[END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]  (อ่าน 124646 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
ชอบพระเอกมากกกกกก :mew1:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ลูก้านี่มันเด็กเฝ้ายามชั้นดีเลยนี่นา 5555

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ลูก้าคงไม่ใช่ลูกไอ้นายพลนั่นใช่ไหม

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อ๊ายยยย
บอกได้คำเดียวว่าฟิน
เข้มข้นไปอีก
เริ่ดค่า

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 16: ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน[1]

เพราะยากระตุ้นอาการฮีทถูกฉีดผ่านใต้ผิวหนังแต่ไม่ได้เข้าทางกระแสเลือดโดยตรงทำให้อาการฮีทของเจเรมีทวีความรุนแรงได้ช้ากว่าตอนที่ถูกจับฉีดขณะทดลองคิดค้นยาต้านเนื่องจากตอนนั้นเขาถูกฉีดยาเข้ากระแสเลือดโดยตรง ดังนั้นการที่เขามีอารมณ์ร่วมไปกับการสัมผัสของคริสสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ามาจากสัญชาตญาณดิบของเขาเอง

สัญชาตญาณของโอเมก้าที่เป็นไปเพื่อการสืบพันธุ์...

จะเพื่ออะไรก็ช่าง เจเรมีไม่ได้ใส่ใจนัก เขารู้เพียงแค่เขาไม่อาจจะต่อต้านความเป็นโอเมก้าของตัวเองได้เลย

ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์หรือนิสัยเหมือนอัลฟ่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นโอเมก้าอยู่วันยังค่ำ เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และตอนนี้เขาก็มีคู่ครองแล้วด้วย นั่นก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกเช่นกัน

ไอ้การที่เขาเคยประกาศไว้ว่าจะไม่นอนแยกขาให้กับใครมันสลายหายไปเป็นอากาศธาตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รู้สึกแย่กับตัวเองพอสมควรที่ต้องกลืนน้ำลาย และแย่หนักใหญ่ทันทีที่คิดว่าหลังจากผ่านการร่วมรักกับคริสในครั้งแรกไป เขาก็เริ่มจำอะไรไม่ได้ด้วยครองสติไม่อยู่เนื่องจากยากระตุ้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ทว่าก็พอจะเดาได้ว่าตนคงจะทอดกายให้คริสได้หรรษากับเรือนร่างยันรุ่งสางแน่เพราะทันทีที่รู้สึกตัวตื่นและดันตัวขึ้นจากเตียง ความปวดแปลบบริเวณบั้นเอวก็ประดังประเดเข้ามาทำให้เขาต้องทิ้งตัวนอนลงไปเหมือนเดิม พลันหงุดหงิดฉับพลัน

ไอ้เวรคริส... ได้ทีมันทำซะจน...

ไม่อยากจะคิดต่อว่าทำเสียจนร่างกายเขาทำไม เจเรมีทุบกำปั้นไปยังที่ว่างข้างเตียงอย่างหัวเสีย ปราดมองไปตามเนื้อตัวเปลือยเปล่าของตัวเองที่ผ่านการทำความสะอาดมาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ด้วยกลิ่นของคริสยังไม่จางไปไหน

เป็นกลิ่นใหม่ด้วย...ไม่ใช่กลิ่นของฟีโรโมน อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นกลิ่นอะไร รู้แต่เพียงว่ามันมาจากอัลฟ่าคนนั้น

อาจจะเป็นกลิ่นซึ่งเป็นเครื่องหมายของการครอบครอง เขาเคยได้ยินมาอยู่ว่าโอเมก้าที่มีคู่แล้วจะมีกลิ่นของอัลฟ่าแฝงอยู่ในตัว และมันจะส่งกลิ่นรุนแรงมากทีเดียวถ้าหากว่าคู่ครองเป็นคู่แห่งโชคชะตา เขาเองก็ไม่เคยได้กลิ่นนั้นจากโอเมก้าด้วยกันหรอกเพราะมีแต่อัลฟ่าเท่านั้นที่จะได้กลิ่นนั้น แต่ที่เขาได้กลิ่นคงเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคู่แห่งโชคชะตาอย่างที่ว่า

คิดแล้วก็ยกแขนตัวเองขึ้นดมเป็นการใหญ่ จังหวะเดียวกับที่คริสเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับอาหารกระป๋องพอดี พอเห็นเจเรมีทำท่าทางอย่างนั้นก็เอ่ยทัก

“อาบน้ำไหม? เมื่อเช้าฉันทำแค่เช็ดตัวให้นาย อาจจะยังมีกลิ่นติดอยู่”

กวนประสาทตั้งแต่เจอหน้า!

กลิ่นอะไร เจเรมีเข้าใจดี แน่นอนว่าคริสไม่ได้หมายถึงกลิ่นแสดงความเป็นเจ้าของ แต่หมายถึงกลิ่นอื่น ทำเอาเจเรมีชูนิ้วกลางใส่อย่างรวดเร็ว

“หุบปาก”
คริสไม่แสดงสีหน้าใดๆ เดินตรงเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง วางอาหารกระป๋องลงได้ก็ชะโงกหน้าเข้าไปดมที่ซอกคอของเจเรมีโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
“ก็ไม่ได้เหม็นอะไรขนาดนั้น”
“นายจะหาเรื่องฉันใช่ไหม!” คว้าหมอนมาฟาดหน้าอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อย

คริสหลบไม่ทันจึงโดนเข้าไปเต็มรัก มันไม่เจ็บหรอก เขาออกจะสนุกด้วยซ้ำที่ได้หยอกให้คนใจร้อนหงุดหงิดอย่างนี้ ก่อนจะแย่งหมอนมาถืออย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นว่าเจเรมีตั้งท่าจะฟาดเขาอีก

“ฉันก็แค่พูดความจริง นายไม่ได้เหม็นขนาดนั้น”

ยังไม่หยุดอีก!

เจเรมีไม่อยากจะสนใจแล้ว ไม่อย่างนั้นคริสจะได้ใจ แกล้งเขาต่ออีก ดูท่าทางของคนตรงหน้าก็รู้ว่ากำลังหาเรื่องล้อเลียนเขา ไม่เชื่อก็ดูดวงตาเรียวยาวเป็นประกายวิบวับนั่นสิ จ้องอย่างนี้มันน่าไว้ใจเสียที่ไหน

เดาได้ว่าการล้อเลียนของคริสต้องไม่พ้นเรื่องระหว่างพวกเขาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแน่ เจเรมีจึงเลี่ยงโดยการแสร้งทำตัวเป็นปกติ
“มีอะไรมาให้กิน...”
“นายเป็นของฉันแล้วนะ”

อุตส่าห์จะเบี่ยงประเด็นแล้วแท้ๆ คริสก็ดันโพล่งขึ้นมาเสียได้

เจเรมีตวัดสายตาไปมองทันที ขณะที่คริสยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อีกแล้ว
“ความจริงเป็นคู่กับคู่แห่งโชคชะตาก็ไม่เลวเหมือนกัน” พลันเอาหน้ามาซุกที่ซอกคออีกครั้ง

เจเรมีถอยห่างเล็กน้อย มือยกขึ้นจับต้นคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว ท่าทางนั้นทำให้คริสต้องย่นคิ้วราวกับขัดใจ
“คิดว่าฉันจะกัดหรือไง ประเพณีล้าหลังเป็นร้อยปีอย่างนั้น ฉันไม่ทำหรอก สมัยนี้มีใครทำอย่างนั้นกันบ้าง”

จริงอย่างที่คริสว่า ไม่มีใครกัดคอแสดงความเป็นเจ้าของกับโอเมก้าอีกแล้ว มันเป็นประเพณีที่ได้ชื่อว่าไร้อารยธรรมจึงไม่เป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้ แค่กลิ่นของอัลฟ่าที่ฝังอยู่ในตัวของโอเมก้าก็เพียงพอที่จะทำให้รู้แล้วล่ะว่าใครเป็นเจ้าของ แต่มันก็ใช้ไม่ได้กับโอเมก้าที่ถูกจับมาขาย กลิ่นของอัลฟ่าในตัวโอเมก้าจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เปลี่ยนคู่นอนใหม่จึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าชีวิตที่แท้จริง มีเพียงสัญลักษณ์เป็นจุดสักที่ต้นแขนแทนเพื่อให้รู้ว่าโอเมก้าคนนั้นถูกขายทอดตลาดมากี่ครั้งแล้ว

การขายทอดตลาดหมายถึงการเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ไม่ได้หมายถึงการผลัดเปลี่ยนคู่นอนแต่อย่างใด สำหรับลูก้า การที่เขามีจุดรอยสักบนต้นแขนถึงสี่จุด มันหมายความว่าเขาถูกเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วถึงสี่ครั้งโดยเจ้าของคนแรกและคนปัจจุบันคือคนคนเดียวกัน

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เจเรมีจะมาสนใจในตอนนี้ ที่เขารีบผละออกเป็นเพราะกลัวว่าคริสจะทำรอยแดงเป็นจ้ำบนต้นคอเขาเหมือนครั้งก่อนต่างหาก แต่ไม่ได้ทำก็แล้วไป ส่วนตอนนี้เขาต้องจัดการกับคนที่มายุ่มย่ามกับร่างกายของเขาให้เร็วที่สุด ดูท่าทางอีกฝ่ายจะได้ใจเป็นอย่างมากทีเดียว

มือหนาดันใบหน้าของคริสออกห่างทันควัน
“อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้”
“ทำไม”
“น่าขยะแขยง”
“เมื่อคืนยังจูบเอาๆ”

คริสกวนประสาทเต็มที่ ไม่แน่ใจนักว่าตั้งใจหรือเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่ก็ทำให้เจเรมีหน้าร้อนวูบขึ้นมาได้ทันตา

“หาเรื่องกันจริงๆ สินะ” สายตามองหาชะแลงเหล็กเป็นพัลวัน

คริสรู้ทัน กะไว้อยู่แล้วว่าถ้าคนตรงหน้าตื่นมา เขาจะต้องถูกเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอนจึงสั่งให้ลูก้าเอาอาวุธพวกนั้นออกไปไว้ยังอีกห้องเป็นที่เรียบร้อย

เห็นเจเรมีมีท่าทางอย่างนั้นก็รีบคว้ากระป๋องอาหารมาเปิดและส่งให้พร้อมกับช้อน
“กินก่อนเถอะ เรื่องเอาเลือดหัวฉันออกค่อยเอาไว้ทีหลัง”

กะไว้ว่าอย่างนั้นเมื่อรู้สึกว่าท้องตัวเองเริ่มร้องประท้วงทันทีที่เห็นอาหารตรงหน้า มันไม่ใช่อาหารที่ดูน่ากินสักเท่าไหร่ ก็เป็นถั่วกระป๋องเหมือนเดิมกับที่เขากินเมื่อวาน แต่ด้วยความที่ท้องหิวจึงไม่รีรอที่จะตักมันเข้าปาก

ตักไปได้สองสามคำก็สังเกตเห็นว่าตัวเองถูกอัลฟ่าหนุ่มจ้องมองอยู่

คริสมองเจเรมีตาไม่กะพริบจนถูกอีกฝ่ายทัก
“มองอะไร”
“ไม่มีอะไร” จากนั้นก็เบือนหน้าไปอีกฝั่ง โค้งตัวลงเอาศอกเท้ากับหน้าขาแล้วใช้มือชันปลายคางเอาไว้ ทำได้ครู่เดียวก็เหลือบมามองเจเรมีที่อยู่ข้างๆ อีก ครั้งนี้ไม่มองเปล่า ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยจนเจเรมีต้องชักสีหน้าใส่
“แล้วนี่ยิ้มบ้าอะไร”
“เปล่า” เม้มปากกลบเกลื่อนแทบไม่ทัน จากนั้นก็หลุดยิ้มออกมาอีก เลยถูกเจเรมียกขาถีบเสียเต็มรัก
“นายนี่มันจงใจกวนโมโหฉันชัดๆ!”

ไม่ได้กวนเลย คริสแค่เห็นว่าเจรเมีน่ารักดีต่างหาก ไม่รู้ว่าไปมองจุดไหนถึงเห็นเป็นอย่างนั้น โดนถีบไปทีหนึ่งเลยตาสว่างขึ้นมานิดหน่อย ตั้งหลักได้ถึงได้สวนกลับ

“ฉันมองหน้านายไม่ได้หรือไง”
“แล้วจะมองทำไมล่ะวะ!” เจเรมีแผดเสียง เขาไม่ชอบถูกสายตาคู่นั้นจ้องมอง บอกตามตรงว่ามันทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
และก็ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อคริสขยับเข้ามาใกล้ ยื่นมือมาเช็ดคราบซอสที่เปรอะเปื้อนยังมุมปากอีกฝ่ายพลางกระซิบเสียงเบา
“เพราะนายน่ารักไง ฉันถึงได้มอง”

ขนลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัวเลยทีเดียว เจเรมีเสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าพอได้เสียกันแล้ว ความสัมพันธ์มันก็น่าจะดูดีขึ้นมาสักหน่อย แต่เขาไม่คุ้นชิน ยิ่งคริสมาอ่อนโยนกับเขาราวกับว่าเป็นโอเมก้าบอบบาง เจเรมีก็ทนกับความหวานแสบไส้อย่างนี้ไม่ได้

“พอเลย ถอยออกไป” แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง

ใบหน้าร้อนวาบ ไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า ประหม่าขึ้นมาฉับพลัน เป็นความรู้สึกครั้งแรกที่เขามีต่อคนอื่น และนั่นทำให้ซีกแก้มของเขาแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ หากแต่ใบหูกลับแดงแจ๋ ชวนให้คริสต้องหัวเราะพร้อมเอามือไปจับที่ปลายหูข้างหนึ่งเบาๆ พลางกัดริมฝีปาก

น่ารักจริงๆ ด้วย...

คิดไม่ผิดหรอกที่มองเห็นเป็นอย่างนั้น ในสายตาของเขา ปีศาจผมบลอนด์น่ารักที่สุดแล้ว

น่ารักเสียจนอดใจไม่ไหว ต้องขยับเข้าไปจูบ...

เจเรมีที่ถูกช่วงชิงริมฝีปากอย่างไม่ทันตั้งตัวถึงกับย่นคิ้วยู่ คริสถอยออกมาได้ก็ยิ้มกริ่ม
“ความจริงตอนไม่เป็นฮีท เราก็ทำเรื่องอย่างว่ากันได้นะ”

คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง...

มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนี่หว่า! ไอ้เวรคริส ทำไมเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้วะ!?

เหมือนจะเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองพลาดท่า คริสอ่อนโยนกับเขามากขึ้นก็จริง แต่ก็ขี้แกล้งมากขึ้นเช่นกันทั้งที่ปกติแล้วจะไม่เคยพูดจาอะไรอย่างนี้ วันๆ เห็นแต่ปั้นหน้านิ่งเสียจนคิดว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมมาให้ทำหน้าอยู่แบบเดียว

“อย่าให้มันได้ใจมากนัก” กระนั้นเจเรมีก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพียงแต่เตือนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่
คริสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาพอใจแล้วล่ะที่ได้หยอกล้อกับผู้ชายตรงหน้าอย่างนี้ ก่อนที่จะปั้นหน้าขรึมตามเดิม
“รีบกินซะ จะได้พักผ่อน ไว้นายตื่นมาอีกรอบเมื่อไหร่ เราค่อยไปหาที่พักใหม่กัน” วางแผนการใช้ชีวิตเสร็จสรรพแล้วด้วย
เจเรมีไม่ถามว่าจะเปลี่ยนสถานที่ทำไมในเมื่อที่นี่ก็สะดวกสบายดี เพราะรู้ดีว่าการอยู่ที่เดียวนานๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ มันจะทำให้ตกเป็นเป้าในการโจมตีได้ง่าย ก่อนจะโพล่งขึ้น

“ไม่ต้อง จะไปไหนก็ไปเลย”
“นายเดินไหวหรือไง” คริสสวนกลับมา ทำเอาเจเรมีหน้าม้าน ขณะที่อีกฝ่ายว่าขึ้นอีก “ถ้าคิดว่าไหวก็ลองยืนขึ้นสิ”

ถูกท้าอย่างนั้น มีเหรอที่เจเรมีจะไม่ทำ หากแต่พอขยับตัวเท่านั้น ความปวดแปลบก็แล่นพล่านเข้ามาอีกจนเขาต้องเบ้หน้าเหยเก ทำเอาคริสถึงกับเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่า ‘ได้แค่นี้เหรอ?’ ให้เจเรมีได้หัวเสีย

“เพราะนายเลยไอ้ทุเรศ!” ยกขาถีบคริสไปอีกที

คราวนี้คริสหลบได้จึงไม่ได้โดนเต็มรักเท่าไหร่นัก

“ถึงได้บอกให้พักก่อน ไว้ค่อยไปกัน” สุดท้ายคริสก็สรุปอย่างนั้น
เจเรมีจำเป็นต้องยอมเพราะเขาไม่ไหวจริงๆ มันเป็นความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก

ปวดหน่วงๆ? ปวดหนึบๆ?

แต่จะปวดแบบไหนก็ตาม มันล้วนมาจากการไม่ออมแรงของคริสทั้งนั้น

ขนาดทำผู้ชายร่างใหญ่อย่างเขาเจ็บตัวได้ขนาดนี้ แสดงว่าไม่ใช่เล่นๆ แล้ว

นอกจากเรื่องการปวดเมื่อยที่บั้นเอวก็ยังมีเรื่องบาดแผลที่ได้จากการต่อสู้กับอัลฟ่าตอนช่วยเหลือลูก้าเมื่อวานอีก เพิ่งตระหนักได้ก็ตอนได้ยินคริสพูดขึ้น

“นอนพักสักหน่อย ตื่นแล้วค่อยมาทำแผลใหม่”
เจเรมีถึงรู้ในตอนนี้ว่าที่แขนของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่

คงจะเป็นฝีมือของคริสอย่างแน่นอน... แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งถือกระป๋องถั่วนิ่ง ปล่อยให้คริสได้พูดต่อ
“แล้วจากนั้นนายจะอาบน้ำหรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนเสื้อผ้าของนาย ฉันเอาไปซักให้แล้ว ตากอยู่ข้างนอก ตอนนี้คงต้องอยู่ในสภาพนี้ไปก่อน” หมายถึงสภาพเปลือยเปล่า

เจเรมีหมดความเขินอายเรื่องที่อีกฝ่ายเห็นร่างกายเขาทุกสัดส่วนแล้วล่ะ เห็นของกันและกันจนเบื่อไปข้างแล้ว เขาไม่มาสะทกสะท้านกับอะไรอย่างนี้พักใหญ่แล้ว สิ่งเดียวที่อยากได้ในตอนนี้คืออยากให้คริสไสหัวไปไกลๆ สั่งโน่นสั่งนี่เขาอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัดยาด!

“มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไสหัวไปได้แล้ว”
“อีกเรื่องก็แค่เรื่องของเด็กนั่น...” คริสว่า
เจเรมีย่นคิ้วไปเล็กน้อย “ลูก้า?”
“เราต้องคุยกันว่าจะจัดการกับลูก้ายังไง เข้าใจใช่ไหมว่าโอเมก้าสองคนอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องดี”

ไม่ต้องอธิบาย เจเรมีก็เข้าใจว่าคริสหมายความว่าอะไร

จัดการอาจจะหมายถึงกำจัด ซึ่งกำจัดก็มีความหมายว่าต้องฆ่า แต่เจเรมียังไม่พร้อมที่จะมาคิดเรื่องอะไรอย่างนั้น บ่ายเบี่ยงอย่างรวดเร็ว

“ไว้ค่อยคุย ฉันอยากนอน”

อัลฟ่าหนุ่มคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับปฏิกิริยาอย่างนี้ตอบกลับมา เขาถึงได้บอกว่าค่อยคุยทีหลังอย่างไรล่ะ
ถูกไล่แล้วคริสก็ชะโงกหน้าไปจูบเจเรมีเบาๆ อีกครั้ง พลันผละออกมาลุกขึ้นยืน ทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคสั้นๆ
“ถ้าต้องการอะไรก็เรียกฉันแล้วกัน ฉันอยู่ข้างนอก” กะเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับเจเรมี

สิ้นเสียงก็เดินออกไป ปล่อยให้เจเรมีมองตามเงียบๆ




 
ปิดประตูสนิทดีแล้ว คริสก็เดินมาด้านนอก ลูก้าซึ่งนั่งรออยู่มองเขานิ่งในขณะที่เขาไม่ได้สนใจและตั้งท่าจะเดินไปที่อื่น ทว่าก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายร้องเรียก

“คุณฟ็อกซ์ครับ”
คริสหันมามองพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“คุณเมอร์ซีเป็นยังไงบ้างครับ” เป็นครั้งแรกเลยที่ลูก้าอยากจะคุยกับเขา ปกติแล้วคุยกันแค่เพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น
“สบายดี” คริสยกมือขึ้นกอดอก มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ในขณะที่ลูก้าไม่ได้มีสีหน้าสบายใจสักเท่าไหร่นักเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจนคริสต้องถามขึ้นมา “มีอะไรอยากถามก็ถามมา”

เขาอ่านสีหน้าเด็กหนุ่มออก ลูก้าไม่สบายใจจริงอย่างที่คริสว่า ก่อนจะรวบรวมความกล้าเปิดปากออกไป
“เมื่อคืนนี้...คุณกับคุณเมอร์ซี...เอ่อ...”

สงสัยอยากจะรู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นระหว่างคริสกับเจเรมี

“นายอายุเท่าไหร่” แทนที่จะตอบ เขากลับถามลูก้าคืน

คนถูกถามงุนงงไม่น้อย ทว่าก็ยอมตอบคำถาม “สิบแปดครับ”

“โตพอที่จะรู้เรื่องแล้วสินะ” ประโยคนี้เหมือนพึมพำอยู่คนเดียว จากนั้นถึงได้บอกกับเด็กหนุ่มตรงหน้า “อัลฟ่ากับโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน แถมโอเมก้ายังเป็นฮีท ก็ต้องทำอะไรอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”

ฟังแล้วก็หน้าร้อนวาบ เป็นคำตอบที่คลุมเครือแต่ลูก้าก็เข้าใจได้ดี เขาพยักหน้ารับเร็วๆ ซ่อนใบหน้าแดงซ่านลงแต่ก็ปิดไม่มิดเมื่อมันแดงลามไปถึงใบหู

“อยากรู้อะไรอีกไหม”
เผื่ออยากจะถามว่าทำกันอย่างไร ท่าไหน อะไรอย่างนั้น เพราะดูลูก้าอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน

แต่ใครมันจะไปกล้าถาม รู้แค่นี้ก็ทำเอามองหน้าคนตัวใหญ่กว่าไม่ไหวแล้ว
“มะ...ไม่มีแล้วครับ”

เห็นท่าทางนั้นแล้วก็ตลกดี คริสอดคิดไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่ใสซื่ออยู่ไม่น้อย หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจแรกของเขาเลือนหายไปเลยแม้แต่น้อย

ไม่ว่าอย่างไรเด็กนั่นก็เป็นโอเมก้า และโอเมก้าสองคนก็ไม่ควรอยู่ด้วยกัน...

เขายังยึดความคิดนี้ไว้เป็นหลัก ก่อนจะถามออกมาบ้างเมื่อเห็นว่าลูก้าทำท่าจะหมุนตัวกลับไปนั่งคุดคู้ที่เดิม
“นายน่ะ...”
“ครับ?”
“จะไปจากที่นี่เมื่อไหร่?”

ลูก้าทำหน้าไม่เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน คริสลอบถอนหายใจเล็กน้อย ดูท่าทางเขาจะถามกะทันหันเกินไป เด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้ตามไม่ทัน แต่ช่างมัน เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แค่อยากจะรู้ว่าคนตรงหน้าวางแผนจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไว้รอเจเรมีพร้อมเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกที

“นายควรคิดเอาไว้ได้แล้วเพราะฉันจะไม่ยอมให้นายมาเกาะติดอย่างนี้ มันไม่เป็นการดีกับเจมี รู้ใช่ไหมว่าโอเมก้ารอดชีวิตได้แค่คนเดียว”

ลูก้าเข้าใจสิ่งที่คริสถามในตอนนี้ ยอมรับเลยว่าเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นักแม้จะรู้ดีว่าผลสุดท้ายต้องออกมาในรูปแบบไหน และเขาก็ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบโต้คริสกลับไปด้วย นอกจากยืนนิ่งเท่านั้น

คริสก็ไม่เสียเวลาคุยอีกต่อไปเพราะการที่ลูก้าจะไปหรือไม่ไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา หากแต่ขึ้นอยู่กับเจเรมี ฝ่ายนั้นเป็นคนดึงลูก้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเป็นฝ่ายจัดการกับสถานการณ์นี้เอง หากจัดการไม่ได้ เขาถึงจะลงมือ ก่อนจะทิ้งท้ายไว้

“ไว้เจเรมีตื่นแล้ว ฉันจะให้มาคุยกับนายเรื่องนี้ ถ้าตัดสินใจได้ก่อนก็ไม่ต้องรอ เอากลับไปคิดซะ”

พูดจบก็เดินหลบไปทางอื่น ทิ้งให้ลูก้ายืนครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยสีหน้าซีดเซียวเพราะไม่ได้คาดคิดว่าบทสนทนาในตอนแรกจะจบลงในรูปแบบนี้

หากแต่คริสไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ในหัวของเขามีแต่ความคิดที่จะปกป้องเจเรมีเท่านั้น ส่วนลูก้าจะอยู่หรือจะไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่ถ้าเขายื่นมือเข้ามายุ่งเมื่อไหร่ แสดงว่ามันเข้าขั้นวิกฤติแล้ว

และถ้าถึงตอนนั้น มันจะไม่มีคำว่าเมตตาใดๆ

ต่อให้ต้องฆ่าก็จะทำ... ทั้งหมดเพื่อปกป้องเจเรมี

เหตุผลเดียวที่จะทำให้เขาเป็นฆาตรกรก็มีแค่นี้แหละ...
 -------------------------------------
เอามาแปะครึ่งนึงก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อที่เหลือให้ค่ะ
ขุ่นคริสเข้าตำราคนหลงเมียมว้ากกก 555
เนื้อเรื่องจะกลับมาเข้มข้นขึ้นอีกแล้วนะ หมดเวลาฟิน ก๊ากกก
ฝากฟีดแบ็กเอาไว้เป็นกำลังใจให้ด้วยจ้า XD

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขุ่นคริสเค้าปกป้องเจมีสุดชีวิตจริงๆ ถึงเป็นฆาตกรก็ยอม โอ้โหหหห หล่อมากเลย 555555  :katai2-1:
เราชอบตอนที่คริสมานั่งจ้อง มาแหย่ให้เจมีเขินอ่ะ เจมีน่ารักมาก อยากให้เค้าสวีทกันเยอะๆจังเลยค่ะ

สงสารลูก้านะ แต่ก็อย่างที่พี่คริสบอกอ่ะว่าต้องมีโอเมก้าคนเดียวที่รอด คริสเจมีสู้ๆนะ

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารน้องก้า

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
อยากให้เกมบ้าๆ นี่ถูกยกเลิกซะ สงสารลูก้า  :ling3:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 16: ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน[2]

เจเรมีไม่อยากคุยเรื่องลูก้าแต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้เมื่อคริสลากเขาเข้าสู่บทสนทนาทันทีที่จัดการกับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย และการพูดคุยกันก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่นักด้วยจุดประสงค์ของคริสคือการให้เจเรมีไล่ลูก้าไป ในขณะที่เจเรมียังไม่พร้อมที่จะเอ่ยปากเพราะได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะยังไม่ให้ลูก้าไปไหน อย่างน้อยเขาจะดูแลลูก้าให้ได้สักอาทิตย์หนึ่งก่อน นี่เพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง ยังเหลืออีกตั้งหลายวัน

ทว่าคริสไม่เข้าใจหรอกว่าการที่เจเรมีไม่ยอมให้ลูก้าไปเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ดึงลูก้าเข้ามาอยู่ในเกมอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันทำให้เจเรมีต้องแสดงความรับผิดชอบ อย่างน้อยก็ดึงเวลาให้ลูก้ามีชีวิตอยู่ยาวขึ้นเพราะสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างจะอันตราย ตรงกันข้ามกับคริสที่คิดว่ายิ่งลูก้าอยู่ด้วยนานขึ้นเท่าไหร่ เจเรมีก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศถึงจำนวนผู้แข่งขันที่เหลืออยู่

โอเมก้าเหลือสี่ อัลฟ่าเหลือแปด...จำนวนสองต่อหนึ่ง พวกอัลฟ่าจะต้องสู้กันเองเพื่อแย่งโอเมก้าเป็นแน่ ร้ายกว่านั้นการที่เจเรมีถูกพวกเจ้าหน้าที่ยิงยากระตุ้นอาการฮีทใส่เมื่อวาน มันเป็นกฎข้อใหม่ของเกมที่เพิ่งถูกใส่เข้ามาโดยมีรายละเอียดว่าโอเมก้าจะถูกยิงยากระตุ้นอาการฮีทใส่โดยไม่เลือกว่าเป็นใครอาทิตย์ละครั้ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการล่ามากขึ้นเพราะโอเมก้าจะมีช่วงฤดูผสมพันธุ์ได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น

เป็นกฎที่ทุเรศสิ้นดี!

เจเรมีสาบานได้กับตัวเองเลยว่าถ้าเขาออกจากเกมนรกนี่ได้เมื่อไหร่ เขาจะไม่รีรอที่จะฆ่าเดร็กทิ้งทันที

มันก็น่าแค้นใจอยู่หรอก เขาดันเป็นโอเมก้าคนแรกที่ถูกยิงยากระตุ้นฮีทจนต้องตกเป็นของคริสอย่างที่เห็นอยู่น่ะ!

กระนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการได้รู้อีกอย่างว่านอกจากตามอาคารร้างพวกนี้แล้ว ยังมีการหย่อนอาหารและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตและต่อสู้ไว้ตามส่วนต่างๆ ของเกาะด้วย ถ้าโชคดีก็อาจจะได้อาวุธใหม่ไปและมีโอกาสรอดชีวิตจากการอดตายเพื่อเล่นเกมมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เพิ่มความดุเดือดให้กับเกมเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับความกังวลว่าผู้เข้าแข่งขันจะใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิมแต่อย่างใดเลย

ถึงอย่างนั้นก็เรียกได้ว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้นอยู่โข คริสถึงได้พยายามกระตุ้นให้เจเรมีรีบตัดสินใจไล่ลูก้าไปสักที

“นายต้องตัดสินใจแล้วเจมี อย่างที่ฉันบอก ลูก้าอยู่กับเราที่นี่ไม่ได้” ทั้งที่เจเรมีปฏิเสธไปแล้วก็ยังจะตอแยอีก ทำเอาเจเรมีที่เดินหนีเมื่อครู่ถึงกับหัวเสีย
“หุบปากไปเลย!” หันไปแหวใส่เล็กน้อย ก่อนจะออกเดินต่อ ตั้งใจจะไปหลบที่ห้องอื่นก่อนจนกว่าคริสจะหยุดพูดเรื่องนี้
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกมือใหญ่รั้งหัวไหล่เอาไว้
“นายจะทำเป็นไม่สนใจอย่างนี้ไม่ได้ บอกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่เป็นเรื่องดีสำหรับนาย”
“มันเรื่องของฉัน อย่ามาแส่!” คราวนี้ถึงกับหันไปปัดมือคริสที่แตะตัวเขาอยู่ออกเต็มแรง ตวาดเสียงดังลั่นจนทำให้ลูก้าซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าเสีย

มันก็ควรหน้าเสียอยู่หรอก เขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันนี่ ทำเอารู้สึกแย่ไม่น้อยทีเดียว

“เรื่องของนายก็เหมือนเรื่องของฉัน ฉันว่าฉันบอกไปแล้ว” คริสยังใจเย็นอยู่ มีแต่เจเรมีที่เดือดดาลเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันไม่ได้อนุญาตก็อย่าแส่” กลายเป็นคนหัวแข็งโดยสมบูรณ์ พูดจบก็เดินหนีอีก

คริสมองตามแล้วก็ลอบถอนหายใจ ทำไมเจเรมีถึงไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร
แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าจัดการกับเจเรมีไม่ได้ งั้นเขาเปลี่ยนเป้าหมายก็แล้วกัน

ใบหน้าคร้ามหันมาทางลูก้าทันที ไม่สนใจเจเรมีแล้ว ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“ที่ฉันให้นายไปคิด ตัดสินใจได้หรือยัง”
ลูก้าที่ยืนมองอยู่ถึงกับสะดุ้ง พลันก้มหน้างุด “คือผม...”

ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะยังไม่ได้ตัดสินใจ คริสจึงพูดออกมาอีก

“อย่างที่ฉันบอก โอเมก้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องดี แล้วนายก็จะมาเกาะติดกับพวกฉันอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อเจมีไม่ตัดสินใจ ฉันก็คงจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอง” พูดแล้วก็เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “ไปจากที่นี่ซะลูก้า ถ้านายยังไม่อยากตายเพราะฉันถ้านายเหลือกันอยู่แค่สองคนกับเจมี”

ออกปากไล่เป็นที่เรียบร้อย ตามด้วยขู่อีเล็กน้อย ลูก้านิ่งงัน รู้ว่าคริสทำจริงแน่ อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้คู่ครองของตัวเองถูกฆ่าหรอก ใช้เวลาคิดไปพอสมควรทีเดียวขณะที่เจเรมีพอได้ยินเสียงนั้นแล้วก็ถลาเข้ามากระชากคอเสื้อคริสเต็มแรง
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าแส่ ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”

อีกนิดเดียวก็จะเอาชะแลงฟาดหน้าคริสได้อยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้คริสไม่ยอมให้เจเรมีเอาแต่ใจตัวเองได้อีก จับมือที่กระชากคอเสื้อเขาอยู่ออก พลันพลิกให้มันไปไขว้หลังคู่แห่งโชคชะตาแล้วดันเจเรมีเข้าหากำแพง ความเจ็บปวดที่ปะทะเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงโอดโอยออกมา มือที่ถือชะแลงเหล็กอยู่คลายออกทันที คริสเตะอาวุธนั่นไปไกลๆ ก่อนจะเบาแรงลงเล็กน้อยด้วยไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายอีกฝ่าย แค่อยากให้เจเรมีสงบสติลงเท่านั้น กระนั้นก็ไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังพ่นคำพูดร้ายกาจออกมา

“เรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ หรือจะต้องขึ้นเตียงอีกรอบ”
“อะ...ไอ้ทุเรศ!” เจเรมีแผดเสียง รู้สึกว่าตัวเองพลาดมากทีเดียวที่ยอมให้คริสอย่างนั้น ขณะที่คริสแสร้งไม่สนใจ พูดแต่สิ่งที่ตัวเองอยากพูด

“ที่นี่ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคนหรอกนะ” จากนั้นถึงได้ปล่อยเจเรมีให้เป็นอิสระ

เจเรมีโอดโอยอีกเล็กน้อยด้วยปวดกล้ามเนื้อที่ต้นแขน ทว่าก็ไม่ยอมลงให้คริสง่ายๆ
“อย่าคิดว่าฉันถ่างขาให้นายเอาไอ้จ้อนใส่เข้ามาแล้ว นายจะควบคุมฉันได้”

คิดเลยเถิดไปไกลเลย คริสไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักนิด แต่เขาไม่เสียเวลาอธิบายหรอก ใจร้อนขนาดนี้ พูดอะไรไปก็เสียเวลา

“ถ้าจะคิดอย่างนั้นก็แล้วแต่นายแล้วกัน”
คำพูดไม่ยี่หระนั่นทำให้เจเรมีแทบจะพุ่งไปคว้าชะแลงมาฟาดหน้าคนตรงหน้าให้ยุบ ดีที่ยังไม่ได้ทำ ลูก้าก็เปล่งเสียงออกมาก่อน
“ผมว่าผมไปดีกว่าครับ” ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้ว

ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองทันที
“พูดบ้าอะไรของนาย” เป็นเจเรมีที่ร้องถาม

ลูก้าก้มหน้า ว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุให้คุณสองคนทะเลาะกันอย่างนี้ อีกอย่าง ที่คุณฟ็อกซ์พูดก็ถูก ที่นี่ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน...”

ราวกับรู้อยู่แก่ใจว่าเกาะเจเรมีไปก็เปล่าประโยชน์ เขามีชีวิตรอดตอนนี้ก็จริง แต่ถ้าเหลือเขากับเจเรมีแค่สองคนเมื่อไหร่ ไม่ถูกเจเรมีฆ่า เขาก็ต้องฆ่าเจเรมีถ้าอยากจะรอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย

การจากไปในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องดีกว่า...อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องตายเพราะน้ำมือคนที่เขาชื่นชมหรือถูกคู่ครองของเจเรมีกำจัด
จะมีก็แต่เจเรมีที่ไม่เห็นด้วย เด็กนั่นจะไปเอาชีวิตรอดจากพวกอัลฟ่าหื่นกระหายได้อย่างไร!?

“ฉันอนุญาตนายแล้วหรือไงลูก้า!” แผดเสียงใส่ลูก้าเป็นที่เรียบร้อย แสดงความเอาแต่ใจออกมาเต็มที่

ลูก้าก็กลัวอยู่หรอก แต่เขากลัวคริสที่จ้องเขาเขม็งอยู่ตอนนี้มากกว่า จึงตัดสินใจออกปากอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือผมครับคุณเมอร์ซี” ตามด้วยรอยยิ้มบางๆ

แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่ว่าอย่างไร ลูก้าก็จะไป พลันร่างบางของเด็กหนุ่มก็เดินไปหยิบสัมภาระที่พอจะประทังชีวิตตัวเองใส่กระเป๋าเป้ที่เจอในห้องใดห้องหนึ่งของอาคารเงียบๆ ปล่อยให้เจเรมีกัดฟันกรอดที่อะไรก็ไม่เป็นไปดั่งใจ

“นายนี่มัน...” ครางออกมาเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงดัง “ช่างหัวพวกนายเถอะ ฉันไม่สนแล้ว!”

จากนั้นก็เดินหนีเข้าไปในห้องหนึ่ง ปิดประตูกระแทกเต็มแรง ปล่อยให้คริสกับลูก้ามองตามเงียบๆ

คริสรอกระทั่งลูก้าเก็บกระเป๋าเสร็จ อาสาเดินลงมาส่งที่ด้านล่างของอาคาร ก่อนจะจากกันก็ทิ้งคำพูดไว้เล็กน้อย
“ขอให้โชคดี”
ลูก้าพยักหน้ารับ เขาก็หวังจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
“ดูแลคุณเมอร์ซีดีๆ นะครับ”

บทสนทนาจบลงด้วยการที่คริสพยักหน้า เด็กหนุ่มเดินออกไปจากอาคารด้วยความไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะอยู่รอดถึงวันพรุ่งนี้

อาจจะอยู่รอดได้เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมง... แต่นั่นก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับคนขี้ขลาดอย่างเขา
------------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ เดี๋ยวเย็นๆ จะเอาตัวอย่างตอนหน้ามาแปะให้ (หรืออาจจะแปะตอนเต็มสักครึ่งตอน ขอดูก่อนนะ)
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยจ้า XD

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นอกจากคริสจะใจดีแล้ว เจมียังทำแขนหายทุกครั้งที่คลุกวงใน

ถ้าเป็นฉัน เจอคริสมาจู่โจมแบบนี้ แม่จะข่วนให้หน้าเป็นริ้วเลย
เจมีดูเด็กน้อยทุกครั้งที่เผชิญกับคริส ในทุกรูปแบบด้วย (ยกเว้นตอนจะเอาชะแลงฟาดหัวกันอ่ะนะ)

สงสารลูก้า ไอ้เกมบัดซบนี่มีแต่เดร็กคนชั่วที่คิดได้

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จริงๆ ที่คริสพูดก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน การจะเอาตัวลอดในเกมมันต้องพยายามรักษาชีวิตตัวเอง ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ตัวหรือเปล่า เพราะการมีน้ำใจแต่กอดคอกันตายไปพร้อมกัน มันก็คงไม่ใช่ แต่ในแง่ของจิตใจคนอ่าน ย่อมสงสารลูก้า +เป็ด

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
โอ๊ย สงสารลูก้า จะเป็นยังไงน้อออ
ใครก้อได้ ฆ่าเดร็กที
เกลี่ยดมัน

ออฟไลน์ pinkypromise

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มันก็พูดยากจริงๆ ที่ให้ไปก็เพราะไม่อยากให้ถึงวันที่ต้องตัดสินใจฆ่าเอง

ไม่โทษใคร ต้องโทษที่เกมนี่แหละ

ลูก้านางก็น่าสงสารจริงๆ แต่ไม่ใช่ตอนหลังจับคู่อัลฟ่าได้

แล้วต้องกลับมาสู้กะเจมีนะเฮ่ยย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารลูก้า

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
ลูก้าน่าสงสารนะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 17: แรงจูงใจในการฆ่า[1]

ลูก้าจากไปแล้ว... เหมือนทุกอย่างจะดำเนินต่อไปด้วยดีแต่ก็ไม่เมื่อเจเรมีเอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตึงใส่คริส จนอีกฝ่ายไม่สามารถหาจังหวะในการปรึกษาหารือเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดในสมรภูมิแห่งนี้ มันนานจนข้ามวันเลยทีเดียว หากเป็นเวลาปกติ... หมายถึงก่อนที่เขาจะได้ผูกพันธะกับเจเรมี เขาคงจะเก็บปากเงียบและปล่อยให้เจเรมีปั้นปึ่งใส่โดยไม่คิดอะไรมาก หากแต่ในตอนนี้มันไม่ใช่ ในเมื่อสถานะของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว คริสก็ไม่อาจดูดายหรือทนกับการเฉยเมยได้แม้แต่น้อย ถึงเขาจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาผ่านสีหน้าและแววตา ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มเสียจนอดไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเมื่อเห็นว่าเจเรมีไม่ยอมพูดคุยกับเขาเสียที

อย่าว่าแต่พูดคุยเลย เข้าหน้ายังแทบไม่ติด การเป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยครั้งนี้ถือว่าเสี่ยงต่อการหัวแบะเพราะถูกชะแลงของอีกฝ่ายฟาดอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“เจมี เรามีเรื่องต้องคุยกัน” บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงมื้อเย็นขณะที่คริสเอาอาหารกระป๋องที่พอมีอยู่ในห้องครัวมาให้เจเรมีถึงในห้องพักผู้คุม

ทั้งคู่ยังคงอยู่ในอาคารหลังนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีแผนย้ายไปที่อื่น แต่ในเวลาที่ยังไม่ลงรอยกันอย่างนี้ มันไม่เหมาะที่จะทำการใดๆ ทั้งนั้น

คนถูกเรียกที่นั่งอยู่บนเตียงหันไปมองหน้าคนมาใหม่ตาขวาง หากแต่คริสยื่นอาหารกระป๋องให้ก็รับไปแต่โดยดีและนั่งกินเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

คริสเดินไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ หันไปมองหน้าในขณะที่เจเรมีก็สบตาเหมือนกัน เจเรมีก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดีจนคริสต้องเป็นฝ่ายเริ่ม
“ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้เจเรมีวางกระป๋องในมือลงบนฟูกเตียง เอียงคอถามด้วยท่าทางหาเรื่อง
“แล้วนายมีปัญหาอะไร”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่อึดอัด” ว่าไปตามตรงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

เจเรมีก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่าถึงคริสจะไม่แสดงสีหน้าออกมา แต่แววตาก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ชอบสถานการณ์นี้สักเท่าไหร่นัก

แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะคริส เขาก็คงไม่อารมณ์เสียอยู่อย่างนี้หรอก!

“แล้วทำไม” ถึงอย่างนั้นก็ถามกลับ
“ฉันแค่ไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้” คริสก็ยังตอบไปตามตรงอีก “รู้ใช่ไหมว่าฉันไล่ลูก้าไปเพราะไม่อยากให้เรื่องบัดซบพรรค์นั้นมันเกิดขึ้น”
“เรื่องอะไร”
“ฆ่าลูก้า... นายคงไม่อยากทำมันหรอกใช่ไหม? รู้ใช่ไหมว่ามันเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นกฎของเกม”

พอคริสพูดมาอย่างนี้ เจเรมีก็นิ่งไปนิดก่อนพยักหน้า ว่ากันตามตรง ตอนนี้เจเรมีก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรคริสสักเท่าไหร่แล้ว ความจริงเริ่มผ่อนความโกรธลงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วยหลังจากสงบสติอารมณ์ได้และมาคิดทบทวนดีๆ ว่าสิ่งที่คริสทำมันก็ถูกต้อง และเขาเข้าใจเหตุผลของคนตรงหน้าดีว่าทำอย่างนั้นไปเพราะอะไร

ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องเขา... เขารู้...เข้าใจ...

แต่ก็อดเห็นใจลูก้าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยไม่ได้

“หยุดพูดเรื่องนี้ได้ละ ฉันเข้าใจแล้ว” สุดท้ายก็ปฏิเสธที่จะพูดถึงเพราะไม่อยากจะหงุดหงิดอีกระลอก
ทว่าคริสไม่ยอมหยุด... จะหยุดได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายยังโกรธเขาอยู่เลยนี่
“ถ้านายยังทำหน้าอย่างนี้อยู่ ฉันก็จะพูด”
“ทำหน้ายังไง”
“ทำอย่างที่ทำอยู่”

เจเรมีถึงกับย่นคิ้วจนแทบผูกกันเป็นปมด้วยไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะถูกปลายนิ้วชี้ของอัลฟ่าหนุ่มจิ้มลงมาที่ระหว่างคิ้วอย่างถือวิสาสะ

“ทำแบบนี้ไง” จากนั้นก็ดันรอยยับย่นที่หัวคิ้วให้เหยียดออกจากกันเบาๆ “เลิกขมวดคิ้วใส่ฉันตลอดเวลาได้แล้ว”
“อะไรของนายวะ” เจเรมีสะบัดหน้าหนี ไม่ชอบสักเท่าไหร่ที่ถูกทำแบบนี้แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคริสว่าขึ้นมาอีก
“มันคงยากถ้าฉันจะขอให้นายยิ้ม งั้นฉันขอแค่หายโกรธสักทีจะได้ไหม เรื่องของลูก้าน่ะ ฉันทำไปก็เพื่อนายทั้งนั้น”

ได้ฟังคริสพูดอย่างนี้อีกครั้ง เจเรมีก็แทบจะลืมไปแล้วว่ายังกรุ่นโกรธอยู่ เบือนหน้าหนีไปอีกทางพลันว่า
“ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไง”
“หมายถึงว่าไม่โกรธแล้ว?”

ถามตรงเกินไป เจเรมีก็ไม่ตอบ เหลือบมองตาขวางแทน ทว่าการไม่พูด มันทำให้คริสขยับตัวเข้าหา ยื่นหน้ามาเสียใกล้พลันกระซิบกระซาบ

“ตกลงไม่โกรธแล้วใช่ไหม”

หันมาก็เจอปลายจมูกโด่งๆ ของคนข้างกายเฉียดเข้ากับใบหน้า โอเมก้าหนุ่มร้อนวูบที่ซีกแก้มทั้งสองข้างทันควัน

หายโกรธแล้ว... ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่พอเห็นคริสเข้ามาใกล้ๆ อย่างนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาแปลกๆ หัวคิ้วเหยียดตรงเป็นปกติโดยไม่รู้ตัว คริสที่มองอยู่เผยอยิ้มเล็กน้อย ยกมือมาแตะที่ข้างแก้มข้างหนึ่งของคู่แห่งโชคชะตาแผ่วเบา

“ทำหน้าแบบนี้ดูหล่อกว่าตั้งเยอะ” แล้วก็ตีเบาๆ สองสามทีอย่างเอ็นดู
เจเรมีไม่ได้หันหนี เขาชอบสัมผัสนี้ มันทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย และคริสก็ทำให้ผ่อนคลายมากกว่าเดิมด้วยการเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ประทับจูบแผ่วเบาลงบนริมฝีปากหนา

“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนาย ดังนั้นต้องขอนายให้ความร่วมมือด้วย อย่าเล่นนอกกฎ มันไม่ส่งผลดี” ผละออกมาได้ก็บอกเสียงเรียบ

เจเรมีนั่งนิ่ง ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“มีอะไรอยากพูดไหม” คริสเอ่ยเมื่อเห็นว่าคู่ครองมีท่าทีอึดอัด
“มันจำเป็นต้องทำตามคำสั่งไอ้เวรนั่นหรือไง” หมายถึงเดร็กที่วางกฎเกณฑ์ทั้งหมดเอาไว้
“ก็ไม่จำเป็นหรอก แต่ถ้าอยากรอดก็ต้องทำ” คริสให้คำตอบ

คนฟังนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนที่จะหยุดคิดเรื่องที่ตีกันวุ่นวายอยู่ในหัวทันทีที่มือใหญ่วางแหมะลงมากลางกระหม่อมพร้อมออกแรงยีเส้นผมเบาๆ

“ทำตามที่ฉันบอก เราจะได้รอดไปจากที่นี่ด้วยกัน”
ไม่มีอาการดื้อรั้นจากเจเรมีแต่อย่างใด หากแต่ก็ไม่ได้มีการตอบรับ มีเพียงสายตาที่จับจ้องดวงตาของคริสที่มองมาเท่านั้น

มันถึงเวลาที่เขาต้องยอมรับกฎเกณฑ์ทั้งหมดแล้วทำตามกติกาที่ถูกวางไว้แล้วหรือเปล่านะ?



 
ถึงจะขัดใจแต่เจเรมีก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะขัดคอคริสแต่อย่างใด หลังจากปรับความเข้าใจกันได้ คริสก็วางแผนให้เปลี่ยนสถานที่ในการหลบซ่อนตัว...

ได้ยินไม่ผิด...หลบซ่อนตัว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะซ่อนตัวกับเจเรมีจนกว่าจะเหลือแค่อัลฟ่าและโอเมก้าคู่สุดท้าย เพราะการที่ต้องไปสู้รบปรบมือกับคนอื่นๆ ที่กระหายอิสระและต้องการเอาตัวรอดในเวลานี้ มันก็เหมือนกับโยนตัวเองเข้ากองไฟซึ่งไม่มีโอกาสรู้เลยว่าจะรอดออกมาจากกองเพลิงที่เผาไหม้นั่นอีกหรือไม่ สู้ให้พวกนั้นจัดการกันเองก่อนในขณะที่พวกเขารอเวลาอย่างใจเย็น จากนั้นค่อยจัดการจะเป็นการดีกว่า

นับว่าเป็นวิธีที่ฉลาด เจเรมีเห็นด้วย แต่จะไม่เห็นด้วยก็แค่เขาต้องปล่อยให้ลูก้าเป็นไปตามชะตากรรม หากโชคดี เด็กนั่นก็อาจจะถูกฆ่าก่อนที่จะเหลือโอเมก้าคนสุดท้าย ถ้าโชคร้ายหน่อยก็อาจจะต้องเจอกันอีกครั้ง เมื่อนั้นเขาคงต้องอาศัยคริสในการจัดการเรื่องทั้งหมดเพราะเขาคงไม่ลงมือทำร้ายลูก้าเองแน่ๆ

ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เขาสงสารโอเมก้าคนนั้นเกินกว่าจะทำร้ายได้

แค่นี้ลูก้าก็โดนทำร้ายมาตลอดชีวิตแล้ว...

วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงประกาศว่าเหลือผู้เข้าแข่งขันในเกมอีกกี่คน เจเรมีก็พอจะเบาใจได้ว่าลูก้ายังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะตกลงกับคริสเพื่อตั้งเป้าหมายสำหรับที่พักพิงในคืนนี้ บนเกาะแห่งนี้มีอาคารปฏิบัติการต่างๆ มากเสียจนไม่น่าเชื่อ และมันก็เป็นสถานที่ชั้นดีในการหลบซ่อนตัวรวมถึงหาเสบียงอาหาร แม้ว่าพวกเจ้าหน้าที่จะเอาเสบียงอาหาร อุปกรณ์ในการดำรงชีวิตที่จำเป็นและอาวุธใหม่ๆ ไปวางกระจายไว้ทั่วเกาะ แต่อาคารพวกนั้นก็ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักพิงมากกว่าเป็นไหนๆ ดังนั้นคริสจึงตัดสินใจที่จะไปหาที่พักในอาคารหลังอื่นอีกสักคืน ก่อนที่จะเปลี่ยนสถานที่พักพิงอื่นที่ไม่ใช่อาคารในภายหลัง

ทั้งคู่เลี่ยงที่จะไม่ออกเดินทางในเวลากลางวัน มันเสี่ยงต่อการเจอตัวได้ง่าย ถึงตอนกลางคืนจะอันตรายกว่า แต่คริสมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เขาหรอกที่คิดว่าไม่ควรออกมาเพ่นพ่านในยามวิกาล ดังนั้นการใช้โอกาสนี้ในการเคลื่อนไหวมันง่ายกว่าตอนกลางวันหลายเท่าตัวนัก

ทว่ามันจะไม่ง่ายก็ตอนที่ระหว่างเดินเท้าไปตามเส้นทางในที่มีต้นไม้รกชัฏ หูทั้งสองข้างของชายหนุ่มทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากทิศทางไหนสักทางจากไกลๆ มันชัดเจนมากเสียจนทำให้ทั้งคู่ต้องชะงักฝีเท้า หยุดเพื่อตั้งหลักระวังภัยภายในเสี้ยววินาที

เสียงนั้นคงดังอย่างต่อเนื่อง... พอจับใจความได้ว่าเป็นการร้องขอชีวิต ขอให้อย่าทำร้าย และอีกสารพัดคำขอ รวมถึงการเปล่งเสียงบอกให้ ‘อย่า’ และ ‘หยุด’ นับไม่ถ้วน

จิตใต้สำนึกของคริสบอกทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นต้องเป็นโอเมก้า และตอนนี้ก็คงจะถูกอัลฟ่าสักคนจัดการอยู่ แต่มันไม่ใช่เรื่องของเขา หันไปกระซิบบอกกับเจเรมีที่ยืนอยู่เยื้องไปทางด้านหลังเสียงเบา

“เดินต่อ”
ต้องไปยังที่หมายให้เร็วที่สุด เสียงนั้นดังมาจากที่ไหนสักที่ซึ่งไม่ไกลนัก หากอัลฟ่าที่อยู่ในละแวกนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว มันจะลำบากพวกเขาถ้าหากถูกเจอตัว

เจเรมีเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ตรงนี้นานนักหรอก ได้ยินเสียงอย่างนี้ เขาก็รู้สึกแย่สุดกู่ เกลียดชังพวกอัลฟ่าที่กระทำต่อโอเมก้าคนนั้นขึ้นมาจับใจ แต่ไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล เขาก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเสียงร้องนั้นไม่ใช่การขอร้องให้อีกฝ่ายหยุด หากแต่เป็นการร้องเรียกชื่อเขา

ใช่... ชื่อเขา เสียงร้องเรียกว่า ‘คุณเมอร์ซี’ และตามมาด้วยขอความช่วยเหลือที่ฟังเกือบไม่ได้ศัพท์มันทำให้เขานึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างบางขึ้นมาทันที

“ลูก้า...” เจเรมีครางออกมาฉับพลัน
คริสรีบหันไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้อย่างรู้ทันว่าเจเรมีคิดจะทำอะไร พลันพูดดักคอ
“อย่าไปยุ่งเชียวนะเจมี”

เจเรมีฟัง พยายามจะตั้งสติ ทว่าเสียงร้องเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว กระชากข้อมือตัวเองออกจากคริสแล้วออกวิ่งไปตามเสียงนั้นอย่างไม่รู้ทิศทาง ปล่อยให้คริสสบถอออกมา ก่อนจะวิ่งตามไป



 
ใช้เวลาครู่ใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะจับทิศทางของเสียงได้ เพราะหลังจากที่เสียงของโอเมก้าซึ่งเขาคาดเดาว่าต้องเป็นลูก้าร้องเรียกชื่อเขาดังขึ้น จากนั้นมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาก็อยากจะตะโกนเรียกอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเท่าไหร่นักถ้าหากทำให้อัลฟ่าคนนั้นรู้ตำแหน่งของเขา

แต่อย่างที่บอกว่าจับทิศทางของเสียงได้ เจเรมีจึงวิ่งไปตามทางนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า กระทั่งฝ่าดงไม้สูงชะลูดเข้าไป เขาถึงได้ยินเสียงดังสวบสาบอยู่ไม่ไกลตัวเท่าไหร่นัก สองขาชะลอความเร็ว ค่อยๆ ก้าวพร้อมกับกระชับชะแลงในมืออย่างระมัดระวัง กะว่าถ้าเป็นอัลฟ่าล่ะก็ เขาจะฟาดให้เรียบ หากแต่ความตั้งใจนั้นก็ถูกกระชากเก็บไปเมื่อสายตาเขาปะทะเข้ากับร่างคุ้นตา

ร่างของลูก้า...

ลูก้าในสภาพถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้าเสียจนเกือบจะเปลือยเปล่าสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลังจากที่วิ่งหนีเต็มฝีเท้า พอตั้งสติได้ว่าคนที่เขาวิ่งมาเจอคือใคร ปากที่มีรอยแผลและคราบเลือดก็ขยับเล็กน้อย
“คะ...คุณเมอร์ซี...”

เจเรมีแทบไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย มัวแต่มองคนตรงหน้าในสภาพไม่สู้ดีอย่างไม่เชื่อสายตา

ร่องรอยฟกช้ำบนลำตัว เสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดและคราบน้ำตาทั่วใบหน้าทำให้เจเรมีสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มือและขาชาวาบจนแทบจะไม่รู้สึกขณะมองลูก้าที่พยายามเดินเข้ามาใกล้

ลูก้า... นายไปเจออะไรมา!?

ในหัวมีคำถามนี้ผุดพรายขึ้นมาทันที ก่อนเจเรมีจะพุ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มและคว้ามากอดแน่น

ทันทีที่อ้อมกอดแกร่งโอบรัดร่างกาย น้ำตามากมายก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยอีกระลอกใหญ่ ลูก้าไม่เคยรู้สึกปลอดภัยอะไรเท่านี้อีกแล้ว ในขณะที่เจเรมียังคงอึ้งงันกับสิ่งที่เห็น ไม่เว้นแม้แต่คริสที่วิ่งตามมาแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้าบ้าง
ชะงักมากกว่านั้นเมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นกายของลูก้าเปลี่ยนไปเพราะมีการเปลี่ยนคู่นอน

เสียงกรีดร้องที่ได้ยินก่อนหน้า... งั้นก็แสดงว่า...

หัวคิ้วของคริสขมวดเข้าหากันทันที เขาไม่อยากจะคิดต่อเลย

มันเกิดขึ้นไปแล้ว...

ลูก้าถูกอัลฟ่าคนไหนสักคนครอบครองไปเรียบร้อยแล้ว...

จะเรียกว่าครอบครองก็ไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่อยากใช้คำว่าขืนใจเพราะมันฟังดูจะกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป ถึงมันจะไม่ใช่ครั้งแรกของลูก้า ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองว่าเป็นเรื่องปกติหรือกล่าวโทษลูก้าว่าทำไมไม่หาวิธีเอาตัวรอด

เขาหาทางแล้ว แต่สู้อัลฟ่าคนนั้นไม่ได้... ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มันจะโทษว่าเป็นความผิดของเด็กหนุ่มได้อย่างไร เขาเกิดมาอ่อนแอ และธรรมชาติก็ไม่ได้ใจดีมากพอที่จะให้ผู้ที่อ่อนแออยู่รอดในสังคมอันโหดร้าย

ธรรมชาติจะคัดสรรผู้ที่แข็งแกร่งกว่าให้อยู่รอดเท่านั้น...

และดูจากสถานการณ์ตรงหน้า ท่าทางลูก้าน่าจะเพิ่งหนีเตลิดมา อีกไม่นานอัลฟ่าคนนั้นจะต้องมาตามตัวแน่
เจเรมีก็คิดเช่นเดียวกัน หากแต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าลูก้าจะถูกกระทำอย่างนั้นมา

...ไม่ใช่ไม่มั่นใจหรอก เขาไม่อยากจะยอมรับความจริงต่างหาก ก่อนหันไปหาคริส

“บอกฉันว่าไอ้เลวนั่นมันทำไปแล้ว”
‘ไอ้เลว’ คนนั้นหมายถึงอัลฟ่าที่ทำกับลูก้า ส่วนที่ถามคริสก็เพื่อต้องการความแน่ใจว่ากลิ่นของอัลฟ่านั่นอยู่ในกายของลูก้าจริงๆ
หากแต่คริสไม่ตอบ ยืนมองด้วยสีหน้านิ่งเรียบ มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ย่นลงมา ทำให้เจเรมีต้องแผดเสียงลั่น

“บอกฉันมาคริส! พูดมา!”

คริสถอนหายใจ พยักหน้ารับจนได้ เท่านั้นร่างกายของเจเรมีก็สั่นเทิ้ม เขาไม่เคยโกรธอะไรใครขนาดนี้มาก่อนถ้าไม่นับตอนที่ทะเลาะกับธีโอ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ความโกรธอย่างเดียว เขายังแค้นเสียจนแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่

มือข้างที่ถือชะแลงกำแน่นจนนิ้วซีดขาวและสั่นไปหมด ใบหน้าเกรี้ยวกราดจนดูน่ากลัว คริสเห็นแล้วก็สัมผัสได้ว่าเจเรมีต้องคิดอะไรที่ไม่ส่งผลดีกับตัวเขาอยู่แน่ ก่อนจะรีบตรงเข้าไปหา

“เจมี...” เอื้อมมือจะไปแตะ หากแต่เจเรมีก็ดึงลูก้าออกจากแผงอกแล้วดันให้ไปยืนอยู่ตรงคริส
“เดี๋ยวฉันกลับมา”

พูดอย่างนี้ก็รู้เลยว่าจะไปจัดการเอาเลือดหัวของอัลฟ่าคนนั้นออกมาละเลงเล่น คริสไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น คว้าแขนแกร่งไว้อย่างรวดเร็ว

“นายจะไปไม่ได้”
“อย่ามายุ่ง!” เจเรมีสะบัดตัวออก ทว่าก็ไม่หลุดจากการเกาะกุม คริสจับแขนเขาแน่นมากขึ้นไปอีก
“ไม่ยุ่งไม่ได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้นายทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด นายเป็นของฉัน อย่าลืม”

ฟังแล้วเจเรมีก็หัวเสียขึ้นมาจนแทบกลั้นไม่อยู่ ออกแรงสะบัดอีกครั้งจนคริสเซไปอีกทางแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยมือ
“ฉันจะไปนอนถ่างขาให้ใครก็ช่างหัวมันเถอะไอ้บัดซบ แต่ที่ลูก้าเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่เพราะนายหรือไง!”

ถูกตะคอกใส่หน้าจังๆ คริสก็หน้าม้านไปทันตา เขาก็อยากจะเถียงว่ามันเป็นสิ่งที่ลูก้าเลี่ยงไม่ได้ อย่างที่เขาบอก โอเมก้าสองคนไม่ควรอยู่ด้วยกัน หากแต่พอเห็นสายตาของเจเรมีที่โกรธจนน้ำตาคลอเบ้า เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย

ไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำให้ลูก้าต้องพบกับชะตากรรมแบบนั้น แต่รู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจของเจเรมีมากกว่า

กระนั้นก็ยังไม่ยอมให้เจเรมีได้ทำอะไรตามใจอยู่ดี เห็นคริสนิ่งไปก็ผลักอกคนตรงหน้าออกห่าง ตอนนี้หลุดจากการเกาะกุมแล้ว ก่อนจะเอาชะแลงในมือชี้ไปที่หน้าคริส

“อย่ามาแส่อีกเป็นครั้งที่สอง” ไม่ได้ตะคอก แต่พูดเสียงต่ำ ดูก็รู้เลยว่าเอาจริงแน่

พูดจบก็ถอยห่างจากคริส เดินตรงไปยังทางที่ลูก้าวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมา เป้าหมายคือหาอัลฟ่าคนนั้นแล้วจัดการกับมันอย่างสาสม
อาวุธที่ดูไม่มีประโยชน์อะไรมากในมือเขา... ต่อจากวินาทีนี้มันจะกลายเป็นทูตมรณะที่คร่าชีวิตของไอ้อัลฟ่านรกส่งมาเกิดนั่นอย่างแน่นอน!

ทว่าคริสไม่ยอมให้เจเรมีทำอย่างนั้นแน่ เห็นอีกฝ่ายก้าวพรวดๆ ก็รีบพุ่งไปคว้าตัวเอาไว้ เจเรมีขัดขืนแทบจะในทันที
“ปล่อยฉัน! ฉันจะไปฆ่ามัน!”
“นายจะทำแบบนั้นไม่ได้เจมี ตั้งสติหน่อย!”

กลายเป็นว่าพวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว เจเรมีไม่ได้อยากจะปะทะคารมหรือระเบิดอารมณ์ใส่คริสเท่าไหร่นักหรอก แต่เขายอมให้เรื่องมันดำเนินไปอย่างนี้ไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าสู้แรงของคริสไม่ได้ก็ยังจะสู้ ก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีอยู่ผลักคริสเสียจนกระเด็น
“จะต้องให้ฉันตั้งสติอะไรอีก!” หลุดมาได้ก็แผดเสียงใส่ “ฉันจะไปฆ่ามัน”
พูดมาอย่างนี้ คริสก็ไม่ยอม ถลาเข้าไปรั้งเจเรมีไว้อีกครั้ง
“อย่าทำอะไรนอกแผนนะเจมี!”

เจเรมีผละถอยห่างได้ก่อนที่จะถูกคริสคว้าตัวไว้ ทันทีที่ตั้งหลักได้ก็ส่งเสียงดังอีกครั้ง
“แล้วนายจะให้ฉันอยู่เฉยๆ รอดูว่าพวกมันทำเวรอะไรกับพวกโอเมก้าอย่างนั้นหรือไง!”
“แต่เราตกลงกันแล้ว...”
“เป็นโมฆะ” พูดด้วยสีหน้าขึงขัง ก่อนจะยกชะแลงเหล็กขึ้นมาพาดบ่า “จนกว่าฉันจะฆ่ามันได้ แผนการของนายจะยังไม่เริ่ม”
สิ้นเสียงก็หมุนตัวเดินไปอีกทาง คริสได้แต่หัวเสียที่เจเรมีไม่เคยเชื่อฟังเขาเลยสักครั้ง ถึงจะทำท่าทางเหมือนฟังแต่ในใจกลับขัดแย้งตลอด

ไม่เข้าใจเลยว่าเจเรมีจะดื้อรั้นไปถึงไหน ยังไม่สำนึกอีกหรือไงว่าการที่เขาเป็นคนแบบนี้มันนำความเดือดร้อนมาให้ มีมนุษยธรรม อยากช่วยเหลือคนอื่นมันก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอก แต่ต้องในใช่ในสถานการณ์ที่ตัวเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอย่างนี้!

จะมีครั้งนี้นี่แหละที่คริสไม่ยอมให้เจเรมีได้ทำตามใจตัวเอง เห็นเจเรมีก้าวไปแล้ว เขาก็รีบก้าวตามไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะหยุดเจเรมีให้ได้ ปากร้องเรียกคนตรงหน้าไปด้วย ไม่ได้สนใจคนที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหลังสักนิด หากแต่เรียกได้ไม่เท่าไหร่ ร่างกายเขาก็เกิดร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างประหลาด จมูกพลันได้กลิ่นหอมหวานแปลกๆ จนต้องยกมือขึ้นป้องจมูก พลันในหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่ากลิ่นนั้นมันคือกลิ่น...ฟีโรโมน!

ฟีโรโมนของใครกัน!?

ไม่ใช่ของเจเรมีอย่างแน่นอน ฝ่ายนั้นยังคงเดินดุ่มๆ ไปข้างหน้า ทำให้คริสหันไปมองทางด้านหลัง เท่านั้นก็เห็นว่าคนที่ยืนตัวสั่นเมื่อครู่ทรุดลงไปกับพื้นแล้ว ลักษณะท่าทางคล้ายกับคนที่กำลังทรมานจากอะไรสักอย่าง เท่านั้นก็รู้เลยว่าลูก้ากำลังเป็นฮีท
เรื่องใหญ่แล้ว!

ใหญ่อย่างแน่นอนเพราะนอกจากมันจะทำให้ลูก้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว มันยังทำให้คริสเกิดอาการกำหนัดอีกด้วย ถึงจะมีคู่ครองแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายเขาจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าโดยเฉพาะโอเมก้าในช่วงฤดูผสมพันธุ์
ค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นเพราะกลิ่นฟีโรโมนมันทวีความรุนแรงกะทันหันและเร็วเกินไป ถ้าโดนฉีดยากระตุ้น มันจะใช้เวลาในการมีอาการช้ากว่านี้พอสมควร แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่หัวสมองของเขาเริ่มมึนเบลอไปหมด ตาพร่าจนมองเห็นภาพซ้อน ก่อนที่เขาจะพยายามร้องเรียกคนตรงหน้าให้มาช่วยเหลือ

“จะ...เจมี...”
เสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แต่ก็หวังจะให้เจเรมีได้ยิน

เจเรมีไม่ได้ยินหรอก ทว่าเขาหยุดเดินเพราะเห็นว่าด้านหลังเขาไม่มีใครตามมาแล้วซึ่งมันผิดปกติ และไม่รู้อะไรดลใจถึงทำให้เขาเดินย้อนกลับไป พลันเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นว่าร่างใหญ่ของคริสทรุดลงกับพื้นต่อหน้าต่อหน้า

“คริส!” ปากร้องเรียกไปโดยอัตโนมัติ ขาก้าวพรวดๆ เข้าไปประคอง ในใจรู้สึกไม่ชอบมาพากลแปลกๆ กับอาการของคู่แห่งโชคชะตาที่เห็นตรงหน้า มันดูคล้ายกับ... “อย่าบอกนะว่านาย...”
“ลูก้าเป็นฮีท...” พูดยังไม่ทันจบ คริสก็ว่าออกมาแล้ว “รีบพาเด็กนั่นไปในอาคารเร็วเข้า” จากนั้นก็สั่ง

เจเรมีสบถคำผรุสวาทออกมานับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะผละจากคริสไปหาลูก้าที่นอนคุดคู้ด้วยท่าทางทรมานอย่างรวดเร็ว ช้อนร่างบางนั้นขึ้นมาด้วยสองแขนแกร่ง พลันรีบออกเดิน แต่ก็ไม่วายหันมามองคริสที่พยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบากด้วยความเป็นห่วง

เป็นห่วง... รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

นอกเหนือจากนี้ยังรู้สึกประหลาดขึ้นมาอีกด้วย

คริสมีอาการตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของลูก้า...

แค่คิด ในหน้าอกก็แน่นขึ้นมาฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เขาก็ต้องละความรู้สึกนั้นทิ้งไปก่อนเมื่อสังเกตได้ว่าเนื้อตัวของลูก้าในตอนนี้ร้อนรุ่มกว่าเดิมแล้ว

ต้องจัดการกับลูก้าก่อน หลังจากนั้นค่อยมาจัดการกับคริส...

เวรเอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!



 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 17: แรงจูงใจในการฆ่า[2]

กว่าหนึ่งกิโลเมตรทีเดียวที่เจเรมีต้องอุ้มลูก้าและวิ่งมายังอาคารซึ่งจะใช้เป็นสถานที่พักพิงใหม่ เขาไม่รอช้าที่จะหาห้องซึ่งมิดชิดที่สุดเพื่อนำตัวลูก้าไปไว้ในนั้น ก่อนจะจัดการปิดหน้าต่างและช่องระบายอากาศให้สนิท หันมาถอดเสื้อผ้าของลูก้าที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้นออกจนเหลือแต่สภาพเปลือยเปล่า

ไม่ได้คิดจะทำอะไรโอเมก้าที่กำลังมีอาการฮีทคนนั้น แต่เขาจะใช้เสื้อผ้านั่นมาอุดตามช่องประตูต่างหาก
“อยู่ในนี้จนกว่าจะหายดี ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าฉันจะสั่ง”

ไม่แน่ใจว่าลูก้าจะรู้เรื่องไหม สภาพของเขาในตอนนี้ดูไม่ค่อยจะมีสติสัมปชัญญะเท่าไหร่แล้ว กระนั้นก็ปรือตามองชายหนุ่มผมบลอนด์พลางพยักหน้ารับ

“คะ...ครับ”

ยังพูดคุยรู้เรื่อง... เจเรมีพอจะเบาใจได้ พลันถอยออกมานอกห้อง ปล่อยให้ลูก้าเผชิญหน้ากับความทรมานอยู่ตามลำพังในนั้น ปิดประตูได้ก็ใช้เสื้อผ้าของโอเมก้าคนนั้นมาปิดตามช่องประตู ก่อนหมุนตัวตั้งท่าจะไปช่วยใครอีกคน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นมาถึงที่นี่แล้ว

“เป็นไงบ้าง” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
คริสซึ่งบัดนี้มีใบหน้าแดงก่ำและเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วตอบเสียงเบา “ดีขึ้นแล้ว”

เจเรมีหรี่ตามองอย่างพินิจ ไม่แน่ใจนักว่าดีขึ้นอย่างที่ปากว่าหรือเปล่าเพราะมันไม่ใช่แค่ใบหน้าของคริสเท่านั้นที่แดงเรื่อ ใบหูและลำคอก็เช่นกัน บ่งบอกให้รู้ว่าเลือดสูบฉีดแค่ไหน ซึ่งมันทำให้เขาอึดอัดภายในใจขึ้นมาอีกครั้ง

ยังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของลูก้าสินะ...

ถึงจะพยายามกักเก็บกลิ่นฟีโรโมนของลูก้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลิ่นนั้นจะจางหายใจไปชั่ววินาที มันแค่เบาบางลงเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรคริสก็ยังได้กลิ่น ถึงจะเป็นกลิ่นอ่อนๆ หากแต่การที่คริสมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก เจเรมีก็ไม่ชอบใจอยู่ดี

เท่านั้นก็พุ่งเข้ามาคว้าแขนคริสอย่างรวดเร็วก่อนลากไปที่ห้องอื่นโดยไม่พูดอะไร คริสก็ไม่ถาม กระทั่งถูกพาตัวมายังห้องพักผู้คุมซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่ลูก้าอยู่พอสมควร ปล่อยให้คริสทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงได้ เจเรมีถึงได้ปริปากพูด

“แล้วตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง” ถามคล้ายกับว่าเป็นห่วง หากแต่น้ำเสียงเจือปนด้วยความหงุดหงิด
“ดีขึ้นแล้ว” คริสยังคงพูดประโยคเดิม คราวนี้ดูท่าทางน่าจะดีขึ้นจริงๆ เพราะเหมือนเขาจะพอควบคุมร่างกายตัวเองได้ กระนั้นรอยแดงๆ บนใบหน้าก็ยังไม่จางหายไป

มันช่วยไม่ได้ ถึงตอนนี้จะอยู่ไกลแต่กลิ่นฟีโรโมนของลูก้าก็ยังติดจมูกอยู่ ตอนนั้นมันดันได้กลิ่นจังๆ เลยนี่นา จะให้หายไปภายในเวลาไม่นานมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ฟังแล้วแทนที่เจเรมีจะเชื่อ เขาดันหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“นายนี่มันติดสัดได้ตลอดเวลาจริงๆ นะ!” สบถออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งที่คริสก็บอกแล้วว่าเขาอาการดีขึ้น แต่ท่าทางที่แสดงออกมามันคงทำให้เชื่อไม่ลงล่ะสินะ
“ฉันถึงได้บอกไงว่าโอเมก้าสองคนไม่ควรอยู่ด้วยกัน” ได้ทีคริสก็ย้ำเจตจำนงเดิม

เจเรมีหงุดหงิดหนักกว่าเดิมเสียอีก

ที่ไม่ให้อยู่ด้วยกัน นอกจากเรื่องจะฆ่ากันเองแล้ว มันคงหมายถึงเรื่องนี้ด้วยสินะ!

แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของคริส เป็นความผิดของเขาเองที่ดื้อรั้น ตอนนี้เข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่าเพราะอะไรคริสถึงพยายามจะไล่ลูก้าไป

เพราะเขากลัวว่านอกจากลูก้าจะทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากแล้ว ตัวเขาเองนี่แหละที่จะทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วยถ้าหากเผลอหน้ามืดหลงมัวเมาไปกับกลิ่นของโอเมก้าอื่นน่ะสิ

ไม่แปลกใจว่าทำไมที่ผ่านมาโอเมก้าถึงถูกมองในแง่ไม่ดีนักในสายตาของอัลฟ่า และเหตุใดโอเมก้าถึงต้องฉีดยาระงับอาการฮีททุกๆ เดือนราวกับสัตว์เลี้ยงที่ต้องฉีดยาคุมเพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์

มันทำให้อัลฟ่าไม่สามารถควบคุมความต้องการตามสัญชาตญาณของตัวเองได้นั่นเอง...

สัญชาตญาณดิบของมนุษย์เป็นเรื่องที่น่ากลัวในความคิดของเจเรมีขึ้นมาฉับพลัน ยิ่งเหลือบไปมองบริเวณกลางลำตัวของคริสที่เป็นเนินนูนด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

ร่างกายร้อนวูบ ในอกคับแน่นเสียจนแทบจะระเบิดออกมา การที่คริสมีปฏิกิริยากับโอเมก้าอื่นมันทำให้เจเรมีอยู่ไม่สุขเลย แต่ก็ยังเก็บอารมณ์ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พลันยกมือขึ้นลูบใบหน้า

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไป” ถามหาความเห็นเสียอย่างนั้น บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เจเรมีเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว
เขาสงสารลูก้าที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ชอบใจเช่นเดียวกันที่คริสไปมีอารมณ์เพราะกลิ่นฟีโรโมนของคนอื่นอย่างนั้น
หวง...ใช่แล้ว เขากำลังหวงคริส เป็นอาการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยแท้ๆ

คริสเหลือบมองชายหนุ่มข้างๆ ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดครู่หนึ่งก่อนส่งเสียงแห้งผากออกมา
“นายต้องอย่าไปยุ่งกับลูก้าอีก ทุกอย่างต้องปล่อยไปตามกฎของเกม”

ยิ่งฟัง เจเรมีก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะโมโหใครดีแล้วระหว่างเดร็กที่ลากพวกเขาให้เข้ามาร่วมเกมนี้ โกรธลูก้าที่เป็นฮีทและอ่อนแอจนเขาสงสาร หรือจะหงุดหงิดคริสดีที่ร่างกายไปตอบสนองต่อกลิ่นของคนอื่น

ความสับสนประดังประเดเข้ามา ปากครางถามอย่างเหนื่อยอ่อน

“เราจะเล่นนอกเกมไม่ได้เลยเหรอ” สิ้นประโยคแรกก็หันไปมองหน้าคริส “จำเป็นต้องเชื่อฟังไอ้เดนนรกนั่นขนาดนั้นเลยหรือไง”
คริสมองนิ่งๆ ไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่ใช่เรื่องดี

“นายจะแหกกฎใช่ไหม”
เจเรมีพยักหน้ารับช้าๆ ทำเอาคริสถึงกับถอนหายใจออกมา
“เจมี ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า...”
“จะร่วมมือกับฉันไหม”
พูดยังไม่ทันจบเลย เจเรมีก็เอื้อมมือมาวางบนเป้ากางเกงของอีกฝ่ายเสียก่อน ทำเอาคริสถึงกับชะงัก แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายชะโงกหน้ามาเสียใกล้

...ใกล้จนปลายจมูกแทบจะสัมผัสกัน  กระตุ้นให้อารมณ์กำหนัดของเขาที่ทุเลาลงไปแล้วพุ่งพล่านขึ้นมาอีกระลอก

แล้วก็ต้องแทบจะเสียสติเมื่ออีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมาบนเรียวปากเขาอย่างอ้อยอิ่ง มิหนำซ้ำ มืออีกข้างของเจเรมีก็ลูบไล้ต้นคอของเขา สัมผัสหยาบกร้านกระตุ้นอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และแทบจะสติกระเจิงเลยทีเดียวเมื่อเจเรมีกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู
“ว่าไงคริส จะร่วมมือกับฉันไหม”

คริสอยากจะปฏิเสธ รู้ว่าถ้าตกปากรับคำไปมันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ แต่เพราะไม่พูด เขาจึงถูกเจเรมีดันให้ลงนอนราบบนเตียงก่อนที่อีกฝ่ายจะมาขึ้นคร่อม พลันถอดเสื้อของตัวเอง เผยให้เห็นแผงอกแกร่งและหน้าท้องเป็นลอนกล้าม

สีหน้าและสายตาของเจเรมีที่ทอดมองมาทางเขาดูเย้ายวนมากเลยทีเดียว ทว่านั่นยังไม่พอที่จะทำให้คริสยอมตกปากรับคำได้ เจเรมีจึงโน้มใบหน้าลงมาพรมจูบไปทั่วซีกแก้มและลำคอของอีกฝ่าย ฟันคมๆ ที่กัดลงไปบนผิวเนื้อไม่แรงนักทำให้คริสถึงกับสะดุ้ง บริเวณกลางลำตัวคับแน่นถึงขีดสุด แต่ไม่นานนักก็ถูกปลดปล่อยให้ออกมาสัมผัสอากาศผายนอกเมื่อเจเรมีจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนใต้ร่างอย่างชำนาญ

ร้ายกว่านั้น เจเรมียังเปลื้องพันธนาการบนร่างของตัวเองด้วย คริสมองร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายไม่วางตาพลันกลืนน้ำลายเอื้อก เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ส่วนกลางลำตัวของเขาแข็งขืนขนาดนี้เป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของลูก้าหรือเพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากันแน่

แต่ก็ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดทบทวนอะไรมากมายนักเมื่อมือหนากอบกุมมายังแก่นกายความเป็นชายและขยับรูดรั้งอย่างเป็นจังหวะทีละน้อย มือทั้งสองกำแน่น ปลายนิ้วเท้าเกร็งทันที ขณะที่เจเรมีค่อยๆ ร่นตัวลงต่ำ แตะริมฝีปากลงไปบนส่วนปลายอ่อนไหวนั่น กระซิบถามอีกครั้ง

“ฉันจะให้โอกาสนายตัดสินใจอีกครั้ง... จะร่วมมือกับฉันไหม”

ไม่...

อยากปฏิเสธไปอย่างนั้น แต่ความคิดนั่นก็มลายหายไปเมื่อถูกปลายลิ้นของอีกฝ่ายจรดลงมาบนยอด ความวาบหวามแล่นพล่านไปทั่วร่างทันที พริบตาเดียว ความหฤหรรษ์ก็เริ่มต้นขึ้นอีกเมื่อโพรงปากร้อนครอบครองความเป็นชายเข้ามา

คริสไม่อาจอยู่นิ่งได้เลย มือเอื้อมไปวุ่นวายกับร่างกายของเจเรมีทันที อีกฝ่ายไม่ขัดขืน ปล่อยให้คริสได้รุกล้ำตามใจ ไม่ว่าจะจับส่วนไหนก็ไม่ปัดป้องทั้งนั้น นั่นทำให้ความกำหนัดในกายของคริสเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก

มากจนทนไม่ไหว... เขาต้องทำในขั้นต่อไปแล้ว...

ดึงเจเรมีเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้รู้ว่าควรแก่เวลาถอนริมฝีปากจากส่วนอ่อนไหวของเขาได้แล้ว ก่อนจะขยับให้อีกฝ่ายมาทาบทับร่างกายเขา กะจะพลิกตัวแล้วจัดการเผด็จศึกเสียให้จบสิ้น ทว่าเจเรมีไม่ยอมให้ทำแบบนั้น ขืนตัวแล้วเหยียดตัวขึ้นนั่งตรงๆ

“บอกมาสิคริส นายจะร่วมมือกับฉันหรือเปล่า” ยังคงถามคำถามเดิมอยู่
ดูท่าทางไม่ว่าอย่างไรก็คงจะเอาคำตอบให้ได้...
“แต่ถ้าเล่นนอกเกม นายจะเป็นอันตราย...”
เจเรมีไม่ฟังเลย คริสยังพูดไม่ทันจะจบด้วยซ้ำก็ขยับสะโพกเล็กน้อย มือจับแก่นกายของอีกฝ่ายมาไว้ใต้ร่าง ท่าทางนั้นทำให้คริสถึงกับชะงัก กัดริมฝีปากทันควัน

“บอกมาว่าจะร่วมมือกับฉัน”
ไม่เพียงแต่จัดท่าทาง ในตอนนี้ยังค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแล้วด้วย ความคับแน่นที่เกิดจากร่างกายของคนตรงหน้าทำให้คริสหน้ามืด ความเสียวซ่านแผ่กำจายจนเขาชักจะไม่เป็นตัวของตัวเอง

เจเรมีกลายเป็นคนยั่วยวนเก่งอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

จากนั้นก็แสร้งทำเชื่องช้าเพื่อให้คริสทรมาน หยุดค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมหย่อนตัวลงมาเต็มที่ด้วย ทำเอาคริสถึงกับต้องเอื้อมมือไปจับสะโพกคนบนตัวไว้ กะจะควบคุมเอง ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายปัดมือออกอย่างแรง

“ให้ตายเถอะเจมี ขอล่ะ...” น้ำเสียงวิงวอนหลุดออกมาอย่างหมดท่า
ท่าทางนั้นมันเข้าทางโอเมก้าหนุ่มทันควัน ทำให้อีกฝ่ายเผยอยิ้ม ถามย้ำอีกครั้ง
“งั้นก็พูดสิว่าจะร่วมมือกับฉัน” จากนั้นก็หมุนสะโพกเล็กน้อยเป็นการกระตุ้นเร้า
คริสถึงกับต้องยกมือปิดหน้า

ให้ตาย... จะยั่วกันเกินไปแล้ว!

ยิ่งถูกเจเรมีใช้ร่างกายควบคุมเขามากยิ่งขึ้น แก่นกายถูกดึงรั้งเข้าไปในตัวของคนตรงหน้ามากเท่าไหร่ คริสก็ยิ่งไม่อาจใช้ตรรกะและเหตุผลได้ดีนัก แต่แล้วเจเรมีก็หยุดชะงักทันควันก่อนที่จะหย่อนตัวลงมาสุดทาง

“พูดสิคริส บอกว่าจะร่วมมือกับฉัน”
“นายจะให้ฉันทำอะไร”
เจเรมีขยับเอวเล็กน้อย ทำคริสต้องขบกรามแน่น ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง
“ฆ่าลูก้า”
จากนั้นก็ทิ้งลำตัวลงมาจนสุดทาง คริสถึงกับเสียสติ มือเอื้อมไปจับเนื้อหนั่นของอีกฝ่ายทันที

ทนไม่ไหวแล้ว!

ขยับฝ่ามือที่บังคับให้อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว ก่อนจะตอบเมื่อได้ยินเสียงกระเส่าของเจเรมีดังขึ้น
“พะ...พูดสิคริส...อา...”
“ฉันจะร่วมมือ” สุดท้ายก็พลั้งปากออกไปจนได้

รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโอเมก้าผมบลอนด์นั้นชั่วครู่ ก่อนมันจะกลายเป็นสีหน้ายั่วเย้าเมื่อความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วร่าง มองแล้วก็รู้สึกว่ามันช่างน่ามอง ขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกถึงความอันตรายไม่น้อย

ไม่รู้เลยว่าเจเรมีคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดอย่างนั้น การฆ่าลูก้าไม่ได้เป็นการเล่นนอกเกมเสียหน่อย แต่คริสจะมีเวลามาคิดอะไรได้อีกล่ะ ในตอนนี้สมองไม่สามารถใช้เหตุผลหรือตรรกะอะไรได้อีกแล้วแม้จะสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เจเรมีถึงคิดอยากจะฆ่าลูก้าขึ้นมาก็ตาม

หรืออาจจะเป็นเพราะเขามีปฏิกิริยาต่อฟีโรโมนของลูก้า?

พินิจแล้วก็น่าจะเป็นแรงจูงใจในการฆ่าได้เหมือนกัน หากแต่คริสไม่สามารถคิดอะไรต่อจากนี้ได้อีกนอกจากลูบไล้ไปตามร่างกายแกร่ง เพลิดเพลินไปกับความสุขสมที่เจเรมีปรนเปรอให้

เขาตกบ่วงความเจ้าเล่ห์ของจอมวายร้ายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

เจเรมี... เป็นโอเมก้าที่ร้ายกาจสมการล่ำลือจริงๆ
------------------------------------
ขอต้อนรับขุ่นคริสสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าอย่างเต็มตัวค่ะ 555
หลงน้องขนาดนี้ เป็นทาสในเรือนเบี้ยไปเรียบร้อย บอกแล้วว่าตอนนี้เจมีเผ็ชชช
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้หน่อย เดี๋ยวตอนเย็นๆ จะมาแปะตัวอย่างตอนต่อไปให้นะคะ ^^

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คริสเอ๋ย นายไม่ได้ใจดีกับเจมีหรอก
นายหลงเมีย! และนายจะกลัวเมียแน่นอน!  :m20:

เจมีฉลาดมากที่เอาสัญชาตญานมาเป็นเครื่องมือ

ตอนที่คริสบอกให้ซ่อน ฉันว่ามันเป็นแผนที่ดูเข้าที แต่ก็ออกจะไร้เดียงสาไปหน่อย ที่คิดว่า ไอ้เดร็กมันจะยอมให้เป็นเช่นนั้น

ลูก้าที่น่าสงสาร ฉันอยากให้นายรอด อยากให้ได้มีชีวิตที่มีความสุข

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 ฆ่าลูก้าแบบปลอมๆรึเปล่านะ :hao4:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
เจมี่....ร้าย ร้ายกาดแรง
แกสุดยอด
แกจัดการคริสแบบนี้เลยหรอ
ป๊าดดดดดดด กราบจ๊าาา เธอเริศ

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เจมี่ร้ายกาจมาก  :hao7:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พิษรักแรงหึงนี่มันรุนแรงจริงๆค่ะคุณขาาา  :z2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 18: กฎมีไว้ให้แหก[1]

กว่าแผนการจะเริ่มก็ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ไม่ใช่เพราะต้องใช้เวลาวางแผน แต่พวกเขาต้องรอเวลาให้ลูก้าหายจากอาการฮีทก่อนต่างหาก คริสไม่สามารถเข้าใกล้ลูก้าได้เลยแม้แต่น้อย เพียงได้กลิ่นฟีโรโมนเพียงนิดเดียว เขาก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที และสุดท้ายก็ต้องอาศัยเจเรมีเป็นที่ระบายความใคร่

ที่ระบายความใคร่... พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิดนัก เจเรมีแทบจะกลายเป็นโอเมก้าในซ่องของตลาดมืดแห่งมหานครเพิร์ลเลยทีเดียว ถึงจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่เจเรมีก็ตระหนักได้ในตอนนี้ว่าความเป็นโอเมก้าของเขามีประโยชน์เพียงใด และเขาก็รู้วิธีที่จะใช้มันแล้ว

ความยั่วยวนของโอเมก้า ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์แบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ควบคุมอัลฟ่าได้ทั้งสิ้น ซึ่งตอนนี้เขากำลังใช้ความยั่วยวนของตัวเองหลอกล่อใช้คริสเป็นเครื่องมืออยู่

กฎเกณฑ์ของเกมนรกนี่ เขาจะแหกมัน แต่ทำเพียงลำพังไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของคริส

ทุกอย่างดูง่ายขึ้นเมื่อเจเรมีทอดกายให้คริสได้กระทำตามใจอย่างไม่อิดออด กระทั่งถึงเวลาที่ลูก้าหายจากอาการฮีท ตอนนั้นถึงได้เวลาเริ่มแผน

แผนการของเจเรมีค่อนข้างซับซ้อน เขาไม่ให้คริสลงมือฆ่าลูก้าในอาคารนั้น หากแต่หลอกล่อพามายังประภาคารซึ่งอยู่ใกล้กับหน้าผาของเกาะโดยให้เหตุผลว่าบริเวณนี้ค่อนข้างเป็นจุดอับและไม่ได้รับความสนใจสักเท่าไหร่นักด้วยภูมิประเทศที่เดินเท้าค่อนข้างลำบากและหาอาหารและน้ำยาก จากนั้นถึงได้เริ่มลงมือตามขั้นตอน

ทุกอย่างผิดจากที่คริสคาดคะเนไปมากเลยทีเดียว เขานึกว่าการฆ่าลูก้าจะง่าย ทว่าไม่ใช่เมื่อมันเป็นแผนของเจเรมี กว่าจะเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปพอสมควรเลยทีเดียว

ทั้งคู่ช่วยกันเอาผ้าปูที่นอนที่หยิบติดมือมาด้วยจากห้องพักผู้คุมที่อาคารแห่งนั้นมาห่อศพ จากนั้นก็ช่วยกันแบกมาไว้ยังประตูทางเข้าของประภาคาร ยืนพักเหนื่อยเล็กน้อยเพื่อจะนำศพออกไปทิ้ง

คริสมองตามแผ่นหลังกว้าง อยากจะถามเหมือนกันว่าแน่ใจหรือที่ทำแบบนี้ ทว่าเจเรมีก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“จบเรื่องนี้แล้ว เราค่อยไปจัดการในส่วนอื่นต่อ”
“หมายถึงให้ไปฆ่าพวกโอเมก้าคนอื่น?”
“คนอ่อนแอจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมล่ะ ใครกำจัดได้ง่ายก็ต้องรีบกำจัดทิ้งถ้านายอยากเป็นผู้ชนะ” เจเรมีว่าด้วยท่าทีสบายๆ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบซีกแก้มเล็กน้อย

คริสไม่เข้าใจเลยว่าเจเรมีได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน บอกตรงๆ ว่าเขาไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่เขาพลาดไปแล้ว...พลาดไปตั้งแต่ตอนที่ถูกเจเรมียั่วเย้า ตกปากรับคำไปอย่างนั้นก็ต้องทำตาม แม้ว่าความจริงเขาจะปฏิเสธหรือกลับคำก็ได้ แต่เพราะเป็นเจเรมี เป็นคนที่เขาอยากปกป้อง ทำให้เขาตกล่องปล่องชิ้นอย่างช่วยไม่ได้

เขาโง่เองที่หลงกลกับร่างกายนั้น...จะบอกว่าเขาไม่มีทางเลือกก็ไม่ใช่ แต่เขาไม่อาจต้านทานทุกสิ่งที่เป็นเจเรมีได้มากกว่า ต่อให้ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่ออาการฮีทของโอเมก้า แต่ถ้าเป็นเจเรมี เขาติดกับดักทุกทาง

“ฉันว่าวิธีนี้มันจะเสี่ยงไปหน่อย”
“อย่าพูดมาก ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ” พอถูกแย้ง เจเรมีก็ว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะลูบต้นคอที่มีหยาดเหงื่อเปียกชื้นไปมา

เห็นแล้วคริสก็กลืนน้ำลายเอื้อก...

ต้นคอแกร่งนั่น...เซ็กซี่เป็นบ้า

ยิ่งบริเวณนั้นมีร่องรอยช้ำเป็นจ้ำแดงที่เกิดจากการตีตราของเขา ยิ่งทำให้เจเรมีดูเย้ายวนมากขึ้นไปอีก

ไม่ใช่ว่าคริสไม่รู้ตัวว่าเขากำลังหลงใหลโอเมก้าตรงหน้า เขารู้...รู้ดีเลยทีเดียว แต่มันอดไม่ได้ที่จะครอบครองร่างกายนั้น
ได้ เขาจะทำตามที่เจเรมีสั่งทุกอย่างก็ได้ แต่มันต้องมีค่าจ้างกันหน่อย

คิดแล้วก็เดินเข้าไปหา ตวัดแขนโอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง ประทับริมฝีปากลงบนต้นคอนั่นอย่างรวดเร็ว ทำเอาเจเรมีที่ไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้งเฮือก

“ทำเวรอะไรของนาย!” ตั้งสติได้ก็โวยวาย
คริสขยับริมฝีปากเล็กน้อยทั้งที่ใบหน้ายังคลอเคลียอยู่ที่เดิม “ขอค่าเหนื่อยหน่อย”

จะว่าเป็นการออดอ้อนก็ไม่ผิด ฟังดูขัดกับน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่น้อย อะไรไม่ว่า ขัดกับบุคลิกของคริสที่มักจะสุขุมอีกด้วย แต่อะไรก็ไม่เป็นปัญหาเท่ากับการที่คริสวนเวียนอยู่กับเรื่องอย่างว่าไม่เลิก

“นายติดสัดหรือไงวะ” ถามเสียงแผ่วเมื่อปลายหูถูกขบกัด
คริสพยักหน้ารับเล็กน้อย “นิดหน่อย”
ยอมรับโดยดุษณี ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เจเรมีก็ไม่อยากจะยินยอมหรอก แต่เขาต้องใช้ประโยชน์จากคริสอีกเยอะจึงได้ยอมอยู่เฉยๆ ปล่อยให้คริสวุ่นวายกับร่างกายตัวเอง

“แค่ภายนอกพอ” กำชับเล็กน้อยด้วยเจเรมีไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องอย่างนี้สักเท่าไหร่นัก
แต่เหมือนคริสจะไม่ฟัง เขารู้แต่เพียงว่าได้รับอนุญาต อย่างอื่นไม่สนแม้แต่น้อย มือทั้งสองจับเจเรมีให้หันหน้ามาหา บดจูบริมฝีปากอย่างกระหาย ดันอีกฝ่ายไปยังโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ติดกับผนัง ก่อนจะประคองให้ชายหนุ่มผมบลอนด์ขึ้นไปนั่งบนนั้น
ความเร่าร้อนทำให้คริสจัดการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เจเรมีมองตามไม่ทันเลยว่าเสื้อผ้าเขาถูกปลดเปลื้องไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแล้ว

ริมฝีปากประทับไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ปลายลิ้นลากไล้ไปตามจุดอ่อนไหว ร่องรอยแดงช้ำเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อคริสต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยน... เจเรมีต้องการใช้คริส เขาก็ต้องกลายเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายเล่นสนุกตามอำเภอใจ แต่ถ้าคิดดีๆ แล้ว หากจะปฏิเสธก็ทำได้ คริสไม่ใช่คนที่จะฝืนใจใครโดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเป็นเจเรมี

ทว่าเพราะเจเรมีไม่คิดปฏิเสธ ทุกอย่างถึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อคริสวุ่นวายกับร่างกายส่วนบนจนเป็นที่พอใจก็ขยับลงต่ำมาเรื่อยๆ ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามตุ่มไตเล็กๆ กระตุ้นเร้าให้มันตอบสนองต่อการสัมผัส

เจเรมีครางฮืมในลำคอ ร่างกายของเขาร้อนผะผ่าวกว่านาทีก่อน และก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อคริสจรดริมฝีปากลงบนยอดอกสีสวยข้างหนึ่ง

เป็นสัมผัสที่เจเรมีชื่นชอบ...ถึงจะไม่พูดแต่ก็แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางในทุกครั้งที่ถูกกระทำอย่างนี้

ลำตัวช่วงบนแอ่นรับกับการกระตุ้นเร้านั้น ใบหน้าแดงเรื่อเพราะเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรง เขาอ่อนไหวกับบริเวณนี้มากเป็นพิเศษ แม้ในตอนที่ไม่เป็นฮีท มันก็กระตุ้นเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ไปถึงขั้นสุขสมก็เถอะ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าลีลาของคริสนั้นเป็นเลิศไม่ใช่น้อย

ฝ่ามือหนาขยุ้มผมสีน้ำตาลบริเวณท้ายทอยของอัลฟ่าหนุ่ม คริสเหลือบมองใบหน้าของคู่แห่งโชคชะตาเล็กน้อยก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา

“ชอบไหม”
เจเรมีไม่ตอบจึงถูกคริสประทับจูบที่ต้นคอพลางขบกัดเบาๆ ให้ได้สะดุ้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะชื่นชมรอยแดงเป็นจ้ำบนตัวของคนตรงหน้าที่ฝีมือตัวเองด้วยความลุ่มหลง

ใช่...ต้องใช้คำว่าลุ่มหลง เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างเจเรมีจะมีอำนาจยั่วยวนให้เขาละทิ้งความเป็นตัวของตัวเองได้ถึงขนาดนี้ จากตอนแรกที่เห็นอีกฝ่ายเปลื้องผ้าแล้วไม่คิดอะไรแท้ๆ แต่ในตอนนี้แค่เห็นหน้า เขาก็แทบจะหยุดความคิดลามกไม่ได้แล้ว

แม้ว่าเมื่อคืนจะเชยชมร่างกายนี้ไปตั้งหลายต่อหลายครั้ง...
แม้ตลอดทั้งอาทิตย์จะไม่ยอมให้เจเรมีลุกออกจากเตียงเลยก็ตาม...

แต่มันก็ไม่เคยเพียงพอเลย ยิ่งเจเรมีอนุญาตให้เขาทำตามใจ คริสก็กลายเป็นคนเห็นแก่ได้ทันที

ไม่อยากให้เจเรมีห่างกายแม้แต่วินาทีเดียว...

ทั้งที่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดทำเรื่องอย่างว่าแท้ๆ แต่เขาก็อดไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเห็นต้นคอแกร่งของโอเมก้าหนุ่มจากทางด้านหลังเพียงเท่านั้น

แค่ต้นคอก็เซ็กซี่...

บ้าบอที่สุด!

อย่างกับคนโรคจิต แต่ก็ช่างมัน เขาสนใจแค่ว่าจะจัดการเจเรมีต่อจากขั้นตอนนี้อย่างไร

เท่านั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งรั้งขาของเจเรมีขึ้นตั้งชันบนโต๊ะทั้งที่ใบหน้าก็ยังไม่ละออกจากลำคอ ก่อนจะจัดการกับขาอีกข้างในท่าทางที่เหมือนกัน ถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อดูผลงาน พอเห็นว่าคู่ครองอยู่ในท่าที่เหมาะสม เขาก็พุ่งเข้าหา ประกบปากจูบอย่างกระหาย
ขนาดอยู่เฉยๆ ยังว่าเซ็กซี่ พอมาอยู่ในท่าทางแบบนี้...ให้ตาย จะทำให้เขาเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!

ทุกอย่างดำเนินขึ้นอย่างรวดเร็วและร้อนรน คริสปลดตะขอกางเกงของตัวเอง กระเถิบบั้นเอวเข้าไปหา สองมือรั้งสะโพกอีกฝ่ายให้อยู่ในท่าทางที่ถนัดต่อการกอดรัด

เจเรมีเห็นว่าคริสเริ่มหน้ามืดก็ร้องทักทันควัน

“บอกให้ทำแค่ภายนอกไง”
ภายนอกหรือภายในก็ไม่สนใจ คริสขยับตัวเข้ามาใกล้ ผสานร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจเรมีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอให้เจเรมีคุ้นชินกับความคับแน่นสักพักก่อนถึงได้ตอบรับ

“ทำไม กลัวท้องเหรอ”
ฟังไม่เข้าหูเอาเสียเลย... เจเรมีย่นหน้า ต่อยไปที่อกของคริสเกือบจะเต็มแรง
“อย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นหมูตัวเมีย”

คริสไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด เขาก็แค่ถามในประเด็นที่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรโอเมก้าก็สามารถตั้งครรถ์ได้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนอยู่แล้วนี่

คริสแสร้งทำไม่สนใจ ค่อยๆ ขยับกายไปตามจังหวะทีละน้อย
“แล้วถามทำไม หรือว่าจะเจ็บหลัง?” จากนั้นก็สอดแขนไปรองรับแผ่นหลังของอีกฝ่ายกันไม่ให้กระแทกกับผนัง
หากแต่ผิดคาด เจเรมีไม่ได้บอบบางถึงขนาดจะทนการเสียดสีแค่นี้ไม่ได้ เขาไม่ได้ถามเพราะเรื่องอะไรเล็กน้อยอย่างนั้นสักหน่อย แต่เป็นเรื่องอื่นต่างหาก

“เปล่า” เจเรมีว่าพลางหอบหายใจหนัก สองมือโอบลำคอของคนที่ยืนอยู่ระหว่างกลางของลำตัว “ฉันแค่อยากจะจัดการกับศพนั่นเร็วๆ”
ว่าพลางพยักปลายคางไปยังห่อผ้าที่วางอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก

คริสมองตาม หยุดเคลื่อนไหวไปเล็กน้อย

จริงสิ ยังไม่ได้จัดการกับศพของลูก้าเลยนี่นา แต่ช่างมันก่อนเถอะ เรื่องในตอนนี้สำคัญกว่า

“ไว้ค่อยว่ากัน ฉันขอจัดการนายก่อน” พูดพลางประทับจูบลงบนเรียวปากแสนหวาน สอดปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดราวกับกลัวว่าชีวิตนี้จะไม่ได้ผูกพันกันอย่างนี้อีกแล้ว

เจเรมีก็อยากจะท้วง ใจอยากจะให้คริสช่วยจัดการเรื่องนั้นให้จบๆ ไปเสียก่อน ทว่าเขาก็ไม่อาจจะห้ามความกำหนัดของตัวเองได้เหมือนกัน

...กำหนัดเหรอ? ไม่หรอก ไม่ใช่ความกำหนัด การเปลืองตัวครั้งนี้มันไม่ได้เกิดจากแรงขับทางเพศ แต่มันเกิดจากความพิศวาสต่างหาก

ลุ่มหลง มัวเมา หน้ามืด... จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง ที่แน่ๆ ถ้าคริสเริ่ม เจเรมีก็ไม่อาจจะหยุดตัวเองไว้ได้เหมือนกัน

เรียกได้เต็มปากว่าเป็นการเล่นนอกกติกาเต็มสูบ โดยเฉพาะคริสที่เหมือนจะแหกกฎตลอด

กฎ...มีไว้ให้แหกตามแบบฉบับของคริสมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพรรณนาความหื่นกระหายของคริสดี เจเรมีรู้เพียงอย่างเดียวว่าถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องลำบากแน่ อย่างแรกเลยคือเรื่องร่างกาย... เดินเหินลำบากกว่าเดิมเพราะคริสอย่างแน่นอน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด สมองเขาไม่สามารถคิดวิเคราะห์เรื่องอื่นๆ ได้อีกต่อไปแล้วเมื่อแสงสว่างพร่างพรายวาบเข้ามาในหัว ก่อนที่ของเหลวสีขาวขุ่นจะไหลทะลักเปรอะเปื้อนบริเวณหน้าท้อง

ลมหายใจหอบหนักและเสียงครางอย่างสุขสมของอีกฝ่ายทำให้คริสหยุดการเคลื่อนไหว ปรายตามองคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงด้วยความเสน่หา

“อีกรอบไหวไหม” ต้องถามก่อนเพราะเขายังไม่ถึงที่สิ้นสุด
เจเรมีเหลือบตามอง ควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะเปรยออกมา “ฉันห้ามนายได้ด้วยหรือไง”

ห้ามได้สิ ทำไมจะไม่ได้ แค่ไม่ห้าม...

คริสเผยอยิ้ม เขาชอบที่เจเรมียอมอ่อนให้เขาแบบนี้ แม้ว่าจะเข้าใจดีว่าเพราะอีกฝ่ายต้องการผลประโยชน์จากเขา และมันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองถูกควบคุมอย่างที่เป็นอยู่

แต่ช่างมัน... ขอแค่ให้ได้ครอบครองเจเรมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เขาก็จะไม่สนทั้งนั้น

“งั้น...จนกว่าฉันจะพอใจ นายห้ามขัดเชียว” คริสกระซิบเสียงพร่าก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายอีกครั้ง
เพลิงราคะถูกจุดขึ้นอีกระลอก เจเรมีปล่อยกายและใจให้เป็นไปตามอารมณ์และความเอาแต่ใจของคริสแต่โดยดี รับเอาความหฤหรรษ์ที่คริสปรนเปรอให้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่แย้งเลยแม้แต่น้อย

ใครว่าโอเมก้าเป็นตัวอันตรายที่ทำให้อัลฟ่าลุ่มหลงจนถูกควบคุมไม่รู้ตัวกัน อัลฟ่าเองก็อันตรายไม่แพ้โอเมก้า โดยเฉพาะถ้าอัลฟ่าคนนั้นเป็นคู่แห่งโชคชะตา และเป็นคริส...

เพราะเป็นคริส... ทุกอย่างมันถึงอันตรายสำหรับเจเรมีอย่างนี้

ความลุ่มหลงในกันและกันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างนี้เลย




 
ความกังวลในวันนั้นคุกคามจิตใจของอัลเบิร์ตมากระทั่งถึงวันนี้ ตั้งแต่ที่เจอกับเจเรมีครั้งสุดท้ายเพื่อทำตามแผนของเดร็กให้เพื่อนสนิทของตัวเองยอมตอบรับเข้าร่วมเกมด้วยไม่ต้องการให้บิดาของเขาได้รับอันตรายถึงชีวิต เขาก็ยังนอนหลับได้ไม่เต็มตื่นเลยแม้แต่คืนเดียว

เขารู้สึกผิดกับเจเรมี เหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นห่วงเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

ความกังวลกัดกินจิตใจจนทำให้อัลเบิร์ตไม่อาจเก็บงำความลับนั้นไว้เพียงลำพังอีกต่อไป เขาหลุดปากเล่าทุกอย่างให้แมทธิวฟังจนได้ แน่นอนว่าบิดาย่อมโกรธเขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ทำอะไรไปโดยไม่คิด โกรธยิ่งกว่าคือเจเรมีที่ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่คำนึงเลยว่าเจอโรมกำลังหาทางช่วยบุตรชายคนเดียวขนาดไหน

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของอัลเบิร์ต แมทธิวก็พุ่งไปหาเจอโรมทันทีแม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายสั่งให้อยู่ห่างจากเขาเพื่อความปลอดภัยก็ตาม

ทั้งหมดก็เพื่อแจ้งข่าวคราวของเจเรมีให้รับรู้…

ความจริงก็ไม่ได้สั่งให้ห่างหรอก แค่ให้ดำเนินการทุกอย่างแบบไม่ประเจิดประเจ้อเท่านั้น ป้องกันไม่ให้เดร็กลากครอบครัววอล์กเกอร์เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากนี้

ทว่าครั้งนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในเมื่อลูกชายของตระกูลวอล์กเกอร์เป็นต้นเหตุของเรื่องยุ่งยากเรื่องใหม่... จะว่าเป็นต้นเหตุก็ไม่ได้ ต้องบอกว่าหูเบาและด้อยปัญญาไปหน่อยมากกว่าที่หลงกลกับดักของเดร็ก

อัลเบิร์ตยอมรับในความโง่เง่าของตัวเองอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เขาโง่จริงๆ พวกผู้ใหญ่ต่อสู้กันถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของนายพลนรกส่งมาเกิดนั่น เขาคิดตื้นเกินไป ตระกูลเมอร์ซีจึงประสบปัญหาขึ้นมาอีกเรื่อง

เจอโรมถึงกับกุมขมับ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดแรงหลังจากได้ยินว่าลูกชายของตัวเองไปอยู่ในที่ไหนและกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร ไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าสถานที่ซึ่งเป็นที่กักขังเจเรมีคือเกาะซึ่งเป็นแดนประหารและทรมานนักโทษ

...สถานที่ซึ่งเขาเคยทำทุกอย่างเพื่อยุติการใช้งาน บัดนี้มันกลายเป็นกระดานหมากชีวิตที่มีเจเรมีเป็นเบี้ยในการเดินเกมแล้ว
ตอนนี้เจเรมีจะอยู่หรือตาย ไม่ได้อยู่ที่เขาคนเดียวอีกต่อไป หากแต่อยู่ที่เจเรมีด้วยว่าจะเอาตัวรอดจากเกมนรกนี้ได้ไหม ถึงจะรู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นพวกกระดูกแข็ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะวางใจว่าเจเรมีจะปลอดภัย ดังนั้นในฐานะคนเป็นพ่อ เขาจะไม่ยอมให้สมาชิกในครอบครัวเป็นอะไรไปอีกคนแน่ แค่สูญเสียภรรยาซึ่งเป็นที่รักไป เขาก็คลั่งจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว

เพราะเหตุนี้เจอโรมจึงมาอยู่ที่หน้าบ้านของเดร็กพร้อมกับแมททิธ อัลเบิร์ต และคนติดตามซึ่งยังฝักใฝ่ฝ่ายเขาอีกจำนวนหนึ่ง
เดร็กรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งอีกฝ่ายต้องมาเยี่ยมเยือน ซึ่งมันเป็นแผนการของเขาอยู่แล้วจึงให้ลูกน้อยใต้อาณัติต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เจอโรมไม่ได้ต้องการเลย เขาไม่เอาเลือดหัวของอีกฝ่ายออกด้วยลูกตะกั่วตั้งแต่เจอหน้ากันก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว
การสนทนาก็ดูเป็นไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักด้วยเมื่อเดร็กผายมือให้แขกผู้มาเยือนได้นั่งพักหายใจหายคอ ทว่าเจอโรมปฏิเสธเสียงแข็ง

“ฉันไม่ได้มาเพื่อคุยเล่นกับแก บอกมาว่าแกต้องการอะไร” คำถามตรงๆ ทำให้เดร็กซึ่งนั่งอยู่ยังโต๊ะทำงานมองคนที่ยืนจังก้าพร้อมกับสีหน้าเกรี้ยวกราดนิ่งๆ ก่อนจะเหยียดตัวตรงเล็กน้อย
“ผมต้องการอะไรงั้นเหรอ? ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่”

แน่นอน...เจอโรมรู้อยู่แล้ว

ต้องการทำลายตระกูลเมอร์ซีชนิดถอนรากถอนโคน...

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ฝันไปได้เลย” เจอโรมยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมถอนตัวไปง่ายๆ
หากเขาทำแบบนั้น คนที่ฝักใฝ่ฝ่ายเขาจะเดือดร้อนเพราะไม่มีใครเป็นเกราะกำบัง เขาอาจจะช่วยเจเรมีได้ แต่คนอื่นๆ ที่ซื่อสัตย์กับเขาล่ะ ต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร

มันเป็นเรื่องของอำนาจล้วนๆ และที่เรื่องมันเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะเจอโรมไม่ยอมอ่อนข้อ ซึ่งนั่นทำให้เดร็กที่เป็นแนวหน้าของผู้นำอีกสามตระกูลทำทุกอย่างเพื่อจะล้มล้างอำนาจคนตรงหน้า

ไม่ใช่เพราะภักดีกับสามตระกูลนั้น หากแต่เขาต้องการสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำอีกตระกูลนั่นเอง กำจัดเสี้ยนหนามอย่างตระกูลเมอร์ซีไปได้ ตระกูลแฮร์ริสันก็จะได้ความดีความชอบ การขึ้นเป็นผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่การใช้เจเรมีเป็นเครื่องมือในแผนสกปรกนี้มันเป็นเรื่องที่ทุเรศสิ้นดี!

แล้วเดร็กสนใจไหมล่ะ? ไม่... เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการได้อยู่แล้ว ต้องขอบคุณเจเรมีเสียด้วยที่เป็นชนวนให้เขาได้ริเริ่มแผนการที่วางไว้มาแรมปีเสียที หากไม่เป็นเพราะเจเรมีจุดชนวน เรื่องก็คงไม่ง่ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“งั้นก็แล้วแต่คุณ ถ้าคุณคิดว่าชีวิตของลูกคุณไม่สำคัญ ผมก็เคารพการตัดสินใจของคุณอยู่แล้ว ท่านผู้นำเมอร์ซี” เดร็กว่ายอก
ย้อน ท่าทางไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย

เจอโรมขบกรามแน่น มือทั้งสองกำเข้าหากัน ถ้าเขาไม่กลัวว่าเรื่องจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ เขาจะแย่งปืนจากนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ แล้วมาจ่อยิงเผาขนเดร็กให้รู้แล้วรู้รอด

เดร็กเห็นท่าทางนั่นก็รู้ว่าเจอโรมไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละ...มันเป็นแผน เอาชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นเหยื่อล่ออย่างนั้น ดูซิว่าท่านผู้นำคนนี้จะทำเพื่อประชาชนและพรรคพวกที่สวามิภักดิ์กับเขาหรือเพื่อลูกชายกันแน่ ก่อนหน้านี้ก็เสียภรรยาไปแล้วนี่ เดร็กคิดว่าเจอโรมไม่น่าจะเอาตัวเองมาเสี่ยงทำอะไรโดยพลการแม้ว่าจะอยากช่วยเจเรมีเพียงใด

“สรุปแล้วไม่ยอมลง?” เดร็กถามย้ำอีกครั้งด้วยท่าทางสบายๆ
“ฉันจะไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกชั่วอย่างแกแน่” เจอโรมแค่นเสียงต่ำ ท่าทางกระด้างกระเดื่องบ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมสู้ทุกวิถีทาง
ขนาดลูกชายตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแท้ๆ ยังจะหัวแข็งอีก

เดร็กอดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ก็ดี เกมของเขามันจะได้สนุกขึ้น จะยอมเล่นกับคนตรงหน้าอีกสักหน่อยก็ได้
“งั้นก็แล้วแต่คุณ ผมจะให้คนคอยไปรายงานแล้วกันว่าสถานการณ์ในเกาะมรณะนั่นเป็นยังไง แต่อย่างที่คุณรู้ โอเมก้าที่รอดชีวิตเป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะ ตอนนี้เหลือโอเมก้าอยู่อีกสี่คนจากห้า อัลฟ่าอีกแปดจากสิบ เกมดำเนินมาอาทิตย์กว่าแบ้ว ไม่แน่ว่าคนที่จะเป็นรายต่อไปอาจจะเป็นลูกคุณก็ได้ ใครจะไปรู้ คิดดูให้ดีว่าจะยอมลงง่ายๆ หรือต้องให้ลูกคุณตายก่อนถึงจะตัดสินใจได้”

ไม่มีคำตอบจากเจอโรม มีเพียงแววตาอาฆาตแค้นเท่านั้น ดูก็รู้ว่ายังยืนยันคำตอบเดิม

เดร็กยักไหล่เล็กน้อย “คิดดูเอาเองนะครับ ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ อย่างน้อยก็ในฐานะท่านผู้นำ แต่ถ้าเป็นผม ผมจะไม่เอาชีวิตลูกตัวเองมาเสี่ยงกับอะไรแบบนี้ มันได้ไม่คุ้มเสีย อ้อ ลืมไป สำหรับลูกอย่างนั้น คุณคงจะไม่เสียดายสินะครับ โอเมก้าชั้นต่ำอยู่ไปจะมีค่าอะไร” ตบท้ายด้วยการดูแคลน

เจอโรมไม่เคยโกรธใครได้มากเท่าครั้งนี้เลย ถ้าหากว่าแมทธิวไม่คอยปรามเขาไว้ รับรองว่าเขาพุ่งเข้าไปประเคนหมัดใส่หน้านายพลชั่วนั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เดร็กยิ้มให้กับท่าทางหัวเสียนั่น ก่อนจะร้องบอกคนสนิท
“ส่งแขกหน่อย คิดว่าน่าจะหมดธุระกับฉันแล้ว”

เจอโรมหุนหันเดินออกจากห้องทำงานของศัตรูทันทีโดยมีแมทธิวตามไปติดๆ อัลเบิร์ตที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยยิ่งรู้สึกแย่ลงไปใหญ่ที่เรื่องมันเลวร้ายกว่าเดิม ก่อนหูจะได้ยินเสียงของเจอโรมกระซิบกระซาบกับบิดาตัวเอง
“เราคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับพวกมันแล้ว”
“หรือคุณจะหมายถึง...”
เจอโรมหันไปสบตาอีกฝ่าย ไม่พูดอะไรออกมาในขณะที่แมทธิวพยักหน้ารับน้อยๆ คล้ายกับว่ารู้กันว่าหมายถึงอะไร

อัลเบิร์ตเองก็อยากรู้ ทว่ามีสิ่งอื่นดึงความสนใจของเขาไปเสียก่อนเมื่อสายตาเหลือบเห็นใครบางคนที่คุ้นตาบนรถวีลแชร์
“ธีโอ...” ริมฝีปากหนาครางออกมา ก่อนที่เขาจะผละไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มอีกคนจ้องมองเขาอยู่

ธีโอยังคงใส่เฝือกที่แขนและขา และยังเดินเหินไม่ได้แม้ว่าจะผ่านมาหลายเดือนแล้วเนื่องจากอาการบาดเจ็บค่อนข้างจะสาหัส ทว่าอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ทำให้ความกวนประสาทของอีกฝ่ายลดลงเลยแม้แต่น้อยทันทีที่เขาเห็นอัลเบิร์ต

“ไง เพื่อนสวะของแกโดนล่อจนท้องไปหรือยัง ได้ข่าวว่ามันถูกส่งไปที่เกาะนั่นนี่” เป็นคำพูดที่ไม่ควรเป็นคำทักทายเลยแม้แต่น้อย

อัลเบิร์ตกักเก็บความกรุ่นโกรธ ก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าธีโอก่อนปริปาก
“แล้วนายจะอยู่เฉยๆ รอดูเพื่อนฉันถูกฆ่าตายอย่างนี้น่ะเหรอ?”
ธีโอเลิกคิ้วสูงทันควัน “แกอยากจะพูดอะไร”
“อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันว่านายควรคุยกับพ่อนายเรื่องนี้”

ฟังแล้วธีโอก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “เพื่อนเหรอ? ตลกไปหน่อยแล้ว ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยไปเป็นเพื่อนกับมันตอนไหน”
“ถือว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ก็ได้ เห็นแก่มนุษยธรรมเถอะธีโอ ช่วยเจมีออกมาจากที่นั่น” ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ อัลเบิร์ตจะขอร้องคนที่เพื่อนตัวเองทำร้ายอย่างนี้

ซึ่งเขาคิดผิด เขาไม่น่าพูดออกมาเลยเพราะนอกจากธีโอจะไม่ฟังแล้ว ยังมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามอีกต่างหาก
“ฉันจำเป็นต้องช่วยโอเมก้านั่นด้วยหรือไง เดนมนุษย์อย่างพวกมันน่ะไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่หรอก ปล่อยให้มันโดนล่อจนตายน่ะดีแล้ว ทำไม หรือที่นายกระเหี้ยนกระหือรืออยากให้มันกลับมาเป็นเพราะนายก็อยากล่อมันเหมือนกัน?”

อัลเบิร์ตถึงกับขมวดคิ้วจนยุ่ง

กักขฬะ...ชั้นต่ำ...น่ารังเกียจ...เป็นคำที่อธิบายคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี

“ฉันมันโง่เองที่ขอร้องคนอย่างนาย ลืมมันไปซะ” อัลเบิร์ตยุติการสนทนาแทบจะในวินาทีนั้น หันหลังหนีทันควัน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้นลอยมาให้ได้ยินอีก

ถ้าอยากให้มันรอด แกต้องไปบอกพ่อมันให้ยอมลงจากตำแหน่ง ไม่ใช่มาขอร้องฉันให้ช่วยพูดกับพ่อ สำหรับฉันน่ะ การได้เห็นโอเมก้าพวกนั้นตายมันเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเจเรมีกับไอ้เวรนั่น”

อัลเบิร์ตถึงกับหันกลับไปมอง

เจเรมีกับไอ้เวรนั่น... ใครกัน?

หากแต่ไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่ายเมื่อธีโอเอาแต่ยิ้มเยาะ อัลเบิร์ตรังเกียจเกินกว่าจะทนเสวนาต่อด้วยได้จึงผละจากมาอย่างรวดเร็วทั้งที่ในหัวยังคิดวกวนไม่หยุด

หมายถึงใครน่ะ?



 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 18: กฎมีไว้ให้แหก[2]

หลังจากที่จ่ายค่าเหนื่อยให้คริสจนเป็นที่พอใจของอัลฟ่าหนุ่ม คริสก็ช่วยกันหามหัวท้ายศพที่ห่ออยู่ในผ้าปูที่นอนมาโยนทิ้งที่หน้าผา ก่อนที่ศพนั่นจะถูกคลื่นซัดและจมหายไปในน้ำทะเล

ไม่มีใครตามหาได้แน่นอน แม้แต่ซากก็ไม่น่าจะหาเจอ กระแสน้ำเชี่ยว ซ้ำยังลึกเสียขนาดนั้น พวกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเกมนรกนี้คงไม่ลงทุนไปงมหาหรอก

กำจัดลูก้าไปได้หนึ่งก็เหลือโอเมก้าอีกสองที่จะเป็นรายต่อไป...

เจเรมีเตรียมตัวที่จะไปตามล่าสองคนนั้นต่อ ขณะที่คริสยังคงไม่มั่นใจนักว่าการที่เขาทำตามแผนของเจเรมีจะเป็นเรื่องดีจนต้องปริปากถาม

“นายแน่ใจเหรอที่จะทำแบบนี้”
“เรื่อง?”
“กำจัดโอเมก้าทั้งหมดจนเหลือนายแค่คนเดียวน่ะ แน่ใจหรือไง”
“ทำไม” เจเรมีหยุดเดิน หันไปถามด้วยสีหน้ารำคาญใจที่คริสถามไม่เลิกสักทีก่อนจะได้คำตอบ
“เพราะถ้านายกำจัดโอเมก้าคนอื่นหมด ก็จะเหลือนายเป็นโอเมก้าแค่คนเดียว ถึงตอนนั้นพวกอัลฟ่าก็จะหันมาล่านาย”
“แล้วมันใช่หน้าที่ฉันที่จะต้องรับผิดชอบหรือไง หน้าที่นายต่างหาก ถ้าไม่อยากให้ฉันเป็นของใครก็ปกป้องฉันสิ”

ถูกสวนมาอย่างนั้น คริสก็ปิดปากเงียบ

จริงของเจเรมี เขามีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเจเรมี มันช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นคู่ครองของเขานี่นะ แม้ว่าเจเรมีจะไม่แสดงออกสักเท่าไหร่ว่ายินดีกับการเป็นโอเมก้าของเขาก็เถอะ

“หรือจะไม่อยากนอนกับฉันแล้ว?” จู่ๆ เจเรมีก็ถาม ทำเอาคริสถึงกับย่นคิ้ว
“ฉันพูดเหรอ”
“ถ้าอยากก็อย่าถามอะไรให้มากความ น่ารำคาญ!”

ถูกขึ้นเสียงใส่จนได้ สิ้นเสียง เจเรมีก็เดินนำลิ่วๆ ไป ปล่อยให้คริสมองตามอย่างระอา

ไม่ได้ระอาเจเรมี... ระอาตัวเขาเองนี่แหละ

จะหลงโอเมก้าคนนั้นมากเกินไปแล้ว!

มากกว่าคำว่าหลงใหลแล้วด้วยกระมัง น่าจะเข้าขั้นที่เรียกว่า ‘มีความรู้สึกพิเศษ’ ด้วย ทุกครั้งที่ได้กอด ได้สัมผัสเจเรมี ความหวงแหนก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนคริสรู้สึกว่าแค่การครอบครองร่างกายอย่างเดียวมันไม่พอ

เขาต้องการครอบครองจิตใจของอีกฝ่ายด้วย...

รู้ว่ามันยากเพราะดูจากท่าทางแล้ว เจเรมีไม่น่าจะคิดอะไรอย่างนั้นกับเขา เพียงแค่ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดเท่านั้น เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเจเรมียอมทอดกายให้เขาทำไม

แต่ว่า... เขาก็ยังอยากได้มากกว่าร่างกายอยู่ดี

เดินตามหลังเจเรมีพลางคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นาน ก่อนจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น
“หิวน้ำ ไปหามาให้หน่อย ฉันจะรอตรงนี้”
จู่ๆ ก็โดนใช้โดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พยักหน้ารับแต่โดยดี
“เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” ว่าพลางคว้าขวดน้ำแบบพกพาที่เอามาจากห้องพักของผู้คุมติดมือไปด้วย

ความจริงคริสก็ไม่อยากจะทำตามคำสั่งสักเท่าไหร่ด้วยเห็นว่ามันโพล้โพล้ใกล้จะมืดเต็มแก่แล้ว การหาที่ซุกหัวนอนใหม่ในคืนนี้สำคัญกว่าการไปหาน้ำให้เจเรมีดื่มกว่าเยอะ แต่ดูจากท่าทางเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่ายก็จำต้องทำตามอย่างไร้ทางเลือก
ที่เจเรมีเหนื่อยล้าขนาดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเขา ดังนั้นจึงยอมทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข

คล้อยหลังคริสไปได้ครู่เดียว เจเรมีก็ทรุดตัวลงนั่งบนท่อนไม้ใกล้ๆ เหยียดขายาว เอื้อมมือไปบีบๆ นวดๆ ที่สะโพก พลันถอนหายใจออกมาเมื่อความเจ็บแปลบแล่นพล่านในบริเวณที่ถูกสัมผัส

“ไอ้เวรนั่น...” โทษคริสอย่างเดียวเลยที่ทำให้เขาปวดเมื่อยเนื้อตัวขนาดนี้

ทว่าก่นด่าในใจได้ครู่เดียว เขาก็ต้องเอื้อมมือไปคว้าชะแลงเหล็กที่วางพิงไว้กับท่อนไม้อย่างรวดเร็วเมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ๆ

เป็นเสียงที่เกิดจากการย่ำใบไม้แห้ง แต่ไม่ได้เป็นเสียงที่เกิดจากคนคนเดียว ทว่าหลายคน

กลิ่นไม่ดีแล้ว...

เจเรมีลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที ก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับผู้เข้าร่วมเกมอีกสามคนที่บังเอิญโผล่มาเจอพอดี

ทั้งสามเองก็ชะงักทันทีที่เห็นเจเรมี ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

โอเมก้าที่ได้ชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในเกมนี้!

“โว้ว แจ็คพ็อตพอดีเลยแฮะที่มาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้ กำลังตามหาตัวโอเมก้าอยู่พอดี” หนึ่งในนั้นร้องทักขึ้น ก่อนที่อีกสองคนจะพากันผิวปากราวกับได้เจอของดี

“แต่กลิ่นมันทะแม่งๆ ว่ะ มีไอ้หน้าโง่ตัวไหนได้ไปแล้วด้วยแฮะ” อีกคนเปรยขึ้น ทำจมูกฟุดฟิดมาทางเจเรมี

กลิ่นนั่นเป็นกลิ่นของคริส... ก็รู้ๆ กันอยู่ ทว่าใครจะสนกันล่ะ

“จะมีใครครอบครองแล้วก็ช่างหัวมันเถอะ เกมนี้มันต้องแย่งกัน รีบจัดการดีกว่า” อีกคนเสนอ

เจเรมีไม่รู้หรอกว่าทั้งสามคุยเรื่องอะไรกัน แต่พอจะเดาได้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้คิดดีกับเขาอยู่แน่ ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อทั้งสามพากันกระจายตัวห้อมล้อมเขาเอาไว้

“เอาล่ะเจเรมี... ชื่อนายใช่ไหม เจเรมี เมอร์ซีน่ะ”

เจเรมีไม่ตอบ กระชับชะแลงเหล็กในมือแน่น ตาจ้องทั้งสามเขม็งอย่างระแวดระวังขณะที่ใครคนนั้นพูดขึ้นมาอีก

“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร คิดว่านายคงจะเป็นลูกของท่านผู้นำคนนั้น นายคงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าพวกฉันมาล้อมนายไว้ทำไม”
ไม่มีคำตอบอีก ก่อนที่จะมีเสียงของใครอีกคนดังตามมา

“เอาเป็นว่าพวกเราไม่อยากทำร้ายนาย มาเข้าร่วมกับพวกเราสิ จะได้รอดไปด้วยกัน”

ฟังแล้วเจเรมีก็แค่นหัวเราะ

รอดไปด้วยกันงั้นเหรอ? โอเมก้าหนึ่งคนกับอัลฟ่าสามคน มันจะรอดไปด้วยกันได้ไง ไอ้สวะพวกนี้ก็คงจะเล่นนอกกฎเหมือนกันสินะ น่าชวนมาร่วมแผนการโกงเกมด้วยเหมือนกัน

เอาแต่หัวเราะ ไม่ยอมพูดอะไรสักที แขกผู้มาเยือนทั้งสามจึงมองหน้ากันคล้ายกับว่าควรเล่นไม้แข็งถ้าคนตรงหน้าไม่ยอม พลันเริ่มเถียงกันว่าใครควรจะได้ครอบครองเจเรมี

การเถียงกันนั้นทำให้เจเรมีรู้ว่าทั้งสามคือกลุ่มคนที่สังหารโอเมก้าคนแรกไป จากความตั้งใจที่จะพูดถึงแผนการของเขาเรื่องการฆ่าโอเมก้าคนอื่นแล้วพากันเอาตัวรอดก็กลายเป็นว่าเขาอยากจะเล่นสนุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ใครจะเป็นคนแรก” เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากหนา

ทั้งสามหันไปมองหน้าเจเรมีอย่างรวดเร็ว

“ฉันถามว่าใครจะเป็นคนแรก”

เป็นคนแรกเรื่องอะไรคงไม่ต้องให้อธิบาย อัลฟ่าสามคนนั้นเถียงกันอีกนิดหน่อยก่อนจะได้ตัวแทน

“ในฐานะที่ฉันเป็นคนพาพวกนายเดินมาทางนี้ ฉันจะเป็นคนแรก” ว่าพลางแสยะยิ้ม อีกสองคนจำต้องยอมอย่างไม่ยินดีสักเท่าไหร่นัก ทว่าก็คิดไว้ว่าค่อยชิงมาทีหลังก็ยังไม่สายเพราะอย่างไรก็มีแค่อัลฟ่าคนเดียวที่รอดชีวิตอยู่แล้ว ขอแค่ให้ได้ครอบครองโอเมก้าก่อนก็พอ หลังจากนี้ค่อยว่ากัน

“เข้ามาสิ” เจเรมีพยักหน้าเรียก ท่าทางดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนอัลฟ่าพวกนั้นไม่ได้ตระหนักถึงความอันตรายเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเจเรมีพ่นประโยคต่อไปออกมา ก็ไม่มีใครฉุกใจคิดสักนิด “อยากให้ฉันอยู่ในท่าไหนดีล่ะ”
คนฟังถึงกับพากันหัวเราะด้วยไม่คิดว่าจะง่ายดายขนาดนี้

ไหนใครบอกว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่จัดการยากกัน คุยง่ายกว่าโอเมก้าคนก่อนหน้าที่พลั้งมือฆ่าไปเสียอีก

“ขึ้นอยู่กับว่านายถนัดถ่างขาในท่าไหน” ตัวแทนที่ก้าวเข้ามาตามการเรียกของเจเรมีว่าพลางยกมือขึ้นลูบปลายคาง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะแผนการของตนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น

หากแต่เขาคิดผิด เพราะทันทีที่ก้าวเข้าหาเจเรมี อีกฝ่ายก็เหยียดยิ้มพราย

“งั้นก็...ท่านี้เป็นไง!”

ไม่เพียงแต่เหยียดยิ้ม ชะแลงในมือก็เหวี่ยงออกไปด้วย แท่งเหล็กฟาดเข้าที่ซีกหน้าของอัลฟ่าคนนั้นอย่างจังจนร่างใหญ่ล้มลงไปท่ามกลางความงุนงงของอัลฟ่าอีกสองคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่

ท่าที่ว่าไม่ได้หมายถึงท่าทางในการร่วมเพศ แต่หมายถึงท่าทางในการลงทัณฑ์พวกสวะอัลฟ่าต่างหาก!

เจเรมีไม่ปล่อยให้ใครได้ตั้งตัว ฟาดไปทีหนึ่งแล้วก็พุ่งถลาเข้าไปกระหน่ำฟาดตามเนื้อตัวไม่ยั้งอีกชุดใหญ่ เขาเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ก็ไม่ปาน ชะแลงเหล็กถูกเหวี่ยงกระแทกบนร่างกายของอัลฟ่าคนนั้นนับครั้งไม่ถ้วนกระทั่งร่างนั้นแน่นิ่งไป

ยัง...ยังไม่ตาย แต่อาการสาหัสในชั่วพริบตา

เจเรมีถอยห่างออกมา ยกชะแลงที่มีคราบเลือดสีแดงสดขึ้นพาดบ่า เชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อยพลันแสยะยิ้ม
“ใครจะเป็นรายต่อไปก็เข้ามา” ว่าจบก็ชูนิ้วกลางด้วยมือข้างที่ว่างขึ้นในระดับสายตา

อัลฟ่าทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดมาก่อนว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ ในขณะที่ความเกลียดชังพร่างพรายเข้ามาในใจของเจเรมีจนคับแน่น

คนที่ตัดหน้าฆ่าโอเมก้าก่อนเขา ไม่สมควรมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว

ถ้าจะแหกกฎ ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามแผนของเขาเท่านั้น!
 -----------------------------------
ขุ่นคริสแซ่บเว่อร์ กีสสสส ข่นบ้า ข่นหลงเมีย 555
นี่ถ้ามีลูก ไม่อยากคิดเลยว่าจะหลงทั้งลูกทั้งเมียขนาดไหน
แต่แอบกระซิบบอกไว้ก่อนว่าเจมีจะไม่ท้องจนกว่าจะตอนพิเศษนะคะ เพราะหนูแดงไม่เน้นเรื่องท้องเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากอ่านตอนนั้น รอติดตามแบบรูปเล่มหรือ Ebook นะ กิกิ (เนียนขายของ)

อันนี้เป็นรายละเอียดการเปิดพรีเซลกับ สนพ.รักคุณ อย่างคร่าวๆ ค่ะ
ที่เหลือรอทาง สนพ.แจ้งอีกทีนะคะ คาดว่ามาสิ้นเดือนนี้หรืออย่างช้าหลังงานหนังสือจ้า
รอกันก่อนนะ

https://www.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/1232840493438468/?type=3&theater

ป.ล.ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันด้วยจ้า แม้หน่องเจมีจะโดนด่าตลอดทั้งเรื่อง แต่คนเขียนก็อยากได้กำลังใจอยู่นะ 555

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2017 00:00:59 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ PiiNaffe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
เจมี่เเซบเวอร์  :hao7:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อยากเห็นเดร็กกับธีโอกลายเป็นเศษสวะ รับกรรมที่ทำไว้

พี่คริสที่รัก หลงเมียทุกท่า
เมียที่รักก็แซ่บทุกท่าแม้กระทั่งท่าฟาดหัวคน 555555

เอ๊ะ! เขาไม่ท้อง อย่างนั้นก็แซ่บกันไร้กังวลดิ  :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด