#09
เกมภาษา
“ในคลาสนี้มีใครยังไม่ได้เรียนวิชา Contem บ้างครับ” อาจารย์ขจรศักดิ์ผู้อาวุโสที่สุดในบรรดาอาจารย์ภาคปรัชญาเอ่ยถามนักศึกษาที่นั่งตาแป๋วอยู่ในห้อง วิชา Contem หรือ Contemporary คือปรัชญาร่วมสมัย ซึ่งเป็นวิชาบังคับที่ยากที่สุดในบรรดาวิชาทั้งหมด เพราะเป็นการศึกษาแนวคิดของนักปรัชญายุคหลังๆ ซึ่งมีความคิดก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก
พอเห็นว่ามีเด็กยกมือประมาณ 6-7 คน ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งห้อง ผู้เป็นอาจารย์ก็เอ่ยอย่างหนักใจ “จริงๆ ผมก็ใส่ในคำอธิบายรายวิชาแล้วนะครับ ว่าถ้าใครยังไม่เคยเรียนคอนเทม ขอให้ข้ามวิชานี้ไปก่อน ...แต่เอาเถอะ ถอนตอนนี้พวกคุณก็คิด W กันซะเปล่าๆ เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ ไปก็แล้วกัน”
แก๊ง F4 มองหน้ากันเลิกลั่ก วิชานี้คือปรัชญาภาษา ที่พวกเขาเลือกลงเพราะอาจารย์กฤตเป็นเจ้าของวิชา แต่เพิ่งรู้ว่าอาจารย์ขจรศักดิ์ หรือ ‘ลุงศักดิ์ AF’ (หมายถึงให้เกรด A จนถึง F) จะมาสอนด้วย
“ฉิบหายละมึง!” แก้วหันไปกระซิบกับเดอะแก๊ง เรื่องความโหดนั้นเขาได้พิสูจน์มาแล้วตอนปีสอง ถึงจะไม่ F แต่ก็ได้หมาตัวแรกในชีวิตมาเลี้ยงเพราะลุงแจก D ให้นี่แหละ
“ชู่ววว!!” ภูมิส่งเสียงปรามให้เพื่อนเงียบ เพราะเห็นว่าอาจารย์เริ่มหันมามองทางพวกเขาบ่อยๆ
“สำหรับคาบที่ผ่านๆ มา...” ผู้สอนกดเปิดเครื่องโอเวอร์เฮด พร้อมวางแผ่นใสที่เขียนด้วยลายมือเยี่ยงอักษรขอมโบราณลงไป “มองเห็นกันมั้ยครับ ...ไฟน่าจะสว่างไปนะ”
ปรนัยเอื้อมมือไปปิดไฟห้องในฐานะคนนั่งติดผนังที่สุด พอห้องมืดลง ภาพบนจอก็ปรากฏชัดขึ้น ดีหน่อยที่คลาสนี้เป็นปีสามกับปีสี่ซึ่งเคยเรียนกับอ.ศักดิ์มาแล้ว ลองถ้าเป็นปีหนึ่งปีสองนี่ร้องกันระงมเมื่อเห็นลายมือบนจอ จริงๆ หลายคนเคยถามว่าทำไมอาจารย์ไม่ใช้โปรเจกเตอร์ฉายสไลด์ดีๆ แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจนัก ยังไงก็ต้องอ่านลายมือขอมกันต่อไป
“คาบที่ผ่านๆ มา พวกคุณก็คงได้รู้รากฐานของภาษาและแนวคิดจากนักปรัชญาหลายๆ คนมาแล้ว และคงรู้จัก วัจนปฏิบัติศาสตร์ หรือ Pragmatics มาบ้าง แต่เชื่อว่าลืมกันไปหมดแล้วล่ะ ใช่มะ??
...โอเค ไอ้วัจนปฏิบัติศาสตร์อะไรเนี่ย ข้ามๆ มันไปเถอะ เก็บเอาไว้พูดกับเพื่อนภาคอื่นเท่ๆ ไม่ต้องไปจำให้รกสมอง จำไว้แค่ Pragmatics ก็พอ ...แพรกมาติกส์ ก็คือการศึกษาว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ ทำไมเราจึงพูดอย่างนั้น ทำไมถึงไม่พูดอย่างอื่น รวมถึงศึกษาด้วยว่าการใช้ภาษาของมนุษย์นั้นมีจุดประสงค์อะไร
อะ งง... ใครงงให้กลับไปอ่านชีทของอาจารย์กฤตในคาบที่แล้วนะครับ เพราะวันนี้เราจะมาดูกันว่ามีนักปรัชญาคนไหนบ้างที่ศึกษาเรื่องแพรกมาติกส์ แล้วเค้าว่าอะไรกันบ้าง”
อ.ศักดิ์ลุกขึ้นไปยืนหน้ากระดานไวท์บอร์ด
“ผมเขียนบนกระดานนี่พวกคุณมองเห็นมั้ย มันมืดไปมั้ย” ร่างท้วมหันมาถามนักศึกษา ไม่ทันได้มีใครตอบ ปรนัยผู้นั่งใกล้สวิตช์ก็กดเปิดไฟอีกรอบ
คราวนี้อาจารย์เดินกลับมายืนหน้าห้องเหมือนเดิม
“ก่อนฉายแผ่นใส ผมบอกว่าไฟในห้องน่าจะสว่างไป แล้วเมื่อกี๊ตอนผมจะเขียนกระดาน ผมก็ถามว่า ไฟมืดไปมั้ย” มือที่เริ่มเหี่ยวย่นถอดแว่นออก “มีคำไหนมั้ยที่ผมสั่งให้คุณ... ชื่อไรนะ” ปลายเสียงหันไปถามคนปิดเปิดไฟ
“ปอครับ” เสียงทุ้มตอบ
“อื้ม ผมเป็นคนสั่งให้ปอปิดหรือเปิดไฟหรือเปล่า?”
เสียงประสานกันจากคนเรียนว่า “ไม่”
“นั่นสิ ผมไม่ได้พูดสักคำ แล้วปอรู้ได้ไงว่าต้องไปปิดหรือเปิดไฟ”
เจ้าของชื่ออ้ำอึ้งนิดหนึ่ง “ก็...อาจารย์พูดถึงไฟ แล้วผมก็อยู่ใกล้สวิตช์ไฟที่สุดอ่าครับ”
“ปิ๊งป่อง!” ผู้อาวุโสทำเสียงเหมือนกำลังเล่นเกมโชว์ “นี่คือแนวคิดของนักปรัชญาที่ชื่อ...”
แผ่นใสถูกเลื่อนขึ้นมาจนปรากฏคำอีกคำหนึ่ง
“วิตต์เกนสไตน์” อาจารย์ศักดิ์พูดชื่อที่อยู่กลางจอ “อย่าไปจำสลับกับแฟรงเกนสไตน์นะครับ ใครเขียนข้อสอบมาผิด ระวังได้เข้าร่วมรายการ AF นะ”
เสียงเด็กๆ หัวเราะกันครืน
“ตาคนนี้บอกว่า ภาษาสำหรับเค้าแล้วก็เหมือนกับการเล่นเกม ซึ่งเกมนั้นมีชื่อว่า "เกมภาษา" คำหรือประโยคเป็นเหมือนส่วนประกอบของเกมแต่ละเกม ที่ผู้เล่นต้องรู้จักกติกาของแต่ละเกมว่ามันทำหน้าที่อะไรในเกมนั้น และเราต้องเล่นตามกฎเกณฑ์ของภาษา เหมือนกับที่ต้องเล่นตามกติกาของเกมนั้นๆ
คำก็เช่นเดียวกัน ในการใช้ภาษาเราต้องใช้คำและประโยคตามกติกาจึงจะสามารถสื่อกันได้อย่างเข้าใจ”
นักศึกษามุมห้องด้านขวายกมือ ผู้เป็นอาจารย์ทำสัญญาณให้ถามได้
“แล้วถ้าเราไม่เข้าใจล่ะครับ”
“เช่นยังไง”
“อืม...” คนถามนิ่งคิด “สมมติถ้าอาจารย์พูดว่า ห้องสว่างเกินไป แต่ไม่มีใครลุกไปปิดไฟ”
“อ่าฮะ” ใบหน้าที่ร่วงโรยตามกาลเวลาพยักหน้า “ถ้าเราสื่อสารกันไม่เข้าใจ ก็เพราะว่าเราอยู่กันคนละ 'เกมภาษา' ยังไงล่ะ”
พอเห็นว่าไม่มีใครถามอะไรต่อ อ.ศักดิ์จึงเริ่มกิจกรรมฝึกให้นักศึกษาเข้าใจแนวคิดของวิตต์เกนสไตน์ยิ่งขึ้น
“จะหลับกันแล้วใช่มะ เดี๋ยวผมจะให้พวกคุณลองพูดประโยคที่คาดว่าจะอยู่ในเกมภาษาเดียวกันกับเพื่อน กติกาก็คือ คนที่จะพูด ต้องพูดขึ้นมาลอยๆ ในห้อง ถ้ามีใครสักคนตอบสนองต่อประโยคนั้นได้ ถือว่าคุณเล่นเกมภาษากับคนในห้องได้ผล ผมให้เวลาคิด 5 นาทีนะ ค่อยๆ คิดกันไป”
ผู้สอนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ปล่อยให้นักศึกษาพูดคุยปรึกษากัน
“นี่...ห้ามเตี๊ยมกันก่อนนะ ผมไม่ได้มีคะแนนอะไรให้ ไม่มีถูกไม่มีผิด เพราะฉะนั้นอย่าขี้โกง”
พอเข็มยาวเคลื่อนไปถึงเลข 6 อาจารย์ขจรศักดิ์ก็หยิบใบรายชื่อขึ้นมา ก่อนจะสุ่มเรียกนักศึกษาคนแรกให้เริ่มเล่น ‘เกมภาษา’
“วสรุต”
พี่ผู้ชายโทปรัชญาปีสี่เดินออกมาหน้าห้อง แล้วอยู่ๆ ร่างผอมก้างก็ทำท่าปั่นจิ้งหรีดไปเกือบ 20 รอบ เสียงฮือฮาของผู้ชมดังขึ้น จนสุดท้ายคนปั่นจิ้งหรีดก็หยุดแล้วทิ้งตัวนั่งบนพื้น
“เวียนหัวอะ”
ใครคนหนึ่งวิ่งเอายาดมไปให้ จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น พร้อมการสรรเสริญชื่นชมในความเล่นใหญ่ของเพื่อน
“ดีมากๆ” อาจารย์ศักดิ์หัวเราะ “แต่คนต่อไปไม่ต้องขนาดนี้นะ เป็นลมเป็นแล้งไปจริงๆ ผมขี้เกียจโดนคณบดีเรียกคุย”
คนต่อไปที่โดนเรียกคือไอ้แก้ว รายนี้ไม่รัชดาลัย แต่อาศัยตลกแดก
“เมื่อเช้าตื่นสาย ฮิ้วหิวววว”
ทั้งห้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงถามว่า “มีแซนด์วิชนะ กินมั้ย”
พอไอ้ห่าแก้วยิ้มตาเยิ้มให้คนถาม กลับโดนตอกกลับว่า “นี่พูดไปตามเกม ไม่ได้มีจริงๆ” ไอ้นี่เลยหงอยไป
“ภาคภูมิ”
ทุกสายตาหันมามองยังร่างขาวหนึ่งในแก๊งชายล้วนปี 3
“หนาว...” เจ้าของชื่อพูดแค่คำเดียวเท่านั้น แต่รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้รีโมตแอร์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปปรับอุณหภูมิให้ทันที ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึงก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงฮิ้วฮ้าวที่ดังขึ้นเสียก่อน
ภูมิหัวใจเต้นระรัว เมื่อเสื้อวอร์ม Adidas สีเข้มของคนข้างๆ ลอยมาคลุมร่างตัวเองอย่างรวดเร็ว เสียงโห่แซวดังขึ้นโดยรอบ โดยเฉพาะไอ้แก้วกับไอ้ชิงที่เป็นต้นเสียง แต่ภาคภูมิทำได้เพียงก้มหน้าหดคอจนแทบจะมุดหายไปในเสื้อคลุมตัวนั้น ในขณะที่เจ้าของเสื้อก็แสร้งทำทีเคร่งขรึม ไม่รับมุกเล่นตลกโป๊งชึ่งเหมือนที่ผ่านมา
เสียงอาจารย์ขจรศักดิ์เรียกชื่อนักศึกษาคนต่อไป ทั้งห้องจึงกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง
เว้นก็แต่หัวใจของใครบางคน...
หลังเลิกเรียนทั้งเด็กทั้งอาจารย์ก็ยกขบวนไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงพอดี อย่าว่าแต่โต๊ะใหญ่สำหรับสิบคนเลย ต่อให้เป็นโต๊ะเล็กๆ นั่งสี่คนยังหายาก แก๊งปรัชญาภาษาจึงต้องแยกกันนั่งไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะคุยเรื่องเกมภาษากันต่อ เมื่อเป็นดังนั้นเด็กปีสามจึงขอตัวไปหาที่นั่งกันเอง และไม่แน่ว่าอาจจะซื้อกลับไปกินที่ภาคก็ได้
“โต๊ะม้าหินตรงนั้นเหมือนว่างปะ” ภูมิชี้มือไปด้านนอกโรงอาหารที่มีโต๊ะม้าหินตั้งอยู่ใต้ร่มไม้
“เออๆ เดี๋ยวกูไปจองให้” ชิงชิงเตรียมวิ่งไปยังจุดหมาย แต่ภาคภูมิกลับเรียกไว้
“ไม่เป็นไร บ่ายกูว่าง มึงรีบไปซื้อก่อนเหอะ” พอคิดถึงข้อเท็จจริงว่าอาจจะไปเรียนคาบบ่ายไม่ทัน ชิงชิงเลยปล่อยให้เพื่อนเป็นคนไปจองโต๊ะแทน
“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนไอ้ภูมิก่อน” ปอบอกก่อนจะก้าวเท้าเดินตามร่างโปร่งไป ทิ้งให้แก้วกับชิงชิงไปซื้อข้าวกันสองคน
ภาคภูมิทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะม้าหินตัวเดียวที่ว่าง ถึงจะมีร่มไม้มาบดบังแสงแดด แต่ความร้อนก็ยังกระจายทั่วพื้นที่ มือเรียวขยับเสื้อให้อากาศได้ระบาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังสวมเสื้อวอร์มของปออยู่
“ร้อนเหรอ” เจ้าของเสื้อร้องทักขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
คนกำลังถอดเสื้อคลุมพยักหน้า ก่อนสองมือจะพับเสื้อแขนยาวแล้วยื่นให้เจ้าของตัวจริง “อะ แต๊งกิ้ว”
ปอรับเสื้อตัวเองคืนแล้วยัดใส่เป้ “เอาน้ำปะ”
“มึงจะไปซื้อเหรอ”
“เออ หิวว่ะ”
“งั้นฝากด้วย” มือขาวล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาพลางส่งแบงก์ยี่สิบให้เพื่อน
“ลิปตัน?”
“อือ”
ไม่นานนักภาคภูมิก็เห็นร่างสูงโปร่งถือโหลแก้วสองโหลซึ่งบรรจุน้ำคนละสีเดินกลับมา แถมยังประคองจานลูกชิ้นจานใหญ่มาด้วย คนนั่งรอรีบลุกไปช่วยเพื่อนถือเพราะกลัวจะล้มคว่ำไปเสียก่อน
“กำลังจะเรียกเลย” เสียงทุ้มเอ่ยยิ้มๆ “เกือบสะดุดบันไดแล้ว”
“ก็ซื้อทีละอย่างมั้ยล่ะ” มือขาววางจานลูกชิ้นลงบนโต๊ะ คนถูกบ่นหัวเราะแหะๆ
“กลัวมึงจะหิว”
พอได้ยินแบบนั้นภาคภูมิเลยต้องแสร้งหยิบลูกชิ้นปิ้งมากินแก้เขิน
“แหน่ะ หิวจริงด้วย” ปลายเสียงหัวเราะแผ่วกับแก้มป่องๆ ที่เคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ไม่รู้ตัวว่าเผลอทอดสายตาอ่อนโยนจนคนถูกมองต้องหันหน้าหนี
หลังสมาชิกที่ไปซื้อข้าวก่อนกลับมา คนเฝ้าโต๊ะทั้งสองคนจึงรีบไปซื้อบ้าง แม้จะเลยเวลาเที่ยงมาสักพัก แต่ปริมาณคนก็ยังไม่ลดลง ปอจึงเลือกร้านข้าวราดแกงง่ายๆ เพราะเหลือเวลาอีกไม่เท่าไรก็ต้องขึ้นเรียนคาบต่อไป รอไม่นานนักร่างสูงก็ได้ข้าวราดแกงมาหนึ่งจาน ขณะเดินออกจากร้าน เสียงของเพื่อนสนิทที่ต่อคิวซื้อก๋วยเตี๋ยวร้านข้างๆ ก็เรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยววินไปนั่งด้วยนะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างหลัง “เผื่อพวกมึงอิ่มก่อน กูจะได้มีเพื่อน”
ตารีเผลอจ้องเพื่อนใหม่เขม็ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เคยตกลงกับตัวเองในใจ ปรนัยจึงเปลี่ยนหน้าดุๆ เป็นรอยยิ้มแทน “เออได้ เดี๋ยวกูไปโต๊ะก่อนแล้วกัน”
กว่าจะได้ก๋วยเตี๋ยวก็เกือบจะถึงเวลาเรียนคาบบ่าย ขณะที่ภูมิพาเพื่อนใหม่ไปนั่งที่โต๊ะ สามหนุ่ม F4 ที่กินข้าวอิ่มแล้วก็เตรียมเก็บของลุกออกไปพอดี
“อ้าว จะไปกันแล้วเหรอ” มือเรียววางชามก๋วยเตี๋ยวลงพลางเอ่ยถามเพื่อน
“เออ ว่าจะไปแวะเข้าห้องน้ำที่ภาคด้วย” แก้วตอบ “แล้วมึงจะไปหอสมุดเลยปะ”
“ใช่ๆ เดี๋ยวไปกับวิน”
คำตอบนั้นภาคภูมิตอบแก้ว แต่คนที่หันขวับมากลับเป็นปรนัยที่กำลังถือจานเปล่ากับโหลน้ำไว้ในมือ
“ไปละมึง เจอกันตอนเย็น” แก้วบอกลาเพื่อนแล้วเดินนำหน้าไปพร้อมชิงชิง แต่คนที่อยู่รั้งท้ายกลับหันมาที่โต๊ะม้าหินอีกครั้ง
“อ้าว” ภูมิร้องด้วยความงง เมื่ออยู่ๆ เพื่อนสนิทก็วางข้าวของทุกอย่างลงแล้วเปิดกระเป๋า
“เอาไว้ใส่” มือหนายื่นเสื้อวอร์มตัวเดิมไปให้คนที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว “เดี๋ยวหนาว”
ภูมิวางตะเกียบ เอ่ยขอบใจแล้วรับเสื้อตัวอุ่นนั้นไว้ ...นี่ใช่มั้ยที่วิตต์เกนสไตน์บอกว่ามันเป็นเกมภาษา
แล้วนอกจากความเข้าใจ ...มันยังมีความห่วงใยรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า?
ปรนัยนั่งกอดอกห่อไหล่อยู่ในคลาสเรียนคาบบ่าย เพราะรู้ว่าต้องแข็งตายอย่างในตอนนี้ เขาเลยเอาเสื้อคลุมติดมาด้วยตั้งแต่เช้า แต่ก็นั่นแหละนะ พอรู้ว่าไอ้ภูมิจะไปหอสมุด เขาก็ดันเสียสละเสื้อวอร์มของตัวเองให้มันไปแล้ว ก็ถ้าห้องนี้คือขั้วโลกเหนือ หอสมุดก็ไม่ต่างอะไรกับโรงน้ำแข็งในขั้วโลกเหนืออีกที หนาวในหนาว หนาวจนแบคทีเรียหยุดการเจริญเติบโตได้เลย ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเหนือกระดานไวท์บอร์ด บอกตัวเองว่าแค่สองชั่วโมงการชดใช้กรรมในห้องเย็นนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว
ในขณะเดียวกัน ร่างโปร่งที่ถูกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวของเพื่อนก็กำลังพยายามซ่อนนิ้วมือไว้ในปลายแขนเสื้ออย่างสุดความสามารถ ถ้าไม่จำเป็นต้องพลิกหน้าหนังสือแล้ว ดูเหมือนนิ้วเรียวๆ นั่นจะไม่ยอมโผล่ออกมาเด็ดขาด วินมองคนขี้หนาวแล้วทั้งขำทั้งสงสาร ยิ่งเห็นปลายเล็บซีดๆ แล้วก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้
“ยืมหนังสือไปนั่งอ่านข้างนอกมั้ย”
คนฟังส่ายหน้าแล้วยิ้มแหย “ไม่รู้จะยืมเล่มไหนมั่ง ต้องอ่านก่อน”
“ก็ยืมให้หมดนั่นแหละ ทำหน้าเหมือนจะแข็งตายแล้วภูมิอะ”
“ไหวๆ เสื้ออุ่นอยู่” คนหนาวยังยืนยันคำเดิม “แต่ปลายนิ้วโคตรเย็นเลย”
ภาคภูมิขยับมือที่เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปมา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกคนตรงข้ามคว้ามือเย็นๆ ของตัวเองไปกุมไว้ คนถูกจับมือมองการกระทำนั้นตาค้าง ก่อนสัญชาตญาณจะสั่งให้เขาดึงมือออก
“โทษที” หนุ่มเภสัชเอ่ยเรียบๆ ผิดกับแววตาระยับของเจ้าตัว “แค่จะพิสูจน์ว่ามือเย็นจริงมั้ย”
“อ่า... เย็นดิ จะไปโกหกทำไมล่ะ” คนมือเย็นตอบตะกุกตะกัก บรรยากาศแปลกๆ ที่รายล้อมอยู่เตือนเขาว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเท่าไร
“ตกลงจะไปอ่านข้างนอกมั้ย” วินยังถามถึงเรื่องเดิม แอบเห็นว่าอีกฝ่ายเอามือลงไปไว้บนตักอย่างแนบเนียน
“ไม่หรอก นัดเพื่อนไว้ที่นี่ด้วย”
“อ้อ...โอเค” หนุ่มเซ็กซี่บอยรับคำแล้วหันกลับมาสนใจหนังสือของตัวเองต่อ
“วิน” ตากลมมองคนตรงข้ามที่เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียกอีกครั้ง “ถ้ามีธุระ ก็ไปก่อนก็ได้นะ”
คนฟังยิ้ม “ไม่มีหรอก ถึงมีก็อยู่ได้ เราอยากอยู่”
ภาคภูมิลอบถอนหายใจ ...อยู่กันคนละเกมภาษาสินะ
ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ไลน์กลุ่ม F4 ก็มีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชิงชิงเป็นคนแรกที่พิมพ์เข้ามาว่าเรียนเสร็จแล้ว จากนั้นแก้วกับปอก็ส่งสติกเกอร์ตามมาติดๆ ภูมิจึงบอกจุดที่นั่งรออยู่ในเพื่อนๆ ตามมาสมทบ เพราะเย็นนี้พวกเขามีนัดทำรายงานด้วยกัน แต่จะพูดว่า ‘ด้วยกัน’ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะต่างคนต่างทำของตัวเอง แม้จะเป็นวิชาเดียวกันก็ตาม
หนุ่มเภสัชเห็นคนตรงข้ามพิมพ์ข้อความอย่างขะมักเขม้น จึงรู้ว่าเพื่อนเด็กปรัชญาน่าจะมากันแล้ว เมื่อเห็นจังหวะที่ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นจึงถามออกไป “เพื่อนเลิกเรียนแล้วเหรอ”
“อื้อ เดี๋ยวพวกมันมากันที่นี่ ต้องทำรายงานกันยาวเลย”
“เหรอ” เสียงนั้นเหมือนใคร่ครวญอะไรครู่หนึ่ง “เรานั่งอยู่ต่อได้มั้ย กลับห้องไปก็ไม่มีเพื่อนอะ”
...ยังคงอยู่คนละเกมภาษาเหมือนเดิม
อยู่ๆ ภูมิก็รู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจในการอยู่ร่วมกับเพื่อนใหม่ ส่วนสาเหตุนั้นคงมาจากการพิสูจน์ความเย็นของมือที่อีกฝ่ายทำนั่นแหละ ไม่รู้สิ มันแปลกๆ มั้ยที่เพื่อนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันจะมาทำอะไรแบบนี้
เสียงฝีเท้าที่มาหยุดตรงโต๊ะทำให้คนนั่งอยู่ก่อนต้องเงยหน้าขึ้น ภูมิจึงได้เห็นว่านอกจากเพื่อนของตัวเองแล้ว ยังมีสาวผมสั้นอีกคนปรากฏอยู่ด้วย ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป ร่างสูงโปร่งที่จ้องเขาอยู่ก็รีบพูดขึ้นมาก่อน
“โต๊ะเต็มอะ เลยชวนพี่จ๋ามานั่งด้วย”
“ได้ครับๆ นั่งด้วยกันนี่แหละพี่” ภาคภูมิลุกขึ้นแล้วหันไปขอเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาเพิ่มเติม ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหันไปเห็นเด็กเภสัชผู้เคยตกเป็นหัวข้อสนทนาในกลุ่มเด็กปรัชญานั่งอยู่ด้วย ใบหน้าหล่อๆ พยักหน้าให้รุ่นพี่พลางเอ่ยทักทายในฐานะที่เคยได้รับการเอื้อเฟื้อเสื้อยืดเมื่อตอนงานคเณศ
พี่จ๋าเลือกนั่งหัวโต๊ะซึ่งวางเก้าอี้อยู่หนึ่งตัว พอเห็นดังนั้นวินเลยย้ายตัวเองจากที่นั่งตรงข้ามภาคภูมิไปอยู่ตรงหัวโต๊ะอีกด้านด้วย ปล่อยให้ที่นั่งฝั่งละสองที่เป็นของสี่หนุ่มปรัชญาตามมารยาท แก้วกับชิงชิงเดินอ้อมไปนั่งด้วยกัน ที่สุดท้ายข้างภูมิจึงเป็นของปรนัยไปโดยปริยาย พอจัดแจงที่นั่งได้ลงตัว ทั้งหมดก็เริ่มสนใจในงานของตัวเองทันที นานๆ ครั้งสี่หนุ่มจะปรึกษางานกันบ้าง ซึ่งมีอยู่สองสามประเด็นที่พี่จ๋าช่วยอธิบายเพิ่มเติมในฐานะคนที่เรียนมาก่อน ส่วนเด็กต่างคณะหนึ่งเดียวก็นั่งเงียบๆ อ่านหนังสือของตัวเองไป
“มือเย็นจัง” ภาคภูมิหันไปตามเสียงกระซิบจากคนข้างๆ เมื่อครู่นี้ปลายนิ้วตนเองคงไปโดนมือของเพื่อนสนิท อีกฝ่ายจึงได้ทักออกมาอย่างนั้น
“อือ กูจะเป็นเอลซ่าแล้วเนี่ย”
“เลท อิท โก มั้ยล่ะมึง” พูดจบเสียงทุ้มก็ปล่อยหัวเราะดังลั่นจนมือเย็นๆ ต้องรีบเอื้อมมาปิดปากไว้ ก่อนสายตาพิฆาตจากโต๊ะข้างๆ จะส่งมาถึง
“โทษๆ ลืมตัว” ปรนัยดึงมือที่ปิดปากตนเองออก ขณะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะไปด้วย อีกฝ่ายขมวดคิ้วทำปากจิ๊จ๊ะ เป็นอันว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เขาเผลอทำเสียงดัง แต่พอนึกถึงภาคภูมิในชุดเอลซ่าแล้วก็พานจะขำออกมาอีกรอบ ทว่าเจอตาเขียวปั๊ดที่มองมาเสียก่อน ร่างสูงเลยควบคุมตัวเองได้ทันควัน
หนุ่มเภสัชหนึ่งเดียวในโต๊ะลอบมองเพื่อนใหม่กับคนข้างๆ เล่นกันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ ไม่รู้คุยอะไรกัน แต่เสียงหัวเราะคิกคักกับมือใหญ่ๆ ที่คว้ามือของภาคภูมิไว้ก็ทำให้หัวใจคันยิบๆ นึกอยากพูดอะไรออกไปเหมือนกัน แต่พอเห็นคนอื่นๆ ในโต๊ะไม่มีทีท่าอะไร เลยคิดเอาว่าเด็กอักษรเค้าคงเล่นกันแบบนี้ประจำ
“มึงหนาวเปล่า” นึกขึ้นได้ว่าใส่เสื้อกันหนาวของเพื่อนสนิทอยู่ ร่างโปร่งจึงทำท่าจะถอดเสื้อคลุมออกเดี๋ยวนั้น
“เฮ้ยๆ มึงใส่ไว้เถอะ กูโอเค”
ถึงเจ้าของเสื้อจะตอบอย่างนั้น แต่ภาคภูมิก็ยังยื่นเสื้อคลุมคืนอีกฝ่ายอยู่ดี คราวนี้ปรนัยเป็นฝ่ายจิ๊ปากอย่างขัดใจบ้าง ยิ่งเห็นภูมิลูบแขนเพราะความหนาวเย็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอีกฝ่ายไม่น้อย หลังพยายามบังคับให้คนหนาวกว่าใส่เสื้อเหมือนเดิมไม่สำเร็จ มือหนาจึงคลี่เสื้อวอร์มออก แล้วห่มคลุมแขนของตัวเองและคนข้างๆ เสียเลย
ภูมิมองการกระทำของเพื่อนสนิทแล้วก็ได้แต่นิ่งงัน เสื้อคลุมนั้นลดความหนาวได้ก็จริง แต่ไม่ทำให้อุ่นได้เท่าร่างสูงๆ ที่เขยิบเข้ามาใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว
กว่ารายงานจะเสร็จก็เล่นเอาหอสมุดเกือบปิด พี่จ๋าขอตัวกลับไปตั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว ถ้าจะระบุช่วงเวลาให้ชัดเจนอีกนิด ก็คือหลังจากปรนัยขำกับมุกเอลซ่าและแชร์เสื้อกันหนาวกับภาคภูมิได้ไม่นานนั่นแหละ ตอนนั้นทุกคนกำลังอินกับการเขียนงานมากจนไม่ทันได้สนใจอะไร แต่พอผ่านไปสักพักภาคภูมิก็รู้สึกว่าท่าทางพี่จ๋าตอนบอกลานั้นไม่ค่อยดีเท่าไร เลยคะยั้นคะยอให้ปอไลน์ไปถามรุ่นพี่อยู่ในตอนนี้
“เค้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก” ตอบเป็นรอบที่ห้า แต่คนขี้กังวลก็ยังไม่เลิกเซ้าซี้ “แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ก็ห่วงเค้าขึ้นมา ตอนแรกเห็นตึงกับเค้าจะตาย”
ภูมิทำหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามไหนก่อน สุดท้ายเลยย้อนอีกฝ่ายบ้าง “แล้วตอนแรกก็เห็นมึงเล่นกับเค้าดีๆ ทำไมตอนนี้ทำเย็นชาใส่เค้าจัง”
แก้วที่ฟังเพื่อนเถียงกันมาสักพักเริ่มเอือมระอา “ไว้ไปคุยกันต่อที่ร้านมั้ย กูหิว”
ระฆังคั่นยกทำเอาทั้งปอและภูมิต้องละบทสนทนาชั่วคราว หนุ่มต่างคณะเพียงหนึ่งเดียวจึงพูดขึ้นมาบ้าง “งั้นเรากลับก่อนนะ”
คราวนี้ทุกคนหันไปมองเพื่อนใหม่ด้วยความตกใจนิดๆ “อ้าว นึกว่ากลับไปแล้ว”
ประโยคนั้นปรนัยพูดแบบไม่ได้ประชด เพราะความเงียบของวินทำให้เขาลืมไปจริงๆ ว่ายังมีคนอื่นอยู่ด้วย พอเห็นคนโดนทักยิ้มหน้าเจื่อนๆ เสียงทุ้มจริงต้องรีบพูดแก้ความเข้าใจเสียใหม่
“เฮ้ยๆ ไม่ได้หมายว่าอย่างนั้นนะ แต่มึงเงียบมากไง เอ้อ...ไปกินข้าวด้วยกันดิ”
ภูมิแอบมองเพื่อนสนิทกับเพื่อนใหม่คุยกัน เชี่ยปอแม่งผีเข้าแน่ๆ ที่กับพี่จ๋าล่ะเฉยชา ทีกับวินดันมาพูดดีด้วย
แม้คนอื่นๆ จะบอกให้เด็กเภสัชไปกินด้วยกัน แต่วินก็คิดว่าคงไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะไปกับแก๊งนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่ภูมิยังไม่มองหน้าเขาตรงๆ เหมือนเดิม
ร้านที่สี่หนุ่มยกขบวนไปกินคือร้านอาหารตามสั่งริมทางแถวๆ หน้ามอ หลังสั่งเมนูกันครบ ไอ้แก้วก็กระแอมเสียงดังจนคิดว่าแม่งควรไปซื้อยาละลายเสมหะมากิน
“มีไรก็พูดมา กระแอมซะกูกลัวลูกกระเดือกมึงจะหลุด” ปอพูดเสียงเบื่อๆ ลีลามากจริงไอ้ห่านี่
“ไอ้ปอ ไอ้ภูมิ” แก้วชี้หน้าเพื่อนตัวดีที่มีประเด็นจนเขาไม่พูดไม่ได้ “กูเห็นนะ ในห้องสมุดอะ”
จำเลยสองคนมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปถามคนพูด “อะไรวะ”
“เหอะ!” อีกฝ่ายทำเสียงขึ้นจมูก “แอบจับมือกันใต้เสื้อใช่มะ!”
“หาาาาาาาา” คนถูกกล่าวหาว่ามีกิจกรรมใต้ร่มผ้าร้องเสียงหลง
“กูไม่อยากจะพูดในโต๊ะ เดี๋ยวพี่จ๋ากับไอ้วินตกใจ”
“เอ่อ...เรื่องนั้นกูไม่ได้สังเกตนะ” ชิงชิงทำหน้าแหยขณะพูดขึ้นมาเสียงเบา “แต่ไอ้วินกับพี่จ๋าแม่งทำหน้าเหวอจริงๆ ว่ะ”
“เดี๋ยวนะ” ภาคภูมิพูดแทรกขึ้นมาในที่สุด “อย่างแรก กูไม่ได้จับมือกัน เพราะฉะนั้น... อย่างที่สอง เรื่องวินกับพี่จ๋าทำหน้าเหวอก็ไม่ใช่เพราะพวกกูแน่ๆ”
“เดี๋ยวนะ” ชิงชิงพูดเลียนแบบ “ถึงมึงจะไม่ได้จับมือกัน แต่ก็ไม่ได้ความว่าสองคนนั้นเค้าจะไม่ได้หน้าเหวอเพราะพวกมึง”
“เดี๋ยวนะ” คราวนี้ปรนัยเอาด้วย “นี่มันเรื่องอะไรกันวะ”
ชิงชิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทำท่าราวกับกำลังจะพูดสิ่งสำคัญ “กูไม่เห็นว่าใต้เสื้อนั่นพวกมึงทำอะไร แต่กูเห็นว่าพวกมึงแอบหัวเราะด้วยกัน แล้วไอ้ปอดึงมือไอ้ภูมิออกจากปากมาจับไว้ แล้วที่พีคที่สุด...” ปลายเสียงเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง “มึงยิ้มให้กันด้วยสายตา”
“เชี่ยยยยยย” ภาคภูมิอุทานเสียงดังลั่น หน้าพานร้อนขึ้นมาโดยที่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นเพราะฉากนิยายที่เพื่อนพูด หรือมันได้เกิดขึ้นจริงๆ
“กูถามจริงๆ นะ” ชิงชิงพูดต่อ “มึงสองคนคิดอะไรกันปะ”
สิ้นคำถามนั้นทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ
“...เหยดแหม่ กูแค่เปิด แต่มึงยิงเข้าจุดตายเลยนะเชี่ยชิง” แก้วส่ายหัวปลงๆ ในเวลาแบบนี้ไอ้ห่าชิงมักตลบหลังได้แรงกว่าเสมอ “อ่าวเฮ้ย แล้วพวกมึงจะเงียบทำไม ไม่ใช่ก็ปฏิเสธดิ”
ภูมิลอบมองหน้าคนที่ถูกกล่าวหาร่วมกัน ในเวลานี้ใบหน้าที่เคยยียวนกลับเรียบสนิท ดวงตาคมหลุบต่ำจนไม่อาจเห็นว่าสายตาของปรนัยเป็นอย่างไร ...พออีกคนไม่พูด เขาก็เลยไม่กล้าพูดไปด้วย
เพราะลึกๆ ในใจ ก็คล้ายจะภาวนาให้สิ่งที่ชิงชิงถามเป็นความจริงเช่นกัน
“เชี่ย...” แก้วอุทานออกมาแผ่วเบา “ตกลงพวกมึง...”
“พีพี” อยู่ๆ คนนั่งเงียบก็เรียกชื่อคู่กรณีขึ้นมา ทำเอาภาคภูมิแอบลุ้นตัวโก่งว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร “ตะกร้าตรงมึงมีส้อมปะ”
“โธ่เว้ยยย!!” ชิงชิงร้องอย่างหงุดหงิด ไอ้ห่านี่คร่อมจังหวะตลอดๆ
“อะ” แม้จะเหวอไปเล็กน้อย แต่มือเรียวก็ยังส่งส้อมให้เพื่อนสนิทตามที่ถูกขอ
“นี่เราอยู่ในเกมภาษาเดียวกันนะเนี่ย” คนรับส้อมพูดขึ้น น้ำเสียงสบายๆ ราวกับไม่ได้ยินคำถามจากไอ้ชิงมาก่อน
“มึงจะมาวิตต์เกนสไตน์อะไรตอนนี้” ไอ้แก้วบ่นเสียงสูง
ทว่าปรนัยกลับพูดไปอีกทาง “ข้าวมาแล้ว กินกัน”
“ห่าปอเอ๊ยยยย ตอบมาเดี๋ยวนี้เลย”
คราวนี้ภาคภูมิหลุดขำออกมา เมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่เพื่อนสนิทกำลังจะสื่อ
“แก้วๆ” นิ้วเรียวสะกิดเรียกเพื่อนที่นั่งตรงข้าม “ประโยคเมื่อกี๊ มึงไม่ได้อยู่ในเกมภาษาเดียวกับไอ้ปอเหรอ”
“ทำไมวะ” อีกฝ่ายทำหน้างง
“ก็ไอ้ปอมันหมายถึง” เรียวปากบางคลี่ยิ้ม “ให้มึงหยุดเสือกไง”
“ไอ้เชี่ยยยยยย พวกมึงสองคนนี่แม่ง!!” คนโดนหลอกด่าโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในขณะที่สองเพื่อนซี้หัวเราะชอบใจที่แท็กทีมกันแกล้งเพื่อนได้
วงข้าวกลับมาสงบอีกครั้ง แก้วกับชิงชิงเลิกสนใจประเด็นที่เคยถามไปแล้ว เนื้อหาที่พูดคุยกลายเป็นเรื่องกระทู้เที่ยวงบน้อยในพันทิปแทน ทว่าคำถามนั้นยังคงล่องลอยอยู่ในใจของภาคภูมิแบบไม่สามารถสลัดให้ออกไปได้ เพราะไม่เพียงแต่ไอ้แก้วที่ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังสงสัยว่า ถ้าไม่คิดอะไร ทำไมไอ้ปอถึงไม่ปฏิเสธไปเสียเลย
ส่วนตัวเขานั้นตอบได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะว่า ‘คิด’ นี่ไง ถึงปฏิเสธออกไปไม่ได้เลย!
TBC.
--------------------------------
สวัสดีค่า
วันนี้มาเริ่มเรียนวิชาใหม่กับปรัชญาภาษากันนะคะ
ไม่ยากหรอกเนอะ /เหรออออ ก้มมองเกรดตัวเอง 555555
ไว้เจอกันตอนต่อไปค่ะ
