MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐  (อ่าน 139443 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อ่านตอนนี้แล้ว
รู้สึกอิ่มเอมและสุขใจ

มันยาวนานเหลือเกินนะ
เจ้าความรักครั้งนี้

จิว&ข้าว

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
โหยยย จะกดวางสายทำไม 555 ตอนหน้าจะได้เจอกันแล้วสิ รอ รอ รอ มาเร็วๆนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ได้ติดต่อกันแล้ว ได้คุยกันแล้ว เอ๊ย....ไมใช่ จิวได้ฟังเสียงต้นข้าวแล้ว  :z3:
แต่แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
มากดดัน เอ้ย....... มารอฉากเค้าเจอกัน

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ฮืออ เราเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ค่ะ พลาดไปได้ยังไงเนี่ย ชอบมากกก
ยังอ่านไปได้ไม่กี่ตอน เพราะยาวมากเลย 555 แต่ขอมาให้กำลังใจคนเขียนก่อนนะคะ
อ่านแล้วได้รำลึกวันวานไปด้วย มันมีความสุขมาก ๆ วัยรุ่นยุค'90 ด้วยกันคงเข้าใจ
บางสิ่งที่คนเขียนเอ่ยถึงในเรื่อง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดถึง
แถมบางสิ่ง บางสถานที่ เราก็ไม่รู้จักด้วย ทำให้ได้ความรู้ใหม่ไปด้วย ดีจัง
เดี๋ยวต้องไปอ่านต่อก่อนค่ะ ยังไปไม่ถึงไหนเท่าไหร่
แต่เปิดตัวมา ด้วยชายชราสองคนเดินกุมมือกัน ก็ทำให้ประทับใจแล้ว  :-[
มั่นใจว่าอ่านไปเรื่อย ๆ ต้องยิ่งทำให้มีความสุขแน่ ๆ ^^
ขอบคุณคนเขียนมากเลยนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน


          วันจัดงาน "OTOP Showcase 2001 - เปิดโลก หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ๒๕๔๔" ครั้งแรกของเมืองไทยก็มาถึง เสี่ยจิวยืนหันรีหันขวางอยู่กลางลานชั้นหนึ่งในห้าง MBK Center เขามีอาการหอบเล็กน้อย เหงื่อออกซึมตามใบหน้า เนื่องจากต้องเดินมาไกลจากที่จอดรถ ความที่ไม่ค่อยเข้ามาในเมือง กลัวหลงทิศและสับสนการวันเวย์ของถนน เขาจึงเลือกที่จะไปจอดรถในวัดปทุมวนาราม ใกล้แยกอังรีดูนังต์ แล้วเดินเท้าผ่านสยามสแควร์มาจนถึงห้าง MBK Center

          สาวๆ ในห้างหลายคนหันมามองชายหนุ่มแล้วยิ้มให้ เสี่ยจิวเริ่มเขินตัวเอง ทำท่าเก้ๆ กังๆ เอามือจับที่ชายเสื้อสูทอย่างไม่มั่นใจ วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อสูทหล่อชุดเดิมกับวันที่มีทีมงานมาถ่ายรูปเขาที่โรงงาน และมอบชุดนี้ไว้ให้เขาสำหรับใส่มาในงานค่ำนี้ เขาเอามือจัดผ้าเช็ดหน้าสีแดงแก่ที่โผล่พ้นปากกระเป๋าให้ได้รูป ขยับโบว์หูกระต่ายสีเดียวกันอย่างเขินๆ ชายหนุ่มทำทรงผมหวีเรียบใส่เยล เผยให้เห็นใบหน้าขาว ดูอ่อนกว่าวัย คิ้วเข้มเหนือตาชั้นเดียวที่ลงตัวกับรูปหน้าอย่างมีเสน่ห์

          ในยุคที่ผู้คนกำลังคลั่งไคล้ดาราหนุ่มตาชั้นเดียวจากไต้หวัน อย่างเช่นนักร้องนักแสดงวง F4 จากละครเรื่อง "รักใสใส หัวใจสี่ดวง" เจอร์รี่ (Jerry), แวนเนส (Vanness), เคน (Ken) และ วิค (Vic) ทำให้เสี่ยจิวซึ่งดูเป็นตี๋หล่อคนหนึ่ง ก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาสาวๆ ทั้งห้างจริงๆ

          เขาค่อยๆ เดินเลี่ยงสายตาเด็กสาวๆ มา จนกำลังจะขึ้นบันไดเลื่อน สายตาเหลือบไปเห็นร้านขายดอกไม้เล็กๆ อยู่กลางห้าง มีชื่อว่าร้าน PP House เขาเดินไปหยุดที่หน้าร้านนั้น พร้อมกับสั่งทำช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง โดยขอเป็นกุหลาบสีแดงล้วน ชายหนุ่มยืนรอจนเสร็จ จ่ายเงิน แล้วรับช่อกุหลาบสีแดงนั้นมาถือไว้ พร้อมกับขำตัวเอง

          "แล้วจะเอาไปทำไมนี่ จะเอาไปให้ใคร?"

          มันเป็นคำถามที่เขาถามตัวเอง และเขาก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ  จะด้วยสัญชาติญาณหรือในส่วนลึกของใจสั่งให้ทำ หรืออะไรก็แล้วแต่ เขามีความรู้สึกว่าอยากเอาช่อกุหลาบนี้เข้าไปในงานด้วย ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก เมื่อคิดได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาซื้อช่อดอกไม้ที่เป็นกุหลาบแดงแบบนี้ ก็เมื่อสิบปีที่แล้ว เพื่อจะเอาไปให้ต้นข้าวที่ขึ้นแสดงละครเวทีเรื่อง "ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" แต่ท้ายที่สุดต้นข้าวก็ไม่ได้รับกุหลาบช่อนั้น

          ...................

          เสี่ยจิวเดินขึ้นมาบนชั้น ๕ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ MBK HALL บนนั้นมีคนเดินกันขวักไขว่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดูเป็นคนในวงการค้าขาย มีหลายคนใส่ชุดผ้าไหมพื้นเมืองอย่างดี แสดงว่าอาจเป็นพวกตัวแทนกลุ่ม OTOP จากจังหวัดต่างๆ และนอกนั้นก็มีคนต่างชาติอันหลากหลายที่เป็นแขกรับเชิญอีกจำนวนมาก

          ชายหนุ่มมองหาคนที่อาจจะรู้จัก แต่ก็ไม่เห็นใคร แม้กระทั่งเจ้าจอซู ซึ่งออกจากโรงงานมาตั้งแต่เช้า เพื่อเป็นตัวแทนเจ้าของสินค้ามาช่วยทีมงานผู้จัดเซ็ตงานในส่วนนิทรรศการผลิตภัณฑ์ เขาเองก็ยังมองไม่เห็นมัน

          เสี่ยตี๋หล่อ เดินเลยเข้ามาถึงส่วนของนิทรรศการสินค้า OTOP ที่จะมีโชว์วันนี้ เขายืนอึ้งมองดูอยู่นาน และนึกชมในความคิดของผู้จัดแต่ง

          มันเป็นการจัดวางในแนวยาวจากที่เขายืนอยู่ไปจนสุดผนังที่มีประตูทางเข้า HALL โดยเริ่มจากป้ายตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า

          "รอยเท้าที่ก้าวเดินบนแผ่นดินทอง"

          ซึ่งตรงจุดเริ่มใต้ป้ายนี้ จัดแต่งเป็นพื้นดินที่แห้งผาก แล้วมีรองเท้าแตะฟองน้ำรุ่นแรกๆ สมัยยังเป็นตราสามดาวของป๊าของเขา วางเรียงอยู่เหมือนกำลังก้าวเดิน

          ชายหนุ่มเดินลึกเข้ามาตามแนวนิทรรศการ ตอนนี้พื้นดินที่ปูไว้จากที่แตกระแหงเริ่มกลายเป็นสีเขียวแล้ว มีต้นข้าวเริ่มออกรวง มีกระจาดใส่ตัวอย่างเมล็ดข้าวพร้อมป้ายปักไว้ถึงชื่อพันธุ์ข้าวจากทุ่งกุลาร้องไห้ และยังมีรองเท้าแตะของเขาวางเรียงเสมือนเป็นรอยเท้าย่ำนำทางต่อไปเรื่อยๆ

          ตอนนี้รองเท้าแตะของเขาที่วางเรียง เริ่มเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ขึ้นแล้ว มันนำทางไปสู่พื้นที่จัดแต่งเป็นก้อนหินสีสวย แวววาว และมีตัวอย่างเพชรพลอยอัญมณีวางโชว์อยู่ เหมือนจะบอกว่ามันคือทรัพย์สินแร่จากผืนดินไทย

          เมื่อเขาเดินต่อ ตอนนี้รองเท้าแตะของเขาเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว คือรุ่นสวมแบบสลิปเปอร์ และบนหน้ารองเท้าที่สำหรับสวมเป็นแผ่นรูปหน้าหมูออมสินสีแดง มันวางเรียงเหมือนการเดินต่อไปที่พุ่มใบหม่อน อาหารของหนอนไหม วางประดับด้วย "ไน" หรือวงล้อสำหรับกรอด้ายไหม และต่อด้วยการจัดวางผ้าไหมสีสวยจาก อ.บ้านเขว้า ชัยภูมิ

          และสุดทางเดิน เป็นทางเดินเปล่าๆ ที่เขียวขจี รองเท้าแตะสีแดงมาวางหยุดก้าวเดินที่ตรงนี้ และเหลือแต่เฉพาะหน้าแผ่นสำหรับสวมของรองเท้าที่มีหน้าหมูออมสิน ลอยแยกออกจากพื้นรองเท้า และเริ่มแขวนลอยด้วยเอ็นบนอากาศเป็นจำนวนมาก ดูเผินๆ เหมือนผีเสื้อสีแดงกระพือปีกโบยบินเป็นฝูง กำลังบินเข้าหาผนัง HALL ซึ่งพิมพ์เป็นรูปโมเดลของสนามบินสุวรรณภูมิที่เริ่มจะก่อสร้างในจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกับตัวหนังสือเขียนว่า

          "เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน"

          เขาหันไปมองรอบๆ ตัว มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากมองดูนิทรรศการนี้เช่นกัน ทุกคนมีสีหน้าชื่นชม ชี้ชวนกันดูตรงจุดนั้นจุดนี้ และหยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ

          ชายหนุ่มใจเต้นแรง นึกตื้นตันที่สินค้ารองเท้าฟองน้ำของเขาได้มีส่วนในเรื่องราวอันน่าประทับใจเช่นนี้ เขานึกขอบคุณและนึกชื่นชมยินดีกับเจ้าของความคิดนี้จากใจจริง ใครหนอช่างเจ้าความคิด นำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันสี่อย่าง มารวมกันได้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้

          อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า เจ้าของเสียงเมื่อคืนนี้ทางโทรศัพท์ -ต้นข้าว- ผู้อยู่ในใจเขาตลอดมา จะมีส่วนร่วมในความคิดอันนี้ไหมหนอ คิดแล้วเขาก็ก้มลงไปมองช่อกุหลาบในมือ เอามือแตะที่กลีบหนึ่งของกุหลาบบางสีแดงเข้มนั้น แล้วอมยิ้ม...

          .................

          หลังจากเสี่ยจิวได้เดินจนสุดนิทรรศการแล้ว เขาก็ได้เจอกับจอซู ซึ่งมายืนอมยิ้มรออยู่หน้าโต๊ะลงทะเบียน มันยืนคู่ตัวติดกันอยู่กับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็น ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาดี แต่งตัวดี และดูเหมือนทั้งคู่สนิทสนมกัน เขายังไม่ทันพูดคุยอะไร เพราะเหมือนงานกำลังจะเริ่มแล้ว ข้างหน้างานมีความเคลื่อนไหวคึกคัก เหมือนมีผู้หลักผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีเดินทางมาถึง เขาจึงรีบเซ็นชื่อลงทะเบียน แล้วเข้าไปนั่งใน HALL

          ชายหนุ่มได้นั่งในแถวที่สองเกือบกลางๆ ร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP อื่นๆ และมองเห็นเวทีได้ชัดเจน

          เพลงสรรเสริญพระบารมีดังกระหึ่มขึ้น ทุกคนใน HALL ลุกขึ้นยืนตรง หลังจากนั้นไฟในส่วนที่นั่งคนดูก็ค่อยๆ มืดลง กิจกรรมบนเวทีก็เริ่มต้นขึ้น

          --------------------

          ต้นข้าวยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหลังเวที ชายหนุ่มค่อนข้างจะตื่นเต้นสำหรับงานนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมือวางอันดับหนึ่งของวงการออร์กาไนซ์ก็เถอะ แต่สำหรับงานนี้ เขาคิดว่ามันสำคัญมาก มันสำคัญมากสำหรับใครอีกคนหนึ่ง เขาจะต้องทำมันให้จบอย่างสำเร็จบริบูรณ์

          ชายหนุ่มยกมือขึ้นจัดผ้าเช็ดหน้าสีแดงก่ำที่เสียบโผล่ออกมาจากปากกระเป๋า และจับหูกระต่ายสีเดียวกันให้เข้าที่อย่างคนใจลอย แน่นอน...ชุดที่เขาใส่ตอนนี้มันเหมือนกันเปี๊ยบกับของจิว เขาตั้งใจเลือกมันเองให้เป็นแบบนี้

          เขายืนหันรีหันขวางอยู่สักครู่ พริกเพื่อนรักก็เดินเข้ามาหา

          เนื่องจากงานวันนี้เป็นงานสำคัญของเขา ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไว้วางใจให้พริก มาเป็นผู้กำกับเวทีของงาน OTOP นี้ให้เขา

          "อ้าวต้นข้าว มายืนทำอะไรตรงนี้ โห นี่ เหงื่อซึมเต็มหน้าเลย ตื่นเต้นเหรอ" พริกเดินเข้ามาใกล้

          ต้นข้าวเอามือไปกุมมือพริก ฝ่ายตรงข้ามสัมผัสได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบ

          "เรากลัวมันออกมาไม่ดีน่ะพริก" ต้นข้าวทำหน้ากังวล

          พริกหัวเราะนำมาก่อน "ทำไมจะไม่ดีล่ะ ไอเดียงานของเธอครั้งนี้นี่สุดยอดจะตาย ดูแค่งานนิทรรศการข้างหน้าสิ คนยังชมกันไม่ขาดปากเต็มหน้างานไปหมด"

          "จริงเหรอ" ต้นข้าวทำหน้าตื่นๆ

          "จริงสิ จะมาพูดเอาใจทำไม เพื่อนกัน ดีก็ว่าดี ถ้าไม่ดีก็จะบอกกันตรงๆ" พริกเอามือตบหลังต้นข้าวเบาๆ

          "เราตั้งใจทำงานนี้ให้...เอ่อ...จิวเลยนะ" ต้นข้าวครางออกมาแผ่วๆ สายตามองเหม่อเหมือนจะทะลุผนังเวทีออกไปถึงคนที่นั่งดูในแถวสอง

          "เรารู้" พริกยิ้มออกมา "มันถึงออกมาดีอย่างนี้ไงล่ะ เธอมุ่งมั่นตั้งใจกับมันมากเลยนะ"

          ต้นข้าวหันมามองพริก จับมือขึ้นมากุมไว้ "พริก ฝากด้วยนะ เอาให้งานบนเวทีนี้ออกมาดีที่สุดเลยนะ"

          "มันต้องดีอยู่แล้วต้นข้าว ทั้งนางแบบ นายแบบและแดนเซอร์ทุกอย่างพร้อมล่ะ ทั้งหมดนี่มันเป็นไอเดียของเธอ เราแค่ประสานมันให้สมบูรณ์บนหน้าเวทีตามสคริปต์ของเธอนั่นแหล่ะ" พริกเอามือขึ้นแตะใบหน้าต้นข้าว

          "เหงื่อออกเต็มไปหมด ไปซับหน้าหน่อยนะต้นข้าว เดี๋ยวตอนจบช่วงฟีนาเล่ เธอต้องออกไปเดินโค้งขอบคุณที่หน้าเวทีด้วย เธอจะให้จิวเห็นเธอหน้ามันย่องแบบนี้ไม่ได้นะ อยู่หน้าเวทีเธอต้องหล่อที่สุด"

          ประกายวูบหนึ่งฉายอยู่ในดวงตาของต้นข้าว มันเหมือนดาวเหนือที่กระพริบสว่างสุกสกาวท่ามกลางท้องฟ้าที่เคยมืดมิดมาสิบปี

          "จริงสินะ ขอบคุณมากๆ นะพริก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย"

          พริกกระดกคิ้วข้างหนึ่งให้ชายหนุ่ม แล้วบอกตามหลังไปว่า

          "The show must go on  การแสดงต้องดำเนินต่อไปนะต้นข้าว  ชีวิตของเราก็เช่นกัน หลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้น ก็จงทำตามหัวใจตัวเองเลยนะ"

          ต้นข้าวส่งยิ้มกว้างให้พริก แล้วผลักประตูห้องแต่งตัวนักแสดงหายเข้าไปข้างใน

          --------------------

          จิวตั้งใจมองทุกสิ่งบนเวทีอย่างไม่ให้คลาดสายตา ในช่วงแรกของงานเป็นพิธีการที่เป็นทางการ มีการกล่าวเปิดงาน มีการฉายสไลด์ความเป็นมาของงาน และการเซ็นสมุดลงนามร่วมมือกันของทางสมาคมการค้าไทยกับญี่ปุ่นบนเวที และเขาเห็นราชา เพื่อนเก่าของเขาที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปีอยู่บนเวทีนั้นด้วยในกลุ่มของผู้ประกอบการ ชายหนุ่มนึกในใจว่าเดี๋ยวจบงานต้องไปทักเสียหน่อย

          จนมาถึงช่วงไฮไลท์ของงาน ไฟบนเวทีมืดลง จอภาพโปรเจคเตอร์ฉายเป็นรูปพื้นทุ่งนาที่แตกระแหง แล้วมีภาพขาคนใส่รองเท้าแตะเก่าๆ เดินอยู่ แล้วภาพก็เปลี่ยนไปเป็นท้องทุ่งนา

          บนเวทีมีแดนเซอร์ออกมาเต้น ทุกคนใส่ชุดสีดำ แต่ใส่รองเท้าแตะสีแดงของจิว ดูเด่นชัดมากบนเวที ในมือทุกคนถือรวงข้าวบ้าง กระด้งฟัดข้าวบ้าง การแสดงทำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของข้าวเสาไห้ของไทย

          หลังจากนั้นเป็นการเดินแบบของนางแบบและนายแบบในชุดผ้าไหมไทยประยุกต์ จากอำเภอบ้านเขว้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นไม่ค่อยมีคนกล้าทำ มันล้ำสมัยเกินไป แต่การแสดงชุดนี้แปลกใหม่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของคนใน HALL ทุกคน เรียกเสียงปรบมือดังเกรียวกราว

          จนมาถึงโชว์ชุดสุดท้าย ภาพบนจอขึ้นโลโก้ของ ๔ ผลิตภัณฑ์ OTOP ตัวอย่างที่มาโชว์วันนี้ ตั้งแต่โลโก้ T-Star รองเท้าแตะฟองน้ำของจิว โลโก้ข้าวเสาไห้จากสุรินทร์ โลโก้ผ้าไหมบ้านเขว้า และโลโก้เครื่องเพชรจากถนนบ้านหม้อ ถนนสายอัญมณีของกรุงเทพฯ แล้วภาพบนจอก็เปลี่ยนไปเป็นรูปโมเดลของสนามบินแห่งใหม่ที่หนองงูเห่า คือสนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังสร้าง

          แดนเซอร์สองคน ลากม้วนพรมสีเขียวออกมาปูเต็มพื้นเวทีอย่างงดงาม มันเป็นสีเขียวสดใสเหมือนต้นข้าวยามเช้า

          หลังจากนั้นดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงที่ดูยิ่งใหญ่ ไฟฟอลโล่ที่สว่างจ้าจับไปที่กลางเวที นางแบบคนไทยที่ชื่อเสียงดังไปทั่วโลก 'รจนา' ก็เดินนวยนาดอย่างสง่างามมาบนเวทีสีเขียวนั้น

          เธอมาในชุดราตรีผ้าไหมสีแดงสด ช่วงบนเป็นเกาะอก เข้ารูปมาถึงสะโพก แล้วบานออกในช่วงล่าง ทิ้งหางลากยาวเหมือนเจ้าหญิง มองไกลๆ เหมือนช่วงปลายกระโปรงมีวัสดุอะไรสักอย่างที่พริ้วไหว กระพือดิ้นเหมือนมีผีเสื้อสีแดงบินอยู่รอบชายกระโปรงนั้น เธอใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง ส่วนบนลำคออันยาวระหง มีสร้อยทับทิมสยามล้อมเพชรเส้นใหญ่มูลค่ากว่า ๓๐ ล้านบาท ส่งประกายระยิบระยับสู้กับแสงไฟบนเวที เสียงปรบมือจากผู้ชมดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆ กับแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปนับร้อย ส่องให้เวทีนั้นพราวพร่างเหมือนสวรรค์บนดิน...บนผืนแผ่นดินไทยเรานี่เอง

          จิวลดมือลงจากการปรบมือ สายตาจ้องไปที่นางแบบอย่างชื่นชม "สง่างามมาก" เขาคิดในใจ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็เกิดอาการน้อยใจขึ้นมา จริงสินะ ฉากสุดท้ายนี่มีแต่ความอลังการของสินค้าต่างๆ มารวมอยู่ด้วยกัน เว้นแต่สินค้าของเขา คือรองเท้าแตะฟองน้ำที่ด้อยค่าไม่คู่ควรกับโชว์ชุดนี้ จึงไม่ถูกเอามานำเสนอในชุดฟีนาเล่ของนางแบบนี้ด้วย

          นางแบบรจนา ค่อยๆ เยื้องกรายจากกลางเวที เริ่มเดินออกมาที่ Catwalk ทุกย่างก้าว ชายกระโปรงที่สะบัด เหมือนมีผีเสื้อสีแดงอันมีชีวิต โบกปีกกระพือบินตาม เธอค่อยๆ เดินออกมาจนถึงปลายสุด Catwalk จนมันใกล้กับที่นั่งแถวสองของจิวไม่เกินห้าเมตร แล้วจิวก็เห็นสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนขึ้น

          ปลายกระโปรงที่บานยาวของนางแบบ ที่มองเห็นว่าเหมือนผีเสื้อกำลังโบยบิน แท้จริงแล้วมันคือวัสดุแผ่น PVC ที่เป็นรูปหน้าหมูออมสินสีแดงบนรองเท้าแตะรุ่นใหม่ของเขานั่นเอง หากแต่คนทำชุด แกะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นหน้าหมูจากรองเท้า มาเย็บติดให้เคลื่อนไหวได้อย่างมีศิลป์ กระจายรอบชายกระโปรงนั้นสลับกับการปักคริสตัลที่แวววาว ประมาณจำนวนคร่าวๆ ได้หลายร้อยชิ้น!!

          น้ำตาจิวเอ่อคลอออกมา จนเขาต้องเอามือขึ้นมาปาด ชายหนุ่มภูมิใจในสินค้าของตัวเองแทบจะหัวอกระเบิด จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ครบสภาพของรองเท้าฟองน้ำอย่างที่มันควรจะเป็น หากแต่ภาพของนางแบบที่สวมชุดนี้ มันจะต้องออกสื่อกระจายไปทั่วภูมิภาคเอเซีย หรืออาจจะไปสักครึ่งโลกก็ได้ถ้าข่าวมันไปถึง

          เขารู้สึกขอบคุณใครก็ตามที่ออกความคิดไอเดียทำชุดนี้ จิวยกมือขึ้นมาปรบมืออีกครั้งหนึ่ง เสียงปรบมือของทั้ง HALL ดูเหมือนจะยังไม่จางง่ายๆ

          ...................

          ต้นข้าวยืนกัดริมฝีปากตัวเองจนแทบจะห้อเลือดอยู่ข้างหลังเวทีด้วยความตื่นเต้น และลุ้นว่าผลตอบรับมันจะออกมาดีไหม หากแต่เสียงปรบมือที่ดังสนั่นหวั่นไหวเข้ามาถึงที่เขายืนอยู่ มันก็เป็นตัวบอกได้แล้วถึงความสำเร็จของมันที่เกิดขึ้น

          เสียงพิธีกรจากหน้าเวที ประกาศขอบคุณผลิตภัณฑ์ทั้งสี่อีกครั้ง แล้วประกาศชื่อผู้ออกแบบชุดและโชว์ครั้งนี้ พร้อมกับเรียกเชิญให้ออกมาปรากฏตัวหน้าเวที

          มันคือชื่อของต้นข้าว

          พริกที่ยืนใส่หูฟังอยู่ข้างๆ สะกิดเตือนให้ต้นข้าวเดินออกไปหน้าเวที

          ชายหนุ่มหายใจเข้าแรงๆ ยาวๆ ครั้งหนึ่ง เขาหลับตาลงชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้น ค่อยๆ เดินอย่างคนที่มั่นใจในตัวเองไปที่กลางเวที โค้งขอบคุณ แล้วเดินต่อไปที่ปลายสุดของ Catwalk ที่นางแบบรจนายืนคอยอยู่

          ต้นข้าวเดินมาหยุดข้างๆ รจนา เขาก้มลงโค้งขอบคุณอีกครั้ง คราวนี้เสียงปรบมือยิ่งดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มตัวแทนภาครัฐจากทางญี่ปุ่นลุกขึ้นยืนปรบมือ พลอยทำให้ทุกคนทั้ง MBK HALL แห่งนี้ลุกขึ้นยืนปรบมือไปด้วย

          และตอนนี้ต้นข้าวมองเห็นจิวที่ยืนปรบมืออยู่ข้างหน้าแถวที่สองแล้ว

          ..................

          จิวหัวใจเต้นแรง จับตามองไปที่เวที ตาทั้งสองแทบไม่ได้กระพริบ เขากลัวจะพลาดกับภาพตรงหน้า เขาไม่อยากจะพลาดไปแม้แต่วินาทีเดียว

          นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม นี่มันต้นข้าวจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเขาจำต้นข้าวไม่ได้ ต้นข้าวไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยในสายตาของเขา แต่เขากลัวว่านี่มันคือฝันไป เขาไม่อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน

          ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในงานวันนี้ ต้นข้าวทำเพื่อเขาหรือนี่ มันต้องเป็นการตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะให้ออกมาประสบความสำเร็จแบบนี้ งานนี้ไม่ใช่งานเล็กๆ มันจะต้องถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของวงการค้าของไทย ต้นข้าวคงเหนื่อยน่าดูสำหรับการเตรียมงานในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

          จิวจ้องตาประสานไปที่ตาต้นข้าวบนเวที มือของจิวที่ปรบอยู่ ค่อยๆ ยกสูงขึ้น เขาส่งยิ้มอย่างคนที่ให้กำลังใจ ส่งยิ้มอย่างคนที่เข้าใจ ส่งยิ้มอย่างคนที่รับรู้ถึงความปรารถนาดี และส่งยิ้มด้วยความขอบคุณจากเบื้องลึกของหัวใจไปให้ต้นข้าว

          ..................

          ต้นข้าวมองลงมาที่จิว ผู้คนนับพันคนใน HALL ที่กำลังยืนปรบมืออยู่นี้เหมือนหายไปกับธาตุอากาศ HALL ที่กว้างใหญ่บนชั้นห้าใน MBK Center แห่งนี้เหมือนว่าเหลือแค่เขากับจิวเพียงสองคนเท่านั้นโดยมีแค่ความสูงของเวทีกั้น

          ชายหนุ่มอยากหยุดลมหายใจไว้เท่านี้ ถ้าหากว่าเวลาผ่านไปแล้วภาพนี้จะหายไป เขาขอจดจำช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไว้ตลอดกาล

          คนที่ยืนปรบมือพร้อมส่งสายตาชื่นชมและขอบคุณมาให้เขานี่คือ 'จิว' คนที่เขาเพียรพยายามตามหามาตลอดสิบปีเต็ม คนที่ยังอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา และคือคนเดียวที่เขาตั้งใจทำงานนี้ให้

          เสียงปรบมือยังดังสนั่นไม่ขาดสาย

          บัดนี้ ความสำเร็จของต้นข้าวไม่ได้เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเลยอีกต่อไป มันถูกรับแล้วโดยคนอีกคนหนึ่ง ที่เขาอุทิศความสำเร็จและความเหนื่อยยากนี้ให้

          สายตาของทั้งสองจ้องสงบ นิ่ง และเนิ่นนาน มันเป็นสายตาที่แลกเปลี่ยนกันของความเป็น "ผู้ให้" และ "ผู้รับ" อย่างสมบูรณ์

          แล้วไฟบนเวทีก็ดับลง...


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แล้วต่อจากนี้เล่า......... :ling1: :ling1: :ling1:
อยากอ่านตอนต่อไปและ  :z3: :z3: :z3:

จิว ต้นข้าว   :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
=_=อีกละ ค้างอีกละ ฮือออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เจอกันแล้ว / รู้สึกอบอุ่น  :กอด1:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รออ่านตอนต่อไป ค้างมากๆ 555 แต่ประทับใจการบรรยาย

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ชื่นชมกับผลิตภัณฑ์ไทยนะ. รองเท้าแตะที่มีการพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆ

แต่สุดท้ายก้อจะกลับมาแบบคลาสสิคด้วยพื้นสีขาวสายน้ำเงิน

จิวเจอต้นข้าวละ.

 :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:

...

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง


          ต้นข้าว ยืนใจเต้นแรงอยู่หลังเวทีเมื่องานทุกอย่างสิ้นสุดลง มันสำเร็จลงเรียบร้อยแล้วสำหรับสิ่งที่เขาตั้งใจอยากจะช่วยธุรกิจของจิว และเหนือสิ่งอื่นใด ภาพของจิวที่ยืนปรบมือให้เมื่อสักครู่นี้ ยังติดตาตรึงใจอยู่ไม่รู้หาย และตอนนี้คงได้เวลาแล้วสินะ ที่เขาจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับจิว หลังจากรอคอยมานานถึงสิบปี

          "ต้นข้าว..."

          มีเสียงหนึ่งเรียกเขามาเบาๆ จากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงหนักกว่าเดิม เขาค่อยๆ กลั้นหายใจพร้อมกับหันกลับมาตามเสียงเรียกนั้นช้าๆ

          ใบหน้าที่มีขนเต็มหน้าพร้อมทั้งผ้าโพกหัวตามเชื้อชาติ ยืนยิ้มเผล่เรียกเขาอยู่นั่น ราชานั่นเอง ต้นข้าวหายใจแรงๆ ออกมาดังเฮือก!!

          "อ้อ ราชา" เขาเรียกออกไปอย่างใจลอย

          ราชาเดินเข้ามาใกล้เขา เอามือหนาหนักตบที่ไหล่เขาเบาๆ

          "งานเยี่ยมมากเลยนะเพื่อน ผู้หลักผู้ใหญ่ชมกันเปาะเลย ยอดสั่งซื้อต้องกระฉูดแน่ ทางญี่ปุ่นก็ชอบมาก เห็นว่าจะออเดอร์รองเท้าฟองน้ำหลายหมื่นคู่เลยนะ"

          ต้นข้าวยิ้มแห้งๆ ให้ "ขอบใจนะราชา ที่ให้โอกาสเราทำงานนี้ และให้โอกาสกับ...เอ่อ...จิว..."

          "โอ้ย จะเป็นอะไรไป เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันเนอะ เออ ว่าแต่เมื่อกี้เจอจิวในงานด้วย แล้วนายล่ะเจอกับจิวหรือยัง เห็นแว่บๆ ว่าเดินออกไปนอก HALL  ได้ยินบ่นๆ ว่าจะไปห้องน้ำ จะเอาน้ำมาพรมอะไรสักอย่างนี่ล่ะ ฟังไม่ถนัด"

          ต้นข้าวขมวดคิ้วจนหน้าผากเป็นรอยยับยู่ นึกในใจ --จิวจะเอาน้ำมาพรมอะไรหว่า มันใช่เวลาไหมเนี่ย--

          "เฮ้ย ชั้นไปก่อนนะ ต้องลงไปส่งรัฐมนตรีและพวกญี่ปุ่นก่อน ไว้คุยกันใหม่นะเว้ย รับรองมีงานของ OTOP ให้เธอได้จัดตามมาอีกเพียบ"

          ต้นข้าวโบกมือให้ราชา แล้วตัวเองก็หันหลังกลับไปมองม่านเวทีที่ปิดลงแล้วจากด้านหลังเหมือนเดิม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

          ...................

          "ต้นข้าว"

          เสียงแผ่วเบา คุ้นหู เรียกชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หัวใจเขาไม่ทันได้เต้นเหมือนเมื่อสักครู่อีกแล้ว คือมันแทบจะหยุดเต้นไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น

          ต้นข้าวหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง ใช่แล้ว จิว...กำลังยืนทำท่าเขินๆ มองต้นข้าวอยู่

          รอยยิ้มเขินๆ ของจิว ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากตอนวัยเยาว์เลย รอยยิ้ม แววตา หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้เรียกเมื่อสักครู่

          มีแต่ทรงผมของจิวที่เปลี่ยนไป ตัดตามสมัยนิยม และวันนี้หวีเรียบแปล้ รับกันกับชุดสูทพอดีตัว ต้นข้าวพึ่งนึกออกว่าวันนี้เขากับจิวใส่สูทที่เหมือนกันเป๊ะ ทั้งทรง และสี แน่นอนว่าเขาเองแหล่ะเป็นคนเลือกซื้อสูทสองตัวนี้เอง

          "จิว..." ชายหนุ่มเรียกชื่อจิวออกไป

          จิวยิ้มให้ต้นข้าว ทั้งคู่ยืนตรงข้ามกัน มองหน้ากันนิ่งเงียบ และไม่ได้ขยับตัวทำอะไรหรือพูดอะไรออกมาในชั่วระยะเวลาที่คนโบราณเรียกความเงียบนิ่งงันแบบนี้ว่า 'ช่วงเทวดาเดินผ่าน'

          แล้วจิวเริ่มขยับตัวเดินเข้ามาใกล้ต้นข้าว ตอนนี้เขาพึ่งสังเกตเห็นช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือจิวที่ถือไว้ข้างหลัง จิวยื่นส่งช่อกุหลาบให้เขา

          "จิวให้... ยินดีในความสำเร็จของงานนะต้นข้าว" เสียงจิวพูดแผ่วๆ แอบมีความตื่นเต้นปนอยู่ในเนื้อเสียงนั้น

          ต้นข้าวส่งยิ้มเก้อๆ ให้จิว รับช่อดอกกุหลาบสีแดงก่ำช่อใหญ่นั้นมาถือไว้ในอ้อมแขน มันเป็นสีแดงก่ำ เหมือนกับสีของโบว์หูกระต่าย และสีของผ้าเช็ดหน้าที่แลบออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทของทั้งคู่

          ชายหนุ่มก้มลงไปมองที่กลีบกุหลาบ มันมีหยดน้ำเกาะพราว ดูสดใส สดชื่น เหมือนมันพึ่งได้รับการพรมน้ำที่ชุ่มฉ่ำมาสักครู่นี่เอง

          "ขอบคุณมากนะจิว" ต้นข้าวตอบเสียงแผ่ว เงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ยืนยิ้มตรงหน้า

          เกิดความเงียบระหว่างกัน เกิดช่วง 'เทวดาเดินผ่าน' ขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่มีคำพูดใดๆ ต่อจากนั้น ได้ยินแต่เสียงลมหายใจและใจที่เต้นแรงของทั้งคู่

          แล้วต้นข้าวเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

          "จิวมายังไงนี่ ขับรถมาเองหรือ"

          "อื่อ ขับมาเองคนเดียว ลูกน้องมันแยกกันมาในรถอีกคัน นี่ก็ว่าจะกลับแล้ว" จิวตอบเสียงแผ่วไม่แพ้กัน น้ำเสียงดูใจหายอย่างไรพิกล

          "นั่นสินะ" ต้นข้าวตอบกลับแบบใจลอย "บ้านจิวไปอีกตั้งไกลกว่าจะถึง"

          จิวจ้องหน้าต้นข้าว "อ้าว แล้วต้นข้าวรู้ได้ยังไงว่าบ้านจิวอยู่ที่ไหน ถึงบอกว่าอยู่ไกลน่ะ"

          ต้นข้าวหัวเราะพรืดออกมา จริงสินะ ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ ก็เคยปลอมตัวนั่งอยู่ในรถจนไปจอดแทบจะหน้าประตูโรงงานของจิวมาแล้ว

          "เดาเอาน่ะ" เขารีบตอบแก้เก้อ "จิวรอเราสักครู่ได้ไหม สั่งเคลียร์งานเดี๋ยวเดียว เราจะเดินขึ้นไปส่งที่จอดรถนะ"

          "ได้สิ จิวรอหน้างานนะ"

          จิวตอบเสร็จ หันหลังเดินออกไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองจอดรถไว้ถึงวัดปทุมวนาราม ซึ่งห่างจากที่ห้าง MBK นี่เกือบสองป้ายรถเมล์ ไม่ได้จอดไว้ที่อาคารจอดรถในห้างนี้ ที่ต้นข้าวบอกว่าจะเดิน 'ขึ้นไปส่ง' แต่เขาหันกลับไปบอกไม่ทันแล้ว เพราะร่างสูงของต้นข้าว เดินลิ่วๆ ไปโน่น เหมือนจะรีบไปเคลียร์งานให้จบไวๆ

          --------------------

          สามทุ่ม ใจกลางเมืองหลวง ใจกลางสยามสแควร์ ไฟยังส่องสว่างพราวตามตึก มีผู้คนประปรายที่กำลังเริ่มรอรถเมล์กลับบ้าน แม่ค้าแผงลอยตามริมถนนเริ่มเก็บแผง ลมดึกพัดเอื่อยๆ เศษถุงกระดาษปลิวไปมาบนท้องถนน

          ต้นข้าว รับรู้จากจิวแล้วว่ารถของจิวจอดอยู่ไกลถึงวัดปทุมวนาราม แต่ก็ยังยืนยันว่าจะเดินมาส่งจิวที่รถ ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทออกแล้ว เหลือแต่เสื้อเชิร์ตสีขาวที่ใส่ด้านใน ซึ่งตอนนี้พับปลายแขนขึ้นมาถึงข้อศอกให้สบายขึ้น ส่วนช่อดอกไม้ที่จิวให้ เขาส่งต่อให้กบและอัญชุลีลูกน้องเขาจัดการไปเก็บที่รถเรียบร้อย

          จิวถอดเสื้อสูทออกมาถือพาดไว้ที่แขน เดินอย่างเงียบๆ เคียงคู่กันกับต้นข้าว ชายวัยหนุ่มใหญ่สองคนที่สูงเพรียวพอๆ กัน หน้าตาดีเหมือนกัน ทรงผมที่หวีเรียบ กางเกงดำเนี๊ยบกริบพร้อมรองเท้าหนังดำมันปลาบ เรียกสายตาจากผู้คนละแวกสยามสแควร์ได้อย่างโดดเด่นชัดเจน

          ต้นข้าวเหลือบมองไปที่จิวเป็นระยะๆ เขามีคำพูดตั้งเป็นพันคำที่อยากจะพูด และมีคำถามอีกสักหมื่นคำถามที่อยากจะถาม แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร สิบปีที่ผ่านมา ตลอดความคิดคำนึงของเขา มีคนเดียวเท่านั้นที่เขาอยากจะพูด ยากจะระบายในทุกสิ่งด้วย ก็คือจิว ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้มาเดินอยู่ข้างๆ จิวแล้ว แต่มันยากมากที่จู่ๆ จะพูดอะไรทุกสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาได้

          --มันต้องมีอะไรมาเชื่อมให้มันเริ่มได้สักอย่างสิน่า-- เขาคิด

          จิวหันซ้ายหันขวาบนถนน สลับกับเงยหน้าขึ้นมองข้างบนอย่างตื่นตาตื่นใจ จริงอยู่ว่าตอนขามาเขาก็เดินผ่านตรงนี้ แต่ด้วยความที่รีบจะให้ถึงสถานที่จัดงาน จึงไม่ได้สนใจจะมองอะไรเท่าไหร่

          ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่ถนนตรงข้ามกับห้าง MBK จิวแหงนมองขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้า BTS อย่างทึ่งๆ ตรงนี้เป็นสถานีรถไฟฟ้าสยาม ซึ่งใหญ่โตมาก  มีรางแยกไปอีกสี่ทิศ เหมือนเป็นชุมทางสลับรางใหญ่ๆ ของรถไฟธรรมดาบนพื้นดินที่เขาเคยรู้จัก เพียงแต่อันนี้มันอยู่บนอากาศ บนหัวเขา แถมสูงขึ้นไปอีกสามชั้นด้วย

          รถไฟฟ้า BTS นี้ มันพึ่งเปิดให้บริการไม่ถึงสองปี

          ต้นข้าวมองจิวแบบขำๆ "ยังไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้าหรือจิว"

          "ยังไม่เคยเลย" จิวยังไม่ละสายตาจากการแหงนมองขึ้นไป มีรถไฟฟ้าขบวนหนึ่งแล่นฉิวเข้าสถานีพอดี ป้ายโฆษณาข้างรถพิมพ์ตัวอักษรตัวโตว่า 'กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว'

          "ไว้จะพาขึ้นไปนั่งเล่นนะ" ต้นข้าวพูดยิ้มๆ จิวไม่ได้ตอบอะไร แต่หัวเราะ หึหึ ในลำคอ

          จิวละสายตาจากรถไฟฟ้าบนหัวลงมามองรอบตัวบ้าง ตรงจุดที่ทั้งสองเดินผ่านนี้ เป็นมุมหนึ่งของสี่แยกปทุมวัน ในอดีตตรงนี้เคยเป็นลานโล่ง และในตอนเย็นจะมีลานเบียร์สดแห่งแรกของประเทศไทยมาตั้งที่นี่ และทั้งสองเคยมานั่งตรงลานโล่งนี้ในเย็นวันหนึ่งสมัยเรียนมัธยม เพื่อมานั่งมองการก่อสร้างของตึก MBK ฝั่งตรงข้ามที่ตรงมุมนี้ด้วย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นตึกศูนย์การค้าทันสมัยไปแล้ว จิวอ่านป้ายชื่อห้าง 'สยามดิสคัฟเวอรี่'

          "หายไปแล้ว ลานโล่งที่เราเคยมานั่งเล่น" จิวพูดออกมาลอยๆ

          ...............

          มีแม่ค้าเข็นรถเข็นสวนผ่านมาบนทางเท้า จิวและต้นข้าวเบี่ยงตัวเข้ามาชิดกันเพื่อหลบ แขนทั้งคู่แนบชิดกัน ปลายนิ้วก้อยทั้งสองเข้ามาแทบเกี่ยวติดกัน

          และเมื่อทั้งสองเดินต่อ ก็ไม่ได้เดินห่างกันแบบเดิมแล้ว แต่เดินต่อด้วยความตั้งใจแบบเนียนๆ ไปอย่างนั้นเลย บางก้าวนิ้วก้อยก็มาเขี่ยๆ แตะติดกัน และหลายๆ ก้าวนิ้วก้อยของทั้งสองก็มาเกี่ยวก้อยกัน จิวยังคงเดินไม่รู้ไม่ชี้ เดินเอื่อยๆ ช้าๆ ทอดน่องมองซ้ายมองขวาอย่างเพลิดเพลิน เหมือนอยากให้เวลาในตอนนี้หมุนช้าที่สุด หรือให้มันหยุดไปเลยก็ดี

          ส่วนต้นข้าว ความเหน็ดเหนื่อยจากการจัดงานและเตรียมงานในวันนี้ที่ผ่านมา มันไม่ได้หลงเหลืออีกต่อไปแม้แต่น้อยแล้ว ถึงจะต้องออกแรงเดินมาส่งจิวที่รถตั้งไกลนี่ แถมตอนกลับเขาจะต้องเดินย้อนกลับไปเอารถของเขาเองที่ห้าง MBK คนเดียวอีกรอบก็ตาม

          เพราะความสุขจนถึงขีดสุด มันอยู่ที่ความเชื่อมต่อจากปลายนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันแผ่วๆ นี่แหล่ะ ไม่มีความทุกข์ยาก ลำบากลำบน หรือเหน็ดเหนื่อยสาหัสใดๆ มาถึงตัวได้แล้ว

          ความสุขที่แสวงหามาตลอดสิบปี ความผิดพลาดใดๆ ในอดีตที่ทำร้ายหัวใจมาตลอดเมื่อหวนนึกถึงมัน มันดูโหดร้ายและใหญ่ยิ่ง แต่มันก็ละลายหายวับไปในทันที เพียงเพราะการสัมผัสที่ปลายก้อยของสองคนนี่เอง มันเหมือนเราไม่ได้เดินอยู่ตามลำพังอีกแล้ว --เธอให้ไปที่ไหนจะไปนั่น รักฉันมั่น ฉันไม่หวั่นใด--

          ต้นข้าวและจิว เดินเกี่ยวก้อยเลยจากห้าง 'สยามเซ็นเตอร์' ที่มีชื่อเสียงลือลั่น และเป็นไอคอนของความทันสมัยในการแต่งกายแฟชั่นวัยรุ่นตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน จนมาถึงหน้าโรงแรม 'สยามอินเตอร์ คอนติเนลตัล' ที่งดงามก่อนถึงวัดปทุมวนาราม

          มันเป็นโรงแรมที่ร่มรื่นใจกลางเมือง โดยมีจุดเด่นเป็นอาคารทรงเตี้ยแต่มีขนาดใหญ่มาก หลังคาอาคารเป็นรูป 'งอบ' หรือหมวกสานชาวนา ดูแปลกตาและเป็นที่น่าจดจำของชาวฝรั่งต่างชาติมาก

          แต่บัดนี้ มันถูกล้อมรั้วสังกะสีไว้รอบๆ และไม่ได้เปิดไฟใดๆ ในโรงแรมนั้นแล้ว มีป้ายก่อสร้างแปะติดอยู่ด้านหน้า มีข้อความเขียนไว้ว่า

          'ห้ามเข้า กำลังรื้อถอนอาคารโรงแรม เพื่อก่อสร้างโครงการห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน'

          ต้นข้าวเองก็พึ่งสังเกตเห็นป้ายนี้ ก็รู้สึกใจหายวาบอย่างบอกไม่ถูก ที่โรงแรมร่มรื่นกลางเมืองนี้จะกลายเป็นห้างสรรพสินค้าไปอีกห้างหนึ่ง แถมต้นข้าวก็เคยมาจัดงานอีเว้นท์ที่โรงแรมนี้หลายครั้งด้วย จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

          จิวเหลือบมามองต้นข้าวแล้วอมยิ้ม เอานิ้วก้อยเกี่ยวต้นข้าวให้เดินต่อ พร้อมกับพูดว่า

          "มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงล่ะ ไม่มีอะไรในชีวิตนี้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราตื่นมาทุกวัน มันก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกวันนะต้นข้าว  ยกเว้นแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน....."

          ต้นข้าวมองหน้าจิว เหมือนรอให้จิวผู้ซึ่งแสนจะมีจิตใจมั่นคงนั้นพูดอะไรต่อ เพราะดูมีแววว่าจิวอยากจะพูดอะไรที่สำคัญสักอย่าง นิ้วก้อยของจิวเกี่ยวที่นิ้วของต้นข้าวแน่นขึ้น แล้วพอจิวอ้าปากกำลังจะพูด ต้นข้าวรีบหลับตาพริ้มลง กลั้นหายใจเตรียมฟังข้อความสำคัญนั้น...

          "ยกเว้นแต่...วัดนี่ไงต้นข้าว วัดไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไป อยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ให้ความสุขสงบร่มเย็นกับทุกสรรพสัตว์เสมอ" จิวพูดหน้าตาเฉย

          ต้นข้าวถอนหายใจเฮือก!! ลืมตาขึ้นมามองบน แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา

          "จริงเนอะ วัดไม่เคยเปลี่ยนแปลง เอ่อ เราไปกันเถอะ ไหนรถจิวจอดอยู่ตรงไหน" ต้นข้าวถามแก้เก้อ

          "จอดอยู่นี่ไง แต่เดี๋ยวก่อน ต้นข้าวเดินมาส่งจิว แล้วต้นข้าวก็ต้องเดินกลับไป MBK คนเดียวนี่นะ" จิวหันมาถามต้นข้าว มือก็ล้วงควานลงไปในกระเป๋ากางเกงหากุญแจรถ

          "ก็ทำไงได้ อยากเดินมาส่งจิวไง ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวต้นข้าวเดินกลับเอง"

          จิวส่ายหน้า "หึ๋ย ไม่ได้หรอก เอาไงดี จะให้ขับวนไปส่งไหม ต้นข้าวบอกทางก็แล้วกัน จิวไม่ชินกับถนนวันเวย์ในกรุงเทพฯ"

          "หรือเอางี้" จิวพูดต่อเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "จิวจะขับรถไปส่งต้นข้าวถึงบ้านก็แล้วกัน จะได้รู้จักบ้านใหม่ด้วย ต้นข้าวโทรไปบอกลูกน้องให้ขับรถของต้นข้าวกลับไปแทน ดีไหม"

          "หืม...จะดีหรือ" ปากต้นข้าวก็ถามไป แต่มือเริ่มตะกุยที่จับเปิดประตูรถแล้ว แถมดึงแกร๊กๆ ทั้งๆ ที่มันล็อคอยู่ เหมือนกลัวไม่ได้ขึ้นรถจิว

          จิวไขกุญแจเปิดประตูรถ หัวเราะหึหึ "เอ้า เปิดล็อคแล้ว"

          ...............

          "บ้านต้นข้าวย้ายไปที่ไหนน่ะ จิวเคยไปตามหาที่บ้านเดิมก็ไม่มี เขาบอกว่าย้ายออกไปแล้ว"

          จิวถามต้นข้าว ขณะประคองพวงมาลัยรถ ขับออกไปจากเขตวัดปทุมวนาราม

          "ก็อยู่แถวถนนแจ้งวัฒนะเหมือนเดิมแหล่ะ แต่คนละซอยกับบ้านเดิมน่ะ" ต้นข้าวบอกเสียงนุ่ม แววตาเป็นประกายมีความสุข

          หลังจากนั้นทั้งสองก็นั่งกันเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ทั้งๆ ที่มีเรื่องราวมากมายหลายสิ่งที่อยากจะเล่า อยากจะถามซึ่งกันและกัน

          รถเริ่มเลี้ยวขวาไปทางสามแยกดินแดง ในช่วงรถติดไฟแดงจิวเอื้อมมือโน้มตัวมาที่ลิ้นชักเก็บของหน้ารถฝั่งที่ต้นข้าวนั่ง ใบหน้าซีกหนึ่งเอียงเข้ามาใกล้ต้นข้าว กลิ่นน้ำหอมกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ที่ต้นคอของจิว ต้นข้าวแสนจะคุ้นเคย แต่ด้วยเวลาที่ห่างกันไปถึงสิบปี มันกลายมาเป็นสิ่งเร้าใจใหม่ และมันรัญจวนใจ โหยหา และสร้างความปั่นป่วนให้ต้นข้าวอย่างมาก มันปลุกอารมณ์ให้ลุกซู่ ถึงกับต้องนั่งเกร็งตัวแข็งขึ้นมาทันที

          จิวหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้จากลิ้นชักหน้ารถ มันคือซีดี-รอม แผ่นหนึ่ง ซึ่งจิวเอานิ้วชี้จิ้มรูตรงกลางของมันพร้อมกับเอานิ้วโป้งประคองถือไว้

          การมาถึงของ 'ซีดี-รอม' บนโลกใบนี้ ได้เปลี่ยนวิธีการฟังเพลงและดูหนังของมนุษยชาติไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่มีอีกแล้วสำหรับเทปคาสเซ็ท หรือวีดีโอเทป ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบรรจุลงไปบนแผ่นแบนๆ กลมๆ มีรูตรงกลางที่เรียกกันสั้นๆ ว่า 'แผ่นซีดี' นี้ทั้งสิ้น

          "จิวจะให้ต้นข้าวฟังเพลงอะไรเพลงนึง จิวเก็บรักษามันไว้นานแล้วนะ นี่อุตส่าห์ไปจ้างให้เขาไรท์จากเทปคาสเซ็ทลงแผ่นซีดีเลยล่ะ" จิวอวดอย่างภาคภูมิใจ

          ชายหนุ่มหน้าตี๋บรรจงสอดแผ่นซีดีลงไปในช่องเครื่องเล่นเพลงบนวิทยุหน้ารถ มันถูกดูดหายเข้าไป แล้วสักพักก็เริ่มมีเสียงออกมาทางลำโพงรถ

          ต้นข้าวพอได้ยินก็นั่งตัวชา แข็งนิ่ง อ้าปากค้าง

          .................

          ---ครับ ช่วงนี้เป็นโทรศัพท์หลังไมค์ขอมาจากผู้ฟังทางบ้าน จาก น้องจิว ๔/๗ ขอเพลง "รอวันฉันรักเธอ" ของวงคีรีบูน มอบให้ น้องต้นข้าว ๔/๗ นะครับ แหม เพลงนี้กำลังดังมากทีเดียว

         และน้องจิวยังฝากมาบอกน้องต้นข้าวว่า "ใกล้จะสอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือนะ"

         ไปฟังกันเลยครับ "รอวันฉันรักเธอ" จากวงคีรีบูน---


          ..................

          มันเป็นเสียงการอัดเทปจากรายการวิทยุรายการหนึ่งตั้งแต่สมัยที่ทั้งสองยังอยู่ในวัยมัธยมเมื่อสิบห้าปีก่อน จิวเป็นคนโทรศัพท์เข้าไปขอเพลงในรายการ และมานั่งอัดเทปตอนออกอากาศนี้ที่ห้องนอนต้นข้าว

          ...................

          "มีดวงใจหนึ่งดวง
          จะมอบให้เธอไว้ครอง
          เมื่อยามสองเราต้องจากไกล

          พาดวงใจเลื่อนลอย
          ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
          เธอโปรดเก็บใจไว้...เพื่อรอ"


          ..................

          ในสมัยก่อนที่ต้นข้าวได้ยินเพลงนี้ ต้นข้าวได้แต่รู้สึกดีใจที่มีคนขอเพลงให้ และมันก็เป็นเพลงยอดนิยมในสมัยนั้น โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเนื้อเพลงมันสักเท่าไร ว่ามันจะร้องสื่อถึงอะไรบ้าง

          แต่มาถึงเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ความรู้สึกของการพลัดพราก คิดถึง ห่วงหา แล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้งจริงๆ มันคือเรื่องราวในบทเพลงนี้แท้ๆ --รอวันฉันรักเธอ--

          .................

          "ฝากคำว่าคิดถึง ให้เธออยู่เสมอ
          แม้ไม่ได้เจอฉันก็สุขใจ
          หากชีวิตไม่สิ้น
          ฉันจะกลับเอารักมาให้
          เธอโปรดจำไว้วันที่ฉันรอ"


          ...................

          น้ำตาต้นข้าวเริ่มเอ่อล้นออกมา นี่จิวกำลังจะบอกอะไรต้นข้าวผ่านทางบทเพลงนี้หรือเปล่า ต้นข้าวสะอื้นอีกสองสามครั้ง พร้อมกับตั้งใจฟังเนื้อเพลงต่อ

          ...................

          "ดวงใจฉันคิดถึงเธออยู่
          เธอโปรดจงรู้ดวงใจว่า ยังปรารถนา
          จะกลับมาเพื่อพบเธอ...สุดที่รัก"


          ...................

          ต้นข้าวหันไปมองหน้าจิวทั้งน้ำตา จิวหันกลับมามองต้นข้าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน แววตาของจิว ต้นข้าวเห็นความทะนุถนอม แน่วแน่ และมั่นคงอยู่ในนั้น

          ....................

          "แม้ห่างเพียงกาย ก็ไม่ห่างใจ
          เหมือนรักประสานไว้ตลอดเวลา
          ฉันจะรอวัน วันแห่งรักหวนมา
          วันที่เราสัญญาต่อกัน....."


          .....................

          ต้นข้าวสะอื้นโฮออกมา เอื้อมมือไปจับหลังมือของจิวที่วางค้างอยู่บนกระปุกเกียร์รถ

          "จิว...ต้นข้าวขอโทษนะ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำลงไปกับจิว เราขอโทษนะ"

          จิวค่อยๆ พลิกมือของตัวเองที่ต้นข้าวกำลังจับอยู่นั้นให้หงายขึ้นมา แล้วกำประสานมือแน่นกับต้นข้าว

          "ไม่เป็นไรต้นข้าว ไม่เป็นไร จิวซะอีกที่ต้องขอบคุณต้นข้าวในสิ่งที่ทำให้ในวันนี้ จิวขอบคุณมากๆ นะ"

          จิวค่อยๆ ปลดมือที่ต้นข้าวจับอยู่ออกอย่างเบามือ แล้วเอามือข้างนั้นเอื้อมไปเช็ดปาดน้ำตาที่ไหลเป็นสายบนแก้มของต้นข้าว แล้วค่อยๆ โอบประคองหัวของต้นข้าวให้มาซบที่ไหล่ของตน

          "เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมต้นข้าว"


          --------------------

          เกือบห้าทุ่มวันนั้นบนถนนวิภาวดีรังสิต รถเก๋งวอลโว่ 850 สีแดงสด กำลังวิ่งเอื่อยๆ อยู่บนเลนซ้ายสุด เหมือนเจ้าของรถกำลังขับกินลมชมวิวอย่างไม่รีบร้อน

          และหากมีรถคันไหนสักคันขับตามหลัง และส่องไฟสูงสักหน่อยเข้าไปจากหลังรถ ก็คงส่องให้เห็นภาพชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขับรถ ส่ายหัวตัวเองไปมาน้อยๆ ตามจังหวะเพลงที่เปิดในรถ และมีชายหนุ่มอีกคน กำลังเอนหัวซบลงไปที่ไหล่ของคนขับ ทำมือทำไม้ประกอบการพูดคุยเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินกับคนขับ

          ก่อนที่รถวอลโว่สีแดงจะเลี้ยวซ้ายลับหายไปในความมืดบนถนนแจ้งวัฒนะในคืนนั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2017 06:53:09 โดย กำปงพิราเทวี »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

นิ้วก้อยเกี่ยว  :-[
สมกับที่รอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2017 17:55:29 โดย Billie »

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ฮืออออ  ในที่สุด ก็ได้เริ่มต้นกันใหม่แล้วน้า   :m1:
อบอุ่น ละมุนละไมมากเลย อ่านแล้วก็มีความสุขไปด้วย
เพลงวงคีรีบูนนี่ เพราะทุกเพลงเลย คิดถึงวัยเด็กอีกแล้ว > <
รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณคนเขียนมาก ๆ นะคะ  :กอด1:
 

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราชอบเรื่องนี้นะ ย้อนวัยดี ชวนให้ระลึกความหลัง ตามอ่านรอตอนจบอยู่
แต่พออ่านภาคนี้แล้ว สับสนกับไทม์ไลน์ของเทคโนโลยีและสิ่งก่อสร้างนิดหน่อย

อย่างเช่น พีซีที กับมือถือ จริงๆ แล้ว ระดับทำธุรกิจอีเวนท์เจ้าใหญ่อย่างข้าวนี้น่าจะใช้มือถือนะ ตอนนั้นมือถือออกมาขนาดเล็กลง และไม่แพงเป็นแสนเหมือนรุ่นกระบอกน้ำแล้ว ระบบ 800 ของโนเกีย เราเคยใช้เพราะตอนนั้นที่บ้านขอโทรศัพท์บ้านยาก พี่เราเลยซื้อให้ เพราะอยู่คนละบ้าน ตอนนั้นโคตรอายอ่ะ เพราะขึ้นรถเมล์แต่ดันมีมือถือใช้ 555 ไม่กล้าหยิบมารับสายเลย เราน่าจะเรียนรามปีสอง ประมาณสักปี 2537 (โคตรป้า 555) แล้วพีซีทีเพิ่งมีหลังจากนั้น จำได้ว่าตอนเปิดขายพีซีทีนี่คนต่อคิวยาวมาก ต้องมีใบจอง แต่ไม่ค่อยเวิร์คเพราะค่าโทรใช้เรตโทรศัพท์บ้าน ช่วงนั้นโปรมือถือถูกกว่าใช้เบอร์บ้าน แถวหน้ารามตั้งโต๊ะมือถือรับโทรกันเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อนเรายังทำเลย รายได้ดีมาก

แล้วช่วงที่ผู้เขียนบอกว่ารถไฟฟ้าบีทีเอสมาสองปี ตอนนั้นเราน่าจะจบมาทำงานได้น่าจะสักปี-สองปี มือถือจอดำเครื่องละไม่ถึงหมื่นเริ่มมีละ แต่รุ่นท็อปของโนเกียถึงจะหลักหมื่น ช่วงก่อนนั้น (ก่อนเราเรียนจบ) ก็มีเพจเจอร์ที่ฮิตๆ กะอันนี้เลยเด็ดสุดคือ ฮอนด้าซีวิค สามประตูในตำนาน (อันนี้น่าจะสักปีสามปีสี่) มาพร้อมกับกระเป๋าหลุยส์รุ่นหนมจึบ กะทรงพัดลายไม้ ที่จำได้เพราะเพื่อนสนิทที่จุฬา ฟูมฟายอยากมีมาก

555 โม้เสียยาว แค่อยากแชร์ว่ามันแปลกๆ เท่านั้นแหละ เป็นลายละเอียดเล็กน้อย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2017 01:03:55 โดย pktherabbit »

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0
เราชอบเรื่องนี้นะ ย้อนวัยดี ชวนให้ระลึกความหลัง ตามอ่านรอตอนจบอยู่
แต่พออ่านภาคนี้แล้ว สับสนกับไทม์ไลน์ของเทคโนโลยีและสิ่งก่อสร้างนิดหน่อย

อย่างเช่น พีซีที กับมือถือ จริงๆ แล้ว ระดับทำธุรกิจอีเวนท์เจ้าใหญ่อย่างข้าวนี้น่าจะใช้มือถือนะ ตอนนั้นมือถือออกมาขนาดเล็กลง และไม่แพงเป็นแสนเหมือนรุ่นกระบอกน้ำแล้ว ระบบ 800 ของโนเกีย เราเคยใช้เพราะตอนนั้นที่บ้านขอโทรศัพท์บ้านยาก พี่เราเลยซื้อให้ เพราะอยู่คนละบ้าน ตอนนั้นโคตรอายอ่ะ เพราะขึ้นรถเมล์แต่ดันมีมือถือใช้ 555 ไม่กล้าหยิบมารับสายเลย เราน่าจะเรียนรามปีสอง ประมาณสักปี 2537 (โคตรป้า 555) แล้วพีซีทีเพิ่งมีหลังจากนั้น จำได้ว่าตอนเปิดขายพีซีทีนี่คนต่อคิวยาวมาก ต้องมีใบจอง แต่ไม่ค่อยเวิร์คเพราะค่าโทรใช้เรตโทรศัพท์บ้าน ช่วงนั้นโปรมือถือถูกกว่าใช้เบอร์บ้าน แถวหน้ารามตั้งโต๊ะมือถือรับโทรกันเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อนเรายังทำเลย รายได้ดีมาก

แล้วช่วงที่ผู้เขียนบอกว่ารถไฟฟ้าบีทีเอสมาสองปี ตอนนั้นเราน่าจะจบมาทำงานได้น่าจะสักปี-สองปี มือถือจอดำเครื่องละไม่ถึงหมื่นเริ่มมีละ แต่รุ่นท็อปของโนเกียถึงจะหลักหมื่น ช่วงก่อนนั้น (ก่อนเราเรียนจบ) ก็มีเพจเจอร์ที่ฮิตๆ กะอันนี้เลยเด็ดสุดคือ ฮอนด้าซีวิค สามประตูในตำนาน (อันนี้น่าจะสักปีสามปีสี่) มาพร้อมกับกระเป๋าหลุยส์รุ่นหนมจึบ กะทรงพัดลายไม้ ที่จำได้เพราะเพื่อนสนิทที่จุฬา ฟูมฟายอยากมีมาก

555 โม้เสียยาว แค่อยากแชร์ว่ามันแปลกๆ เท่านั้นแหละ เป็นลายละเอียดเล็กน้อย

= ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่อ่านและแชร์ความรู้กันนะคะ น่ารักที่สุด

1. เรื่องโทรศัพท์มือถือ จริงๆ ในเรื่องมีปรากฎอยู่แล้วในตอน "รักเกิดที่คาราโอเกะ" เสี่ยจิวพกโทรศัพท์มือถือโนเกีย รุ่นปีกผีเสื้อ 8250 มาที่ร้านคาราโอเกะด้วยค่ะ ดังนั้น ทั้งเสี่ยจิวและคุณข้าว มีโทรศัพท์มือถือใช้แน่ๆ ค่ะ (แต่ไม่มีฉากที่คุณข้าวใช้มือถือเลยอ่า)

2. โทรศัพท์ PCT ในเรื่อง ใช้เฉพาะในบ้าน เป็นประมาณว่าเบอร์โทรโรงงานหรือสำนักงาน ที่เจ้าของสามารถเดินพูดคุยในบริเวณได้อะค่ะ อารมณ์ประมาณโทรศัพท์บ้านไร้สาย ไม่ได้ใช้สำหรับนำออกไปนอกบ้านค่ะ

3. รถไฟฟ้า BTS เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 และตอนนี้เนื้อเรื่องยังอยู่ใน พ.ศ. 2544 ตามที่ถูกระบุไว้ในตอน "I Will Servive - ฉันต้องรอด" ดังนั้นรถไฟฟ้าพึ่งจะเปิดให้บริการมา 2 ปีจริงๆ ค่ะ

......................

ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่เก็บรายละเอียด ผู้อ่านน่ารักที่สุด คนแต่งก็ค่อยหายเหนื่อยสำหรับการเรียงลำดับ Timeline ของประวัติศาสตร์มากๆ ค่ะ 555+ (กลัวพลาดเหมือนกัน)

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หัวข้อกระทู้ของไรท์ วันที่ที่อัพ ไรท์ลืมแก้ 
MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐

นึกถึงความหลังเลย ที่ว่ามุมหนึ่งของสี่แยกด้านสยามดิสคัพเวอรี่
มีลานเบียร์ เพราะเคยไปนั่งกินกับพี่ๆน้อง
มีร้านดังๆไปออกร้าน แบบร้านเกี๊ยวซ่า แล้วลานเบียร์ก็หายไป
นั่งรถผ่านก็คิดถึงอดีตเหมือนกัน

แล้วจิว ต้นข้าวก็ได้ปรับความเข้าใจกัน
กลับมาคบกันใหม่ จิวก็เหมือนจิวคนเดิม น่ารัก :mew1: :mew1: :mew1:
ไม่เจ็บแค้น ถือโทษที่ต้นข้าวเคยทำไม่ดีกับจิว ตื้นตันเลย :mew6:
อ่านตรงที่ต้นข้าวพิงใหล่จิว ที่ขับรถ
พลางคุยเจื้อยแจ้ว แล้วรู้สึกดีจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2017 10:58:49 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ MissMay

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านแล้วรู้สึกละมุนมากกกก
จำได้สมัยนั้น ที่เปิดตัว bts เราได้ไปด้วยตอนสมัยเด็กๆ
ตื่นตาตื่นใจมาก 555 อ่านแล้วนึกถึงวันวาน

ส่วนจิวกับข้าวก็ได้เริ่มใหม่ คนเราเมื่อโตขึ้น ก็จะใช้บทเรียนที่ผ่านมามาปรับใช้
ส่วนอะไรที่ไม่ดีก็ให้เป็นบทเรียนหนึ่ง
หลังจากนี้มีอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย

ผู้แต่งแต่งดีมากกก อ่านไปก็น้ำตาซึมไป

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ชีวิตรักของจิวกับต้นข้าวตรงตามเพลงจริงๆ รอวันฉันรักเธอ...

แล้วก้อสมหวังนะคร้าบบบบบ

ชอบช่วงเวลาแค่สองป้ายรถเมล์แต่มันฟิน...

 :o8:   :o8:   :o8:   :o8:   :o8:   :o8:

.....

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ดีใจเย้ๆ จิวกับข้าวมาเริ่มต้นกันใหม่แล้ว
อ่านไปอินไปชอบตอนนี้จัง เพอร์เฟกมากๆ รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ส่งจิวมาทางนี้หน่อย
..บอกไปว่าฉันชอบเขา..

อยากได้มากกกกกกกกกกก
จุ๊บๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :mew2:

คิดถึงมากๆ เสาร์อาทิตย์นี้จะมาไหมหนออออ

ออฟไลน์ กำปงพิราเทวี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-0

MBK❤lover





ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง


          วันต่อมาช่วงบ่าย เสี่ยจิวนั่งปล่อยอารมณ์ก้มมองเหม่อไปที่อะไรสักอย่างในลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของเขาในโรงงาน ชายหนุ่มนั่งคิดไปถึงการที่เมื่อคืนนี้ได้เจอกันกับต้นข้าว ได้ไปส่งที่บ้าน แถมยังขอให้ต้นข้าวกลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วย ถึงต้นข้าวจะยังไม่ได้ตอบอะไรชัดๆ ออกมาจากปาก แต่การกระทำและคำพูดในเรื่องอื่นๆ ที่คุยกันในรถ มันก็พอบ่งบอกได้แล้วว่าต้นข้าวเองก็ยังไม่มีใครอื่น ยังคงคิดถึงจิว และดูเหมือนดีใจมากๆ ที่เจอจิวอยู่เหมือนกัน คิดแล้วใจเขาก็เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

          มีเสียงรถมาจอดที่ประตูหน้าโรงงาน ชายหนุ่มหยุดคิดสิ่งที่รื่นรมณ์นั้น แล้วชะโงกออกไปดูจากทางหน้าต่าง ก็ได้เห็นรถปิคอัพคันหนึ่งจอดอยู่ และมีหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นหน้าในงานเมื่อคืน ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของต้นข้าว กำลังยกหุ่นผู้หญิงแบบเดียวกับที่เอาไว้สำหรับใส่ชุดโชว์ตามหน้าร้านตัดเสื้อผ้าลงมาจากรถ โดยมีเจ้าจอซู กำลังกุลีกุจอช่วยยกลงอย่างแข็งขัน เขาจึงเอื้อมมือไปปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานที่เปิดค้างไว้เมื่อสักครู่นี้ แล้วเดินจากห้องทำงานออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

         "เบาๆ จอซู ระวังหัวหุ่นกระแทกประตู" เสียงเด็กหนุ่มหล่อผู้มาเยือนบอกกับลูกน้องเขา ดูน้ำเสียงท่าทางสนิทสนมกันดี เห็นเจ้าจอซูหัวเราะตอบ แล้วตั้งใจยกหุ่นนั้นอย่างทะนุถนอมมากขึ้น

          "นี่มันอะไรกัน" เสี่ยจิวร้องถามออกไป พลางกวาดตามองไปที่ข้าวของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ยกลงมาจากหลังรถ

          เด็กหนุ่มหล่อที่กำลังยกของ วางหุ่นที่แบกลงกับพื้น แล้วยกมือสวัสดีเขาก่อน

          "สวัสดีครับเสี่ยจิว หุ่นตัวนี้คุณข้าวให้เอามาไว้ที่นี่ครับ มาพร้อมชุดราตรีสีแดงที่นางแบบใส่บนเวทีเมื่อคืนมาด้วยครับ คุณข้าวบอกว่าเผื่อเสี่ยจิวจะตั้งวางโชว์ไว้ที่โรงงานนี่ครับ"

          "อ้าวเหรอ..." เสี่ยจิวตอบลอยๆ แบบยังจับต้นชนปลายของเรื่องราวไม่ถูก แต่ก็ยืนมองเด็กหนุ่มสองคนช่วยกันลำเลียงของลงมาจากรถจนเสร็จ

          "กบ กบ มาช่วยรูดซิปชุดก่อน"

          เสียงจอซูพูดกับคนที่มาเยือน แถมเจ้าตัวคนพูดก็เบียดกระแซะเข้าไปชิดคนที่ชื่อกบอะไรนั่นด้วย ช่วยกันรูดซิปชุด มือแทบจะพันกัน เหมือนว่าภารกิจสวมชุดให้หุ่นนี้มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน

          เสี่ยจิวยืนมองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สิ่งแรกก็คือสงสัยว่าต้นข้าวจะให้เอาหุ่นพร้อมชุดราตรีนี้มาที่บ้านเขาทำไม และที่สงสัยขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนตอนนี้ก็คือ...ไอ้เจ้าจอซูลูกน้องเขา ทำไมถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ ทั้งการใกล้ชิดกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน การถึงเนื้อถึงตัว ไหนจะดวงตาที่ฉ่ำหวานเวลามองซึ่งกันและกันอีก ตั้งแต่เป็นเจ้านายลูกน้องกันมา เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในตัวเจ้าจอซูเลย

          .................

          เสี่ยหนุ่มหน้าตี๋เจ้าของโรงงาน อดทนมองนิ่งๆ จนทุกอย่างเสร็จหมด หุ่นพร้อมชุดราตรีสีแดงที่ตรงปลายกระโปรงประดับพราวเป็นรูปผีเสื้อด้วยวัสดุยาง PVC จากหน้ารองเท้าแตะของเขา ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถงโรงงาน โชว์ความวิจิตรของชุด โชว์ฝีมือของคนที่ออกแบบมัน และเหมือนจะโชว์ความเย่อหยิ่งด้วยว่าชุดนี้ถูกสวมใส่แล้วบนเวทีระดับประเทศด้วยนางแบบเบอร์ ๑ ของโลกแฟชั่น

          แม้กระทั่งลำไย ลูกน้องเขาที่กำลังท้องได้สองเดือนก็เดินออกมาดูพร้อมกับมินเดืองห์สามี ยังอ้าปากค้างในความงามของชุดราตรีชุดนี้

          แต่แน่นอนในความจริงที่ว่า หุ่นกับชุดสีแดงชุดนี้ มันไม่ได้เข้ากันกับการตกแต่งในโรงงานนี้แม้แต่น้อย

          เสี่ยจิวยืนมองจนเสร็จ จนเห็นเจ้าจอซูประคองขวดเป็ปซี่เย็นๆ มาส่งแทบจะถึงปากเจ้ากบอะไรนั่นอยู่แล้ว เขาเกิดความคิดขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าสองคนนี่มันชักจะยังไงๆ อยู่ มันดูเกินเพื่อนหรือคนร่วมงานกันไปหน่อย

          .................

          หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าจอซูป้อนน้ำป้อนท่า รวมทั้งแทบจะซับเหงื่อบนใบหน้าให้อีกฝ่ายจนเสร็จ เด็กหนุ่มสองคนก็มานั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมตรงหน้าเสี่ยจิว

          กบแนะนำตัวเองกับเสี่ยว่าเขาเป็นลูกน้องของคุณข้าว รวมทั้งมีศักดิ์เป็นญาติด้วย และที่เอาหุ่นกับชุดมาในวันนี้ เป็นคำสั่งของคุณข้าวให้เอามาเก็บไว้ที่นี่ เพราะโกดังเก็บของที่คุณข้าวเช่าเอาไว้แถวรังสิตเริ่มจะเต็มแล้ว รวมทั้งกลัวน้ำจะท่วมด้วย เดี๋ยวชุดจะแช่น้ำเสียหายซะเปล่าๆ

          "อ้อ งั้นรึ" เสี่ยจิวมีสีหน้าคลายสงสัยลงบ้าง แถมแอบจะมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ ขึ้นบนหน้าอีกด้วย ในเวลานี้ใครพูดถึงต้นข้าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เขาอยากฟังหมด อยากได้ยิน อยากรับรู้ไปทุกสิ่ง

          "ทำไมคุณข้าวของเอ็ง ต้องไปเช่าโกดังแถวรังสิตล่ะ ที่บ้านตรงแจ้งวัฒนะเก็บของไม่พอหรือ"

          เขาถามไป เพราะเมื่อคืนตอนไปส่งต้นข้าวที่บ้าน เขาก็เห็นว่ามีเนื้อที่บ้านพอสมควร น่าจะเกือบสองร้อยตารางวาขึ้นไป

          "เห็นคุณข้าวบอกว่า ของบางอย่างมันนานๆ จะเอาออกมาใช้ในงานอีเว้นท์ซ้ำอีกสักครั้ง เก็บที่บ้านมันรก กลัวปลวกจะขึ้นด้วยฮะ เลยต้องแบ่งไปเก็บในโกดังที่เช่าไว้" คราวนี้คนตอบคือเจ้าจอซู!!!

          เสี่ยจิวทำตาโตเท่าไข่ห่านทั้งๆ ที่หน้าตี๋ตาชั้นเดียวนี่ล่ะ

          "เดี๋ยวนะ ไอ้จอซู! แล้วเอ็งไปเกี่ยวอะไรกับบ้านเขา เอ็งรู้จักสนิทสนมกับคุณข้าวมาก่อนหรือไง"

          จอซูทำหน้าเหมือนว่าพลาดไปแล้ว

          พอดีกับมีเสียงรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงงาน ทั้งหมดจึงหยุดความสนใจในเรื่องที่คุยไว้ก่อนเพื่อหันไปดูรถที่เข้ามาใหม่ เสียงจอซูถอนหายใจออกมาดังเฮือก...

          .................

          รถอัลฟ่าโรมิโอคันหนึ่งแล่นอย่างชำนาญเข้ามาในลานหน้าโรงงาน มันไม่ได้จอดขวางหน้าประตูเหมือนรถปิคอัพที่เจ้ากบขับมา แต่มันเลี้ยวเข้าไปจอดข้างๆ รถวอลโว่สีแดงของเสี่ยจิวในช่องจอดที่มีหลังคาคลุม แล้วคนขับก็เปิดประตูลงมาจากรถ

          "ต้นข้าว"

          เสี่ยจิวร้องเรียกออกไปอย่างเต็มเสียง ขณะที่เดินออกมาดูหน้าประตูโรงงาน นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเจ้าลูกน้องสองคนที่กำลังทำตาสอดรู้สอดเห็นอยู่ด้วย เขาคงโผเข้าไปกอดต้นข้าวกลางลานจอดรถแล้ว

          "ไปไงมาไงนี่ มาถึงนี่ แล้วมาบ้านจิวถูกได้ไง จะมาทำไมไม่บอกก่อน" จิวละล่ำละลักถาม พอเดินถึงตัวได้ก็จับมือต้นข้าวทั้งสองมือขึ้นมากุมด้วยความดีใจ

          "มาดูว่าเจ้ากบเอาชุดสีแดงนั่นมาส่งเรียบร้อยไหม เดี๋ยวๆ เอาทีละคำถาม ตอบไม่ทัน" ต้นข้าวหัวเราะร่วน มีสีหน้ามีความสุขเช่นเดียวกัน

          แววตาจิวที่มองต้นข้าว มีแววสุกใสเหมือนแววตาเด็กๆ ที่ได้ของชิ้นโปรดซึ่งหายไปนานแสนนาน แล้วจู่ๆ ก็หาเจอมัน

          ..............

          หลังจากจิวพาต้นข้าวเข้าไปนั่งในห้องทำงานแล้ว น้ำท่าชากาแฟขนมนมเนยผลไม้สำหรับต้อนรับแขกที่มีทั้งหมดในบ้าน ก็ถูกยกมาตั้งไว้บนโต๊ะชุดใหญ่จำนวนมากเหมือนจะมีการทำบุญเลี้ยงเพลพระในวัดหลวง โดยการเสริฟจากขบวนลูกน้องของทั้งสองฝ่าย อันประกอบด้วย เจ้าจอซู เจ้ากบ เจ้ามินเดืองห์ และสาวลำไย

          ชะรอยว่าป่านนี้ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างคุณข้าวกับเสี่ยจิวคงแพร่ออกไปหมดแล้วทั้งโรงงานจากปากเจ้ากบ!! ของว่างมื้อนี้เลยถูกจัดเต็มจากลูกน้องทั้งสองฝ่าย

          "ใครจะไปกินหมด" ต้นข้าวทำเสียงอ่อยๆ ตาก็มองไปยังของกินสารพัดสิ่งบนโต๊ะ

          "เอาน่า เด็กๆ มันจัดมาให้สำหรับคนพิเศษ" จิวพูดแล้วหัวเราะในลำคอหึหึ

          "ว่าแต่ต้นข้าวมาบ้านจิวถูกได้ไงนี่" จิวเริ่มต้นถามอีกครั้ง ทำตากรุ้มกริ่ม เมื่อเห็นต้นข้าวนั่งอย่างสบายอารมณ์ พร้อมเริ่มจิบกาแฟและขนมบนโต๊ะไปบ้างแล้ว

          "ก็เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งไง" ต้นข้าวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มลงทำท่าเป่าแก้วกาแฟที่มีควันหอมลอยกรุ่นเพื่อให้มันคลายความร้อน

          "ต้นข้าวเคยมาบ้านใหม่จิวที่นี่อะนะ เมื่อไรกัน?" จิวเลิกคิ้วถาม มีสีหน้าแปลกใจ

          ต้นข้าววางแก้วกาแฟที่จิบแล้วบนโต๊ะ แล้วเริ่มต้นเล่าถึงการตามหาจิวมาตลอดเวลาในช่วงหลังๆ นี่ เล่าถึงเรื่องของกบและจอซูที่มาเป็นแฟนกัน โยงมาถึงโรงงานรองเท้าของจิว และเรื่องที่ต้นข้าวมานั่งซุ่มแอบดูอยู่ในรถครั้งหนึ่งตอนที่ให้อัญชุลีมาแกล้งตีราคาของเก่าในโรงงานนี้ จนไปถึงการช่วยเหลือของราชาในงาน OTOP เมื่อคืนที่ผ่านมา

          ตลอดเวลา จิวนั่งฟังต้นข้าวเล่าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามเนื้อเรื่องนั้นๆ เขาทำหน้าประหลาดใจในเรื่องของกบกับจอซู และเขาหัวเราะขำออกมาเมื่อรู้ว่าต้นข้าวคือไอ้โม่งที่เอาผ้าขาวม้าคลุมหัวนั่งอยู่ในรถ

          "แสบจริงๆ นะเรา" จิวครางออกมาเมื่อฟังจบ

          "อะไร ใครแสบ หือ" ต้นข้าวยักคิ้วเหมือนแกล้งจะหาเรื่อง

          "เปล่า!!" จิวขึ้นเสียงสูงบ้าง

          "ทำไมจิวไม่ได้ทำแบบต้นข้าวนี้นะ ทั้งๆ ที่จิวควรเป็นฝ่ายที่ตามหาต้นข้าวมากกว่า" เสียงประโยคหลังของจิวเริ่มอ่อนโยนขึ้น

          "ไม่เห็นเป็นไรเลย ต้นข้าวก็รู้ว่า...เอ่อ...จิวยังคิดถึงต้นข้าวตลอดเวลา" ต้นข้าวแย้งขึ้น

          "ใครบอก!! รู้ได้ยังไง" จิวแกล้งทำเสียงเข้ม แบบชวนหาเรื่องบ้าง

          ต้นข้าวหัวเราะร่วนนำมาก่อน

          "ก็ใครล่ะ เอาชื่อต้นข้าวไปเป็นชื่ออีเมล์ ใช้อยู่ตั้งนานสองนาน MiSsYoU_TonKao@thaimail.com น่ะ" แล้วต้นข้าวก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกที

          คราวนี้จิวเป็นฝ่ายหน้าจ๋อยบ้าง แล้วก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

          "ข้อนี้ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ก็มันจริงนี่ คิดถึงจริงๆ" ท้ายเสียงเริ่มอ่อยๆ ผสมอ้อนๆ

          ต้นข้าวมองหน้าจิวเหมือนจะบอกว่าเป็นผู้ชนะ เขาจิบกาแฟร้อนไปอึกหนึ่ง แล้วหยิบขนมปังกรอบชิ้นเล็กขึ้นมาเคี้ยวกร้วมๆ เหมือนเยาะเย้ย ไรหนวดเขียวๆ บนโครงหน้าได้รูปขยับไปมาตามปาก ส่วนจิวก็จ้องกลับด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

          ที่ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เพราะแพ้ แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ มันคือคนที่เขารอคอย เขาถวิลหามาตลอดสิบปี ชายหนุ่มหน้าตี๋ไม่เคยมองใครอีกเลยหลังจากแยกจากกันกับต้นข้าว เพียงแต่เขาไม่มีช่องทางและโอกาสแบบต้นข้าวที่จะบังเอิญค้นพบกันจนเจอแบบนี้

          ชายหนุ่มคนที่เคี้ยวขนมปังกรอบอยู่ตรงหน้า ถึงจะเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว มีบริษัทเป็นของตัวเอง มีลูกน้อง แต่แววตาซุกซนที่อำเขาเล่นเมื่อสักครู่ รวมกับโครงหน้าตาที่ยังฉายแววหล่อคมสันดุจดังใบหน้าของรูปปั้นเทวดาเหมือนสมัยตอนวัยรุ่น ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าช่วงวัยจะผ่านไปขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันหมด คือคนที่มี 'ความรัก' มักจะดูหน้าตาดีและอ่อนเยาว์ขึ้นเสมอ และจิวก็เชื่อว่าต้นข้าวยังมีความรักที่ให้กับจิวนั้นอยู่แน่ๆ

          ................

          จิวเอื้อมมือไปรินกาแฟจากกาน้ำร้อนที่ชงกาแฟเติมให้ต้นข้าว แต่เพราะโต๊ะทำงานมันมีขนาดกว้างทำให้เขารินไม่ถนัด เสี่ยหนุ่มตี๋จึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปฝั่งที่ต้นข้าวนั่ง แล้วยืนรินกาแฟให้ตรงนั้น พอรินเสร็จก็ถือโอกาสลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามานั่งติดกันกับต้นข้าวด้วยเลย

          "ต้นข้าว" จิวเรียกทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหล่ะ นั่งใกล้กันจนแก้มและใบหูแทบจะแนบกันอยู่แล้ว

          "หืม" ต้นข้าวขานเสียงรับ หันมามองหน้าจิว ปลายจมูกทั้งสองห่างกันคืบเดียว กลิ่นกาแฟร้อนหอมกรุ่นควันลอยเป็นสายสีขาวจางๆ ระหว่างใบหน้าทั้งสอง

          "ตกลงเรากลับมาเป็นแบบเดิมได้ใช่ไหม" จิวถามเสียงนุ่ม เอามือกุมมือของต้นข้าวข้างที่ไม่ได้ถือถ้วยกาแฟ

          ถ้าลูกน้องจิวในโรงงานมาได้ยินน้ำเสียงนี้คงหัวเราะขำ เพราะไม่เคยมีภาคหวานๆ แบบนี้จากเสี่ยจิวมาตลอดสิบปีเต็ม

          "แบบเดิมน่ะ แบบไหนหรือจิว" ต้นข้าวแกล้งทำเป็นถามไปอย่างนั้น จริงๆ ก็รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอก

          "อ้าว" เสี่ยหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ

          มีเสียงหัวเราะมาจากต้นข้าวเบาๆ พร้อมกับเจ้าตัวหันไปมองรอบๆ ห้องทำงานจิว และพูดเปลี่ยนเรื่อง

          "โรงงานจิวนี่ก็กว้างขวางดีเนอะ"

          "อื่อ" จิวขานรับ แทบจะปรับสมองตามไม่ทันกับหัวข้อเรื่องพูดคุยที่เปลี่ยนไวแบบปุบปับ

          "ที่ดินตรงนี้กี่ไร่นี่" ต้นข้าวยังชวนพูดคุยไปเรื่อยๆ

          "๔ ไร่กว่าๆ รวมอาคารโรงงานกับเรือนพักพนักงานด้านหลังอีก นอกนั้นก็ยังเป็นที่ดินโล่งๆ น่ะ" จิวพูดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกสมองแล่นตามมาแล้ว แถมยังคิดอะไรออกเพิ่มต่อมาอีก จึงถามต้นข้าวว่า

          "เห็นกบ ลูกน้องของต้นข้าวบอกว่า ต้นข้าวไปเช่าโกดังเก็บของเก็บฉากที่ใช้ในงานอีเว้นท์ไว้ที่แถวรังสิตหรือ"

          "ใช่" อีกฝ่ายตอบ "แต่มันก็กำลังจะเต็มแล้วล่ะ ยังไม่มีเวลาเข้าไปเคลียร์พวกฉากเก่าๆ หรือของที่ไม่ได้ใช้ เอาไปโล๊ะทิ้งเลย"

          ตอนนี้สมองของจิว แล่นเต็มถึงขีดสุด

          "จิวเสนออะไรให้อย่างหนึ่งไหม"

          ชายหนุ่มเจ้าของบริษัทอีเว้นท์หันหน้าไปมองจิว เลิกคิ้วเข้มขึ้นข้างหนึ่งประกอบคำถาม "เสนออะไรเหรอ"

          "ต้นข้าวเดินตามจิวออกมาข้างนอกนี่หน่อยสิ"

          เสี่ยหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นยืน และพอเห็นต้นข้าวลุกขึ้นบ้างและหันหลังกำลังจะเดิน จิวกลับเดินอ้อมไปที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขา ดึงเปิดมันออกแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาใส่ในกระเป๋ากางเกงไว้

          ..................

          จิวจูงมือต้นข้าวเดินออกจากห้องทำงาน ผ่านห้องโถงกลางที่มีหุ่นโชว์ชุดแดงตั้งอยู่ และลูกน้องของทั้งฝ่ายยังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ใกล้ๆ หุ่นนั้น พอเจ้านายสองคนจูงมือกันผ่านไป ก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน โดยเฉพาะลำไย ถึงกับหน้าแดงซ่าน พร้อมอุทานขึ้นมาเบาๆ "คู่นี้น่ารักจัง"

          สองหนุ่มจูงมือกันเดินออกมาทางด้านหลังโรงงาน มันเป็นที่ดินโล่งๆ ที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ มีหญ้าขึ้นสูงบ้างต่ำบ้าง ตามแต่ว่าคนงานจะว่างไปตัดถางแค่ไหน ไกลออกไปมีต้นลั่นทมใหญ่ที่ดูเก่าแก่และมีอายุปลูกอยู่สามต้น ดูจากขนาดของลำต้นแล้วมันน่าจะเก่าแก่กว่าตัวโรงงาน คงจะอยู่ติดที่ดินมาก่อนที่จิวจะปลูกบ้านแล้ว แข่งกันออกดอกสีขาวเป็นกระจุกๆ ที่ปลายช่อ และมีที่ร่วงขาวพราวเต็มพื้นอีกเป็นจำนวนมาก ลมอ่อนๆ พัดมา มันอบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกลั่นทมฟุ้งไปหมดทั่วบริเวณ

          ต้นข้าวมองแล้วอมยิ้ม แววตามีแววรื่นรมณ์ มือยังจับจูงอยู่กับมือจิว มันแกว่งไปมาน้อยๆ เหมือนเข้ากับจังหวะแรงลมที่โชยอยู่ในตอนนี้

          "ที่ดินสวยไหม" จิวถามต้นข้าวเบาๆ

          "สวยสิ ดีจังที่จิวซื้อที่ไว้เยอะ นี่ปลูกบ้านเพิ่มได้อีกสองสามหลังเลยนะ" ต้นข้าวตอบ แต่สายตายังมองไปรอบๆ

          "ก็ใช่ไง จิวจะสร้างให้ต้นข้าว"

          ต้นข้าวหันขวับมามองหน้าจิวทันที "หะ...สร้างอะไรหรือ"

          "จิวจะสร้างโกดังเก็บของให้ต้นข้าวที่นี่เอาไหม จะได้ไม่ต้องไปเช่าเขาให้เสียเงิน จิวจะทำให้ใหญ่พอแบบไม่มีวันเต็มได้ด้วยนะ แถมยังสามารถสร้างออฟฟิตใหม่ให้ต้นข้าวได้ด้วยที่นี่ ต้นข้าวมาอยู่ด้วยกันกับจิวนะ"

          จิวมองหน้าต้นข้าวอย่างจริงจัง เมื่อเห็นต้นข้าวเงียบอึ้งไป

          เสี่ยหนุ่มปล่อยมือต้นข้าวอย่างเบามือ หันหน้ามาเผชิญกับต้นข้าว แล้วค่อยๆ นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าต้นข้าว มือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นมันขึ้นไปให้ต้นข้าว

          มันคือแหวนทองวงหนึ่ง ความหนาพอประมาณ รูปทรงเป็นแบบแหวนผู้ชายโบราณ มีรอยเกะสลักนูนขึ้นมาเป็นตัวอักษรภาษาจีน

          "จิวรักต้นข้าวนะ" ชายหนุ่มผู้พูดเงยหน้าจ้องเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่

          "เรามาสร้างชีวิตวันข้างหน้าด้วยกันที่นี่นะต้นข้าว"

          ต้นข้าวยืนอึ้ง มีแววใสๆ รื้นๆ ที่ขอบตา มีความรู้สึกหลายหลายปนกันจนบอกไม่ถูก ทั้งเรื่องจิวชวนมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ทั้งเรื่องจิวบอกรักแบบชัดถ้อยชัดคำแบบจู่โจมไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่การบอกรักแบบวัยรุ่นที่เป็นรักฉาบฉวย แต่มันดูจริงจังหนักแน่นแบบคนที่โตเต็มที่แล้วทั้งวัยวุฒิและหัวใจ

          และที่ประหลาดใจและทำตัวไม่ถูกที่สุด ก็คือการถูกขอความรักโดยยื่นแหวนแต่งงานแบบฝรั่งอย่างนี้ เพราะคนไทยยังไม่คุ้นชิน แต่ทว่า ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ต้นปีนี้เอง ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศให้คนเพศเดียวกัน สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้แล้ว

          ต้นข้าวดึงมือจิวให้ลุกขึ้นมายืน แล้วโถมตัวเข้าไปกอดจิว รอยยิ้มกับน้ำตามันมาพร้อมกัน พร้อมกับกระซิบแผ่วที่ข้างหูว่า

          "ต้นข้าวก็รักจิว"

          ...............

          จิวค่อยๆ สวมแหวนทองวงนั้นไปที่นิ้วนางซ้ายของต้นข้าว มันพอดีกับนิ้วอย่างประหลาด ต้นข้าวมองด้วยแววตาที่ตื้นตัน

          "แหวนเก่าแก่ของป๊าจิวเอง แกใส่ติดนิ้วมานานแล้ว แกรักมากเลยนะแหวนวงนี้ นี่จิวส่งต่อความรักให้ต้นข้าวนะ"

          ต้นข้าวยกมือที่สวมแหวนขึ้นมาดูใกล้ๆ "มันแกะสลักอักษรจีนไว้ มันแปลว่าอะไรน่ะจิว"

          "มันคือคำว่า 爱胜过一切 อ่านว่า อ้าย เซิ่งกั้ว อี๋เชี่ย แปลว่า ความรักชนะทุกสิ่ง"

          "ความรักชนะทุกสิ่ง" ต้นข้าวทวนคำแปลเบาๆ

          "ใช่ ต่อจากนี้ไป ถ้าจิวมีต้นข้าว และต้นข้าวก็มีจิว เราก็ไม่ต้องกลัววันข้างหน้านะ เราจะช่วยกันสองคนสร้างอนาคต ให้ความรักชนะทุกสิ่ง" จิวพูดยิ้มๆ ยกมือต้นข้าวข้างนั้นขึ้นมาจูบเบาๆ ที่แหวน

          ต้นข้าวมองจิวอย่างอ่อนโยน "จิว...เรื่องโกดังเก็บของน่ะ ต้นข้าวก็เห็นดีด้วยนะ แต่เรื่องย้ายออฟฟิตมาเลยนี่ ต้นข้าวขอไปทบทวนอีกทีก่อนนะ มันเรื่องใหญ่เกินไปน่ะ"

          "นานแค่ไหน จิวก็จะรอทำให้ต้นข้าวได้เสมอ แค่ต้นข้าวตอบรักจิว จิวก็มีความสุขแล้ว" จิวยิ้มให้จนตายิบหยี

          "คืนนี้ต้นข้าวค้างกับจิวที่นี่คืนนึงนะ"

          จิวพูดอ้อนๆ กำมือต้นข้าวแน่นเหมือนบังคับในคำตอบ

          --------------------

          สี่ทุ่มคืนนั้นต้นข้าวอาบน้ำเสร็จ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวมานั่งเช็ดผมที่พึ่งสระอยู่บนขอบเตียงของจิว ตอนนั้นจิวกำลังเข้าไปอาบน้ำต่อ ไฟในห้องเปิดสลัวๆ มีแค่ไฟสีเหลืองนวลแรงเทียนน้อยที่หัวเตียง กับไฟในห้องน้ำที่จิวเข้าไปอาบแบบแง้มปิดประตูเพียงแค่ครึ่งเดียว แสงจึงลอดออกมาในห้องพอรำไร เห็นรูปร่างที่ค่อนข้างจะผอมบางแต่มีมัดกล้ามสมส่วนของต้นข้าวเป็นเงาร่องของกล้ามเนื้อตามแสงไฟ แอร์คอนดิชั่นที่เปิด เงียบสนิทและเย็นเฉียบ

          ต้นข้าวเหลือบไปมองที่หัวเตียง เตียงนอนของจิวเป็นแบบโบราณคือเป็นเตียงใหญ่ หนา ประกอบไม้สักแท้ทาสีเข้มทั้งหลัง เวลาขยับตัวจะมีเสียงไม้เอี๊ยดอ๊าด น่าจะตกทอดมาตั้งแต่รุ่นป๊าจิว มีเสาแกะสลักสี่เสารอบเตียงเหมือนเป็นที่แขวนมุ้ง แต่ในยุคปัจจุบันที่มีแอร์คอนดิชั่นแล้ว มุ้งจึงไม่มีจำเป็นอีกต่อไป

          ข้างหัวเตียง เป็นโต๊ะไม้เตี้ยๆ สำหรับวางของก่อนนอน แต่เป็นโต๊ะที่ไม่ได้เข้ากันกับรูปแบบของเตียงเลย เพราะมันแค่ทำมาจากไม้ประกอบบางๆ หน้าโต๊ะน่าจะทำมาจากไม้อัดด้วยซ้ำ แลดูเหมือนวางอะไรหนักๆ น่าจะหักพังลงไปทีเดียว เพียงแต่ทาสีเข้มเหมือนสีเตียงและวางแนบชิดติดกับเตียง เลยพอกลมกลืนกันไปได้ ชายหนุ่มคิดว่าจิวคงทำเองเอามาไว้วางของชั่วคราว

          ส่วนของที่วางบนโต๊ะ มีแค่สองสิ่ง อย่างแรกคือโคมไฟที่เปิดเพียงดวงเดียวในห้องตอนนี้ เป็นโคมไฟโลหะรูปทรงแบบเก่าที่หนาและหนัก วางอยู่มุมในสุดของโต๊ะ และของอย่างที่สองกลางโต๊ะ คือกระปุกออมสินรูปหมูสีแดงที่ทำมาจากกระดาษ ซึ่งต้นข้าวได้ให้จิวไว้เมื่อ ๑๗ ปีก่อน!! จิวยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ถึงจะมีร่องรอยของกาลเวลาบ้างจากการที่เจ้าของได้จับถือมาตลอด ไม่ใช่ใหม่แบบเก็บงำซ่อนในห่อหรือในตู้

          ต้นข้าวลองหยิบมันขึ้นมาดู มันเบาหวิวน้ำหนักเท่ากับตอนที่ได้มันมา แสดงว่าจิวไม่ได้ใช้มันสำหรับหยอดเศษเหรียญเหมือนวัตถุประสงค์ของตัวมันคือเป็นกระปุกออมสินเลย แต่คงไว้ใช้ดู ใช้มอง และจับมันเล่นเพื่อการระลึกถึงมากกว่า

          จิวออกมาจากห้องน้ำพอดี แสงส่องจากห้องน้ำทางด้านหลังทำให้เห็นจิวเป็นเงาดำอยู่หน้าแสงไฟ รูปร่างที่สูงโปร่งสมส่วนของจิว กำลังยืนใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหัวที่พึ่งสระ หนุ่มตี๋สะบัดหัวไปมา ไม่มีผ้าขนหนูพันตัวที่ช่วงล่าง ไม่มีแม้แต่กางเกงขาสั้น ไม่มีกางเกงใน หรือสิ่งปกปิดใดๆ และจิวกำลังก้าวเดินเปล่าเปลือยมาที่เตียง มาหยุดยืนตรงหน้าต้นข้าวแล้ว

          ...................

          ถ้ากระปุกหมูออมสินสีแดงที่หัวเตียงมันมีความรู้สึกได้...ขณะนี้ มันได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาของชายหนุ่มสองคนจากบนเตียงข้างๆ มันได้ยินเสียงเนื้อแนบเนื้อ ได้ยินเสียงลมหายใจที่สลับกันระหว่างความแผ่วเบา รุนแรง โหยหา

          ตอนนี้ กระปุกหมูออมสินสีแดงสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนของเตียง ที่ส่งต่อมายังโต๊ะหัวเตียงที่หมูออมสินวางอยู่ ความบอบบางของโต๊ะ ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนบนผิวโต๊ะ เจ้าหมูออมสินกระดาษที่แสนจะเบา เริ่มสะเทือนตามแรงจนหมุนเต้นไปมา เหมือนมันกำลังวิ่งอย่างร่าเริงเข้าไปในวันเวลาแห่งความหลัง

          มันวิ่งผ่านสถานีรถไฟหัวลำโพง วิ่งเลยยาวไปที่ทุ่งหญ้ากว้าง ไปจนถึงค่ายทหารที่กาญจนบุรี ผ่านเต้นท์สนามที่มีเด็กหนุ่มสองคนนอนกอดกันอยู่ แล้ววิ่งผ่านเลยไปจนถึงสะพานเหล็ก สะพานข้ามแม่น้ำแควที่ลือลั่น

          แรงสั่นสะเทือนจากเตียงใหญ่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เจ้าหมูออมสินก็หยุดนิ่งเหมือนเอียงคอฟังว่าอะไรจะเกิดขึ้น

          มันได้ยินเสียงกระซิบถ้อยคำรำพันต่อ คราวนี้เสียงมันฟังดูเหมือนเจือไปด้วยละอองน้ำมันที่ไวไฟ มันดูร้อนแรงเหมือนจะเกิดประกายไฟขึ้นมาในอีกไม่กี่วินาทีนี้ มีเสียงพลิกตัวจนเตียงส่งเสียงลั่นดังแอ๊ด! และเตียงก็เริ่มสั่นสะเทือนอีก คราวนี้มันสั่นสะเทือนมาก โต๊ะหัวเตียงก็กระเพื่อมตามไม่แพ้กัน

          หมูออมสินกระเด้งขึ้นจากพื้นโต๊ะ มันวิ่งต่อ มันผ่านมหาวิทยาลัยที่ต้นข้าวเรียน มันผ่านโรงละครที่ต้นข้าวแสดง มันผ่านร้านขายดอกกุหลาบที่เข้าช่ออย่างงดงามรอคนมาซื้อมันเพื่อไปมอบให้คนอีกคน

          แรงสะเทือนของเตียงหนักขึ้น หมูออมสินหมุนคว้างจนแทบวนรอบ แหงนหน้าเงยขึ้นมองไปบนเพดาน สูงบ้าง ต่ำบ้าง เสียงสูดปากสลับกับเสียงคราง...มันได้ยินเสียงครางเรียกของเต่าตัวหนึ่งในเขาเต่าวัดประยูร ฝั่งธนฯ เต่าตัวนั้นตัวใหญ่มาก มีรอยสีน้ำมันสีเหลืองจางๆ บนหลังมัน ซึ่งขณะนี้อ่านไม่ออกเป็นตัวอักษรแล้วด้วยกาลเวลาและขนาดที่ขยายของกระดองเต่า แต่ตรงริมๆ กระดอง มีประโยคหนึ่งที่พอจะเห็นลางๆ ว่าเป็นลายมือที่โย้เย้ อ่านได้เฉพาะคำว่า ...อยู่ด้วยกันตลอดไป...

          มีเสียงร้องสุดท้ายก่อนทุกสิ่งจะสงบนิ่ง หมูออมสินสีแดงกลับมายืนสี่ขาแน่นิ่งเหมือนอย่างที่มันเคยเป็น ในห้องนอนกลับสู่สภาพเงียบสงบ เหลือเพียงสิ่งเดียวที่พอสัมผัสได้คือละอองแห่งไอรักที่ลอยแผ่วไปรอบห้องนอนนั้น

          บัดนี้ กระปุกหมูออมสิน ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างครบบริบูรณ์แล้ว ถึงแม้มันจะไม่ได้ถูกบรรจุไว้ด้วยเศษเหรียญเพื่อการออมเงินอย่างที่มันควรจะเป็น หากแต่หมูออมสินสีแดงมันถูกสะสมไปด้วย 'ความหลัง' ที่แสนสุขของชายหนุ่มสองคน มันถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ สมกับความตั้งใจของอดีตเด็กหนุ่มวัยรุ่นมัธยมคนหนึ่ง ที่มอบความรัก การดูแล และทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้แก่เด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว


--------------------


-- จบภาควัยทำงาน --


โปรดติดตามภาคสุดท้าย เร็วๆ นี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 13:07:56 โดย กำปงพิราเทวี »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด