สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คือถูกรบกวนการนอนหลับ เสียงโทรศัพท์ร้องดังตั้งแต่เช้าตรู่ ร้องจนดับไปแล้วครั้งหนึ่ง ผมตื่นมารับไม่ทันเลยไม่ได้สนใจ แต่ไม่กี่นาทีต่อมาก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ผมลืมตาขยี้หัวอย่างหงุดหงิด ขัดใจที่โดนก่อกวน
หยิบโทรศัพท์มาดูจากที่คิดว่ารับสายแล้วจะด่าคนโทรมาสักสองสามคำ กลายเป็นว่าต้องปิดปากเงียบแล้วกดรับสายอย่างรีบเร่ง
“พี่ปราบ” ผมเรียกคนปลายสาย
“รับสายช้า เพิ่งตื่นหรือยังไง” เสียงพี่ปราบฟังดูสบายอกสบายใจ
“ดูนาฬิกาด้วยครับคุณชาย นี่เพิ่งกี่โมง” ผมกระแหนะเข้าให้ เจ็ดโมงเช้ามันใช้เวลาที่เด็กปิดเทอมอย่างผมควรตื่นแล้วเหรอ
“หึหึ คุณชายงั้นเหรอ ปากดีแบบนี้คือไม่เครียดแล้ว เรื่องที่เงินบ้านมึงหายกูไม่ต้องรีบกลับไปจัดการแล้วว่างั้น”
“อ้าวเฮ้ยพี่ ได้ไง รีบกลับมาเลยนะ มาเอานาฬิกาเจ้าปัญหาของพี่ไปเลย”
“เดี๋ยวนะมึง ว่านาฬิกากู”
“ว่าไม่ได้หรือไง”
“เออ ว่าไม่ได้”
“ไม่รู้ล่ะ รีบกลับมาเลยด้วย”
“บอกคิดถึงกูก่อนสิ แล้วเดี๋ยวกูรีบกลับไปหาเลย”
กวนตีน ผมขยับปากบ่นเบาๆไม่ให้เจ้าตัวได้ยิน
“ว่าไง ถ้าพูดนี่กูเก็บของกลับเลยนะ”
“อย่าแกล้งกันได้ไหมพี่ ผมร้อนใจจะตายห่าอยู่แล้ว”
“กูไม่ได้แกล้งสักหน่อย”
“จิ๊ เออ ผมคิดถึง พอใจยัง กลับมาให้ไวด้วย ไม่งั้นผมจะเอานาฬิกาพี่ไปขาย”
“ฮ่าๆๆ กูอยู่หน้าปากซอยบ้านมึงล่ะ แต่เข้าไปไม่ถูก รีบออกมารับกูล่ะเด็กน้อย”
“ห๊ะ!” ผมอุทานตกใจ ปลายสายวางไปแล้ว ผมจะร้องเรียกถามไถ่ว่าสิ่งที่เขาพูดหมายความว่ายังไงก็ไม่ทัน สมองจึงเริ่มประมวลสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“อยู่หน้าปากซอย? ปากซอยบ้านกูเนี่ยนะ” ไม่ใช่บ้านพี่แนนใช่ไหม จำได้ว่าพี่เขาเคยมารับผมที่นี่ครั้งหนึ่งแต่ผมออกไปยืนรอที่ปากทาง ไม่ได้ให้เขาขับเข้ามา
เป็นไปได้เหรอ
ขณะที่กำลังพึมพำงงงวยกับตัวเอง เสียงเตือนข้อความเข้าก็ดังขึ้น ผมก้มมองมือถือในมือแล้วเปิดอ่าน
-รีบออกมา อย่ามัวแต่งง-
ผมดีดตัวลุกออกจากเตียงทันที หยิบเสื้อผ้ามาใส่แบบลวกๆ วิ่งลงไปแปรงฟันล้างหน้าจากนั้นก็ก้าวเท้าวิ่งสุดฝีเท้าไปที่หน้าปากซอย
รถที่จอดอยู่ เป็นรถพี่ปราบจริงๆ
ผมเดินไปเคาะกระจกฝั่งคนขับ กระจกค่อยๆเลื่อนเปิดเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเข้มดูดีที่ดวงตาถูกแว่นกันแดดบดบัง จากนั้นมุมปากหยักก็กระตุกยิ้มใส่คนมอง
“วิ่งออกมาเลยเหรอ ต้องคิดถึงกูมากขนาดไหนเนี่ย”
ผมไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ปราบซักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ที่ผมได้เห็นเขา แม้ปัญหาจะยังไม่ได้ถูกแก้ไข ทว่าผมรู้สึกว่าเคราะห์กรรมของผมกำลังจะจบลงในเร็วๆนี้
มีพี่ปราบคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยผมได้
“ซ่า ขึ้นรถมา แล้วค่อยมาจ้องกู”
“ห๊ะ อ่อ ครับ” ผมได้สติก็รีบเดินไปเปิดประตูรถขึ้นนั่งข้างๆพี่ปราบ
“บอกทางเข้าบ้านด้วย” พี่ปราบพูด ก่อนจะขับรถเข้าซอย จนมาจอดที่หน้าบ้าน มีแม่นั่งอยู่ที่เฉลียงหน้าบ้านด้านใน ส่วนพ่อน่าจะทำงานอยู่ในโรงเก็บของ
ผมลงจากรถพร้อมพี่ปราบ ในมือของเขาถือถุงกระดาษยี่ห้อเดียวกับนาฬิกาลงมาด้วย แม่มองผมกับพี่ปราบสลับกัน พอเห็นพี่ปราบยกมือไหว้แกก็รับไหว้ด้วยความสงสัย
“สวัสดีครับแม่ ผมชื่อปราบเป็นรุ่นพี่ของซ่าครับ” พี่ปราบแนะนำตัวเองกับแม่
“อ่อ ใช่เจ้าของนาฬิการาคาแพงๆนั่นใช่ไหม”
“ครับ นาฬิกาเรือนนั้นของผมเอง” พี่ปราบตอบยิ้มๆ
“นั่งก่อนลูก ซ่าเอ้ย ไปเอาน้ำเอาท่ามาให้พี่เขากินมา แม่ปลอกแก้วมังกรแช่ตู้เย็นไว้ หยิบออกมาด้วย” แม่หันมาบอกผม แล้วกวักมือเรียกให้พี่ปราบนั่งลงข้างๆกัน ผมเข้าไปรินน้ำใส่แก้วกับหยิบจานผลไม้ในตู้เย็นมาเสิร์ฟให้พี่ปราบที่หน้าบ้าน
ตั้งแต่ตื่นมาผมยังไม่เห็นไอ้มิวเลย สงสัยออกไปเที่ยวกับเพื่อน เมื่อวานเห็นมันคุยๆกับพวกเด็กในบ้านอยู่ คือนอกจากผมกับไอ้มิวแล้ว ก็ยังมีลูกของน้าตั้มกับเมียเขาชื่อดาวอีกสองคน สมาชิกในบ้านผมเยอะกว่านี้ ไว้เจอแล้วค่อยแนะนำไปทีละคนๆ
“เรื่องเงินของผัวไอ้แนนอ่ะ แม่ก็ไม่คิดว่าไอ้ซ่ามันจะเอาไปหรอก ตั้งแต่เด็กจนโตเรื่องเดียวเลยที่มันไม่ทำให้แม่ต้องปวดหัวคือเรื่องเงิน แม่ขี้หลงขี้ลืม วางเงินไว้มันก็ไม่เคยหยิบไปโดยไม่บอก ห้าบาทสิบบาทก็ยังบอก และมันก็ไม่ใช้เงินเกินตัว ถ้าเป็นไอ้มิวก็ว่าไปอย่าง ไอ้เด็กนี่หัวสูง แต่ก็นั่นแหละ แม่มั่นใจว่าไอ้ซ่ามันไม่ได้เอาเงินไปแน่ๆ ถ้าเป็นเรื่องต่อยตีขึ้นโรงพักล่ะก็ว่าไปอย่าง”
“ผมก็เชื่ออย่างนั้นครับ ผมรู้จักซ่าได้ไม่นาน แต่ก็พอดูออกและคิดว่าซ่าคงไม่ขโมย ขนาดนาฬิกาผมให้ยืม พอรู้ว่าแพงก็จะไม่รับไว้ ต้องบังคับถึงจะยอมใช้ แต่กลายเป็นผมทำให้ซ่าต้องลำบาก”
“นั่นแหละ นิสัยมันเลย ไม่ค่อยอยากได้ของๆใคร”
“นินทาอะไรผม” ผมเข้าไปแทรกระหว่างที่แม่กับพี่ปราบกำลังคุยกันเพลินๆ เพราะแอบขึ้นไปหยิบนาฬิกามาคืนให้เจ้าขอว
“พี่ปราบ นี่ของพี่” ผมส่งนาฬิกาคืนไปให้ พี่ปราบรับไปก่อนจะหยิบกล่องออกมาเก็บนาฬิกาเข้าที่เรียบร้อย และดูจะทนุถนอมสุดๆ
“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องเงินที่หายไป กับเรื่องนาฬิกา เย็นนี้ผมจะไปคุยกับแม่ของซ่าและแฟนเขาเอง”
“ดีๆ แม่ฝากด้วยลูก พวกมันจะได้ไม่เข้าใจกันผิดๆ”
“ตอนนี้ซ่าก็เหมือนน้องชายของผมคนหนึ่ง เกิดเรื่องเกิดราวเพราะนาฬิกาของผมด้วย เรื่องนี้ผมก็เลยต้องขอยื่นมือเข้ามาช่วย”
“เย็นนี้หรือพี่?”
“แม่มึงกับแฟนเขาไปทำงานไม่ใช่เหรอ แล้วกูต้องกลับไปเอาของด้วย ตอนเย็นสะดวกสุดแล้ว” พี่ปราบพูดกับผมก่อนจะหันไปยิ้มหล่อให้แม่ “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะพ่อหนุ่ม แม่ขอบใจมากที่เมตตาช่วยไอ้ซ่ามัน” สายตาของแม่ผมที่มองพี่ปราบเหมือนมองพระที่มาโปรดหน้าบ้าน แต่ผมก็คิดอย่างนั้นนะ
“เรื่องเล็กน้อยครับ”
“ผมออกไปส่งพี่ปราบที่หน้าบ้านนะแม่”
“เออ ไปๆ ไปส่งพี่เขา”
ผมเดินตามหลังพี่ปราบออกไปนอนบ้าน มีคำถามมากมายที่ผมอยากถาม ทำไมถึงกลับมาไวกว่ากำหนดแม้จะแค่สองสามวันก็เถอะ และพี่เขาจะไปคุยกับพี่แนนและพี่เบิร์ดยังไง
“ตอนเย็นก็ไปเจอกันที่บ้านแม่มึงเลยแล้วกัน ใกล้ถึงเมื่อไหร่เดี๋ยวกูโทรบอก มึงก็ยังไม่ต้องพูดอะไรมาก แล้วก็...ถ้าจะไม่อยู่ที่นั่นแล้วก็เตรียมเก็บของเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลา” พี่ปราบสั่งทิ้งท้ายก่อนกลับ
“ครับ พี่ปราบ...พี่ช่วยผมได้จริงเหรอ” ผมถามด้วยความหวังเต็มเปรี่ยม เรื่องวุ่นวายจะได้จบๆไปเสียที
“ถ้าช่วยไม่ได้กูจะมาทำไม”
“แต่ถ้าจับตัวคนผิดไม่ได้ เขาก็ยังจะโทษว่าเป็นผมอยู่ดี” ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเองที่เขี่ยหินหน้าบ้านแก้เครียด ก่อนที่มือหนาของพี่ปราบจะวางลงบนหัวผมเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง ถึงเย็นวันนี้มึงก็พ้นผิดแล้ว วางใจเถอะ”
“พี่...”
“กูจะจัดการให้เอง เลิกเครียดได้แล้ว และก็กินข้าวเยอะๆด้วย มึงผอมลงเหลือแต่กระดูกเดินได้ ไม่ไหววะ” พี่ปราบมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วส่ายหน้า
ก็คนมันเครียดจะให้กินข้าวลงแบบปกติได้ไง
“กูไปละ เจอกันตอนเย็น”
“ครับ สวัสดีครับพี่” ผมยกมือไหว้พี่ปราบ รอส่งจนเขาขับรถออกไป
เฮ้อ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาวะ พี่ปราบบอกว่าช่วยได้ก็ต้องช่วยได้”
เวลาห้าโมงเย็น ผมออกจากบ้านแม่นั่งรถไปบ้านพี่แนน ผมกลับมาที่นี่ก่อนที่พี่แนนและพี่เบิร์ดจะกลับมา ก็เลยขึ้นห้องไปเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่มีอยู่แค่น้อยนิด ไม่ถึงสิบนาทีผมก็เก็บของเสร็จ จากนั้นก็ส่งข้อความไปบอกพี่ปราบว่าผมมาถึงบ้านพี่แนนและเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็ส่งข้อความกลับมาบอกว่ากำลังมา
พี่แนนกับพี่เบิร์ดกลับมาถึงก่อนที่ปราบเล็กน้อย ผมไม่ลงไปข้างล่างจนกระทั่งพี่ปราบมาถึง พี่เขาจอดรถที่หน้าบ้าน รอให้ผมลงไปรับแล้วค่อยเข้ามาในบ้านพี่แนนพร้อมกัน
พี่เบิร์ดพอเห็นผมกับพี่ปราบก็ขมวดคิ้วใส่ ส่วนพี่แนนที่เคยเจอพี่ปราบมาแล้วครั้งหนึ่งก็ได้แต่มองพวกผมนิ่งๆ
“สวัสดีครับ” เพราะพี่ปราบอายุน้อยกว่าพวกเขาก็เลยต้องยกมือไหว้ตามมารยาท
“คุณเป็นใคร” พี่เบิร์ดถามพี่ปราบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างห้วน
“ผมเป็นรุ่นพี่ของซ่า แล้วก็เป็นเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้ด้วย” พี่ปราบแนะนำตัวพร้อมกับหยิบกล่องใส่นาฬิกามาให้พวกเขาดู
“จะแน่ใจได้ยังไงว่านี่เป็นของคุณ ไม่ใช่เด็กนี่ขโมยเงินผมไปซื้อ”
“นี่ครับ ใบรับประกันที่ระบุชื่อผมและวันที่ซื้อ เรือนนี้ผมซื้อมาได้สองปีแล้วครับ ไม่มีทางเป็นเงินคุณเอามาซื้อได้” พี่เบิร์ดส่งนาฬิกาและใบรับประกันพร้อมทั้งบัตรประชาชนของตัวเองให้พี่แนนกับพี่เบิร์ดตรวจสอบ
พอเห็นว่าเป็นของพี่ปราบจริงๆ และมีหลักฐานพร้อมพี่เบิร์ดก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ พี่แนนส่งนาฬิกาคืนให้พี่ปราบเมื่อหมดความสงสัย
“แต่ถึงอย่างนั้น แค่มีหลักฐานว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นของคุณ ก็ใช่ว่าซ่าจะไม่ได้ขโมยเงินผมไป อาจจะเอาเงินผมไปทำอย่างอื่นก็ได้” พี่เบิร์ดยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะโยนความผิดมาให้ผม
“พี่เบิร์ดพอเถอะ” พี่แนนปรามพี่เบิร์ดเสียงเบา ก่อนจะหันมามองผมแสดงอาการลำบากใจ “ซ่า ไม่ได้เอาเงินไปจริงๆใช่ไหม”
ยังจะต้องถามผมด้วยคำถามนี้อีกเหรอ
“จะต้องให้ผมพูดกี่ครั้งอ่ะพี่แนน ว่าผมไม่ได้เอาไป”
“แม่ก็อยากจะเชื่ออย่างนั้นนะซ่า แต่ว่าเงินเป็นแสนหายไป จะให้แม่นิ่งนอนใจก็ไม่ได้ ซ่าเป็นคนเดียวที่อยู่บ้าน ตอนเช้าแม่มั่นใจว่าเงินยังอยู่ ความจริงเงินก้อนนี้แม่กับพี่เบิร์ดเก็บกันมาสักพักเพราะจะเอามาโปะค่าผ่อนบ้าน แต่ตอนนี้มันหายไป ถ้าเอาไปก็ยอมรับมาเถอะ ซ่าอาจจะต้องช่วยแม่หาเงินก้อนนี้มาคืน ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก ถึงซ่าเอาไปจริงๆพี่เบิร์ดเขาก็ไม่แจ้งตำรวจหรอก”
ฟังที่พี่แนนพูดจบ ผมแทบอยากจะคว้าของอะไรสักอย่างทุ่มลงพื้นระบายความคับแค้นที่สุมอยู่ในอก แต่ผมทำได้เพียงกำมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ตาก็จ้องหน้าพี่แนนอย่างไม่ยอมแพ้ ทำไมจะต้องให้ผมรับผิด ทำไมถึงต้องพูดเหมือนเชื่อว่าผมเอาเงินไป
“ขอแทรกหน่อยนะครับ ถึงผมจะยืนยันให้ดูว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นของผม ไม่ใช่ของซ่า แต่ว่าจะปล่อยให้เรื่องจบแค่นี้ก็คงไม่ได้ ยังไงซ่ามันก็เป็นรุ่นน้องผม และผมเห็นคนไม่ได้ทำผิดโดนกล่าวหาไม่ได้”
“ทำไม คุณจะเข้าข้างไอ้เด็กนี่หรือไง นี่มันเรื่องในครอบครัวผม คุณอย่ายุ่ง”
“คุณนับเขาเป็นครอบครัวด้วยเหรอครับ” พี่ปราบพูดนิ่งๆ แต่ทำให้พี่เบิร์ดหุบปากได้ พี่แนนก็หน้าเสีย และที่สำคัญคำพูดของพี่ปราบตอกย้ำความจริงให้ผมได้คิดอีกครั้ง
ผมไม่ใช่ครอบครัวของพวกเขา
ก็แค่...กาฝาก
“ความจริงแล้ว ถ้าคุณยอมจบง่ายๆ ยอมเชื่อง่ายๆว่าลูกของคุณไม่ได้ขโมยเงินไป ผมคงจะไม่ต้องทำแบบนี้” หน้าของพี่ปราบเข้มขึ้นอีกหนึ่งระดับ แววตาดุดันของเขาจ้องพี่เบิร์ดนิ่ง
“คุณจะทำอะไร” พี่เบิร์ดลุกขึ้นเดินมาประจันหน้ากับพี่ปราบ
“คุณแนน คุณเก็บเงินไว้ที่ไหน” พี่ปราบไม่สนใจพี่เบิร์ด หันไปพูดกับพี่แนนแทน
“ในห้องนอน ในลิ้นชักหัวเตียง”
“แล้วห้องนอนคุณใครจะเข้าออกก็ได้เหรอ ลิ้นชักไม่มีกุญแจล็อกหรือยังไง” พี่ปราบยิงคำถามใส่อีก
“เอ่อ...คือ...” พี่แนนอึกอัก หันไปสบตากับพี่เบิร์ด
“นอกจากพวกคุณแล้ว ยังมีใครที่มีกุญแจเข้าออกบ้านคุณได้อีก หรือมีแค่พวกคุณสามคนเท่านั้น” พี่ปราบตั้งคำถามไปเรื่อยๆ
“ที่จริง ก็ยังมีหลายของพี่เบิร์ดอีกคนที่มีกุญแจ” พี่แนนตอบเสียงเบา
“แนน หลายเบิร์ดมันเป็นเด็กดี มันไม่เอาเงินไปหรอก ไม่เหมือนเด็กบางคนแถวนี้” พี่เบิร์ดรีบแย้ง
“มีอีกคนที่มีกุญแจ แสดงว่าก็อาจจะเป็นคนนั้นก็ได้”
“นี่คุณ กล่าวหาหลานผมลอยๆไม่ได้นะ”
“แล้วคุณกล่าวหาซ่าลอยๆได้เหรอ” พี่ปราบตอบโตกลับทันที
“...”
“พวกคุณได้ให้ใครมาตรวจสอบลายนิ้วมือ หรือไปขอดูกล้องวงจรปิดหรือยัง”
“...” และอีกครั้งที่พี่เบิร์ดและพี่แนนปิดปากเงียบสนิท
พี่ปราบยิ้มบางๆใส่พวกเขา แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วทำให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆ รอยยิ้มของพี่ปราบครั้งนี้ดูเจ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยความหน้ากลัว เพราะดวงตาของเขาคมเฉียบแข็งกร้าว ไม่ได้ยิ้มตามปากที่หยักโค้ง
“ไม่เป็นไรครับ ภาพจากกล้องวงจรปิดของหมู่บ้าน ผมไปขอมาให้ดูแล้ว และผมเชื่อว่าหลักฐานแค่นี้ก็เพียงพอจะทำให้รู้แล้วว่าใครเป็นคนเอาเงินไป
พี่ปราบเดินออกไปนอกบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมกับแท็บเลต พี่ปราบจิ้มหน้าจออยู่ไม่กี่ครั้งก็กดเปิดไฟล์วีดีโอให้ได้ดู
“ต้องบอกว่าพวกคุณโชคดีที่เลือกโครงการบ้านดี ภาพวงจรปิดที่มาจากกล้องได้คุณภาพมาตรฐานถึงได้ชัดขนาดนี้” พี่ปราบพูดแล้วหันมายิ้มให้ผม พยักหน้าให้ผมดูวีดิโอต่อ
ภาพที่เห็นคือหลังจากที่พี่เบิร์ดกับพี่แนนขับรถออกไปแล้ว ไม่นานผมก็ออกจากบ้านไปบ้านแม่ พี่ปราบกดหยุดวิดีโอ
“คุณดูนะ ซ่าออกจากบ้านตัวเปล่า เสื้อยืดแขนสั้นกางเกงยีนส์ ไม่มีกระเป๋าสักใบ คุณคิดว่าเขาจะยัดเงินแสนไว้ที่ส่วนไหนของร่างกาย” พี่ปราบพูดสันนิษฐานตามที่ตัวเองเห็น
พี่ปราบกดเล่นวีดิโออีกครั้ง หลังจากที่ผมออกจากบ้านแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาที่บ้านในช่วงเช้า พี่ปราบกดเร่งความเร็ววีดีโอให้เร็วขึ้นจนมาถึงช่วงกลางวันที่มีคนกลับมาที่บ้าน แน่นอนว่าไม่ใช่ผมแต่เป็น…
“พี่เบิร์ด...พี่กลับมาที่บ้านเหรอ” พี่แนนละสายตาจากหน้าจอไปถามพี่เบิร์ด พี่เบิร์ดหน้าซีดเป็นไก่ต้มพูดไม่ออก ผมคิดว่าผมพอจะเดาได้ลางๆแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ต่อมาพี่เบิร์ดก็ออกมาจากบ้านด้วยประเป๋าสะพายข้างที่ค่อนข้างตุง ขึ้นรถและขับออกไป ตกเย็นผมกลับมาที่บ้าน และไม่ได้ออกไปไหนจนกระทั่งพี่เบิร์ดและพี่แนนกลับมา ก่อนที่จะปิดวีดิโอ ภาพสุดท้ายก็คือภาพที่ผมเดินออกจากบ้านหลังจากที่ตัวเองถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย
“ยังจะต้องสงสัยกันอีกไหมครับว่าใครเป็นคนเอาเงินไป เงินแสนคงไม่ปลิวออกจากบ้านไปได้ เพราะซ่ากลับมาที่บ้านอีกครั้งในตอนเย็นและยังไม่ได้ออกไปไหนจนพวกคุณกลับมาหรอกมั้งครับ”
“...” พวกเขาสองคนยังคงตกตะลึกกับความจริงที่ได้เห็นกับตาตัวเอง
“คุณแนนบอกเองว่าตอนเช้ายังเห็นว่ามีเงิน เพราะฉะนั้น เงินหายไปในวันนั้นอ่ะถูกต้องแล้ว เพียงแต่ที่ผิดคือคนที่เอาเงินไปไม่ใช่ซ่า แต่เป็นคุณนั่นแหละครับ...คุณเบิร์ด”