ปราบซ่า
ตอนที่29
[ปราบ]
คำถามเดียวในหัวที่คิดได้ตอนนี้ก็คือว่า...ใครทำเด็กกูวะ
ตาแดงๆนั่นคงไม่ได้ร้องไห้มาใช่ไหม
ผมเปิดประตูออกกว้าง ถอยหลังให้ซ่าเดินเข้ามาในห้อง มันพูดขอบคุณเสียงเบาก่อนจะเดินเข้าห้องไปเงียบๆ ผมโคลงหัวคิดว่ามันเป็นอะไร หรือวันนี้อะไรเกิดขึ้นกับมัน ถึงได้มีสีหน้าที่แย่แบบนี้
ซ่าวางกระเป๋าไว้บนข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะเดินแยกไปเข้าห้องน้ำ มันใช้เวลาอยู่ในนั้นนานราวสิบนาทีเห็นจะได้ จึงค่อยเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกซก
“ซ่า มานี่สิ” ผมตบที่นอนข้างๆให้มันมานั่ง มันทำอะไรเชื่องช้าขัดกับชีวิตปกติที่มักจะโผงผาง ต้องยืนคิดแล้วถึงจะเดินมานั่ง ผมดึงมันเข้ามาใกล้เมื่อซ่าเว้นระยะห่างไว้มากเกินความจำเป็น แต่มันก็ขืนตัวไม่ยอมขยับเข้าหาผม
“เป็นอะไร”
“...”
มันไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้าหลุบตามองต่ำ เมื่อมองตามสายตาก็ได้เห็นว่ามือทั้งสองข้างมีรอยถลอก ที่เห็นได้ชัดเลยคือข้อนิ้วมือที่มีรอยแผลแตกและมีเลือดซึม จากประสบการณ์ที่เคยเป็นนักเรียนให้ป๊าซ้อมและครูฝึกศิลปะป้องกันตัว หรือแม้แต่ไปต่อยตีกับชาวบ้านด้วยตัวเอง รู้เลยว่าแผลเหล่านี้ได้มายังไง และคิดว่าสาเหตุน่าจะเรื่องเดียวกับบาดแผลในครั้งก่อน
“มีอะไรจะพูดกับกูหรือจะฟ้องกูไหม”
ผมไม่อยากให้มันทำหน้าเศร้า ไม่ชอบแววตาดื้อรั้นกลายเป็นหมดอาลัยตายอยาก ผมพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันที่โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้รู้มาก เพราะสายสืบที่ผมสั่งให้ดูแลซ่าเรียนคนละห้องคนละชั้นกับเด็กผม อะไรที่ซ่าประสบด้วยตัวเองไอ้พวกนั้นคงไม่รู้ เพราะไอ้เด็กนี่คงไม่บอกหรือเล่าให้ใครฟัง
ผมแอบคิดว่ามันจะตกใจที่ผมถามเหมือนรู้ทัน ตรงกันข้าม นั่งก้มหน้านิ่งยังไงก็นิ่งอย่างนั้น เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อผมวางมือลงบนหน้าขา ซ่าก็สะดุ้งปัดมือผมทิ้ง ผมใจแกว่งเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของซ่า แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น ผมคิดว่ามันกำลังอ่อนแอ และผมต้องเข้มแข็งพามันผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ไปได้
ตั้งแต่ที่มันตกลงคบกับผม ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้น เท่าที่ไอ้หวายเล่าให้ผมฟังก็จับใจความได้ว่า รุ่นน้องของพวกมันที่ซ่าเรียนร่วมชั้นอยู่ด้วย เห็นผมไปรับไปส่งซ่า ยังมีภาพถ่ายอะไรสักอย่างที่ไอ้หวายได้ยินเด็กในโรงเรียนพูดถึง แต่มันไม่เคยเห็น คนที่เห็นก็คงจะเป็นไอ้เด็กที่นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ แต่มันไม่เคยคิดจะเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้วให้ผมฟัง
ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า สังคมในกลุ่มเด็กเทคนิคหรือเด็กช่างมันแคบกว่าเด็กมหาวิทยาลัย รักในเพศเดียวกันคงไม่ใช่เรื่องที่เท่และดูดีในกลุ่มวัยรุ่นขาโจ๋ป่วนเมือง ดังนั้นการที่เด็กผู้ชายในโรงเรียนสักคนจะเป็นตุ๊ดเป็นกระเทยย่อมต้องถูกจับตามองและเปอร์เซ็นต์การถูกกลั่นแกล้งก็สูงมากกว่าเด็กเนิร์ดคงแก่เรียน ยิ่งสิ่งที่ซ่าโดนไม่ใช่แค่เรื่องที่เป็นมาคบกับผู้ชาย แต่เป็นข่าวลือว่าซ่าขายตัวให้ผม นั่นเลยทำให้เด็กในโรงเรียนมองซ่าในทางที่แย่เข้าไปใหญ่
ทำไมผมรู้แล้วถึงไม่จัดการอะไรสักอย่าง ผมยังยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างซ่าและดูแลมันให้ดีที่สุด ผมทำให้มันได้ทุกอย่างขอแค่มันบอก เพียงแต่ผมรอให้มันพูดออกมาเท่านั้น ผมยินดีที่จะรับฟังพร้อมช่วยแก้ปัญหา บางอย่างแก้ที่คนอื่นไม่ได้ ก็ต้องแก้ที่ตัวเราเอง
“พี่ปราบ” หลังจากปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปประมาณหนึ่ง ผมทำได้แค่นั่งรออย่างใจเย็น ซ่าก็เริ่มเปิดปากพูด แต่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ว่าไง”
“เรา...”
“อยากพูดอะไรก็พูดเลย กูฟังอยู่” คืนนี้ผมมีเวลาให้มันพูดทั้งคืน
“มันดีแล้วจริงเหรอพี่” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอ่อนแรงจนสงสาร
“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ”
“ที่เราคบกัน”
คำตอบที่ได้ ไม่ได้ทำให้แปลกใจอะไรมากนัก ก็อย่างที่บอกว่าผมพอจะรู้คร่าวๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับซ่าที่โรงเรียน และพอจะเดาได้ว่าซ่าจะคิดและรู้สึกยังไงกับเรื่องแบบนี้ แค่ยอมรับใจตัวเองก็ยากพออยู่แล้ว การทำให้สังคมรอบข้างยอมรับมันยากยิ่งกว่าหลายเท่า
“แล้วคบกับกูมันไม่ดีหรือไง หรือมึงไม่ชอบกูแล้ว” ผมคาดหวังว่าอย่างน้องถ้าไม่ตอบซ่าก็ต้องส่ายหน้า แต่มันกลับนิ่งจนผมใจเขว
คงไม่ได้เลิกชอบกูจริงๆใช่ไหม?
ผมประคองใบหน้ามันขึ้น ขยับตัวผมและดึงตัวมันให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อที่ผมจะได้มองดูสีหน้าและแววตาขมขื่นของมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดวงตาที่เพิ่งจะมีความสุขแต่งแต้มได้ไม่นาน กลับมาเศร้าหมองเหมือนแต่ก่อน ผมโคตรไม่ชอบแววตาแบบนี้เลยให้ตายเถอะ
“ซ่า มองตากูนะ แล้วตอบกูว่ามึงยังชอบกูอยู่ไหม” ผมขอความมั่นใจให้ตัวเองหน่อย จะได้มีแรงไปต่อ และคราวนี้มันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเมื่อซ่ามันพยักหน้าช้าๆ
“ถ้างั้นเล่าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่อยากเล่าเลย มันโคตรแย่” เสียงของมันสั่น ก่อนที่น้ำตาหยดหนึ่งจะไหลลงมาโดนมือผม มันลนลานรีบปาดน้ำตาทิ้ง
“แย่ยังไงก็เล่าให้กูฟังได้ หรือมึงไม่ไว้ใจกู”
“ผมเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็เล่ามา
ซ่ายอมช้อนสายตาขึ้นสบกับผม ผมอยากดึงมันมากอดแล้วโอ๋ให้หายเศร้า เพียงแต่การรอฟังสิ่งที่มันจะเล่านั้นสำคัญกว่า ไว้เคลียร์ปัญหานี้จบแล้วโอ๋ทีเดียวก็ยังไม่สาย
เรื่องราวที่ซ่าต้องเผชิญมาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำๆเป็นท่อนๆ เล่าไปหยุดไปเหมือนมันไม่อยากจะพูด แต่สุดท้ายมันก็ยอมพูดออกมา ความจริงที่เพิ่งรู้กับเรื่องที่รู้ว่ามาจากไอ้หวาย เรียกได้ว่าสิบในร้อย ยิ่งเล่าไหล่กว้างก็ค่อยๆหลู่ตก จนเหมือนจะห่อตัวเองเพื่อป้องกันคำต่อว่าติฉินของคนรอบข้าง
สิ่งเดียวที่ผมลืมคำนึงจนปล่อยให้เรื่องราวมันเลวร้ายมากขึ้นก็คือซ่ามักเลือกทิ้งความสุขของตัวเองเพื่อให้คนอื่นพอใจ
แต่จะโทษมันคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษที่คนรอบข้างหล่อหลอมให้มันเป็นคนไม่กล้าที่จะมีความสุขมานานเกินไป
“ผมกลัว...กลัวว่าผมจะทนไม่ไหว” ประโยคสุดท้ายที่บอกว่าความอดทนของมันใกล้จะหมดลงทุกที
“มึงจะผ่านมันไปได้ซ่า”
“ผมไม่รู้เลยพี่ปราบ...ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผมไม่มีความสุขเลย”
“...”
“ผมไม่ได้อยากยินคำพูดแย่ๆพวกนั้นอีกแล้ว ผมอยากให้เวลามันผ่านไปไวๆ เรียนจบไวๆ แต่เวลาแม่งกลับเดินช้ายิ่งกว่าเดิม ผมคิดนะ คิดว่า ถ้าผม...ถ้าหากเรา...” ซ่าเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างที่คงไม่ใช่เรื่องดี ริมฝีปากอิ่มซีดที่เคยขึ้นสีระเรื่อเม้มเข้าหากันแน่น แล้วน้ำตาหยดที่สองก็ไหลออกมา พร้อมกับประโยคที่แทบกระชากลมหายใจของผม
“ถ้าเราเป็นแค่พี่น้องกัน ถ้าเราไม่ได้คบกัน...”
อย่ารอให้มันพูดจบเลย ไม่งั้นมันจะยิ่งเลอะเทอะไปมากกว่านี้
“มึงพูดอะไรซ่า รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา” ผมกระชากตัวมันเข้าหาตัวแล้วเอ่ยต่อว่าเสียงดุ “เรื่องแค่นี้มึงก็คิดจะเลิกกับกูแล้วเหรอ”
“พี่ไม่ได้เป็นคนฟังคำพูดพวกนั้น พี่จะรู้อะไร” ซ่ากระชากเสียงใส่ผม มันอาจจะไม่ได้ตั้งใจพูด เพราะแววตาของมันเต็มไปด้วยคำขอโทษและรู้สึกผิด แต่สิ่งที่เพิ่งจะพูดก็ทำเอาผมเดือดจนอยากจะตีมันสักที
“มึงแคร์คำพูดมันหรือมึงแคร์คำพูดของกู”
ซ่าไม่ยอมสบตากับผม ผมจึงต้องบังคับด้วยการประคองใบหน้าของมันไว้ในมือ ล็อคเอาไว้ไม่ให้มันเบี่ยงหน้าหนี หมั่นไส้ปนหมั่นเขี้ยวจนอยากจะบีบหน้ามันให้แหลกคามือ
“งั้นมึงก็เลือกที่จะอยู่กับคำพูดของมันแล้วปล่อยกูไป เลิกกันไหมล่ะ”
เพี๊ยะ!
ไอ้ซ่ามือลั่นตีปากผม และมันเหมือนจะเพิ่งว่าทำอะไรลงไป ใบหน้าเลิ่กลั่กตกใจ เบ้หน้าปากสั่นอย่างคนตกใจสุดขีด เหนือกว่านั้นคือมันสามารถส่งสายตาตัดพ้อต่อว่ามาให้ผมได้ในเวลาเดียวกัน สามารถจริงๆเด็กกู แต่ผมดีใจนะที่มันลงมือลงไม้กับผมน่ะ เพราะหมายความว่ามันไม่อยากให้ผมพูดคำว่าเลิกออกมา แต่ผมบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งดีใจตอนนี้ จนกว่าผมกับมันจะทำความเข้าใจตรงกัน ผมต้องเก๊กโกรธเอาไว้ก่อน
“ไอ้ซ่า กูเจ็บนะ มึงตบกูทำไมเนี่ย” ผมถามมันเสียงเข้ม ตีหน้าเอาเรื่องพอสมควร จากที่หงอยอยู่แล้ว หงอยลงไปอีกสิบระดับ
“ก็พี่พูดว่าเลิก”
“มึงพูดก่อนนะ”
“ผมไม่ได้พูด” มันเถียง
“ทำไมมึงจะไม่ได้พูด มึงบอกว่าถ้ามึงกับกูเป็นแค่พี่น้องกัน ถ้าไม่คบกัน ที่พูดเนี่ยไม่ได้ความว่าเลิกกับกูมันจะดีกว่าเหรอไง”
“ผมแค่สมมุติ ผมไม่ได้พูด แต่พี่พูด” ไอ้ซ่าไม่ยอมรับว่ามันเองก็คิดแบบที่ผมพูด ยังจะทำตาขวางใส่ผมอีก ไอ้เด็กคนนี้นี่แม่งเอาใจยากจริงๆ
“เออๆ ไม่เลิกๆ ทั้งๆที่มึงเป็นคนลังเลแท้ๆ แม่ง” ผมบ่น เห็นกูยอมหน่อยนี่เอาใหญ่เลย
“ผมไม่ได้ลังเล”
“ถ้ามึงไม่ได้ลังเลแล้วมึงสมมุติขึ้นมาทำไม จะคิดมากใส่ใจคำพูดของคนอื่นทำไม ทำไมมึงไม่ใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง คำพูดมันไม่ได้หวังดีกับมึงเลยด้วยซ้ำ มึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาใส่ใจเลยสักนิด”
“พี่ไม่โดนพี่ก็พูดง่าย”
ผมถอนหายใจหนักๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจนะว่าสถานการณ์ที่มันต้องเผชิญมันหนักหนากับคนที่ไม่ได้เป็นเกย์มาตั้งแต่เกิดพอสมควร แต่มองไม่เห็นประโยชน์ที่จะเก็บคำพูดไร้สาระพวกนั้นมาใส่ใจ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราเติบโตมาไม่เหมือนกัน ผมไม่เคยแคร์อะไรมาตั้งแต่เด็กเพราะถูกปลูกฝังให้ทำอะไรตามใจตัวเอง ถ้าเรื่องนั้นไม่เดือดร้อนใครทุกคนในครอบครัวพร้อมจะสนับสนุน ไม่เหมือนกับซ่าที่ไม่เคยมีใครบอกหรือชี้แนะแนวทางจนกระทั่งได้มาเจอกับผม ดังนั้นผมต้องใจเย็นและค่อยๆสอนมัน
“อย่าพูดว่ากูไม่เข้าใจมึง เพราะกูเข้าใจมึงดี อาจดีกว่าที่ตัวมึงเองด้วยซ้ำ กูรู้นะว่าเวลาฟังคำพูดที่มันบั่นทอนความรู้สึกทุกวัน มันก็ต้องโมโหกันบ้าง แต่ว่าไอ้คนที่พูดเป็นใครก็ไม่รู้ สำคัญกับชีวิตมึงหรือก็ไม่ ทำไมต้องเอาคำพูดมันมาทำลายความรู้สึกของตัวเองด้วย จริงไหม”
ผมปล่อยใบหน้าของมันออก แล้วแบมือทั้งสองข้างตรงหน้าของซ่า บอกให้มันรู้ว่ามือคู่นี้ของผมพร้อมจะให้กำลังใจและจับมือมันก้าวผ่านปัญหาต่างไปได้ แค่มันวางมือลงบนมือของผม ผมจะจับเอาไว้แน่นไม่ปล่อยให้มันต้องผ่านพ้นอุปสรรคแต่เพียงลำพัง
มือแห้งสากของซ่ายกขึ้นแล้ววางไว้บนมือของผมอย่างไม่ลังเล แม้ว่าความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาเงียบๆจะเต็มไปด้วยความกังวล ผมบีบกระชับมือของมันแนบแน่น กะน้ำหนักมือไม่ให้ซ่ารู้สึกเจ็บหรืออึดอัดจนเกินไป เหตุการณ์ที่มันต้องเจอส่วนหนึ่งก็มาจากผม ถ้าผมไม่ยัดเหยียดตัวเองให้มันจนมันขาดผมไม่ได้ มันคงไม่ถูกสังคมในรั้วโรงเรียนประณามและดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ยุติธรรม
ผมสมควรที่จะรับผิดชอบความผิดของตัวเอง
“สิ่งที่กูจะถามมึงต่อไปนี้ มึงต้องคิดให้ดีก่อนที่จะตอบ ตอบตามความรู้สึก ใช้หัวใจตอบคำถาม อย่าใช้สมอง อะไรที่ไม่ใช่ก็พูดออกมาตามความจริง กูจะไม่ว่าไม่แย้งใดๆทั้งสิ้น มึงทำได้ไหม”
ผมไม่ได้รู้สึกกังวลใจกับคำตอบที่ซ่าจะตอบมากนัก เพราะรอยตบเมื่อสักครู่นี้บอกได้ดีในระดับหนึ่งว่ามันเองก็ไม่อยากเลิกกับผมเหมือนกัน แต่ที่ต้องถามย้ำก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเด็กมันเอง
และเมื่อซ่าพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ ผมก็เริ่มถามคำถามในทันที
“อันดับแรง มึงลองถามใจมึงดูนะซ่าว่าเป็นแฟนกูทำให้มึงรู้สึกแย่หรือเปล่า มึงรู้สึกรังเกียจตัวเองไหมที่มาคบกับกู ตอบตามที่ใจมึงคิด เอาตามความรู้สึกจริงๆของมึง”
ซ่าไม่ได้ตอบในทันที มันใช้เวลาคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ผมไม่ได้รังเกียจพี่ ไม่ได้รู้สึกแย่”
ผมระบายยิ้มพึงพอใจกับคำตอบที่ได้
“ถ้าอย่างนั้น อยู่กับกูมีความสุขไหม กูทำให้มึงมีความสุขหรือเปล่า”
ข้อนี้มันไม่ต้องใช้เวลาคิด ซ่าก็พยักหน้าตอบอย่างไว “ผมมีความสุข”
“กูสำคัญกับมึงไหม”
มันพยักหน้าเช่นเดิม
“กูกับไอ้พวกปากหมาในโรงเรียน ใครสำคัญกว่ากัน”
ซ่าตวัดลูกตามองหน้าผมเหมือนจะต่อว่าผมถามคำถามบ้าบออะไรกับมัน แต่มันก็ไม่ได้พูดออกมา ยินยอมตอบคำถามผมแต่โดยดี
“ก็ต้องพี่สิ”
“ถ้ากูสำคัญกว่าพวกมัน งั้นมึงแคร์คำพูดพวกมันทำไม”
“...”
“มันไม่ได้ให้ความสุขมึงเท่ากูใช่ไหม ไม่ได้หวังดีกับมึงอย่างกู ไม่ได้รักมึงอย่างกู แล้วมึงให้ค่าคำพูดพวกมันทำไมซ่า ตอบกูหน่อยสิ”
พอโดนผมจี้เข้าจุดแบบติดๆกัน ท่าประจำก็กลับมาปรากฏให้เห็นอีกรอบ ทั้งก้มหน้าห่อไหล่และเม้มริมฝีปาก ถ้าไม่ติดว่าผมจับมือของมันไว้ มันจะต้องบีบมือตัวเองเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งอย่าง
“ขอโทษ” ทันทีที่รู้ตัวว่าผิด ซ่าก็ไม่อายที่จะเอ่ยคำขอโทษ เท่านั้นไม่พอ มันยังปล่อยมือผมแล้วพุ่งตัวเข้ามากอดผมด้วยตัวเอง ตั้งแต่คบกับมันมา มันไม่เคยเป็นฝ่ายกอดผมก่อนเลยด้วยซ้ำ นี่นับเป็นครั้งแรก และผมโคตรจะดีใจ
“ผมขอโทษ”
ซ่าร้องไห้อยู่กับไหล่ผมเงียบๆ ผมลูบหัวลูบหลังที่สั่นสะท้านเพื่อปลอบโยน ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงความชื้นบนไหล่เท่านั้นที่ผมสัมผัสได้ว่ามันเสียใจมากแค่ไหนกับอุปสรรคในครั้งนี้
“อยากร้องก็ร้อง ถ้ากูอยู่ตรงนี้กูอนุญาตให้ร้องไห้ได้ แต่ถ้ากูไม่อยู่ใกล้ๆ ห้ามร้องไห้เด็ดขาด เข้าใจไหม”
ซ่าพยักหน้าทั้งน้ำตา เกือบสิบนาทีที่มันร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของผม ยอมเผยด้านที่อ่อนแอให้ผมได้เห็น จวบจนมันยกหน้าขึ้นจากไหล่ ผมก็ปล่อยมือที่โอบกอด เปลี่ยนมาลูบแผ่วที่แก้มตอบเพื่อเช็ดน้ำตา
“ยังรู้สึกว่าคิดผิดอีกไหมที่คบกับกู” ผมถามซ้ำอีกครั้ง
“ไม่” คำตอบสั้นๆคำเดียว แต่ทิ้งเสียงหนักแน่นมั่นใจ
“จำเอาไว้นะซ่า การที่ผู้ชายสองคนรักกันคบหากันไม่ใช่เรื่องผิด มันคือความพึงพอใจของคนสองคน อาจจะมีคนที่เข้าใจเราและไม่เข้าใจเรา ก็ช่างเขา เราไม่สามารถทำตัวให้ถูกใจคนทั้งโลกได้ ต่อให้มึงคบกับผู้หญิง ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเทิดทูนบูชาความรักของมึง ในเมื่อเราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน การที่มึงคบกับกูไม่ได้ทำให้ใครตาย มึงก็ไม่ต้องรู้สึกผิดรู้สึกแย่ใดๆทั้งสิ้น”
“...”
“มึงยังต้องออกไปเจอโลกที่กว้างกว่าในพื้นที่โรงเรียน มึงจะเจอทั้งคนที่รับได้และรับไม่ได้ที่มึงคบกับผู้ชาย แต่สิ่งที่มึงจะเผชิญ กูเองก็ต้องเจอไม่ต่างกัน กูมีหน้ามีตาในสังคม มีหน้าที่การงานและลูกจ้างนับพันนับหมื่นที่ต้องดูแล ถ้าบอร์ดบริหารรู้คนในสังคมรู้ว่ากูมีแฟนเป็นผู้ชาย พวกเขาต้องวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่แล้ว และมันจะมีทั้งคนที่รับได้และรับไม่ได้ ยิ่งโตขึ้นความกดดันรอบข้างต่อความรักของเราจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่กูกำลังจะบอกมึงก็คือว่า...กูไม่เคยกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นเหล่านั้นเลย เพราะอะไรมึงรู้ไหม เพราะการที่กูรักมึงไม่ได้ทำให้ใครตาย ไม่ได้ทำให้โลกร้อนขึ้น ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจแย่ และโลกจะไม่แตกเพียงเพราะกูคบกับผู้ชายด้วยกัน กูไม่ได้ไปรักมึงบนหัวใคร กูไม่ได้แย่งมึงมาจากคนอื่น ในเมื่อกูไม่ได้ทำผิดต่อใคร ทำไมกูจะคบกับคนเพศเดียวกันไม่ได้”
“...”
“สุดท้ายแล้วคนเราเกิดมาก็แค่ชีวิตเดียว จะตายวันไหนก็ไม่รู้ ทำไมกูจะต้องแคร์คนอื่นมากกว่าตัวกูเอง ทำไมต้องแคร์ว่าคนอื่นจะพอใจกับความรักของกูหรือไม่มากกว่าความพอใจของตัวกูเอง ขอแค่วันนี้กูมีความสุขอยู่กับสิ่งที่เลือก มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอวะซ่า”
“พี่ปราบ...”
“มึงไม่ได้ทำอะไรผิด และมึงควรจะมีความสุขได้แล้ว” ผมโอบมันเข้ามากอด จนตัวมันขึ้นมานั่งซ้อนอยู่บนตักของผม แตะนิ้วที่เปลือกตาบวมให้ปิดลง กระซิบเบาๆที่ใบหูให้มันได้ยินเพียงคนเดียว
“หลังจากวันนี้มึงจะต้องมีแต่ความสุข มึงทำตามใจตัวเองได้เต็มที่ อย่ากลัวที่จะรัก อย่ากลัวที่จะยิ้ม อย่ากลัวที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง อยู่กับกูมึงเอาแต่ใจได้เต็มที่ ถ้าผิดกูจะสอน ถ้าถูกกูจะสนับสนุน มึงเชื่อใจกูไหม”
น้ำตามันไหลลงมาอีกแล้ว คราวนี้ผมใช้ริมฝีปากของตัวเองซับน้ำตาให้ซ่า ก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากแห้งผากเบาๆ
“พี่ปราบ”
“หืม”
“ผมรักพี่”
ผมชะงักทุกความเคลื่อนไหวของร่างกาย เพราะไม่คิดว่าซ่าจะบอกรักผม ทั้งยังไม่เคยคิดด้วยความมันจะรู้สึกตามที่พูด ขอแค่ในเวลานี้มันเองก็ชอบผมบ้างผมก็พอใจแล้ว
“ไม่ได้พูดเพราะอยากเอาใจกูใช่ไหม”
“รัก...รักจริงๆ”
“...” กลายเป็นผมเองที่พูดอะไรไม่ออก
“ต่อไปนี้ผมจะไม่ฟังคำพูดใครอีกแล้ว ผมจะเชื่อฟังพี่คนเดียว”
“อืม ดีแล้ว” ผมยิ้ม มองคนที่ทำหน้าหงอยเพลินตา
“ผมจะมีความสุขใจไหม”
“มึงจะมีความสุข” ผมกดจูบที่ขมับบาง นับได้ว่าอุปสรรคในครั้งนี้ให้ผลลัพธ์ท้ายสุดที่ดีเกินคาด
“ขอบคุณครับ”
“I love you my good boy”
ซ่าอาจจะไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่ง แต่ประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆพวกนี้ผมว่ามันเข้าใจได้ ไม่อย่างนั้นใบหน้าของมันคงไม่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
ตั้งแต่คบกับมันมา ผมไม่เคยวางใจได้สักวันจนกระทั้งวันนี้ที่มันบอกว่ารักผม ผมกลัวมันเปลี่ยนใจอยู่ตลอดเวลา คนอย่างผมที่คนอื่นมองว่าเพียบพร้อม แต่กับเด็กคนนี้ มันทำให้ผมหวาดหวั่นกับใจของมันได้ตลอด เพราะมันไม่ได้เป็นเกย์และคบผู้หญิงมาตลอด ผมจึงกลัวว่ามันจะค้นพบว่านี่ไม่ใช่ทางของมันแล้วมันจะเปลี่ยนใจจากผม
แต่หลังจากนี้ผมไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว เพราะมันกล้าที่จะรุกจูบผมก่อนขนาดนี้ เท่ากับว่ามันเปิดใจให้ผมเต็มร้อย
รสจูบครั้งนี้ดุเดือดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าซ่าจะทิ้งความเขินอายไปจนหมด จากที่ผมมักจะเป็นฝ่ายไล่ต้อนให้มันตอบสนอง คราวนี้เป็นมันที่ไล่ต้อนผมบ้าง ดูดดุนลิ้นของผมบ้าง จนผมรู้สึกว่าอ่อนข้อให้ไม่ได้และต้องพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนบ้าง กว่าสงครามน้ำลายจะสิ้นสุดลงก็ตอนที่สัมผัสได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือด
ปากซ่าแตกจนได้...แต่แตกเพราะฝีปากผมมันก็โอเค
เช้าวันต่อมามันไม่อิดออดกับการที่ผมจะไปส่งมันที่โรงเรียน มันนั่งนิ่งๆชวนผมคุยนู่นนี่เป็นปกติ ไม่ได้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้กังวลเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านมา
ก่อนมันจะลงจากรถ ผมก็ดังแขนซ่าเอาไว้ มันหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผมมีอะไรกับมันหือเปล่า เพราะวันนี้เราออกมาสายกว่าปกติ และใกล้จะได้เวลาเข้าแถมเคารพธงชาติเต็มที
“มีอะไรเหรอเปล่าพี่” ซ่าถาม
“ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหากูได้ตลอด”
“ผมจะมีเรื่องอะไรเล่า”
“เพื่อมึงอยากจะตั๊นหน้าพวกปากหมา ก็โทรมาได้ กูจะมาเป็นผู้ปกครองให้”
ผมรู้เรื่องที่แม่มันถูกเรียกให้มาฟังความผิดของมันเนื่องจากต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียน มันเล่าแค่นิดหน่อยไม่ได้เล่าทั้งหมด ดูน่ามันเหมือนจะไม่อยากพูดถึงพี่แนน ผมเลยไม่เข้าไปยุ่ง เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟสำหรับซ่าเสมอ และยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะต้องเข้าไปยุ่มย่ามให้มากเกินพอดี
“ผมไม่ต่อยพวกมันในโรงเรียนแล้ว จัดข้างนอกง่ายกว่า ขี้เกียจฟังครูบ่น ไหนจะต้องไปบำเพ็ญประโยชน์หลังเลิกเรียนอีก”
“หึหึ คิดได้แบบนั้นก็ดี หมาจะเห่าจะหอนก็ปล่อยมันไป แต่มันมาแย่งความสุขมึงไม่ได้หรอก เข้าใจไหม”
“ครับ”
“ไปเรียกเถอะ ตั้งใจเรียน”
“สวัสดีครับ ขับรถดีๆนะพี่”
“อืม เจอกันตอนเย็น”
ซ่าโบกมือบ๊ายบายพลางเอียงคอ ผมมองท่าทางน่ารักนั้นนิ่ง คนทำมันก็คงไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เพราะโบกมือลาเสร็จมันก็ลงจากรถแล้ววิ่งไปทางที่อาคารเรียน ถ้าไม่ติดว่ามันจะสาย ผมจะดึงมันมาจูบส่งก่อนเข้าเรียนสักทีสองที
หมั่นเขี้ยวโว้ย!
วันนี้ผมขับรถตรงไปที่โรงฝึกก่อนเข้าออฟฟิศ หยิบซองเอกสารที่ได้มาจากลูกน้องติดมือเข้าไปด้วย เสียงในโรงฝึกเงียบเชียบ ไม่มีเสียงวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญ เนื่องจากวันนี้ป๊าเข้ามาคุมเด็กเอง
“ไงไอ้ลูกชาย มาทำอะไรแต่เช้า” ป๊าทักเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ มองดูเด็กๆในโรงฝึกก้มหน้าซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น
“แวะมาเลือกเด็กไปทดสอบนอกสถานที่หน่อย”
“ใครไปกระตุกตีนเข้าล่ะ” ป๊าพูดโดยไม่มองหน้าผม สายตากวาดมองไปที่เด็กๆที่กำลังซ้อมกับครูฝึกอยู่
“มีฝูงหมาจรจัดมันมาแหย่เด็กผมจนร้องไห้ ก็เลยต้องไปจัดการสั่งสอนสักหน่อย”
“จะเอาเด็กกี่คน” อย่างป๊าไม่เคยห้าม กฎของบ้านผมคือ เหี้ยได้ทันทีที่มีคนแกล้งเมีย
“สามคนก็พอป๊า”
“อืม เดี๋ยวกูคัดให้ ว่าแต่อย่างเด็กมึงนี่ยังมีคนกล้าแกล้งอีกเหรอไง” ป๊าหันมาเลิกคิ้วสูงถามผมเหมือนสงสัยและไม่เชื่อว่าไอ้ซ่าจะโดนแกล้ง
“มันเป็นเด็กดีแล้วนะป๊า ผมสอนมากับมือ ไอ้พวกหมาไม่มีเจ้าของเล่นกล้าแหย่หนวดเสือ”
ป๊าพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหัวขวับมาจ้องผมอีกรอบ “เด็กมันยอมมึงแล้ว”
“มันรักผมแล้วเถอะ” ผมยักคิ้วให้ป๊า ระดับนี้แล้วไม่ปล่อยให้ลูกไก่ในกำมือหลุดไปอยู่ในเล้าของคนอื่นหรอก
“แต่ก็ยังไม่ได้กิน หึ กระจอกวะ อย่าไปบอกใครว่าเป็นลูกกูนะ” ป๊าแสยะยิ้มมุมปาก เหลือบมองผมด้วยสายตาดูแคลน
เวลาโดนดูถูกเรื่องนี้แล้วของมันขึ้น เดี๋ยวคอยดูเลย อีกไม่นานผมกินไอ้ซ่าแน่ ไม่งั้นป๊าต้องล้อผมไปทั้งชาติ ซึ่งผมจะไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด ฆ่าได้หยามไม่ได้เว้ย
“ว่างๆก็พามากินข้าวที่บ้านบ้าง ไปแอบอยู่ด้วยกันมันใช้ได้เหรอวะ”
“ไม่นานหรอกป๊า เดี๋ยวพามาเปิดตัวเลย” คิดไว้แล้วว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะพามันมากินข้าวที่บ้าน จะได้ทำความรู้จักและทำความคุ้นเคยกับครอบครัวผมอย่างเป็นทางการในฐานะลูกสะใภ้
“ไอ้ซู่ซ่ากับปาปิก้ามันชะเง้อหามึงหน้าบ้านทุกวันอ่ะ อย่าลืมแวะเข้าบ้านไปดูมันหน่อย”
“ครับผม”
เย็นของวันนั้นผมก็ไม่ดูการฝึกน้องสถานที่ของเด็กสามคนด้วยตัวเอง ปล่อยให้ซ่ากลับคอนโดพร้อมคนขับรถแทน อ้างว่าติดงานยังกลับไม่ได้ แต่ความจริงแล้วผมต้องการมาดูบทเรียนของพวกหมาปากเปราะที่เห่าหอนไม่ดูตามาตาเรือกับตาตัวเอง
“พอแล้ว อึก ผมกลัวแล้ว ยอมแล้ว”
“ถ้าไม่อยากเสียตูดให้ตัวผู้จริงๆล่ะก็ อย่ามายุ่งกับเด็กเฮียกูอีก เข้าใจไหม”
“อึก ขะ...เข้าใจครับ ผมเข้าใจแล้ว ผมไหว้แล้ว ปล่อยพวกผมไปเถอะ”
บทเรียนสั่งสอนที่ผมมอบให้พวกมันไม่ได้ทำให้เลือดตกยางออก ให้เด็กมันซ้อมร่างกายตามกระบวนท่าคาราเต้แบบถูกต้องและปลอดภัยเล็กน้อย แต่ความเจ็บเป็นของจริง ก่อนจะข่มขู่ให้มันกลัวก็เท่านั้นว่าความรู้สึกที่จะต้องเสียตูดให้คนเพศเดียวกันมันเป็นยังไง แต่ถ้าหลังจากนี้ยังไม่หยุด ผมก็คงต้องจัดบทเรียนขั้นเด็ดขาดให้ จะได้ไม่กล้ามาล้อเด็กผมอีก
...............................................................................
สวัสดีค่า ไม่ได้มาเมื่อวาน เพราะเพลียเหลือหลาย
ไม่คิดว่าตอนนี้จะสามารถบรรยายออกมาได้ยาวขนาดนี้ แต่ต้องให้พี่กับน้องเขาเคลียร์ปัญหาทางใจให้จบๆ จะได้ไม่มีกำแพงมาความกั้นความรู้สึกของทั้งสองคนที่จะส่งทอดหากัน
และตอนนี้เขารักกันอย่างเป็นทางการแล้วค่ะคุณผู้ชมมมมม! เจอแบบพี่ปราบเข้าไป ซ่าจะใจแข็งได้นานเหรอ ไม่มีทางหรอก ทางเราเองก็อยากจะแย่งพี่ปราบวันละสามเวลาหลังอาหาร แต่ก็ใจร้ายกับน้องซ่าไม่ลง
หลังจากนี้มารอดูกันสิว่า อิพี่จะมีน้ำยาทำให้น้องมันยอมเป็นเมียได้หรือไม่ มารอลุ้นกันค่า
จุ๊บบบบ