้า หรือรำพึงกับตัวเขาเอง...
--------------------
คุณข้าวขับรถยนต์เข้าไปจอดที่โรงจอดรถในบ้าน เห็นไฟเปิดไว้น้อยดวง ลูกน้องในบริษัทคงกลับบ้านไปหมดแล้ว เขาลงจากรถแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในตัวบ้าน
หนุ่มเจ้าของบริษัทเดินผ่านห้องทำงานของตัวเอง เห็นประตูเปิดแง้มไว้ จึงผลักบานประตูเข้าไป หันไปกดปุ่มเปิดไฟในห้อง โดยยังไม่ได้หันหน้าออกไปจากผนัง ไฟในห้องสว่างขึ้น รวมทั้งผนังตรงหน้าก็สว่างให้เห็นรูปหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังตรงนี้ มันเป็นรูปขาวดำที่เขากับจิวถ่ายด้วยกันสมัยวัยรุ่น แต่เห็นแค่ด้านหลัง จับมือกันเดินบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี
คุณข้าวส่งยิ้มให้รูปบนผนัง แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขา ได้เห็นถุงกระดาษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาเอามือไปคลำๆ นอกถุง สัมผัสได้ว่ามันคือรองเท้าฟองน้ำคู่หนึ่ง พลางนึกในใจว่าครั้งนี้ไอ้เจ้ากบทำงานที่สั่งให้หาได้รวดเร็วดี
ชายหนุ่มดึงรองเท้าคู่นั้นออกมาจากถุงกระดาษ มันมีห่อพลาสติกห่อไว้อีกชั้นหนึ่ง เขาแกะมันออกมา ทิ้งถุงลงไปในถังขยะ แล้วนั่งมองมันอยู่
มันเป็นรองเท้าฟองน้ำกึ่ง PVC เป็นรองเท้าแตะแบบสวม หรือที่เรียกว่าสลิปเปอร์ มันมีพื้นสีน้ำเงิน และตรงที่สวมเป็นลายทางสีน้ำเงินสลับสีขาว
ชายหนุ่มเพ่งมองแล้วเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ทำไมเขามีความรู้สึกเหมือนเคยเข้าใกล้รองเท้าแบบนี้มาก และยิ่งตอนดึงออกมาจากถุงพลาสติก กลิ่นของมันคุ้นยิ่งกว่าคุ้น มันเหมือนว่าเขาเองเคยไปนอนอยู่ในโรงงานและได้กลิ่นแบบนี้ทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ
---โรงงานรองเท้าฟองน้ำตราสามดาวของป๊าจิว!!!---
จู่ๆ ชื่อนี้ก็เข้ามาในหัวของเขา หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวังเต้นตึกตัก เขาค่อยๆ พลิกรองเท้าเพื่อดูด้านหลัง เขาหวังใจจะเห็นตราของบริษัทรองเท้านี้ มันควรจะต้องพิมพ์นูนขึ้นมาว่า "ตราสามดาว" เหมือนที่เขาเคยเห็นที่บ้านจิว
แต่แล้วเขาก็ต้องใจแป้วลงไปทันที เมื่อเห็นชื่อยี่ห้อด้านหลังพื้นรองเท้า มันเป็นลายพิมพ์นูนเหมือนกัน แต่พิมพ์ไว้ว่า
"T-Star"
"มันไม่ใช่ตราสามดาว" เขาถอนหายใจออกมา ใจที่เต้นตุบๆ เมื่อสักครู่เริ่มกลับเข้าสภาพเดิม ก็พอดีกับกบ เดินถือไม้กวาดเข้ามาในห้องพอดี เหมือนจะมาทำความสะอาดห้อง
"อ้อ กลับมาแล้วหรือฮะ ลืมบอกไปครับคุณข้าว กบได้รองเท้ามาแล้ว ถ้าเลือกแบบแล้วชอบอันไหน ก็สั่งกบซื้อได้เลยนะฮะ ได้ราคาโรงงานเลย" กบบอกด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ
"เลือกแบบ?" เจ้านายของกบเสียงสูงขึ้นมาทันที "เลือกแบบอะไร มีอยู่คู่เดียวนี่นะเว้ย"
"อ้าว คู่เดียวหรือ แสดงว่าลืมอีกคู่อยู่ในอีกถุงนึง เดี๋ยวกบวิ่งไปเอามาให้ในห้องกบนะฮะ" กบพูดแล้ววิ่งอย่างไวออกไปจากห้อง
....................
ลำไยกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องทำงานของเสี่ยจิว คืนนี้เสี่ยขึ้นไปนอนเร็ว ตอนหัวค่ำเธอเห็นเสี่ยจิวนั่งเหม่อลอยกินเบียร์หลายขวดอยู่ที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว แล้วบ่นว่าปวดหัว จึงขึ้นไปนอนไว
ลำไยใช้ไม้ขนไก่ปัดทำความสะอาดมาถึงโต๊ะทำงานของเสี่ย เธอเห็นสิ่งผิดปกติวางอยู่ผิดที่ผิดทางบนโต๊ะ จึงเดินอ้อมไปที่หลังโต๊ะแล้วหยิบมันขึ้นมาดู มันคือกระปุกหมูออมสินที่ทำมาจากกระดาษ ทาสีแดงและมีลายดอกไม้เชยๆ วาดอยู่บนหลังมัน ซึ่งตอนที่ลำไยหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ จึงเห็นว่ามันเริ่มจะมีสีซีดจางลงไปบ้างแล้ว เหมือนผ่านกาลเวลามานาน และมีสภาพเหมือนได้รับการหยิบจับอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่สภาพใหม่เอี่ยมเหมือนของโชว์ที่วางเก็บงำอย่างดีในตู้โดยไม่ได้แตะต้อง
ลำไยหันหน้ากระปุกหมูเข้าหาตัว จ้องมองหน้าหมูออมสินนั้นตรงๆ แล้วยิ้มออกมา นี่เอง เป็นที่มาในไอเดียของเสี่ยจิวกับรองเท้าแตะล็อตใหม่ที่กำลังไปวางขายตามคำแนะนำของเธอเอง ว่าควรจะทำแบบน่ารัก แนวญี่ปุ่นกุ๊กกิ๊ก
อดีตสาวหน้าเทา มองไปที่ชั้นวางของด้านหลังโต๊ะ เธอจำได้ว่าปกติมันวางอยู่บนนั้น เสี่ยจิวคงหยิบหมูออมสินนี้ลงมา แล้วยังไม่ได้เก็บขึ้นไป
ลำไยวางไม้กวาดขนไก่ลงบนโต๊ะทำงาน เพื่อที่จะเขย่งเอื้อมสองมือเอากระปุกหมูออมสินนี้ขึ้นไปเก็บวางที่เดิมบนชั้นที่ค่อนข้างสูง โดยไม่ทันเห็นว่าปลายไม้กวาดขนไก่ไปเขี่ยโดนหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเสี่ยจิว เผยอหลุดออกจากแท่นวาง
.....................
ไอ้กบวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านาย พอมาถึงก็วางถุงกระดาษอีกถุงให้บนโต๊ะ พร้อมขยับไม้กวาดที่ถือไว้ในมือ
"คุณข้าวเลือกดูอีกคู่ฮะ แต่กบว่าคุณน่าจะชอบอันนี้ มันน่ารักดี แล้วยังไงจะเอากี่คู่ก็บอกนะฮะ กบจะไปซื้อให้ที่โรงงานเลย" พูดจบเด็กหนุ่มก็ใช้ไม้กวาด กวาดพื้นไปเรื่อยๆ จนออกจากห้องไป
เขามองที่ถุงอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ดึงมันออกมา มันอยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งเหมือนคู่แรก แต่คราวนี้ รองเท้าคู่นี้มันเป็นสีแดง
เมื่อแกะซองพลาสติกเสร็จ ชายหนุ่มเห็นรองเท้าแตะสีแดงคู่นี้ชัดๆ แล้วก็ตกตะลึง นั่งอึ้งมองรองเท้าอยู่นาน จนค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่ส่วนหัวของรองเท้า
มันเป็นรองเท้าแตะแบบสวม พื้นสีแดง และส่วนที่สวมก็เป็นสีแดง แต่มีแผ่น PVC อีกชิ้นหนึ่งติดซ้อนอยู่บนแผ่นสวม ยึดกันแค่ตรงกลาง ปลายสองข้างขยับไปมาได้ มันสกรีนและตัดเป็นลายหน้าหมูสีแดง บนหัวและใบหูของหมูนั้น สกรีนเป็นลายดอกไม้เล็กๆ ทำให้รองเท้าแตะคู่นี้ดูเป็นรองเท้าหน้าหมู น่ารัก คิขุ แบบญี่ปุ่น และชายหนุ่มก็คุ้นเคยกับลายหมูแบบนี้มาแล้วกว่า ๑๗ ปี!!
"ลายหน้าหมูกระดาษออมสินสีแดง! และโรงงานรองเท้าแตะ!!"
มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็เขาเองที่เป็นคนให้หมูออมสินนี้กับลูกชายเจ้าของโรงงานรองเท้าเมื่อในอดีต สองอย่างนี้จะมาบังเอิญอยู่ในของสิ่งเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้...ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรง มันเต้นตุบตับจนแทบจะปะทุระเบิดออกมานอกทรวงอก ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา
ทำไมเขาถึงได้คิดช้านะ 'สามดาว' มันก็มีคำว่า 'star' อยู่ในนั้นไง ส่วนตัว T มันก็อาจจะย่อมาจาก Three ที่แปลว่าสาม ก็ได้ บ้านจิวอาจจะเปลี่ยนชื่อโรงงานให้ทันสมัยแล้วก็ได้นี่นา
เหมือนคิดอะไรออก เขาก้มลงตะกุยไปที่ถังขยะ คว้าหยิบถุงพลาสติกที่ห่อรองเท้านี้ขึ้นมา มันมีสติ๊กเกอร์สีขาวเล็กๆ และพิมพ์รายละเอียดของสินค้าแปะเอาไว้ว่า
สินค้า : รองเท้าแตะยี่ห้อ T-Star
ชนิด : สีแดง รุ่นหน้าหมู เบอร์ ๖
ราคา : ๑๕๐ บาท
วิธีใช้ : สำหรับสวมเท้าเท่านั้น
ข้อควรระวัง : ห้ามนำไปสวมหัว
สถานที่ผลิต : ๗๐ พุทธมณฑลสาย ๒
ผู้ผลิตและจำหน่าย : สมนึก แซ่จิว
ติดต่อ : ๐๒ ๕๘๘๔๖๑๑
BARCODE : |||||| | ||||| || |||||| | |||||
ตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว มันหยุดนิ่ง แล้วมันก็เต้นใหม่ แล้วหยุดนิ่งสลับกันอยู่แบบนั้น ใจนึกขอบคุณโลกใบนี้ ที่เหวี่ยงเรื่องอันมหัศจรรย์นี่กลับลงมาให้เขา
กว่าจะรวบรวมสติที่เตลิดไปได้ ก็อีกเกือบห้านาที คุณข้าวยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา มือสั่นริกๆ เหงื่อซึมไปทั่วหน้าและแผ่นหลัง เขาตั้งสติกดหมายเลขติดต่อที่พิมพ์อยู่บนป้ายสินค้าลงไป แล้วแนบกระบอกโทรศัพท์แน่นกับใบหู
"ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด..."