งานคเณศจตุรถีวันแรกผ่านพ้นไปจนเข้าสู่วันที่สอง สำหรับวันนี้ไม่มีพิธีอะไรมาก เป็นเหมือนช่วงบ่ายของเมื่อวานคือให้คนมาสักการบูชาเป็นหลัก แต่เด็กปีสามกำลังงานเข้า เพราะเช้าวันนี้พี่ๆ ปีสี่มีเรียนกันแทบจะยกปี หน้าที่ดูแลการเช่าพระเลยตกเป็นของสี่จตุรเทพ F4 แทน
“เข้ามาเลือกเช่าบูชาองค์พระพิฆเนศกันได้นะคร้าบ เช่าวันนี้ แถมฟรี! บทสวดบูชาขนาดพกพา ให้ท่านสวดกันได้ทุกที่ ทุกเวลาเลยคร้าบ”
ไอ้เชี่ยปอกำลังร่ายสคริปต์ประหนึ่งเป็น MC พริตตี้แผงพระ เรียกความสนใจจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญมันอินกับบทบาทมาก จนคิดว่าปีหน้าอาจจะลองรับงานมอเตอร์โชว์ดู
“ขอบคุณคร้าบบบบ” ปรนัยรับแบงค์ร้อยมาก่อนจะยื่นให้คนที่นั่งคุมกระป๋องเงิน “สี่สิบ”
“ขายหรือทอน” ภาคภูมิร้องถาม แต่คนกำลังวุ่นวายกับการดูแลลูกค้าคนถัดไปไม่ไม่ยินจนต้องถามซ้ำ “มึงงงง สี่สิบนี่เงินทอนปะ”
“เงินทอนครับ” คำตอบไม่ได้มาจากพ่อค้า แต่มาจากคนซื้อซึ่งเป็นนักศึกษาชายที่หน้าตาแบบว่า... มึงเรียนมหา’ลัยปริมณฑลแน่เหรอ ดูผู้ดีผิดแผกจากคนในระแวกนี้มาก
“มองนานๆ ต้องลดราคาให้ด้วยนะ” เซ็กซี่บอยที่น่าจะเดินอยู่แถวๆ สามย่านเอ่ยแซวแถมวาดรอยยิ้มกระชากใจ พร้อมๆ กับที่ใครบางคนกระชากตังค์ในมือเขาไปเช่นกัน
“ขอบคุณครับ!” ไอ้ปอกลับมาสนใจลูกค้าเมื่อไรไม่รู้ แขนยาวเอื้อมส่งเงินทอนให้ ขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าหล่อๆ นั้น
...แม่งก็แค่หล่อแบบดาดๆ กูนี่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มยังไม่พูดเลย
ลูกค้าเซ็กซี่บอยไม่สนใจสายตาดุๆ ที่จ้องตนเอง แต่หันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งนับเงินอีกรอบ ทว่าใบหน้าเล็กๆ นั่นกลับถูกไอ้คนข้างๆ ดึงเข้าไปซุกกับตัวเหมือนพยายามแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ เห็นแบบนั้นเขาก็ได้แต่ยักไหล่แล้วเดินจากมา ...ผัวดุจังโว้ยยย
“สัดดด เหม็น!!” ภูมิพยายามดิ้นออกจากมือหนักๆ ที่กดหัวเขาให้แนบอยู่กับอก
“ทอนตังค์ไป อย่าอู้!” ปรนัยปล่อยให้เพื่อนสนิทเป็นอิสระ จริงๆ มันก็ไม่ได้อู้หรอก นับเงินยิกๆ แต่เห็นเสน่ห์แรงแล้วหมั่นไส้แม่ง
“เปงผัวอ่อมาสั่ง อิอิ” ไอ้ห่าแก้วที่กำลังแพ็กพระใส่ถุงแซวขึ้นลอยๆ แบบโนแคร์โนสนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมือ
ภาคภูมิหันไปมองคนแซว แต่กลับได้สบตากับชิงชิงที่มองมาพอดี สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามทำให้เขาต้องพูดแก้เก้อ
“งั้นกูนี่แหละผัวมึง เอาตังค์ไป! อย่าพูดมาก!”
“หูยยย พี่ว้ากตัวร้ายฯ มาเองง่ะ” ไอ้ขี้แซวยังแซะไม่เลิกจนภูมิต้องเป็นฝ่ายเลิกต่อล้อต่อเถียงเอง แต่ต่อให้ภาคภูมิไม่หยุด ทั้งหมดก็ไม่มีเวลาได้คุยเล่นอะไรกันอีก เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงซึ่งนักศึกษาเลิกเรียนพอดี แผงพระของพวกเขาจึงอัดแน่นด้วยมวลมหาชนผู้มีจิตศรัทธาโดยที่ไอ้ปอไม่ต้องเรียนเชิญให้เหนื่อย
หลังช่วงไพรม์ไทม์ผ่านพ้น ทีมขายพระก็คลานมานั่งพุ้ยข้าวลงกระเพาะกันแบบหน้ามืดตาลาย ปล่อยกิจการอันรุ่งเรืองให้ปีสี่ดูแลต่อ พอกินข้าวเสร็จภาคภูมิก็เอาเงินมานับเพื่อลงบัญชีภาคไว้ ซึ่งตัวเลขเป็นที่น่าพอใจไม่น้อย อาจเพราะปีนี้มีการให้เช่าพระพิฆเนศองค์เล็กประมาณ 1 เซนติเมตร แถมยังรูปลักษณ์ทันสมัยแบบให้วัยรุ่นใส่ห้อยคอได้ เด็กๆ นักศึกษาจึงสนใจกันเยอะ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะภาคปรัชญาจะได้มีเงินเอาไว้จัดกิจกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะกิจกรรมเสวนา ซึ่งของบจากคณะได้ยากยิ่งกว่ายาก
“ขาดหรือเกิน” ปรนัยเอ่ยถามคนที่นั่งคิ้วขมวด หน้าตาเคร่งเครียด
“แป๊บ” สองนิ้วจิ้มเครื่องคิดเลขอย่างรวดเร็วแบบที่คนข้างๆ มองตามแทบไม่ทัน
“เชี่ย! ไปแข่งแฟนพันธุ์แท้เครื่องคิดเลขมั้ย”
“แม่ง...” ภูมิสบถแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ “ทำไมเป็นงี้วะ”
ร่างสูงที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเสื่อขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะมองตัวเลขดิจิทัลที่โชว์บนจอ “เงินขาดไปเยอะเหรอวะ”
คนถูกถามส่ายหน้า สายตายังคงฉายแววครุ่นคิด
“อ่าว แล้วมีอะไร”
“เงินมันพอดีเลยว่ะ”
“แล้วมึงเครียดไร ก็ดีแล้วนี่”
“มันไม่แปลกเหรอ เมื่อวานยังขาดไปเกือบร้อย ขนาดพี่ปีสี่ดูแผงอะ”
นิ้วเรียวของคนข้างๆ เอื้อมไปนวดบริเวณหัวคิ้วของนักบัญชีที่กำลังจะผูกเป็นโบว์ในไม่ช้า ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยปลอบใจคนคิดมากให้คลายกังวล
“โตกว่าไม่ได้หมายความว่ารอบครอบกว่า กูเห็นมึงนับเงินตั้งหลายรอบก่อนจะทอน ยอดเงินมันจะครบก็ไม่เห็นแปลกเลยปะวะ”
ภาคภูมิหันไปมองคนพูด ก่อนจะต้องใจสั่นไปกับแววตาอ่อนโยนที่จ้องมองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
“เอ้อ...เอาเงินไปให้จารย์กฤตก่อนนะ” ความเขินกำลังรุกรานจนภูมิต้องหาเรื่องเดินหนี ตอนนี้หัวใจกำลังอยู่ในเขตอันตรายมากๆ คือถ้าเผลอข้ามเส้นกั้นไปนี่ต้องเหยียบกับระเบิดตายแน่ๆ!
ปรนัยมองคนที่หอบซองเงินวิ่งหายไปทางห้องภาคแล้วก็หัวเราะออกมา คนห่าอะไรยอดเงินลงตัวก็เครียด วันๆ เขาเห็นไอ้ภูมินี่คิดอยู่สองอย่าง ไม่คิดมากก็คิดเล็กคิดน้อย บางทีก็อยากรู้ว่าในสมองมันเป็นยังไง ทำไมถึงได้ทำงานหนักทุกภาคส่วนแบบนี้
ประมาณหกโมงเย็น แก๊งเด็กปรัชญาก็มารวมตัวที่ปะรำพิธีกันเหมือนเมื่อวาน เสียงอาจารย์ธารซึ่งเป็นท่านพราหมณ์กำลังนำสวดมนต์ภาษาฮินดี เสร็จแล้วก็ปิดท้ายด้วยพิธีอารตี หรือการบูชาพระพิฆเนศด้วยไฟ สำหรับเด็กๆ ปีหนึ่งที่เพิ่งได้สัมผัสกับพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูครั้งแรกๆ ก็ดูตื่นเต้นสนุกสนานกันดี แต่สำหรับพี่ปีสามปีสี่ที่ผ่านมาหลายครั้ง บอกตามตรงว่าจะวูบหลับให้ได้
“ปอ!! เสร็จแล้ว!!” ภาคภูมิกระทุ้งศอกใส่เพื่อนที่นั่งก้มหน้านิ่งมานาน ดูเผินๆ นี่เหมือนมันซาบซึ้งกับบทสวดมาก แต่จริงๆ คือแม่งหลับกลางอากาศ! แล้วหลับแบบหัวไม่โคลงด้วย ความสามารถพิเศษจริงๆ
คนเนียนหลับปรือตาขึ้นก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้นพร้อมกับคนอื่นๆ “หาววววว”
“เชี่ย! ปิดปากหน่อยดิวะ เกรงใจจารย์ธาร” มือขาวเอื้อมมาปิดปากคนเพิ่งตื่น เพราะอาจารย์กำลังมาทางนี้
“โอ้ ขอบคุณทุกคนมากเลย” ท่านพราหมณ์เดินขอบคุณเด็กๆ มาจนถึงด้านหลัง “พรุ่งนี้ช่วยกันอีกวันนะ”
“ค่าาาา”
“ได้เลยคร้าบบบบ”
เสียงตอบรับเซ็งแซ่ ก่อนรุ่นพี่รุ่นน้องจะแยกย้ายกันไปเก็บของบางส่วน แล้วช่วยกันเอาผ้าใบลงมาคลุมเต็นท์เพื่อป้องกันฝน
แก๊งปีสามจัดการงานของตัวเองเสร็จก็พากันเดินไปเอารถที่หน้าภาค แก้วขอตัวชิ่งอย่างรวดเร็วเพราะมีนัดตีดอทกับรูมเมท จึงเหลือแค่ปอ ภูมิและชิงชิงที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี
“เตี๋ยวไก่มะ” ปรนัยเสนอไอเดีย
“หรือจะไปองค์พระ” ชิงชิงหมายถึงตลาดโต้รุ่งหน้าวัดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมอ
“เออ อยากกินเย็นตาโฟต้มยำ” คนอยากกินเตี๋ยวไก่เปลี่ยนใจทันควัน
“แล้วจะไปไง ปั่นจั๊กไหวเหรอวันนี้” ภูมิเอ่ยถาม เพราะพวกเขายืนขายพระกันมาครึ่งค่อนวัน แถมช่วงบ่ายยังไปช่วยยกของเตรียมขบวนแห่อีก ไอ้ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรที่เคยปั่นจักรยานกันไหว ก็ดูเหมือนจะไกลแบบแค่คิดก็ขาล้า
“ซ้อนมอไซค์กูไปก็ได้” ชิงชิงผู้มีมอเตอร์ไซค์รับอาสา สายตาของเพื่อนอีกสองคนจึงมองไปยังรถป็อปคันจิ๋วที่จอดอยู่ ขนาดกะทัดรัดแบบแค่ซ้อนสองยังลำบาก ทำเอาทั้งเจ้าของและว่าที่ผู้โดยสารถอนหายใจไปตามๆ กัน
“อ้าว! ยังไม่กลับกันเหรอ” เสียงทักทายจากผู้มาใหม่ทำให้สามหนุ่มต้องหันไปมอง “ไปองค์พระปะ พวกพี่กำลังไปหาไรกินกัน”
ประธานเอกเชิญชวนรุ่นน้องให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ปี 4 อยู่กับครบ เลยหาเรื่องไปฉลองเสียหน่อย
“พอดีเลยพี่ไนท์ นี่ก็ว่าจะไปเหมือนกัน แต่ไม่มีรถอะ” ชิงชิงตอบอย่างรวดเร็ว
“ไปดิ รถจ๋านั่งได้อีกนี่ ใช่ปะ” ปลายเสียงหันไปถามเจ้าของรถที่ยืนอยู่ด้านหลัง
สาวผมสั้นมองรุ่นน้องแล้วก็พยักหน้ายิ้มให้ “ปะๆ กินข้าวกัน”
“เดี๋ยวกูซ้อนมึงไปนะชิง” ภูมิหันไปบอกเพื่อน
“หยุด!!” เสียงทุ้มเอ่ยห้ามทันควัน “ไป-กะ-กู!!”
ไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ภาคภูมิก็โดนลากไปขึ้นรถพี่จ๋าเรียบร้อย ครั้งนี้ไม่ต้องอัดกันเหมือนวันฝนตก เพราะมีรถเก๋งสองคัน แถมมอเตอร์ไซค์อีกสาม
ร้านอาหารสารพัดประเภทตั้งเรียงต่อกันสุดลูกหูลูกตาหน้าลานกว้างของวัดใหญ่ประจำจังหวัด แต่แก๊งปรัชญาเลือกลงหลักปักฐานกันที่ร้านเย็นตาโฟ ซึ่งได้รับคะแนนโหวตสูงสุด ด้วยเหตุผลเดียวคือคนขายหล่อ ทำเอาไอ้ปอโวยวายหนัก แม้ตัวเองจะอยากกินเหมือนกัน แต่พอโดนหยามเรื่องความหล่อจากพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวก็เกิดยอมไม่ได้ขึ้นมา
“โอ๊ยยยย พ่อคุ้ณณณ”
“หล่อจ้าพ่อ หล่อที่สุดในปฐพี แดกเถอะ!!”
เสียงประชดประชันจากรุ่นพี่ทำให้คนเรื่องเยอะต้องยอมนั่งลงสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่โดยดี หากยังไม่วายพูดตบท้ายหลังสั่งเสร็จ “อยากเห็นคนหล่อ มองหน้าน้องปอก็พอนะครับ”
“อ้วกกกกกก!!”
“อิ่มแล้วโว้ยยย!!!”
“กูไม่ใช่อีจ๋านะ จะได้มองว่ามึงหล่อ!!” เจ๊ตี้ สาว (?) ผิวแทนพูดขึ้น ทำเอาคนถูกกล่าวหาหันมาถลึงตาใส่ทันควัน
“อีตี้!!”
“แหมมมมมมมมมมม” คนแซวยังว่าต่อ “กูอยากจะแหมมมมตั้งแต่องค์พระไปจนถึงเซ็นปิ่น เมื่อวานใครแม่งชมน้องให้พวกกูฟังวะ”
คราวนี้เสียงโห่ฮิ้วจากปีสี่ดังลั่น ใครที่ยังไม่รู้เรื่องก็รีบยุให้พี่ตี้รีบเมาท์ประเด็นเด็ดโดยด่วน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ร้องห้ามนั่นคือพี่จ๋า ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครสนใจ
“ก็เมื่อวานที่แผงพระอะแก๊” เจ๊ตี้ที่แปลงกายเป็นแอดมินเพจใต้เตียงดาราเริ่มบรรเลง “พวกฉันก็นั่งๆ ยืนๆ ขายพระกันอยู่ใช่มะ ก็มีเด็กเภสัชคนนึงมายืนเลือกพระ...”
“อีตี้!! หยุด!!” พี่จ๋าพยายามยื่นมือมาปิดปากเพื่อน
“น้องแม่งโคตรหล่ออะ หล่อแบดๆ สบตาแล้วใจละลายไรเงี้ย พอฮีไป อีพวกสัมภเวสีสาวๆ ของเราก็กรีดร้องกันระงม หลัวขา อยากมีหลัวเด็กกก อยากให้น้องจ่ายยาจุงเบยยย”
คนเล่าทำเสียงเล็กเสียงน้อยจนน่าถีบ พี่จ๋าพยายามทำหน้ายักษ์แต่ก็ยังอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้
“แต่!! อยู่ๆ อีจ๋าค่า เทเลอร์ สวิฟต์ของเรา แม่งก็พูดขึ้นมาว่า ‘เฉยๆ อะ ไอ้ปอหล่อกว่าอีก’”
“ว่ออออออออ” เสียงอื้ออึงดังไปทั่วโต๊ะ คนถูกชมลุกขึ้น ก่อนจะวาดแขนโค้งตัวรับอย่างหน้าชื่นตาบาน
“โอ้โหหหห เรด้าจับสัญญาณคนหล่อมึงพังเหรอ!! ถึงได้ชมมันเนี่ย”
พี่จ๋าส่ายหน้า อ้าปากพะงาบๆ เหมือนพยายามอธิบาย
“แอบชอบกันก็ไม่บอก คนบ้า บ้า บ้า บ้า~~” ร่างสูงแสร้งทำท่าทางเขินอายวิ่งไปทุบไหล่รุ่นพี่ประหนึ่งสาวน้อยที่มีชายหนุ่มมาหมายปอง
“โอ๊ยยยย แรดกว่าผู้หญิงปีสี่ ก็อีปอนี่แหละโว้ย” เจ๊ตี้ร้องอย่างอ่อนใจ
เรื่องราวการเยินยอรุ่นน้องปี 3 จบลงพร้อมการยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟของพ่อค้าแซบ แต่ความชุลมุนกำลังเริ่มต้นขึ้น เพราะก๋วยเตี๋ยวสิบกว่าชามที่สั่งไปนั้นไม่มีชามไหนตรงตามสั่งเลยสักชาม
“อันนี้ไม่ใช่ของฉันว่ะ”
“แก อันนี้ต้มยำปะ เราสั่งธรรมดา”
“ใครสั่งพิเศษผักบุ้งงงง”
“อันนี้ของกูเหรอวะ”
เพราะวุ่นวายกันเกินจะเอ่ย พี่ไนท์ในฐานะผู้นำภาคจึงให้ทุกคนหยิบอันที่พอกินได้ไปก่อน ถ้าอันไหนไม่กินจริงๆ ค่อยไปขอเปลี่ยน เพราะตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ความหิวคุกคามจนไม่น่าจะมาเลือกอะไรกันมาก
“มึงเอาอันนี้แล้วกันนะ” ปรนัยเลื่อนเล็กโฟต้มยำไปให้เพื่อนสนิท
ภูมิมองก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าแล้วก็พยักหน้ารับ หากยังไม่ทันได้ตักกิน หมึกกรอบจากคนข้างๆ ก็ย้ายมาสู่ชามตัวเองหลายชิ้น
“ปอไม่กินหมึกกรอบเหรอ” พี่จ๋าที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถาม ตอนนี้ไม่มีใครมาโฟกัสคนทั้งคู่แล้ว เพราะอาหารย่อมสำคัญกว่าเพื่อนเสมอ
“อ๋อ ก็กินได้แหละพี่ แต่พอดีไอ้ภูมิมันชอบ”
คนชอบหมึกกรอบลอบมองหน้าของรุ่นพี่ที่ถาม พี่จ๋าทำหน้าแปลกๆ เหมือนอยากถามบางอย่างต่อแต่ก็เงียบไป พอดีกับที่ชิงชิงพูดขึ้นมาก่อน
“คนขายนี่หล่ออย่างเดียวจริงๆ ไม่แบ่งความหล่อมาช่วยความจำเลยแม่ง” ท่าทาหงุดหงิดแบบนี้แสดงว่ากินชามไหนไม่ได้เลยแน่นอน
“ที่พิเศษผักบุ้งนั่นไม่ใช่ของมึงเหรอ ฮ่าๆๆ” ปอแซวเพื่อนแล้วก็หัวเราะอย่างสะใจ พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของคนอื่นเลยอธิบายทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดขำ
“เห็นแมนๆ แบบนี้ เชี่ยชิงมันกลัวผักบุ้งครับ”
มนุษย์กลัวผักบุ้งสบถด่าเพื่อนยาวเหยียด คนมันฝังใจโว้ย ไม่ใช่กลัวเอาเท่เอาแปลกเหมือนดาราซะหน่อย
“ปอนี่จำได้หมดเลยเหรอ ว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร” พี่จ๋าถามอีก ซึ่งภูมิรู้ว่ามันเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่หมึกกรอบของเขา
“ใช่ครับพี่จ๋า” ชิงชิงเป็นคนตอบแทน “แต่ไม่ได้เป็นคนใส่ใจคนอื่นนะ มันแค่ขี้เสือก”
คราวนี้พี่จ๋าหัวเราะออกมาบ้าง และแววตาใสๆ นั่นก็ดูจะไม่มีความเคลือบแคลงอะไรเหมือนก่อนแล้ว
กว่ามื้อค่ำคอมโบเซตจะจบลง ภาคภูมิก็รู้สึกเหมือนกระเพาะขยายออกเป็นหกส่วน อัดแน่นไปด้วยเย็นตาโฟ ลูกชิ้นปิ้ง หมึกย่าง เต้าฮวยนมสด ลอดช่องสิงคโปร์ และบัวลอยแต้จิ๋ว ดังนั้นเมื่อพี่จ๋ามาส่งที่ภาคแล้ว เขาจึงไม่ปฏิเสธเมื่อไอ้ปอบอกว่าจะขี่จักรยานไปส่งหอ เพราะจะแวะเอาเสื้อที่ให้ยืมมาเมื่อวานด้วย
“เชี่ยปอ ขี่ดีๆ ดิวะ” คนซ้อนโวยวาย เมื่ออยู่ๆ คนขี่ก็บิดเอียงซ้ายเอียงขวาเหมือนจะล้ม
“โทษๆ กูแค่ตกใจป้ายพี่ตูน เมื่อไรแม่งจะเอาออกไปซะทีวะ ผ่านมาดึกๆ ทีไรหลอนทุกที” ปอหมายถึงป้ายคอนเสิร์ตบอดี้สแลมที่เคยหลอกหลอนเขาจนคิดว่าพี่ตูนคือผีพี่อนงค์ไปทีนึงแล้ว
“จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยน้า โดนสาวชมว่าหล่อแค่เนี้ย”
คราวนี้คนขี่หัวเราะออกมาเสียงดัง “มึงคิดว่าพี่จ๋าชมจริงเหรอ รายนั้นอะพูดเป็นแต่เรื่องประชดๆ ทั้งนั้น”
“อ้าว จะไปรู้เหรอ ไม่ได้รู้ใจเค้าเหมือนมึงนี่ โอ๊ยยย!!” ปลายเสียงร้องโวยวาย เมื่อถูกแขนยาวๆ ของคนด้านหน้าเอื้อมมาผลักหัวด้วยแรงไม่เบานัก
“สายจิ้นเหรอเราอะ”
“ก็พี่เค้าดูชอบมึงจริงๆ นี่หว่า” เสียงคนซ้อนลอยมาตามลม
“ยังไง”
“ที่เค้าพยายามเล่นกับมึง พยายามแหย่มึง แกล้งมึง ก็เพราะเค้าอยากให้มึงสนใจไง”
“เหรอ...” เสียงทุ้มเอ่ยเหมือนใคร่ครวญกับตัวเอง “ไม่เห็นรู้สึกเลย”
ภาคภูมิลอบถอนหายใจ สีหน้าหม่นลงแบบที่คนข้างหน้าไม่มีทางได้เห็น “ถ้าวันไหน... มึงรู้สึกอะไรกับพี่เค้า มึงบอกกูได้ปะ”
“ทำไม จะช่วยกูจีบเหรอ ฮ่าๆ”
คนถูกถามจ้องมองแผ่นหลังกว้างด้วยความวูบโหวง ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เขาจะมีแรงประคองหัวใจตัวเองที่แตกสลายได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย
ปรนัยสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆ คนซ้อนก็ซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของเขา เสียงอู้อี้ที่พูดอะไรไม่ได้ศัพท์ทำให้เขาต้องเอ่ยถามออกไป
“อะไรนะ”
“บอกว่าง่วงแล้ว ขี่เร็วๆ หน่อย”
คนถูกสั่งหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือที่จับเสื้อตนเองมากอดเอวแทน “นอนไป เดี๋ยวพาขี่ไปวนองค์พระแล้วมาส่ง”
“สัด!!” คนง่วงด่าเสียงดังฟังชัด ...มึงจะเป็นทั้งคนที่แสนดีและคนที่กวนตีนพร้อมๆ กันแบบนี้ไม่ได้นะเชี่ยปอ!!
TBC.

มาแล้ววววว ขอโทษจริงๆ ค่ะ หายไปนานนี่ยื่นใบลาตายนะ ไม่ได้ลาพักร้อน 555555
กลับมาพบกับพลพรรคนักปรัชญากันต่อนะคะ
ตอนนี้เราพาทุกคนไปรู้จักกับพิธีหนึ่งในศาสนาฮินดู นั่นก็คือคเณศจตุรถี
เราพยายามย่อยทุกอย่างให้อ่านเพลิน แต่ไม่รู้จะเบื่อกันหรือเปล่า T^T
ตอนคิดว่าจะเขียนเรื่องชีวิตมหา'ลัย เราก็คิดว่าจะเขียนยังไงให้ไม่น่าเบื่อ
คือนิยายวัยมหา'ลัยมีเยอะมาก แล้วแทบทุกเรื่องตัวละครก็จะทำกิจกรรมแบบคล้ายๆ กัน
เช่นเฟรชชี่ กีฬามหา'ลัย หลีดคณะ ดาวเดือน โอเคแหละ คนอื่นเค้าเขียนได้สนุก
แต่เราที่ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกับกิจกรรมแบบนี้ กลัวจะเขียนออกมาแล้วเพลียตัวเองก่อน
ก็เลยตีโจทย์ใหม่ว่า เฮ้ย ตอนเราเรียนเนี่ย ภาคเราแม่งไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเหมือนชาวบ้านเค้าเลยนะ
บทเรียน (ที่ลืมไปแล้ว) คิดๆ ไปมันก็โรแมนติกแบบปรัชญาๆ นะ
งั้นเราลองเอาอะไรพวกนี้มาเขียนดีมั้ย เพราะเรามีส่วนร่วม เราผ่านมันมาด้วยประสบการณ์จริง
เรื่องนี้เลยพาไปเรียนเรื่องเหตุผลวิบัติ เดินพาหุรัด จัดงานแขก และคงมีอะไรแปลกๆ มาให้อ่านกันอีกมาก
ท่ามกลางความสับสนของตัวละครหลัก จีบกันบ้าง แกล้งกันบ้าง เดี๋ยวหวานเดี๋ยวขม ตามประสาวัยรุ่น 555555
ยังไงก็อย่าเพิ่งถอนใจจากเรื่องนี้นะคะ
อยู่กันให้จบเทอมก่อนนนน สัญญาว่าจะตั้งใจสอน เอ๊ย! ตั้งใจเขียนค่า