เพราะผมขาดเรียนไปหนึ่งเทอมก่อนที่จะจบ ทำให้ต่อมาลงเรียนปีนี้คนเดียว เพราะไอ้สี่คนนั้นมันก็เลยเรียนนำหน้าผมไปแล้ว ตอนเรียนมันก็เลยจะเหงาหงอยนิดหน่อย ก็มีเพื่อนคุยเล่นประปรายบ้าง แต่ไม่ถึงกับสนิท
พักเที่ยงผมก็ไปหาข้าวกินที่โรงอาหาร ก็มีแค่ช่วงนี้เท่านั้นที่ผมจะได้เจอไอ้พวกนั้น วันนี้ผมลงมาช้า พวกมันก็เลยไปซื้อข้าวมานั่งกินกันเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินไปซื้อข้าวกับน้ำแล้วมานั่งกินพร้อมพวกมัน
“วันนี้หน้าตามึงดูแจ่มใสผิดปกตินะไอ้ซ่า” ผมหย่อนก้นนั่งได้ไม่ถึงห้านาทีไอ้หวายก็พูดทักขึ้นมาแล้ว
“เออ จริงวะ ดูน้องซ่าจะเจริญอาหารกว่าปกติด้วย”
หลังจากนั้นพวกมันก็มานั่งจ้องหน้าวิเคราะห์อาการผมกันใหญ่จนน่ารำคาญ ได้แต่ยันหน้าพวกมันออกห่าง แม้จะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าหน้าผมเปลี่ยนไปตรงไหน เมื่อเช้าส่องกระจกผมว่ามันก็เหมือนเดิม
“มีอะไรดีๆหรือไงวะ”
“นั่นดิ”
“อะไรของพวกมึงเนี่ย กูปกติดี” ผมกลืนข้าวลงคอแล้วพูดสวนกลับ
“กูไม่เชื่ออ่ะ แก้มอมชมพูขนาดนี้” ไอ้นุ๊กเอานิ้วมาจิ้มแก้มผมเล่น ผมปัดมือมันออกจากหน้าทันที
“อมชมพูเหี้ยอะไรล่ะ” ผมเอาแก้มถูกหน้าทันที นี่ถ้ามีกระจกจะเอาขึ้นมาส่องแล้ว แต่ผู้ชายอย่างผมไม่เคยพกของแบบนั้น
ผมรีบจ้วงข้าวเข้าปาก กินเสร็จจะได้รีบหนีจากไอ้พวกเพื่อนกวนประสาทนี่สักที แต่พวกมันคอยแต่จะแกล้งผม เดี๋ยวดึงแก้ม เดี๋ยวดึงแขน เตะขา จนผมเริ่มจะทนไม่ไหว พวกมันถึงได้หยุดแล้วหัวเราะมีความสุข
“พอๆๆ เลิกแกล้งมัน จะอะไรก็ช่าง เพื่อนกูเลิกทำหน้าอมขี้ได้ก็ดีแล้ว ฮ่าๆๆ”
“เกือบจะหล่อแล้วไอ้ตูน ถ้ามึงไม่พูดเรื่องขี้ตอนที่กูกินข้าว” ผมด่าเข้าให้ จริงๆก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอกที่พูดเรื่องของเสียตอนกินข้าว แต่ผมอยากด่าก็เลยด่า
“คำสุดท้ายแล้วไหมไอ้ซ่า ทำมาเป็นพูด”
“แล้วไง คำสุดท้ายก็ข้าว”
“มึงสองคนนี่เถียงกันเป็นเด็กๆเลยนะ”
“แล้วมึงโตตายล่ะไอ้หวาย”
“ฮ่าๆๆๆ”
ถึงจะเป็นพักกลางวันที่โคตรจะวุ่นวาย แต่การมีพวกมันอยู่ก็ทำให้ผมไม่เหงา คิดไม่ออกเลยว่าถ้าผมไม่ได้เรียนต่อที่นี่ แล้วไปต่อมหาวิทยาลัย ผมจะได้เจอเพื่อนบ้าๆแบบนี้หรือเปล่า คิดว่าไม่น่ามี คนที่บ้ากว่าพวกมันคงไม่มีอีกแล้วบนโลกใบนี้
คนบ้าที่ทำหน้าเพื่อนได้ดี
ตกเย็นผมรีบวิ่งออกจากห้องเรียน เพราะพี่ปราบส่งข้อความมาบอกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่ารออยู่ที่เดิมที่จอดรถเมื่อเช้า
ผมว่าผมออกมาเร็วแล้วนะ แต่ผมยังช้ากว่าไอ้หวายและคนอื่น ผมรู้ว่าเลิกเร็วกว่าผมหนึ่งชั่วโมง แต่ผมคิดว่าพวกมันกลับบ้านกันไปแล้ว ไม่คิดว่าตอนนี้พวกมันจะกำลังนั่งคุยอยู่กับพี่ปราบที่ม้าหินอ่อน
กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไม่ไปถึง~
“เห้ย ไอ้ซ่า ยืนทำหน้าตาขี้เหล่อะไรตรงนั้นวะ”
“นั่นดิ หรือจะให้พี่ปราบเดินไปอุ้มวะ”
“ฮิ้วววว”
ผมเปลี่ยนใจ ผมจะเลิกคบพวกแม่งเป็นเพื่อนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เลิก! เลิกคบแม่ง!
เกลียดพวกมันโว้ย!!
ถึงจะโวยวายใส่พวกมันอยู่ในใจ ผมก็ต้องเดินหน้าไปหาพวกมันอยู่ดี แต่ก่อนอื่นเลย ขอตบเรียงตัวให้หายแค้นสักหน่อยเถอะ
“ตะโกนหาพ่อมึงเหรอไอ้” ตบเสร็จแล้วก็ด่าซ้ำ พี่ปราบก็เอาแต่นั่งขำ ก่อนจะดึงข้อมือผมให้นั่งลงข้างๆ
“ไอ้สัด ตบแรงเลยนะมึง โอ๊ยมึน” ไอ้หวายทำหน้าเหยเก ลูบหัวปรอยๆ
“เออ กูเหมือนจะเห็นดาว” ไอ้ตูนทำตาปริบๆ ส่วนไอ้กานกับไอ้นุ๊กหันหน้ากอดกันแล้วทำเสียงสะอื้อนกระซิกๆเรียกร้องความสนใจ ผมนี่เท้ากระตุกเลยครับ แต่พี่ปราบดึงแขนเอาไว้
“ทำไมลงมาเร็ว คิดถึงกูหรือไง” แล้วทำไมต้องพูดดังด้วยความ ไอ้พวกนี้เลยทำหน้ายิ้มล้อผมกันหมด
“โอ๊ย เบาหวานขึ้นตา อิจฉาคนมีความรักเหลือเกิน” ไอ้กานเริ่มคนแรกเลย ผมแทบจะเอาตีนขึ้นมาก่ายหน้าผาก
แต่เดี๋ยวนะ ทำไมพูดเหมือนรู้ว่าผมกับพี่ปราบคบกันแล้ว
ผมหันควับไปมองหน้าพี่ปราบทันที “พี่บอกพวกมันเหรอ”
“อืม ก็พวกมันถาม” ตอบหน้าตาย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
“พี่อ่ะ ไม่น่าบอกพวกมันเลย” ผมร้องโอดครวญ
“ทำไม อาย”
โหย พูดงี้ตบหน้ากันเลยเถอะ “ไม่ได้อาย แต่พวกมันชอบล้ออ่ะ พี่ดูดิ”
“อ่อ เขิน” พี่ปราบยิ้มกริ่ม
“อุ้ย ไอ้ซ่าเขินเหรอเนี่ย ไหนขอดูหน้าหน่อยดิ” ไอ้หวายกระโจนเข้ามาประคองหน้าผมให้หันไปทางพวกมัน มือน้ำหนักมือที่กดลงบนหน้า ทำเอาหน้าผมบู้บี้ไปหมด
ก่อนที่พวกมันจะแกล้งผมไปมากกว่านี้ คนที่ช่วยผมให้หลุดพ้นจากไอ้พวกชั่ว ก็คือคนที่ทำให้ผมถูกพวกมันรุมล้อเนี่ยแหละ ซึ่งถ้ารู้ว่าจะช่วยกันแบบนี้ อย่าช่วยกันเลยดีกว่า
“พวกมึงเลิกแกล้งแฟนกูได้แล้ว เห็นมันมันตัวแดงเป็นกุ้งแล้วเนี่ย น่ารักฉิบหาย ฮ่าๆๆ”
โอ๊ย! หัวร้อนเลยกู
ปล่อยให้ผมโดยพวกมันแกล้งจนหนำใจ จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พี่ปราบถึงได้ยอมไล่พวกมันกลับบ้านแล้วพาผมขึ้นรถ
“โกรธเหรอไง” พี่ปราบคว้าคอผมให้หันไปทางเขาตอนรถติดไฟแดง เพราะผมเอาแต่มองไปนอกรถ
“เปล่า” ผมตอบสั้นๆ ไม่ได้โกรธอะไรหรอก
“จะเขินอะไรขนาดนั้น พวกมันก็แซวเล่นไปอย่างนั้นแหละ”
“ก็ผมไม่ชอบนี่”
“ไม่ชอบกู”
“ไม่ชอบพวกมันสิ”
“ฮ่าๆๆๆ น่ารักนะมึงนะ”
เสียรู้จนได้
“หึหึ หน้าแดงไม่หายเลยนะซ่า” พี่ปราบลูบแก้มผมเบาๆ ไม่ปรึกษากูเลยว่าจะรู้สึกยังไง
“พี่อย่าล้อได้ไหมเนี่ย”
“เออๆ ไม่ล้อและ ไหนมาหอมทีดิ” พี่ปราบรั้งคอผมเข้าไปใกล้ ผมรีบขืนตัว นี่มันกลางถนนนะเว้ย จะมาหงมาหอมอะไรตอนนี้
“อย่าดิพี่ จะไฟเขียวแล้ว”
“อีกสิบห้าวิ มึงก็รีบๆยื่นหน้ามากูจะได้รีบๆหอม”
“ไม่เอา”
“เร็วๆ อีกสิบวิแล้วเนี่ย”
“ไม่...”
“ซ่า...”
“เออๆ พี่แม่ง”
เลี่ยงไม่ได้ ก็ได้แต่ยืนหน้าเข้าไปให้พี่ปราบเข้าหอมให้มันจบๆเรื่อง ข้างเดียวไม่พอ ต้องสองข้าง แถมกดแรงจนแก้มผมเจ็บไปหมด สุดท้ายก็ออกรถไม่ทันไฟเขียว ดีที่คนข้างหลังเขาไปบีบแตรไล่
“กลับไปเย็นนี้กินข้าวเยอะๆหน่อยนะ แก้มไม่นิ่มเลยวะ หอมไม่สะใจ”
“ไม่กิน!”
แล้วก็ชอบพูดให้อายแบบนี่ เลิกดีไหมกู จะได้ไม่ต้องโดนคนนั้นคนนี้แกล้งให้อารมณ์เสีย
เฮ้อ คิดไปคิดมา ความคิดนี้เหมือนจะไม่ดีวะ
....................................
ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลยนะคะ ต้องขอโทษด้วย วันที่31 ริริมีบินข้ามคืน ที่บ้านเลยต้องไปกินปีใหม่วันนี้แทน ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ขอให้น้องที่ยังเรียนอยู่ เรียนสอบได้คะแนนดี คนที่ทำงานแล้วขอให้การงานราบรื่น ที่สำคัญเลยขอให้ทุกคนมีเงินใช้ไม่ขาดมือ และขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงนะคะ
สวัสดีปีใหม่ 2561 ค่ะ
อยู่กันอย่างนี้ต่อไปนานๆนะคะ ใครที่เคยอ่านพี่เสือเวอร์ชั่นเก่าก่อนลบมาแล้ว บอกเลยว่าปี2561 นี้ ริริกลับมาลงพี่เสือแน่นอนค่ะ
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่อยู่ติดตามกันมาด้วยทุกวันนี้นะคะ ปีหน้าริริจะทำให้ดีกว่านี้ค่ะ (จะพยายามมาให้บ่อยกว่านี้ ฮ่าๆๆ”
ด้วยรัก
ริริ