[END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]  (อ่าน 124644 ครั้ง)

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
หวายยย ใครจะยอมให้เมียเราไปเป็นปั๋วคนอื่นละ ใช่มั้ยคริส 
ยังคงเห็นใจลูก้าอยู่ดี มีพ่อเลวๆแบบนั้น ทำกับลูกในไส้ได้ลง
ลูก้าจะช่วยยังไงไม่รู้ แต่ช่วยแล้วขอให้ลูก้ารอดด้วย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คริสมองออก เพราะคนที่ชอบเหมือนกันมันย่อมมีสัญชาตญาณ

#หวงเมียเถื่อน

เห็นใจลูก้านะ ไม่เคยมีชีวิตเพื่อตัวเองเลย

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ว้ายย ท้ายผิด เขินจุงงง คนมันอินหลอออ :o8: :katai5:
ลูก้าเห็นงึ๋มๆ งี้ก็นกต่อเหมือนกันนะ ถถถ คริสเจมี่ยังมีมุมให้ฮาอยู่เรื่อย

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
นั้นไง!! ว่าแล้วว่าลูก้าต้องมีอะไรสักอย่าง :katai1:

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ว่าละว่าลูก้าต้องคิดกับเจมีมากกว่าผู้มีพระคุณ
คริสนี่เป็นเอามากกว่าที่คิด

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เดาถูกเรื่องพ่อลูก้า ...ถึงนางจะทำไปเพราะต้องเอาตัวรอด แต่ก็ like father, like son อำมหิตพอกัน

ออฟไลน์ minduen

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านทันแล้วว กำลังเข้มข้นน อยากให้ขุ่นคริสขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง  :katai2-1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 22: หัวใจของฉัน...มันเต้นเพื่อนาย[1]

ใครจะคาดคิดล่ะว่าการออกเดินของคิงอย่างเจอโรมมันจะส่งผลกระทบต่อการเดินหมากของเดร็กครั้งยิ่งใหญ่ หากจะพูดไป มันไม่ใช่แค่การเดินหมากของเดร็กเสียด้วย ต้องบอกว่าเป็นผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ของบรรดากลุ่มคนที่พยายามจะล้มอำนาจของตระกูลเมอร์ซีเลยก็ว่าได้ เจอโรมใช้พลังมวลชนในการขับเคลื่อนอำนาจของตัวเองโดยที่เขาไม่ได้ออกหน้าเลยแม้แต่น้อย หากแต่ใช้กลุ่มอำนาจเก่าของคนที่ยังภักดีต่อตระกูลฟ็อกซ์เป็นแกนนำในการปลุกระดมและใช้แรงกดดันที่พวกชนชั้นผู้นำแห่งมหานครเพิร์ลเป็นแรงขับเคลื่อนให้อาณาเขตการปกครองพิเศษอื่นๆ ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเพื่อทำการปฏิวัติ

จากอาณาเขตหนึ่ง...ลุกลามไปอีกอาณาเขต เมื่อการออกมาประท้วงของประชาชนมีผลต่อความมั่นคงของรัฐบาลที่ไม่ใช่ของตัวเอง อาณาเขตอื่นๆ ก็ทำตามด้วยไม่ต้องการถูกกดขี่อีกต่อไป

ความจริงแล้วที่ประชาชนออกมาแสดงพลังขนาดนี้มันไม่ใช่ฝีมือของเจอโรมหรอก เขาแค่ใช้สมองผสมกับความเจ้าเล่ห์นิดหน่อยเท่านั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเป็นเพราะผลพวงจากการบริหารงานของรัฐบาลทั้งสิ้น ที่เขาได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ต้องบอกตามตรงว่าเพราะเขาเป็นฝ่ายค้าน ถึงจะไม่ได้บริหารงานอย่างซื่อสัตย์ มีการทุจริตบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เข้าพวกกับผู้นำอีกสามตระกูลในการกดขี่ชนชั้นอื่นหรือประชาชนที่มาจากอาณาเขตอื่น

เขาไม่ได้ขาวสะอาด...แต่ก็ไม่ได้ดำเสียจนไม่เห็นข้อดี เรียกว่าเป็นคนสีเทาๆ ที่พร้อมจะทำทุกอย่างในทางตรงกันข้ามหากเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้น

การออกมาประท้วงของประชาชนในแต่ละอาณาเขตโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นทำให้เกิดการปะทะครั้งใหญ่กับมหานครเพิร์ลและเริ่มลุกลามเข้ามายังภายใน เดร็กซึ่งได้รับคำสั่งให้หาวิธียุติการชุมนุมในฐานะหนึ่งสมาชิกสภาระดับสูงที่สังกัดอยู่ในกระทรวงความมั่นคงถึงกับต้องปั้นหน้าเครียดตลอดวันด้วยคิดวิธีที่ดีกว่าการใช้ความรุนแรงไม่ออก

ทางรัฐไม่สามารถสลายการชุมนุมได้เนื่องจากการใช้ความรุนแรงจะส่งผลให้เกิดการลุกฮือมากกว่าเดิม

เสียมากกว่าเดิมด้วยถ้าหากคิดจะกำจัดต้นตอของเรื่องทั้งหมดอย่างเจอโรม

หากมีการลอบสังหาร ประชาชนจะต้องลุกฮืออีกแน่เพราะต่อให้เจอโรมไม่ได้ออกหน้า แต่พวกแกนนำก็รู้กันดีว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ถ้าเจอโรมที่เป็นทั้งอัลฟ่าและเป็นหนึ่งในผู้นำแห่งมหานครเพิร์ลเป็นอะไรไป รับรองเลยว่าพวกเขาเดือดร้อนกันยกใหญ่แน่นอน

ดังนั้นผลกรรมจึงต้องมาตกที่ตัวประกันอย่างเจเรมีและคริส

สำหรับคริสนั้นไม่เท่าไหร่ เดร็กไม่กล้าแตะต้องอะไรมากด้วยเขามีอิทธิพลเหนือกว่าเจเรมีในตอนนี้ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ประชาชนก็พร้อมจะต่อสู้เพื่อเขาทันที หากแต่เจเรมีมีแค่เจอโรมคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ เขาจึงไม่รอช้า ส่งนายทหารหลายนายเข้าไปรุมซ้อมโอเมก้าหนุ่ม ถ่ายวิดีโอส่งไปให้ผู้เป็นบิดาเพื่อข่มขู่ให้เขาหยุดแผนการบ้าๆ นี้เสียที

ทว่าคิงอย่างเจอโรมเมื่อเคลื่อนไหวบนเกมกระดานแล้ว เขาไม่ได้เดินแค่คนเดียว ยังมีหมากตัวอื่นๆ ที่ใหญ่รองจากเขาเคลื่อนไหวด้วย การจะหยุดเดินเพื่อเบี้ยตัวเดียวมันไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ถึงจะเป็นห่วงลูกชายแค่ไหน แต่ก็จำต้องอดทนและเดินหน้าต่อ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เขาทำมามันจะสูญเปล่า

แม้จะเจ็บปวด...แต่เขาต้องเสียสละ

เจเรมีก็เช่นกัน...

และรู้ด้วยว่าการที่เดร็กทำอย่างนี้เป็นเพียงการขู่เท่านั้น เขาไม่กล้าทำอะไรเจเรมีมากกว่านี้แน่นอนเพราะถ้าหากเสียเจเรมีไปแล้ว เจอโรมอาจจะทำเรื่องไม่คาดฝันยิ่งกว่าเดิมได้ และเขาก็จะหมดอำนาจต่อรองถ้าหากไม่มีโอเมก้าหนุ่มคนสำคัญอยู่ในมือ

เจเรมีเองก็รู้...เพราะรู้จึงไม่ปริปากตัดพ้อบิดาสักคำ ได้แต่กัดฟันทนการทรมานนั้นจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมและคิงได้ออกเดินอีกครั้ง

คริสที่ไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายใดๆ ทำได้ดีเพียงแค่พยายามช่วยเจเรมีทุกครั้งที่อีกฝ่ายถูกทรมาน และปลอบโยนให้กำลังใจคนรักหลังความโหดร้ายนั้นสิ้นสุดลง

วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ร่างแกร่งถูกนายทหารหลายคนทำร้ายจนสะบักสะบอม เจเรมีทรุดฮวบลงไปกับพื้น ใบหน้าบอบช้ำ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสีม่วงคล้ำและเขียวถูกถ่ายวิดีโอส่งให้บิดาเป็นจดหมายขู่อีกเช่นเคย กว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดก็ใช้เวลาพอสมควร

ทันทีที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการหลังจากที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือเจเรมีได้ คริสก็รีบประคองอีกฝ่ายให้หนุนนอนบนตัก ลูบไล้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยปื้นแดงอย่างเบามือ

“อดทนไว้นะเจมี อีกไม่นานมันก็จะจบแล้ว”
เจเรมีปรือตามอง วันนี้เขาไม่ได้เลือดแต่ก็โดนทุบตีหนักไม่ใช่น้อย พลันพยักหน้ารับทั้งที่สติเลือนราง

เขาเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ขืนโดนทำร้ายอย่างนี้ทุกวัน ต่อให้ไม่รุนแรงหรือร่างกายแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีอันเป็นไปบ้างล่ะ
ทว่าทั้งคู่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาและรอ

รอให้ลูก้าทำตามที่รับปากเอาไว้เท่านั้น...



 
ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ ลูก้าก็ไม่อาจเริ่มแผนการช่วยเหลือคนทั้งคู่ตามความตั้งใจได้แม้จะรู้ว่าเจเรมีถูกทรมานวันเว้นวันก็ตาม ยอมรับเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินการทุกอย่างให้รอดพ้นสายตาของเดร็ก ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่เขาก็ถูกจับตามอง

ยกเว้นวันนี้...วันที่เขายอมพลีกายให้กับทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ทางด้านหน้าของสถานที่พักซอมซ่อ

ไม่เพียงแต่พลีกาย ลูก้ายังมอบความตายให้กับคนทั้งสองเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่โดนติดตาม

เขาก็ไม่อยากฆ่าหรอกแต่มันจำเป็นต้องทำ ครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปเพราะต้องการเอาตัวรอด หากแต่ต้องการช่วยเจเรมีอย่างเดียวเท่านั้น

สองเท้ารีบพาตัวเองออกมาให้พ้นจากบริเวณพื้นที่ของเดร็ก ทำทุกวิถีทางเพื่อออกจากมหานครเพิร์ลมุ่งหน้าสู่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออน

ในเมื่อเงินไม่มีติดตัว ความเป็นโอเมก้าของเขานี่แหละที่เป็นค่าผ่านทางจนพาเขามาถึงยังที่หมาย...

ลูก้าไม่อยากคิดว่าเขาต้องผ่านมือใครมาบ้าง แค่มาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘บ้าน’ ที่ได้ยินข่าวลือมาว่าเป็นแหล่งกบดานของบรรดาแกนนำชุมนุมทั้งหมดได้ เขาก็คิดว่ามันคุ้มค่ามากพอแล้ว

คนแปลกหน้าที่โผล่มาโดยไม่ได้รับอนุญาตทำเอาบรรดาชายฉกรรจ์ที่เฝ้ายามอยู่ตื่นตัว ชายร่างสูงหลายคนเข้ามาขวางลูก้าไว้ทันที ก่อนจะกระชากผ้าคลุมศีรษะออกเมื่อเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญปิดหน้าตาเสียมิดชิดจนมีพิรุธ
“โอเมก้า... เป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” ได้กลิ่นประจำตัวของอีกฝ่ายก็เอ่ยถามแต่ไม่ถามว่าใครเป็นเจ้าของเพราะในกายของลูก้านั้นมีกลิ่นของอัลฟ่าหลายคนปะปนอยู่จนจำแนกไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง

ลูก้ามองหน้าคนถามด้วยสายตาหวาดๆ ริมฝีปากเผยออ้าตอบเสียงเบา “ผม...ผมชื่อลูก้า มาขอพบท่านผู้นำเมอร์ซีครับ”

ชื่อของเด็กหนุ่มโอเมก้าไม่ได้สำคัญเท่ากับชื่อของคนที่เขาอยากจะพบ บรรดาชายฉกรรจ์มองหน้ากันไปมาเล็กน้อย พลันปฏิเสธ
“ที่นี่ไม่มีท่านผู้นำอะไรอย่างที่นายว่า กลับไปซะ” ไล่อย่างไม่ไยดีด้วย

แต่ลูก้ารู้ว่าคนที่เขาต้องการพบอยู่ที่นี่จึงร้องขอออกไปอีก
“ขอร้องล่ะครับ ให้ผมได้พบเขา มีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับเขาจริงๆ”
“กลับไปแล้วไอ้หนู ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายจะมาวิ่งเล่น” อีกฝ่ายไม่ไยดีต่อคำขอของเขาเลยแม้แต่น้อย

ลูก้าเห็นท่าทางเฉยเมย ซ้ำยังถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้บ้านหลังนั้นก็ร้องโวยวาย
“ได้โปรดเถอะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะมาบอกเขาจริงๆ ได้โปรดให้ผมได้พบท่านผู้นำเมอร์ซีด้วย!”
ความดื้อแพ่งทำให้คนเป็นหัวหน้ายามขมวดคิ้วยู่ ตวาดใส่ทันใด
“บอกว่าไม่มีคนที่นายอยากเจออยู่ไง ต้องให้เจ็บตัวก่อนใช่ไหมถึงยอมไสหัวไปง่ายๆ!”

ไม่ใช่ว่าไม่กลัว ลูก้ากลัวคำขู่นั้นมากเลยทีเดียว อัลฟ่าตั้งหลายคน ซ้ำแต่ละคนก็ตัวใหญ่ยักษ์กันทั้งนั้น หากโดนทำอะไรขึ้นมา มีหวังเขาไม่รอดแน่

แต่เจเรมีสำคัญกว่า...

แค่นี้ก็เจ็บตัวมามากพอแล้ว จะเจ็บอีกหน่อยมันจะเป็นไรไป!

คิดถึงใบหน้าของคนที่เขาพยายามช่วย ความกล้าก็ผุดพรายขึ้นมาทีละน้อย พลันตะโกนขึ้นมาอีก
“ผมต้องคุยกับเขา ยังไงก็ต้องคุย! ท่านผู้นำ! ท่านผู้นำครับ! ผมชื่อลูก้า มีเรื่องจะมาบอก!”
อธิบายกับอัลฟ่าพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ สู้ร้องบอกคนที่อยู่ข้างในบ้านเลยดีกว่า

เสียงโหวกเหวกของลูก้าทำให้อัลฟ่าที่รับหน้าที่ยามไม่พอใจ คว้าร่างเล็กเหวี่ยงลงพื้นเต็มแรง ลูก้าล้มกลิ้งไปตามพื้น เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นว่าตนถูกอัลฟ่ายืนค้ำศีรษะรายล้อมอยู่รอบตัวแล้ว
“สงสัยคงจะพูดกันไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง บอกแล้วไงว่าไม่มีคนที่นายต้องการเจออยู่ที่นี่”
“ผมรู้ว่าเขาอยู่นี่ ให้ผมได้พบเขาเถอะ มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เป็นเรื่องของคุณเจเรมี ลูกชายของเขาน่ะรู้จักหรือเปล่า!” แผด
เสียงขึ้นมาอีกในขณะที่อัลฟ่าพวกนั้นดัดนิ้วรอเตรียมจัดการเป็นที่เรียบร้อย
“สงสัยต้องโดนจับเอาไปทิ้งซะแล้ว ไอ้หนูน่ารำคาญ”

ลูก้าใจหายวาบ พวกคนตรงหน้าไม่ได้ฟังเขาเลย ถ้าหากเขาถูกลากออกจากที่ตรงนี้ไป ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดมันจะเสียเปล่าเลยทีเดียว

หากแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขามากเกินไปนัก ดลบันดาลให้คนในบ้านได้ยินเสียงร้องของเขาเมื่อครู่ก่อนที่ประตูจะเปิดผางออกมา ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียงทันที

คนที่ออกมา...ไม่ใช่เจอโรม แต่เป็นอัลฟ่าหนุ่มท่าทางมีสกุลรุณชาติคนหนึ่ง

...อัลเบิร์ต

เพียงแวบแรกที่เห็นหน้า ลูก้าก็จำได้ดีว่าคนคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เห็นตอนได้เจอเจเรมีครั้งแรก

“คุณ...” ไม่รู้จักชื่อจึงได้แต่เรียกแค่นั้น
คิ้วเรียวของอีกฝ่ายย่นเข้าหากัน ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
“นาย...โอเมก้าคนนั้น...” อัลเบิร์ตเองก็จำลูก้าได้เช่นกัน
คนที่เพื่อนเขาช่วยทั้งคนนี่ จะจำไม่ได้ได้อย่างไร

การเจอกับคนตรหน้าสร้างความยินดีให้ลูก้าเป็นอย่างมาก สบโอกาส เขาก็ไม่รอช้า รีบส่งเสียงขึ้นมาทันที
“ผมมีเรื่องจะมาบอก เรื่องของคุณเจเรมี ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ได้โปรดพาผมไปพบท่านผู้นำเมอร์ซีที!”
“ไอ้เด็กนี่ บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าที่นี่ไม่มีคนที่นายตาม...” อัลฟ่าคนเดิมสวนขึ้นทว่าก็ต้องหยุดเมื่ออัลเบิร์ตยกมือขึ้นห้าม
“ให้เขาเข้ามา” แล้วก็ออกปาก สร้างความประหลาดใจให้กับพวกอัลฟ่าคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก พอเห็นทุกอย่างยังนิ่งสงบก็เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย “มัวมองอะไรอยู่ล่ะ ให้เขาเข้ามาเร็ว”

เท่านั้นลูก้าถึงได้รับการเปิดทาง อัลเบิร์ตรีบมาคว้าตัวลูก้าเอาไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายลากเข้าบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่ซักถามอะไรเลยแม้แต่น้อย



 
ผ่านเข้ามาอาทิตย์ที่สองแล้วหลังจากจับเจเรมีและคริสเป็นตัวประกัน สถานการณ์การชุมนุมก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย รังแต่จะแย่ลงไปเมื่อผู้นำแต่ละตระกูลถูกเปิดโปงในข้อหาทุจริตต่างๆ และเริ่มลามมายังบรรดาสมาชิกสภาระดับสูงหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ความเกลียดชังจากการกดขี่ทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก

รุนแรงหรือไม่ดูได้จากการที่ชนชั้นเบต้าแห่งมหานครเพิร์ลซึ่งเป็นลูกไล่ของชนชั้นอัลฟ่ามาโดยตลอดลุกขึ้นมาเข้าร่วมการชุมนุมด้วยเพิ่งตระหนักได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น พวกตนโดนเอาเปรียบมาโดยตลอดไม่ต่างจากโอเมก้าเลยแม้แต่น้อย ถึงสถานภาพจะไม่ใช่ ทว่าก็ไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าการเป็นกลไกขับเคลื่อนให้พวกอัลฟ่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเลย ภาษีอากรต่างๆ ที่พวกเขาเสียไปล้วนแล้วไม่ได้ตอบแทนมายังพวกเขาในรูปแบบรัฐสวัสดิการ หากแต่เข้ากระเป๋าของพวกชนชั้นปกครองอย่างอัลฟ่าจนหมดสิ้น

ที่เห็นว่ามีอยู่ล้วนเป็นฉากหน้าเท่านั้น รัฐไม่ได้ดูแลอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อเลยแม้แต่น้อย!

เมื่อพวกเบต้าตระหนักถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ พลังมวลชนเพิ่มขึ้น พวกที่มีหน้าที่ควบคุมสถานการณ์จึงเกิดปัญหา เดร็กกลับมาบ้านหลังจากการประชุมหารือในการประคองสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทุกวัน แรงกดดันจากทั้งทางฝั่งตัวเองและฝั่งปรปักษ์แทบจะทำให้เส้นเลือดในสมองเขาแตกทุกวินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...สงครามประสาทระหว่างเขากับเจอโรม

การส่งวิดีโอที่มีภาพการซ้อมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้นำที่ฝักใฝ่ฝ่ายค้านคนนั้นใช้ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เจอโรมไม่ติดกับง่ายๆ เดร็กรู้สึกไม่ต่างอะไรจากคนโง่ที่ใช้แผนชั่วๆ และตื้นเขินเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้มันไม่ใช่สงครามประสาทอย่างที่เขาเคยคุมเกมแล้ว มันเป็นสงครามการเมืองที่ฝ่ายใดมีแผนการที่มีชั้นเชิงกว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ เจอโรมไม่ได้เดินหมากคนเดียวอีกต่อไป รอบข้างเขามีกูรูหลายคนที่พร้อมจะให้คำแนะนำในทุกย่างก้าวที่เดิน ในขณะที่เดร็กเพิ่งสำเหนียกตัวเองในตอนนี้ว่าเขาไม่ใช่คิงบนกระดานทางฝั่งนี้ หากแต่เป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกคิงที่แท้จริงอย่างผู้นำทั้งสามตระกูลใช้รับหน้าเท่านั้น

มองไปทางไหนก็ยังไม่เห็นหนทางที่จะชนะได้เลย ไปซ้ายก็อาจจะพลาด ไปขวาก็อาจถูกกำจัดออกจากเกมได้ ที่ทำได้ในตอนนี้คือประวิงเวลาโดยถ่วงเวลาคิดไตร่ตรองในการเดินให้นานขึ้นเท่านั้น

ในเมื่อเจเรมีใช้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องใช้คริส...

หากใช้อัลฟ่าคนนี้เป็นตัวต่อรองน่าจะได้ผลกว่า เขาคงต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังพวกแกนนำมากกว่าเจอโรมแล้ว ทว่าในระหว่างที่ครุ่นคิดไม่ตกว่าจะจัดการอย่างไรกับคริสดีที่ไม่ก่อให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรง ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดผางเข้ามา สายตาดุดันมองไปยังทหารนายหนึ่งที่โผล่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตทันที

ทหารนายนั้นรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดละล่ำละลัก
“ขออภัยที่ขัดจังหวะครับ ผมมีเรื่องด่วนจะรายงานให้ท่านทราบ”

เดร็กใช้นิ้วคลึงขมับทันใด

คงจะหนีไม่พ้นการตีโพยตีพายของพวกท่านผู้นำหรือไม่ก็สมาชิกสภาล่ะสินะ...

ช่วงนี้เขาได้ฟังประโยคที่ตบท้ายด้วยคำว่า ‘เรื่องด่วน’ บ่อยเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากไปว่าการตื่นตูมของคนพวกนั้น ทว่าก็โบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงให้นายทหารคนนั้นได้พูด

“มีอะไรก็ว่ามา”
“มีการบุกแหกคุกช่วยนักโทษครับ”
พออีกฝ่ายบอก ท่าทางเหนื่อยหน่ายของเดร็กก็แทบจะมลายหายไป กลายเป็นความตระหนกฉับพลัน
“หรือว่า...”
“ตัวประกันสองคนนั้นถูกพวกกบฏพาตัวไปแล้วครับ”
เดร็กทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเต็มแรงทันทีที่ได้ยิน

ไม่... สิ่งที่เขามีไว้ใช้ต่อรองมันต้องไม่ถูกช่วงชิงไปอย่างนั้น!

เขามั่นใจว่าซ่อนสองคนนั้นไว้ดีแล้ว ใช้ทัณฑสถานร้างที่อยู่ห่างออกไปจากมหานครเพิร์ลและไม่ได้ใช้มานานร่วมทศวรรษเป็นที่กักขังเพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สงสัย แล้วทำไมถึง...

หรือว่าจะมีหนอนบ่อนไส้?

จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมา สายตาเหลือบมองไปยังนายทหารคนสนิทที่ยืนฟังมาตั้งแต่เมื่อครู่คล้ายกับว่าคิดเห็นอย่างเดียวกัน ก่อนที่นายทหารคนนั้นจะเปิดปาก

“ท่านคิดว่าพวกนั้นรู้ได้ยังไงครับ”
เงียบนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ไม่นานใบหน้าคร้ามก็เหี้ยมเกรียมขึ้นมา ส่งเสียงกราดเกรี้ยวอย่างสุดจะทน
“ลูก้า...ไอ้เด็กเหลือขอนั่น!”

เขาโดนลูกชังตลบหลังเข้าให้แล้ว!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 22: หัวใจของฉัน...มันเต้นเพื่อนาย[2]

เจเรมีจำได้ไม่ดีนักว่าเขาสลบไปตอนไหน ภาพที่เห็นครั้งสุดท้ายคือภาพของทหารที่ประจำการเฝ้ายามอยู่หน้าห้องขังถูกยิงทิ้งย่างไร้ปรานีและภาพของชายฉกรรจ์โพกผ้าอำพรางใบหน้ามากกว่าสิบชีวิตบุกเข้ามาช่วยเขากับคริสอย่างอุกอาจ

ไม่สิ...ไม่ใช่แค่สิบ มากกว่านั้น อาจจะยี่สิบหรือสามสิบ

กี่คนเขาก็ไม่อาจจะรู้ได้ ร่างกายที่บอบช้ำและพร้อมจะหมดสติทุกเมื่อไม่ได้ทำให้ความจำเป็นปกติสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีที่ประคองสติมาถึงยังแหล่งกบดานซึ่งเป็นที่ปลอดภัยจากคนของรัฐได้

และมันก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้เจอหน้าบิดา...

เจเรมีบรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูกเลย เขารู้อย่างเดียวว่าความรู้สึกทั้งหมดมันจุกแน่นอยู่ในอกและลำคอยามเจอหน้าผู้ให้กำเนิด คำพูดประโยคเดียวที่หลุดออกจากปากชายหนุ่มมีเพียงคำว่า ‘ขอโทษ’ ขณะที่เจอโรมไม่พูดอะไร ได้แต่สวมกอดลูกชายแน่นคล้ายกับว่าความภูเขาลูกใหญ่ที่เขาแบกรับมานานถูกวางลงแล้ว

ในที่สุดเจเรมีก็ได้ขอโทษเสียที...

หลังจากนั้นโอเมก้าหนุ่มก็ผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดเมื่อได้รับการตรวจร่างกาย เขาค่อนข้างอ่อนเพลียมากเลยทีเดียว ทำให้หลับลึกจนดูเหมือนกับว่าจะไม่ตื่นมาอีกอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันทำให้คริสไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย หากแต่ทำได้ดีเพียงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงและรอจนกว่าเจเรมีจะตื่นขึ้นมาอีกเท่านั้น

เข้าวันที่สองแล้ว เจเรมีก็ยังหลับสนิทอยู่ คริสเอื้อมมือไปลูบซีกแก้มที่บวมช้ำจากการถูกทำร้ายอย่างเบามือ ใจอยากจะปลุกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าก็อดใจไว้ ปล่อยให้เจเรมีได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ปากกระซิบส่งเสียงข้างๆ
“ตื่นขึ้นมาคุยกับฉันเร็วๆ นะเจมี ฉันมีเรื่องจะบอกกับนาย”

เสียงนั้นดังเข้าไปในโสตประสาทของโอเมก้าหนุ่มเต็มๆ เขารับรู้ทุกถ้อยคำ ความจริงรู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนที่คริสจะสัมผัสใบหน้าเขาแล้วเพียงแต่ยังงัวเงียจึงไม่ยอมลืมตาตื่นเท่านั้น ยิ่งได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็แทบอยากจะลืมตาโพลงมาจ๊ะเอ๋ให้คริสตกใจเล่นทันควัน ทว่าก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิดเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดเสียก่อน

“คุณผู้ชาย...”
เสียงของคนสนิทตระกูลฟ็อกซ์ คนเดียวกับที่เจอโรมไปขอความช่วยเหลือ
คริสหันไปเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ก่อนที่คนอาวุโสกว่าจะเอ่ยขึ้น
“ขอคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมครับ”

คนถูกถามพยักหน้าตอบรับ พอคนอาวุโสออกไปถึงได้โน้มหน้ามากระซิบกับเจเรมีอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันกลับมา” พลันประทับจูบลงบนหน้าผากกว้าง ลุกออกไปนอกห้องตามที่รับปาก

เสียงประตูปิดสนิทดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนนั้นเองที่คนแกล้งหลับเปิดเปลือกตา มือหนาลูบหน้าผากบริเวณที่ถูกจูบเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่ง

ไอ้เวรคริส...เล่นทีเผลอตลอด

ก่นด่าอีกฝ่ายในใจอย่างนั้นหากแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นอนเล่นอยู่บนเตียงอีกหน่อย ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นมาด้วยเบื่อหน่ายที่จะรออัลฟ่าหนุ่มกลับมาเต็มทน ตั้งใจจะไปหาเขาด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น

ทว่าเมื่อเดินไปถึงยังห้องโถงที่มีเครืออำนาจเก่าของอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนกับว่าที่ผู้นำคนใหม่นั่งหารือกันอยู่ จเรมีก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังลอดออกมาจากห้องนั้น

“พวกเราต้องการให้คุณผู้ชายกลับมาสานต่อปณิธานของท่านผู้นำฟ็อกซ์ ถึงผมจะรู้ว่าคุณผู้ชายไม่ชอบเรื่องยุ่งยากและไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไม่ว่ากรณีใดๆ แต่ยังไงประชาชนชาวดีออนก็ต้องมีผู้นำ ถือซะว่าเห็นแก่ที่ผมทำงานเคียงข้างพ่อของคุณมาตั้งแต่คุณยังเล็ก รับข้อเสนอของเราเถอะครับ”

คำพูดนั้นทำให้เจเรมีนิ่งคิดไป

แสดงว่าก่อนหน้านั้นคริสเคยปฏิเสธข้อเสนอนี้...

ซึ่งก็จริง ก่อนที่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนจะถูกควบคุม คริสเคยถูกขอร้องให้รับหน้าที่สานต่อปณิธานของผู้เป็นบิดาด้วยบรรดาคนสนิทตั้งใจว่าถ้าหากท่านผู้นำฟ็อกซ์เป็นอะไรไป เขาจะได้เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ได้แม้ว่าเขาจะมีพี่ชายอีกหลายคนรับหน้าที่สืบทอดตำแหน่งนี้อยู่แล้วก็ตาม แต่เขาก็ถูกทาบทามด้วยเพราะเกรงว่าถ้าคนอื่นๆ มีอันเป็นไป ไม่ว่าอย่างไรก็มีคนสืบทอด
หากแต่ครั้งนั้นเขายังเยาว์วัยและโง่เขลา ความรักสันโดษทำให้ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากและบิดาของเขาก็รู้เรื่องนี้ดี มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายมาเป็นตัวประกัน มันไม่ใช่แค่การรักษาชีวิตลูกชายคนเล็ก แต่ยังเป็นการปลอดปล่อยเขาจากภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ด้วย

ทว่า...สุดท้ายแล้วมันก็วกกลับมา คริสไม่อาจหนีภาระนี้ได้พ้นเลย และในตอนนี้เขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มอายุน้อยที่คิดถึงแต่ตัวเองอีกต่อไปแล้ว เมื่อได้ยินคำขอร้องอย่างนั้น เขาก็ตกปากรับคำโดยไม่คิดไตร่ตรองอะไรให้เสียเวลา

“ถ้าพวกคุณเห็นว่าเป็นเรื่องดี ผมก็ยินดีจะรับข้อเสนอนั้นไว้ครับ ผมเองก็อยากจะปกป้องประชาชนดีออนเช่นกัน นอกเหนือจากนั้น...ผมก็มีคนที่ต้องปกป้อง”

บรรดาผู้อาวุโสยิ้มรับอย่างโล่งใจที่ชายหนุ่มตอบรับแต่โดยดี ไม่สนใจเท่าไหร่นักว่านอกจากประชาชนชาวดีออนแล้ว คนที่เขาอยากปกป้องคือใคร แค่รู้ว่าจะมีผู้นำคนใหม่มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นแรงขับเคลื่อน แค่นั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้ว จะมีก็แต่ชายหนุ่มที่อยู่หลังประตูเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดหลังได้ยินคำพูดนั้น

คริสมีคนที่ต้องปกป้องนอกจากประชาชนชาวดีออน... หมายถึงเจเรมีอย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเพราะคริสมักย้ำเสมอว่าเขาคิดอย่างไร คราวนี้มันไม่ใช่แค่การปกป้องในเกมนรกนั่นแล้ว แต่เป็นสนามของทางการเมือง

ความแน่วแน่ยากเอ่ยปากพูดประโยคนั้นและท่าทางที่สง่าผ่าเผย มันทำให้เจเรมีอดคิดไม่ได้เลยว่า...คริสน่ะเจ้าชายชัดๆ!

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำรัวและเร็ว เขายกมือขึ้นทาบหน้าอกเพื่อบังคับให้มันสงบลง ก่อนเดินจากมาก่อนที่มันจะดังจนคนในห้องโถงได้ยิน ขณะที่บทสนทนาของคริสดำเนินต่อไป

คริสที่ในวินาทีนี้ไม่ใช่ตัวประกัน แต่เป็นผู้นำของชาวเขตดีออน...



 
หลังจากตกปากรับคำไปวันนั้น คริสก็แทบจะไม่มีเวลาว่างอีกเลยด้วยต้องหารือกับบรรดาคนใกล้ชนิดและเจอโรมเพื่อวางแผนรับมือและจู่โจมฝั่งปรปักษ์ เรียกได้ว่าอยู่ใต้หลังคาเดียวกับเจเรมีแท้ๆ แต่เจอหน้านับครั้งกันได้เลย ซ้ำทุกครั้งที่เจอหน้าก็ไม่ได้คุยอะไรกันนอกจากส่งยิ้มให้เท่านั้น

แน่นอนว่าเป็นคริสคนเดียวที่ยิ้มให้ ส่วนเจเรมีก็ได้แต่มองแล้วหันหนี ทำท่าคล้ายกับว่าไม่พอใจโดยที่คริสไม่รู้ตัวเลยว่าทุกครั้งที่เขามองมายังเจเรมี สายตาคู่นั้นมันทำให้ใบหน้าและร่างกายร้อนวูบวาบ อีกทั้งยังทำให้ใจเต้นแรง

เป็นอาการแปลกประหลาดที่ดูเหมือนจะทวีมากขึ้นทุกวันจนเจเรมีไม่รู้เลยว่าเขาควรจัดการอย่างไรกับอาการนี้ดี มันเป็นอาการที่เรียกว่า...ตกหลุมรัก

เขากำลังตกหลุมรักคริส...

ก่อนหน้าก็พอจะรู้ตัวมาอยู่บ้างว่ารู้สึกพิเศษกับผู้ชายคนนี้ แต่ไม่ยักจะคิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้

การแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยของเจเรมีทำให้คริสอาศัยเวลาที่เขาว่างก่อนเข้านอนลากเจเรมีที่ร่วมมื้ออาหารเย็นกันเสร็จไปตามทางเดิน จับแยกออกจากอัลเบิร์ตที่เดินเคียงคู่ไปกับเพื่อนสนิทตรงไปยังห้องนอนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เจเรมีก็อยากจะโวยวายเช่นกันที่ถูกทำอย่างนี้ ทว่าก็ได้แต่เงียบด้วยเขาไม่ต้องการให้เป็นที่เอิกเริก พูดง่ายๆ คือไม่ต้องการให้ใครรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับคริสสักเท่าไหร่นัก แต่หนีไม่พ้นอัลเบิร์ตหรอก จู่ๆ เห็นเพื่อนถูกลากไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนี้ เขาก็เดินตามฉับๆ มาจนถึงหน้าห้องของคริส ปากถามไปตลอดทาง

“คุณคิดจะทำอะไรน่ะคุณฟ็อกซ์”
และก็ไม่เคยได้คำตอบจากคริสแม้จะถามจนริมฝีปากแทบชาก็ตาม มายืนมองโดยไม่มีปากเสียงใดๆ ก็ตอนที่คริสหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนตัวเอง หันมาถามเจเรมีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จะเลิกหนีหน้าฉันได้หรือยัง”
“ใครหนีหน้านาย” เจเรมีถามเสียงขุ่นให้คริสได้หัวเราะน้อยๆ
“นายไง หนีทำไมหืม ทำตัวเย็นชาอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือจะโกรธที่ฉันไม่มีเวลาให้?”

จู่ๆ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงกะทันหัน เจเรมีอึกอักไปทันที เขาอยากปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ที่แสร้งทำเฉยเป็นเพราะเขาไม่อยากให้คริสรู้ต่างหากว่ารู้สึกอย่างไร ทว่าพอหันไปเห็นอัลเบิร์ตที่ยืนมองอย่างสงสัยอยู่ก็กระแอมไอสองสามที ทำทีเป็นปกติ
“ฉันจะต้องโกรธนายด้วยเรื่องนั้นทำไม พูดบ้าๆ”

คริสหัวเราะอีกที ดูก็รู้ว่าเจเรมีกำลังเฉไฉอยู่เพราะอัลเบิร์ตอยู่ตรงนี้ แต่เอาเถอะ เรื่องท่าทางของเจเรมีนั่นไม่ได้สำคัญเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้
“ถ้าไม่ได้โกรธก็ดีเพราะฉันจะได้ไม่เสียเวลาตอนบอกความลับนาย”
“ความลับ...?” เจเรมีย่นคิ้วเล็กน้อย ให้คริสได้กระซิบเสียงแผ่ว
“จำได้ไหมที่ฉันบอกตอนเราอยู่บนเกาะนั่นว่าถ้าเรารอด ฉันจะบอกความลับ”

เจเรมีคลายหัวคิ้ว พยักหน้ารับ การตอบรับนั้นทำให้คริสยกยิ้มขึ้นสูงกว่าเดิม ก่อนที่จะถือวิสาสะคว้าตัวเจเรมีลากเข้ามาในห้องนอนของตัวเองโดยไม่สนว่าอัลเบิร์ตจะยืนหัวโด่อยู่และเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่อย่างใด

อัลเบิร์ตก็อยากจะร้องเรียกเพื่อนตัวเองอยู่หรอก อยากถามว่าภาพที่เห็นตรงหน้ามันคือเรื่องบ้าอะไรกันแน่ แต่เห็นอาการคล้อยตามโดยไม่ขัดขืนของเจเรมีแล้วก็ชะงักไว้

ปกติแล้วควรจะต้องร้องโวยวาย หรือไม่งั้นก็ต้องซัดคริสหน้าหงายไปแล้วสิ แล้วทำไมถึง...

ถามทั้งที่รู้ กลิ่นของอัลฟ่าหนุ่มจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนนั้นฉุนกึ้กในกายของเพื่อนสนิทเขาอย่างกับอะไรดี ไม่เพียงแค่กลิ่นของคริสในตัวเจเรมี กลิ่นของเจเรมีในตัวของคริสก็ชัดเจนเช่นกัน เขาสังเกตมาตั้งแต่วันแรกที่เจเรมีกับคริสมาที่นี่แล้ว เพียงแต่แปลกใจเท่านั้นแหละที่สุดท้ายแล้วลงเอยอย่างนี้

อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเดินเคียงข้างกัน...

แต่จะอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา ทำท่าทางอึกอักคล้ายจะเรียกเจเรมีแต่ก็ไม่เรียกในตอนแรก แล้วก็พ่นลมหายใจยาวออกมา ยิ้มให้กับประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดสนิทและเดินจากไปทางอื่นแทน




 
เมื่อพ้นสายตาของคนนอกมาได้ คริสก็จับเจเรมีหันหลังชนกับผนัง ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างไม่อาจอดใจได้ไหว เจเรมีไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เผยอปากตอบรับการจูบนั้นอย่างโหยหา สองมือตวัดโอบรอบลำคอแกร่งให้อัลฟ่าหนุ่มได้แนบชิดขึ้นกว่าเดิม

แม้จะอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งคู่หยุดคิดถึงกันและกันได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะคิดถึงใบหน้าหรือสัมผัสทางร่างกายก็ล้วนแล้วแต่คิดถึงทั้งนั้น

คิดถึงทุกอย่างที่เป็นของอีกฝ่ายทุกวินาทีที่หายใจ...

ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด ผลัดกันตักตวงความหอมหวานของกันและกันเป็นพัลวันจนภายในกายเริ่มร้อนผะผ่าวและทุกอย่างมันเริ่มเลยเถิดไปนอกเหนือจากการจูบเมื่อเจเรมีเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของคนตรงหน้า คริสรีบคว้ามือของคนรักไว้ก่อนที่ตัวเองจะถูกจับเปลื้องผ้า พลันผละจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เปลี่ยนมาเป็นไล้ริมฝีปากที่ซีกแก้มทั้งสองข้างและปลายจมูกอย่างแผ่วเบาในขณะที่เจเรมีทำหน้าขัดใจ

“หยุดก่อนที่ฉันจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ดีไหม” กระซิบถามอย่างขบขันที่จู่ๆ การบอกความลับก็กลายเป็นการกอดจูบกันอีรุงตุงนังอย่างนี้

เจเรมีเม้มริมฝีปาก ฉุกคิดได้ในตอนนี้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคริสที่ทำให้เขาถูกลากเข้ามาในห้องนี้เป็นเพราะอะไร พลันคลายหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันออก

“ถ้านายไม่เริ่ม แล้วฉันจะเริ่มหรือไง”
โดนย้อนกลับเต็มๆ อย่างนี้ คริสก็ได้แต่หัวเราะแก้เขินพลางยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเอง
“บรรยากาศมันพาไปน่ะ”
เห็นท่าทางเขินอายชนิดไร้มาดของคริสแล้ว เจเรมีก็หลุดขำออกมาเหมือนกัน ดีที่กลับเข้าเรื่องได้
“แล้วตกลงนายจะบอกได้หรือยัง ไอ้ความลับอะไรนั่นน่ะ”

คริสกระแอมสองสามที สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพลันพยักหน้า

“จะบอกแล้ว ความจริงฉันอยากจะบอกนายตั้งแต่อยู่บนเกาะนั่นแล้ว”
เจเรมีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่ารอฟังเต็มที่ ก่อนที่คริสจะเปิดปากอีกครั้ง
“รู้ใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”
“รู้สึกยังไง” พอจะเดาได้อยู่แหละแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไปงั้น

คริสว่าอยู่แล้วว่าเจเรมีจะต้องมาอีหรอบนี้ แววตาพราวระยับเชียว แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาไปก็เท่านั้น เขารู้ทันหรอกว่าเจเรมีอยากให้เขาพูด แต่เขาก็ตั้งใจจะบอกอยู่แล้ว ก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของเจเรมีมาวางไว้บนหน้าอกข้างซ้าย กระซิบถามเสียงพร่า
“รู้สึกไหม”
“อะไร”
“การเต้นของหัวใจ...รู้สึกไหม” กดฝ่ามือของอีกฝ่ายให้แนบชิดกับแผ่นอกมากขึ้นไปอีก

ทำไมจะไม่รู้สึกล่ะ แรงสั่นไหวภายใต้หน้าอกนั่นแรงเสียอย่างกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะรับรู้ไม่ได้อย่างนั้นน่ะ

“รู้สึกหรือยัง” คริสถามขึ้นมาอีกแล้ว
คราวนี้เจเรมีพยักหน้า ก่อนที่จะใจเต้นแรงขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง
“ต่อจากนี้หัวใจของฉัน...มันจะเต้นเพื่อนาย”

ความร้อนแล่นพล่านขึ้นมายังใบหน้าของเจเรมีทันที แม้จะแสร้งทำหน้าตาเคร่งเครียดแต่ซีกแก้มทั้งสองข้างก็แดงเรื่อขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตื่นเต้น...รู้สึกดี...เลือดสูบฉีดดีเลยทีเดียว

คริสหัวเราะให้กับท่าทางนั้น ยิ่งเห็นเจเรมีกัดริมฝีปาก สบตาเขาตรงๆ ด้วยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะประทับจูบลงบนปลายจมูกโด่งเบาๆ
“ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อนาย...เจมี”

ที่กัดริมฝีปากน่ะไม่ได้เป็นการเขินอายใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะเจเรมีกำลังข่มความรู้สึกของตัวเองไม่ให้พวยพุ่งจนปะทุออกมาแล้วหน้ามืดไปเป็นฝ่ายปล้ำคริสต่างหาก แต่พอถูกจูบ ได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น ความอดทนก็สิ้นสุดลง เขาคว้าคริสเข้ามาบดจูบทันที มือทั้งสองข้างดันร่างคนตัวใหญ่กว่าไปที่เตียง ผลักให้ลงไปนั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว คริสเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเจเรมีจัดการถอดเสื้อของตัวเองออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ปากจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทัน เขาถูกอีกฝ่ายผลักอีกครั้งแต่คราวนี้ให้ล้มตัวลงนอน พลันถูกทาบทับ เรียวปากถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง เจเรมีมอบจุมพิตหอมหวานให้โดยไม่สนใจว่าคริสจะอยากได้มันหรือไม่

เรียกได้ว่าหายใจหายคอไม่ทันเลยทีเดียว ผละริมฝีปากออกมาได้ เจเรมีก็ลากไล้ปลายลิ้นไปตามลำคอแกร่ง มือสาละวนกับการแกะกระดุม...ไม่... ไม่ได้แกะ กระชากสาบเสื้อบนตัวของคริสออก

กระดุมหลายเม็ดกระเด็นตกบนเตียงและพื้น เสียงของพลาสติกเล็กๆ ไม่ได้ทำให้เจเรมีสนใจเลยแม้แต่น้อย จากซุกซนที่ซอกคอก็มาละเลงปลายลิ้นบนอกแกร่ง จู่โจมคนตัวใหญ่ด้วยการกระตุ้นเร้ายอดอก ทำเอาคริสที่ไม่ค่อยจะได้ถูกทำอย่างนี้ถึงกับเกร็งตัวแข็ง และแทบจะสติหลุดเมื่อตุ่มไตเล็กๆ นั่นถูกขบเม้มแรงสลับเบา

“เจมี...เดี๋ยว...” ถึงกับขบกรามแน่น ข่มอารมณ์ได้ก็เรียกสติของเจเรมี
หากแต่เจเรมีไม่สนใจแล้ว กระเถิบถอยลงต่ำ จัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ช่วงล่าง มือกอบกุมความเป็นชายที่แข็งขืน รูดรั้งตามจังหวะอย่างช้าๆ แล้วแตะริมฝีปากลงไปเบาๆ บนปลายยอด

ความเสียวซ่านทำให้คริสหายใจดังเฮือก รีบเอื้อมมือไปคว้ามือของเจเรมีที่กอบกุมแก่นกายเขาอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับถูกปัดออกเต็มแรง ทำให้เขาได้ร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเครือ
“เจมี...”

อยากจะบอกว่าให้เป็นฝ่ายมานอน การกระทำของเจเรมีแทบทำให้เขาขาดใจตายอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ถนัดกับการเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างนี้ด้วย หากแต่เจเรมีในตอนนี้สวมบทจอมวายร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือบตามองพลางหยักยิ้ม
“ต่อให้แทบขาดใจตาย ก็จงมีชีวิตอยู่เพื่อฉันซะ”

จากนั้นก็แลบลิ้นตวัดไล้ ‘ของ’ อุ่นร้อนที่อยู่ในมือ เผลอแวบเดียวก็ดันเข้าไปในโพรงปาก ความวาบหวามที่แล่นพล่านบริเวณหน้าขาและช่วงท้องทำให้มือทั้งสองข้างของคริสกำผ้าปูที่นอนแน่นทันที

จะขาดใจตายให้ได้...

นี่เขาพลาดที่พูดไปอย่างนั้นล่ะสินะ

แต่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นตามการสัมผัสของเจเรมีที่มากขึ้นเช่นกัน

หัวใจของเขา...เต้นเพื่อเจเรมีจริงๆ

ทว่าสำคัญกว่าการที่หัวใจของเขาเต้นเพื่อคนรัก เขาควรจะเตือนเจเรมีไว้ก่อนที่เจเรมีจะลืมตัวไปมากกว่านี้
“ฉันเป็นอัลฟ่านะ อย่าลืมแล้วกัน”

จะทำอะไรกับร่างกายเขาในตอนเริ่มก็ย่อมได้ แต่ถ้าถึงขั้นตอนสุดท้ายเมื่อไหร่ หวังว่าเจเรมีคงจะรู้ถึงตำแหน่งที่แท้จริงของตัวเอง...
----------------------------------------
มาเต็มตอนแล้วววว เย่
อีหนูเจมียังยั่วเก่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือขุ่นคริสเริ่มระแวงว่าตำแหน่งตัวเองจะถูกแย่งแล้วค่ะ 555 แต่ขุ่นคริสบอกรักเจมีละ บอกอ้อมๆ แต่กร๊าวใจมาก อยากได้ขุ่นคริ-- #โดนฟาด
พรุ่งนี้ช่วงเช้าหน่อยจะมาแปะตัวอย่างตอนต่อไปให้นะ
ฝากฟีดแบ็กให้หน่อยจ้า คนเขียนส่งการบ้านเรียบร้อย หนีไปนอนละ XD

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
กิ้วๆ ที่ทำแบบนั้นไปคือวิธีแก้เขินเหรอมีมี่~ ฮ่าๆ :impress2: ทำเอาพี่คริสไม่มั่นใจถึงตำแหน่งขนาดนี้

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ทำไมเขินขนาดนี้  หวงตำแหน่งเชียว
สนุกมากๆค่ะ รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
เขินนนนนนน

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ตัดแบบบบบบ โคตรค้างคาชิบหายยย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้ยเขินนนนน รู้สึกเอ็นดูเจมีมาก

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ออกจากนรกนั่นมาได้แล้ว ฮืออออ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 23: รุกฆาต[1]

เช้านี้ฟ้าใสกว่าปกติ...

อาจเป็นเพราะข้างกายมีร่างใหญ่อยู่เคียงข้างก็เป็นได้

เจเรมีตะแคงศีรษะเล็กน้อย เหลือบมองคริสที่นอนหลับหันหน้ามาทางเขานิ่งๆ ก่อนปรายตามองไปตามลำตัวและเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจ้ำซึ่งเกิดจากฝีมือของเขาเมื่อคืนนี้ เท่านั้นมุมปากก็หยักยกขึ้น

เป็นการร่วมรักครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าอิ่มเอมมากที่สุดเท่าที่เคยกอดกับคริสมา เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามสัญชาตญาณการสืบพันธุ์หรือเพราะอารมณ์กำหนัดเท่านั้น หากแต่เป็นไปด้วยความรัก

ใช่...ความรัก เขาสามารถพูดคำนี้ได้เต็มปากว่าเขารักคริส แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกนี้
เจเรมีส่งปลายจมูกโด่งไปแตะเข้ากับซีกแก้มของอีกฝ่าย สูดกลิ่นหอมของคริสเข้าปอดฟอดใหญ่ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้คนที่ยังอยู่ในนิทราก่อนจะทิ้งตัวลงจากเตียง คว้าเสื้อผ้ามาสวม เดินออกจากห้องนอนหมายจะไปหาอะไรรองท้องเป็นมื้อเช้า

หากแต่พอเปิดประตูออกมา เขาก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้าให้กับลูก้าที่เดินผ่านมาพอดี

...ไม่ใช่เดินผ่านมาหรอก ลูก้าป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มาพักใหญ่แล้วหลังจากที่เขาถามหาเจเรมีจากอัลเบิร์ตและได้ความว่าอยู่ที่ห้องนอนของคริส

พอเห็นคนที่ตัวเองรอคอยโผล่หน้ามาให้เห็น รอยยิ้มก็ประดับพรายบนใบหน้าทันที ก่อนจะออกปากทัก
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเจเรมี”
“อรุณสวัสดิ์” เจเรมีทักคนที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากลับ

ความจริงจะว่าไม่ค่อยได้เจอหน้าก็ไม่ถูก ลูก้าเองก็อยู่ในบ้านหลังนี้เช่นเดียวกัน แต่ที่เจเรมีรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เจอหน้าอีกฝ่ายเพราะเขามัวแต่คิดถึงคริสตลอดเวลาจึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนคอยแอบมองเขาอยู่มากกว่า ลูก้าเองก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าเจเรมีจังๆ เช่นเดียวกันด้วยเขายังประหม่ากับการอาศัยร่วมกับฝ่ายปรปักษ์ของบิดาตนเอง

อย่าว่าแต่เจเรมีเลย กับคนอื่นๆ เขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้า ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเก็บตัวอยู่ในห้องพักเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลยถ้าเขาจะมีอาการระแวดระวังตัวค่อนข้างมากเพราะเขาถูกบิดากรอกหูมาตลอดว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์กับพวกพ้องไม่สมควรมีชีวิตอยู่นี่นา มันจะแปลกอะไรถ้าเขากลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าถ้าหากไว้ใจคนพวกนี้มากเกินไปแม้ว่าหัวเรือใหญ่อย่างเจอโรมจะเป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุดและสั่งไม่ให้เขาออกจากบ้านไปไกลเพื่อความปลอดภัย

ขนาดบิดาเขาแท้ๆ ยังเชื่อใจไม่ได้ แล้วในโลกนี้จะมีใครที่เชื่อใจได้อีกกัน

เว้นก็แต่เจเรมีเท่านั้นที่เขาไว้ใจ มันคงเป็นเพราะการกระทำของเจเรมีกระมังที่ทำให้เด็กหนุ่มสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเจเรมีอย่างนี้
เสียก็แต่ครั้งนี้ที่เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย ตอนได้ยินอัลเบิร์ตบอกว่าเจเรมีอยู่ที่ห้องนอนของคริส ใจก็หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยิ่งได้เห็นกับตาตัวเอง บอกได้เลยว่าเขารู้สึกแย่ไม่น้อยทีเดียว

กระนั้นก็แสร้งยิ้มกลับไป
“เหมือนเมื่อคืนนี้คุณจะนอนผิดห้องนะครับ” ถามคล้ายกับว่าหยอกเล่น แต่ไม่ใช่เลย
เจเรมีได้ยินแล้วก็หน้าร้อนวูบ ยกมือลูบต้นคอแก้เขินอายทันควัน
“พอดีฉันมีเรื่องต้องคุยกับคริสนิดหน่อยก็เลยมานอนที่นี่”

มีเรื่องคุยยาวเสียด้วย...ยาวจนฟ้าสาง

แต่ลูก้าไม่ใช่เด็กอมมือที่จะเชื่อคำโกหกอย่างนั้น เห็นสีหน้าเขินอายของเจเรมีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วก็ดูออก เขายิ้มบางๆ เล็กน้อย พลันพูดออกมาตรงๆ

“ตกลงคุณเลือกคุณคริสสินะครับ”
เจเรมีเหลือบมองพลางเลิกคิ้วเป็นคำถามให้ลูก้าได้พูดซ้ำอีก
“ผมหมายถึงว่าตกลงคุณเลือกคุณคริสเป็นคู่ชีวิตสินะครับ” ขยายความให้เสร็จสรรพ ทำเอาเจเรมีถึงกับย่นคิ้ว
“นายจะพูดอะไรกันแน่” รู้ในตอนนี้เลยว่าที่ลูก้าโผล่มาให้เห็นอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว น่าจะตั้งใจมากกว่า ยอมรับเลยว่าในหัวของเจเรมีหงุดหงิดพอดูเลยทีเดียวที่ถูกดักรออย่างนี้

ทว่าความหงุดหงิดนั้นก็มลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณคิดว่ามันจะเป็นไปไหม”
“อะไรนะ”
“โอเมก้ากับโอเมก้าน่ะ คุณคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมครับ”

นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ตีความคำถามของลูก้า ก่อนจะฉุกใจคิดได้ว่าลูก้าหมายความเช่นไร

ที่มาดักรอและพูดอะไรแปลกๆ ก่อนหน้านั้นไม่ได้เป็นเพราะอีกฝ่ายหมายปองคริสแต่อย่างใด หากแต่คนที่ลูก้าหมายปองน่ะ...คือเขาคนนี้ต่างหาก

ดวงตาเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อหูว่าคนตรงหน้ารู้สึกกับเขามากกว่าที่เขารับรู้ พลันริมฝีปากก็ขยับขึ้นเล็กน้อย
“ลูก้า...หรือว่านายจะ...” พูดต่อไม่ออกกะทันหัน
ลูก้าเองก็ไม่ตอบเช่นกัน ได้แต่ยิ้มรับบางๆ ด้วยคิดว่าเจเรมีคงจะเข้าใจความรู้สึกของตนที่มีต่อเขาหมดแล้ว และเพราะต่างคนต่างเงียบงัน ลูก้าจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“เป็นไปไม่ได้สินะครับ”
ถามทั้งที่หน้ายังมีรอยยิ้ม หากแต่มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่เจเรมีเคยเห็นมาเลย เจเรมีก็พูดอะไรต่อไม่ถูกและทำหน้าไม่ถูกมากกว่าเดิมเสียอีกเมื่อลูก้าเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ระหว่างผมกับคุณมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยใช่ไหมครับ” ถามทั้งที่รู้คำตอบดี
เจเรมีนิ่งงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

มันไม่ใช่เพราะเขากับลูก้าเป็นโอเมก้าทั้งคู่ แต่มันเป็นเพราะในหัวใจของเขามีแต่คริสเท่านั้น เขารู้มาพักหนึ่งแล้วว่าตัวเองแล้วว่ารู้สึกกับคริสเช่นไร เพียงแต่มันชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาก็เมื่อคืนนี้นี่เอง และที่ตอบรับลูก้าไปตรงๆ อย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่สงสารลูก้า แต่เขาโกหกตัวเองไม่ได้ ลูก้าเองก็เข้าใจความจริงข้อนี้ดี พลันพ่นลมหายใจออกมา

“คิดไว้อยู่แล้ว” พึมพำเสียงเบา ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าจะหัวเราะกับความโง่เขลาของตัวเองหรือหัวเราะให้กับโชคชะตาอันน่าสมเพชของตัวเองดี...
หัวเราะไป น้ำตาก็เอ่อปริ่มขอบตาก่อนจะไหลอาบใบหน้า เขาพยายามกลั้นแล้วแต่มันอดไม่ได้ ทั้งที่บอกตัวเองให้อดทนตั้งแต่ก่อนจะมาเผชิญหน้ากับเจเรมี แต่สุดท้ายก็ทนแบกรับความผิดหวังระคนความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว

...เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้เลยว่าหัวเราะทั้งน้ำตามันเป็นอย่างไร

ผู้มีพระคุณที่เขาชื่นชมจนสุดท้ายมันกลายมาเป็นความรักจนเขาสามาถทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายรอดไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยนอกจากคำว่า ‘สงสาร’…นั่นเป็นสิ่งที่ลูก้าตระหนักรู้ดีตั้งแต่แรกแม้ว่าเขาจะเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างก็ตาม
แต่สุดท้ายมันก็สูญเปล่า... ความรู้สึกของเจเรมีที่มีต่อเขามันไม่เคยเป็นอื่นเลยนอกจากคำว่าสงสารคำเดียวเท่านั้น
ยิ่งคิด น้ำตาก็ยิ่งไหลมากกว่าเดิมจนคนร่างบางสะอื้นตัวโยน เจเรมีมองภาพนั้นแล้วก็อยากจะกอดปลอบอย่างที่เคยทำ ทว่าเขาก็ยับยั้งมือที่กำลังจะขยับไว้

ไม่ควร...เขาไม่ควรทำอย่างนั้น มันไม่เหมือนกับการปลอบประโลมอย่างเช่นทุกทีแล้ว ครั้งก่อนๆ มันเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะปกป้อง แต่ในครั้งนี้มันจะกลายเป็นการให้ความหวัง

การให้ความหวังทั้งที่เป็นไปไม่ได้มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ…

เจเรมีรู้ดีจึงได้แต่มองลูก้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบเท่านั้น ปล่อยให้ลูก้าได้ระบายความเสียใจออกมาเท่านั้น

บรรยากาศน่าอึดอัดหลั่งไหลอบอวลรอบตัวของเขาทั้งคู่ ไร้ซึ่งคำพูดคุยอยู่พักใหญ่ทีเดียวกระทั่งลูก้าเริ่มตั้งสติได้แล้วตัดบท

“ผม...ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ” มือปาดน้ำหูน้ำตาเร็วๆ สิ้นเสียงก็เดินจากไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามองเจเรมีอีกเลย
เจเรมีถอนหายใจยาว เช้านี้ของเขาไม่สดใสเอาเสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดจะโทษลูก้าหรอก ดีเสียอีกที่เขารู้อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเผลอทำอะไรให้ลูก้าได้หวั่นไหวจนถลำลึกกว่านี้แน่ๆ

คิดอยู่ลำพังแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ไม่ตามไปเหรอ”
หันไปก็เห็นว่าเป็นคริสในสภาพนุ่งกางเกงขายาวตัวเดียวยืนกอดอกมอง พอเห็นเจเรมีไม่ตอบก็ถามอีก
“ทำไมล่ะ”
“อยากให้ฉันตามไปหรือไง” อีกฝ่ายถามเสียงขุ่น

แน่นอนว่าไม่อยาก คริสส่ายหน้าทันควัน

“แล้วจะพูดทำบ้าอะไร”
“ก็นึกว่านายจะใจดีอย่างที่เคยทำ”
ถูกคริสย้อนกลับบ้าง เจเรมีก็ส่งสายตาดุดันให้

“เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะใจดีด้วย ไม่เห็นหรือไงว่าหมอนั่นคิดเลยเถิดกับฉันขนาดไหน”

ทำไมจะไม่เห็น เห็นเต็มๆ สองตาเลยล่ะ รู้เรื่องนี้ก่อนเจเรมีจะรู้เสียด้วย แต่ก็เอาเถอะ คนตรงหน้าเขาทำถูกแล้วที่ไม่ไปให้ความหวังอย่างนั้น อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาต้องมาคอยหึงหวงคนตรงหน้า จะว่าเขาเห็นแก่ตัวที่คิดจะครอบครองเจเรมีไว้คนเดียวก็ได้ แต่หากคิดในทางกลับกันแล้ว การที่เจเรมีชัดเจนอย่างนี้ก็ทำให้ลูก้าไม่ต้องเสียใจกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ลูก้าควรได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียทีโดยไม่เอาชีวิตตัวเองไปผูกไว้กับใคร...

คริสไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น มีแต่เจเรมีเท่านั้นที่มองคนตัวสูงกว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็หัวเสีย
“แล้วจะยืนโชว์อย่างนี้อีกนานไหม เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดว่าเมื่อคืนนายถูกฉันปล้ำ!”
คริสเหลือบมองแผ่นอกของตัวเองแล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนี้ว่าตัวเองเปลือยช่วงบนอยู่ ร่องรอยความรักที่เจเรมีฝากไว้ปรากฎให้เห็นบนผิวเนื้ออย่างชัดเจน เท่านั้นคริสก็คว้าคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงพร่า
“อายเหรอ?”

ก็ใช่น่ะสิ!

แต่คนอย่างเจเรมีไม่มีวันที่จะหลุดพูดไปอย่างนั้น ถูกคริสหยอกล้อก็ผลักออกเต็มแรง ตามด้วยต่อยเข้าไปที่แผงอกอีกที
“ต้องให้ได้เลือดก่อนใช่ไหมถึงจะพูดกันรู้เรื่อง”
คริสยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ หัวเราะกับท่าทางดุๆ ของเจเรมีก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปอย่างว่าง่าย ทิ้งให้เจเรมีหันหลังกลับไปมองยังทางที่ลูก้าเดินจากไปเพียงลำพังด้วยความเป็นห่วง

ลูก้า...จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?




 
ความผิดหวังเป็นเรื่องที่เขาคุ้นชินมาตั้งแต่เล็ก... ไม่สิ ต้องเรียกว่าตั้งแต่เกิดมากกว่า ตั้งแต่ที่เกิดมาเป็นโอเมก้าแห่งตระกูลแฮร์ริสัน ชีวิตเขาไม่เคยได้สัมผัสกับความสมหวังเลยแต่ครั้งเดียว

ทั้งที่ควรจะชินชาได้แล้ว แต่เมื่อแสงแห่งความหวังอย่างเจเรมีที่ดูเหมือนจะเป็นแสงที่ส่องประกายสว่างที่สุดในชีวิตเขาดับมอดลง ลูก้าก็เหมือนคนตาบอด มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทาง

ความเจ็บปวดที่ประดังประเดเข้ามาเกาะกุมจิตใจมันกำลังจะทำให้เขาตาย...

ไม่ได้ตายในทันทีเสียด้วย มันค่อยๆ กัดกินเขา ทรมานให้ตายอย่างช้าๆ

ไม่ใช่เพราะเขารับความจริงไม่ได้ถึงรู้สึกปวดร้าวขนาดนี้ แต่เป็นเพราะยอมรับความจริงนี่แหละที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต

สองขาเรียวพาร่างกายผอมบางออกมาจากบ้าน ไม่สนว่าตัวเองจะถูกห้ามไม่ให้ออกจากที่นี่อย่างไร

มันช่วยไม่ได้... ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาไม่อาจทนเห็นหน้าคนที่เขารักสุดหัวใจไม่ไหว ความจริงแล้วสถานที่นี้ก็ไม่ใช่ที่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้มีพื้นที่ให้กับคนอย่างเขาด้วย ถึงคนพวกนั้นจะต้อนรับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับการยอมรับ

ถึงจะได้รับการยอมรับในฐานะโอเมก้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการยอมรับในเรื่องของฝ่ายเพราะเขามีสายเลือดของศัตรู
ลูก้าจึงตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่โดยการหลอกพวกที่เฝ้ายามว่าเบื่อที่จะอุดอู้อยู่ในบ้าน ขอไปเดินเล่นละแวกนี้ ทว่าพอได้รับอนุญาต เขากลับหลบหนีออกจากตรอกแห่งนั้น มุ่งหน้าสู่ชายแดนของอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน ตั้งใจว่าจะไปจากที่นี่แม้จะไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัดก็ตาม

โชคดีที่การเดินทางในครั้งนี้เขาไม่ต้องใช้ตัวเองเป็นค่าแลกเปลี่ยนอีกแล้วด้วยคริสพอจะให้เงินไว้ติดตัวอยู่บ้าง

เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้...เป็นสิ่งที่คริสแอบทำโดยไม่บอกใครด้วยไม่ต้องการให้ใครมองว่าลูก้าเป็นตัวถ่วงเนื่องจากพวกเขาก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะแบ่งปันไปให้ใครใช้ส่วนตัวเหมือนกันเพราะเงินส่วนใหญ่ต้องใช้เป็นเงินทุนในการขับเคลื่อนทางการเมืองในด้านต่างๆ

มือเรียวล้วงเอาธนบัตรออกมานับ แบ่งเป็นสัดส่วนเพื่อใช้เป็นค่ารถในการมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอื่น อีกส่วนหนึ่งใช้เป็นค่าอาหารและที่พัก

วันนี้ฟ้ามืดแล้ว เขาคงต้องหาที่พักก่อนแล้วเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้

ทว่าในระหว่างที่เดินไปยังโรงแรมขนาดเล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ลงรถเมื่อครู่ ลูก้าก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากทางด้านหลัง
มีคนกำลังตามเขาอยู่...

เหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็นชายฉกรรจ์หลายคน ความไม่ชอบมาพากลพร่างพรายทันที ลางสังหรณ์บอกให้เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแล้วที่เขาจะมาเดินเตร็ดเตร่ตามลำพังบนถนนอย่างนี้ ทำให้เขารีบออกวิ่ง แต่ไม่ทันแล้ว ชายฉกรรจ์พวกนั้นมารุมล้อมหน้าหลังไว้หมด เห็นหน้าคนพวกนั้นแล้วก็พอจะจำได้

คนของบิดาเขา...

ใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัวทันที ก่อนที่ใครบางคนจะเอ่ยขึ้น
“พ่อให้มารับกลับบ้านแล้วไอ้หนู”

นั่นเป็นเสียงแรกที่เขาได้ยินก่อนลำตัวจะโก่งงอเพราะความจุกเสียดจากหมัดที่พุ่งเข้ามากระแทกท้อง แล้วตามมาด้วยแรงกระแทกที่ต้นคออีกที เท่านั้นสติปชัญญะที่เขามีอยู่ก็ถูกช่วงชิงไป ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดในชั่วพริบตา
----------------------------------
แปะให้ครึ่งตอนก่อนค่ะ ครึ่งหลังยังเขียนไม่เสร็จ ต้องใช้พลังชีวิตเยอะ
ใกล้จะจบเรื่องแล้ว หลายคนกลัวใจคนเขียนมาก กลัวลูก้าตาย ไซโคกันใหญ่ 555 ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าหนูแดงก็จะเขียนตามบทนะคะ ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ส่วนใครที่เชียร์ให้ลูก้ากับอัลเบิร์ตได้กัน...เรือผีจงล่ม! 555 #โดนตบ
ความจริงหนูแดงก็เอากลับไปคิดเหมือนกัน แต่ดูจากพล็อตที่เขียนมาจนจะจบอยู่แล้วมันไม่เหมาะเลยถ้าให้ลูก้ารอดชีวิตแล้วได้กับอัล แต่อย่างที่บอก รออ่านแล้วกันค่ะ
ผ่านมันไปให้ได้นะทุกคนนนน สู้ๆ 555 อย่าเพิ่งกลัวตับไตจะพังแล้วเลิกอ่านกันก่อนนะ XD
ป.ล.ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ล่วยยย

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
สะเทือนตับไต
ลูก้าาา
โอ๊ย ชีวิต
ปล.ดีใจกับเจมคริส
เอ้ย ผิดๆ คริสเจมี่ 55+

ออฟไลน์ Caramella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ลูก้าชีวิตบัดซบสุดๆ  :z3:
มาถึงตอนนี้นางจะอยู่หรือตายก็ไม่เถียงแล้วค่ะ  สมควรแก่เวลา :katai5:j
#เอ๊ะเดี๋ยวว ถถถ
เอาเข้าจริงแอบเชียร์ลูก้ากับธีโอ  เรือผีกว่า ถถถถถถ #ทีมแม่ยกที่อวยแต่ตัวประกอบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2017 23:47:26 โดย Caramella »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารลูก้า

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สงสารลูก้าง่ะ  :mew4:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
โถ่ ลูก้าผู้อาภัพ โดนคนเขียนรังแกอยู่เรื่อย (โดนคนเขียนตบ)
เมื่อไหร่พ่อชั่วของลูก้าจะม่องซะทีละ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 23: รุกฆาต[2]

บ้านพักของตระกูลแฮร์ริสันไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป เดร็กจำต้องพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและภรรยาอพยพมากบดานยังที่ที่ปลอดภัยเนื่องจากมันเสี่ยงต่อการถูกฝูงชนโจมตีได้ทุกเมื่อ และส่งธีโอหลบหนีไปก่อนในขณะที่เขายังคงพำนักอยู่ที่โกดังบริเวณท่าเรือรับ-ส่งสินค้าเพิร์ลเพื่อรอทำตามแผนการที่วางไว้ ความจริงเขาควรจะอพยพหนีออกจากเมืองไปตามผู้นำทั้งสามตระกูลแล้ว ทว่าเพราะยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการจึงทำให้ยังไปไหนไม่ได้

ความแค้นยังไม่ได้สะสาง จะหนีไปไหนได้อย่างไรกัน!

ในตอนนี้ไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะทางการเมืองมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเขากำลังจะทำให้เจอโรมได้จดจำไปอีกนานว่าไม่ควรมาไล่ต้อนคนอย่างเขาให้หมดทางสู้

แผนการหลอกล่อให้ ‘ของมีค่า’ ของเจอโรมออกจากที่หลบซ่อนถูกดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน ไม่รู้หรอกว่าแผนการของเขามันจะสำเร็จไหม แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเจเรมีจะต้องมาที่นี่ตามที่ทิ้งโน้ตไว้ให้เพราะรู้ดีว่าเจเรมีกับลูกชายของเขาอีกคนที่ถูกมัด นอนคุดคู้อยู่บนพื้นรอการช่วยเหลือมีความรู้สึกบางอย่างต่อกัน แต่จะความรู้สึกแบบใดมันก็ไม่สำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย รู้เพียงอย่างเดียวว่าถ้าหากแผนการของเขาสำเร็จ เขาจะฝากบาดแผลในใจขนาดใหญ่ให้กับเจอโรมได้

เดร็กรอการมาถึงของเจเรมีอย่างใจจดใจจ่อหลังจากที่ออกคำสั่งให้บรรดาพลแม่นปืนที่ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขากระจายไปทั่วทุกจุดของท่าเรือแห่งนี้ เขาไม่ได้จะให้คนพวกนั้นปลิดชีพเจเรมีหรอก เขาจะลงมือฆ่าด้วยตัวเองนั่นแหละแต่พอจะเดาได้ว่าเจเรมีจะต้องไม่ได้มาที่นี่คนเดียวแน่ ดังนั้นจึงต้องเผื่อแผนสำหรับการกำจัดพวกเหลือบไรน่ารำคาญตัวอื่นๆ ด้วย

และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดหมายแล้ว เดร็กนั่งรออย่างใจเย็น ปรายตามองยังร่างบางที่พยายามจะเค้นเสียงออกมาหลังจากได้ยินใครบางคนร้องบอกเวลาห้าทุ่มให้รู้ว่าถ้าถึงเวลานัดแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา คนที่นอนแบ็บอยู่ตรงนี้ก็หมดเวลาที่จะหายใจ
ทว่าลูก้าไม่ปล่อยให้เวลานั้นมาถึง เปล่งเสียงออกมาจนได้

“ผมขอร้อง...ฆ่าผมเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขา”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูก้าเอ่ยเช่นนี้ มันสร้างความรำคาญใจให้กับคนเป็นบิดาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว เท้าที่สวมรองเท้าหนังคอมแบทยกขึ้นวางบนหน้าอก ออกแรงกดลงไปจนสร้างความเจ็บปวด กระทั่งได้ยินเสียงหายใจติดขัดของคนบนพื้นถึงได้เอ่ยปากพูด
“ถ้ามันไม่มา แกก็ได้ตายสมใจแน่” จากนั้นก็ยกเท้าออก ปล่อยให้ลูก้าได้ไอโขลกออกมาระลอกใหญ่

เดร็กเหลือบมองอย่างรังเกียจ ไม่ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้สร้างความเอ็นดูให้กับเขาได้เลย นั่นก็เพราะเขาเป็นโอเมก้า...

ที่มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้นี่แหละ แต่ตอนนี้มันสิ้นสุดแล้ว เขาไม่อาจทนมองเศษชิ้นเนื้อที่เป็นกาฝากของตระกูลได้อีก ยิ่งถูกหักหลังด้วยแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บเอาไว้ เพียงใช้ประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น เขาก็จะฆ่าทิ้งให้พ้นหูพ้นตา

ลูก้ารู้ชะตากรรมของตัวเองดี แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าการกระทำของตัวเองเป็นการกระทำที่ผิด การถอยห่างจากเจเรมีมาอย่างนั้นน่ะมันถูกต้องแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เจเรมีไตร่ตรองสักหน่อยว่าควรเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขาอีกหรือไม่

ทั้งรู้สึกเกินเลยกว่าผู้มีพระคุณ ทั้งเคยคิดร้ายซ้ำยังเป็นตัวถ่วง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยทั้งนั้น

ลูก้าค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าเจเรมีคงไม่เสี่ยงชีวิตตัวเองมา ความรู้สึกของเจเรมีที่มีต่อเขามันชัดเจนอยู่แล้ว นอกจากความสงสาร มันก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย

มันคงได้เวลาที่เขาควรทิ้งโลกแสนโสมมนี้ไว้เบื้องหลังสักที...

เปลือกตาปิดลง นับถอยหลังในใจรอความตายช้าๆ ทว่าก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงนายทหารคนสนิทของเดร็กพูดขึ้น
“มาถึงแล้วครับ”

ลูก้ากระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที สายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินมายังหน้าประตูโกดัง ถูกสั่งให้หยุดอยู่ตรงนั้น พลันทหารหลายนายก็กรูกันเข้าไปตรวจร่างกายว่ามีอาวุธติดตัวหรือไม่ ก่อนที่เดร็กจะร้องทัก

“อีกสิบนาทีจะเที่ยงคืน ถ้ามาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย พวกแกคงได้ศพของเด็กนี่ไปนอนกอดแล้ว”
เจเรมีส่งสายตาเกลียดชังไปให้ ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนตรงหน้าเรียกตัวเองว่า ‘พ่อ’ ไปได้อย่างไร

รักแต่เพียงธีโอ ส่วนลูก้าจะอยู่หรือตายก็ไม่สนใจทั้งสิ้น

เดนนรกชัดๆ!

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยืนมองเดร็กกระชากผมลูก้าให้เข้ามาใกล้ก่อนออกปาก
“เอาไปสิ” พลันเหวี่ยงไปตรงหน้า
ร่างของลูก้ากระแทกเข้ากับพื้นซีเมนต์เต็มแรง เจเรมีรีบปรี่เข้ามาแก้มัดให้ ก่อนจะถอดเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองคลุมร่างเปลือยเปล่า
ทันทีที่เสื้อแจ็กเก็ตสัมผัสลงบนผิวเนื้อ ลูก้าก็หลั่งน้ำตาออกมาทันใด

ความรู้สึกนี้มัน...เหมือนกับครั้งแรกที่เขาได้เจอเจเรมีเลย

“คุณมาช่วยผมทำไม” ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นถามเสียงพร่า
เจเรมีไม่สนใจที่จะตอบคำถามเท่าไหร่นอกจากพยุงให้ลุกขึ้น “อย่ามาถามอะไรตอนนี้เลย รีบไปจากที่นี่กันดีกว่า”
“แต่เขาไม่ให้คุณไปง่ายๆ หรอกนะครับ เขาจะฆ่าคุณ ทิ้งผมไว้แล้วรีบหนีไปเถอะ”
“ถ้าฉันจะหนีแล้วฉันจะโผล่หัวมาที่นี่ทำไม บอกแล้วไงว่าอย่าพูดมาก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของนายมันพังไปหมดแล้วหรือไง ลุกขึ้น!” ถูกเซ้าซี้มากๆ เจเรมีก็เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย ดึงลูก้าให้ลุกขึ้นยืนเสียจนตัวลอย

เรื่องที่เดร็กจะฆ่าเขาอะไรนั่น เขารู้อยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอธิบายอะไรให้ลูก้าฟัง เขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดต่างหาก

เดร็กที่นั่งอยู่ที่เดิมยกขาขึ้นไขว่ห้าง มองชายหนุ่มพาลูก้าไปพลันหัวเราะ

คิดว่าจะไปไหนพ้นหรือไง แค่ก้าวออกไปที่ลานกว้างข้างหน้า พวกสไนเปอร์ก็พร้อมที่จะยิงทิ้งแล้ว...

ใช่ มันเป็นแผนการของเดร็ก ที่ปล่อยออกไปง่ายๆ อย่างนั้นก็เพื่อจะรอชมการแสดงนี้ต่างหาก

ทว่าความคาดหวังของเขาไม่เป็นดั่งตั้งใจ แทนที่จะได้ยินเสียงร่างไร้วิญญาณของสองคนนั้นล้มไปกับพื้น กลับได้ยินเสียงรัวกระสุนปืนดังแทน

มันประหลาดที่สไนเปอร์จะรัวกระสุนเป็นปืนกลขนาดนี้ ทำเอาเดร็กรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ลุกพรวดอย่างรวดเร็ว คว้าปืนจากข้างเอวมาถือในขณะที่เสียงรัวกระสุนยังดังไม่หยุด พลันสายตาก็จับจ้องไปยังเจเรมีรีบพาลูก้าไปหาที่หลบ ก่อนที่ความสนใจจะถูกเบี่ยงเบนไปเมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกกลุ่มใหญ่พากันกรูเข้ามายังท่าเรือแห่งนี้พร้อมอาวุธครบมือ พลันการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
คนพวกนั้น...ไม่ใช่คนของเจอโรมอย่างแน่นอนเพราะเดร็กดูออกว่าชายฉกรรจ์พวกนี้เป็นอดีตทหารจากอาณาเขตปกครองพิเศษอื่นๆ ที่ถูกปลดประจำการโดยคำสั่งจากมหานครเพิร์ล และเป็นคนของคริส

ถูกต้อง...คนของคริส ทันทีที่คริสขอความช่วยเหลือไปเมื่อวาน ผู้นำอาณาเขตอื่นก็เต็มใจส่งคนมาช่วยโดยไม่มีการซักถามอะไรให้มากความ เพียงคริสบอกว่าเป็น ‘ภารกิจช่วยชีวิตโอเมก้าคนสำคัญ’ เท่านั้นทุกสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการก็มาอยู่ในมือแล้ว
เดร็กสบถเสียงลั่น หลบลูกกระสุนที่ถูกส่งมาเฉียดศีรษะเป็นพัลวัน ไม่นึกเลยว่าเรื่องที่เขาคิดว่าง่ายจะกลายเป็นเรื่องยากอย่างนี้ และดูท่าทางเป้าหมายของคนพวกนี้คือเขาเสียด้วย แต่มันเรื่องอะไรที่เขาจะยอมให้ตัวเองต้องจนมุมกัน!

“ไม่ได้การแล้วครับ หนีเถอะท่านนายพล!” นายทหารคนสนิทร้องบอกด้วยดูจากสถานการณ์แล้ว ฝั่งของเดร็กเสียเปรียบอยู่เห็นๆ ในเรื่องของจำนวนคน

ทว่าเดร็กเหมือนคนโง่เง่า เขาไม่ต้องการจนมุมจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน อย่างน้อยถ้าจะหนีก็ขอให้เขาได้กำจัดไอ้โอเมก้าสวะสองคนนั้นก่อน เท่านั้นมือใหญ่ก็ผลักนายทหารคนสนิทออกห่าง โผล่ออกจากที่กำบัง รัวกระสุนปืนใส่ฝั่งตรงข้ามอย่างชำนาญ

ก่อนที่จะมาเป็นนายพล เขาผ่านศึกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เรื่องความแม่นปืนของเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นที่โจษจันเลยทีเดียว

เมื่อทางถูกเปิดโล่ง ร่างใหญ่ก็รีบวิ่งไปตามทางที่ชายหนุ่มรุ่นลูกมุ่งหน้าไป อาวุธถูกสับเปลี่ยนระหว่างทางกับร่างไร้วิญญาณของฝั่งตรงข้ามที่เขาคร่าชีวิตอย่างไร้ปราณี

การฆ่าคนพวกนี้มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเลยแม้แต่น้อย เขาจะพอใจก็ต่อเมื่อได้ฆ่าโอเมก้าสองคนนั้นเองกับมือ!

เจเรมีที่พาลูก้าหลบการต่อสู้มุ่งหน้าไปยังจุดที่นัดหมายกับคริสไว้โดยไม่แม้แต่จะหันมามองทางด้านหลัง เกือบจะถึงที่หมายอยู่แล้วทว่าก็ต้องชะงักเมื่อลูก้าสะดุดเข้าขาตัวเองเข้าให้อย่างจัง ด้วยความที่ช่วงขาของเขาสั้นกว่าเจเรมีทำให้ก้าวตามไม่ทัน ทำเอาเจเรมีหันขวับไปมอง ร้องบอกอย่างร้อนรน

“ลุกขึ้นเร็วเข้า!”
ไม่เพียงแต่จะกระชากให้ลุกขึ้นเท่านั้น ยังดึงให้ออกวิ่งอีกรอบ หากแต่การล้มลงไปเมื่อครู่ทำเอาข้อเท้าข้างหนึ่งของลูก้าพลิกเข้าอย่างจัง แค่ก้าวขา ความปวดแปลบก็แล่นขึ้นมาทำให้ร่างบางทรุดลงไปอีก

“โอ๊ย!”
เสียงร้องทำให้เจเรมีรีบปล่อยมือในขณะที่ลูก้าจับข้อเท้าบวมเป่งของตัวเองพลันว่า
“คุณเจเรมีหนีไปก่อนเถอะครับ ทิ้งผมไว้ตรงนี้ เอาตัวรอดก่อน”
“อย่ามาทำตัวแสนดีนักเลย ถ้าฉันจะเอาตัวรอดแล้วจะเสี่ยงมาช่วยนายทำไม ลุก!” สวนคืนแล้วออกแรงดึงลูก้าขึ้นมาอีก ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดแต่อย่างใด

เวลาอย่างนี้ในเมื่อวิ่งด้วยขาของตัวเองไม่ได้ เขาก็จะแบกลูก้าไปเอง!

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้อุ้มอีกฝ่าย เสียงลูกกระสุนถูกยิงสวนมาโดนกับเสาเหล็กที่อยู่ข้างๆ ทำให้เจเรมีต้องชะงัก ทอดสายตามองไปยังทิศทางของกระสุนก็เห็นว่าเป็นเดร็กที่ตามมาทัน เขาถึงกับสบถออกมาทันที

ซวยชะมัดเลย ให้ตายเถอะ!

แต่ถึงอย่างนั้นก็โน้มตัวหมายจะอุ้มลูก้า ทว่าก็ไม่ได้ทำตามความตั้งใจเมื่อเดร็กเหนี่ยวไกใส่อย่างไม่หวังผลอีกครั้ง
“ถ้าขยับแม้แต่นิดเดียว หัวแกถูกเจาะเป็นรูแน่ไอ้เด็กเหลือขอ”

ไม่แน่ใจว่าคำว่าเด็กเหลือขอที่หลุดออกจากปากของเดร็กหมายถึงเจเรมีหรือลูก้ากันแน่ แต่ก็ทำให้สองคนนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

เจเรมีไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวว่าลูก้าจะถูกยิง ส่วนลูก้าเองก็กลัวว่าเจเรมีจะถูกยิงเช่นกัน จึงพากันทำตามคำสั่งของคนอาวุโสกว่าอย่างไร้ทางเลือก

“พวกแกนี่ก็เก่งนะที่มาถึงขั้นนี้ได้ แต่ต้องเสียใจด้วยที่แผนของพวกแกไม่เป็นผล คิดจะเอาชนะคนอย่างฉันได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” ว่าพลางหัวเราะในลำคอ มือถือปลายกระบอกปืนจ่อมาที่โอเมก้าทั้งสอง

มองเผินๆ ไม่รู้เลยว่าเดร็กตั้งท่าจะยิงใครกันแน่ แต่มันก็สร้างความหวั่นใจให้กับทั้งคู่ได้โดยเฉพาะกับเจเรมีที่เหลือบมองลูก้าในสภาพตัวสั่นเทาแล้วก็ต้องออกปาก

“เป้าหมายของแกคือฉันใช่ไหม”
การที่จู่ๆ ก็ถามทำให้เดร็กแสยะยิ้ม “แกอาจจะต้องเรียนรู้จากพ่อแกอีกเยอะทีเดียว หัวขี้เลื่อยของแกถึงจะทำงานได้ดีขึ้น และใช่...เป้าหมายของฉันคือแก อ้อ ไม่สิ พ่อแกต่างหาก”

คำพูดของเดร็กกำกวมอยู่ไม่ใช่น้อย แต่เจเรมีก็ไม่สนแล้ว เป้าหมายจะเป็นเขาหรือบิดามันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับคนที่นั่งอยู่บนพื้นซึ่งพยายามจะยันตัวขึ้นมา เจเรมีขยับเข้าไปหาเล็กน้อยหมายจะช่วยพยุง แต่ก็ถูกเดร็กปล่อยกระสุนถากเข้าที่ต้นแขนเสียก่อนจนต้องถอยหลังกรูดไป

“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าขยับ ไอ้พวกสมองกลวง”
เจเรมีถึงกับกัดฟันกรอด ข่มทั้งความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วต้นแขนข้างขวาและความเจ็บใจที่พลาดท่าให้ตัวเองถูกยิง ถึงกระสุนมันจะโดนแค่ถากๆ แต่ก็เรียกเลือดให้ไหลอาบได้ไม่น้อย

ลูก้าเห็นภาพนั้นแล้ว สีหน้าก็ทวีความหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก

กลัวจะต้องเสียเจเรมีไป... ทำให้เขาต้องรีบวิงวอนออกมา

“ขอร้องล่ะครับ อย่าทำอะไรคุณเจเรมี”
เสียงนั้นเรียกสายตาของเดร็กไปทันที “ฉันฆ่าแกแน่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้” พูดจบก็จ่อปลายกระบอกปืนไปยังเจเรมีอีกครั้ง “เอาล่ะ เรามาจัดการให้จบๆ กันเถอะ ฉันจะได้ไปจากที่นี่สักที”

ปลายกระบอกปืนที่จ่อมาทางบริเวณส่วนศีรษะของเจเรมีทำให้เขารีบคิดหาทางเอาตัวรอดโดยเร็ว แต่ก็คิดไม่ออกเลยว่าเขาจะเอาตัวรอดจากที่นี่ได้อย่างไร ลำพังพาตัวเองหนีไปยังพอเป็นไปได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วลูก้าล่ะจะเป็นอย่างไร การมาที่นี่ของเขาจะไม่เสียเปล่าเหรอ?

เพราะคิดอย่างนั้นจึงได้แต่ยืนเป็นเป้านิ่ง ลูก้าเห็นเจเรมีไม่เคลื่อนไหวก็เป็นห่วงจับใจ รีบส่งเสียงไปอีกครั้ง
“ถ้าจะฆ่าใครสักคนก็ฆ่าผมเถอะ ผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเอง ได้โปรดครับพ่อ ปล่อยเขาไป”
คำสรรพนามนั้นทำให้ใบหน้าของเดร็กย่นยู่ฉับพลัน
“ฉันรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่แกเรียกฉันว่าพ่อ สงสัยต้องจัดการไอ้ตัวเกะกะอย่างแกซะก่อนล่ะมั้ง” แล้วก็หันปลายกระบอกปืนมาที่ลูก้าแทน

เห็นแล้วก็ใจเสียฉับพลัน แต่สำหรับลูก้าแล้วมันเป็นเรื่องที่ดีเพราะถ้าหากเขาตายๆ ไป เจเรมีจะได้หนี ทว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเจเรมีเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปหาเดร็ก กระโดดเข้าใส่อีกฝ่าย กระแทกร่างแกร่งจนเซไปกระแทกกับผนังด้านข้างด้วยหมายจะแย่งปืน

การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เดร็กไม่ทันได้ตั้งหลัก ถลาไปตามแรงกระแทกนั้นก่อนจะถูกหมัดหลุนๆ ของเจเรมีจะบันเข้าหน้าเต็มรัก ความมึนงงประดังประเด ปืนเกือบจะหลุดมืออยู่แล้วถ้าหากไม่ประคองสติไว้ ก่อนจะได้ยินเสียงแหบห้าวดังเข้ามาในหู
“ฉันก็ขยะแขยงทุกครั้งที่รู้ว่าแกเป็นพ่อของลูก้า แกนี่มันขยะชัดๆ ไอ้แก่นรก!”

เจเรมีสวมวิญญาณจอมวายร้ายอีกแล้ว เห็นเดร็กกำลังจะหยัดยืนอีกครั้งก็พุ่งเข้าไปตะบันหน้าอีกระลอก ตามด้วยยกฝ่าเท้าขึ้นถีบเข้าไปกลางลำตัวเสียเต็มรัก

การที่ถูกชายหนุ่มรุ่นลูกประเคนหมัดและฝ่าเท้าให้เต็มเหนี่ยวอย่างนี้ทำให้เดร็กรับมือไม่ทันเลยทีเดียว ซ้ำจังหวะที่ถูกถีบจนล้มหงายไป ปืนที่อยู่ในมือก็หลุดกระเด็นไปบนพื้นอีก เจเรมีมองตามก็รีบผละจากเดร็กไปยังปืนนั้นในขณะที่เดร็กเองก็ไม่รอช้า รีบพลิกตัวไปคว้าปืนเช่นกัน สุดท้ายเลยกลายเป็นการปลุกปล้ำปล่อยหมัดใส่กันอุตลุตอย่างไม่มีใครยอมใครเพื่อแย่งปืนนั้นมาครอบครอง

หากแต่เจเรมีดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่สักหน่อยด้วยเขาได้รับบาดเจ็บและเดร็กเองก็เป็นคนรุ่นพ่อที่แข็งแรงน้อยกว่าเขาเสียเหมือนไหร่ ถึงอายุจะย่างเข้าเลขห้าแล้ว แต่กำลังวังชากลับไม่ต่างอะไรจากชายหนุ่มไม่มีผิดเพี้ยน พลาดท่าเพียงเล็กน้อย เจเรมีก็ตกอยู่ใต้ร่างของเดร็กทันที ทำเอาลูก้าที่มองอยู่รีบกระเสือกกระสนเข้าไปห้ามเมื่อเห็นว่าบิดาของตนใช้ด้ามปืนตบเข้าที่ใบหน้าของผู้มีพระคุณอย่างไม่เบามือหลายต่อหลายครั้งจนเลือดไหลกบปากและไหลออกจากจมูก

“พ่อ! อย่า! อย่าทำเขา!”
“ไสหัวไปไอ้เศษเดน!” สะบัดมือเล็กน้อย ด้ามปืนก็ตบเข้าที่ใบหน้าของลูก้าอย่างจัง

ลูก้าเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่ต่างจากเจเรมีเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ไม่ละความพยายามที่จะช่วยคนตรงหน้า ในเมื่อห้ามแล้วไม่เป็นผลก็ถลาเข้าไปคว้าแขนล่ำมาออกกัดสุดแรง เดร็กร้องลั่นพลันหันมาต่อยเข้าที่ซีกหน้าของลูก้าจนล้มกระเด็นไปอีกทาง

ใบหน้าชาดิกจนแทบไม่รู้สึกแต่ก็ดีแล้วที่ทำให้เดร็กเบนความสนใจมาที่ตนเอง พลางมองผู้เป็นพ่อหยัดกายขึ้นยืน จ่อปืนมาทางเขา

“ไอ้เด็กเวรเอ๊ย! อยากตายมากนักใช่ไหม ได้! ฉันจะสงเคราะห์แกก่อนเลยคนแรก!”
ดูจากท่าทางแล้ว เดร็กคงจะไม่ลังเลที่จะยิงลูกชายคนนี้เลย ลูก้าไม่มีคำถามใดๆ มาถามผู้ให้กำเนิดคนนี้หรอกว่าเขากล้าทำลูกในไส้ได้อย่างไร

ก็เขาน่ะ...เคยถูกมองว่าเป็นลูกเสียที่ไหน คำว่า ‘พ่อ-ลูก’ นั้นเป็นเพียงสถานะความสัมพันธ์ที่เป็นเพียงชื่อเท่านั้น

ดวงตากลมทอดมองไปยังเจเรมีที่มองมาทางเขาอยู่ รอยยิ้มบางปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของลูก้า

ถ้าเขาจะตายก็ขอให้ภาพสุดท้ายที่เจเรมีเห็นคือใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา...

แต่ใครมันจะไปปล่อยให้คนที่อุตส่าห์พยายามช่วยตายง่ายๆ กัน ยิ่งเห็นพวกหัวแข็งอย่างเจเรมีด้วยแล้ว เขาไม่ยอมให้ใครมาทำลายความตั้งใจของเขาง่ายๆ หรอก!

ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปคว้าข้อเท้าของเดร็กแล้วออกแรงดึงทันที เดร็กล้มคะมำ สบถทุกถ้อยคำหยาบคายเท่าที่จะคิดได้ออกมา ขณะที่เจเรมีใช้โอกาสนี้ยันตัวลุกขึ้น วิ่งเข้าไปจะอุ้มลูก้าแล้วหนีไปยังจุดที่นัดหมายกับคริสไว้
“ไปเร็ว!”
“แต่...”
“นายต้องรอด ยังไงก็ต้องรอด ไปเดี๋ยวนี้!”
ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะแย้งแล้ว

ในเมื่อเจเรมีอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ เขาก็จะอยู่!

หากแต่ในขณะที่เจเรมีฉุดลูก้าลุกขึ้นอยู่นั้น เดร็กก็เหนี่ยวไกเสียแล้ว ลูกกระสุนพุ่งมาทางเจเรมี ลูก้าซึ่งเหลือบเห็นภาพนั้นรีบผลักคนตัวใหญ่กว่าออกห่างสุดแรง แรงผลักทำให้ร่างกายเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ลูกกระสุนจึงพุ่งเข้ามาเจาะเข้าที่หน้าอกอย่างพอดิบพอดี

“ลูก้า!” เจเรมีร้องลั่นเหมือนคนเสียสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแสดงสีหน้าตกใจสุดขีดออกมา ทิ้งตัวลงประคองร่างเล็กไว้ในมือ ส่งเสียงเรียกคนที่กระอักเลือดกองใหญ่อย่างร้อนรน “ลูก้า...นายต้องไม่เป็นไร ได้ยินฉันไหม นายต้องไม่เป็นอะไร”
“นะ...หนีไปครับ หนีไป...” เสียงของเจเรมีไม่ได้เข้าหูเลยด้วยอาการบาดเจ็บทำให้เขาเริ่มไม่ได้สติ มีเพียงจิตใต้สำนึกเท่านั้นที่สั่งการให้ริมฝีปากขยับพูดไปอย่างนั้น

เจเรมีเองก็ไม่ฟังสิ่งที่ลูก้าพูดเช่นกัน นอกจากจะตบเข้าที่ซีกหน้าอีกฝ่ายไม่แรงนักเพื่อคอยเรียกสติไว้
“อย่าหลับนะ!”
ลูก้าไม่เคยรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต เขารู้ตัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเขามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาใส่ใจอีกแล้ว นอกจากส่งเสียงบอกให้คนที่โอบอุ้มร่างเขาอยู่ไปให้พ้นจากที่ตรงนี้
“หนีไป...”

เจเรมีหงุดหงิดเต็มทน พลันพยายามหาหนทางเอาตัวรอดอีกครั้ง เดร็กหัวเราะให้กับภาพที่เห็น ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะยกปืนในมือขึ้นจ่อข้างขมับของเจเรมี

“พวกโอเมก้าไม่ว่าจะเกิดหรือจะตายก็น่าสมเพชทั้งนั้น” จากนั้นก็เหนี่ยวไก “ฉันจะรับหน้าที่เล่าให้พ่อแกฟังเองว่าแกตายได้น่าสมเพชแค่ไหน ตายซะไอ้พวกทุเรศ”

เสียงปืนดังขึ้นทันทีหลังจากสิ้นเสียงนั้น เจเรมีหลับตาปี๋ คิดว่าตัวเองจะต้องตายเสียแล้ว ทว่าก็ต้องประหลาดใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตนยังอยู่ในท่าเดิม มีแต่เดร็กเท่านั้นที่ผงะถอยหลังไปเมื่อกระสุนเจาะเข้าที่แขน ทำเอาปืนที่อยู่ในมือหลุดกระเด็น

คนที่ถูกยิงไม่ใช่เจเรมี แต่เป็นเดร็กต่างหาก!

หันไปมองยังทิศทางของกระสุนก็เห็นว่าเป็นฝีมือของคริสที่มาพร้อมกับพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่ง

ด้วยความที่เขาเห็นว่าเจเรมีใช้เวลามายังที่นัดหมายนานกว่าที่คาดการณ์ไว้จึงอดทนรอไม่ได้จนต้องออกมาตามหาด้วยร้อนใจ และเขาก็คิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ร่างไร้วิญญาณของเจเรมีกลับคืนไปแน่ๆ

เดร็กพยายามจะสู้อีกครั้ง แต่ก็ไม่รอดเมื่อถูกรุมกระหน่ำยิงอีกหลายนัดทันทีที่ขยับร่าง กระสุนพุ่งทะลุเข้าจุดสำคัญหลายจุดทำให้เขาทรุดฮวบลงไปกับพื้น กระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป

รุกฆาต!

หมากตัวสำคัญบนกระดานถูกกำจัดแล้ว คริสส่งสัญญาณให้พรรคพวกเข้าไปตรวจดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจด้วยการจับจุดชีพจร พอได้คำตอบ เขาก็ไม่รอช้าที่จะตรงเข้ามาหาเจเรมีทันที

“คริส...ช่วยลูก้าด้วย” เจเรมีเอ่ยทันทีที่เห็นหน้าของคนรัก
สภาพของลูก้าร่อแร่ขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ ออกปากสั่งใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทันที
“รีบตามรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!”

ไม่มีใครรอช้า รีบปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว เจเรมีพอจะเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่พอเห็นลูก้าที่พยายามจะจับมือเขาด้วยมืออันสั่นเทา เขาก็ใจไม่ดีขึ้นมา

“คะ...คุณเจเรมี...ผม...ไม่ไหว...”
“นายต้องรอดลูก้า ต้องรอด...” เจเรมีย้ำคำ ท่าทางกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
หากแต่ลูก้าไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาอยากได้ยินจากปากของเจเรมีก็คือ...
“คุณว่า...ระหว่างโอเมก้ากับโอเมก้ามันจะเป็นไปได้ไหม...”
“มาถามบ้าอะไรตอนนี้” หัวคิ้วของคนถูกถามย่นยู่ฉับพลัน แต่ลูก้าก็ไม่วายถามย้ำอีก
“เป็น...ไปได้ไหม...” ดวงตาปรือปิดลงมากกว่าเดิมแล้ว

เจเรมีรีบตบเข้าที่ใบหน้าทันใด “ลูก้า...อย่าหลับ เฮ้! ฉันบอกว่าอย่าหลับไง!” เสียงดังมากกว่าเดิมเมื่อเห็นดวงตาอีกฝ่ายค่อยๆ ปรือลง ทว่าริมฝีปากแห้งผากก็ยังขยับอยู่
“...ได้ไหม”
“ได้สิ เป็นไปได้” จำต้องตอบแล้วคราวนี้ด้วยไม่ต้องการให้ลูก้าสนใจเรื่องอื่น พลันร้องเรียกอีกครั้ง “นี่! ฉันบอกว่าอย่าหลับ”
ลูก้าฟังเสียที่ไหน เขาก็ไม่อยากจะหลับหรอก แต่ร่างกายไม่อาจฝืนต่ออาการบาดเจ็บได้ ดวงตาปิดลงสนิท ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิมแต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นบางๆ ก่อนเสียงแผ่วเบาจะดังมาให้ได้ยินพอจับใจความได้
“ผม...อยากจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นจัง...”

เป็นครั้งแรกที่ลูก้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อจริงๆ ไม่ใช่อยู่เพื่อเอาตัวรอดจากสังคมอันโหดร้ายไปวันๆ อย่างที่ผ่านมา

เจเรมีฟังแล้วก็ใจไม่ดีทันควัน “นายก็มีชีวิตอยู่ต่อสิ สู้มาขนาดนี้เพื่ออะไร จะมาตายอย่างนี้ไม่ได้นะ แข็งใจเอาไว้…ลูก้า?”
จู่ๆ น้ำเสียงก็ขาดช่วงไปเมื่อเห็นว่าร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งไป เจเรมีมองอย่างไม่เชื่อสายตา พลันออกแรงตีเข้าที่ซีกหน้าของลูก้าไม่แรงนัก
“ลูก้า... ลูก้า! ตื่นขึ้นมาสิเว้ย! ตื่นเดี๋ยวนี้!”

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองกลับมาเลย มีเพียงความนิ่งงันเท่านั้นที่เป็นปฏิกิริยาที่เขาได้รับ
“ลูก้า! ตื่น!” เจเรมีไม่เคยรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มอย่างนี้มาก่อน เขาโกรธเกลียดบรรทัดฐานของสังคม เกลียดชังระบบชนชั้นที่แบ่งแยกโดยเพศขึ้นมาจับใจ

ทำไม… กับแค่ให้โอเมก้าที่มีชีวิตบัดซบมาตั้งแต่เกิดได้เริ่มต้นชีวิตใหม่แค่นี้ ทำไมพระเจ้าถึงไม่เห็นใจบ้าง!?

น้ำตาไหลอาบใบหน้า โกรธแค้นทั้งเดร็กที่ทำให้ลูก้าต้องมีชะตากรรมอย่างนี้ โกรธทั้งตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ โกรธชะตากรรมของลูก้าที่โหดร้ายกับเขาเกินไป

หลังจากลูก้าแน่นิ่งไปไม่นานนัก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาถึงจุดเกิดเหตุพอดี คริสซึ่งยืนมองอยู่นานจำต้องเข้ามาแยกเจเรมีออกจากร่างแน่นิ่งนั้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้จัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้น พลางกระซิบเบาๆ ข้างหูโอเมก้าหนุ่มที่ยืนมองเจ้าหน้าที่พวกนั้นปั๊มหัวใจให้ลูก้า
“ทำแผลก่อนนะเจมี”

คนถูกเรียกหันไปมองหน้าคริสได้ก็โผเข้ากอดร่างใหญ่ทันควัน ปลดปล่อยความเสียใจที่มีออกมาอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้
เขาพยายามแล้ว...พยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจช่วยลูก้าได้

แค่ขอให้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โอเมก้าพวกนี้ถึงกับต้องแลกด้วยชีวิตเลยหรือไง!
มีคำพูดมากมายเลยทีเดียวที่เจเรมีอยากจะระบายมันออกมา แต่ก็ทำได้แค่กอดคนตรงหน้าแน่น ร้องไห้จนตัวโยนอย่างหมดมาดเท่านั้น

คริสโอบกอดเจเรมีตอบ ปลอบโยนให้คนในอ้อมแขนสงบลง ก่อนจะเอ่ยออกมา
“สงครามมันยังไม่จบหรอกนะเจมี มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”

ถูกอย่างที่คริสพูด...สงครามของพวกเขามันยังไม่สิ้นสุด

ตราบใดที่คำว่า ‘ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’ มันยังไม่ปรากฏขึ้นในสังคม พวกเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป

เดินต่อไป...จนกว่าการกดขี่จะเลือนหายไป

ตลอดกาล...
-----------------------------
เอาล่ะ อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งแท็กทีมกันรุมตบคนเขียนนะ ใจเย็นๆ รออ่านบทส่งท้ายกันก่อน บอกตามตรง...เสียววูบวาบมาก 555 ถามว่าตอนแรกหนูแดงตั้งใจเขียนให้ลูก้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ในตอนสุดท้ายมั้ย? ตอบเลยว่านี่ก็เขียนตามพล็อตที่วางไว้ตั้งแต่แรกแหละค่ะ ลูก้าถูกพ่อตัวเองยิง เดร็กตาย แล้วลูก้าก็ไม่ได้กับอัลเบิร์ต ตรงตามพล็อตที่วางไว้เป๊ะๆ ชีวิตนางบัดซบมากตั้งแต่เริ่มยันตอนสุดท้าย ก๊ากกก

พรุ่งนี้จะมาอัพบทส่งท้ายให้ ผ่านตอนนี้ไปให้ได้นะคะแล้วจะเจอแสงแห่งความหวังเอง

ออฟไลน์ INK@PANTIP

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดีงามสร้างสรรมากเป็นกำลังใจให้ผู้แต่ง :haun4:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อ่าวจบแล้วเหรอออออ ยังเหมือนไม่อยากให้จบเลย  :hao5: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อิน ลุ้น(เจเรมี่ไม่ให้ใจร้อน งี่เง่า) สนุก ตื่นเต้น
รักร้อนแรง เศร้า  :mew1: :mew1: :mew1:
มีครบทุกรส สงสารลูก้า มีพ่อ อย่างเดร็ก
ที่เอาแต่พะนอลูกอัลฟ่าธีโอ ที่ไม่ได้เรื่อง
ก็นึกอยู่เหมือนกันว่าลูก้า คงไม่ได้เทิดทูนเจเรมี่ แบบไอดอลเฉยๆ
คริสเฉลียวใจเร็วมากเรื่องนี้
แล้วเจม ก็ตกหลุมรักคริส  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ไม่ใช่แค่คู่แห่งโชคชะตาเฉยๆ และ  ยอดไปเลย 
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ปั๋มขึ้นไม๊
เดร๊กตายง่ายไป
เลวขนาดนี้!!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Epilogue

จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายเดือน การปฏิวัติเป็นไปตามความตั้งใจของคณะปฏิวัติที่ต้องการให้กลุ่มอำนาจเก่าลงจากตำแหน่งที่ครอบครองไว้อย่างยาวนาน ทว่าหลังการปฏิวัติเสร็จสิ้น ความสงบเรียบร้อยก็ยังไม่อาจคืนสู่มหานครเพิร์ลได้

ไม่...ไม่ใช่มหานครเพิร์ลอีกต่อไปแล้ว อาณาเขตเพิร์ลต่างหาก

ถึงจะเกิดการปฏิวัติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มผู้มีอำนาจเก่าที่หลบหนีออกจากอาณาเขตไปจะยอมรามือโดยง่าย แม้จะถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดและปลดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองออกจากตำแหน่ง ทว่าพวกเขายังคงหาทางกลับมาครองอำนาจเช่นเดิมเพียงแต่ในเวลาอย่างนี้มันไม่ง่ายนักเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองแบบกดขี่อีกต่อไปแล้ว แต่ก็มีผู้ที่ยอมพ่ายแพ้ต่อสงครามครั้งนี้เช่นกัน

เช่น ตระกูลแฮร์ริสัน... ธีโอ บุตรชายไม่เอาอ่าวเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตและอพยพไปพึ่งพาญาติในอาณาเขตห่างไกลไม่มีความสามารถมากพอที่จะกู้เกียรติยศของบิดากลับคืนมาก็จำต้องรามือและใช้ชีวิตอย่างเก็บตัวแทนเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองของทางการมากนักด้วยรู้ดีว่าเจอโรมต้องไม่ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายดังเช่นที่ผ่านมาแน่

ส่วนอาณาเขตปกครองพิเศษอื่นๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของอดีตมหานครเพิร์ลก็แยกตัวออกไปเป็นอาณาเขตอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อกันไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ทว่ายังมีการสานสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรอยู่ มีเพียงบางอาณาเขตที่ไม่สามารถปกครองตัวเองด้ยไร้ซึ่งผู้นำสืบทอดเท่านั้นที่ยังอยู่ภายใต้การดูแลของอาณาเขตเพิร์ล แต่เป็นไปในลักษณะของการเกื้อกูลกันโดยมีการตัดระบบเลือกผู้แทนจากประชาชนของอาณาเขตนั้นๆ โดยการออกความเห็นของประชาชนให้ขึ้นมารับตำแหน่งแทนการเข้าไปแทรกแซงอย่างที่ผ่านมา

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของระบบชนชั้นทางสังคม เป็นครั้งแรกที่สภาระดับสูงมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นชนชั้นนอกจากอัลฟ่าเช่นเบต้าและโอเมก้า

หนึ่งในนั้นคือเจเรมี เมอร์ซี...โอเมก้าผู้ซึ่งได้ชื่อว่านักเคลื่อนไหวในการเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคให้กับโอเมก้า เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตอย่างอิสระของโอเมก้าโดยไม่ขึ้นตรงกับใคร
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอาณาเขตเพิร์ลเลยทีเดียวที่มีการออกมาเรียกร้องสิทธิ์ความเท่าเทียมให้กับโอเมก้าอย่างเป็นทางการ จะว่าเจเรมีสานต่อปณิธานของผู้เป็นพ่อก็ได้เพราะเจอโรมเองก็เคยมีนโยบายนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ดำเนินการผลักดันอย่างจริงจังนักด้วยเขามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้รับผิดชอบ อีกทั้งเขาเป็นอัลฟ่า แม้จะเข้าใจถึงความสำคัญในการมีตัวตนของโอเมก้าเพราะมีลูกชายเป็นโอเมก้าดี แต่เขาจะเข้าใจความสำคัญของมันได้ดีเท่ากับคนที่เป็นโอเมก้าตั้งแต่กำเนิดได้อย่างไร

ว่ากันตามตรง การใส่สูทผูกไทและทำรายงานแผนงานต่างๆ มาเสนอต่อที่ประชุมในสภานั้นไม่ใช่วิธีที่เจเรมีถนัดเลยแม้แต่น้อย เขาใช่คนที่เก่งด้านการใช้สมองเสียที่ไหน ถ้าเป็นเรื่องพละกำลังก็ว่าไปอย่าง ขนาดผ่านมาครึ่งปีที่เขาก้าวเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดการเรื่องนี้ เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับมันเสียที อะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจเขาเลยแม้แต่น้อย กว่าที่แต่ละนโยบายจะได้รับความเห็นชอบก็ทำเอาเขาเกือบจะเผลอใจพังการประชุมให้รู้แล้วรู้รอดอยู่หลายต่อหลายครั้ง

แต่ก็ไม่ได้ทำ...

ถึงจะยังเป็นคนอารมณ์ร้อน โผงผางและแสดงอาการทุกครั้งที่พบเจออะไรไม่ถูกใจ ทว่าเขาก็มีสติพอที่จะควบคุมอารมณ์และคิดไตร่ตรองก่อนจะลงมือทำอะไรได้บ้างแล้ว ถึงมันจะไม่ดีนัก แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลง

เพราะตระหนักรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการใช้อารมณ์นำมาซึ่งปัญหาประหนึ่งน้ำผึ้งหยดเดียว เขาจึงพยายามที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกแม้ว่าสมาชิกวุฒิสภาระดับสูงหัวคร่ำครึตรงหน้าเขาจะแสดงความเห็นต่อนโยบายที่เขานำมาเสนอได้อย่างน่าหมั่นไส้ก็ตาม ซ้ำยังตามมาด้วยการเหยียดเพศต้นกำเนิดอีก ทำเอาเขากำมือแน่น อดทนจนถึงที่สุด เมื่อได้เวลาพักระหว่างการประชุม เขาก็ตัดสินใจทำตัวเกเร หนีออกจาการประชุมดื้อๆ เสียอย่างนั้น ฝากฝังให้อัลเบิร์ตซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาของเขารับช่วงต่อแทน

เขายอมรับว่าใจร้อนและยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยการทำเสียมารยาทอย่างนี้ก็ยังดีกว่าเขาอาละวาดพังการประชุมจนวงแตกกระเจิงก็แล้วกัน

สถานที่สงบเงียบร้างไร้ผู้คนจึงเป็นจุดหมายให้เขาแวะเวียนมาผ่อนคลายสมองจากเรื่องยุ่งยากทั้งปวง ขายาวก้าวเข้าไปในสุสานขนาดใหญ่ที่มีรั้วเหล็กรอบล้อม ก่อนจะหยุดลงหน้าแท่นหิน ทรุดตัวนั่งยอง วางช่อดอกไม้ในมือที่ซื้อติดมาตั้งแต่ในเมืองลงบนนั้น พลันลูบไล้ฝ่าปลายนิ้วลงไปบนชื่อที่สลักอยู่อย่างเบามือ ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา

น่าอิจฉาคนที่นอนหลับอยู่ในหลุมพวกนี้ชะมัดที่ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยาก

อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ความคิดไร้สาระของเขาก็ต้องยุติลงเมื่อมีเสียงของใครบางคนเรียกความสนใจไป
“ว่าแล้วว่าต้องมาที่นี่”
หันไปมองก็เห็นว่าเป็นชายในชุดสูทท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งยิ้มมาให้

คริส ฟ็อกซ์... ต้องเป็นท่านผู้นำฟ็อกซ์สิ

ไร้ซึ่งภาพลักษณ์นักโทษกบฏอย่างที่เคยเห็นในตอนแรกที่พบหน้าอย่างสิ้นเชิง คริสในตอนนี้มีเพียงแต่ภาพลักษณ์เจ้าชายเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหรือท่วงท่า เขาก็ดูดีไปหมด

เจเรมีอดชื่นชมเขาไม่ได้เลย ภาพของคริสที่เห็นตรงหน้าคงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ขณะเดียวกันก็คิดย้อนด้วยว่าตัวเองไม่เหมาะกับการใส่สูทแบบนี้เลยแม้ว่าคริสจะมองว่ามันดูดีมากก็ตาม

เจเรมีไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ตอบรับนอกจากจะหันหน้ากลับมามองชื่อที่สลักบนแท่นหินนั้นเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทรุดตัวลงนั่งยองข้างๆ บ้างเมื่อเดินมาใกล้

“คิดถึงคนบนฟ้าเหรอ”
เจเรมีเหลือบมองเล็กน้อย ตอบเสียงแผ่ว “ก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว ไม่ได้เจอหน้ากันพักใหญ่แล้วนี่นะ” ก่อนจะถาม “แล้วนายมาที่นี่ทำไมล่ะ มีงาน?”

หมายถึงมาที่อาณาเขตเพิร์ล ปกติแล้วคริสจะใช้เวลาอยู่ที่อาณาเขตดีออนมากกว่า ถ้ามีการเดินทางไปไหน แสดงว่าเป็นเรื่องงานทั้งสิ้น

“วันนี้มีประชุมใหญ่นี่ ช่วงเย็นมีการประชุมของพันธมิตรระหว่างอาณาเขต ฉันในฐานะผู้นำก็ต้องมาเข้าร่วมเป็นธรรมดา”

การประชุมที่คริสว่าเริ่มหลังจากการประชุมสภาระดับสูงของอาณาเขตเพิร์ลสิ้นสุดลง...

ตามอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด เจเรมีไม่ได้สนใจนัก ทอดสายตามองไปยังป้ายหินสลักนิ่งๆ ทำให้คริสต้องมองตาม

มาเรีย เมอร์ซี... เกือบจะครบปีแล้วสินะที่เจเรมีสูญเสียมารดาไป จะคิดถึงก็ไม่แปลก และคนข้างกายเขาคงจะเหนื่อยล้าสุดจะทนด้วยล่ะมั้งถึงได้โผล่มาที่สุสานแบบนี้

คริสรู้ดี เจเรมีมักทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ต้องการจะหาความสงบจากเรื่องวุ่นวายภายนอก พลันเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของอีกฝ่าย ออกแรงเขย่าเบาๆ

“วันหลังน่ะถ้าไม่สบายใจอะไรก็มาหาฉันก็ได้ มาที่นี่นายก็ไม่มีใครคุยเป็นเพื่อน มาหาฉัน อย่างน้อยก็มีฉันที่รับฟัง”
“นายอยู่ไกล แถมยังไม่ค่อยมีเวลา ไปหานายมันต่างอะไรกับมาหาแม่ฉันล่ะ” เจเรมียอกย้อน

จริงอย่างที่โอเมก้าหนุ่มว่า ตั้งแต่ที่การปฏิวัติโดยประชาชนเป็นผลสำเร็จและอาณาเขตดีออนได้รับการปลดแอกจากการควบคุมของมหานครเพิร์ล เขาซึ่งดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำคนใหม่ก็แทบจะไม่มีเวลาว่างเลยแม้แต่น้อยด้วยต้องวางแผนปฏิรูปการปกครองและฟื้นฟูอาณาเขตใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเขาหายใจเข้าออกเป็นเรื่องงานตลอดเวลาเลยก็ว่าได้

และคริสก็ไม่ปฏิเสธความจริงข้อนั้น เขายิ้มรับเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาคล้ายกับว่ายอมจำนน

“แต่การที่เจอหน้านายนับครั้งได้แบบนี้นี่มันก็ทำฉันเหงาเหมือนกันนะ”
เจเรมีเหลือบมองหน้า เห็นใบหน้าคร้ามเปื้อนยิ้มอยู่ก็หัวเราะออกมา
“พูดบ้าอะไร”

เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน คริสมักจะออดอ้อน มันดูน่ารำคาญที่เห็นผู้ชายตัวใหญ่พูดจาเหมือนเด็กขี้งอน แต่เจเรมีก็ชอบใจเป็นพิเศษเพราะนอกจากมันจะทำให้เขาคลายความเครียดจากเรื่องงานทั้งหมดแล้ว มันยังทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดถึงคริสมากแค่ไหน เพียงแต่ไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น และสุดท้ายมันก็จะจบลงด้วยความเงียบงันหรือไม่ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น
ว่ากันตามตรง ตั้งแต่ที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจอหน้ากันแทบนับครั้ง ยิ่งสถานะของคริสเปลี่ยนไปด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่าเจเรมีวางตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าคริส มีแค่ความรู้สึกที่เขามีต่อคริสเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม
คริสก็เช่นกัน ได้ยินเจเรมีตัดพ้ออย่างนั้นก็เลื่อนมือลงมาลูบซีกแก้ม

“งั้นย้ายมาอยู่ด้วยกันไหม”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่คริสเอ่ยปากชวนให้เจเรมีไปอยู่ที่อาณาเขตดีออนกับเขา และไม่ใช่ว่าเจเรมีไม่อยากไป

อยากไปจะตาย!

แต่ว่า...

“งานฉันล่ะจะทำยังไง”

คริสกะไว้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องกังวลเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ปฏิเสธก็เอาเรื่องงานมาอ้างทั้งนั้น

ไหนใครบอกว่าเกลียดงานที่ทำอยู่กัน แล้วมาทำเป็นว่าเขาว่าบ้างาน ตัวเองก็พอกันแหละ...

“ถ้าเป็นห่วงเรื่องนั้น ฉันจะหาคนมาดูแลให้”
ได้ยินแล้ว หัวคิ้วของเจเรมีก็ย่นยู่ “แต่มันเป็นงานของฉัน”
“ฉันรู้ แต่บางครั้งนายก็ไม่ต้องเอาตัวลงไปลุยทั้งหมดหรอก หัดวางตัวให้เป็นกัปตันเรือบ้าง กัปตันเรือเขาไม่ทำทุกอย่างบนเรือเองหรอกจริงไหม”

พูดมาอย่างนี้ เจเรมีก็พอจะเข้าใจ เหมือนกับที่เจอโรมพูดเลย ทว่าเพราะเขาตั้งใจจะทำทุกอย่างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้โอเมก้าทุกคน ทำให้เขาไม่สามารถไว้วางใจอัลฟ่าหน้าไหนได้เลย

เขากำลังกลัว...กลัวว่าระบบชนชั้นนรกนั่นจะกลับคืนมาอีกหลังจากที่มันเริ่มจะคลายความตึงลงบ้างแล้ว

...เขาไม่ต้องการเห็นโอเมก้าคนไหนมีชีวิตน่าสังเวชเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรับได้ไหวอีก

คริสเข้าใจดี ธรรมชาติของเจเรมีคือเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกป้อง ไม่ใช่คนถูกปกป้องแม้ว่าจะเป็นเพศอ่อนแออย่างโอเมก้า อุดมการณ์ของเขามั่นคงเกินกว่าที่ใครจะทำให้สั่นคลอนได้ ยิ่งหลังจากมีเรื่องของลูก้า เขาก็ตั้งมั่นว่าจะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของโอเมก้าทุกคน

การกระทำของเขาในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อการปกป้องลูก้าเพียงคนเดียวอีกต่อไป มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแสดงศักยภาพของความเป็นโอเมก้าให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเพศไหน

คริสชื่นชมความกล้าหาญของเจเรมีอยู่ในใจ และเขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับความตั้งใจของอีกฝ่ายจนทำให้เจเรมีมองเขาในแง่ไม่ดี กระนั้นเขาก็ยังอยากจะช่วย อย่างน้อยก็ช่วยให้เจเรมีไม่ต้องหน้าดำคร่ำเครียดทุกครั้งที่เจอหน้ากันอย่างนี้
หากแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเรมีก็ถามขึ้นมาก่อน

“แล้วหมอนั่น...เป็นยังไงบ้างล่ะ”
เขาถามถึงลูก้าที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแต่ที่คริสรับตัวอีกฝ่ายไปรักษาตัวที่อาณาเขตดีออนหลังจากผ่านความตายชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดด้วยในตอนนั้นใจกลางอาณาเขตเพิร์ลวุ่นวายเกินกว่าจะรับรองความปลอดภัยให้ลูก้าได้

ใช่...ลูก้าไม่ตาย เขารอดตายมาอย่างหวุดหวิด ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่เขาก็ยังรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ เขาถึงได้ตระหนักรู้ว่าชีวิตของเขามีค่ามากเพียงใดเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่รู้ว่าตัวเองได้รับอิสระในการใช้ชีวิตแล้ว

เพราะได้รับอิสระ หลังจากรักษาตัวจนหายดี ลูก้าก็ขออาศัยในฐานะเด็กรับใช้ในบ้านของคริสเพื่อตั้งหลักว่าต่อจากนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร แต่ก็ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดีเขาก็ได้คำตอบ ขอย้ายออกด้วยอ้างเหตุผลว่าเขาอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาใครอีก คริสก็ไม่ได้ห้าม ปล่อยให้อีกฝ่ายไปแม้ว่าเจเรมีจะเป็นห่วงอยู่บ้างก็ตาม

แต่ลูก้าก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเขามีคุณค่าหลังจากนี้เหมือนกัน...

เจเรมีจึงยอมรามือ อีกอย่าง...ในตอนนี้เขาไม่ได้มีลูก้าคนเดียวที่ต้องปกป้องแล้ว แต่เป็นโอเมก้าทุกชีวิต ถึงอย่างนั้นก็ยังถามไถ่ความเป็นอยู่ของลูก้าอยู่บ้างโดยผ่านคริสเพราะลูก้าปฏิเสธที่จะติดต่อกับเจเรมีด้วยตัวเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูก้าคิดว่าการอยู่ใกล้เจเรมี เขารังแต่จะสร้างปัญหาให้ ต่อให้รักมากเพียงใด แต่การทำให้คนที่รักไม่ต้องเดือดร้อนเพราะเขาอีกจะเป็นการดีกว่า
รักโดยไม่ต้องครอบครอง รักโดยการเฝ้ามองอยู่ห่างๆ แค่นี้ก็ทำให้ลูก้ามีความสุขมากแล้ว

โชคดีที่คริสเข้าใจเจเรมีดีว่าความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อลูก้าไม่ได้เกินเลยไปมากกว่าคำว่าอยากปกป้องเลย จึงทำให้เขาเต็มใจที่จะรับหน้าที่เป็นคนส่งข่าวให้ทุกเมื่อที่เจเรมีต้องการ

“สบายดี ฝากฉันมาบอกนายว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้เห็นว่าไปเป็นผู้ช่วยอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่เป็นโอเมก้าในดีออน”
เจเรมียิ้มให้กับคำตอบนั้น เบาใจได้แล้วที่คนอ่อนแอคนนั้นเข้มแข็งในทางที่ถูก
“หมอนั่นคงเข้าใจแล้วสินะว่าชีวิตตัวเองมีค่าแค่ไหน”
คริสพยักหน้าเล็กน้อย มองเจเรมีที่ดูผ่อนคลายลงกว่าเดิม ก่อนจะแสร้งว่าหยอกเย้า
“คิดถึงคุณนายเมอร์ซี คิดถึงลูก้า แล้วเมื่อไหร่นายจะคิดถึงคริส ฟ็อกซ์ซะทีหืม?”
เจเรมีถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดัง “อะไรของนายเนี่ย”

ดูท่าทางจะหายเครียดแล้ว ทำให้คริสได้ถามเข้าประเด็นก่อนหน้าอีกครั้ง
“ถ้าคิดถึงคริสก็ตอบหน่อยว่าตกลงจะไปอยู่กับฉันไหม”
เจเรมีผ่อนเสียงหัวเราะมาเม้มริมฝีปากแน่นคล้ายกับว่าครุ่นคิด

เขาอยากไปอยู่กับคริส...เป็นสิ่งที่เขาโหยหามาตลอด ทว่าก็ได้แต่อ้ำอึ้งด้วยภาระที่ค้ำคอ แต่แล้วก็ต้องใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟเมื่ออีกฝ่ายถามออกมาอีก

“ว่าไง ไม่คิดถึงฉันเหรอ?”

คิดถึงจนแทบจะขาดใจตายให้ดูตรงหน้าได้อยู่แล้ว!

เจเรมีเอื้อมมือไปสอดที่หลังลำคออีกฝ่าย โน้มใบหน้าของคริสเข้ามาจูบทันที สัมผัสนุ่มนวลที่จู่โจมเข้ามากะทันหันทำให้คริสอดใจไม่ไหว จูบตอบอย่างกระหายด้วยร้างราจากการสัมผัสร่างกายของคนตรงหน้ามาระยะใหญ่

แต่คนที่ดูท่าจะทนไม่ไหวมากกว่าคริสน่าจะเป็นเจเรมี เพราะทันทีที่ปลายลิ้นของเขาทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกัน เจเรมีก็สอดมือเข้าไปใต้เสื้อสูทของอีกฝ่ายทันที ทำเอาคริสตะครุบไว้แทบไม่ทัน

ริมฝีปากผละออกมา ยิ้มอย่างขวยเขินระคนขำ “ตรงนี้...ไม่ดีมั้ง”

ไม่ดีอย่างแน่นอนเพราะนอกจากจะเป็นกลางแจ้งแล้ว ยังเป็นกลางสุสานอีกด้วย

เจเรมีหัวเราะให้กับความระห่ำของตัวเอง ดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วออกปาก
“ในรถได้ไหมล่ะ แล้วฉันจะตอบว่าจะไปอยู่กับนายไหม”
คริสลุกขึ้นยืนตาม ลูบหลังต้นคอ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาโอบเอวของเจเรมี
“ไปสิ...ถ้านายต้องการ” ไม่เคยปฏิเสธคำร้องขอของเจเรมีเลยสักครั้ง

เจเรมีโอบเอวหนาของอีกฝ่ายคืน พากันเดินไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านนอก ทันทีที่คริสจัดการให้คนขับรถติดเครื่องเอาไว้และไล่ให้ไปรออยู่อีกทางแล้ว บทรักของทั้งคู่ก็ดำเนินขึ้น

ฟิล์มที่ติดกระจกรถมืดพอที่จะทำให้คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น แต่ถึงจะมองเห็น เจเรมีก็ไม่สนใจ ขยับตัวขึ้นมานั่งคร่อมชายคนรักไว้ ริมฝีปากประกบจูบไม่ห่างขณะที่มือก็จัดการดึงทึ้งเสื้อสูทของคริสออก ก่อนจะมาถอดเสื้อสูทของตัวเองออกบ้าง
คริสไม่ปล่อยให้เจเรมีได้กระทำเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเจเรมีออก ทันทีที่ยอดอกสีสวยปรากฎให้เห็นตรงหน้า ปลายลิ้นอุ่นร้อนก็ตวัดไล้หยอกเย้า เข้าครอบครองเมื่อตุ่มไตเล็กๆ ชูชันตอบสนองกับการกระตุ้นเร้าของเขา

เจเรมีขบกรามแน่น บริเวณกลางลำตัวของเขาคับแน่นเสียจนแทบจะปะทุออกมา ก่อนที่จะเป็นฝ่ายปลดเปลื้องพันธนาการของตัวเองอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังใจดีมาช่วยคริสจัดการกับเข็มขัดและซิปกางเกงอีกต่างหาก

คริสเหลือบมองการกระทำของเจเรมีแล้วก็หัวเราะ เจเรมีส่งสายตาดุดันให้เล็กน้อย
“หัวเราะอะไร”
คนถูกถามส่ายหน้า ตะปบเนื้อหนั่นบริเวณบั้นท้ายของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นมานั่งบนตัก
“นายยังน่ารักเหมือนเดิมเลยเจมี” ว่าพลางขบเม้มใบหูของอีกฝ่าย

กลิ่นกายของเจเรมีทำให้เขาคิดถึงร่างกายของคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ เจเรมีเองก็เช่นกัน เขากำลังกระหายไออุ่นจากคริส

กระหายในความรักของคนตรงหน้า...กระหายรสสัมผัส

ก่อนจะครางเสียงแหบต่ำออกมาเมื่อช่องทางด้านหลังถูกรุกรานด้วยปลายนิ้วแกร่ง
“ก็ฉัน...เป็นเจมีของนายนี่...” เพิ่งจะได้ตอบรับคำพูดประโยคเมื่อครู่นี้ก็ตอนที่ร่างกายของเขากลืนกินนิ้วของคริสไปจนหมดแล้ว

จากนั้นก็เริ่มส่งเสียงออกมาไม่เป็นภาษาทันทีที่คริสขยับปลายนิ้วไปโดนจุดอ่อนไหวเข้า...

เป็นน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่คริสได้ยินมาในช่วงนี้...

ปลายแกนกลางลำตัวของเจเรมีไหวสั่น ความอัดอั้นที่กักเก็บไว้ถูกปลดปล่อยออกมาเร็วกว่าปกติ ร้ายกว่านั้นยังทำหน้าท้องของคริสเปรอะเปื้อนเพราะนั่งหันหน้าเข้าหากัน หากแต่คริสไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ออกจะชอบเสียอีกที่เห็นคนในอ้อมแขนหายใจหอบหนักได้เพราะเขา

“แล้วนายจะเป็นเจมีของฉันตลอดไปไหม” ริมฝีปากกระซิบถามอีกครั้ง
เจเรมีพยักหน้า สบดวงตาเรียวสวยได้รูปนิ่ง “จนกว่าจะตายจากกัน...ฉันจะเป็นเจมีของนาย”

ไร้ซึ่งคำบอกรัก ไม่เคยมีคำว่ารักหลุดออกจากปากของเจเรมีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าคริสกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน

รัก...

รักมากจนไม่อาจจะอยู่ห่างกันได้แม้แต่วินาทีเดียวอีกแล้ว...

การเอ่ยปากชวนคริสให้เข้ามาในรถเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของเจเรมีทันทีเพราะมันทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น คริสเองก็เช่นกัน ยิ่งร่างกายของพวกเขาผนวกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ลมหายใจของทั้งคู่ก็แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

“ฉันขาดนายไม่ได้อีกแล้ว” คริสกระซิบเสียงพร่าขณะจับสะโพกของคนบนตัวให้ขยับไปตามจังหวะ
เจเรมีบดจูบลงบนริมฝีปากหนา เอ่ยด้วยถ้อยคำที่หวานล้ำที่สุดเท่าที่คริสเคยได้ยินมา

“ฉันจะไปอยู่กับนาย แต่ช่วยหุบปากแล้วตั้งใจทำเถอะ ฉัน...อา...ตรงนั้น...อีกคริส...อีกหน่อย...” ตามด้วยเสียงกระเส่าอีกระลอกใหญ่

เป็นการจินตนาการของคริสเองแหละที่คิดว่าเจเรมีจะเอ่ยถ้อยคำหวานๆ ออกมาให้ได้ยิน

ทั้งที่เมื่อกี้ก็หลุดปากพูดออกมาแล้วแท้ๆ จะพูดต่ออีกสักประโยคก็ไม่ได้...

เสียดายไม่ใช่น้อย แต่เสียงแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

มันช่วยไม่ได้ นี่แหละตัวตนของเจเรเมี โอเมก้าที่เขามอบกายและใจให้

รักโดยปราศจากการทำตามสัญชาตญาณดิบของคู่แห่งโชคชะตา...

จะเป็นอัลฟ่า โอเมก้าหรือชนชั้นไหนๆ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วถ้าหากคนที่เขารักคือจอมวายร้ายคนนี้

เจเรมี เมอร์ซี...

ไม่...ไม่ใช่อีกแล้ว

เจเรมี ฟ็อกซ์... คู่ชีวิตของคริส ฟ็อกซ์

จากนี้...และตลอดไป
------------------------------
ยังไม่จบนะคะ ยังเหลือ Extra อีกตอนสั้นๆ แล้วเดี๋ยวจะมาอัพตัวอย่างตอนพิเศษอีก 4 ตอนให้ ตอนแรกจะเขียน 3 แต่เพิ่มมาอีกตอนเพราะลูก้ายังอยู่ค่ะ จะได้เล่าต่อไปว่าหลังจากนี้ชีวิตของนางเป็นยังไง

ขอบคุณทุกคนมากที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้ เจมีโดนด่าพรุนมาก รองลงมาคือลูก้ากับเดร็ก 555

เดิมทีหนูแดงไม่อินแนวโอเมก้าเวิร์สค่ะ ใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะเริ่มอินขึ้นมาบ้างเลยมาเขียน ส่วนแนวดิสโทเปียนี่อยากเขียนมานานแล้ว มันท้าทายดี เคยเขียนเป็นนอร์มอลแล้วเมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่รอด มันยากกก ;w; ถึงตอนนี้ก็ยังยอมรับว่ายากอยู่เพราะต้องคุมไม่ให้ตัวละครหลุดคาร์แร็กเตอร์ (ถ้าหลุด เจมีกับลูก้าก็คงไม่โดนแม่ยกขุ่นคริสหมั่นไส้กันขนาดนี้ 555)

ถามว่าพอใจกับเรื่องนี้มั้ย...พอใจนะคะ ทำลูกสาวถูกจวกจนพรุนถือว่าสอบผ่านแล้ว 555

ขอบคุณอีกครั้งที่ติดตามค่ะ ส่วนเรื่องนี้ถ้าอัพจนจบแล้วและทาง สนพ.รักคุณ เปิดขายเมื่อไหร่  Ebook น่าจะมาก่อนเพื่อนเลย หลังจากนี้หนูแดงจะแวบไปเขียนแนวคอมเมดี้บ้างแล้ว เขียนแนวหนักๆ ติดกันหลายเรื่องแล้วชักล้า ก๊ากกก

ฝากฝังลูกชายทั้งสองไว้ในอ้อมอกอ้อมใจกันด้วยเน้อ แล้วเจอกันในฉบับหนังสือกับ Ebook เร็วๆ นี้นะคะ ^^


ออฟไลน์ empty102153

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ประทับใจมากเลยค่ะ
เจมีถึงจะไม่ได้พูดว่ารักแต่การแสดงออกชัดเจนมาก
น่ารักและน่าอิจฉาคริสจริงๆเลย ยิ่งฉากสุดท้ายเจมีในแบบร้อนแรง

ชอบมากเลยค่ะ เป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่งจริงๆ
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนให้อ่านกัน
จะรอติดตามตอนพิเศษนะคะ
 :L1: :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด