MBK❤lover
ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง วันต่อมาช่วงบ่าย เสี่ยจิวนั่งปล่อยอารมณ์ก้มมองเหม่อไปที่อะไรสักอย่างในลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของเขาในโรงงาน ชายหนุ่มนั่งคิดไปถึงการที่เมื่อคืนนี้ได้เจอกันกับต้นข้าว ได้ไปส่งที่บ้าน แถมยังขอให้ต้นข้าวกลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วย ถึงต้นข้าวจะยังไม่ได้ตอบอะไรชัดๆ ออกมาจากปาก แต่การกระทำและคำพูดในเรื่องอื่นๆ ที่คุยกันในรถ มันก็พอบ่งบอกได้แล้วว่าต้นข้าวเองก็ยังไม่มีใครอื่น ยังคงคิดถึงจิว และดูเหมือนดีใจมากๆ ที่เจอจิวอยู่เหมือนกัน คิดแล้วใจเขาก็เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
มีเสียงรถมาจอดที่ประตูหน้าโรงงาน ชายหนุ่มหยุดคิดสิ่งที่รื่นรมณ์นั้น แล้วชะโงกออกไปดูจากทางหน้าต่าง ก็ได้เห็นรถปิคอัพคันหนึ่งจอดอยู่ และมีหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นหน้าในงานเมื่อคืน ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของต้นข้าว กำลังยกหุ่นผู้หญิงแบบเดียวกับที่เอาไว้สำหรับใส่ชุดโชว์ตามหน้าร้านตัดเสื้อผ้าลงมาจากรถ โดยมีเจ้าจอซู กำลังกุลีกุจอช่วยยกลงอย่างแข็งขัน เขาจึงเอื้อมมือไปปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานที่เปิดค้างไว้เมื่อสักครู่นี้ แล้วเดินจากห้องทำงานออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
"เบาๆ จอซู ระวังหัวหุ่นกระแทกประตู" เสียงเด็กหนุ่มหล่อผู้มาเยือนบอกกับลูกน้องเขา ดูน้ำเสียงท่าทางสนิทสนมกันดี เห็นเจ้าจอซูหัวเราะตอบ แล้วตั้งใจยกหุ่นนั้นอย่างทะนุถนอมมากขึ้น
"นี่มันอะไรกัน" เสี่ยจิวร้องถามออกไป พลางกวาดตามองไปที่ข้าวของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ยกลงมาจากหลังรถ
เด็กหนุ่มหล่อที่กำลังยกของ วางหุ่นที่แบกลงกับพื้น แล้วยกมือสวัสดีเขาก่อน
"สวัสดีครับเสี่ยจิว หุ่นตัวนี้คุณข้าวให้เอามาไว้ที่นี่ครับ มาพร้อมชุดราตรีสีแดงที่นางแบบใส่บนเวทีเมื่อคืนมาด้วยครับ คุณข้าวบอกว่าเผื่อเสี่ยจิวจะตั้งวางโชว์ไว้ที่โรงงานนี่ครับ"
"อ้าวเหรอ..." เสี่ยจิวตอบลอยๆ แบบยังจับต้นชนปลายของเรื่องราวไม่ถูก แต่ก็ยืนมองเด็กหนุ่มสองคนช่วยกันลำเลียงของลงมาจากรถจนเสร็จ
"กบ กบ มาช่วยรูดซิปชุดก่อน"
เสียงจอซูพูดกับคนที่มาเยือน แถมเจ้าตัวคนพูดก็เบียดกระแซะเข้าไปชิดคนที่ชื่อกบอะไรนั่นด้วย ช่วยกันรูดซิปชุด มือแทบจะพันกัน เหมือนว่าภารกิจสวมชุดให้หุ่นนี้มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
เสี่ยจิวยืนมองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สิ่งแรกก็คือสงสัยว่าต้นข้าวจะให้เอาหุ่นพร้อมชุดราตรีนี้มาที่บ้านเขาทำไม และที่สงสัยขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนตอนนี้ก็คือ...ไอ้เจ้าจอซูลูกน้องเขา ทำไมถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ ทั้งการใกล้ชิดกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน การถึงเนื้อถึงตัว ไหนจะดวงตาที่ฉ่ำหวานเวลามองซึ่งกันและกันอีก ตั้งแต่เป็นเจ้านายลูกน้องกันมา เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในตัวเจ้าจอซูเลย
.................
เสี่ยหนุ่มหน้าตี๋เจ้าของโรงงาน อดทนมองนิ่งๆ จนทุกอย่างเสร็จหมด หุ่นพร้อมชุดราตรีสีแดงที่ตรงปลายกระโปรงประดับพราวเป็นรูปผีเสื้อด้วยวัสดุยาง PVC จากหน้ารองเท้าแตะของเขา ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถงโรงงาน โชว์ความวิจิตรของชุด โชว์ฝีมือของคนที่ออกแบบมัน และเหมือนจะโชว์ความเย่อหยิ่งด้วยว่าชุดนี้ถูกสวมใส่แล้วบนเวทีระดับประเทศด้วยนางแบบเบอร์ ๑ ของโลกแฟชั่น
แม้กระทั่งลำไย ลูกน้องเขาที่กำลังท้องได้สองเดือนก็เดินออกมาดูพร้อมกับมินเดืองห์สามี ยังอ้าปากค้างในความงามของชุดราตรีชุดนี้
แต่แน่นอนในความจริงที่ว่า หุ่นกับชุดสีแดงชุดนี้ มันไม่ได้เข้ากันกับการตกแต่งในโรงงานนี้แม้แต่น้อย
เสี่ยจิวยืนมองจนเสร็จ จนเห็นเจ้าจอซูประคองขวดเป็ปซี่เย็นๆ มาส่งแทบจะถึงปากเจ้ากบอะไรนั่นอยู่แล้ว เขาเกิดความคิดขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าสองคนนี่มันชักจะยังไงๆ อยู่ มันดูเกินเพื่อนหรือคนร่วมงานกันไปหน่อย
.................
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าจอซูป้อนน้ำป้อนท่า รวมทั้งแทบจะซับเหงื่อบนใบหน้าให้อีกฝ่ายจนเสร็จ เด็กหนุ่มสองคนก็มานั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมตรงหน้าเสี่ยจิว
กบแนะนำตัวเองกับเสี่ยว่าเขาเป็นลูกน้องของคุณข้าว รวมทั้งมีศักดิ์เป็นญาติด้วย และที่เอาหุ่นกับชุดมาในวันนี้ เป็นคำสั่งของคุณข้าวให้เอามาเก็บไว้ที่นี่ เพราะโกดังเก็บของที่คุณข้าวเช่าเอาไว้แถวรังสิตเริ่มจะเต็มแล้ว รวมทั้งกลัวน้ำจะท่วมด้วย เดี๋ยวชุดจะแช่น้ำเสียหายซะเปล่าๆ
"อ้อ งั้นรึ" เสี่ยจิวมีสีหน้าคลายสงสัยลงบ้าง แถมแอบจะมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ ขึ้นบนหน้าอีกด้วย ในเวลานี้ใครพูดถึงต้นข้าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เขาอยากฟังหมด อยากได้ยิน อยากรับรู้ไปทุกสิ่ง
"ทำไมคุณข้าวของเอ็ง ต้องไปเช่าโกดังแถวรังสิตล่ะ ที่บ้านตรงแจ้งวัฒนะเก็บของไม่พอหรือ"
เขาถามไป เพราะเมื่อคืนตอนไปส่งต้นข้าวที่บ้าน เขาก็เห็นว่ามีเนื้อที่บ้านพอสมควร น่าจะเกือบสองร้อยตารางวาขึ้นไป
"เห็นคุณข้าวบอกว่า ของบางอย่างมันนานๆ จะเอาออกมาใช้ในงานอีเว้นท์ซ้ำอีกสักครั้ง เก็บที่บ้านมันรก กลัวปลวกจะขึ้นด้วยฮะ เลยต้องแบ่งไปเก็บในโกดังที่เช่าไว้" คราวนี้คนตอบคือเจ้าจอซู!!!
เสี่ยจิวทำตาโตเท่าไข่ห่านทั้งๆ ที่หน้าตี๋ตาชั้นเดียวนี่ล่ะ
"เดี๋ยวนะ ไอ้จอซู! แล้วเอ็งไปเกี่ยวอะไรกับบ้านเขา เอ็งรู้จักสนิทสนมกับคุณข้าวมาก่อนหรือไง"
จอซูทำหน้าเหมือนว่าพลาดไปแล้ว
พอดีกับมีเสียงรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงงาน ทั้งหมดจึงหยุดความสนใจในเรื่องที่คุยไว้ก่อนเพื่อหันไปดูรถที่เข้ามาใหม่ เสียงจอซูถอนหายใจออกมาดังเฮือก...
.................
รถอัลฟ่าโรมิโอคันหนึ่งแล่นอย่างชำนาญเข้ามาในลานหน้าโรงงาน มันไม่ได้จอดขวางหน้าประตูเหมือนรถปิคอัพที่เจ้ากบขับมา แต่มันเลี้ยวเข้าไปจอดข้างๆ รถวอลโว่สีแดงของเสี่ยจิวในช่องจอดที่มีหลังคาคลุม แล้วคนขับก็เปิดประตูลงมาจากรถ
"ต้นข้าว"
เสี่ยจิวร้องเรียกออกไปอย่างเต็มเสียง ขณะที่เดินออกมาดูหน้าประตูโรงงาน นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเจ้าลูกน้องสองคนที่กำลังทำตาสอดรู้สอดเห็นอยู่ด้วย เขาคงโผเข้าไปกอดต้นข้าวกลางลานจอดรถแล้ว
"ไปไงมาไงนี่ มาถึงนี่ แล้วมาบ้านจิวถูกได้ไง จะมาทำไมไม่บอกก่อน" จิวละล่ำละลักถาม พอเดินถึงตัวได้ก็จับมือต้นข้าวทั้งสองมือขึ้นมากุมด้วยความดีใจ
"มาดูว่าเจ้ากบเอาชุดสีแดงนั่นมาส่งเรียบร้อยไหม เดี๋ยวๆ เอาทีละคำถาม ตอบไม่ทัน" ต้นข้าวหัวเราะร่วน มีสีหน้ามีความสุขเช่นเดียวกัน
แววตาจิวที่มองต้นข้าว มีแววสุกใสเหมือนแววตาเด็กๆ ที่ได้ของชิ้นโปรดซึ่งหายไปนานแสนนาน แล้วจู่ๆ ก็หาเจอมัน
..............
หลังจากจิวพาต้นข้าวเข้าไปนั่งในห้องทำงานแล้ว น้ำท่าชากาแฟขนมนมเนยผลไม้สำหรับต้อนรับแขกที่มีทั้งหมดในบ้าน ก็ถูกยกมาตั้งไว้บนโต๊ะชุดใหญ่จำนวนมากเหมือนจะมีการทำบุญเลี้ยงเพลพระในวัดหลวง โดยการเสริฟจากขบวนลูกน้องของทั้งสองฝ่าย อันประกอบด้วย เจ้าจอซู เจ้ากบ เจ้ามินเดืองห์ และสาวลำไย
ชะรอยว่าป่านนี้ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างคุณข้าวกับเสี่ยจิวคงแพร่ออกไปหมดแล้วทั้งโรงงานจากปากเจ้ากบ!! ของว่างมื้อนี้เลยถูกจัดเต็มจากลูกน้องทั้งสองฝ่าย
"ใครจะไปกินหมด" ต้นข้าวทำเสียงอ่อยๆ ตาก็มองไปยังของกินสารพัดสิ่งบนโต๊ะ
"เอาน่า เด็กๆ มันจัดมาให้สำหรับคนพิเศษ" จิวพูดแล้วหัวเราะในลำคอหึหึ
"ว่าแต่ต้นข้าวมาบ้านจิวถูกได้ไงนี่" จิวเริ่มต้นถามอีกครั้ง ทำตากรุ้มกริ่ม เมื่อเห็นต้นข้าวนั่งอย่างสบายอารมณ์ พร้อมเริ่มจิบกาแฟและขนมบนโต๊ะไปบ้างแล้ว
"ก็เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งไง" ต้นข้าวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มลงทำท่าเป่าแก้วกาแฟที่มีควันหอมลอยกรุ่นเพื่อให้มันคลายความร้อน
"ต้นข้าวเคยมาบ้านใหม่จิวที่นี่อะนะ เมื่อไรกัน?" จิวเลิกคิ้วถาม มีสีหน้าแปลกใจ
ต้นข้าววางแก้วกาแฟที่จิบแล้วบนโต๊ะ แล้วเริ่มต้นเล่าถึงการตามหาจิวมาตลอดเวลาในช่วงหลังๆ นี่ เล่าถึงเรื่องของกบและจอซูที่มาเป็นแฟนกัน โยงมาถึงโรงงานรองเท้าของจิว และเรื่องที่ต้นข้าวมานั่งซุ่มแอบดูอยู่ในรถครั้งหนึ่งตอนที่ให้อัญชุลีมาแกล้งตีราคาของเก่าในโรงงานนี้ จนไปถึงการช่วยเหลือของราชาในงาน OTOP เมื่อคืนที่ผ่านมา
ตลอดเวลา จิวนั่งฟังต้นข้าวเล่าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามเนื้อเรื่องนั้นๆ เขาทำหน้าประหลาดใจในเรื่องของกบกับจอซู และเขาหัวเราะขำออกมาเมื่อรู้ว่าต้นข้าวคือไอ้โม่งที่เอาผ้าขาวม้าคลุมหัวนั่งอยู่ในรถ
"แสบจริงๆ นะเรา" จิวครางออกมาเมื่อฟังจบ
"อะไร ใครแสบ หือ" ต้นข้าวยักคิ้วเหมือนแกล้งจะหาเรื่อง
"เปล่า!!" จิวขึ้นเสียงสูงบ้าง
"ทำไมจิวไม่ได้ทำแบบต้นข้าวนี้นะ ทั้งๆ ที่จิวควรเป็นฝ่ายที่ตามหาต้นข้าวมากกว่า" เสียงประโยคหลังของจิวเริ่มอ่อนโยนขึ้น
"ไม่เห็นเป็นไรเลย ต้นข้าวก็รู้ว่า...เอ่อ...จิวยังคิดถึงต้นข้าวตลอดเวลา" ต้นข้าวแย้งขึ้น
"ใครบอก!! รู้ได้ยังไง" จิวแกล้งทำเสียงเข้ม แบบชวนหาเรื่องบ้าง
ต้นข้าวหัวเราะร่วนนำมาก่อน
"ก็ใครล่ะ เอาชื่อต้นข้าวไปเป็นชื่ออีเมล์ ใช้อยู่ตั้งนานสองนาน MiSsYoU_TonKao@thaimail.com น่ะ" แล้วต้นข้าวก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกที
คราวนี้จิวเป็นฝ่ายหน้าจ๋อยบ้าง แล้วก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
"ข้อนี้ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ก็มันจริงนี่ คิดถึงจริงๆ" ท้ายเสียงเริ่มอ่อยๆ ผสมอ้อนๆ
ต้นข้าวมองหน้าจิวเหมือนจะบอกว่าเป็นผู้ชนะ เขาจิบกาแฟร้อนไปอึกหนึ่ง แล้วหยิบขนมปังกรอบชิ้นเล็กขึ้นมาเคี้ยวกร้วมๆ เหมือนเยาะเย้ย ไรหนวดเขียวๆ บนโครงหน้าได้รูปขยับไปมาตามปาก ส่วนจิวก็จ้องกลับด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ที่ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เพราะแพ้ แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ มันคือคนที่เขารอคอย เขาถวิลหามาตลอดสิบปี ชายหนุ่มหน้าตี๋ไม่เคยมองใครอีกเลยหลังจากแยกจากกันกับต้นข้าว เพียงแต่เขาไม่มีช่องทางและโอกาสแบบต้นข้าวที่จะบังเอิญค้นพบกันจนเจอแบบนี้
ชายหนุ่มคนที่เคี้ยวขนมปังกรอบอยู่ตรงหน้า ถึงจะเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว มีบริษัทเป็นของตัวเอง มีลูกน้อง แต่แววตาซุกซนที่อำเขาเล่นเมื่อสักครู่ รวมกับโครงหน้าตาที่ยังฉายแววหล่อคมสันดุจดังใบหน้าของรูปปั้นเทวดาเหมือนสมัยตอนวัยรุ่น ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าช่วงวัยจะผ่านไปขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันหมด คือคนที่มี 'ความรัก' มักจะดูหน้าตาดีและอ่อนเยาว์ขึ้นเสมอ และจิวก็เชื่อว่าต้นข้าวยังมีความรักที่ให้กับจิวนั้นอยู่แน่ๆ
................
จิวเอื้อมมือไปรินกาแฟจากกาน้ำร้อนที่ชงกาแฟเติมให้ต้นข้าว แต่เพราะโต๊ะทำงานมันมีขนาดกว้างทำให้เขารินไม่ถนัด เสี่ยหนุ่มตี๋จึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปฝั่งที่ต้นข้าวนั่ง แล้วยืนรินกาแฟให้ตรงนั้น พอรินเสร็จก็ถือโอกาสลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามานั่งติดกันกับต้นข้าวด้วยเลย
"ต้นข้าว" จิวเรียกทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหล่ะ นั่งใกล้กันจนแก้มและใบหูแทบจะแนบกันอยู่แล้ว
"หืม" ต้นข้าวขานเสียงรับ หันมามองหน้าจิว ปลายจมูกทั้งสองห่างกันคืบเดียว กลิ่นกาแฟร้อนหอมกรุ่นควันลอยเป็นสายสีขาวจางๆ ระหว่างใบหน้าทั้งสอง
"ตกลงเรากลับมาเป็นแบบเดิมได้ใช่ไหม" จิวถามเสียงนุ่ม เอามือกุมมือของต้นข้าวข้างที่ไม่ได้ถือถ้วยกาแฟ
ถ้าลูกน้องจิวในโรงงานมาได้ยินน้ำเสียงนี้คงหัวเราะขำ เพราะไม่เคยมีภาคหวานๆ แบบนี้จากเสี่ยจิวมาตลอดสิบปีเต็ม
"แบบเดิมน่ะ แบบไหนหรือจิว" ต้นข้าวแกล้งทำเป็นถามไปอย่างนั้น จริงๆ ก็รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอก
"อ้าว" เสี่ยหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ
มีเสียงหัวเราะมาจากต้นข้าวเบาๆ พร้อมกับเจ้าตัวหันไปมองรอบๆ ห้องทำงานจิว และพูดเปลี่ยนเรื่อง
"โรงงานจิวนี่ก็กว้างขวางดีเนอะ"
"อื่อ" จิวขานรับ แทบจะปรับสมองตามไม่ทันกับหัวข้อเรื่องพูดคุยที่เปลี่ยนไวแบบปุบปับ
"ที่ดินตรงนี้กี่ไร่นี่" ต้นข้าวยังชวนพูดคุยไปเรื่อยๆ
"๔ ไร่กว่าๆ รวมอาคารโรงงานกับเรือนพักพนักงานด้านหลังอีก นอกนั้นก็ยังเป็นที่ดินโล่งๆ น่ะ" จิวพูดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกสมองแล่นตามมาแล้ว แถมยังคิดอะไรออกเพิ่มต่อมาอีก จึงถามต้นข้าวว่า
"เห็นกบ ลูกน้องของต้นข้าวบอกว่า ต้นข้าวไปเช่าโกดังเก็บของเก็บฉากที่ใช้ในงานอีเว้นท์ไว้ที่แถวรังสิตหรือ"
"ใช่" อีกฝ่ายตอบ "แต่มันก็กำลังจะเต็มแล้วล่ะ ยังไม่มีเวลาเข้าไปเคลียร์พวกฉากเก่าๆ หรือของที่ไม่ได้ใช้ เอาไปโล๊ะทิ้งเลย"
ตอนนี้สมองของจิว แล่นเต็มถึงขีดสุด
"จิวเสนออะไรให้อย่างหนึ่งไหม"
ชายหนุ่มเจ้าของบริษัทอีเว้นท์หันหน้าไปมองจิว เลิกคิ้วเข้มขึ้นข้างหนึ่งประกอบคำถาม "เสนออะไรเหรอ"
"ต้นข้าวเดินตามจิวออกมาข้างนอกนี่หน่อยสิ"
เสี่ยหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นยืน และพอเห็นต้นข้าวลุกขึ้นบ้างและหันหลังกำลังจะเดิน จิวกลับเดินอ้อมไปที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขา ดึงเปิดมันออกแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาใส่ในกระเป๋ากางเกงไว้
..................
จิวจูงมือต้นข้าวเดินออกจากห้องทำงาน ผ่านห้องโถงกลางที่มีหุ่นโชว์ชุดแดงตั้งอยู่ และลูกน้องของทั้งฝ่ายยังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ใกล้ๆ หุ่นนั้น พอเจ้านายสองคนจูงมือกันผ่านไป ก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน โดยเฉพาะลำไย ถึงกับหน้าแดงซ่าน พร้อมอุทานขึ้นมาเบาๆ "คู่นี้น่ารักจัง"
สองหนุ่มจูงมือกันเดินออกมาทางด้านหลังโรงงาน มันเป็นที่ดินโล่งๆ ที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ มีหญ้าขึ้นสูงบ้างต่ำบ้าง ตามแต่ว่าคนงานจะว่างไปตัดถางแค่ไหน ไกลออกไปมีต้นลั่นทมใหญ่ที่ดูเก่าแก่และมีอายุปลูกอยู่สามต้น ดูจากขนาดของลำต้นแล้วมันน่าจะเก่าแก่กว่าตัวโรงงาน คงจะอยู่ติดที่ดินมาก่อนที่จิวจะปลูกบ้านแล้ว แข่งกันออกดอกสีขาวเป็นกระจุกๆ ที่ปลายช่อ และมีที่ร่วงขาวพราวเต็มพื้นอีกเป็นจำนวนมาก ลมอ่อนๆ พัดมา มันอบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกลั่นทมฟุ้งไปหมดทั่วบริเวณ
ต้นข้าวมองแล้วอมยิ้ม แววตามีแววรื่นรมณ์ มือยังจับจูงอยู่กับมือจิว มันแกว่งไปมาน้อยๆ เหมือนเข้ากับจังหวะแรงลมที่โชยอยู่ในตอนนี้
"ที่ดินสวยไหม" จิวถามต้นข้าวเบาๆ
"สวยสิ ดีจังที่จิวซื้อที่ไว้เยอะ นี่ปลูกบ้านเพิ่มได้อีกสองสามหลังเลยนะ" ต้นข้าวตอบ แต่สายตายังมองไปรอบๆ
"ก็ใช่ไง จิวจะสร้างให้ต้นข้าว"
ต้นข้าวหันขวับมามองหน้าจิวทันที "หะ...สร้างอะไรหรือ"
"จิวจะสร้างโกดังเก็บของให้ต้นข้าวที่นี่เอาไหม จะได้ไม่ต้องไปเช่าเขาให้เสียเงิน จิวจะทำให้ใหญ่พอแบบไม่มีวันเต็มได้ด้วยนะ แถมยังสามารถสร้างออฟฟิตใหม่ให้ต้นข้าวได้ด้วยที่นี่ ต้นข้าวมาอยู่ด้วยกันกับจิวนะ"
จิวมองหน้าต้นข้าวอย่างจริงจัง เมื่อเห็นต้นข้าวเงียบอึ้งไป
เสี่ยหนุ่มปล่อยมือต้นข้าวอย่างเบามือ หันหน้ามาเผชิญกับต้นข้าว แล้วค่อยๆ นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าต้นข้าว มือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นมันขึ้นไปให้ต้นข้าว
มันคือแหวนทองวงหนึ่ง ความหนาพอประมาณ รูปทรงเป็นแบบแหวนผู้ชายโบราณ มีรอยเกะสลักนูนขึ้นมาเป็นตัวอักษรภาษาจีน
"จิวรักต้นข้าวนะ" ชายหนุ่มผู้พูดเงยหน้าจ้องเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่
"เรามาสร้างชีวิตวันข้างหน้าด้วยกันที่นี่นะต้นข้าว"
ต้นข้าวยืนอึ้ง มีแววใสๆ รื้นๆ ที่ขอบตา มีความรู้สึกหลายหลายปนกันจนบอกไม่ถูก ทั้งเรื่องจิวชวนมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ทั้งเรื่องจิวบอกรักแบบชัดถ้อยชัดคำแบบจู่โจมไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่การบอกรักแบบวัยรุ่นที่เป็นรักฉาบฉวย แต่มันดูจริงจังหนักแน่นแบบคนที่โตเต็มที่แล้วทั้งวัยวุฒิและหัวใจ
และที่ประหลาดใจและทำตัวไม่ถูกที่สุด ก็คือการถูกขอความรักโดยยื่นแหวนแต่งงานแบบฝรั่งอย่างนี้ เพราะคนไทยยังไม่คุ้นชิน แต่ทว่า ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ต้นปีนี้เอง ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศให้คนเพศเดียวกัน สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้แล้ว
ต้นข้าวดึงมือจิวให้ลุกขึ้นมายืน แล้วโถมตัวเข้าไปกอดจิว รอยยิ้มกับน้ำตามันมาพร้อมกัน พร้อมกับกระซิบแผ่วที่ข้างหูว่า
"ต้นข้าวก็รักจิว"
...............
จิวค่อยๆ สวมแหวนทองวงนั้นไปที่นิ้วนางซ้ายของต้นข้าว มันพอดีกับนิ้วอย่างประหลาด ต้นข้าวมองด้วยแววตาที่ตื้นตัน
"แหวนเก่าแก่ของป๊าจิวเอง แกใส่ติดนิ้วมานานแล้ว แกรักมากเลยนะแหวนวงนี้ นี่จิวส่งต่อความรักให้ต้นข้าวนะ"
ต้นข้าวยกมือที่สวมแหวนขึ้นมาดูใกล้ๆ "มันแกะสลักอักษรจีนไว้ มันแปลว่าอะไรน่ะจิว"
"มันคือคำว่า 爱胜过一切 อ่านว่า อ้าย เซิ่งกั้ว อี๋เชี่ย แปลว่า ความรักชนะทุกสิ่ง"
"ความรักชนะทุกสิ่ง" ต้นข้าวทวนคำแปลเบาๆ
"ใช่ ต่อจากนี้ไป ถ้าจิวมีต้นข้าว และต้นข้าวก็มีจิว เราก็ไม่ต้องกลัววันข้างหน้านะ เราจะช่วยกันสองคนสร้างอนาคต ให้ความรักชนะทุกสิ่ง" จิวพูดยิ้มๆ ยกมือต้นข้าวข้างนั้นขึ้นมาจูบเบาๆ ที่แหวน
ต้นข้าวมองจิวอย่างอ่อนโยน "จิว...เรื่องโกดังเก็บของน่ะ ต้นข้าวก็เห็นดีด้วยนะ แต่เรื่องย้ายออฟฟิตมาเลยนี่ ต้นข้าวขอไปทบทวนอีกทีก่อนนะ มันเรื่องใหญ่เกินไปน่ะ"
"นานแค่ไหน จิวก็จะรอทำให้ต้นข้าวได้เสมอ แค่ต้นข้าวตอบรักจิว จิวก็มีความสุขแล้ว" จิวยิ้มให้จนตายิบหยี
"คืนนี้ต้นข้าวค้างกับจิวที่นี่คืนนึงนะ"
จิวพูดอ้อนๆ กำมือต้นข้าวแน่นเหมือนบังคับในคำตอบ
--------------------
สี่ทุ่มคืนนั้นต้นข้าวอาบน้ำเสร็จ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวมานั่งเช็ดผมที่พึ่งสระอยู่บนขอบเตียงของจิว ตอนนั้นจิวกำลังเข้าไปอาบน้ำต่อ ไฟในห้องเปิดสลัวๆ มีแค่ไฟสีเหลืองนวลแรงเทียนน้อยที่หัวเตียง กับไฟในห้องน้ำที่จิวเข้าไปอาบแบบแง้มปิดประตูเพียงแค่ครึ่งเดียว แสงจึงลอดออกมาในห้องพอรำไร เห็นรูปร่างที่ค่อนข้างจะผอมบางแต่มีมัดกล้ามสมส่วนของต้นข้าวเป็นเงาร่องของกล้ามเนื้อตามแสงไฟ แอร์คอนดิชั่นที่เปิด เงียบสนิทและเย็นเฉียบ
ต้นข้าวเหลือบไปมองที่หัวเตียง เตียงนอนของจิวเป็นแบบโบราณคือเป็นเตียงใหญ่ หนา ประกอบไม้สักแท้ทาสีเข้มทั้งหลัง เวลาขยับตัวจะมีเสียงไม้เอี๊ยดอ๊าด น่าจะตกทอดมาตั้งแต่รุ่นป๊าจิว มีเสาแกะสลักสี่เสารอบเตียงเหมือนเป็นที่แขวนมุ้ง แต่ในยุคปัจจุบันที่มีแอร์คอนดิชั่นแล้ว มุ้งจึงไม่มีจำเป็นอีกต่อไป
ข้างหัวเตียง เป็นโต๊ะไม้เตี้ยๆ สำหรับวางของก่อนนอน แต่เป็นโต๊ะที่ไม่ได้เข้ากันกับรูปแบบของเตียงเลย เพราะมันแค่ทำมาจากไม้ประกอบบางๆ หน้าโต๊ะน่าจะทำมาจากไม้อัดด้วยซ้ำ แลดูเหมือนวางอะไรหนักๆ น่าจะหักพังลงไปทีเดียว เพียงแต่ทาสีเข้มเหมือนสีเตียงและวางแนบชิดติดกับเตียง เลยพอกลมกลืนกันไปได้ ชายหนุ่มคิดว่าจิวคงทำเองเอามาไว้วางของชั่วคราว
ส่วนของที่วางบนโต๊ะ มีแค่สองสิ่ง อย่างแรกคือโคมไฟที่เปิดเพียงดวงเดียวในห้องตอนนี้ เป็นโคมไฟโลหะรูปทรงแบบเก่าที่หนาและหนัก วางอยู่มุมในสุดของโต๊ะ และของอย่างที่สองกลางโต๊ะ คือกระปุกออมสินรูปหมูสีแดงที่ทำมาจากกระดาษ ซึ่งต้นข้าวได้ให้จิวไว้เมื่อ ๑๗ ปีก่อน!! จิวยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ถึงจะมีร่องรอยของกาลเวลาบ้างจากการที่เจ้าของได้จับถือมาตลอด ไม่ใช่ใหม่แบบเก็บงำซ่อนในห่อหรือในตู้
ต้นข้าวลองหยิบมันขึ้นมาดู มันเบาหวิวน้ำหนักเท่ากับตอนที่ได้มันมา แสดงว่าจิวไม่ได้ใช้มันสำหรับหยอดเศษเหรียญเหมือนวัตถุประสงค์ของตัวมันคือเป็นกระปุกออมสินเลย แต่คงไว้ใช้ดู ใช้มอง และจับมันเล่นเพื่อการระลึกถึงมากกว่า
จิวออกมาจากห้องน้ำพอดี แสงส่องจากห้องน้ำทางด้านหลังทำให้เห็นจิวเป็นเงาดำอยู่หน้าแสงไฟ รูปร่างที่สูงโปร่งสมส่วนของจิว กำลังยืนใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหัวที่พึ่งสระ หนุ่มตี๋สะบัดหัวไปมา ไม่มีผ้าขนหนูพันตัวที่ช่วงล่าง ไม่มีแม้แต่กางเกงขาสั้น ไม่มีกางเกงใน หรือสิ่งปกปิดใดๆ และจิวกำลังก้าวเดินเปล่าเปลือยมาที่เตียง มาหยุดยืนตรงหน้าต้นข้าวแล้ว
...................
ถ้ากระปุกหมูออมสินสีแดงที่หัวเตียงมันมีความรู้สึกได้...ขณะนี้ มันได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาของชายหนุ่มสองคนจากบนเตียงข้างๆ มันได้ยินเสียงเนื้อแนบเนื้อ ได้ยินเสียงลมหายใจที่สลับกันระหว่างความแผ่วเบา รุนแรง โหยหา
ตอนนี้ กระปุกหมูออมสินสีแดงสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนของเตียง ที่ส่งต่อมายังโต๊ะหัวเตียงที่หมูออมสินวางอยู่ ความบอบบางของโต๊ะ ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนบนผิวโต๊ะ เจ้าหมูออมสินกระดาษที่แสนจะเบา เริ่มสะเทือนตามแรงจนหมุนเต้นไปมา เหมือนมันกำลังวิ่งอย่างร่าเริงเข้าไปในวันเวลาแห่งความหลัง
มันวิ่งผ่านสถานีรถไฟหัวลำโพง วิ่งเลยยาวไปที่ทุ่งหญ้ากว้าง ไปจนถึงค่ายทหารที่กาญจนบุรี ผ่านเต้นท์สนามที่มีเด็กหนุ่มสองคนนอนกอดกันอยู่ แล้ววิ่งผ่านเลยไปจนถึงสะพานเหล็ก สะพานข้ามแม่น้ำแควที่ลือลั่น
แรงสั่นสะเทือนจากเตียงใหญ่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เจ้าหมูออมสินก็หยุดนิ่งเหมือนเอียงคอฟังว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มันได้ยินเสียงกระซิบถ้อยคำรำพันต่อ คราวนี้เสียงมันฟังดูเหมือนเจือไปด้วยละอองน้ำมันที่ไวไฟ มันดูร้อนแรงเหมือนจะเกิดประกายไฟขึ้นมาในอีกไม่กี่วินาทีนี้ มีเสียงพลิกตัวจนเตียงส่งเสียงลั่นดังแอ๊ด! และเตียงก็เริ่มสั่นสะเทือนอีก คราวนี้มันสั่นสะเทือนมาก โต๊ะหัวเตียงก็กระเพื่อมตามไม่แพ้กัน
หมูออมสินกระเด้งขึ้นจากพื้นโต๊ะ มันวิ่งต่อ มันผ่านมหาวิทยาลัยที่ต้นข้าวเรียน มันผ่านโรงละครที่ต้นข้าวแสดง มันผ่านร้านขายดอกกุหลาบที่เข้าช่ออย่างงดงามรอคนมาซื้อมันเพื่อไปมอบให้คนอีกคน
แรงสะเทือนของเตียงหนักขึ้น หมูออมสินหมุนคว้างจนแทบวนรอบ แหงนหน้าเงยขึ้นมองไปบนเพดาน สูงบ้าง ต่ำบ้าง เสียงสูดปากสลับกับเสียงคราง...มันได้ยินเสียงครางเรียกของเต่าตัวหนึ่งในเขาเต่าวัดประยูร ฝั่งธนฯ เต่าตัวนั้นตัวใหญ่มาก มีรอยสีน้ำมันสีเหลืองจางๆ บนหลังมัน ซึ่งขณะนี้อ่านไม่ออกเป็นตัวอักษรแล้วด้วยกาลเวลาและขนาดที่ขยายของกระดองเต่า แต่ตรงริมๆ กระดอง มีประโยคหนึ่งที่พอจะเห็นลางๆ ว่าเป็นลายมือที่โย้เย้ อ่านได้เฉพาะคำว่า ...อยู่ด้วยกันตลอดไป...
มีเสียงร้องสุดท้ายก่อนทุกสิ่งจะสงบนิ่ง หมูออมสินสีแดงกลับมายืนสี่ขาแน่นิ่งเหมือนอย่างที่มันเคยเป็น ในห้องนอนกลับสู่สภาพเงียบสงบ เหลือเพียงสิ่งเดียวที่พอสัมผัสได้คือละอองแห่งไอรักที่ลอยแผ่วไปรอบห้องนอนนั้น
บัดนี้ กระปุกหมูออมสิน ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างครบบริบูรณ์แล้ว ถึงแม้มันจะไม่ได้ถูกบรรจุไว้ด้วยเศษเหรียญเพื่อการออมเงินอย่างที่มันควรจะเป็น หากแต่หมูออมสินสีแดงมันถูกสะสมไปด้วย 'ความหลัง' ที่แสนสุขของชายหนุ่มสองคน มันถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ สมกับความตั้งใจของอดีตเด็กหนุ่มวัยรุ่นมัธยมคนหนึ่ง ที่มอบความรัก การดูแล และทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้แก่เด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
--------------------
-- จบภาควัยทำงาน --
โปรดติดตามภาคสุดท้าย เร็วๆ นี้