#ตอนที่ห้า
วันนี้เดือนสิบมีเรียนตอนเก้าโมงเช้า หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษาเสร็จเรียบร้อยเขาก็ออกจากห้องในตอนแปดโมง เผื่อเวลาไว้กะว่าจะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารคณะด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้เดินออกจากหอก็ต้องชะงัก เพราะร่างสูงคุ้นตาในชุดนักศึกษาที่ดูไม่ค่อยถูกระเบียบนักมายืนวางท่ากอดอกรออยู่ก่อนแล้ว
“พี่ยุทธหวัดดีครับ” เดือนสิบยกมือไหว้พลางเดินเข้าไปหา รู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มละไมนั่นนิดๆจนต้องเผลอหลุบตาต่ำ ยิ่งคิดไปถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนก็ยิ่งไม่กล้ามองหน้า
เหมือนจะเขิน? รึเปล่านะ
“วันนี้มีเรียนเช้าใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทอดมองท่าทางของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“ครับเรียนเก้าโมง พี่ยุทธมีอะไรรึเปล่าครับ” ยุทธนาส่ายหัวเบาๆ
“แค่จะมารับไปเรียนพร้อมกัน ได้ใช่ไหม” เดือนสิบนิ่งไป จ้องมองใบหน้าคมคายอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
“ครับ งั้นไปกัน”
.
.
“กินข้าวเช้ามารึยัง หิวไหม?” ยุทธนาลอบสังเกตอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะนั่งตัวเกร็งตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ ดวงตากลมโตมองออกไปนอกหน้าต่างสลับกับเหลือบมองเขาเป็นระยะๆ ท่าทางเหมือนกระต่ายป่าขี้แวง
“ยังครับ ว่าจะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารคณะ เอ่อ..แล้วพี่ล่ะครับ”
คนถูกถามลอบยิ้ม รู้สึกดีนิดๆ เพราะดูเหมือนวันนี้น้องจะกล้าคุยกับเขามากขึ้น แม้จะยังดูเกร็งๆแต่ก็ถือว่าดีกว่าก่อนหน้านี้ ที่เอาแต่ถามคำตอบคำ อย่างน้อยๆวันนี้เริ่มมีถามกลับบ้างแล้ว นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“ก็กะว่าจะรอไปกินพร้อมเรานั่นแหละ” ตอบไปแล้วก็ลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย ตากลมหลุกหลิกก่อนจะเหลือบมองเขา ยุทธนาเลยแกล้งทำเป็นมองถนนเบื้องหน้าแทน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก ถึงแม้ว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆก็เถอะ
“ได้ไหมครับ” เดือนสิบเงียบไปนานจนเขาต้องถามย้ำ น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ได้ดูกดดัน เสียงห้าวต่ำเลยตอบออกมาเบาๆ
“ครับ”
มาถึงมหา’ลัยเขากับเดือนสิบก็ตรงไปที่โรงอาหาร ยุทธนาเริ่มสร้างความสนิทสนมโดยการเป็นฝ่ายอาสาไปซื้อข้าว แลกกับการที่เดือนสิบเป็นคนไปซื้อน้ำให้ ซึ่งน้องก็โอเคแม้จะมีอิดออดบ้างในทีแรก
เดือนสิบเป็นฝ่ายซื้อของเสร็จก่อนเลยเดินมานั่งรอคนเป็นพี่อยู่ที่โต๊ะ ไม่นานร่างสูงก็ถือข้าวสองจากเดินมา ข้าวหมูกรอบถูกวางลงตรงหน้าของเดือนสิบ ก่อนที่อีกคนจะนั่งลงตรงข้ามกับเขา เดือนสิบเลยเลื่อนขวดน้ำเปล่าไปให้ ทั้งสองคนนั่งกินข้าวกันไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครพูดอะไร ทว่าต่างฝ่ายต่างลอบสังเกตท่าทางของกันและกันอยู่เรื่อยๆ บ่อยครั้งที่เดือนสิบเผลอสบเข้ากับตาคมๆนั่น แต่ยังไม่ทันได้เสหลบรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากนั่นก็ทำให้เขาเผลอยิ้มตอบไปเสียแล้ว
“วันนี้เลิกเรียนกี่โมง” เสียงทุ้มถามขึ้นหลังจากที่เดือนสิบวางแก้วชาเย็นของตัวเองลง
“เที่ยงครับ วันนี้มีเรียนแค่วิชาเดียว”
“งั้นตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันนะ”
เป็นแค่ประโยคธรรมดาแท้ๆ แต่ทำไมทำให้รู้สึกอุ่นใจขนาดนี้วะ
“ครับ”
.
.
เพราะวิชาที่เรียนวันนี้เป็นวิชาเลือกซึ่งไอ้ปืนไม่ได้ลงด้วยกันเดือนสิบเลยต้องนั่งเรียนคนเดียว ต่างจากคนอื่นๆที่ส่วนมากแล้วมากันเป็นกลุ่ม เขาไม่ค่อยเดือนร้อนกับการนั่งเรียนคนเดียวก็จริงอยู่ แต่การนั่งเรียนคนเดียวโดยมีแฟนเก่าอย่างไอ้นุร่วมเรียนอยู่ด้วยในเสคเดียวกันก็แย่พอสมควร เดือนสิบรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาที่เขาสลับกับไอ้นุที่นั่งอยู่คนละฝั่งของห้องเรียนเป็นระยะๆจนเริ่มอึดอัด
เดือนสิบไม่รู้ว่าไอ้นุมันมีท่าทียังไงเพราะเขาไม่ได้หันไปมอง เสียงอาจารย์หน้าชั้นเรียนบรรยายเรื่องระบบอะไรสักอย่างไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิดเมื่อจิตใจเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับมัน อยากลุกออกไปจากห้องเรียนมันซะเดี๋ยวนี้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์จะเช็คชื่อตอนไหน เขาไม่เคยนึกไม่ชอบใจกับการที่อาจารย์วิชานี้เช็คชื่อตามอารมณ์เท่ากับวันนี้มาก่อนเลยให้ตายสิ
ช่วงเวลาอันน่าอึดอัดของเดือนสิบจบลงเมื่อเสียงบอกทำความเคารพของใครสักคนดังขึ้น เขารีบก้มหน้าก้มตาเก็บสมุดดินสอเข้ากระเป๋าลวกๆไม่ได้สนใจแม้กระทั่งเสียงจอแจของเหล่านักศึกษาหลายสิบคนที่ดูเหมือนจะเงียบลงอย่างผิดสังเกต กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบเข้ากับดวงตาคมกริบของคนที่บอกว่าตอนเที่ยงจะมารับไปกินข้าวด้วยกันนั่นแหละ
ความกังวนและอึดอัดที่ฝืนทนมากว่าสามชั่วโมงคล้ายจะเบาบางลงเมื่อได้รับความอ่อนโยนจากดวงตาคู่นี้ ฝ่ามือหนายื่นมาขยี้กลุ่มผมของเดือนสิบเบาๆแล้วคลี่ยิ้มบาง
“มารับไปกินข้าว” เสียงทุ้มเอ่ยสั้นๆ แต่มีอานุภาพรุนแรง เดือนสิบเผลอยิ้มบาง พลางรวบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนจะลุกไปยืนเคียงข้างรุ่นพี่ร่วมคณะ
ชั่วคณะที่เดือนสิบไม่ทันสังเกต แววตาอ่อนโยนเมื่อครู่ก็แปลเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งทันทีเมื่อหันไปจ้องมองใครอีกคน คนที่คล้ายจะลุกเข้ามาหาเรื่องเดือนสิบถ้าเขาไม่ชิงตัดหน้าเดินเข้ามาหาน้องซะก่อน สองขาคู่นั้นชะงักไปเมื่อเห็นเขาเดินตรงเข้ามาหาน้อง ตาตี่ๆจ้องเขม็งมาที่ยุทธนาไม่ลดละจนต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจมันถึงได้ละสายตาไป
เขาไม่ได้สนิทสนมกับไอ้เด็กนี่เท่าไหร่ แม้ว่ามันจะเป็นถึงเดือนคณะและเป็นที่รู้จักของรุ่นพี่หลายๆคน เคยเห็นมันบ่อยครั้งก็เวลาที่มันอยู่ข้างๆเดือนสิบ แต่เอาเข้าจริงยุทธนาก็ไม่ได้สนิทกับรุ่นน้องคนไหนเป็นพิเศษทั้งนั้นแหละ จะเว้นก็แต่คนข้างๆนี่ ที่เขาอยากจะสนิทเป็นพิเศษ…
ร่างสูงจ้องตากับไอ้เด็กนั่นอยู่ชั่วครู่ก่อนที่แรงกระตุกเบาๆตรงแขนเสื้อจะเรียกความสนใจไป ดวงตากลมแป๋วมองมาที่เขาเมื่อเห็นว่ายุทธนายังไม่ออกเดินสักที กระทั่งฝ่ามือหนาเคลื่อนไปกอบกุมข้อมือเล็กๆไว้แล้วพาเดินออกไปด้วยกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเกรงใจหรือไม่ได้สติ หรือจะอะไรก็แล้วแต่ยุทธนาก็ต้องขอขอบคุณ เพราะมันทำให้น้องยอมปล่อยให้เขาเดินกุมมือมาจนถึงลานจอดรถ โชคดีที่เดือนสิบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาระหว่างทางเดินจึงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาหลายๆคู่ที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น ทว่าเมื่อสบเข้ากับตาคมดุของเขาสายตาเหล่านั้นก็พลันสลายไป แม้จะแค่ครู่เดียวแล้วกลับมามองใหม่ก็เถอะ
ยุทธนารู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายเอาแต่เดินก้มหน้า เขาไม่อยากให้น้องต้องรู้สึกอึดอัดกับสายตาสอดรู้สอดเห็นพวกนั้น เดี๋ยวจะพาลคิดมากไม่สบายใจไปอีก
“อ้าว.. ไม่ได้ไปกินที่โรงอาหารหรือครับ” เขายิ้มบาง มองท่าทีเหลอหลาเหมือนพึ่งได้สติของคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“อยากเปลี่ยนบรรยากาศ” ตากลมๆนั่นดูจะหลุกหลิกขึ้นมาทันทีจนเขาหลุดขำ อดไม่ได้ที่จะขยี้กลุ่มผมนุ่มแรงๆด้วยความเอ็นดู น้องเลยย่นจมูกใส่เขา “หึๆ ป่ะขึ้นรถเถอะ”
เดือนสิบก้าวขึ้นรถอย่างว่าง่าย พลางลอบสังเกตท่าทางคนเป็นพี่ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามานั่งกระทั่งคาดเข็มขัดเตรียมออกรถ
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า” เอ่ยถามระหว่างขับรถ เดือนสิบส่ายหน้า
“ผมยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พี่เลย”
“เลี้ยงง่ายนะเรา” น้ำเสียงกึ่งๆล้อเลียนทำให้เดือนสิบเผลอมองค้อนอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว แต่พอได้สติก็รีบหลบตาเขาเป็นพัลวัน
ท่าทางที่แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติทำให้บรรยากาศในรถดูผ่อนคลาย จนยุทธนาไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงคนข้างกายฮัมเพลงเบาๆคลอไปกับเสียงเพลงที่เขาเปิด
ออร์ดี้คันสวยเลี้ยวเข้ามาจอดในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยนัก เดือนสิบมีท่าทีแปลกใจนิดหน่อย แต่พอเขาบอกว่าจะมาซื้อของเข้าห้องด้วยน้องเลยไม่ว่าอะไร
“ร้านนี้แล้วกันเนอะ” คนเป็นพี่เสนอหลังเดินเข้ามาในห้าง พอเห็นน้องไม่ว่าอะไรก็ถือวิสาสะจูงมือเดินเข้าร้าน และเป็นอีกครั้งที่เดือนสิบไม่ได้ชักมือกลับ
“อยากกินอะไรสั่งเลยนะ เดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงเอง” ร่างสูงว่าขึ้นหลังรับเมนูมาจากพนักงานแล้วส่งให้เขา
“ไม่ดีมั้งครับ รอบที่แล้วพี่ก็พึ่งจะเลี้ยงผมไปเอง ผมเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก เพราะรอบนี้ไม่ได้เลี้ยงฟรีๆ” ตาคมคล้ายจะดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาจนเดือนสิบเผลอมองอย่างระแวง
“....”
“หึๆ มองพี่แบบนั้นหมายความว่าไง แค่คิดว่าจะให้ไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนหน่อย เดินคนเดียวมันเหงา” น้ำเสียงเจือแววขบขันทว่าแววตากลับดูจริงจังจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือเล่น กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ เดือนสิบถึงได้รู้ตัวว่ากำลังถูกแกล้ง เขาเผลอย่นจมูกเหมือนเวลาโดนไอ้ปืนมันแหย่ให้โมโหอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ผลตอบรับคือมือหนาที่ยื่นมาบีบปลายจมูกเขาเบาๆคล้ายหมั่นเขี้ยวเสียเต็มประดา
กระทั่งดวงตาสองคูเผลอสบกัน รอยยิ้มบางๆ เจือแววเอ็นดูจากคนตรงหน้าทำให้เดือนสิบชะงัก เผลอเม้มปากอย่างติดเป็นนิสัยเวลารู้สึกประหม่าก่อนจะยกมือขึ้นถูปลายจมูกเบาๆเมื่ออีกฝ่ายชักมือกลับไป ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเร่งจังหวะเร็วขึ้นจนความร้อนสูบฉีดทั่วใบหน้า ซึ่งมันไม่สามารถรอดพ้นไปจากตาคมๆนั่นได้เลย
“หน้าแดงใหญ่แล้ว” น้ำเสียงติดจะล้อๆของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม แทบจะทำให้เดือนสิบมุดโต๊ะหนี ยิ่งเหลือบไปเห็นพนักงานสาวสวยยืนกัดปากตาเป็นประกาย ทำหน้าแปลกๆคล้ายกำลังอดกลั้นกับอะไรบางอย่างความร้อนที่หน้าก็ยิ่งลุกลาม เผลอครางฮือก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้
เดือนสิบกำลังเขิน แถมยังเขินมากๆด้วย
ยุทธนาเห็นท่าทางน้องแล้วให้นึกสงสารระคนเอ็นดู ก็ไม่ได้อยากแกล้งนักหรอก แต่พอเห็นท่าทางน่ารักๆที่นานๆครั้งจะได้เห็นแบบนี้แล้วมันอดไม่ไหวจริงๆ เคยเห็นไกลๆว่าน่ารัก พอสาเหตุที่ทำให้น้องมีท่าทีแบบนี้เป็นตัวเขาเองมันก็ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่
ถ้าปกรณ์ได้มาเห็นอาการเขาตอนนี้มันคงจะคิดว่าเขาเป็นเอามาก แต่ยุทธนาก็ไม่เถียงหรอก เพราะเขาเป็นเอามากจริงๆ
หลังจากแกล้งน้องไปพอหอมปากหอมคอยุทธนาก็กลับมาวางท่าเฉยๆอีกครั้ง แต่ตาคมๆนั่นก็ยังไม่วายมองมาอย่างล้อเลียนให้ได้ขัดเขิน จนเดือนสิบเผลอค้อนใส่ไปหลายต่อหลายที เห็นนิ่งๆเงียบๆใครจะคิดว่าเป็นคนขี้แกล้งได้ขนาดนี้ แต่คิดอีกที ตอนอยู่กับเขาพี่มันก็ไม่ได้นิ่งนี่หว่า คิดอยู่คนเดียวแล้วก็ได้แต่ส่งเสียงหึขึ้นจมูกจนคนที่มองอยู่แอบขำ
แรงสั่นครืดคราดจากโทรศัพท์มือถือของเดือนสิบดังขึ้นระหว่างที่พวกเขากำลังกินข้าว พอเห็นว่าเป็นไอ้ปืนที่โทรเข้ามาเดือนสิบก็กดรับ
“ว่าไงมึง”
‘อยู่ไหนวะ’ เสียงดูง่วงๆ เหมือนคนพึ่งตื่น
“อยู่ห้าง SS มีไรเปล่า”
‘ไปทำไรที่นั่นวะ ปกติกูชวนไปไม่ยักจะอยากไป’ น้ำเสียงแปลกใจของไอ้ปืนทำให้เดือนสิบเผลอกลืนน้ำลาย อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่นั่งตรงข้ามกัน ซึ่งฝ่ายนั้นก็กำลังมองมาที่เขาอยู่พอดี คิ้วเข้มเลิกขึ้นหน่อยๆเป็นเชิงถาม เดือนสิบเลยยิ้มแห้งพลางส่ายหน้าเบาๆ
“ช่างเหอะน่า แล้วนี่โทรมามีไรป่าว”
‘เออ ว่าจะโทรมาถามเรื่องงานจารย์เอกอ่ะ กะว่าถ้ามึงอยู่หอจะเข้าไปหา แต่ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวตอนเย็นกูค่อยเข้าไปก็ได้’ เดือนสิบพยักหน้าหงึกหงักขณะฟัง
“อ่อ งั้นก็ตามนั้นแหละ มีอะไรอีกรึเปล่า”
‘ดูมึงจะอยากให้กูรีบวางจังนะ มีไรปิดบังกูอยู่ป่ะเนี่ย’ เป็นอีกครั้งที่เดือนสิบเผลอเหลือบมองรุ่นพี่ร่วมคณะ ก่อนจะคิดว่าไอ้ความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่มันมาได้ไงวะ
“ฮึ! ไม่มี” ส่ายหัวจนผมฟุ้งกระจายทั้งที่คู่สนทนาก็ใช่ว่าจะเห็น
‘ให้มันจริงๆ แล้วนั่นไปห้างกับใครวะ’
“ก็…รุ่นพี่ที่คณะอ่ะ แค่นี้ก่อนนะกูทำธุระอยู่” ว่าจบก็กดตัดสายทันทีไม่ปล่อยให้ปลายสายได้ซักต่อ เผลอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่พอมาคิดอีกทีทำไม่เขาต้องรู้สึกโล่งอกด้วยวะ ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย
ยุทธนามองคนที่เดี๋ยวก็ถอนใจเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วอย่างนึกเอ็นดู วันนี้เขาได้เห็นเดือนสิบแสดงออกในหลายๆอารมณ์ ซึ่งบางอารมณ์ก็ไม่เคยได้เห็น ดูๆไปก็ไม่น่าใช่คนนิ่งๆอย่างที่ชอบแสดงออก แต่อาจขึ้นอยู่ที่ว่าคนๆนั้นจะทำให้เจ้าตัวแสดงออกมาแบบไหนมากกว่า
เหมือนน้องจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ ตากลมๆเลยเหลือบขึ้นมามองหน้าเขาก่อนจะสะดุ้งนิดๆ เล่นเอายุทธนาเกือบหลุดขำอีกรอบแต่ก็ต้องเก็กไว้เพราะอยากจะดูท่าที
“หน้าพี่มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือไง” เดือนสิบส่ายหน้ารัว
“เปล่าครับ ผมแค่เผลอคิดอะไรนิดหน่อย พอเห็นพี่จ้องอยู่มันก็เลย…” ยกมือขึ้นมาเกาแก้มเกาคออย่างไม่รู้จะพูดยังไง คนพี่เห็นแล้วสงสารเลยต่อประโยคให้
“เขิน?”
“บ้าแล้ว! ใครเขิน ผมแค่ตกใจหรอก” ทีอย่างนี้ล่ะปฏิเสธเร็วเชียว ยุทธนาโคลงหัวยิ้มๆ
“งั้นก็รีบกินได้แล้ว เอ้าปลาเนี่ยกินเข้าไปจะได้สูงๆ” ว่าพลางคีบเนื้อปลาใส่จานให้
“ผมก็ไม่ได้เตี้ยซักหน่อย” บ่นๆแต่ก็ยอมตักปลาที่อีกฝ่ายคีบให้เข้าปากพลางเคี้ยวตุ้ยๆ เรียกความเอ็นดูจากคนพี่ได้มากโข
“ใครเตี้ยกว่าพี่ ก็ถือว่าเตี้ยหมดนั่นแหละ” เดือนสิบย่นจมูกให้กับตรรกะข้างๆคูๆของอีกฝ่าย
“อย่าให้สูงบ้างนะ” บ่นอุบอิบก่อนจะจ้วงอาหารเข้าปากคล้ายประชด แต่จริงๆคือเขาหิวมากแถมอาหารตรงหน้าก็ยังน่ากินมากอีกด้วย
“แค่นี้ก็น่ารักแล้ว”
ถึงอีกฝ่ายจะพูดไม่ดังนักแต่ด้วยระยะห่างไม่ถึงสองช่วงศอกก็ทำให้เดือนสิบได้ยินมันชัดเจน เขาแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าเพื่อซ่อนริ้วแดงแถวๆแก้ม แต่เดือนสิบคงลืมคิดไปว่าหูแดงๆนี่มันซ่อนไม่ได้…
หลังจากทานข้าวเสร็จยุทธนาก็ลากคนน้องเดินมาที่ชั้นสองโซนเครื่องใช้ รายการที่ลิสต์มาถูกยื่นให้โดยที่คนรับเองก็ได้แต่รับไปดูแบบงงๆ ตากลมเลื่อนดูรายการของที่อีกฝ่ายต้องซื้อซึ่งมันเยอะพอสมควร ส่วนมากจะเป็นพวกครีมอาบน้ำสบู่แชมพูแล้วก็ของใช้ต่างๆซึ่งบางอย่างเดือนสิบก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นของมันเลย แต่จะให้บ่นไปก็ใช่เรื่อง หน้าที่ของเขาคือช่วยอีกฝ่ายซื้อของแลกกับค่าอาหารมื้อนี้
จากที่เดินซื้อของกันมาหลายรายการ เดือนสิบสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่ร่วมคณะคนนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับของที่ตัวเองต้องซื้อเลยซักนิด เหมือนคนอื่นเป็นคนลิสต์รายการทั้งหมดให้แล้วเจ้าตัวก็เป็นคนมาซื้ออะไรแบบนั้น แต่พอเขาถามพี่มันก็บอกว่าไม่ได้มาซื้อของเองนานแล้ว เพราะปกติสิ้นเดือนจะมีแม่บ้านจากบ้านใหญ่มาจัดการให้ พอเขาถามต่อว่าแล้วทำไมเดือนนี้พี่มันไม่ให้แม่บ้านมาจัดการให้เหมือนเดิม อีกฝ่ายก็อ้างว่าอยากจะลองจัดการทุกอย่างเอง อยากจะด่าเหมือนกันว่าถ้ามาซื้อเองแล้วจะไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ก็ปล่อยให้แม่บ้านมาจัดการเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ ไหนๆก็ซื้อมาจนเกือบครบแล้วบ่นไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้
“อืม.. อันนี้ได้แล้ว สเปรย์ก็ได้แล้ว… ” เดือนสิบไล่ดูลิสต์รายกายในมือ ปากก็พึมพำรายชื่อของที่ยังไม่ได้ซื้อพลางก้าวเดินไปเรื่อยๆ เปิดโอกาสให้คนที่เข็นรถเข็นเดินตามหลังได้ลอบสังเกตท่าทางของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
รอยยิ้มบางจุดขึ้นที่มุมปากของยุทธนาแทบตลอดเวลาที่ได้เห็นท่าทางกระตือรือร้นของคนที่เดินเข้าโซนนั้นออกโซนนี้ไม่หยุด เสียงห้าวพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เรียวคิ้วสวยขมวดยุ่งคล้ายกำลังเถียงกับตัวเอง น่าเอ็นดูจนบางทีก็ทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ดูๆไปก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ที่มาช่วยกันซื้อของเข้าบ้านเลยแฮะ
‘นี่เลยครัชเบๆมาก พอมึงชวนน้องมันไปกินข้าวเสร็จใช่ป่ะ มึงก็ชวนน้องมันให้ไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนต่อเลย คิดดูนะเว้ยช่วยกันซื้อของเข้าห้องงี้ เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันไงน่ารักจะตาย’
‘แล้วกูต้องซื้ออะไรบ้างวะ’
‘ไม่ยากเลยครัชเพื่อน เรื่องนี้เดี๋ยวพี่ป้องจัดให้’
สงสัยงานนี้คงต้องเลี้ยงเหล้าไอ้ป้องซักเมา….
*****
มาเล้าาาาาา ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้พี่ยุทธครัช
อิตอนพิมพ์ก็ว่ายาวทำไมพอมาลงแล้วมันดูสั้นๆกุดๆ - -