[END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]  (อ่าน 124827 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นี่แอบกังวลกลัวเจมี่ท้องแล้วบู๊ไม่ถนัด สรุปสบายใจ ขุ่นคริสจะทำแค่ไหนก็ได้ ไม่ท้อง เย่ !  :z2:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
แซ่ปมาก บอกเลยว่าแซป!!
ปลื้มเจมี่ รักเธอ!!
ขอกรี๊ดดังๆทีนึง กรี๊ซซซซซ!!

ออฟไลน์ lady_panko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
โอ้วเยี่ยมไปเรย แซ่บแสบทรวงมาก

ปล พ่อบ้านใจกล้าไปหาน้ำถึงไหนแล้วคะ มาดูเมียหน่อย

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ไม่รุ้จะเริ่มยังไงดี มันหนักอกหนักใจไปหมดด
เรื่องนี้เป็นธีม dystopia ที่ให้ความรู้สึก cruel เรื่องนึง
รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับลูก้าเลยจริงๆ ความรู้สึกนางต่อหนูเจมี่มันบริสุทธิ์มากๆ พอเจมี่เป็นคนสั่งฆ่าปุ๊บ มันก็เหมือนทรยศความซื่อสัตย์ดีๆ นี่เอง
ในขณะที่หนูเจมี่ไม่ใยดีอะไรเลยหลังจากนั้น บางทีก็อยากสกรีมดังว่านางต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ #อินเหรอ

ธีมตอนแรกดูจะเอียงไปทางเรียกร้องสิทธิ์ด้านชนชั้น พอเข้าเกมแล้วไปฆ่าโอเมก้าโดยที่แรงจูงใจไม่มากพอ และสถานการณ์ไม่บีบคั้น เลยรู้สึกเหมือนหนูเจมกลืนน้ำลายตัวเอง กลืนคำพูดว่านางพร้อมสู้เพื่อคนอื่น เพราะตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างนางกับนายพล และครอบครัว จนเหมือนว่าตัวนางมองไปที่เป้าหมายอย่างเดียวโดยไม่สนว่าต้องใช้วิธีการที่ cruel ขนาดไหน

จะไม่พูดว่านางไม่จำเป็นนะคะ ต้องรอด = ต้องฆ่า แต่ต้องฆ่าไม่ได้แปลว่าไม่ผิด ไม่ต้องรับผลของการกระทำ ลูก้ายังไม่หมดเวลา มันยังมีทางเลือกอื่นเพียงแต่นางเลือกทางที่สั้นที่สุดและไม่สนว่าต้องเหยียบหัวใครขึ้นไปบ้าง

ไม่อยากให้นางลอยนวลโดยไม่มีชนักติดหลังค่ะ มันไม่ยุติธรรม จริงจังมากไป ถถถ #อินจัด
                                             
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้เป็นงานที่เค้นอารมณ์ได้หนักและกดดันเรื่องนึงเลยค่ะ ชอบมากๆ คล้ายๆ ดู hunger game เวอร์ชั่นย่อส่วนเป็นเล่มเดียว (ที่ออกจะโหดร้ายกว่าหน่อย)

อาจจะเก็บไม่ค่อยละเอียด พลาดเกร็ดเล็กๆืไปมากพอสมควร #ว่าจะไม่พิมพ์ยาว 555
ขอบคุณพี่หนูแดงสำหรับของอร่อยๆ :mew1:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
จริงๆมิอยากให้ลูก้าตายอย่างนี้แฮะ เศร้านิดหน่อย

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
สนุก ลุ้นมาก ยังอ่านตามไม่ถึงตอนล่าสุด เดี๋ยวกลับมาเม้นใหม่

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[1]

“ว่าไง ใครจะเป็นรายต่อไป” เจเรมีถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอัลฟ่าอีกสองคนที่เหลือไม่กระดุกกระดิก
ทั้งคู่มองหน้ากันไปมา รู้กันอยู่ว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่ร้ายกาจ ผู้คุมเตือนมาแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะร้ายได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอัลฟ่าบางส่วนถึงได้กำชับกันว่าให้จัดการกับเจเรมีทันทีที่มีโอกาสถ้าหากไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยากอย่างที่พวกเขากำลังเจออยู่

โชคไม่ดีแล้ว!

“เข้ามาสิพวกสวะ อยากได้ฉันนักไม่ใช่เหรอ มัวรออะไรอยู่” เห็นอีกฝ่ายนิ่ง เจเรมีก็ร้องท้าอีก ดูก็รู้ว่าทั้งสองคนตรงหน้าใจฝ่อไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ใจฝ่อสิแปลก เห็นภาพเพื่อนร่วมทีมนอนหายใจรวยรินอย่างนั้นก็ต้องใจไม่ดีบ้างล่ะ ถึงเจเรมีจะไม่ได้ฆ่า แต่การทำร้ายจนลุกไม่ขึ้นอย่างนั้นก็เสี่ยงต่อการเอาชีวิตไปทิ้งไม่น้อย

ทว่าพวกเขาเป็นอัลฟ่า... กลุ่มคนที่อยู่บนยอดพีระมิดของสังคมในขณะที่คนตรงหน้าเป็นเพียงโอเมก้าชั้นต่ำ พวกเขาจะมาเกรงกลัวเจเรมีไม่ได้

เจเรมีก็แค่โอเมก้าที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเอาชนะอัลฟ่าได้ ไม่จำเป็นต้องกลัว!

ทั้งคู่ฉุกคิดได้ขึ้นมา เพราะรู้ดีแก่ใจจึงสะกดความกลัวลงไป กระชับอาวุธที่อยู่ในมือ
“แกมันแส่หาเรื่องเจ็บตัวชัดๆ” หนึ่งในนั้นพูด ทำเอาเจเรมีถึงกับเลิกคิ้วสูงพลันหัวเราะ

ใครกันแน่ที่หาเรื่องเจ็บตัว

เป็นความมั่นใจเมื่อเห็นแววตาไหวระริกบ่งบอกถึงความหวาดหวั่นของคู่ต่อสู้ แม้ทั้งสองจะเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไรถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับคนที่ป่าเถื่อนและบ้าดีเดือดกว่า

กระนั้นหนึ่งในนั้นก็ยกอาวุธในมือขึ้น ปากส่งเสียงดังข่มขวัญ
“ตอนแรกก็คิดจะเก็บแกเอาไว้ แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ก็ตายซะ!”

อาวุธในมือซึ่งเป็นปืนหน้าไม้ถูกเล็งมาทางเจเรมีแล้ว หากแต่เจเรมีเร็วกว่า แค่เห็นอาวุธที่สามารถคร่าชีวิตเขาได้จ่อมา เขาก็พุ่งเข้าไปกระโดดถีบอีกฝ่ายในเสี้ยววินาทีเป็นที่เรียบร้อย

เมื่ออัลฟ่าคนหนึ่งล้มลงไป อัลฟ่าอีกคนก็ไม่ปล่อยให้เจเรมีได้โอกาส อาศัยจังหวะที่เจเรมีกำลังเงื้อชะแลงเหล็กเตรียมจะลงทัณฑ์เพื่อนร่วมทีม ใช้ด้ามปืนลูกซองตีเข้าไปที่ท้ายทอยของโอเมก้าหนุ่ม

เจเรมีเซถลาเมื่อความเจ็บแปลบพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว หันไปเห็นก็แสยะยิ้มออกมา ไม่ใช่ว่าดีใจที่ถูกสวนคืน แต่เป็นเพราะรู้ว่าการต่อสู้ของเขามันง่ายขึ้นก็เท่านั้น

จะไม่ให้ง่ายได้อย่างไรในเมื่อปืนลูกซองที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อกี้นั่นมันไม่มีลูก ถ้าหากมีลูกกระสุน ป่านนี้คงจะใช้ยิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่เอามาฟาดเขาให้เปลืองแรงอย่างนี้หรอก

ดูท่าจะใช้จัดการอัลฟ่าด้วยกันเองไปหมดแล้ว แต่เหมือนจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่เพราะยังไม่เห็นได้ยินการประกาศจำนวนของผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่รอบใหม่เลย

แต่จะอะไรก็ช่าง ในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่เจเรมีต้องระวังซึ่งก็คือปืนหน้าไม้ ตั้งหลักได้ เขาก็พุ่งเข้าไปเตะเอาปืนหน้าไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นออกห่างอัลฟ่าพวกนั้น เสียงสบถก่นด่าดังขึ้นไปทั่ว ก่อนที่ทั้งสามจะเปิดฉากต่อสู้กันอีกครั้ง

การกำราบเจเรมีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ไม่ได้ยากถ้าหากมีจำนวนเยอะกว่า มีโอกาส อัลฟ่าคนหนึ่งก็รั้งแขนทั้งสองข้างของเจเรมีไปไว้ข้างหลัง เตะตัดข้อพับขาให้ล้มลงในขณะที่อีกคนประเคนหมัดใส่ใบหน้าเข้าอย่างจัง ตามด้วยหน้าท้องอีกหลายหมัดเพื่อให้สิ้นฤทธิ์

มือที่ถือชะแลงอยู่คลายออก ร่างใหญ่ทรุดตัวไปบนพื้น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนเขาจะถูกตรึงให้นอนราบกับพื้น คนหนึ่งรั้งแขนทั้งสองข้างของเขาไว้เหนือศีรษะ ในขณะที่อีกคนอยู่ทางปลายเท้า

“ฤทธิ์เยอะนักนะ ร้ายอย่างนี้ ฉันจะทำให้จำไปจนตายเลย” คนที่อยู่ทางปลายเท้าและเป็นคนต่อยท้องเมื่อครู่ร้องบอก พลันกระชากขอบกางเกงของโอเมก้าหนุ่ม มองดูก็รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป

เจเรมีกัดฟันแน่น พยายามข่มความเจ็บปวดให้เร็วที่สุดเพื่อจะดิ้นรนเอาตัวรอดต่อไป ทว่าร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจเลย เขายังคงจุกเสียดบริเวณช่องท้องจนขยับตัวได้ไม่ดีนัก ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงทันที

ไอ้เวรคริสมันอยู่ไหนของมันวะ!

พอคิดว่าไม่น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ในวินาทีนี้ก็พลันนึกถึงคริสขึ้นมา ไม่รู้ว่าไปหาน้ำที่ทวีปไหนถึงได้หายไปนานขนาดนี้ และไม่รู้ว่าอะไรดลใจ พอจะมีแรงขึ้นมาหน่อย เจเรมีก็ร้องตะโกนลั่น

“คริส!” เสมือนจิตใต้สำนึกบอกให้ร้องออกไปอย่างนั้น
อัลฟ่าทั้งสองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้ม
“เรียกหาคู่ตัวเองให้มาช่วยหรือไง”

ใช่... เข้าใจถูกแล้ว

เสียงของเจเรมีที่ดังก้องไปทั่วเมื่อครู่ทำให้คริสที่กำลังเดินกลับมายังจุดที่เจเรมีอยู่ออกวิ่งสุดฝีเท้าทันที ข้าวของที่หยิบติดมือไปในตอนแรกโยนทิ้งทั้งหมด มีเพียงปืนยาสลบเท่านั้นที่เอากลับมาด้วย พอกลับมาถึงยังที่หมายและเห็นว่าคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองกำลังถูกรุม เขาก็ไม่รอช้า ถลาเข้าไปหาอัลฟ่าพวกนั้นและจัดการกับคนที่อยู่ทางด้านปลายเท้าของเจเรมีก่อน

สันปืนกลายเป็นอาวุธชั้นดีเมื่อมันกระแทกใบหน้าของคู่ต่อสู้ เลือดสีแดงสดไหลรินจากรูจมูก ความมึนงงจากแรงปะทะทำให้คนถูกทำร้ายมึนงงจนเคลื่อนไหวไม่ได้ไปชั่วขณะ คริสจึงหันไปเล่นงานกับคนที่อยู่ทางศีรษะของเจเรมีได้

เท้าข้างหนึ่งเตะสะบัดออกไป เสยเข้าที่ปลายคางเต็มรัก เจเรมีหลุดออกจากการเกาะกุมได้ก็พลิกตัวไปคว้าอาวุธประจำกายของตัวเองมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปห้ามคริสเมื่อเห็นว่าคริสออกอาการบ้าคลั่งยิ่งกว่าตนเสียอีก กระทืบคนที่เพิ่งเตะเข้าไปเมื่อกี้นี้อย่างเดือดดาล

“คริส หยุด” ...เดี๋ยวมันก็ตายหรอก เจเรมีอยากพูดอย่างนี้ตบท้าย

เขาไม่ได้คิดจะฆ่าอัลฟ่าพวกนี้น่ะ แค่อยากจะสั่งสอนเท่านั้นที่บังอาจมาจับกลุ่มกันเล่นตามกติกาของเกมแล้วมาแหยมกับเขา เพียงแต่การสั่งสอนนั่นอาจจะรุนแรงไปสักหน่อย ใจจริงอยากจะเก็บคนพวกนี้ไว้ใช้ประโยชน์มากกว่า ทว่าความคิดของเขาก็แปรเปลี่ยนไปทันทีที่รั้งคริสออกมาได้ แล้วอีกฝ่ายหันมาบอกเขาเสียงเครียด

“มันเป็นคนที่ข่มขืนลูก้านะเจมี!”
เจเรมีหน้าชาวาบ ริมฝีปากหนาขยับเล็กน้อย
“นาย...ว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่าไอ้เวรนี่มันเป็นคนที่ทำกับลูก้าคืนนั้น!”

โลกของเจเรมีหมุนคว้าง เขาเชื่อว่าคริสพูดความจริงอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะกำลังโกรธที่เขาเกือบจะถูกทำมิดีมิร้าย

อัลฟ่าย่อมได้กลิ่นของอัลฟ่าด้วยกันจากร่างกายของโอเมก้าที่ถูกครอบครอง นอกเหนือจากนั้นก็ยังได้กลิ่นของโอเมก้าจากอัลฟ่าที่ครอบครองโอเมก้าคนนั้นด้วย

คริสไม่ได้โกหก!

มือข้างที่ถือชะแลงเหล็กอยู่สั่นระริกทันที ภาพใบหน้าตื่นตระหนกของลูก้าฉายวาบเข้ามาในความทรงจำ สายตามองไปยังอัลฟ่าที่ถูกเล่นงานจนนอนแบ็บ แต่ก็ยังมีแรงมากพอที่จะหนี ความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากอัลฟ่าพวกนี้เลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น จากที่เป็นฝ่ายรั้งคริสไม่ให้ทำร้ายคนตรงหน้าไปมากกว่านี้ กลายเป็นว่าเขาเองนี่แหละที่ระงับโทสะตัวเองไม่ไหว กระโดดเข้าไปฟาดชะแลงเหล็กใส่อย่างรวดเร็ว

“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
จะหนีก็หนีไม่ทัน เจเรมีกระหน่ำเหวี่ยงชะแลงใส่ทั้งศีรษะและใบหน้าเป็นที่เรียบร้อย ท่าทางกราดเกรี้ยวเสียยิ่งกว่าตอนที่สั่งสอนอัลฟ่าคนแรกนั่นเสียอีก มองดูก็รู้เลยว่าจุดประสงค์คือเอาให้ตาย

คริสไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ต้องหันไปรับมือกับอัลฟ่าอีกคนที่คว้าเอาปืนหน้าไม้จ่อมาทางเขา เพราะกระโดดหนีได้ทัน ลูกดอกที่ถูกขึ้นลำเอาไว้จึงถากต้นแขนไป แต่มันก็เรียกเลือดได้ดีเลยทีเดียว

คริสขบกรามแน่น ข่มความเจ็บปวด ใช้ปืนยาสลบยิงออกไปบ้าง กระสุนลูกดอกเจาะเข้าที่ต้นขาเต็มๆ อีกฝ่ายร้องโอดโอยเล็กน้อยก่อนจะดึงลูกดอกนั่นทิ้ง ถลาเข้ามาสู้กับคริสแบบตัวต่อตัว ถึงปืนนั่นมันจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ แต่ก็ช่วยผ่อนแรงให้คริสไปได้อยู่มากโขเมื่อระหว่างที่สู้กัน อัลฟ่าคนนั้นก็เกิดอาการสลึมสลือ ทำให้พลาดท่าถูกคริสใช้สันปืนฟาดเข้าให้ที่กรามข้างหนึ่ง แรงกระแทกส่งผลให้สลบไปในทันที

ร่างใหญ่ล้มตึงลงไป คริสทรุดตัวลงนั่งทางเหนือศีรษะ ใช้มือข้างหนึ่งรั้งที่ปลายคาง อีกข้างประคองท้ายทอยก่อนจะจับพลิกสวนทางกัน จากนั้นถึงลุกขึ้นเมื่อเห็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเหยื่อขาดช่วงไป เดินไปหาร่างที่ถูกเจเรมีทำร้ายไปก่อนหน้าแล้วก็ปล่อยทิ้งเอาไว้อย่างนั้น

อีกไม่นานก็คงจะตาย สาหัสขนาดนี้...

พลันเหลือบไปมองทางเจเรมี ฝ่ายนั้นยังคงกระหน่ำลงชะแลงใส่ร่างที่แน่นิ่งไปแล้วไม่หยุด ทำเอาเขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่บอกเจเรมีไปอย่างนั้น

ตอนนั้นมันอยู่ในภาวะโกรธจนไม่อาจคุมตัวเองได้ ทำให้เขาโพล่งออกไปทันทีที่ถูกเจเรมีห้าม มันช่วยไม่ได้ ก็เขาทนเห็นคนของตัวเองถูกใครอื่นแตะต้องร่างกายไม่ได้นี่ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษอัลฟ่าพวกนั้นแหละที่หาเรื่องใส่ตัวเอง

ใบหน้าของเจเรมีเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ปากส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับระบายความขุ่นแค้นที่อยู่ในใจ ท่าทางคุ้มคลั่งนั่นทำให้คริสเดินเข้าไปหาแล้วดึงแขนให้ออกห่าง

“พอได้แล้ว” เป็นเขาบ้างแล้วที่ต้องออกปากห้าม
อัลฟ่าคนนั้นยังไม่ตายหรอก แต่หายใจรวยรินแล้ว ปล่อยเอาไว้เดี๋ยวก็ตายไปเอง ไม่ต้องเปลืองแรงฆ่าให้เสียเวลา

เจเรมียอมหยุด ร่างกายของเจเรมีสั่นเทาและเหนื่อยหอบ เขามองคนที่นอนจมกองเลือดอย่างเกลียดชัง

ทำไม... ทำไมต้องทำกับลูก้าแบบนั้น!

คำถามมากมายผุดพรายขึ้นในใจ และเขาก็ไม่คิดที่จะให้อภัยกับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ขณะที่คริสซึ่งพอจะระงับอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเองได้แล้วรีบปรายตาสำรวจร่างกายของเจเรมี

“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม” ถามออกไปด้วยความเป็นห่วงอีกต่างหาก
เจเรมีหันมามอง สีหน้ายังคงกราดเกรี้ยวไม่เปลี่ยน จะมีก็แต่แววตาที่แสดงออกชัดเจนว่าเจ็บปวดเพียงใด

เจ็บปวดเรื่องของลูก้า... คริสเข้าใจเป็นอย่างดีจึงได้รั้งร่างคนตรงหน้าเข้ามาสวมกอด

“ไม่เป็นไรเจมี มันผ่านไปแล้ว”
ไออุ่นจากกายของคริสพอจะทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่อาจระบายความคับแค้นใจได้ทั้งหมด ตอนนี้ยังมีความตกใจพร่างพรายขึ้นมาอีกด้วยเมื่อเห็นรอยเลือดบนแขนของคริส

“นาย...” มองไปยังบาดแผล แม้จะไม่ได้พูดจนจบประโยค คริสก็รู้ว่าเจเรมีจะพูดว่าอะไร
“นิดหน่อย ฉันไม่เป็นไร”

ไม่เป็นไรบ้าอะไร ไหลจนเลือดจะหมดตัวยังมีหน้ามาทำเท่อยู่ได้!

เจเรมีไม่ยอมปล่อยให้คนใกล้ชิดเขาเป็นอะไรไปอีกคนอย่างแน่นอน เห็นคริสทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จัดการลากคริสไปหาที่พักใหม่อย่างรวดเร็วโดยลืมไปแล้วว่าตัวเองยังกระหายน้ำอยู่และเพิ่งจะผ่านการต่อสู้นองเลือดไป

คริสเองก็ไม่เอ่ยขัดเมื่อเห็นว่าเจเรมีลากเขาดุ่มๆ ไปยังอาคารที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ถึงมันจะไม่ใช่ที่พักพิงที่ดีสักเท่าไหร่เพราะมีอัลฟ่าคนอื่นป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ควรจะเข้าไปทำแผลหรือหาอาหารประทังชีวิตก่อน

หรืออย่างน้อยก็ให้เจเรมีได้พักสงบสติอารมณ์...

ในหัวของเขามีแต่ความเป็นห่วงเจเรมีเท่านั้น ไม่คิดเป็นห่วงตัวเองบ้างเลยจริงๆ









ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[2]
 
เจเรมีไม่มีอารมณ์จะมาสนใจตัวเองหรอกเพราะหลังจากที่พาคริสเข้ามายังอาคารที่ใกล้ที่สุดได้ คริสก็ออกอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงรีบพาอัลฟ่าหนุ่มไปนั่งพักยังห้องที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนใจว่าห้องนั้นคือห้องอะไร ก่อนจะออกไปหาสิ่งของที่พอจะมีประโยชน์มาอย่างรวดเร็ว

อาหารกระป๋องหมดอายุแต่ยังกินได้... กล่องยาและอุปกรณ์ทำแผล... แค่สองอย่างนี้เท่านั้นที่เจเรมีเอากลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูล็อก เลื่อนเอาโต๊ะตัวใหญ่มาวางไว้ด้านหลังบานประตูกันไม่ให้ใครพังประตูเข้ามาง่ายๆ ก่อนจะสังเกตเอาในตอนนี้ว่า
ห้องที่เขาอยู่นั้นเป็นห้องทำงานของผู้คุม

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่คริสนั่งพิงตู้เอกสารพร้อมกับเลือดที่ไหลรินไม่หยุด ดูจากอาการของคริสก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก หากไม่นับท่าทางเหนื่อยล้าของเขาที่ทำให้เขาดูเหมือนจะหมดสติไปตลอดเวลามันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
“เดี๋ยวทำแผลเสร็จแล้วค่อยนอน” เจเรมีเปรย มือควานหาอุปกรณ์ทำแผลในกล่องเป็นพัลวัน

คริสปรายตามอง พยักหน้ารับช้าๆ

เจเรมีคว้าเอาผ้าสะอาดมาซับของเหลวสีแดงสดไหลอาบแขนเป็นทางยาวอย่างเบามือเป็นการห้ามเลือด เมื่อเลือดแข็งตัวและเริ่มหยุดไหลแล้วถึงได้ลงมือทำแผลและใช้ผ้าก็อซพัน ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม ไม่ได้เป็นการทำแผลที่ถูกหลักสักเท่าไหร่นัก กระนั้นก็พยายามที่จะรักษาความสะอาดเต็มที่

ไม่นานต้นแขนของคริสก็มีผ้าก็อซพันเรียบร้อย เขาเหลือบมองผลงานของโอเมก้าหนุ่มพลันยกยิ้มเล็กน้อย
“ใช้ได้นี่”
น้ำเสียงแห้งผากเรียกให้เจเรมีตวัดหางตาไปมอง
“หุบปากแล้วอยู่เฉยๆ”

คนถูกดุทำตามที่อีกฝ่ายบอก แต่ก็ไม่วายยิ้มรับอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงทีละน้อย เสี้ยววินาทีเดียว ลำคอแกร่งก็พับไป เข้าสู่ห้วงนิทราทันควัน ทำเอาเจเรมีที่เผลอหันไปทางอื่นแวบเดียวตกใจไม่น้อยเมื่อหันกลับมา
“คริส” ปากร้องเรียกออกไปแผ่วเบาทันที ใจคิดว่าคนตรงหน้าคงจะแค่หลับ

ทว่าเรียกแล้วกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นั่นทำให้คนมองใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มทันควัน
“คริส...เฮ้ย คริส” ร้องเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เท่านั้นก็รีบเอื้อมมือไปเขย่าตัวอีกฝ่าย

ยังไร้ปฏิกิริยาอีกเช่นเคย อาการนั้นทำให้เจเรมีใจไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขาเลิ่กลั่ก คิดเป็นพัลวันว่าควรจะทำอย่างไรกับคนตรงหน้าดี ตอนนี้เขากลัวอย่างเดียวคือกลัวว่าคริสจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่ารอยแผลจากการถูกยิงนั่นจะแค่ถากๆ ทว่าก็ทำให้เสียเลือดไปเยอะเลยทีเดียว

ร้ายกว่านั้นคือบัดนี้ใบหน้าคร้ามคมของอัลฟ่าหนุ่มเริ่มซีดขาว ริมฝีปากหนาแห้งผากจนน่ากลัว ยิ่งมองก็ยิ่งเป็นกังวล ทำเอาเจเรมีอยู่ไม่สุขขึ้นมาฉับพลัน
“คริส! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตื่น!”

ไม่เพียงแต่เขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างเดียวแล้ว ใช้ฝ่ามือตบเข้าไปที่หน้าหลายต่อหลายครั้งอีกต่างหาก แรงตบแรงไม่ใช่เล่นเลย แต่มันได้ผล... มันทำให้คริสได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา

“เจมี...” น้ำเสียงแหบแห้งหลุดออกจากเรียวปาก ดวงตาปรือลืมขึ้นมองหนุ่มผมบลอนด์ที่จ้องเขาอยู่อย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “ฉันเหนื่อย ขอนอนหน่อยนะ”
“นายจะหลับไม่ได้นะคริส” เจเรมีสวนขึ้นในวินาทีนั้น ตอนนี้ไม่อยากให้คริสหลับแล้ว จู่ๆ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา

กลัวว่าถ้าคริสหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...

ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่ก็พยายามจะตบใบหน้าคร้ามเพื่อเรียกสติของคริสเรื่อยๆ

หากแต่คริสกลับคว้ามือของอีกฝ่ายไปกุมไว้ ยกยิ้มให้เป็นคำตอบราวกับรู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรและเขาก็พยายามจะปลอบโยน
“ไม่ต้องห่วง ฉันก็แค่นอนพักน่ะ” จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งและผล็อยหลับไปในชั่ววินาที
เจเรมีถึงกับอ้าปากค้าง
“นายจะมาหลับอย่างนี้ไม่ได้!” ได้สติก็ร้องเรียกเสียงดัง

หากแต่คริสไม่รับรู้อะไรแล้ว ร่างกายของเขาไม่สามารถทนกับความเหนื่อยอ่อนได้ไหว เจเรมีหัวเสียฉับพลัน ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากจะช่วยขยับร่างกายของอีกฝ่ายให้ทอดกายลงนอนเหยียดยาวเพื่อที่จะได้นอนสบายๆ โดยที่ตัวเองนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

เขากำลังเป็นห่วง...

เป็นห่วงจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว!

เป็นอาการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจตัวเองสักนิดว่าทำไมถึงเป็นห่วงคนที่หลับใหลอยู่ตรงหน้าได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ก็ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน คิดว้าวุ่นไปไกลว่าคริสอาจจะเป็นอะไรมากกว่าการที่ร่างกายอ่อนเพลีย ถึงจะให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าเป็นห่วงคนตรงหน้าไปทำไมในเมื่อเขาแค่ใช้คริสเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอด

กระนั้นก็ยังเป็นห่วง... เป็นห่วงจนไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

จะไหวไหมเนี่ย...

นั่งเฝ้าไปก็ถามคำถามนี้กับตัวเองไปไม่รู้จักจบสิ้น กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านเข้ากลางดึก เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าร่างใหญ่ที่นอนทอดยาวอยู่เริ่มคุดคู้และสั่นเทาขึ้นมาทีละน้อย

เจเรมีขยับกาย เอื้อมมือไปอังที่หน้าผากและลำคอของคนตัวใหญ่กว่าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใบหน้าจะยุ่งเหยิง

ตัวร้อน...

คาดว่าน่าจะเป็นไข้เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไปถึงได้อ่อนแอขึ้นมาอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการทำให้ร่างกายของคริสอบอุ่น

ร่างใหญ่สั่นเทิ้มมากกว่าเดิม นอนคุดคู้เสียจนไม่ต่างอะไรจากกุ้ง ทำเอาเจเรมีต้องรีบลุกขึ้นหาผ้ามาห่มกายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถหาผ้าห่มได้ดีมากกว่าผ้าม่านที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างเลย ทว่าเขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว กระชากผ้าม่านออกจากราว สะบัดไล่ฝุ่นสองสามทีแล้วนำมาคลุมตัวของคริสอย่างรวดเร็ว

มันใหญ่พอที่จะคลุมร่างใหญ่ได้ทั้งหมด แต่ดูแล้วจะไม่สามารถสร้างความอบอุ่นให้กับคริสได้ เขายังคงสั่นเทา...สั่นเสียจนเจเรมีหวั่นใจว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป คริสอาจจะเกิดภาวะช็อกได้ จึงตัดสินใจถอดเสื้อของตัวเองออก

...ไม่เพียงแต่เสื้อ กางเกงด้วยเช่นกัน

พริบตาเดียวก็เหลือแต่ร่างกายเปล่าเปลือย ซ้ำยังถลกผ้าม่านขึ้น จัดการถอดเสื้อผ้าของคริสออกอีกด้วย

เปลื้องผ้ากันทั้งคู่...จากนั้นก็เอนกายลงข้างๆ ดึงร่างใหญ่มาแนบชิดกายโดยให้ใบหน้าของคริสซุกอยู่ที่แผ่นอกของตัวเอง ก่อนจะตวัดขาและแขนโอบกอดร่างใหญ่และใช้ผ้าม่านคลุมทับอีกชั้น

ร่างกายของคริสสั่นเทาในอ้อมแขนของโอเมก้าหนุ่มไม่หยุด เจเรมีไม่อาจเบาใจได้เลยว่าการทำแบบนี้จะทำให้อาการของคริสดีขึ้น แต่เขาก็ทำ อย่างน้อยก็ขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อรักษาชีวิตของผู้ชายคนนี้เอาไว้
มือกดท้ายทอยของคริสให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนมากกว่าเดิม กอดก่ายแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ไออุ่นจากร่างกายส่งผ่านไปยังคนตรงหน้า ในหัวคิดฟุ้งซ่านไปในแง่ลบสุดกู่

ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้ตาย...

จะอาการหนักหนาขนาดไหน ก็ห้ามตายเด็ดขาด!
 
เสียงตามสายของเจ้าหน้าที่ที่ประกาศจำนวนอัลฟ่าและโอเมก้าที่เหลืออยู่ในเกมดังไปทั่วเกาะ ปลุกให้คริสตื่นจากนิทรา

โอเมก้าเหลือสาม อัลฟ่าเหลือห้า...

จำนวนลดลงไปเพราะฝีมือของพวกเขาเมื่อวานนี้ล่ะสินะ

เจ้าหน้าที่พวกนั้นคงจะส่งโดรนไปสำรวจทั่วเกาะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากรู้สึกว่าการตื่นนอนในวันนี้มันช่างไม่สบายตัวเอาเสียเลย

อึดอัด... รู้สึกอย่างนั้น ก่อนจะรู้สึกตัวว่าที่อึดอัดเป็นเพราะเขาอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน

เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจเรมีกำลังใช้คางเกยศีรษะเขาอยู่ขณะหลับปุ๋ย ส่วนเขาเองนอนหนุนแขนข้างหนึ่งของเจเรมีโดยมีแขนอีกข้างของอีกฝ่ายพาดอยู่บนตัว อะไรไม่ว่า เขายังถูกจับแก้ผ้าและหันหน้าเข้าหาร่างกายเปลือยเปล่าของเจเรมีอีกต่างหาก

ไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่คาดว่าสภาพร่างกายของเขาคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ และเขาก็ไม่สนที่จะหาคำตอบด้วย แค่เห็นว่าเจเรมีดูแลเขาเป็นอย่างดี มันก็อดใจไม่ได้ที่จะประทับจูบลงบนแผ่นอกตรงหน้า ก่อนจะกลายเป็นความมันเขี้ยว จากจูบเป็นการทำร่องรอยความเป็นเจ้าของเสียอย่างนั้น

สัมผัสแผ่วเบาจากการดูดดึงของคนในอ้อมกอดเรียกรอยย่นระหว่างคิ้วสวยของเจเรมี เปลือกตาเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พอเห็นว่าสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราคือคริสที่กำลังทำคิสมาร์กบนหน้าอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น

“ทำเวรอะไรของนายอยู่” ไม่ใช่การโวยวาย แต่เป็นการถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
คริสเหลือบตาขึ้นมองพลันผละริมฝีปากออกมา “ฉันทำให้ตื่นเหรอ?”

ก็เออสิวะ!

แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงชำเลืองมองร่องรอยแดงช้ำแห่งใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนผิวกายเท่านั้น ก่อนจะใช้มือข้างที่พาดลำตัวของคริสอยู่อังที่หน้าผากคนตัวใหญ่กว่า

ตัวของคริสไม่ร้อนเหมือนเมื่อคืนแล้ว เกือบจะเป็นอุณหภูมิปกติ แต่ก็ยังรุมๆ อยู่นิดหน่อย

ท่าทางนั้นทำให้คริสอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าจริงจังของเจเรมีตอนวัดอุณหภูมิร่างกายเขา คริสก็ปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิดจนถูกเจเรมีดุเอา
“ยิ้มเวรอะไร”

คริสยังคงกอดเจเรมีอยู่อย่างนั้น กัดริมฝีปากตัวเองคล้ายกับว่าพยายามกลั้นยิ้ม หากแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักจนต้องกระแอมสองสามที
เพื่อตั้งสติ พลันพูดออกไปเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนในอ้อมแขน
“ฉันคิดว่านายก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกัน”
“ฉันแค่ไม่อยากเห็นใครมาตายเพราะฉัน” เจเรมีเบนสายตาไปด้านข้างขณะพูด

ไม่อยากเห็นใครมาตายเพราะตัวเองงั้นเหรอ? แล้วที่ประกาศจำนวนผู้รอดชีวิตเมื่อเช้านั่นหมายความว่าคนที่ตายไปไม่ใช่เป็นเพราะเขาหรือไง

แต่คริสไม่พูดหรอก เดี๋ยวบรรยากาศดีๆ จะเสีย อีกอย่างเจเรมีก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคนด้วย ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะต้องการสั่งสอนและ...แก้แค้นให้ลูก้า

จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง เขาไม่อยากจะคิดถึงมันสักเท่าไหร่นัก ก่อนจะขยับกายขึ้นมานอนเหนือกว่าเจเรมีแล้วดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนแทน ถือวิสาสะประทับจูบลงบนหน้าผากกว้าง ทำเอาเจเรมีจ้องเขม็ง
“อะไร!”
คริสเหยียดยิ้ม ฉกหอมแก้มไปอีกที
“อะไรของนายวะเนี่ย!” ตอนนี้ถึงขั้นโวยวายแล้ว แต่ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าคนฉวยโอกาส

“เป็นเพราะนายแท้ๆ อาการของฉันเลยดีขึ้น ขอบใจนะ”
“ฉันแค่ไม่อยากเห็นนายมาตายเพราะช่วยฉัน” เจเรมีพูดในน้ำเสียงระดับปกติ รู้สึกดีระคนเก้อเขินเหมือนกันที่ได้ยินคริสพูดอย่างนั้น

“จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ที่จู่ๆ ไข้ขึ้นคงเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แบบว่าใช้แรงเยอะ...”
“สู้กับพวกสวะนั่นน่ะนะ?”

คริสส่ายหน้าเป็นคำตอบ เจเรมีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้คริสพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเพราะอะไร

“อย่าบอกนะว่า...”
“อืม มีอะไรกับนายมากไปหน่อย ร่างกายเลยอ่อนเพลียน่ะ พอซัดกับพวกนั้นอีกก็เลยเกินลิมิตที่ร่างกายจะรับไหว”
เท่านั้น เจเรมีก็ผลักคนตรงหน้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนปล่อยหมัดหลุนๆ ใส่ต้นแขนล่ำของคริสทันที
“สมควรปล่อยให้ตายเหมือนหมาจรจัด ไอ้เวรคริส!”

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระอะไรได้ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ถ้ารู้ว่าที่คริสอ่อนแรงเป็นเพราะเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่า ป่านนี้เขาปล่อยให้จมกองเลือดตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!

คริสถึงกับหัวเราะร่วน เก็บอาการขรึมไม่อยู่เลยทีเดียวขณะที่ใบหน้าของเจเรมีบูดบึ้งเสียจนน่ากลัวว่าอีกครู่เดียวเขาคงจะคว้าอะไรมาทุบหัวคริส โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกเสียจากส่งสายตาหงุดหงิดให้เท่านั้น
“แต่ก็ต้องขอบใจนายจริงๆ ที่ดูแลฉัน ไม่อย่างนั้นคงจะอาการแย่กว่านี้”
“ฉันพลาดเองที่ช่วยนาย” เจเรมีบ่นอุบให้คริสได้หัวเราะอีกเล็กน้อย

น่ารักดี... ถึงจะกระด้างกระเดื่องแต่ก็น่ารักดี

เป็นเขาคนเดียวที่มองเจเรมีอย่างนั้น พลันหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปเมื่อเจเรมีเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ พวกมันเป็นยังไงบ้างแล้ว” ถามถึงอัลฟ่าที่จัดการไปเมื่อวาน เมื่อสักพักเหมือนเขาจะได้ยินเสียงประกาศแต่เพราะหลับลึกพอสมควรเลยฟังไม่ทันว่ามีเนื้อความว่าอย่างไร
“ตายหมด ตอนนี้เหลือโอเมก้าสาม อัลฟ่าอีกห้า รวมนายกับฉันแล้ว”

เจเรมีพยักหน้า เงียบนิ่งไปคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

จริงๆ แล้วเขารู้สึกแย่และเสียดาย อัลฟ่าพวกนั้นควรสร้างประโยชน์ให้กับเขาแท้ๆ แต่กลับต้องมาสู้กันจนถึงขั้นตายแบบนี้มันเป็นการตายที่เสียเปล่าไม่ใช่น้อย

ท่าทางนิ่งงันนั้นทำให้คริสได้พูดขึ้นมา
“จำนวนคนลดลงแล้ว แถมไม่เป็นไปตามแผนนายด้วย มันจะลำบากขึ้นนะถ้าเรายังจะทำอย่างนั้น กลับไปใช้วิธีเดิมไหม” เขาหมายถึงกลับไปทำตามกติกาของเกมเพื่อเป็นผู้ชนะ

ไม่ใช่ว่าเจเรมีจะไม่รู้ว่าทุกอย่างจะยากขึ้น แต่พอเขาคิดถึงใบหน้าของลูก้าแล้ว เขาก็จำต้องยืนยันคำเดิม
“ฉันจะทำตามแผนของฉัน”
“แต่นายจะลำบาก...”
“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง แต่เลิกพูดเถอะ รำคาญ ฉันจะทำตามวิธีของฉัน” หันไปขึ้นเสียงใส่คริสจนได้ เขาไม่ชอบเท่าไหร่ที่คริสมาทำให้ความมุ่งมั่นของเขาเอนเอียง

ความจริงคริสก็อยากจะตอแยให้เลิกล้มแผนการนั้น แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาจริงจังของเจเรมีแล้ว เขาก็ต้องยอมแพ้

ไม่ใช่ยอมเพราะคนตรงหน้าเป็นเจเรมี แต่เพราะรู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไรต่างหาก เขาถึงยอมแต่โดยดี คนอย่างเจเรมีน่ะ แม้จะเป็นคนดื้อดึง ก้าวร้าวและมั่นใจในตัวเองเกินเหตุ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนทำเอาตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ทว่าลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นมากเลยทีเดียว

เมื่อก่อนอาจจะไม่ใช่ แต่เริ่มในตอนนี้... ในหัวของเจเรมีมีแต่คำว่า ‘ต้องรอด’ เท่านั้น นั่นทำให้คริสต้องถอนหายใจออกมา
“นายนี่มันรั้นสุดๆ ไปเลย” พลันเอามือไปดึงแก้มของคนตรงหน้าก่อนพูดขึ้นอีก “แต่นายจะทำตามแผนของนายต่อก็ได้ เพราะยังไงฉันก็จะไม่ทิ้งนาย” คริสย้ำคำที่เขาเคยบอกกับเจเรมีไว้ก่อนที่จะเข้ามาร่วมเกมนี้อีกครั้ง

ความมั่นใจของเจเรมีที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ทวีมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกแย่ก่อนหน้าค่อยๆ มลายหายไป กลายเป็นความอุ่นใจขึ้นมา

“ถ้านายทิ้งฉัน นายจะรู้เลยว่านรกมันเป็นยังไง” แทนที่จะขอบคุณหรือตอบรับด้วยคำพูดที่ทำให้คริสชื่นใจ กลับเป็นการขู่เสียอย่างนั้น

คริสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ปล่อยเจเรมีออกจากอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาถือเตรียมจะแต่งตัว

หากแต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร น้ำเสียงทุ้มก็ดังมาให้ได้ยิน
“ฉันเองก็จะไม่ทิ้งนายเหมือนกัน ไม่มีวัน...” พูดโดยไม่หันหน้ามามอง

คริสมองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้วก็หุบยิ้มไม่ได้ เขาไม่รู้หรอกว่าเจเรมีคิดอะไรอยู่ขณะพูดประโยคนี้ออกมา รู้เพียงอย่างเดียวว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้กับผู้ชายคนนี้มันทวีมากขึ้นกว่าเดิมเสียจนไม่อาจกักเก็บไว้ได้

เขาไม่ได้หลงเจเรมีแล้วล่ะ แต่มันเรียกว่า...

คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะรู้สึกอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ ความคิดจึงหยุดลงแค่นั้น ล้มตัวนอนพักผ่อนต่อเมื่อได้ยินเสียงสั่งจากปากโอเมก้าหนุ่ม

ถ้าหากรอดไปจากที่นี่...

ถ้าหากว่าได้รับอิสระ...

เขาจะพูดคำนั้นให้เจเรมีฟังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...




 
การเล่นสกปรกของเดร็กทำให้เจอโรมไม่อาจทนอยู่นิ่ง เขาใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวในการติดต่อพรรคพวกของเขาหลายๆ คนเพื่อหาที่อยู่ของคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อได้คำตอบถึงได้เตรียมการเดินทางไปยังสถานที่นั้น

แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นความลับ เรื่องที่เขาทำอยู่จะเข้าหูเดร็กไม่ได้เด็ดขาด

การปลอมตัวจึงจำเป็นในแผนการครั้งนี้ เขาให้คนอื่นมาปลอมตัวเป็นเขาและแฝงตัวอยู่ในบ้านตามปกติ ส่วนเขากลับปลอมตัวเป็นพ่อค้าโอเมก้า ใส่หนวดเคราะปลอมและสวมผ้าคลุมศีรษะ ซ้ำยังให้อัลเบิร์ตปลอมตัวเป็นโอเมก้า สร้างเรื่องว่าเจอโรมซื้อตัวโอเมก้าคนนี้มาบำบัดความเครียดจากปัญหาที่รุมเร้าถึงที่บ้าน จากนั้นก็ให้แมทธิวขับรถพาออกจากมหานครเพิร์ลมุ่งหน้าสู่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออน

อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนในตอนนี้ดูทรุดโทรมและล้าหลังกว่ามหานครเพิร์ลอยู่มาก ตั้งแต่ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของมหานครเพิร์ล ทุกอย่างในอาณาเขตนี้ก็เหมือนจะแย่ลงไปทันตา

แย่เสียจนประชาชนบางส่วนพากันล้มตายเพราะขาดแคลนอาหาร...

ไม่มีคำใดมาพรรณนาความเลวร้ายของสถานการณ์ในอาณาเขตแห่งนี้ได้ และเจอโรมก็ไม่สนใจที่จะเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับสถานการณ์ของประชาชนที่นี่ด้วย เขาต้องการทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จมากกว่า

ตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองเป็นจุดหมายที่พวกเขาต้องการมา ภายในนั้นมีบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้เรียงรายอยู่เต็มสองฝั่ง มองเผินๆ ก็รู้ว่ามันคือสลัม แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปและหยุดลงที่ประตูหน้าบ้านหลังหนึ่ง ครั้นจะเอื้อมมือไปเคาะประตู ชายฉกรรจ์หลายคนที่อยู่ในละแวกนั้นก็เข้ามาขวางพลันถามเสียงแข็ง

“พวกแกเป็นใคร มีธุระอะไรที่นี่”
เจอโรมถอดเครื่องแต่งกายอำพรางหน้าตาออก เปิดเผยตัวเองโดยไม่เกรงกลัว

ไม่ต้องให้แนะนำตัว ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็จำได้ดีว่าเจอโรมเป็นใคร
หนึ่งในตระกูลผู้นำของมหานครเพิร์ล คนที่ทำให้พวกเขามีชีวิตตกต่ำขนาดนี้!
“แก!” ชายคนหนึ่งเกือบจะอดใจไม่ไหว พุ่งเข้ามาหาเจอโรมหมายจะฆ่า ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อแมทธิวซึ่งอยู่ทางด้านหลังชักปืนออกมาจ่อดเตรียมยิง

จังหวะนั้นเองที่เจอโรมได้พูดต่อ “ฉันมาหาผู้นำของพวกนาย”
“กลับไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับ” ชายฉกรรจ์อีกคนที่เผชิญหน้ากับแขกไม่พึงประสงค์ออกปากบ้าง
เจอโรมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องถูกปฏิเสธอย่างนี้ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอให้ได้
“แต่ฉันต้องคุย”
“กลับไปซะถ้าไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่” พูดไม่ฟังก็ต้องขู่
“ฉันไม่กลับ มันเป็นเรื่องสำคัญ”
“สงสัยจะพูดกันไม่รู้เรื่องซะมั้ง”

อัลเบิร์ตขยับตัวไปหลบหลังบิดาทันทีที่ถูกพยักหน้าเรียก สถานการณ์ดูไม่ดีเอาเสียเลย ถึงแมทธิวจะมีปืนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ชายฉกรรจ์หลายคนที่มีความแค้นต่อผู้นำของมหานครเพิร์ลได้

ทว่าเสียงพูดคุยกันนั้นสร้างความรำคาญใจให้กับคนที่อยู่ด้านในของบ้านเป็นอย่างมาก เขาเกือบจะสั่งให้ชายพวกนั้นจัดการให้เสร็จๆ ไปเสียแล้วถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงของเจอโรมแว่วมา
“พูดกันรู้เรื่องแน่ถ้าเป็นเรื่องของคริส ฟ็อกซ์”

เท่านั้นประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดผางออกมาทันที ชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยกับเจอโรมหากแต่ท่าทางหน้าเกรงขามปรากฏกายให้เห็น เขาโบกมือไหวเล็กน้อย บรรดาชายฉกรรจ์ที่รายล้อมแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ก็พากันถอยออกห่าง เปิดทางให้เขาเข้ามาแทนที่

“มีธุระอะไร” เอ่ยปากถามเป็นที่เรียบร้อย
นั่นแหละคือสิ่งที่เจอโรมอยากได้ยิน ก่อนที่เขาจะว่าจุดประสงค์ของตัวเองออกไปตรงๆ
“ผมต้องการความช่วยเหลือ ถ้าคุณอยากช่วยชีวิตทายาทของตระกูลฟ็อกซ์ เราก็มาคุยกัน”

อีกฝ่ายนิ่งไป ก่อนจะพูดเสียงเบา “เข้ามาก่อน ตรงนี้มันล่อสายตา”

จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน ปล่อยให้แขกทั้งสามก้าวตามเข้ามา

ประตูบ้านปิดลง บทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเคร่งเครียด
-------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ตอนนี้มีหลายอารมณ์...มั้ง 55
เรื่องนี้สรุปแล้วจะเปิดพรีเซลหลังงานหนังสือนะคะ ใครต้องการรูปเล่ม รอทาง สนพ.ประกาศที่หน้าเพจอีกทีนะ ไปติดตามที่เพจนี้ได้เลย https://www.facebook.com/RakKunPublishing/

ส่วนตอนหน้า เดี๋ยวหนูแดงจะมาอัพตัวอย่างให้ดึกๆ หน่อยนะคะ ขอพักสายตาก่อน
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะงับ ตอนนี้ว่างมาลุยเรื่องนี้ละ อัพรัวๆ เลยจย้า XD

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
เจมีเป็นนายเอกที่น่าปวดหัวที่สุด ป่วนที่สุด น่ากระทืบที่สุด และแรดสุดๆ
ลุ้นมาก กลัวเจมีจะก่อเรื่องเพิ่มตลอด
แต่เพราะมีคริส เลยเบาใจไปว่านางเอานังเจมีอยู่แน่ๆ เอาไปแล้วด้วย (โดนเจมีถีบ)
ส่วนช่วงปัจจุบันนี่อารมณ์แบบhunger game เลย
หวังมากว่าจะไม่จบแบบเรื่องนั้น มันโหดร้ายเกินไป
ตอนหลังๆชอบเจมี มากๆ แซ่บ แสบทรวงได้อีก คุมปั๋วอยู่หมัดไปเลย :pighaun:
ฮาคริส หลงหัวปักหัวปำ หรือจริงๆแล้วหื่นหลบใน ทำจนหมดเรี่ยวหมดแรงไข้ขึ้น ฮ่าๆๆๆๆ ถึกไม่สู้เมียสินะ
ส่วนลูก้าผู้น่าสงสาร นี่คิดว่ายังไม่ตาย น่าจะเป็นแผนเจมี แกล้งตายอะไรอย่างนี้ใช่มั้ย ลูก้าควรได้โอกาสจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ สงสาร

คุณพ่อเจอโรมเคลื่อนไหวแล้ว กรี๊ดคุณพ่อ นางเท่ #ทีมคุณพ่อ ช่วยลูกชายได้ลูกเขยพ่วงมาด้วยนะคะคุณพ่อ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
บีบหัวใจหวะ
ความรู้สึกของพ่อพยายามช่วยลูก
ปวดใจ!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้ยเครียดขึ้นทุกตอนนนน  :ling3:

ออฟไลน์ lady_panko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ความรักมันเริ่มอบอวน รู้สึกได้

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เกือบจะอ่อนหวานแล้วเชียว

ตกลงคริสเป็นเมีย เจมีเป็นผัวใช่ไหม

ทำไมคริสดูอ่อนโยน ในขณะที่เจมี.....เอิ่ม....ไม่มีอะไร (กลัวโดนชะแลงฟาด) 5555

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อิอิสลับกันรุกรับกะดีนะ :hao6:

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
บางทีเกมที่แท้จริงอาจจะเริ่มหลังจากคิงเริ่มเดินก็ได้

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 20: ความกังวลไม่มีสิ้นสุด[1]

โอเมก้าเหลือสาม อัลฟ่าเหลือห้า…

โอเมก้าที่เหลือเหมือนจะถูกอัลฟ่าครอบครองไปแล้วด้วย คริสบอกมาว่าอย่างนั้น เจเรมีจึงตัดสินใจที่จะเล่นงานพวกโอเมก้าและอัลฟ่าที่เข้าคู่กันก่อนเพื่อกำจัดคู่แข่ง แต่ก็อย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าการล่าโอเมก้าอีกสองคนพร้อมคู่ครองมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกอย่างต้องจัดการไปเป็นทีละคู่ ถึงจะใช้เวลาสักหน่อยแต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของชายหนุ่มทั้งสอง เพียงสามถึงสี่วัน ร่างของอัลฟ่ากับโอเมก้าคู่หนึ่งก็ถูกจับห่อผ้าปูที่นอนแล้วถ่วงทะเล ส่วนอีกคู่ก็ถูกฝังลงดินในบริเวณป่าหากเป็นจุดที่โดรนสามารถสำรวจได้ง่าย

เป็นแผนของเจเรมีอีกเช่นกันที่ไม่ปล่อยศพทิ้งเรี่ยราดอย่างตอนต่อสู้กับอัลฟ่าสามคนก่อนหน้า นับว่าเป็นการเสียเวลาไม่ใช่น้อยที่ทำอย่างนี้เพราะไม่ว่าอย่างไร ตอนสุดท้ายของเกมก็จะมีเจ้าหน้าที่มากำจัดศพอยู่แล้ว กระนั้นเจเรเมีก็ดึงดันที่จะอำพรางศพด้วยวิธีต่างๆ

การกระทำนั้นทำให้คริสหวั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ตอนนี้เหลืออัลฟ่าที่ต้องกำจัดอยู่อีกสอง หากกำจัดได้ พวกเขาก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ มีเวลาเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์โดยประมาณ คำนวณแล้วก็มากพอที่จะยุติเรื่องทั้งหมดเพราะหลังจากนี้พวกเขาไม่ต้องเป็นฝ่ายไปตามล่าอัลฟ่าสองคนนั้น แต่พวกนั้นจะเป็นฝ่ายมาหาเอง

ก็โอเมก้าที่จะทำให้เป็นผู้ชนะของเกมได้อยู่ที่นี่...

ต่อจากนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของคริสที่ปกป้องเจเรมีแล้ว ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับคนที่เกิดมาในตระกูลซึ่งมีหน้าที่ปกป้องดูแลคนส่วนมากอย่างคริสอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่สบายใจก็มีแต่สีหน้าบอกบุญไม่รับของเจเรมีในตอนนี้มากกว่า
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาฝังดินกลบศพอัลฟ่าและโอเมก้าคู่นั้นแล้ว หลังจากนั้นเจเรมีก็ดูอมทุกข์ตลอดคล้ายกับว่ากังวลอะไรอยู่ ทำเอาคริสที่เอนกายนอนอยู่ใต้ชะง่อนผาต้องเดินออกมานั่งเป็นเพื่อนชายหนุ่มอีกคนที่ด้านหน้า

“มีอะไรหรือเปล่า” เอ่ยปากถามออกไป ทำเอาเจเรมีที่นั่งดึงหญ้าบนพื้นเล่นชำเลืองสายตาหันมามองคนทางด้านหลัง
“ไม่มีอะไร” ตอบไปอย่างนั้นแต่มือก็ยังไม่หยุดดึงวัชพืชพวกนั้น
คริสมองตามแล้วก็ถอนหายใจ เจเรมีเป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่ง เวลารู้สึกอย่างไรมักจะไม่พูดแต่เขาก็พอเดาได้ว่าสีหน้ากังวลใจของเจเรมีที่เห็นอยู่นั้นเป็นเพราะอะไร

“นายกำลังกังวลเรื่องแผนของนายว่าจะสำเร็จหรือเปล่าใช่ไหม”

ถูกเผงเลย... คนถูกรู้ทันถึงกับชำเลืองมองอีกครั้ง ขณะที่คริสขยับกายมานั่งข้างๆ แล้วจับไหล่ของเจเรมีให้หันหน้ามาทางเขา ออกแรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อยกคนตรงหน้าให้นั่งคร่อมลงบนตัก

“พูดมาสิ” ออกปากให้ระบายความในใจออกมาอีก

ปกติแล้วถ้าถูกทำอย่างนี้ เจเรมีคงจะซัดคริสหน้าหงายไปแล้ว แต่เขากลับย่นคิ้วอย่างรำคาญแทน ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาเมื่อจัดท่านั่งได้เข้าที่

“ฉันกลัวว่าแผนจะไม่สำเร็จ” แล้วก็บอกสิ่งที่รบกวนใจตัวเองอยู่นานออกมา
“หมายถึงถูกจับได้ก่อนน่ะเหรอ” คริสเลิกคิ้วขณะถาม
“ใช่ มาคิดๆ ดูแล้ว แผนของฉันนอกจากจะเสี่ยงแล้ว มันยังดูโง่ด้วย นายว่าคนพวกนั้นจะไม่สงสัยหรือไงที่เห็นพวกเราอำพรางศพกันอย่างนี้”

นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้คริสไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ตั้งแต่แรก มันเป็นแผนที่ดี แต่ก็แค่ในช่วงแรกเท่านั้น ทำอย่างต่อเนื่องแล้วมันมีช่องโหว่ ถ้าหากสังเกตดีๆ ก็ถูกจับพิรุธได้ไม่ยาก ถ้าหากแผนการนี้ดำเนินไปจนถึงที่สุด แล้วอย่างไรต่อล่ะ มีแผนสำรองที่ดีกว่าที่เจเรมีคิดไว้อยู่ไหม?

มันไม่มี... เจเรมีคิดว่าวิธีนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ต่อให้คริสพูดอะไรหรือจะย้อนกลับไปเล่นตามกติกาของเกมมันก็ไม่ทันด้วยเรื่องของเวลา ถึงตอนนี้พวกเขามีทางเลือกเดียวคือต้องทำมันจนจบเท่านั้น

“มาจนถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอาเวลาที่นายกังวลไปคิดเถอะว่าพอเราชนะแล้วจะทำอย่างไรต่อไป” คริสว่าปลอบ

เจเรมีถึงคิดได้ว่าเขาควรจะก้าวไปข้างหน้ามากกว่าหยุดชะงักอย่างนี้
ถ้าพวกเขาชนะ... มันไม่ใช่แค่การขออิสรภาพกลับคืนหรือมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน มันต้องเป็นอะไรที่มากกว่านั้น

มากเสียจนทำให้คนที่ดึงพวกเขาเข้ามาอยู่ในเกมอุบาทว์กระอักเลือดตาย...

ใจจริงแล้วเจเรมีอยากจะขอชีวิตของเดร็กเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเองนี่แหละที่จะถูกเอาชีวิตแทน ดังนั้นแผนการหลังจากนี้ต้องเป็นไปอย่างรัดกุม อย่างน้อยก็ต้องใจเย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เย็นให้ได้เหมือนกับคริส...

เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นเหมือนอย่างคริส อย่างดีก็แค่พอจะยับยั้งความใจร้อนของตัวเองลงได้บ้างเวลามีคริสอยู่ข้างๆ
คริสเป็นเสมือนน้ำเย็นที่คอยเข้าลูบไฟอย่างเจเรมี... มันเป็นไปในรูปแบบนั้นมากกว่า

ฟังที่คริสปลอบแล้ว เจเรมีก็พอจะคลายกังวลลงมาได้บ้าง ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กน้อย ให้คริสได้ใช้แขนทั้งสองข้างลูบแผ่นหลังคนตรงหน้าเบาๆ

“เลิกกังวลอะไรไร้สาระได้แล้ว” ปลอบโยนมาอีกทีให้เจเรมีได้นิ่วหน้า
“เออ ไอ้คนมีสาระ แล้วนายล่ะ กังวลเรื่องอะไรมากที่สุด”

ถูกถามกลับบ้าง คริสก็นั่งนิ่งคิดไปครู่ก่อนที่จะเลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งมาลูบที่ซีกหน้าของเจเรมี
“กังวลเรื่องนาย” ตอบอย่างไม่คิดเลย ซ้ำยังยิ้มให้บางๆ อีกต่างหาก ทำเอาเจเรมีย่นคิ้วยู่
“ในหัวนายมีแค่เรื่องนี้หรือไง”
“มีแต่เรื่องของนายแล้วมันไม่ดีตรงไหน”

ไม่ใช่ว่าไม่ดี เขาก็ดีใจอยู่หรอกที่คริสคิดถึงเขาเป็นอันดับแรก ยอมรับตามตรงเลยว่าเขารู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ได้อยู่กับคริส แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ที่โผล่เข้ามามีส่วนทำให้ชีวิตเขาพัง ทว่าการที่มีคริสอยู่ด้วยอย่างนี้ก็ทำให้อุ่นใจไม่ใช่น้อย หากได้รับอิสระและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแล้ว เจเรมีคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะมีชีวิตโดยปราศจากคริสได้อย่างไร

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมาคิดในตอนนี้ เขายังไม่ยอมรับอัลฟ่าหนุ่มคนนี้สักเท่าไหร่ พลันตอบกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาระยิบระยับมาให้

“ชีวิตคนเรามันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิวะ กังวลเรื่องบ้าอะไร”

พูดไปอย่างนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขินอายจนต้องการเบี่ยงประเด็นหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้คริสเม้มปากแน่น ครุ่นคิดไปอีกระลอกจนได้ ก่อนจะเลื่อนมือไปประคองใบหน้าลงมาวางยังหน้าท้องของเจเรมี

“ยังมีเรื่องนี้อีกเรื่อง”
เจเรมีขมวดคิ้วเสียจนหน้าย่นราวกับไม่เข้าใจว่าคริสกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่แค่แวบเดียวก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อขึ้นมาทันควัน

“นาย...ให้ตาย! ก็อย่าให้มันมากเกินไปสิวะ!” เพิ่งตระหนักถึง ‘ความพิเศษ’ ของร่างกายตัวเองได้ในวินาทีนี้
คนตรงหน้าหมายถึงเรื่องลูกในท้องเขาอยู่!

ท้องบ้าท้องบออะไร ถึงโอเมก้าจะเป็นเพศที่ท้องได้ทั้งชายและหญิงแต่ก็ใช่ว่าเขาจะท้องในตอนนี้สักหน่อย!

...แม้ว่ามันจะสุ่มเสี่ยงจากพฤติกรรมของคริสก็ตาม

เจเรมีหน้าแดงซ่านอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันตาเรียกรอยยิ้มจากคริสได้เป็นอย่างดี เขาประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากของคนในอ้อมแขนแผ่วเบา ผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งพลันถาม

“เสียใจหรือเปล่าที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้”
จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้เจเรมีขมวดคิ้วจนเป็นปม
“อะไรอีกวะเนี่ย”
“ฉันถามว่าเสียใจหรือเปล่าที่ทุกอย่างมันเป็นแบบที่เป็นอยู่”
“ต้องเสียใจอยู่แล้ว ถามบ้าอะไร” เข้าใจว่าคริสหมายถึงสถานการณ์เลวร้ายที่เผชิญอยู่ถึงได้ตอบไปอย่างนั้น
หากแต่ก็ต้องขบคิดหาคำตอบใหม่เมื่อคริสถามเจาะลึกลงไป
“แล้วเสียใจหรือเปล่าที่เราเป็นของกันและกัน”

เลี่ยงที่จะไม่พูดว่า ‘เป็นของฉัน’ ไม่ใช่เพราะว่าเจเรมีไม่ชอบ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มองว่าเจเรมีเป็นสิ่งของหรือโอเมก้าที่มีหน้าที่เพียงให้อัลฟ่าครอบครองเท่านั้น หากแต่เขามองว่าเจเรมีเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีทัดเทียมกับเขา เพียงแต่ต่างเพศกันเท่านั้น เรื่องของระบบชนชั้นที่กำหนดโดยเพศนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เจเรมีพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้เขาจะเป็นโอเมก้า แต่ก็ไม่ได้ด้อยค่าหรือไร้ความสามารถกว่าอัลฟ่าเลย เพียงแต่โอเมก้าส่วนใหญ่เป็นไปในรูปแบบนั้นก็เท่านั้นจนมันกลายเป็นรูปแบบความเชื่อที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคม ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วว่าโอเมก้าก็สามารถเป็นผู้นำเยี่ยงอัลฟ่าได้ อย่างน้อยก็ในสังคมเล็กๆ นี้

เจเรมีกำลังเป็นผู้นำของเขา... ไม่สิ ต้องบอกว่าของ ‘พวกเขา’

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“ตอบสิว่าเสียใจหรือเปล่า” คริสถามย้ำเมื่อเห็นว่าเจเรมีเอาแต่นิ่งเงียบ
โอเมก้าหนุ่มชั่งใจที่จะตอบ แต่สุดท้ายก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่”
“หมายถึง?”
“ฉันไม่เสียใจที่นอนกับนาย...หมายถึง...เป็นคู่ครองของนาย” ตอบทั้งที่จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

ไร้ซึ่งความเขินอาย มีแต่ความจริงใจเท่านั้น นั่นเป็นข้อดีของเจเรมีที่เวลาจริงจัง เขามักจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองซึ่งต่างจากเวลาปกติที่เลี่ยงจะไม่เปิดเผยความรู้สึกสักเท่าไหร่
คริสยิ้มกว้างขึ้นมาฉับพลัน สิ่งที่ได้ยินเป็นคำพูดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจากปากเจเรมี เขารวบร่างแกร่งของเจเรมีมากอดแน่น กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“ถ้าพวกเรารอดไปจากที่นี่ ฉันสัญญาว่าจะบอกเรื่องนั้นกับนาย”
“เรื่องอะไร” อดอยากรู้ไม่ได้จึงเอ่ยปากออกไปเพราะจู่ๆ คริสก็พูดขึ้นมา

ทว่าคริสไม่ยอมบอก พึมพำเสียงเบา “ความลับ... ถ้านายอยากรู้ ก็มีชีวิตรอดออกไปให้ได้” จากนั้นก็แลบลิ้นเลียปลายหูอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

เจเรมีหัวเราะในลำคอกับท่าทางเจ้าเล่ห์ระคนขี้อ้อนนั่น เปล่งเสียงออกมาบ้าง
“ถ้าออกไปแล้วนายยังเล่นลิ้นอย่างนี้อยู่ รับรองเลยว่านายจะไม่มีลิ้นไว้เลียฉันอีกแน่”

ขู่มาอย่างนี้ก็เข้าทางคริสเลยสิ

งั้นต้องรีบเลียให้หนำใจก่อนที่จะถูกตัดลิ้นทิ้งเสียแล้วล่ะ

ไม่ใช่แค่คิด เขาจะทำจริงๆ เจเรมีหัวเราะในลำคอเมื่อลำคอของเขาถูกคนเจ้าเล่ห์ละเลงปลายลิ้นชิมความหอมหวานทีละน้อย ก่อนจะผลักคนตรงหน้าออกไม่แรงนัก ประคองใบหน้าคร้ามขึ้นมากระซิบเสียงพร่า

“ฉันจะรอดออกไปฟังความลับของนาย”

จากนั้นริมฝีปากของคริสก็ถูกช่วงชิงโดยจอมวายร้ายคนนี้

ไม่ใช่แค่ริมฝีปาก... ดูเหมือนทุกส่วนของร่างกายคริสจะถูกช่วงชิงไปด้วยเมื่อความเสน่หาพร่างพรายไปทั่วร่างของโอเมก้าหนุ่ม

คนที่ตั้งใจว่าจะเลียอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ ตอนนี้เขากำลังเป็นฝ่ายถูกกินเองเสียแล้วล่ะ...
-------------------------------------
ขอแปะครึ่งนึงก่อน ครึ่งหลังค่อนข้างเครียดเพราะต้องค่อยๆ แก้ปม
ไว้พรุ่งนี้จะมานะคะ วันนี้แวบไปเคลียร์งานอื่นมาทั้งวัน ปวดตามาก จ้องคอมฯ นานไป ;w;
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจไว้ให้กันล่วยยย เดี๋ยวมาต่อให้จ้า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ขี้อ้อนสุด ๆ ทั้งคู่เลย

สงสัยวิธีของเจมีแล้วล่ะ คกลงพวกนั้นตายหรือไม่ตาย?

เจอโรมไปทำอะไร

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
โอ๊ยยยยย ยิ่งอ่านยิ่งติด
มารัวๆเถอะนะ ว๊อนมาก

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 20: ความกังวลไม่มีสิ้นสุด[2]

ได้รู้สถานการณ์ความเลวร้ายที่บุตรชายเผชิญอยู่เรียบร้อยแล้ว เดร็กก็หวังว่าจะได้เห็นเจอโรมเป็นเดือดเป็นร้อนจนนั่งไม่ติดกับที่ ทว่าความคาดหวังของเขาก็พังทลายเมื่อไร้ซึ่งการตอบโต้ใดๆ จากเจอโรม

อย่าพูดถึงการตอบโต้เลย แม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่มี หลายวันที่ผ่านมาเจอโรมเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเงียบผิดปกติ มีเพียงบางวันเท่านั้นที่เรียกให้คนพาโอเมก้าจากตลาดมืดมาบำบัดความเครียดบ้างก็เท่านั้น

เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่นั่นแหละความผิดปกติ คนอย่างเจอโรมไม่น่าจะเรียกโอเมก้ามาทำเรื่องอย่างว่าเพื่อระบายความเครียด

เขามีลูกเป็นโอเมก้านี่นะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่อยากกดขี่โอเมก้าซึ่งเป็นเพศเดียวกับเจเรมีอยู่แล้ว

ถ้าอย่างนั้นเรียกมาทำไมกันล่ะ?

อดสงสัยไม่ได้ พบพิรุธหลายอย่างจนต้องสั่งให้คนไปลอบสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ในใจก็หวั่นวิตกไม่ใช่น้อยว่าเจอโรมกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่ด้วยรู้ว่าคนอย่างเจอโรมน่ะ ต่อให้ถูกต้อนจนหลังชนฝา เขาก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ อย่างแน่นอน การเงียบในครั้งนี้มันอาจเป็นแผนล่อลวงให้ตายใจและเชื่อว่าเขายอมแพ้แล้วก็เป็นได้

เดร็กคาดการณ์ว่าอย่างนั้นแม้ว่าข้อสันนิษฐานนั่นจะดูง่ายดายไปเสียหน่อยสำหรับคนตำแหน่งใหญ่โตและศักดิ์ศรีค้ำคอจนก้มไม่ลงอย่างเจอโรม แต่มันก็ดูเป็นไปได้เหมือนกันในกรณีที่อีกฝ่ายไร้ทางต่อสู้แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นการดีเพราะเขาจะได้รุกฆาตหมากกระดานเกมนี้สักที

หากแต่เขาก็ทำไม่ได้ดั่งใจคิดหรอกเมื่ออีกไม่กี่วันให้หลัง เรื่องบางอย่างก็มาเข้าหูจากการรายงานของนายทหารคนสนิท มันไม่ใช่เรื่องของเจอโรม เป็นเรื่องของสถานการณ์บ้านเมืองเพราะจู่ๆ ก็การปลุกระดมมวลชนตามอาณาเขตปกครองพิเศษ

จากอาณาเขตหนึ่งสู่อาณาเขตหนึ่ง... เพียงเวลาสั้นๆ จากการปลุกระดมประท้วงธรรมดาก็กลายเป็นการเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ พลันลุกลามใหญ่โตจนความรุนแรงนั้นเข้ามาใกล้ยังมหานครเพิร์ล โดยการก่อจลาจลในแต่ละที่นั้นมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ...การปฏิวัติ

การล้มล้างกลุ่มอำนาจเก่าโดยกลุ่มอำนาจเก่า...ใช่ แกนนำของการก่อการจลาจลครั้งนี้คือเจอโรมและพรรคพวกที่ยังสวามิภักดิ์ต่อตระกูลผู้นำฟ็อกซ์ที่มาจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน นำโดยสมาชิกวุฒิสภาชั้นผู้ใหญ่ที่เจอโรมไปขอความช่วยเหลือในครั้งนั้น

เป็นเรื่องใหญ่โตเลยทีเดียว ทำเอาผู้นำอีกสามตระกูลที่ยังคงรั้งตำแหน่งอยู่ในมหานครเพิร์ลนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะรู้ว่าอีกไม่นานมันจะต้องลามมายังใจกลางมหานครเพิร์ลแน่ สิ่งที่พวกเขาควรทำในตอนนี้คือยับยั้งการก่อจลาจลทุกวิถีทาง ในขณะที่เดร็กซึ่งเป็นผู้นำทางด้านกองกำลังทหารถึงกับสั่นเทิ้มไปทั่วร่างทันทีที่ได้ยินข่าว มือคว้าเอาเอกสารรายการสถานการณ์การก่อจลาจลยังอาณาเขตปกครองพิเศษแห่งหนึ่งมาขยำทิ้ง ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดเมื่อพอจะเดาได้ว่าใครเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

เขาพลาด...เพียงเวลาไม่กี่วัน เขาก็เดินหมากพลาดเสียแล้ว!

ใครจะไปคิดว่าเจอโรมจะใช้วิธีแยบยลอย่างนี้

ยืมมือมวลชนมาช่วยอย่างนั้นเหรอ? ...ฉลาดไม่ใช่เล่นทีเดียว

ได้สติคืนมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงของนายทหารคนสนิทเอ่ยถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปด้วยเดร็กได้รับมอบหมายหน้าที่ให้วางแผนควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ก่อนที่เขาจะขบกรามแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“เอาพวกมันกลับมา ไม่ใช่เกมที่พวกเบี้ยต้องเดินแล้ว” สิ้นเสียงก็ขบกรามแน่น

หมดเวลาที่เบี้ยบนกระดานจะเดินแล้วอย่างที่เขาว่า ในเวลาอย่างนี้เป็นเวลาของ ‘คิง’

เกมที่แท้จริงมันเริ่มขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก!




 
เหลือเพียงอัลฟ่าอีกคนเดียวที่ต้องกำจัด พวกเขาก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ทว่าแผนการของเจเรมีเป็นไปอย่างราบรื่นเสียเหลือเกิน...ราบรื่นเกินไปจนเขาชักจะสังหรณ์ใจไม่ดีว่าเดร็กคิดวางแผนอะไรเหนือความคาดหมายของเขาอยู่

ก็จะไม่ให้ระแวงได้อย่างไรล่ะ เขากับคริสจัดการกับอัลฟ่าคนสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยเมื่อสองวันก่อน จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการประกาศจำนวนผู้ที่เหลือรอดชีวิต ซ้ำเข้าอาทิตย์ใหม่แล้วก็ไม่มีผู้คุมคนไหนเข้ามาในพื้นที่ของเกาะเพื่อยิงยากระตุ้นอาการฮีทใส่โอเมก้าอย่างที่เขาเคยโดนเลยแม้แต่น้อย

มันเงียบเสียจนเกือบจะเข้าใจไปแล้วว่าคนพวกนั้นลืมว่ามีเกมนรกอยู่บนเกาะแห่งนี้แล้ว

แม้แต่คริสก็ยังออกปากเอ่ยถึงความผิดปกตินี้ โดยส่วนมากเขาจะใจเย็นรอดูสถานการณ์ต่างๆ ก่อน แต่พอเป็นอย่างนี้เขาก็อดเป็นกังวลขึ้นมาบ้างอย่างเสียไม่ได้

“ไอ้เวรนั่นต้องเล่นสงครามประสาทอยู่แน่ๆ” เจเรมีเอ่ยปาก หงุดหงิดกับสิ่งที่เผชิญอยู่ไปหมด ก่อนจะถูกปรามโดยคนข้างๆ
“ใจเย็นๆ ก่อน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
“ถ้าไม่มีอะไร ทุกอย่างมันจะดูสงบอย่างนี้เหรอ ถ้ามันรู้ว่าฉันกับนายกำลังจะเป็นผู้ชนะ ไอ้นรกส่งมาเกิดนั่นมันต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้พวกเราชนะอยู่แล้ว” เจเรมีแผดเสียงคืน

ถูกอย่างที่อีกฝ่ายว่า ถ้าเจเรมีมีแนวโน้มว่าจะชนะ เดร็กคงไม่ปล่อยให้เรื่องมันง่ายอย่างนี้แน่ แต่เพราะอะไรล่ะทุกอย่างมันถึงได้ดูสงบนิ่งจนน่าใจหายอย่างนี้?

บอกตรงๆ ว่าคริสก็ไม่อาจเดาได้เหมือนกัน เขาเองก็อดกังวลใจไม่ได้ที่ชีวิตของพวกเราราบรื่นเกินไป เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเองสักเท่าไหร่หรอก จะเป็นห่วงก็แต่เจเรมีนั่นแหละ เหนือสิ่งอื่นใด เขากลัวว่าแผนการของเจเรมีจะไม่สำเร็จ

เรียกได้ว่าเป็นการกังวลที่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ กังวลเรื่องหนึ่งแล้วก็ลามไปอีกเรื่องจนแทบจะลำดับไม่ถูกแล้วว่าควรกังวลเรื่องไหนก่อนกัน

คริสพยายามควบคุมจิตใจให้นิ่ง มองแผ่นหลังของเจเรมีพลันเอื้อมมือไปแตะบ่ากว้างเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกอย่างจะดี เชื่อสิ”
“มั่นใจหรือไง” เจเรมีสวนกลับ

คริสก็ให้คำตอบไม่ได้หรอก นอกจากการดึงเจเรมีเข้ามากอดเป็นการปลอบใจ แล้วก็ถูกสบถด่าอย่างเคย
“มันใช่เวลามาทำอะไรอย่างนี้ไหมวะ!”

เห็นคนในอ้อมแขนโวยวาย คริสก็หัวเราะในลำคอ ถึงจะโดนหงุดหงิดใส่แต่อย่างน้อยก็ทำให้บรรยากาศระหว่างเขากับเจเรมีดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว

ก็ไม่ได้ดีมากหรอก เรียกว่าไม่เครียดเท่าวินาทีก่อนหน้ามากกว่า ทว่าแค่แวบเดียวเท่านั้น ความตึงเครียดที่หายไปแวบหนึ่งก็กลับคืนมาอีกครั้งเมื่อหูทั้งสองข้างของคริสได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากไม่ไกลนัก เท่านั้นเขาก็รีบส่งสัญญาณให้เจเรมีเงียบเสียงทันที

อีกฝ่ายเบาเสียงตามที่คนตรงหน้าว่า ย่อตัวลงต่ำ หาที่กำบังตามการดึงของคริสอย่างรวดเร็ว
“อะไร” ตั้งหลักได้ก็กระซิบถามเสียงขุ่น
คริสไม่ตอบในทันที สายตาทอดมองไปยังภาพตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เอ่ย
“มีคนมา”

เจเรมีไม่เข้าใจหรอกว่าประโยคนั้นหมายความว่าอะไร หัวคิ้วย่นยู่อย่างสงสัย ปากเตรียมจะอ้าถามแต่ก็ถูกคริสตะครุบเอาไว้ให้เงียบเสียงก่อน เจเรมีไม่ชอบท่าทางนั้นเลยแต่ก็จำต้องทำตาม แล้วก็ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้เงียบๆ พักหนึ่งโดยไร้เสียงพูดคุยใดๆ
ผ่านไปได้เพียงอึดใจ เสียงรัวกระสุนปืนก็ดังมาให้ได้ยิน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของใครบางคน

เจเรมีหันไปมองหน้าคริสทันที ในขณะที่คริสมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ในหัวของพวกเขามีคำถามเดียวกันด้วยอยากรู้ว่าพวกตนกำลังเผชิญกับสถานการณ์บ้าบออะไรอยู่ แต่ไม่ต้องถามให้เสียเวลา พวกเขาก็ได้ยินเสียงห้าวของใครสักคนดังตามมา
“ตามหาพวกมันให้ครบแล้วจัดการซะ ไปๆๆ!”

เสียงสั่งการจากพวกผู้คุม...

ไม่...ไม่ใช่พวกผู้คุม แต่เป็นพวกทหาร คริสรับรู้ได้จากเสียงการเคลื่อนไหวที่เป็นระบบระเบียบกว่าปกติ แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นแล้ว สิ่งที่ควรสนใจในวินาทีนี้คือแผนการของเจเรมีต่างหาก!

เท่านั้นความกังวลใจก็พร่างพรายขึ้นมาจนไม่สามารถเก็บสีหน้าไว้ได้อยู่ คริสเหลือบมองเจเรมี มือคว้าข้อมืออีกฝ่ายทันที ตั้งใจว่าจะพาไปหาที่หลบภัยเพื่อตั้งหลักก่อนเพราะดูท่าแล้วทหารพวกนั้นคงจะถูกสั่งการมาให้กำจัดอัลฟ่าและโอเมก้าทุกคนที่หลง
เหลืออยู่ที่นี่แน่ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีจุดประสงค์อื่นด้วยไหม ด้วยนอกจากทหารบนพื้นราบแล้ว เฮลิคอปเตอร์หลายลำก็ถูกนำมาใช้ค้นหาผู้รอดชีวิตในปฏิบัติการนี้เช่นกัน

ตอนนี้คริสเป็นห่วงเจเรมีมากกว่าชีวิตของเขาอีก ถ้าหากผู้ชายคนนี้เป็นอะไรไป เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองแน่!
ทว่าเจเรมีไม่ทันจะได้ฉุกคิดถึงใจคนข้างๆ ว่ากังวลเรื่องเขาเพียงใดเพราะเขาเองก็มีเรื่องให้ต้องกังวลจนอยู่ไม่ติดที่เช่นกัน

ประภาคาร...

ที่ประภาคาร!

คิดแค่นั่นก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคริส หันหลังแล้วออกวิ่ง มุ่งหน้าไปยังประภาคารซึ่งใกล้กับจุดที่ทิ้งศพของลูก้าอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คริสร้องเรียกเสียงดัง ตามมาด้วยสบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ฟังเขาเลยแม้แต่น้อย

“เวรเอ๊ย!”
สบถได้คำเดียวก็ต้องรีบวิ่งตามไป ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมากแล้ว

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอด...

ต้องรอดไปจากที่นี่!
-------------------------------------
ต่อให้เต็มตอนแล้วค่ะ ทิ้งท้ายไว้อีกแล้วว่าเจมีวิ่งไปที่ประภาคารทำไม
ใครข้องใจเรื่องแผนของเจมี ตอนหน้ามาเฉลยแล้วจ้ะ (ฉะปอยทำไม 555)
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ล่วยเน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เจมี่เป็นคนเดาใจยาก :z2: :z2:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
โอ๊ย ตื่นเต้น นี่รีเฟรชรอจนขำตัวเอง
ตื่นเต้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเกมส์
มีอะไรที่ประภาคาร คนที่เหมือนจะโดนฆ่าไปแล้วรึเปล่านะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
มีอะไรอยู่ที่ประภาคาร ?

เดร็กให้กำจัดทุกคนแน่ ๆ แล้วจับคริสกับเจมีมาเป็นตัวต่อรอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2017 21:12:00 โดย alternative »

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
ทุกคนอยู่ที่ประภาคารสินะ
คุณเจอโรมรีบมาช่วยลูกชายกับลูกเขยไวไวละ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ลูก้ายังอยู่แน่ๆ  :hao5:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 21: ความลับของเด็กหนุ่ม[1]

วิ่งสุดฝีเท้าเท่าที่จะทำได้ เจเรมีไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่กระนั้นก็ช้ากว่าพวกทหารที่เข้ามาเคลียร์พื้นที่บนเกาะอยู่ดี พอไปเกือบจะถึงที่หมาย เขาก็ต้องชะงักหลบในพุ่มไม้เมื่อสายตาเหลือบเห็นกองกำลังทหารหลายนายตรึงกำลังอยู่บริเวณหน้าประภาคาร อัลฟ่าและโอเมก้ารวมกันสี่ชีวิตที่เจเรมีกับคริสจัดการฆ่าและอำพรางศพไปเมื่อหลายวันก่อนถูกจับมานั่งเรียงหน้ากระดานคุกเข่าอยู่ไม่ไกล

เห็นแล้วเจเรมีก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา

แสดงว่าระหว่างทางพวกทหารไปเจอคนพวกนั้น!?

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าจิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่เรื่องดีแล้ว และก็จริงเสียด้วยเมื่อนายทหารกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังคนพวกนั้น ยกปลายกระบอกปืนขึ้นจ่อและเหนี่ยวไก

เสียงดังปังก้องกัมปนาทไปทั่ว เสียงร่ำไห้ของโอเมก้าที่หวาดกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขาดช่วงไปแทนที่ด้วยเสียงล้มฟุบของร่างไร้วิญญาณของคนทั้งสี่ ภาพนั้นทำให้เจเรมีรู้สึกราวกับว่าโลกของเขาถล่มจนเป็นผุยผง

แผนการที่เขาดำเนินการมาจนเกือบจะสิ้นสุดพังทลายไปทันตา ความหวังที่หลงเหลือลางเลือนหายไปแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและความขุ่นแค้น หากแต่เขาก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการช่วยชีวิตใครอีกคนที่ยังหลงเหลืออยู่

ใครอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในประภาคาร!

ใครคนนั้นก็คือ...

“ลูก้า!”

หลุดเรียกชื่อของคนที่อยู่ในประภาคารนั้นออกมาทันใด ก่อนจะต้องเรียกสติกลับคืนมา ตั้งท่าจะวิ่งฝ่าดงทหารพวกนั้นเข้าไปทันทีที่เห็นว่าทหารบางส่วนบุกเข้าไปรื้อค้นในประภาคาร แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิดเมื่อคริสคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน ก่อนจะลากมาหลบอีกมุมเพื่อให้พ้นจากสายตาของทหารพวกนั้น

“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!”
ได้ยินเจเรมีโวยวาย คริสก็ใช้มือตะครุบไว้แทบไม่ทัน
“อย่าเสียงดัง” คริสว่าเสียงเครียด แววตาดุดันบอกให้เจเรมีทำตาม ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกจากริมฝีปากของคนตรงหน้า แล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “ฉันต้องถามนายต่างหากว่าจะทำบ้าอะไร”

ความจริงไม่น่าจะต้องถาม ก็เห็นอยู่แล้วว่าเจเรมีจะวิ่งไปที่ประภาคารนั่น
เจเรมีสะบัดตัวออก ว่าสั้นๆ “ฉันจะไปช่วยเด็กนั่น”

เด็กนั่นที่ว่า... คริสรู้ดีว่าหมายถึงใคร แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคำนึงถึงตอนนี้ ในเวลาอย่างนี้น่ะ พวกเขาควรจะ...
“ช่างหัวเด็กนั่นแล้วเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะเจมี ยังไงลูก้าก็ไม่มีทางรอดแล้ว”

ใช่! พวกเขาควรจะเอาชีวิตรอดก่อน แผนของเจเรมีตอนนี้มันพังย่อยยับไม่มีชิ้นดีแล้ว

แผนการฆ่าและอำพรางศพปลอมที่ประกอบไปด้วยผ้าและก้อนหินห่อด้วยผ้าปูที่นอนเพื่อให้พวกเจ้าหน้าที่เข้าใจว่าผู้เข้าแข่งขันลดจำนวนลงแล้ว ส่วนตัวจริงก็ให้ไปหลบซ่อนตามสถานที่ต่างๆ บนเกาะ มันเป็นแผนที่โง่เง่าสิ้นดี!

ตระหนักรู้ชัดเจนก็ตอนที่เห็นคนที่เขาพยายามช่วยชีวิตถูกฆ่าทิ้งอย่างไร้ปรานีนั่นแหละ และการที่คริสตัดความหวังอันเลืองรางของคู่แห่งโชคชะตาตัวเองก็ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเห็นแก่ตัว ต้องการรอดชีวิตไปกับเจเรมีสองคนเท่านั้น แต่เขาพูดตามความน่าจะเป็น

ลูก้าที่ถูกซ่อนตัวไว้ในประภาคาร... หากถูกเจอตัวก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากพวกอัลฟ่าและโอเมก้าที่โดนยิงทิ้งข้างหน้านั่น

คริสเองก็จะไม่ตอกย้ำหรือต่อว่าเจเรมีแต่อย่างใดที่ตัดสินใจใช้แผนนี้ด้วย เพราะไม่ว่ามันจะเป็นแผนของเจเรมีหรือแผนของเขา
ถ้าหากเจ้าของเกมกระดานอยากจะล้มเกม กฎกติกาใดๆ มันก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น สุดท้ายแล้วจะรอดหรือจะฆ่ากันเอาเป็นเอาตายอย่างไร ผลก็คือถูกฆ่าทิ้งอยู่ดี

สัจจะไม่เคยมีในตัวของเดร็ก...

ไม่...ไม่ใช่แค่เดร็ก แต่เป็นพวกชนชั้นอำนาจของมหานครเพิร์ล คริสรู้ความจริงข้อนั้นดีแต่เขาเองก็ผิดที่ไม่ได้ฉุกใจคิดถึงความจริงข้อนี้เลยแม้แต่น้อย ในใจมีแต่จะปกป้องเจเรมีเท่านั้น ถ้าหากเขารอบคอบกว่านี้อีกสักหน่อย เขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้เจเรมีเข้ามาร่วมเกมนี้แน่

แต่มันสายไปแล้ว วินาทีต่อจากนี้เขาควรจะหาวิธีปกป้องคนตรงหน้าที่ดูสับสนมากกว่า ดูจากสีหน้าของเจเรมีแล้ว ท่าทางเขาจะยอมรับความจริงที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ เขาโกรธแค้นนายพลคนนั้นเสียจนแทบจะทนไม่ไหวที่จะฆ่าทิ้งด้วยมือของตัวเอง ก่อนจะส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ฆ่ามัน...ฉันจะฆ่ามัน!”
ไม่เพียงแต่เสียงดัง ยังจะคุ้มคลั่งอีก ทำเอาคริสคว้ามากอดไว้อย่างรวดเร็ว ตบเข้าที่ใบหน้าไม่แรงนักเพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายให้กลับคืน

“มีสติหน่อยเจมี ตั้งสติไว้!”

เจเรมีมองใบหน้าคร้ามของคนตรงหน้า หายใจหอบหนักราวกับพยายามควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเอง ขณะที่คริสเห็นจังหวะก็เปิดปาก

“นับจากวินาทีนี้ นายต้องเชื่อฟังฉันแล้ว...เชื่อฟังทุกอย่าง เข้าใจไหม”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว ในเวลาอย่างนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาดื้อรั้นอะไร
“ไปจากที่นี่กัน แล้วค่อยหาทางหนีออกจากเกาะนี่”

เป็นแผนการที่มีความเป็นไปได้น้อยมากเลยทีเดียว พวกเขาจะรอดพ้นสายตาพวกทหารร้อยกว่าชีวิตบนเกาะนี้ไปได้อย่างไร

ต้องขโมยเรือ...หรือจะเป็นเฮลิคอปเตอร์... ว่ายน้ำไปหนีไป…

ทุกอย่างที่คิดได้เป็นแผนการที่ทุเรศและไร้สมองสิ้นดี!

แต่คริสก็คิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว นอกจากจะคว้าข้อมือของเจเรมีแล้วเตรียมตัวจะออกวิ่ง เจเรมีเกือบจะก้าวตามอยู่แล้วถ้าหากว่าหูของเขาไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียก่อน

“อย่า! ได้โปรด! อย่าทำผม!”
ใบหน้าหันไปมองตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคริสอีกครั้ง ก้าวไปอีกทางเพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจมี…โธ่เว้ย!” คริสสบถเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจเขาเลยพลันรีบตามมาอย่างรวดเร็ว

เจเรมีมาหยุดที่หลังพุ่มไม้ที่เขาใช้เป็นที่ซ่อนตัวในตอนแรก พอเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน เขาก็เบิกตาโต

ภาพตรงหน้า...ลูก้า

ลูก้าถูกใครบางคนกระชากผมลากออกมาจากประภาคารซึ่งเจเรมีรู้ดีว่าเป็นใคร

เดร็ก! ไอ้เวรนั่นก็มาที่นี่ด้วย!

มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นและทวีความรุนแรงมากขึ้นจนนิ้วมือซีดขาวเมื่อลูก้าร้องขอชีวิต หากแต่ถูกตบเสียจนล้มกระเด็นไป ก่อนที่เดร็กจะยกขาขึ้นเหยียบศีรษะ บดขยี้ให้ซีกหน้าข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มจมลงไปบนพื้น

“เศษสวะอย่างแกมันรกโลกชะมัด!”
“ยะ...อย่าทำผม...”
เสียงวิงวอนของลูก้าไม่ได้เข้าหูเดร็กเลย เขาแค่ทอดมองด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะออกคำสั่งกับนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ
“ไปหาตัวพวกที่เหลือมา...จับเป็นเท่านั้น”

พวกที่เหลือหมายถึงคริสและเจเรมี...

หูของเจ้าของชื่อทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจนและมันไม่มีเหตุผลเลยที่พวกเขาจะอยู่ที่นี่ ทว่าคงมีแต่เจเรมีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่คิดหนี

ไม่ใช่ว่าไม่รักตัวกลัวตาย หากแต่เขาไม่เห็นประโยชน์ของการดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากเดร็กอีกแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายพลิกกระดานอย่างนี้ มันก็หมดเวลาที่จะต้องเล่นตามกติกาสักที เขาไม่อยากเป็นผู้ถูกล่าอีกแล้ว!

การเผชิญหน้ากับเดร็กตรงๆ จึงเป็นการตัดสินใจในชั่ววินาทีของชายหนุ่มผมบลอนด์ ยิ่งเขาเห็นใบหน้าของลูก้าที่บวมช้ำไปด้วยรอยนิ้วมือและเปื้อนน้ำตา เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลบซ่อนอีก โผล่ออกจากพุ่มไม้โดยที่คริสไม่ทันได้ตั้งตัว ตรงเข้าไปหา
พวกทหารตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวท่ามกลางความตกใจของคริสที่มองอยู่

ให้ตาย ทำอะไรไม่ได้ปรึกษากันบ้างเลย!

เจเรมีก็ยังเป็นเจเรมีอยู่วันยังค่ำ ถึงจะอ่อนข้อลงให้เขาแล้ว แต่เรื่องการทำอะไรโดยไม่ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดีก็ยังเป็นนิสัยเสียที่ติดตัว ทว่าคริสก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าตามออกมาด้วย

เอาเถอะ ไหนๆ นายพลนั่นก็บอกให้จับเป็นอยู่แล้ว มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้หรอก

เอาเท้าโสโครกของแกออกจากหมอนั่นเดี๋ยวนี้!” ไม่โผล่ออกมาอย่างเดียว ยังตวาดเสียงกร้าว

การปรากฏตัวของคนมาใหม่เรียกสายตาของทุกคนไป ก่อนที่เดร็กจะแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
“โอ้ มาเองเลยเหรอ ไม่ต้องเสียเวลาหาเลยแฮะ”
เจเรมีไม่ตอบโต้ เอาแต่จ้องเขม็งด้วยแววตากราดเกรี้ยวสลับกับมองไปที่ลูก้าอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกที
“ฉันบอกให้เอาเท้าของแกออก!”

เดร็กถึงเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองยังวางเท้าไว้บนศีรษะของโอเมก้าอยู่ พลันหัวเราะหึ
“แกนี่วุ่นวายใช่ย่อยเลยนะ คิดเหรอว่าแผนตื้นๆ นั่นจะตบตาฉันได้” แทนที่จะยกเท้าออก กลับตอกหน้าชายหนุ่มรุ่นลูกเสียอย่างนั้น “แต่ก็นับว่าเก่งเหมือนกันที่ทำได้แนบเนียน ถ้าฉันไม่สั่งให้คนลงมาก็คงจะหลงเชื่อไปแล้วว่าแกกับคุณฟ็อกซ์ฆ่าคนอื่นเพื่อเอาตัวรอด”

เป็นคำชมจากใจจริงของเดร็ก ทว่าเจเรมีไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาใจไม่ดีมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเดร็กบดขยี้ศีรษะของลูก้าแรงขึ้นขณะพูดจนใบหน้าของเด็กหนุ่มเหยเกเพราะความเจ็บปวด นอกจากใจไม่ดีเพราะเห็นคนที่เขาพยายามปกป้องถูกทำร้ายแล้ว เขายังหวั่นใจอีกว่าลูก้าจะถูกฆ่า

“อย่าทำอะไรหมอนั่น” หลุดปากพูดออกไปจนได้ ทำเอาเดร็กเลิกคิ้วสูง
“ฉันบอกว่าอย่าทำอะไรหมอนั่น ปล่อยลูก้าไปซะ!” เจเรมีย้ำคำ

ชัดเจนเลยทีเดียวว่าเขาไม่ต้องการให้ลูก้าถูกฆ่า ความคิดของเจเรมีทำให้เดร็กอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เป็นห่วงไอ้เด็กนี่เหรอ?” ไม่ใช่แค่หัวเราะ โน้มตัวลงไปกระชากผมของลูก้าด้วย ส่งผลให้ร่างบางต้องลุกตามแรงดึง มือเรียวทั้งสองข้างรั้งมือใหญ่ที่ทำร้ายตัวเองไว้

เห็นอย่างนั้นแล้วเจเรมีก็แทบจะอดใจไม่ไหว พุ่งเข้าไปหมายจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคามือ ทว่านายทหารรอบข้างก็จ่อปืนมาทางเขาเสียก่อน กอปรกับคริสรั้งเขาเอาไว้ด้วย ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจ

“แก...” ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น
ยิ่งเห็น เดร็กก็ยิ่งชอบใจ ท่าทางของเจเรมีเหมือนกับเจอโรมในวันที่เขารู้ว่าลูกชายตัวเองถูกลากลงมาในเกมนรกนี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ที่ว่ากันว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวเป็นอย่างนี้นี่เอง” จู่ๆ เดร็กก็เปรยขึ้น ไม่มีใครเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อหรอกและชายหนุ่มทั้งสองที่ประจันหน้ากับเขาอยู่ก็ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจด้วยเมื่อเขาเอ่ยประโยคใหม่ออกมา “ถ้าพ่อของแกไม่ทำเรื่อง ป่านนี้พวกแกคงได้กลายเป็นผู้ชนะของเกมแล้ว”

ฟังแล้วคริสก็ฉุกใจขึ้นมาทันที

พูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร หรือว่าเจอโรมจะก่อเรื่องข้างนอก?

ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เกมนี่มันเป็นการประวิงเวลาเพื่อหลอกล่อเจอโรมติดกับนี่ ดูท่าแผนการของเดร็กคงจะไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ถึงได้เปลี่ยนแผนกะทันหันอย่างนี้

ยิ่งจำได้ว่าก่อนหน้าเดร็กสั่งให้หาตัวเจเรมีและจับเป็นด้วยแล้วก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปใหญ่ แต่เขาก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องถูกจับเป็นด้วยในเมื่อไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากการทำให้เจเรมีแสดงสัญชาตญาณของการเป็นโอเมก้าออกมาเท่านั้น

หากแต่ก็เข้าใจได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังเมื่อเดร็กพูดอีก

“ตัวปัญหา ไม่ว่ายังไงก็เป็นตัวปัญหา ในเมื่อไม่ยอมง่ายๆ เห็นทีจะต้องใช้ไม้แข็ง ขอโทษด้วยนะคุณฟ็อกซ์ที่ต้องลากเข้ามาเกี่ยว ตอนนี้คุณถอนตัวไม่ได้แล้วล่ะ ผมต้องใช้คุณเป็นตัวประกัน”

บอกมาสั้นๆ แต่ก็ทำให้คริสเข้าใจได้ในทันทีว่าการเคลื่อนไหวของเจอโรมต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับเขาแน่

ไม่...ไม่ใช่เขา เป็นคนของเขา

คนที่ยังสวามิภักดิ์และจงรักในตระกูลผู้นำฟ็อกซ์!

หรือเจอโรมจะยืมมือคนพวกนั้นมาช่วย?

อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ใจจริงแล้วเขาไม่อยากให้คนที่เคยใกล้ชิดกับตระกูลเขามายุ่งเกี่ยวกับอะไรพรรคนี้เพราะไม่ต้องการเห็นการสูญเสียของประชาชนดีออนอีกแล้ว ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากยืนอยู่นิ่งๆ ให้นายทหารมาจับกุมเมื่อเดร็กส่งสัญญาณ

“เอาตัวพวกมันไป!”
คริสเหลือบมองไปเจเรมีเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าอย่าคิดทำอะไรขาดสติโดยเด็ดขาด ซึ่งเจเรมีก็ไม่ทำ ไม่ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ตัวเองถูกจับกุมในขณะที่ลูก้าก็ยังถูกรั้งเส้นผมเอาไว้อย่างนั้น

ก่อนจะถูกพาตัวไปที่อื่น เจเรมีก็โพล่งขึ้น
“อย่าทำอะไรหมอนั่น” สายตาและน้ำเสียงยามพูดนั้นจริงจัง

เป็นครั้งที่สามแล้วที่เจเรมีย้ำ ทำเอาเดร็กถึงกับเหยียดยิ้มออกมา
“ฉันเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าแกเคยช่วยไอ้เด็กนี่ไว้ แต่ไม่ยักจะคิดว่าแกจะใส่ใจมันขนาดนี้ ทำไม เพราะเป็นโอเมก้าเหมือนกันเหรอถึงได้เห็นอกเห็นใจกันเสียเหลือเกิน”

ไม่ใช่แค่เพราะเป็นโอเมก้าเหมือนกันหรอก แต่เพราะเป็นลูก้าต่างหาก เขาถึงอยากจะปกป้องให้ถึงที่สุด คนอย่างลูก้า ถึงชีวิตจะไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็ขอให้รอดชีวิตจากที่นี่

“ปล่อยลูก้าไป ไว้ชีวิตหมอนั่น...ขอร้อง”
ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะต้องมาวิงวอนอะไรผู้ชายคนนี้

คำพูดที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากของชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายทำให้เดร็กระเบิดหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกระชากเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน มือข้างที่ว่างบีบเข้าไปที่แก้มตอบของลูก้า

“เป็นห่วงกันเหลือเกินนะ ไอ้เด็กนี่มันมีอะไรดีนักหรือไง”
ใบหน้าของลูก้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แค่นเสียงแหบแห้งออกมาพอจะให้ได้ยินว่า ‘ผมเจ็บ’ ก่อนน้ำตาจะไหลพรากออกมาเป็นสาย

ยิ่งเห็น เจเรมีก็ขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสันนูน เขาเกือบจะอดใจไม่ไหว ระเบิดอารมณ์คลั่งออกมาอยู่แล้ว หากแต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงของเดร็กก็ดังขึ้นมาอีก

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรมันหรอก มันยังใช้ประโยชน์ได้อีกเยอะ ที่สำคัญ...ใครมันจะฆ่าลูกชายตัวเองได้ลงคอกัน”

ลูกชาย!?

สีหน้ากราดเกรี้ยวของเจเรมีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นตะลึงงันทันที เขามองเดร็กกับลูก้าอย่างไม่เชื่อสายตา พลันความทรงจำที่ลูก้าเคยบอกเล่าไว้เกี่ยวกับตัวเองก็พร่างพรายในหัวพลัน

เป็นเด็กที่เกิดจากบิดาซึ่งเป็นอัลฟ่า...

เจ้าของเดิมเป็นอัลฟ่าตระกูลหนึ่ง ถูกขายไปถึงสามครั้งและถูกซื้อกลับไปยังตระกูลผู้ให้กำเนิด

ไอ้ตระกูลสารเลวแฮร์ริสันนี่เอง!

อยากจะบีบคอทั้งเดร็กและลูก้าเสียในวินาทีนี้เพื่อเค้นให้อธิบายมาให้หมดว่าความจริงที่เขาได้รับรู้เมื่อครู่มันคือเรื่องบ้าอะไร แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดแล้วเมื่อท้ายทอยถูกกระแทกเข้ามาเต็มแรง พลันภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไปก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง มีเพียงเสียงของเดร็กเท่านั้นที่ลอยมาให้ได้ยินเป็นเสียงสุดท้าย

“เจอกันที่กระดานใหม่ หมดเวลาเดินเล่นของเบี้ยอย่างพวกแกแล้ว”
-------------------------------------
มาแล้วววว สรุปลูก้ายังไม่ตายนะคะ ยังอยู่แต่เบื้องหลังของนางแอบซับซ้อนนิดนึง
พรุ่งนี้จะมาต่อที่เหลือให้จ้า ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยนะคะ XD

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
แหม๋ ให้มันได้แบบนี้สิ
สารเลวสุดๆเดร็ก
จุดจบแกให้เลวร้ายที่สุด เลวมาก นี่ลูกแกนะ
ทำได้ลงคอ
อยากจะฆ่ามันจริงๆเชียว

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คิดไว้เล่น ๆ ว่าลูก้าอาจจะเกี่ยวพันใกล้ชิดกับเดร็ก

แต่พอรู้ก็ประหลาดใจอยู่ดี

เดร็กมันเลวบริสุทธิ์

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 21: ความลับของเด็กหนุ่ม[2]

คริสได้สติอีกครั้งก็ตอนถูกพามาขังในห้องขังเดี่ยวของทัณฑสถานแห่งหนึ่ง เขาไม่อาจรู้เลยว่าพิกัดของพวกเขาในตอนนี้อยู่ที่ไหน รู้เพียงอย่างเดียวคือรอดชีวิตออกมาจากเกาะนรกนั่นแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีทีเดียวด้วยเป้าหมายของเขาในตอนแรกก็คือการรอดชีวิตออกจากเกาะนั่นพร้อมกับเจเรมี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้พวกเขาจะมีชีวิตรอด ดูจากสถานการณ์แล้ว เดร็กคงจะใช้ชายหนุ่มทั้งสองเป็นเครื่องมือต่อรองอะไรบางอย่าง

เจเรมีใช้ต่อรองกับเจอโรม ส่วนเขาถูกใช้ต่อรองกับกลุ่มอำนาจเก่าจากอาณาเขตพิเศษดีออน

เป็นการคาดการณ์ของอัลฟ่าหนุ่มที่นั่งพิงกำแพงอยู่จากสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้า ก่อนที่เขาจะสลัดความมึนงงออกจากหัว เหลือบไปมองยังร่างแกร่งของคนข้างๆ ที่ขยับเล็กน้อยเพราะรู้สึกตัวแล้ว

“เป็นไงบ้าง” ปากร้องถามออกไป มือช่วยพยุงเจเรมีขึ้นนั่ง
“นี่มัน...ที่ไหน” เจเรมีลูบต้นคอตัวเองที่ปวดระบมจากการโดนกระแทกไปมาพลางทำหน้าเหยเกขณะถาม
“รู้แค่ว่าเป็นคุก” คริสตอบสั้นๆ สายตาสำรวจมองยังร่างกายของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับอันตรายตรงไหนก็ผละมานั่งพิงกำแพงอย่างเดิมโดยไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยให้เจเรมีได้สาปส่งตัวการที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง

“ไอ้เดนนรกนั่น ฉันน่าจะฆ่ามันทิ้งไปตั้งนานแล้ว”
คริสเหลือบมองทันควัน “หมายถึงใครล่ะ พ่อหรือลูก”

คำถามนั้นทำให้เจเรมีชะงักกึก

นั่นสิ เขาหมายถึงคนพ่อหรือคนลูกกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นเดร็ก ธีโอ หรือลูก้า ล้วนแล้วแต่มีคดีกับเขาทั้งสิ้น และตัวต้นเหตุที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นสามคนนั้นเสียด้วย

ถูกคริสถามอย่างนั้น เจเรมีก็ปวดขมับหนึบขึ้นมาทันที ขยับตัวมานั่งพิงกำแพงบ้าง เปรยขึ้นเสียงแผ่ว
“เอายังไงกันต่อล่ะทีนี้”

ไม่ได้คำตอบจากคริส มีเพียงสายตานิ่งเรียบเท่านั้นที่ชำเลืองมองไปก่อนจะเบือนกลับมาราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินที่เจเรมีถาม
ท่าทางเฉยเมยของอีกฝ่ายทำให้เจเรมีหันขวับไปหาทันที
“อะไรของนาย”

คริสไม่ตอบ นั่งนิ่งอย่างเดิมจนเจเรมีอึดอัดขึ้นมา
“เป็นบ้าอะไรของนายวะ” เสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย คราวนี้เรียกสายตาของคริสให้เหลือบไปมองได้
“นายจะถามฉันทำไมในเมื่อพูดอะไรไปก็ไม่เคยฟัง” คริสยอมเปิดปากแล้ว แต่ไม่ใช่คำตอบที่เจเรมีอยากได้ เป็นการค่อนขอดกึ่งประชด

เจเรมีนิ่วหน้าทันที

หรือที่คริสทำเฉยเมยเป็นเพราะระอาใจ?

คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ไม่ว่าคริสจะเตือนอะไร เขาก็แทบจะไม่ฟังทั้งสิ้น ต่อให้ฟังก็ไม่ได้ทำตามสักเท่าไหร่นัก ครั้งล่าสุดก็เช่นกันที่คริสบอกให้ทิ้งลูก้าแล้วเอาตัวรอดก่อน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามจนมาติดแหง็กอยู่ในห้องขังเส็งเคร็งแห่งนี้

การนิ่งงันไปของเจเรมีทำให้คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ช่างเถอะ ถึงนายจะทำตามที่ฉันพูด มันก็ต้องลงท้ายอย่างนี้อยู่ดี หนีไปก็ใช่ว่าจะมีทางรอดเสียเมื่อไหร่ ดีแล้วที่นายตัดสินใจทำอย่างนี้ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนที่นายพยายามช่วยมาตลอดแว้งกัดนายได้ทุกเมื่อ”

คริสหมายถึงลูก้า... ถึงจะไม่ชอบใจกับความดื้อแพ่งของเจเรมีในครั้งนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็นับว่าอีกฝ่ายตัดสินใจได้ถูกต้องทีเดียวเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีแผนการที่ดีกว่าแม้แต่น้อย ดีเสียอีกที่เจเรมีทำอย่างนี้ จะได้เลิกเอาตัวเองไปเกี่ยวพันกับลูก้าสักที รู้ว่าเจเรมีเห็นใจโอเมก้าด้วยกัน ทว่ามันหมดเวลาที่จะช่วยเหลือคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอดแล้ว

เจเรมีมองหน้าคริส พลันรู้สึกผิดขึ้นมา
“ฉันขอโทษ” ปากเอ่ยออกไปโดยไม่ต้องให้ใครมาเตือน

คริสยกยิ้มบางๆ ยื่นมือไปวางไว้บนกระหม่อมของอีกฝ่ายที่ทำท่าสลดเหมือนสุนัขที่ทำความผิดแล้วถูกดุ
“ไม่เป็นไร แต่ต่อจากนี้รู้จักใจเย็นแล้วไตร่ตรองอะไรให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจหน่อยก็ดี”
“นายอยากให้ฉันเชื่อฟังนายใช่ไหม” เจเรมีถาม ไม่ได้ปัดป้องการสัมผัสใดๆ ของคริส
“ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังฉัน แค่คิดถึงเหตุผลให้มากกว่าอารมณ์ก็พอ เพื่อตัวนายและคนรอบข้างของนาย”

ได้ยินอย่างนั้น เจเรมีก็พยักหน้า

จริงอย่างที่คริสว่า ตั้งแต่เรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งทั้งสิ้น ต่อจากนี้เขาคงต้องยึดการตัดสินใจของคริสเป็นหลักเสียแล้วถ้าหากเขายังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้นิ่งได้เวลาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

แต่แล้วความคิดของเขาก็ถูกกลบไปเมื่อมีเสียงไขประตูดังมาจากด้านนอก และคนที่โผล่เข้ามาก็เรียกความสนใจไป
“ลูก้า...” เจเรมีครางทันทีที่เห็นใบหน้าบวมช้ำของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงต่ำ “เสนอหน้ามาทำไม”

โกรธ...ยอมรับว่าโกรธที่ถูกหลอก หากแต่ลูก้าไม่ตอบคำถามนั้น ยื่นของในมือมาข้างหน้าเล็กน้อย

“ผมเอาอาหารมาให้”
มันคือขวดน้ำกับก้อนขนมปัง

เจเรมีจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ ไม่พูดอะไร ทำให้ลูก้าต้องวางอาหารพวกนั้นไว้บนเตียงแล้วขยับมาทิ้งตัวลงนั่งบนนั้น ตรงข้ามกับชายหนุ่มทั้งสอง
“แล้วผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“ไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากจะเสวนากับนาย” ออกปากไล่ทันทีโดยไม่สนว่าลูก้าอยากจะพูดอะไร

ในเวลาอย่างนี้ต่อให้ลูก้ามีคำพูดสวยหรูหรือเหตุผลที่ดีพอมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เจเรมีก็ไม่อยากฟังอีกแล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกหักหลังเสียย่อยยับไม่มีชิ้นดีไปเรียบร้อย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฟังลูก้าพูดอีก

เว้นเสียแต่คริสที่เห็นสีหน้าลำบากใจของลูก้าถึงได้พูดขึ้น
“พูดมาสิ”
ลูก้าไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีไหมเพราะเห็นเจเรมีค้อนขวับไปยังคริสอย่างไม่พอใจที่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด แต่ในความรู้สึกของเขา คริสมีอำนาจมากกว่าเจเรมี ดังนั้นจึงไม่รีรอที่จะเอ่ยปากไป

“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกของเขา แต่ถ้าตอนนั้นคุณรู้ว่าผมเข้าร่วมเกมทำไม ผมอาจจะไม่มีโอกาสมานั่งคุยกับพวกคุณตรงนี้ พวกคุณคงฆ่าผมทิ้งไปแล้ว” ก้มหน้าว่าเสียงแผ่ว ทำเอาเจเรมีที่แสร้งเมินเมื่อครู่ขมวดคิ้วยุ่ง
“หมายความว่าอะไร” ยอมปริปากออกมาแล้ว

ลูก้าเหลือบมองเล็กน้อยด้วยท่าทางอึกอัก “ผม...ผมถูกดึงเข้าไปในเกมเพื่อทำให้คุณพลาดครับคุณเมอร์ซี”

ยอมบอกออกไปจนได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนฟังทั้งสองเข้าใจได้อยู่ดี ลูก้าเองก็ลำบากใจที่จะบอก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องพูด ทุกอย่างมาไกลเกินกว่าจะเก็บไว้เป็นความลับแล้ว

“คุณจำที่ผมเคยบอกคุณว่าผมเป็นโอเมก้าที่เกิดจากพ่อที่เป็นอัลฟ่าได้ไหมครับ”
เจเรมีพยักหน้ารับช้าๆ
“แล้วคุณจำได้ไหมว่าตอนที่คุณช่วยผมครั้งแรก คุณได้ให้เสื้อคลุมตัวนั้นกับผมไว้”
เจเรมีพยักหน้าอีกให้ลูก้าได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนค่อยๆ เล่า

“ผมเป็นลูกที่เขาเอาไว้ใช้ทำประโยชน์ทางการเมือง ที่ผมถูกขายไปให้ตระกูลอื่นก่อนหน้าก็เป็นเพราะเขาต้องการแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ได้จากตระกูลพวกนั้น ขายไปแล้วก็ซื้อกลับ จากนั้นก็ขายอีกครั้ง ครั้งหลังเจ้าของที่ซื้อผมไปไล่ผมออกจากบ้านเพราะผมไปทำเรื่องไม่ถูกใจเข้า ผมไม่มีคนดูแลเลยต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตลาดมืด เอาตัวแลกอาหารกับที่อยู่ ตอนนั้นผมถึงได้เจอกับเขาอีกครั้งเพราะเขาต้องการให้ผมทำอะไรบางอย่าง...” แล้วก็หยุดเล่าไป สีหน้าดูไม่ดีเอาเสียเลย คล้ายกับว่าลูก้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้

หากแต่เจเรมีไม่สน เห็นเงียบไปก็เค้นถาม “มันใช้ให้นายทำอะไร”
“ฆ่า...” ลูก้าว่า “ฆ่าผู้ชายคนนั้นแลกกับการให้ผมกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของเขาครับ”

ภาพข่าวการฆาตรกรรมอัลฟ่าจากตระกูลระดับสูงคนหนึ่งฉายวาบเข้ามาในหัวของเจเรมีทันที

“แสดงว่านายไม่ได้ฆ่าหมอนั่นเพราะถูกบีบคอ?”
ลูก้าพยักหน้ารับ “ผมฆ่าเขาเพราะถูกสั่งให้ฆ่า ถ้าไม่ทำ พ่อก็จะฆ่าผม ขอโทษที่โกหกครับ” ยอมรับอย่างซื่อตรงไปอีก
เจเรมีรู้สึกราวกับว่าเด็กหนุ่มที่เห็นตรงหน้าเป็นคนที่เขาไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย ความอึ้งงันทำให้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหนา เปิดโอกาสให้คริสได้เอ่ยถามบ้าง
“นายพลแฮร์ริสันสั่งฆ่าผู้ชายคนนั้นทำไม”

“เขาเป็นคนที่ขายข่าวการเคลื่อนไหวของท่านผู้นำเมอร์ซี พ่อบอกว่าเขาหมดประโยชน์แล้ว และคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพรรคพวกตัวเองก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ เขาเลยส่งผมไปเป็นของตอบแทน สบโอกาสแล้วให้ฆ่า”
“แล้วเรื่องเสื้อของเจมีล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับการที่นายถูกลากลงมาในเกม” คริสวนกลับมาเรื่องที่สำคัญกว่าแล้ว

ลูก้าจึงเล่าต่อ “พ่อคิดว่าผมน่าจะมีอิทธิพลอะไรบางอย่างกับคุณเมอร์ซีเพราะเห็นเสื้อตัวนั้น ธีโอก็ไปเล่าให้ฟังด้วยว่าคุณเมอร์ซีช่วยผมจากการกลั่นแกล้งของเขา แล้วคุณก็เล่าว่าคุณเป็นพวกขวางโลกที่มองโอเมก้าเทียบเท่ากับอัลฟ่า พ่อก็เลยคิดว่าความคิดนั้นของคุณมันน่าจะใช้ประโยชน์ได้ ตอนแรกเขาแค่จะให้ผมติดคุกจนกว่ากระแสข่าวฆาตรกรรมผู้ชายคนนั้นซา แต่สุดท้ายก็ให้ผมเข้าร่วมเกมโดยมีเงื่อนไขการรอดว่าผมจะต้องทำให้อย่างไรก็ได้ให้คุณเมอร์ซีไม่ได้เป็นผู้ชนะของเกม ผมเลยต้องตีสนิทอย่างนั้น บอกตามตรงว่าผมตั้งใจจะให้คุณผิดใจกับคุณฟ็อกซ์แล้วทะเลาะกันเอง ส่วนเรื่องที่ผมเป็นฮีท... ผมฉีดยากระตุ้นครับ ไม่ได้เป็นตามธรรมชาติหรอก พวกเขาให้ผมพกติดตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว”

จะมีแค่เรื่องที่ถูกข่มขืนเท่านั้นที่เป็นความจริงเพราะคริสพิสูจน์ได้จากกลิ่นของอัลฟ่าภายในตัวของลูก้า เดาว่าลูก้าคงจะพลาดถูกทำอย่างนั้นเพราะฉีดยากระตุ้นฮีทเข้าไปในร่างกายตัวเอง แล้วกลิ่นนั่นไปดึงดูดให้อัลฟ่าคนนั้นตามมาเจอ ส่วนเรื่องที่ต้องการให้คริสทะเลาะกับเจเรมี คงจะเป็นเรื่องการทำให้คริสพลาดท่ามีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาจนผิดใจกับเจเรมีล่ะสินะ

คริสเข้าใจเหตุผลของลูก้าได้ว่าทำไปเพื่อเอาตัวรอด ทว่าเจเรมียิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ ความเห็นใจที่เขามีให้ต่อคนตรงหน้ามลายหายไปหมดจนต้องกัดฟันกรอดเพื่อระงับอารมณ์เดือดดาล

“แสดงว่านายเข้าหาฉันอย่างไม่บริสุทธิ์ใจตั้งแต่แรกแล้วสินะ”
ลูก้าไม่อาจปฏิเสธได้เลย นอกจากก้มหน้าลงต่ำ แก้ตัวอย่างรู้สึกผิด
“แต่เพราะคุณดีกับผม ผมเลยไม่กล้าทำอะไรตามที่ตั้งใจไว้ ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ลำบาก”

เจเรมีไม่อยากจะฟังเสียงของเด็กหนุ่มคนนี้อีกแล้ว เบือนหน้าหนีไปพร้อมกับความรู้สึกปวดแปลบที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย

เขาไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรลูก้าในทางชู้สาวแม้แต่น้อย มีแค่ความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น แต่พอถูกตอบแทนด้วยการหักหลัง เขาก็ไม่อาจจะยอมรับมันได้

เขาเป็นคนโง่งมชนิดที่ว่าลายังฉลาดกว่าเลยทีเดียว...

“ตกลงนายมาที่นี่เพื่ออะไร” มีแต่คริสที่ยังอยู่รับหน้า เขารู้ว่าการที่ลูก้าโผล่มา มันไม่ใช่แค่การมานั่งอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดแน่นอน

ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดไว้เมื่อลูก้าเอ่ยปาก
“ผมอยากช่วยพวกคุณ”
“ช่วยอะไร”
“พาออกไปจากที่นี่”
“จะทำยังไง”
“ผมมีวิธีของผมครับ พวกคุณแค่อยู่ที่นี่ รอผมก็พอ พ่อจะไม่ทำอะไรคุณจนกว่าเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ตอนนี้เขากำลังใช้พวกคุณเป็นตัวประกันในการต่อรองกับท่านผู้นำเมอร์ซีที่ปลุกระดมมวลชนให้ลุกขึ้นมาประท้วงอยู่ จำเป็นต้องใช้คุณฟ็อกซ์ด้วยเพราะกลุ่มแกนนำเป็นคนจากดีออน” ถูกไล่บี้มากๆ ลูก้าก็ตัดบทเอาดื้อๆ

สิ่งที่คาดการณ์ไว้เป็นอย่างที่คริสคิดไว้เสียด้วย พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมเดร็กต้องล้มเกม หากแต่การที่ลูก้าบอกว่าจะช่วยพวกเขาออกไปมันไม่น่าเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย หากแต่วิเคราะห์จากเบื้องหลังของลูก้าแล้ว ลูก้ามีความสามารถในการเอาตัวรอดพอตัวเลยทีเดียวถึงมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ก่อนจะพยักหน้ารับไป

“ฉันจะรอ”
พูดเพียงเท่านั้นก็เรียกรอยยิ้มจากลูก้าได้บางๆ ในขณะที่เจเรมีหันมามองพลันออกปากถาม
“เชื่อใจมันได้หรือไง”
“เรื่องนั้นนายต้องตัดสินใจเองแล้ว”

เจเรมีเม้มปากแน่นทันที

เขาเพิ่งถูกหักหลังมาหมาดๆ จะให้กลับไปเชื่อใจลูก้าอีกมันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยแม้แต่น้อย หากแต่ลูก้าไม่ได้ร้องขอให้เขาเชื่อใจ นอกจากยิ้มบางๆ เท่านั้น

“ฝากดูแลคุณเมอร์ซีด้วยนะครับคุณฟ็อกซ์” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะออกไป ก่อนจะชะงักแล้วหันมาทางเจเรมีอีกครั้ง “ถึงผมจะหลอกคุณมาตลอด แต่วินาทีแรกที่ผมได้เห็นคุณตอนตรวจร่างกาย มันเป็นความรู้สึกของผมจริงๆ นะครับ”
ความรู้สึกยินดีที่ได้เจอคนที่ช่วยเหลือเขา... คนที่มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งแม้ว่าจะเป็นแค่โอเมก้า

เขาดีใจที่ได้เจอเจเรมีอีกครั้งจริงๆ...

แต่พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการพิสูจน์ให้เห็นมากกว่าว่าเขาพูดจริง

ทว่าในจังหวะที่เขาหันหลังเตรียมจะเดินออกไป เสียงของเจเรมีก็ฉุดให้ต้องหันกลับมาอีกครั้ง

“นายจะมาช่วยฉันทำไมทั้งที่รู้ว่าถ้าถูกจับได้ นายจะไม่รอด ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อเอาตัวรอดไม่ใช่หรือไง”
ลูก้ายอมรับว่าเขาทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของตัวเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ที่เขาทำไปก็เพราะ...
“เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณอีกครั้งครับคุณเมอร์ซี”

รอยยิ้มแบบจอมวายร้าย รอยยิ้มอ่อนโยน หรือจะรอยยิ้มแบบไหนก็ตามแต่ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจเรมี ล้วนแล้วแต่อยากเห็นทั้งนั้น

เจเรมีไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไรแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา นอกเสียจากเอ่ยสั้นๆ
“เจเรมี”
“ครับ?”
“ตั้งแต่นี้ไปเรียกฉันว่าเจเรมี” พูดแล้วก็เบนใบหน้าไปทางตรงกันข้าม ปล่อยให้ลูก้าได้ยิ้มกว้าง
“ครับ คุณเจเรมี” จากนั้นก็ออกจากห้องขังไป

บรรยากาศกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ตั้งแต่ลูก้าเข้ามา เพิ่งจะมีเมื่อครู่นี้แหละที่คริสไม่ชอบใจเอาเสียเลยถึงขนาดต้องออกปาก
“เมื่อกี้นี้มันอะไร”
“อะไร”
“ที่นายให้เด็กนั่นเรียกว่าเจเรมี”
“ก็แค่ให้รางวัลหมอนั่นก็เท่านั้น ทำไม ไม่พอใจ?” หันมาถามคริสเป็นที่เรียบร้อยในขณะที่คริสขมวดคิ้วย่น

ใช่สิ ไม่พอใจ จู่ๆ ก็ให้เรียกแบบสนิทสนมขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าใคร เขาก็ไม่พอใจอยู่แล้ว

“ฉันหึง” บอกไปตามตรงเลยทีเดียว คนอย่างเจเรมีน่ะไม่รู้เรื่องหรอกถ้าไม่พูดตรงๆ

และนั่นก็ทำให้คริสถูกแหวเข้าให้
“มันใช่เวลามาพูดอย่างนี้หรือเปล่าวะ!” พลันใบหน้าก็ร้อนวูบวาบเมื่อคริสออกท่าทางฮึดฮัด บ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้เจเรมีต้องพูดออกมาอีกด้วยท่าทางอึกอัก “ฉันไม่ให้หมอนั่นมาเรียกฉันว่าเจมีเหมือนนายหรอกน่า เจมีมันเป็นชื่อที่ให้คนพิเศษเรียก”

เท่านั้นความไม่พอใจของคริสก็ค่อยๆ จางลงไปทันที มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าคร้ามให้เจเรมีได้สบถใส่อีก
“หน้าสิ่วหน้าขวานยังมาคิดเล็กคิดน้อยอีก สติยังมีอยู่ไหมไอ้เวรคริส”

มันช่วยไม่ได้นี่ในเมื่อเขารู้ความลับของลูก้าแล้ว ทั้งความลับเรื่องแผนการและความรู้สึกของเด็กนั่นที่มีต่อเจเรมี มันทำให้เขาต้องพูดอย่างนั้น

ลูก้าไม่ได้คิดกับเจเรมีแค่ผู้มีพระคุณ ไม่อย่างนั้นคงไม่ละทิ้งโอกาสในการรอดชีวิตของตัวเอง เสี่ยงมาช่วยพวกเขาอย่างนี้หรอกแม้ว่าก่อนหน้าจะคิดทำลายเจเรมีอยู่บ้างก็ตาม

แต่ก็เอาเถอะ เจเรมีไม่รู้อย่างนี้แหละดีแล้ว พลันคริสก็หัวเราะให้กับความบ้าบอของตัวเองเล็กน้อย เอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ของคนข้างกายและนั่งเคียงข้างโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำไปเรื่อยๆ
-----------------------------------------
เต็มตอนแล้ววว ลูก้าเผยตัวสักที
หลังจากนี้ไม่อยากให้เครียดกันมาก (ถึงมันควรจะเครียดก็เถอะนะ 555) หน่องเจมีโดนกระหน่ำหนักหน่วงเหลือเกิน แปะบางฉากในตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่มมาตัดอารมณ์หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวน้องจะโดนทีมขุ่นคริสจวกไปมากกว่านี้ ฮา ไปอ่านกันที่นี่นะคะ https://www.facebook.com/NooDangzzz/posts/1240166902705827

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ตอนแรกก็คิดว่าลูก้าต้องเป็นลูกของเดร็กแน่ๆ และก็เป็นจริงๆด้วย ไม่รู้ว่าครั้งนี้ลูก้าจะช่วยให้เฮียคริสกับเจมีออกจากที่นี่ได้จริงรึป่าว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด