MBK❤lover
ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากราชา เสี่ยจิวยืนส่งแขกอยู่ที่ลานหน้าโรงงาน จนรถปิคอัพไดฮัทสุคันนั้นแล่นออกไปพ้นประตู สองขากำลังจะก้าวหันหลังเดินเข้าบ้าน ตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษขาวๆ ใบเล็กๆ ตกอยู่ใกล้บริเวณที่รถจอดเมื่อสักครู่
"นามบัตรใครมาตกอยู่นี่" ชายหนุ่มรำพึงขึ้นมาเบาๆ ก้มลงไปเก็บนามบัตรนั้นขึ้นมาอ่าน
อัญชุลี ก่องเพ็ชร
ผู้ช่วยผู้จัดการ
บริษัท สมใจนึก จำกัด
ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง
๐๒-๕๗๓๔๘๗๗
เสี่ยจิวยืนขมวดคิ้ว ชื่อ 'อัญชุลี' มันชื่อคนที่มาหาเมื่อกี้นี่ นามบัตรนี้คงจะตกลงมาจากสมุดเล็กๆ ที่อัญชุลีส่งให้เขาตอนจดอีเมลแอดเดรส แต่เอ๊ะ! ทำไมชื่อบริษัทมันแปลกๆ มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับชื่อบริษัทรับซื้อของมือสองเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยหล่อหน้าตี๋ พลิกนามบัตรในมือไปมา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในโรงงาน เดินเข้าไปที่โต๊ะทำงานของเขาที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะวางอยู่ เขาตั้งใจว่าจะต่ออินเทอร์เน็ต และจะทดลองพิมพ์ชื่อบริษัทตามนามบัตรนี้ค้นหาข้อมูลในเวปท่า จำพวกเวป Sanook เวป Kapook เวป Yahoo หรืออาจจะลองค้นหาในเวปท่าน้องใหม่อย่าง Google ที่พึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกัน จะได้สืบรู้ว่าบริษัทของอัญชุลีนี้มันคืออะไร ใครเป็นเจ้าของ เพราะถ้าโทรไปถามตามหมายเลขในนามบัตรตรงๆ มันก็จะง่ายไป เดี๋ยวความจะแตกเสียเปล่าๆ
ขณะที่ชายหนุ่มนั่งรอโมเด็มอินเทอร์เน็ต 56Kbps กำลังต่อผ่านทางสายโทรศัพท์อย่างอืดอาดนั้น ใจก็นึกอยากให้ระบบใหม่ ADSL เข้ามาถึงพื้นที่แถวที่โรงงานนี้เร็วๆ สักที คนพูดกันว่ามันไวมาก ไม่ต้องมานั่งเชื่อมต่อทุกครั้งแบบนี้แล้ว เปิดเครื่องคอมฯ แล้วเค้าว่าใช้อินเทอร์เน็ตได้ทันทีเลย
"เสี่ยครับเสี่ย" เสียงจอซูตะโกนมาจากหน้าห้อง
ชายหนุ่มเงยขึ้นมองอย่างเกียจคร้าน ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไป เจ้าจอซูก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องพอดี พร้อมกับพูดเสียงตื่นเต้นร้อนรน
"เสี่ย ไปดูลำไยมันหน่อยซิครับ"
"ทำไม ลำไยมันเป็นอะไรหรือ" ชายหนุ่มเริ่มทำหน้าตื่นบ้างแล้ว
"มันว่ามันท้อง!! มันกำลังคลื่นไส้ อ้วกแตกอยู่ที่ห้องมันเลยครับ ไอ้มินเดืองห์ผัวมันกำลังออกไปหาซื้อผลไม้อะไรเปรี้ยวๆ ให้มันกินอยู่"
"หา! ลำไยท้อง มันท้องได้ยังไง ไปทำอีท่าไหนกัน" ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรให้เข้าท่ากว่านั้น
จอซูเกาหัวแกรกๆ "นี่เสี่ยอยากรู้จริงๆ หรือครับ ว่าไอ้มินเดืองห์กับลำไยมันทำกันด้วยท่าไหนถึงได้ท้อง?"
"ไอ้นี่นิ เดี๋ยวปั้ด!! ข้าก็พูดไปงั้น ข้ารู้น่าว่าคนเขาทำกันท่าไหนถึงท้อง ไม่ใช่ว่าข้าเป็นโสดตัวคนเดียวแล้วข้าจะไม่รู้นะโว้ย" ชายหนุ่มพูดขำๆ
"ไปๆ ไปดูมันกัน"
เสี่ยจิวเอานามบัตรของอัญชุลีที่ถืออยู่ในมือ วางสอดลงไปใต้คีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วก้าวยาวๆ ตามจอซูไปที่ห้องพักคนงานด้านหลังโรงงาน
--------------------
คุณข้าวแยกกันกับพริกและอัญชุลีที่บ้านของเขาเอง เพราะพริกเอารถของเธอมาจอดไว้ที่นี่ และหลังจากส่งรถไดฮัทสุคืนให้เจ้าของแล้ว ชายหนุ่มก็จัดผมจัดเผ้าที่ยุ่งเยิงมาจากการโพกผ้าขาวม้าเมื่อกี้ให้เรียบร้อย แล้วขับรถอัลฟ่าโรมีโอส่วนตัวของเขาออกมาจากบ้านอีกครั้ง เพื่อไปยังสถานที่นัดหมายอีกที่หนึ่ง
เมื่อตอนสายๆ ก่อนจะออกไปที่โรงงานของเสี่ยจิว คุณข้าวได้สั่งให้อัญชุลีนัดหมายกับคุณ "ราชา" ไว้ให้เขา ใช่แล้ว...ราชา คนนี้เอง คือเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมของทั้งจิวและต้นข้าว
ราชา แขกตี้-ขี้แตก ราชา ผู้เคยถูกอำว่า มีพ่อเป็นหมอผีแขก!! คนนั้นเอง
บัดนี้เมื่อเวลาผ่านไป ราชาได้สืบทอดบารมีจากพ่อของเขา คือคุณธฤษณุซิงห์ พ่อค้าผู้ร่ำรวยเหลือล้นจากการขายเครื่องทองเหลืองนำเข้าจากประเทศอินเดีย จนได้เข้ามาใหญ่โตใน 'สมาคมผู้ส่งออก' ในไทย และตอนนี้มาถึงรุ่นลูกคือราชา เขาได้เป็นถึงหัวหน้าส่วนกิจกรรมในสมาคมผู้ส่งออกนั้น รวมทั้งราชายังได้แต่งงานแล้วกับคุณเฮลเลน ซึ่งเป็นหญิงตระกูลอินเดียผู้มั่งคั่ง ที่ค้าขายเครื่องเพชรจนร่ำรวยในกรุงเทพฯ จึงนับว่าบ้านนี้มีอิทธิพลทางการค้ามากครอบครัวหนึ่ง
ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากราชา ในเรื่องของการส่งออกรองเท้าฟองน้ำตราสามดาวของจิว อ้อ...ไม่ใช่สินะ ต้องเป็นรองเท้าฟองน้ำตรา T-Star ต่างหาก
เขาคิดว่าราชาคงช่วยได้ ที่จะผลักดันการส่งออกเรื่องง่ายๆ แบบนี้ แถมตัวราชาเองก็ยังถามถึงจิวจากต้นข้าวอยู่บ่อยๆ เพราะราชาเองก็ไม่เคยเจอหรือติดต่อกับจิวได้เลยตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยไป ขนาดงานแต่งงานของราชากับคุณเฮลเลน ซึ่งจัดอย่างใหญ่โตหลายปีก่อน ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี ภายในงานมีทั้งรัฐมนตรี และคนใหญ่คนโตในสังคมมาอวยพรกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน รวมทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ทุกคนเสมือนหนึ่งเป็นงานเลี้ยงรุ่นย่อยๆ แต่ยกเว้นจิวคนเดียวที่ใครก็ติดต่อไม่ได้
ชายหนุ่มนั่งอมยิ้มคนเดียวหลังพวงมาลัยขณะขับรถมุ่งตรงไปยังบ้านของราชาที่แถวบางนา นึกไปถึงวันแต่งงานของราชา ที่เพื่อนทุกคนในงานต่างถามถึงจิวจากเขา จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าในวันนั้น เขาจะมีความสุขมากขนาดไหนถ้าจิวได้เดินควงคู่กับเขาเข้าไปในงานนั้นด้วยกัน แน่นอนว่าเพื่อนๆ ทุกคนรู้ และรับได้ในเรื่องนี้ที่เขาทั้งสองเป็นแฟนกัน
เขาคงเตรียมตัวกันกับจิว คงใส่สูทสีดำเหมือนกันแบบฝาแฝด ซึ่งน่าจะมาจากต้นข้าวเองล่ะที่จะจัดเสื้อผ้าให้จิว เพราะจิวอ่อนด้อยมากในเรื่องแฟชั่น เขาคงจัดให้ผูกโบว์หูกระต่ายสีเดียวกัน ผ้าเช็ดหน้าที่เสียบแลบออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทคงจะสีเหมือนกัน น่าจะเป็นสีเข้มๆ หน่อยเช่นสีแดงก่ำ เพราะจิวคงไม่ชอบแต่งตัวสีฉูดฉาดมาก และตอนเดินเข้าโรงแรมดุสิตธานีคงจะจูงมือกันเข้าไปอย่างสวีทหวาน คิดแล้วเขาก็ยิ้มและมีความสุข ถ้าหากว่าเรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นจริง
--------------------
"นี่มันเรื่องจริงหรือ?"
เสี่ยจิวหน้าเข้มเป็นสีชมพู ยิ้มตาหยีมิดจนเป็นขีด หลังจากรู้ชัดแล้วว่าลำไยกับไอ้มินเดืองห์จะมีลูกด้วยกันแน่ๆ เขาถามย้ำๆ อยู่อย่างนั้นด้วยความดีใจ
อันที่จริง ถึงลำไยจะเป็นคนอื่น แต่อย่างน้อยเจ้ามินเดืองห์พ่อของเด็กมันก็คือคนในบ้านเขา เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เห็นกันไปถึงไส้ถึงพุงแล้วตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ไปแก้ผ้าอยู่ที่ริมน้ำนครชัยศรีโน่น ถึงไม่ใช่ญาติก็เป็นเหมือนญาติกันไปแล้ว แถมเขาก็ไม่ได้ปกครองแบบเจ้านายกับลูกน้องด้วย มันเหมือนธุรกิจในครัวเรือนมากกว่า จึงมีความผูกพันกันไม่ใช่น้อย ดังนั้นลูกของมันก็เหมือนลูกหลานบ้านนี้คนหนึ่ง
และประเด็นสำคัญ คือเขาก็ตัวคนเดียว ป๊าของเขาก็ไม่อยู่แล้ว ลูกหลานรุ่นเล็กในบ้านก็ไม่มี แต่ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อ ถึงไม่สามารถมีลูกเองได้ แต่เขาก็อยากมีลูกมีหลานเหมือนคนทั่วไป อยากได้ยินเสียงเด็กร้อง อยากเห็นลูกหลานวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวในบ้าน เขาตั้งใจจะขอลูกเจ้ามินเดืองห์คนนี้ให้เป็นบุตรบุญธรรมของเขาเลยด้วยซ้ำ มันคงจะทำให้คำว่า 'บ้าน' สมบูรณ์ขึ้น
คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าชายหนุ่มกลับสลดลง จริงสินะ 'บ้าน' มันจะสมบูรณ์ไปได้อย่างไร หากเขายังไร้คนเคียงข้าง ไร้คนที่จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยในการใช้ชีวิต
เขายังอยากมีคนมาร่วมรับรู้ความรู้สึกของเขา อยากมีคนมาวุ่นวายใจ อยากมีคนมาคอยตาม คอยหึง คอยถามเขาว่าจะไปไหน หรือคอยตามว่าเมื่อไรจะกลับบ้านเวลาเขาออกไปเที่ยวคาราโอเกะ เขาอยากให้มีคนมาเหวี่ยงใส่เขาบ้างเวลาเขาจู้จี้ใช้ให้ถ่ายรูปสินค้าให้ อยากให้มีคนมาทำตาเขียวใส่เมื่อตอนเขาสูบบุหรี่เหม็นอยู่ในบ้าน
เขาอยากมีคนมาเลือกเสื้อผ้าให้เขาในยามแต่งตัว และแม้แต่มาร่วมกันยืนยิ้มดีใจอยู่ตรงนี้ เมื่อรู้ว่าคนใน 'บ้านของเรา' กำลังจะมีลูกเล็กๆ ไว้ให้เลี้ยง
มีแค่ใบหน้าเดียวเท่านั้นที่ลอยเข้ามาในความคำนึงของเขาตอนนี้ นั่นคือใบหน้าของ 'ต้นข้าว'
มีแค่ต้นข้าวคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นรักแรก และรักครั้งเดียวในชีวิตของเขา
--------------------
คุณข้าวนั่งมองขึ้นไปที่ช่อไฟแชนเดอเลียร์ขนาดมหึมาบนเพดานห้องรับแขกบ้านของราชา มันจะเรียกบ้านก็คงไม่ถูกนัก น่าจะเรียกว่า 'วังแขก' มากกว่า ดูจากขนาดของตัวบ้านซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน ๔ ไร่ริมถนนบางนานี่แล้ว รวมทั้งของตกแต่งที่นำเข้ามาจากอินเดียแท้ๆ ตามรสนิยมของคุณธฤษณุซิงห์ และมาดามราณี พ่อและแม่ของราชา มันช่างดูมลังมเลืองเกินกว่าคำว่าบ้านธรรมดาไปแล้ว
นั่งรอไม่นาน ราชาก็เดินลงบันไดแฝดหินอ่อนที่มีราวจับเป็นทองเหลืองกลางบ้านมาจากชั้นสอง โดยมีคนใช้ผู้ติดตามเดินมาด้วยอีกสองคน ราชาซึ่งถ้าย้อนไปตอนในวัยเด็กมัธยม ตามศาสนาห้ามตัดผมตลอดชีวิต จึงไว้จุกกลางหัวแบบเด็กแขก แล้วเอาผ้าขาวๆ คลุมจุกเอาไว้ เหมือนมีซาลาเปาวางอยู่กลางหัว เพื่อนๆ ในห้องเรียนชอบล้อกันเล่นครึกครื้นแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสา
มาบัดนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่นักธุรกิจแล้ว เขาก็ยังต้องไว้ผมต่อไป ห้ามตัด แต่เปลี่ยนจากจุกผ้าสีขาว กลายมาเป็นผ้าลินินผืนยาวสีเข้มอย่างดี โพกรอบหัวเอาไว้อย่างเนี๊ยบกริบ หนวดและเคราก็เก็บเรียบในผ้าบางโปร่งสีดำที่รัดเอาไว้รอบใบหน้า และถ้าดูจากการใส่สูทเต็มตัวแบบนี้ในฉากหลังของบ้านที่ใหญ่โตอลังการ ก็ดูน่าเกรงขามไม่ใช่น้อย
ต้นข้าวเผลอตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ยืนตัวตรงต้อนรับ อารมณ์เหมือนยืนรับเสด็จมหาราชแห่งอินเดียที่กำลังทรงขบวนช้างเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
"มึงจะยืนต้อนรับทำบ้าอะไรห่ะ! ไอ้ต้นข้าว" เสียงราชาพูดหัวเราะขำๆ พร้อมเดินเข้ามากดไหล่ชายหนุ่มให้นั่งลงที่เดิม "มึงจะมาหาทางแกล้งเปลี่ยนเต้นท์ สลับคนที่กลัวผีหลอกให้มานอนกับกูอีกหรือไง"
ถึงจะผ่านมาเกือบยี่สิบปี ราชายังคงจำเหตุการณ์ในคืนที่จิวให้ไอ้เกตุไปสลับนอนเต้นท์เดียวกับราชาในค่ายทหารที่เมืองกาญจนบุรีนั้นได้เสมอ และมีวี่แววว่าจะยังคงอำเรื่องนี้ต่อไปอีกหลายปี
ต้นข้าวหัวเราะขำออกมา เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน ถึงในสังคมข้างนอกจะยิ่งใหญ่ยงยศยังไง สำหรับเพื่อนด้วยกันแล้ว หัวโขนทั้งหมดคงต้องถูกถอดวางไว้ก่อน เหลือไว้แต่มิตรภาพเท่านั้น
หลังจากพากันนั่งลงและทักทายกันแค่นิดหน่อย เพราะทั้งสองได้พบกันบ่อย นอกจากวันงานแต่งของราชาแล้ว ทั้งสองก็พบกันตามงานอีเว้นท์บ้าง งานเลี้ยงบ้าง เพราะต้นข้าวก็ไปจัดงานให้ทางสมาคมฯ อยู่บ่อยๆ ต้นข้าวทำท่าจะเริ่มเรื่องที่เตรียมมาขอร้องราชาในวันนี้เกี่ยวกับเรื่องส่งออกรองเท้าฟองน้ำของจิว แต่ราชากลับเป็นคนเปิดเรื่องใหม่ที่ต้นข้าวไม่รู้ขึ้นมาก่อน
"เออนี่ต้นข้าว พักนี้งานนายเยอะไหม จะมีงานอีเว้นท์ด่วนให้งานนึง รับทำไหวไหม" ราชาเปิดเรื่อง ขยับนั่งตัวตรงเป็นงานเป็นการขึ้น
"อ้าว นี่กำลังจะมาคุยเรื่องฝากสินค้าส่งออกอยู่นะเนี่ย ว่าแต่งานอีเว้นท์อะไร งานสมาคมหรือ" ต้นข้าวชะงักในสิ่งที่ตั้งใจจะมาขอให้ช่วย
"สินค้าอะไรของนายจะส่งออก หึย...อย่าพึ่ง เอาเรื่องของชั้นก่อน งานสำคัญ" ราชาเอามือขึ้นมาโบกห้ามไปมา แล้วพูดต่อ
"คืองี้ เมื่อสองเดือนที่แล้ว มีแนวคิดจากทางรัฐบาลไทยออกมาเรื่องโครงการใหม่คล้ายๆ โครงการหนึ่งในญี่ปุ่นน่ะ ชื่อ One Village, One Product ของเมืองโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ประมาณว่า ตำบลหนึ่งก็จะให้มีสินค้าของดีเป็นของตัวเองออกมาโปรโมทขาย
ส่วนของในเมืองไทยน่าจะตั้งชื่อว่า OTOP นะถ้าจำไม่ผิด ชื่อไทยคือ "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" ประมาณนี้ จากทั้งหมด ๗,๐๐๐ ตำบลทั่วประเทศ"
"แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับงานอีเว้นท์เราได้น่ะหืม? เราไม่ได้ทำตลาดสดซะหน่อย" ต้นข้าวถาม
"เกี่ยวสิ กำลังจะพูดอยู่นี่ไง" ราชาพูดไป ส่ายหัวไปมาด๊อกแด๊ก
"อีกสองอาทิตย์ นายกของญี่ปุ่นกับพวกนายหน้าตัวแทนสินค้านำเข้าของเขา จะมาเยือนไทย และจะมาขอดูความคืบหน้าของโครงการนี้ ที่เราไปขอเขามาเป็นต้นแบบ แต่ของเรามันยังไม่เป็นรูปเป็นร่างไง นายกเลยขอให้สมาคมส่งออกของเราทำแบบตัวอย่างให้เขาดูก่อน เลยต้องรีบจัดงานด่วนๆ เพื่อโชว์เขานี่ไง"
"อ้าว แล้วจะโชว์อะไร รูปแบบไหน แล้วผลิตภัณฑ์อะไรที่ว่านี่ มันมีแล้วหรือ" ต้นข้าวซัก
"ไม่มี!!" คราวนี้ราชาส่ายหัวหนักกว่าเก่า
"เฮ้ย แล้วจะให้จัดงานอะไรล่ะ บ้าไปแล้ว" ต้นข้าวสะดุ้งจริงๆ
"เขาให้เราคิดเองเลย นายเป็นครีเอทีฟงานอีเว้นท์ไม่ใช่เหรอ คิดสิ มีงบให้ล้านสอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องจัดที่ MBK HALL ในห้าง MBK นะ เพราะมันมีห้างโตคิวของญี่ปุ่นอยู่ในห้างนั้น เอาใจทางญี่ปุ่นเค้าหน่อย เผื่อเราส่งออกสินค้าให้เขาได้"
"จะทันหรือนี่ เร็วๆ นี้ห้างกำลังจะทุบ MBK HALL ไปทั้งชั้นเลยนะ เห็นว่าจะเปลี่ยนเป็นโรงหนังแบบสมัยใหม่แทน" ต้นข้าวทำหน้าครุ่นคิด
"ทันๆๆ" ราชาโบกมือไปมาเหมือนในหนังแขก "ทางสมาคมเราไปคุยกับห้าง MBK ไว้แล้ว งานนี้จะเป็นงานส่งท้ายก่อนทุบ HALL ทิ้ง นายมีหน้าที่คิดก็คิดมาเลย คิดตอนนี้เลยว่าจะเอาสินค้าอะไรไปโชว์ในงาน จะได้อนุมัติเดี๋ยวนี้"
ต้นข้าวหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาซดหมดแก้ว กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ หยิบปากกาขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ในสมุดโน้ตที่ถือมา ใจเต้นตุบๆ
--หรือนี่มันจะเป็นโอกาสของจิวแล้ว--
"เอางี้" ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นมาจากสมุด
"เราเอาผลิตภัณฑ์ชัวร์ๆ ก่อนสักสี่อย่าง แต่อยู่ในรูปของแฟชั่นโชว์นะ"
"ว่ามา เอาอะไรบ้าง" ราชากระดกนั่งตัวตรงขึ้นมาตั้งใจฟัง
"ก็มีผ้าไหม จากอำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ" ต้นข้าวเริ่ม
"โอเค ผ่าน" ราชาพยักหน้าหงึกๆ
"แล้วก็เป็นข้าวหอมมะลิ จากทุ่งกุลาร้องไห้"
"ดี ผ่าน" ราชาพยักหน้าแรงขึ้น
"ต่อไปก็เป็นเพชร จากบ้านหม้อ ถนนสายอัญมณีในกรุงเทพฯ" ต้นข้าวค่อยๆ ลดเสียงลง "โดยเฉพาะเพชรจากร้านของคุณเฮลเลน"
คราวนี้ราชาหัวเราะเอิ้กอ้าก "เมียกูเอง ดีๆ ผ่าน"
"ส่วนอย่างสุดท้าย คือ รองเท้าฟองน้ำ จากนครชัยศรี นครปฐม" ต้นข้าวอ้อมๆ แอ้มๆ
"เฮ้ยยย!!!" ราชากระดกตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ หน้าแทบจะทิ่มใส่ต้นข้าวอยู่แล้ว "มันจะเกี่ยวได้ยังไงกับอย่างอื่น อันนี้ไม่โอเค"
...................
หลังจากนี้อีกสิบนาที ราชาก็ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดของจิว เรื่องการที่ต้นข้าวได้ตามหาจิวพบแล้ว รวมทั้งเรื่องธุรกิจของจิวที่กำลังจะพังพินาศอยู่รอมร่อ
ราชานั่งฟังแล้วอึ้งไป ต้นข้าวมองเห็นแววตาราชาที่กำลังคิดหนัก จนผ่านไปสักครู่ ราชาจึงเอ่ยปากถามต้นข้าวว่า
"นายชัวร์ไหมว่า งานนี้จะทำออกมาให้ดีที่สุด"
"รับรองว่าเราจะทำงานนี้ให้ด้วยหัวใจของเราเองเลยล่ะ" ต้นข้าวรับปากกับราชาด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและความหวัง
"งั้นตกลงตามนี้ทั้งหมด" ราชาสรุปอย่างคนเป็นผู้นำ พร้อมที่จะรับผิด และรับชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้น
"ขอบคุณมากนะ เพื่อน" ต้นข้าวยิ้มให้ราชา แล้วพูดต่อ
"คนเราจะเติบโตขึ้นได้ เพราะได้รับโอกาสจากใครอีกคนหนึ่งเสมอ ขอบคุณมากนะ ที่นายให้โอกาสจิว"
"ยินดีมากเพื่อน" ราชาเอื้อมมือมาตบไหล่ต้นข้าวเบาๆ แล้วพูดต่อ
"แต่ชั้นว่า คนที่ดีใจมากกว่าคือนายนั่นแหล่ะ สายตานายมันฟ้อง น่าอิจฉาจิวมันจัง ที่มีคนที่มุ่งมั่นจะทำอะไรให้แบบนี้"
--------------------
อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เสี่ยจิวได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่ง แนะนำตัวว่านางเป็นตัวแทนจากบริษัทออร์กาไนซ์แห่งหนึ่ง ที่จะจัดงาน "OTOP Showcase 2001 - เปิดโลก หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ๒๕๔๔" สำหรับแสดงสินค้าประจำตำบลเพื่อการส่งออก ที่ MBK HALL และสินค้าจากโรงงานจิวได้รับเลือกเป็นหนึ่งในโชว์นี้ด้วย ขอให้จิวเตรียมตัว และเตรียมเสื้อผ้าชุดสูทสำหรับใส่ไปออกงานนี้ให้พร้อม เพราะเป็นงานใหญ่ นายกรัฐมนตรีและท่านผู้หญิงภริยานายก จะมาเป็นประธานเปิดงานเอง
"แล้วอย่างอื่นผมต้องเตรียมอะไรไหมครับ เช่นสินค้าไปออกบูธ"
เสี่ยจิวถาม ทั้งที่ยังงงๆ กับเรื่องราวอยู่ ในขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่าเสียงคนที่พูดในสาย ทำไมมันคุ้นหูจัง
"ในจุดนี้ ยังไม่ต้องเตรียมอะไรค่ะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวอัญชุลีจะแจ้งคุณอีกทีนะคะ" เสียงผู้หญิงปลายสายตอบ
"เดี๋ยวๆ คุณชื่ออัญชุลีเหรอ ผมก็ว่าเสียงคุ้นจัง คุณอัญชุลี ก่องเพ็ชร จากบริษัทรับซื้อของมือสองหรือเปล่าครับ"
"แกร๊ก..." เสียงวางสายจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วหลังจากเขาถามจบ
ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์อย่างงุนงง ใจหนึ่งก็นึกดีใจที่รองเท้าฟองน้ำของเขาจะได้ไปแสดงที่งานสินค้าส่งออก มันอาจช่วยพลิกฐานะของโรงงานตอนนี้ได้เลย ส่วนอีกใจหนึ่งกำลังนึกสงสัยความไม่ชอบมาพากลของผู้ที่ติดต่อมา จริงๆ เขาว่ามันตะหงิดๆ ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงชื่ออัญชุลีมาที่โรงงานนี้ครั้งแรกแล้ว มาพร้อมกับใครนะ...นึกไม่ออก คนงานหรือเปล่า ที่นั่งซุ่มคลุมหัวอยู่ในรถอีกสองคน
..................
เสี่ยหนุ่มหน้าตี๋ นั่งลงไปที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของเขา ตามองไปที่จอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เขาหยิบนามบัตรที่อยู่ใต้คีย์บอร์ดขึ้นมา แล้วพิมพ์ชื่อ 'บริษัท สมใจนึก จำกัด' ลงในช่องค้นหาข้อมูลในเวป Google แล้วกดปุ่ม Enter
อินเทอร์เน็ต 56Kbps ก็กำลังแสดงผลอันยืดยาดของมันตามสภาพ นั่นคือ IE หรือ Internet Explorer กำลังขึ้นรูปนาฬิกาทรายหมุนพลิกไปพลิกมากลางจอ
มันกำลังหมุนติ้ว ติ้ว ติ้ว...